ทำไมเราควรเชื่อพุทธศาสนา

เชิญมาพักผ่อน คลายร้อนนั่งเล่น คุยกันเย็นๆ พร้อมเรื่องกีฬา สัพเพเหระ ทัศนะนานา ชีวิตชีวา สุขภาพทั่วไป บันเทิงขำขัน รอบเรื่องเมืองไทย ชวนเที่ยวที่ไหน อยากไปก็นัดมา ...โย่วๆ
MarginofSafety
Verified User
โพสต์: 5786
ผู้ติดตาม: 0

ทำไมเราควรเชื่อพุทธศาสนา

โพสต์ที่ 121

โพสต์

Eyore เขียน: ความเห็นผมนะ
อันว่าการบรรลุโสดาบันนั้น ประกอบไปด้วยการละสังโยชน์เบื้องต้น 3 ประการ ดังที่พี่หวีว่า

1. สักกายทิฐิ ความสำคัญว่าเราเป็นกาย เราเป็นใจ
2. ศีลลัพผัสปรามาส มีศีลแบบไม่รู้เหตุผล ถือโชคลาง
3. วิจิกิจฉา สงสัย ทำให้ใจ ผัวผันอยู่กับความสงสัย

ผู้ที่ละวิจิกิจฉาได้นั้น ย่อมไม่มีความลังเลสงสัยในพระรัตนตรัย
ไม่ลังเลสงสัยใน พระพุทธเจ้า ในความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
ไม่ลังเลสงสัยใน ธรรมะ อันเป็นความจริงแท้ (ยังไม่พูดถึงพระไตรปิฏกนะครับ)
ไม่ลังเลสงสัยใน พระอริยสงฆ์

เมื่อไม่มีความลังเลสงสัย ย่อมไม่มีการนับถือสิ่งต่างๆตามกันโดยปราศจากเหตุผล
(ศีลลัพผัสปรามาส)
ซึ่งทั้งสองอย่างนี้ย่อมเกิดมาจากการละความเห็นเรื่องสักกายทิฐิให้ได้เสียก่อน

อันว่า เรื่องพระไตรปิฏกนั้น
ผู้ที่เคยอ่านงานของท่านพุทธทาสแล้ว
มักมีความเห็นเป็นสองทาง
หนึ่ง คือเห็นว่าท่านพุทธทาสนั้นเป็นมิจฉาทิฎฐิ เพราะไม่เชื่อพระไตรปิฏก
สอง คือเห็นด้วยว่าพระไตรปิฏกนั้นเชื่อถือไม่ได้

ทั้งสองทางนี้ ล้วนเป็นทางสุดโต่งทั้งสองฝ่าย
ท่านพุทธทาส แสดงธรรมตรงกลางระหว่างทางสุดโต่งทั้งสองฝ่ายนั้น

ถ้าอ่านงานท่านพุทธทาสมากๆเข้า จะสังเกตุได้ว่า
ท่านพุทธทาสนั้นเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องพระไตรปิฏกอย่างชนิดที่หาคนมาเทียบเคียงได้ยาก
แม้ท่านจะชี้แจงว่าพระไตรปิฏกนั้นอาจมีการแต่งเติมมาตลอด 2500 ปี
แต่ท่านไม่เคยปรามาสพระพุทธเจ้า
ไม่เคยปรามาสพระธรรมที่พระพุทธเจ้าแสดงไว้


ที่ท่านทำเช่นนั้นได้ เพราะท่านไม่มีความยึดมั่นในตัวตนของท่านแล้ว
ท่านไม่มีความลังเลสงสัยในข้อธรรมที่ได้บรรลุแล้ว
จึงไม่ได้ยึดติดกับสิ่งที่เขียนไว้ในตำราที่ถือต่อๆกันมา
เพราะทุกอย่างที่นำมาสอนนั้น ออกมาจากใจของท่านเองแล้ว
จึงไม่ต้องอ้างอิงตำราใดๆ จึงสามารถวิพาษ์ตำราได้

อันพวกเรา ที่ยังไม่พ้นน้ำ
มิได้มีสิ่งอันใดอยู่ภายในเพียงพอที่จะแสดงออกมาได้
จึงไม่เป็นการสมควรที่จะ พูด หรือแสดงความคิดเห็น ไปในทางลบหลู่พระรัตนตรัย
โดยคิดไปเองว่า ท่านพุทธทาสก็ยังพูดเช่นนี้ได้
เป็นการไม่สมควรเป็นอย่างยิ่ง
เพราะนอกจากเป็นการไม่ดีกับตัวเองแล้ว
ยังทำให้คนอื่นที่มาอ่านพลอยเข้าใจท่านพุทธทาสผิดๆไปด้วย ดังที่มีคนเข้าใจผิดๆมาแล้วเป็นจำนวนมาก

ที่แย่ไปกว่านั้นคือ คนนอกที่ยังไม่มั่นคงในพระศาสนา ก็พลอยลดความเชื่อถือในพระรัตนตรัยไปอีกด้วย
เป็นการ discredit ศาสนาตัวเองเป็นอย่างยิ่งครับ
ความคิดเห็นที่พี่โยเรได้แสดงไว้ก็แสดงไว้อย่างกลางๆ
ซึ่งบอกได้ว่าผู้กล่าวเป็นผู้สนใจศึกษาธรรมมะเป็นอย่างดี
และผมก็เห็นด้วยกับข้อความดังกล่าว

ผมไม่เห็นว่าจะมีคำพูดตรงไหนเจาะจงให้กระทบใจใคร
ขึ้นกับผู้อ่านว่าจะอ่านให้เกิดประโยชน์หรือเกิดโทษ
"Winners never quit, and quitters never win."
Jeng
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 14783
ผู้ติดตาม: 0

ทำไมเราควรเชื่อพุทธศาสนา

โพสต์ที่ 122

โพสต์

กิเลส

หลายคนในกระทู้นี้ กำลังอยากอธิบาย ในสิ่งที่คิดว่าถูกต้อง เพื่อให้คนอื่น ได้รับรู้ว่าจริงๆเป็นอย่างไร ของแท้เป็นอย่างไร และมีหลักฐานอ้างอิงด้วย

มองในแง่ประโยชน์ ก็เกิดประโยชน์มากมาย

แต่สุดท้าย ก็ยังเป็นกิเลสอยู่ดี

หากแต่ละคนพูดแต่เฉพาะที่ตัวเองรู้ และเข้าใจ เชื่อ หรือ มีหลักฐาน พอแล้ว โดยไม่ต้องไปกล่าว หาว่าใคร เป็นอะไร ให้วุ่นวายใจ ทั้ง ผู้กล่าว และผู้ถูกกล่าว

ครั้งที่ผมไปบวช ครูบา ท่านนึง ท่านนำพระ คือ หลวงพ่อสมชายมาให้ผม 10 องค์ ซึ่ง ปกติ ท่านบอกหายากมาก ไม่ได้คิดเรื่องเงินเรื่องทองกัน

ท่านบอกว่า ผมจะเชื่อหรือไม่ ไม่เป็นไร แต่ ท่านเชื่อว่า วิญญานเร่ร่อน เจ้ากรรมนายเวร มีจริง ให้ผมห้อย หลวงพ่อสมชาย ไว้ด้วย

อืม ผมก็ขอบคุณ อย่างไรก็ตามถึงทุกวันนี้ผมก็ไม่ได้ห้อย

แต่เข้าใจเจตนาของครูบาท่านนั้น

.................................................................

กระทู้นี้ทุกคนก็มีเจตนาดีแหละ แต่เรื่องกิเลส คุยกันมากๆ มันฟุ้ง ต่อให้อยากให้ อยากพูด อยากอธิบายก็ยังฟุ้งอยู่ดี

ฟุ้งหนอ ฟุ้งหนอ

ความสันโดษ พระพุทธเจ้าบอกว่า เป็นธรรมอันสูงสุด

ผมก็เห็นด้วยนะ เพราะคนที่สันโดษ พูดน้อย อยู่ห่างๆผู้คน ย่อมส่ร้างเวร สร้างกรรม ได้น้อย
ภาพประจำตัวสมาชิก
Ryuga
Verified User
โพสต์: 1771
ผู้ติดตาม: 0

ทำไมเราควรเชื่อพุทธศาสนา

โพสต์ที่ 123

โพสต์

ขอยกความจากมหาปรินิพพานสูตรมาให้ฟังครับ :pray:

โค้ด: เลือกทั้งหมด

      [๑๕๕] สมัยนั้น บรรพชิตผู้บวชเมื่อแก่ นามว่าสุภัททะ นั่งอยู่ในบริษัท
 นั้นด้วย ครั้งนั้น สุภัททวุฒบรรพชิตได้กล่าวกะภิกษุทั้งหลายว่า อย่าเลยอาวุโส
 พวกท่านอย่าเศร้าโศก อย่าร่ำไรไปเลย พวกเราพ้นดีแล้ว ด้วยว่าพระมหาสมณะนั้น
 เบียดเบียนพวกเราอยู่ว่า สิ่งนี้ควรแก่เธอ สิ่งนี้ไม่ควรแก่เธอ ก็บัดนี้ พวกเรา
 ปรารถนาสิ่งใด ก็จักกระทำสิ่งนั้น ไม่ปรารถนาสิ่งใด ก็จักไม่กระทำสิ่งนั้น ฯ
      ลำดับนั้น ท่านพระมหากัสสปเตือนภิกษุทั้งหลายว่า อย่าเลยอาวุโส
 พวกท่านอย่าเศร้าโศก อย่าร่ำไรไปเลย พระผู้มีพระภาคได้ตรัสสอนไว้อย่างนี้
 ก่อนแล้วไม่ใช่หรือว่า ความเป็นต่างๆ ความพลัดพราก ความเป็นอย่างอื่น
 จากของรักของชอบใจทั้งสิ้น ต้องมี เพราะฉะนั้น จะพึงได้ในของรักของชอบใจนี้
 แต่ที่ไหน สิ่งใดเกิดแล้ว มีแล้ว ปัจจัยปรุงแต่งแล้ว มีความทำลายเป็นธรรมดา
 การปรารถนาว่า ขอสิ่งนั้นอย่าทำลายไปเลย ดังนี้ มิใช่ฐานะที่จะมีได้ ฯ
พระพุทธเจ้าพึ่งปรินิพพานไม่ทันไร พระสุภัททะผู้บวชเมื่อแก่ก็กล่าวเช่นนี้แล้ว พระมหากัสสปจึงไม่อาจนอนใจ จำต้องเร่งสังคายนาพระธรรมวินัยขึ้นมา สืบทอดมาจนถึงพวกเราในปัจจุบัน  :bow:  :bow:  :bow:  :pray:
ภาพประจำตัวสมาชิก
Ryuga
Verified User
โพสต์: 1771
ผู้ติดตาม: 0

ทำไมเราควรเชื่อพุทธศาสนา

โพสต์ที่ 124

โพสต์

ในครั้งแรกผมแสดงความเห็นไว้ยาวก็อาจจะเป็นเหตุให้จับประเด็นผิดพลาดไป

ในครั้งที่สองจึงได้แสดงเจตนาให้ชัดเจน ว่าพี่สายลับไม่ได้เป็นเหตุให้ผมวิตกทุกข์ร้อน แต่เหตุแท้จริงนั้นคือเกรงว่าจะเป็นการปรามาสในพระรัตนตรัย ที่ว่าสยดสยองก็เพราะสัมปยุตด้วยว่ามาจากการกล่าวของพี่สายลับ ยกตัวอย่างว่าหากเป็นบุคคนอกพุทธศาสนากล่าวแล้วไซร้ผมก็คงไม่ถึงแก่ความสยดสยองอะไร ที่จริงในกถาก่อนหน้านั้นผมก็ไม่ได้สำรวมระวังเช่นกัน คงนำความข้อนั้นไปล้อพี่หวีเล่นอีกด้วย

ฟังพี่สายลับกล่าวครั้งหลังนี้แล้ว จึงต้องยืนยันมาอีกแม้ครั้งที่สามว่า การปรามาสพระรัตนตรัยนั้น สำหรับปุถุชนผู้มีกิเลสย่อมมีอันจะพลั้งเผลอลบหลู่ติเตียนได้เป็นปรกติอยู่ อย่างในบททำวัตรเย็นนั้น เราก็จะขอขมาพระรัตนตรัยว่าแม้เราล่วงละเมิดแล้วด้วยกายวาจาใจก็ดี ก็ขอพระรัตนตรัยอดโทษข้าพเจ้าเพื่อข้าพเจ้าจะได้สำรวมระวังในกาลต่อไป ซึ่งหลังจากนั้นด้วยความเป็นปุถุชนก็อาจจะพลั้งเผลอไปละเมิดเอาอีกก็จะได้มาขอขมาอีกเป็นดังนี้ซ้ำไปเรื่อยๆ ฉะนั้น

ไม่ได้มีเจตนาจะกล่าวหาว่าพี่สายลับเป็นมารศาสนาแต่ประการใดเพราะอย่างที่กล่าวแล้วว่าเป็นเรื่องไม่พ้นวิสัยปุถุชน แม้คำว่ามารศาสนานั้นแท้จริงก็ไม่ควรนำมากล่าวล้อเล่น

จริงอยู่ว่าการยึดมั่นถือมั่นอยู่แต่กับตัวหนังสือย่อมเป็นความงมงาย มิใช่วิสัยของผู้มีปัญญา แต่นั่นก็มิใช่เหตุอันจะนำไปกล่าวว่าพระธรรมวินัยนั้นเป็นแต่เพียงความคิดความเห็นของบุคคล หรือเป็นแต่เพียงความคิดความเห็นของคณะบุคคลไม่

อย่างที่ว่าผ่านมาแล้วก็ผ่านไป พี่สายลับเองก็ไม่ได้ติดใจอะไร โดยส่วนตัวก็ไม่ได้คิดว่าตนเองคิดร้ายกับพระรัตนตรัย ผมเองหลังจากอธิบายแล้วก็ไม่ได้ติดใจอะไร ฉะนั้นเราท่านทั้งหลายก็ไม่พึงจะติดใจอันใดอีก แล้วจะได้สำรวมระวังในกาลต่อไป :pray:
ภาพประจำตัวสมาชิก
Ryuga
Verified User
โพสต์: 1771
ผู้ติดตาม: 0

ทำไมเราควรเชื่อพุทธศาสนา

โพสต์ที่ 125

โพสต์

บทที่ยกมาเกี่ยวกับภาษาแลความหมายนั้นก็เพราะบางครั้งเราใช้ถ้อยคำอย่างเดียวกันแต่ความหมายต่างกัน บางครั้งเราใช้ถ้อยคำต่างกันแต่ความหมายเหมือนกัน ผมอาจจะเข้าใจพี่สายลับผิดไปเองแต่ต้นก็ได้ แต่นั่นก็เพราะข้อจำกัดแห่งภาษาแลถ้อยคำนั้น ด้วยความที่ผมเข้าใจผิดเองสำหรับผู้อื่นก็อาจจะเข้าใจผิดไปเองเมื่อได้อ่านอีกเช่นกัน ซึ่งก็อาจนำไปสู่ความคิดผิดเห็นผิดต่างๆ ตามมา

ดังที่พี่หวีได้ยกข้อขึ้นมาแก้พี่สายลับแต่ต้นแล้วนั้น พี่สายลับก็เห็นด้วยไม่ได้ติดใจอะไร แต่ผมอ่านแล้วเกิดไม่สบายใจจึงขอกล่าวเสียหน่อยเท่านั้น กล่าวแล้วก็จบไปแล้ว ไม่มีอะไรมากนัก ไม่จำเป็นต้องกังวล  :mrgreen:
ภาพประจำตัวสมาชิก
Ryuga
Verified User
โพสต์: 1771
ผู้ติดตาม: 0

ทำไมเราควรเชื่อพุทธศาสนา

โพสต์ที่ 126

โพสต์

ที่จริงกถาเช่นนี้ผมก็ไม่อยากยุ่ง เพราะถ้ามายุ่งด้วยแล้วก็ต้องอธิบายยาว แต่ไหนๆ ก็ว่าไปแล้ว ก็ขอได้ กาเลน ธมฺมสากจฺฉา ต่อ :lol:

เราได้ยินได้ฟังคนสี่จำพวกเปรียบด้วยบัวสี่เหล่ามานานอันพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเปรียบไว้แต่ครั้งพระองค์ตรวจดูสัตว์โลกด้วยพุทธจักษุภายหลังจากตรัสรู้ไม่นาน ผมขอยกความตามพระอภิธรรมว่าด้วยบุคคลหลายๆ อย่างมาให้ฟังบ้าง  :pray:

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

     [๑๗] บุคคลผู้พ้นแล้วในสมัย เป็นไฉน
     บุคคลบางคนในโลกนี้ ถูกต้องวิโมกข์ ๘ ด้วยกาย ในกาลโดยกาล
ในสมัยโดยสมัย แล้วสำเร็จอิริยาบถอยู่ อนึ่ง อาสวะบางอย่างของบุคคลนั้น
หมดสิ้นแล้วเพราะเห็นด้วยปัญญา บุคคลนี้เรียกว่า ผู้พ้นแล้วในสมัย

     [๑๘] บุคคลผู้มิใช่พ้นแล้วในสมัย เป็นไฉน
     บุคคลบางคนในโลกนี้ มิได้ถูกต้องวิโมกข์ ๘ ด้วยกาย ในกาลโดยกาล
ในสมัยโดยสมัย สำเร็จอิริยาบถอยู่ อนึ่ง อาสวะทั้งหลายของบุคคลนั้น หมด
สิ้นแล้วเพราะเห็นด้วยปัญญา บุคคลนี้เรียกว่าผู้มิใช่พ้นแล้วในสมัย พระอริย
บุคคลแม้ทั้งปวง ชื่อว่าผู้มิใช่พ้นแล้วในสมัย ในวิโมกข์ ส่วนที่เป็นอริยะ

     [๑๙] บุคคลผู้มีธรรมอันกำเริบ เป็นไฉน
     บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ได้สมาบัติอันสหรคตด้วยรูปฌาน หรือ
สหรคตด้วยอรูปฌาน แต่บุคคลนั้น มิใช่เป็นผู้ได้ตามปรารถนา มิใช่เป็นผู้ได้
โดยไม่ยาก มิใช่เป็นผู้ได้โดยไม่ลำบาก ไม่สามารถจะเข้าหรือออกสมาบัติใด
ในที่ใด นานเท่าใด ตามปรารถนา ข้อนี้ก็เป็นฐานะอยู่แล ที่สมาบัติเหล่านั้น
จะพึงกำเริบได้ เพราะอาศัยความประมาทของบุคคลนั้น บุคคลนี้เรียกว่า ผู้มี
ธรรมอันกำเริบ

     [๒๐] บุคคลผู้มีธรรมอันไม่กำเริบ เป็นไฉน
     บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ได้สมาบัติอันสหรคตด้วยรูปฌาน หรือ
สหรคตด้วยอรูปฌาน แต่บุคคลนั้น เป็นผู้ได้ตามต้องการ เป็นผู้ได้โดยไม่ยาก
เป็นผู้ได้โดยไม่ลำบาก สามารถจะเข้าหรือออกสมาบัติใดในที่ใด นานเท่าใด
ได้ตามปรารถนา ข้อนี้ไม่เป็นฐานะไม่เป็นโอกาสที่สมาบัติเหล่านั้นจะพึงกำเริบ
เพราะอาศัยความประมาทของบุคคลนั้น บุคคลนี้เรียกว่า ผู้มีธรรมอันไม่กำเริบ
พระอริยบุคคลแม้ทั้งหมดชื่อว่าผู้มีธรรมอันไม่กำเริบ ในวิโมกข์ส่วนที่เป็นอริยะ

     [๒๑] บุคคลผู้มีธรรมอันเสื่อม เป็นไฉน
     บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ได้สมาบัติอันสหรคตด้วยรูปฌาน หรือ
สหรคตด้วยอรูปฌาน แต่บุคคลนั้น มิใช่เป็นผู้ได้ตามต้องการ มิใช่เป็นผู้ได้โดย
ไม่ยาก มิใช่เป็นผู้ได้โดยไม่ลำบาก ไม่สามารถจะเข้าหรือออกสมาบัติใด ในที่
ใด นานเท่าใดตามปรารถนา ข้อนี้ก็เป็นฐานะอยู่แล ที่บุคคลนั้น จะพึงเสื่อม
จากสมาบัติเหล่านั้นได้ เพราะอาศัยความประมาท บุคคลนี้เรียกว่า ผู้มีธรรม
อันเสื่อม

     [๒๒] บุคคลผู้มีธรรมอันไม่เสื่อม เป็นไฉน
     บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ได้สมาบัติอันสหรคตด้วยรูปฌาน หรือ
สหรคตด้วยอรูปฌาน แต่บุคคลนั้นเป็นผู้ได้ตามต้องการ เป็นผู้ได้โดยไม่ยาก
เป็นผู้ได้โดยไม่ลำบาก สามารถจะเข้าหรือออกสมาบัติใด ในที่ใด นานเท่าใด
ตามปรารถนา ข้อนี้ไม่เป็นฐานะไม่เป็นโอกาสที่บุคคลนั้นจะพึงเสื่อมจากสมาบัติ
เหล่านั้น เพราะอาศัยความประมาท บุคคลนี้เรียกว่า ผู้มีธรรมอันไม่เสื่อม
พระอริยบุคคลแม้ทั้งปวงเป็นผู้มีธรรมอันไม่เสื่อมในวิโมกข์ส่วนที่เป็นอริยะ

     [๒๓] บุคคลผู้ควรโดยเจตนา เป็นไฉน
     บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ได้สมาบัติอันสรหคตด้วยรูปฌาน หรือ
สหรคตด้วยอรูปฌาน แต่บุคคลนั้นมิใช่เป็นผู้ได้ตามต้องการ มิใช่ได้โดยไม่ยาก
มิใช่เป็นผู้ได้โดยไม่ลำบาก ไม่สามารถจะเข้าหรือออกสมาบัติใด ในที่ใด นาน
เท่าใดได้ตามปรารถนา หากว่าคอยใส่ใจอยู่ ย่อมไม่เสื่อมจากสมาบัติเหล่านั้น
หากไม่เอาใจใส่ก็เสื่อมจากสมาบัติเหล่านั้น บุคคลนี้เรียกว่า ผู้ควรโดยเจตนา

     [๒๔] บุคคลผู้ควรโดยการตามรักษา เป็นไฉน
     บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ได้สมาบัติอันสรหคตด้วยรูปฌาน หรือ
สรหคตด้วยอรูปฌาน และบุคคลนั้นแลมิใช่เป็นผู้ได้ตามต้องการ มิใช่เป็นผู้ได้
โดยไม่ยาก มิใช่เป็นผู้ได้โดยไม่ลำบาก ไม่สามารถจะเข้าหรือออกสมาบัติใด
ในที่ใด นานเท่าใดได้ตามปรารถนา หากว่าคอยรักษาอยู่ ย่อมไม่เสื่อมจาก
สมาบัติเหล่านั้น หากว่าไม่คอยรักษาก็เสื่อมจากสมาบัติเหล่านั้น บุคคลนี้เรียกว่า
ผู้ควรโดยการตามรักษา

     [๒๕] บุคคลที่เป็นปุถุชน เป็นไฉน
     สัญโญชน์ ๓ อันบุคคลใดละไม่ได้ ทั้งไม่ปฏิบัติเพื่อละธรรมเหล่านั้น
บุคคลนี้เรียกว่า ปุถุชน

     [๒๖] โคตรภูบุคคล เป็นไฉน
     ความย่างลงสู่อริยธรรมในลำดับแห่งธรรมเหล่าใด บุคคลผู้ประกอบ
ด้วยธรรมเหล่านั้น นี้เรียกว่า โคตรภูบุคคล

     [๒๗] บุคคลผู้งดเว้นเพราะกลัว เป็นไฉน
     พระเสขะ ๗ จำพวก และบุคคลปุถุชนผู้มีศีล ชื่อว่าผู้งดเว้นเพราะ
กลัว พระอรหันต์ชื่อว่ามิใช่ผู้งดเว้นเพราะกลัว

     [๒๘] บุคคลผู้ไม่ควรแก่การบรรลุมรรคผล เป็นไฉน
     บุคคลที่ประกอบด้วยกัมมาวรณ์ ประกอบด้วยกิเลสาวรณ์ ประกอบ
ด้วยวิปากาวรณ์ ไม่มีศรัทธา ไม่มีฉันทะ มีปัญญาทราม โง่เขลา เป็นผู้ไม่
ควรหยั่งลงสู่นิยามอันถูกในกุศลธรรมทั้งหลาย บุคคลเหล่านี้เรียกว่า ผู้ไม่ควร
แก่การบรรลุมรรคผล

     [๒๙] บุคคลผู้ควรแก่การบรรลุมรรคผล เป็นไฉน
     บุคคลที่ไม่ประกอบด้วยกัมมาวรณ์ ไม่ประกอบด้วยกิเลสาวรณ์ ไม่
ประกอบด้วยวิปากาวรณ์ มีศรัทธา มีฉันทะ มีปัญญา ไม่โง่เขลา เป็นผู้ควร
เพื่อหยั่งลงสู่นิยามอันถูกในกุศลธรรมทั้งหลาย บุคคลเหล่านี้เรียกว่า ผู้ควรแก่
การบรรลุมรรคผล

     [๓๐] บุคคลผู้เที่ยงแล้ว เป็นไฉน
     บุคคลผู้ทำอนันตริยกรรม ๕ จำพวก บุคคลผู้เป็นนิยตมิจฉาทิฏฐิ และ
พระอริยบุคคล ๘ ชื่อว่า ผู้เที่ยงแล้ว บุคคลนอกนั้นชื่อว่า ผู้ไม่เที่ยง

     [๓๑] บุคคลผู้ปฏิบัติ เป็นไฉน
     บุคคลผู้พร้อมเพรียงด้วยมรรค ๔ ชื่อว่าผู้ปฏิบัติ บุคคลผู้พร้อมเพรียง
ด้วยผล ๔ ชื่อว่าผู้ตั้งอยู่แล้วในผล

     [๓๒] บุคคลชื่อว่าสมสีสี เป็นไฉน
     การสิ้นไปแห่งอาสวะ และการสิ้นไปแห่งชีวิตของบุคคลใด มีไม่ก่อน
ไม่หลังกัน บุคคลนี้เรียกว่า สมสีสี

     [๓๓] บุคคลชื่อว่าฐิตกัปปี เป็นไฉน
     บุคคลนี้พึงเป็นผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล และเวลาที่กัลป์
ไหม้จะพึงมี กัลป์ก็ไม่พึงไหม้ตราบเท่าที่บุคคลนี้ยังไม่ทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล
บุคคลนี้เรียกว่า ฐิตกัปปี บุคคลผู้พร้อมเพรียงด้วยมรรคแม้ทั้งหมด ชื่อว่า
เป็นผู้มีกัลป์ตั้งอยู่แล้ว

     [๓๔] บุคคลเป็นอริยะ เป็นไฉน
     พระอริยบุคคล ๘ เป็นอริยะ บุคคลนอกนั้น ไม่ใช่อริยะ

     [๓๕] บุคคลเป็นเสขะ เป็นไฉน
     บุคคลผู้พร้อมเพรียงด้วยมรรค ๔ พร้อมเพรียงด้วยมรรค ๓ เป็นเสขะ
พระอรหันต์เป็นอเสขะ บุคคลนอกนั้น เป็นเสขะก็มิใช่ เป็นอเสขะก็มิใช่
ภาพประจำตัวสมาชิก
Ryuga
Verified User
โพสต์: 1771
ผู้ติดตาม: 0

ทำไมเราควรเชื่อพุทธศาสนา

โพสต์ที่ 127

โพสต์

[๓๘] บุคคลเป็นพระสัมมาสัมพุทธะ เป็นไฉน
     บุคคลบางคนในโลกนี้ ตรัสรู้ด้วยปัญญาอันยิ่ง ซึ่งสัจจะด้วยตนเองใน
ธรรมทั้งหลาย ที่ตนมิได้เคยสดับมาแล้วในก่อน บรรลุความเป็นพระสัพพัญญู
ในธรรมนั้น และบรรลุความเป็นผู้มีความชำนาญในธรรมเป็นกำลังทั้งหลาย
บุคคลนี้เรียกว่า พระสัมมาสัมพุทธะ

     [๓๙] บุคคลเป็นพระปัจเจกพุทธะ เป็นไฉน
     บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมตรัสรู้ซึ่งสัจจะทั้งหลายด้วยตนเอง ใน
ธรรมทั้งหลายที่ตนไม่ได้สดับมาแล้วในก่อน แต่มิได้บรรลุความเป็นพระสัพพัญญู
ในธรรมนั้น ทั้งไม่ถึงความเป็นผู้ชำนาญในธรรมอันเป็นกำลังทั้งหลาย บุคคล
นี้เรียกว่า พระปัจเจกพุทธะ

     [๔๐] บุคคลชื่อว่า อุภโตภาควิมุต เป็นไฉน
     บุคคลบางคนในโลกนี้ ถูกต้องซึ่งวิโมกข์ ๘ ด้วยกาย แล้วสำเร็จ
อิริยาบถอยู่ ทั้งอาสวะของผู้นั้นก็สิ้นไปแล้ว เพราะเห็นด้วยปัญญา บุคคลนี้เรียก
ว่า อุภโตภาควิมุต

     [๔๑] บุคคลชื่อว่าปัญญาวิมุต เป็นไฉน
     บุคคลบางคนในโลกนี้ มิได้ถูกต้องซึ่งวิโมกข์ ๘ ด้วยกาย สำเร็จ
อิริยาบถอยู่ แต่อาสวะของผู้นั้นสิ้นไปแล้ว เพราะเห็นด้วยปัญญา บุคคลนี้
เรียกว่า ปัญญาวิมุต

     [๔๒] บุคคลชื่อว่ากายสักขี เป็นไฉน
     บุคคลบางคนในโลกนี้ ถูกต้องซึ่งวิโมกข์ ๘ ด้วยกาย แล้วสำเร็จ
อิริยาบถอยู่ ทั้งอาสวะบางอย่างของผู้นั้นก็สิ้นไปแล้ว เพราะเห็นด้วยปัญญา
บุคคลนี้เรียกว่า กายสักขี

     [๔๓] บุคคลชื่อว่าทิฏฐิปัตตะ เป็นไฉน
     บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ ย่อม
รู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้เหตุให้เกิดทุกข์ ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า
นี้ความดับทุกข์ ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์
อนึ่ง ธรรมทั้งหลายที่พระตถาคตประกาศแล้ว ผู้นั้นเห็นชัดแล้ว ดำเนินไปดี
แล้วด้วยปัญญา อนึ่งอาสวะบางอย่างของผู้นั้นก็สิ้นไปแล้ว เพราะเห็นด้วยปัญญา
บุคคลนี้เรียกว่า ทิฏฐิปัตตะ

     [๔๔] บุคคลชื่อว่าสัทธาวิมุต เป็นไฉน
     บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ ย่อม
รู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้เหตุให้เกิดทุกข์ ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า
นี้ความดับทุกข์ ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์
อนึ่งธรรมทั้งหลายที่พระตถาคตประกาศแล้ว ผู้นั้นเห็นชัดแล้ว ดำเนินไปดีแล้ว
ด้วยปัญญา อนึ่ง อาสวะบางอย่างของผู้นั้นก็สิ้นไปแล้ว เพราะเห็นด้วยปัญญา
แต่มิใช่เหมือนบุคคลผู้เป็นทิฏฐิปัตตะ บุคคลนี้เรียกว่าสัทธาวิมุต

     [๔๕] บุคคลชื่อว่าธัมมานุสารี เป็นไฉน
     ปัญญินทรีย์ของบุคคลใด ผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผลมี
ประมาณยิ่ง บุคคลนั้นย่อมอบรมซึ่งอริยมรรคอันมีปัญญาเป็นเครื่องนำมา มีปัญญา
เป็นประธานให้เกิดขึ้น บุคคลนี้เรียกว่า ธัมมานุสารี บุคคลผู้ปฏิบัติแล้ว เพื่อ
ทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล ชื่อว่าธัมมานุสารี บุคคลผู้ตั้งอยู่แล้วในผล ชื่อว่า
ทิฏฐิปัตตะ

     [๔๖] บุคคลชื่อว่าสัทธานุสารี เป็นไฉน
     สัทธินทรีย์ของบุคคลใดผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล มี
ประมาณยิ่ง อบรมอริยมรรคมีสัทธาเป็นเครื่องนำมา มีสัทธาเป็นประธานให้
เกิดขึ้น บุคคลนี้เรียกว่า สัทธานุสารีบุคคล ผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล
ชื่อว่าสัทธานุสารี ผู้ตั้งอยู่แล้วในผล ชื่อว่าสัทธาวิมุต

     [๔๗] บุคคลชื่อว่าสัตตักขัตตุปรมะ เป็นไฉน
     บุคคลบางคนในโลกนี้ เพราะความสิ้นไปรอบแห่งสัญโญชน์ทั้ง ๓ เป็น
โสดาบัน มีอันไม่ไปเกิดในอบายเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยง จะได้ตรัสรู้ในเบื้อง
หน้า บุคคลนั้นจะแล่นไปท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์ ๗ ชาติ แล้วทำที่
สุดทุกข์ได้ บุคคลนี้เรียกว่า สัตตักขัตตุปรมะ

     [๔๘] บุคคลชื่อว่าโกลังโกละ เป็นไฉน
     บุคคลบางคนในโลกนี้ เพราะความสิ้นไปรอบแห่งสัญโญชน์ทั้ง ๓ เป็น
โสดาบัน มีอันไม่ไปเกิดในอบายเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยงจะได้ตรัสรู้ในเบื้อง
หน้า บุคคลนั้นจะแล่นไปท่องเที่ยวไปสู่ตระกูลสองหรือสาม แล้วทำที่สุดทุกข์
ได้ บุคคลนี้เรียกว่า โกลังโกละ

     [๔๙] บุคคลชื่อว่าเอกพิชี เป็นไฉน
     บุคคลบางคนในโลกนี้ เพราะความสิ้นไปรอบแห่งสัญโญชน์ทั้ง ๓ มี
อันไม่ไปเกิดในอบายเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยง จะได้ตรัสรู้ในเบื้องหน้า บุคคล
นั้นเกิดในภพมนุษย์อีกครั้งเดียว แล้วทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ บุคคลนี้เรียกว่า
เอกพิชี

     [๕๐] บุคคลชื่อว่าสกทาคามี เป็นไฉน
     บุคคลบางคนในโลกนี้ เพราะความสิ้นไปรอบแห่งสัญโญชน์ทั้ง ๓
เพราะทำราคะ โทสะ โมหะ ให้เบาบางลง เป็นสกทาคามี ยังจะมาสู่โลกนี้
คราวเดียวเท่านั้น แล้วทำที่สุดทุกข์ได้ บุคคลนี้เรียกว่าสกทาคามี

     [๕๑] บุคคลชื่อว่าอนาคามี เป็นไฉน
     บุคคลบางคนในโลกนี้ เพราะความสิ้นไปรอบแห่งโอรัมภาคิยสัญโญชน์
ทั้ง ๕ มีกำเนิดเป็นอุปปาติกะ ปรินิพพานในเทวโลกชั้นสุทธาวาสนั้น มีอัน
ไม่กลับมาจากโลกนั้นเป็นธรรมดา บุคคลนี้เรียกว่า อนาคามี

     [๕๒] บุคคลชื่อว่าอันตราปรินิพพายี เป็นไฉน
     บุคคลบางคนในโลกนี้ เพราะความสิ้นไปรอบแห่งโอรัมภาคิยสัญ
โญชน์ทั้ง ๕ มีกำเนิดเป็นอุปปาติกะ ปรินิพพานในเทวโลกชั้นสุทธาวาสนั้น มี
อันไม่กลับมาจากโลกนั้นเป็นธรรมดา บุคคลนั้น ย่อมยังอริยมรรคให้เกิดขึ้น
เพื่อละสัญโญชน์อันมีในเบื้องบน ในระยะเวลาติดต่อกับที่เกิดบ้าง ยังไม่ถึง
ท่ามกลางกำหนดอายุบ้าง บุคคลนี้เรียกว่า อันตราปรินิพพายี

     [๕๓] บุคคลชื่อว่าอุปหัจจปริพพายี เป็นไฉน
    บุคคลบางคนในโลกนี้ เพราะความสิ้นไปรอบแห่งโอรัมภาคิยสัญ
โญชน์ทั้ง ๕ มีกำเนิดเป็นอุปปาติกะ ปรินิพพานในเทวโลกชั้นสุทธาวาสนั้น
มีอันไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา บุคคลนั้น ย่อมยังอริยมรรคให้เกิดขึ้น เพื่อ
ละสัญโญชน์อันมีในเบื้องบน เมื่อล่วงพ้นท่ามกลางกำหนดอายุบ้าง เมื่อใกล้จะ
ทำกาลกิริยาบ้าง บุคคลนี้เรียกว่า อุปหัจจปรินิพพายี

     [๕๔] บุคคลชื่อว่าอสังขารปรินิพพายี เป็นไฉน
     บุคคลบางคนในโลกนี้ เพราะความสิ้นไปรอบแห่งโอรัมภาคิยสัญโญชน์
ทั้ง ๕ มีกำเนิดเป็นอุปปาติกะ ปรินิพพานในเทวโลกชั้นสุทธาวาสนั้น มีอันไม่
กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา บุคคลนั้นย่อมยังอริยมรรคให้เกิดขึ้นโดยไม่ลำบาก
เพื่อละสัญโญชน์อันมีในเบื้องบน บุคคลนี้เรียกว่า อสังขารปรินิพพายี

     [๕๕] บุคคลชื่อว่าสสังขารปรินิพพายี เป็นไฉน
     บุคคลบางคนในโลกนี้ เพราะความสิ้นไปรอบ แห่งโอรัมภาคิยสัญ
โญชน์ทั้ง ๕ มีกำเนิดเป็นอุปปาติกะ ปรินิพพานในเทวโลกชั้นสุทธาวาสนั้น
มีอันไม่กลับมาจากโลกนั้นเป็นธรรมดา บุคคลนั้น ย่อมยังอริยมรรคให้เกิดขึ้น
โดยลำบาก เพื่อละสัญโญชน์อันมีในเบื้องบน บุคคลนี้เรียกว่า สสังขารปรินิพพายี

     [๕๖] บุคคลชื่อว่าอุทธังโสโตอกนิฏฐคามี เป็นไฉน
     บุคคลบางคนในโลกนี้ เพราะความสิ้นไปรอบแห่งโอรัมภาคิยสัญโญชน์
ทั้ง ๕ มีกำเนิดเป็นอุปปาติกะ ปรินิพพานในเทวโลกชั้นสุทธาวาสนั้น มีอันไม่
กลับมาจากโลกนั้นเป็นธรรมดา บุคคลนั้น จุติจากอวิหาไปอตัปปา จุติจากอตัปปา
ไปสุทัสสา จุติจากสุทัสสาไปสุทัสสี จุติจากสุทัสสีไปอกนิฏฐา ย่อมยังอริยมรรค
ให้เกิดขึ้นในอกนิฏฐา เพื่อละสัญโญชน์เบื้องบน บุคคลนี้เรียกว่า อุทธังโสโตอก
นิฏฐคามี
ภาพประจำตัวสมาชิก
Ryuga
Verified User
โพสต์: 1771
ผู้ติดตาม: 0

ทำไมเราควรเชื่อพุทธศาสนา

โพสต์ที่ 128

โพสต์

[๕๘] บุคคลผู้มักโกรธ เป็นไฉน
     ความโกรธ ในข้อนั้นเป็นไฉน ความโกรธ กิริยาที่โกรธ ภาวะที่
โกรธ โทสะ ความประทุษร้าย ภาวะที่ประทุษร้าย ความพยาบาท กิริยาที่
พยาบาท ภาวะที่พยาบาท ความพิโรธ ความพิโรธตอบ ความดุร้าย ความ
เกรี้ยวกราด ภาวะที่จิตไม่ยินดีอันใด นี้เรียกว่าความโกรธ ความโกรธนี้
อันบุคคลใดละไม่ได้ บุคคลนั้นเรียกว่า ผู้มักโกรธ

     บุคคลผู้ผูกโกรธ เป็นไฉน
     ความผูกโกรธ ในข้อนั้นเป็นไฉน ความโกรธมีในเบื้องต้น ความ
ผูกโกรธมีในภายหลัง ความผูกโกรธ กิริยาที่ผูกโกรธ ภาวะที่ผูกโกรธ การ
ไม่หยุดโกรธ การตั้งความโกรธไว้ การดำรงความโกรธไว้ การไหลไปตาม
ความโกรธ การตามผูกพันธ์ความโกรธไว้ การทำความโกรธให้มั่นเข้าไว้อันใด
เห็นปานนี้ นี้เรียกว่าความผูกโกรธ ความผูกโกรธนี้ อันบุคคลใดละไม่ได้
บุคคลนั้นเรียกว่า ผู้ผูกโกรธ

     [๕๙] บุคคลผู้มักลบหลู่บุญคุณของผู้อื่น เป็นไฉน
     ความลบหลู่ ในข้อนั้นเป็นไฉน ความลบหลู่ กิริยาที่ลบหลู่ ภาวะ
ที่ลบหลู่ ความไม่เห็นคุณของผู้อื่น การกระทำที่ไม่เห็นคุณของผู้อื่น นี้เรียกว่า
ความลบหลู่ ความลบหลู่นี้ อันบุคคลใดละไม่ได้แล้ว บุคคลนี้เรียกว่าผู้มัก
ลบหลู่บุญคุณของผู้อื่น

     บุคคลผู้ตีเสมอ เป็นไฉน
     การตีเสมอ ในข้อนั้นเป็นไฉน การตีเสมอ กิริยาที่ตีเสมอ ภาวะที่
ตีเสมอ ธรรมที่เป็นอาหารแห่งการตีเสมอ ฐานะแห่งวิวาท การถือเป็นคู่ว่า
เท่าเทียมกัน การไม่สละคืนอันใด นี้เรียกว่าการตีเสมอ การตีเสมอนี้
อันบุคคลใดละไม่ได้แล้ว บุคคลนี้เรียกว่าผู้ตีเสมอ

     [๖๐] บุคคลผู้มีความริษยา เป็นไฉน
     ความริษยา ในข้อนั้นเป็นไฉน ความริษยา กิริยาที่ริษยา ภาวะที่
ริษยา ความไม่ยินดีด้วย กิริยาที่ไม่ยินดีด้วย ภาวะที่ไม่ยินดีด้วยในลาภ
สักการะ การเคารพ ความนับถือ การไหว้ การบูชาของผู้อื่น อันใด นี้เรียกว่า
ความริษยา ก็ความริษยานี้ อันบุคคลใดละไม่ได้แล้ว บุคคลนี้เรียกว่า ผู้มี
ความริษยา

     บุคคลผู้มีความตระหนี่ เป็นไฉน
     ความตระหนี่ ในข้อนั้นเป็นไฉน ความตระหนี่มี ๕ อย่าง คือ
ตระหนี่ที่อยู่ ตระหนี่ตระกูล ตระหนี่ลาภ ตระหนี่วรรณะ ตระหนี่ธรรม
ความตระหนี่ กิริยาที่ตระหนี่ ภาวะที่ตระหนี่ ความอยากไปต่างๆ ความเหนียวแน่น
ความตระหนี่ถี่เหนียว ความที่จิตไม่เผื่อแผ่ อันใดเห็นปานนี้ นี้เรียกว่า
ความตระหนี่ ความตระหนี่นี้ อันบุคคลใดละไม่ได้แล้ว บุคคลนี้เรียกว่า ผู้มี
ความตระหนี่

     [๖๑] บุคคลผู้โอ้อวด เป็นไฉน
     ความโอ้อวด ในข้อนั้นเป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้อวด
ความโอ้อวด ภาวะที่โอ้อวด กิริยาที่โอ้อวด ภาวะที่แข็งกระด้าง กิริยาที่แข็ง
กระด้าง ความพูดยกตน กิริยาที่พูดยกตน อันใด ในข้อนั้น นี้เรียกว่า
ความโอ้อวด ความโอ้อวดนี้ อันบุคคลใดละไม่ได้แล้ว บุคคลนี้เรียกว่า ผู้โอ้อวด

     บุคคลผู้มีมารยา เป็นไฉน
     มารยา ในข้อนั้นเป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้ ประพฤติทุจริตด้วย
กาย ประพฤติทุจริตด้วยวาจา ประพฤติทุจริตด้วยใจแล้ว เพราะเหตุจะปกปิด
ทุจริตนั้น จึงตั้งความปรารถนาอันลามก ปรารถนาว่าใครๆ อย่ารู้เรา ดำริว่า
ใครๆ อย่ารู้เรา พูดว่าใครๆ อย่ารู้เรา พยายามด้วยกายว่าใครๆ อย่ารู้เรา
มายา ภาวะที่มายา ความวางท่า ความหลอกลวง ความตลบแตลง ความมี
เลห์เหลี่ยม ความทำให้ลุ่มหลง ความซ่อน ความอำพราง ความผิด
ความปกปิด การไม่ทำให้เข้าใจง่าย การไม่ทำให้จะแจ้ง การปิดบังกิริยาลามก
เห็นปานนี้ อันใด นี้เรียกว่า มายา มายานี้ อันบุคคลใดละไม่ได้แล้ว บุคคลนี้
เรียกว่า มีมายา
ภาพประจำตัวสมาชิก
Ryuga
Verified User
โพสต์: 1771
ผู้ติดตาม: 0

ทำไมเราควรเชื่อพุทธศาสนา

โพสต์ที่ 129

โพสต์

[๖๘] บุคคลผู้ไม่โกรธ เป็นไฉน
     ความโกรธ ในข้อนั้นเป็นไฉน ความโกรธ กิริยาที่โกรธ ภาวะที่
โกรธ โทสะ กิริยาที่ประทุษร้าย ภาวะที่ประทุษร้าย พยาบาท กิริยาที่
พยาบาท ภาวะที่พยาบาท ความพิโรธ ความพิโรธตอบ ความดุร้าย
ความเกรี้ยวกราด ความที่มีจิตไม่ยินดี นี้เรียกว่าความโกรธ ความโกรธนี้
อันบุคคลใดละได้แล้ว บุคคลนี้เรียกว่าผู้ไม่โกรธ

     บุคคลผู้ไม่ผูกโกรธ เป็นไฉน
     ความผูกโกรธ ในข้อนั้นเป็นไฉน ความโกรธมีในกาลเบื้องต้น ความ
ผูกโกรธมีในกาลภายหลัง ความผูกโกรธ กิริยาที่ผูกโกรธ ภาวะที่
ผูกโกรธ การไม่หยุดโกรธ การตั้งความโกรธไว้ การดำรงความโกรธไว้
การไหลไปตามความโกรธ การตามผูกพันธ์ความโกรธ การทำความโกรธให้มั่น
เข้าอันใด เห็นปานนี้ นี้เรียกว่า ความผูกโกรธ ความผูกโกรธนี้ อันบุคคลใดละ
ได้แล้ว บุคคลนี้เรียกว่า ผู้ไม่ผูกโกรธ

     [๖๙] บุคคลผู้ไม่ลบหลู่บุญคุณผู้อื่น เป็นไฉน
     ความลบหลู่บุญคุณผู้อื่น ในข้อนั้นเป็นไฉน ความลบหลู่ กิริยาที่
ลบหลู่ ภาวะที่ลบหลู่ ความไม่เห็นคุณของผู้อื่น การกระทำความไม่เห็นคุณ
ของผู้อื่น นี้เรียกว่า ความลบหลู่บุญคุณผู้อื่น ความลบหลู่บุญคุณผู้อื่นนี้
อันบุคคลใดละได้แล้ว บุคคลนี้เรียกว่า ผู้ไม่ลบหลู่บุญคุณผู้อื่น

     บุคคลผู้ไม่ตีเสมอผู้อื่น เป็นไฉน
     ความตีเสมอผู้อื่น ในข้อนี้เป็นไฉน การตีเสมอ กิริยาที่ตีเสมอ
ภาวะที่ตีเสมอ ธรรมที่เป็นอาหารแห่งการตีเสมอ ฐานะแห่งวิวาท การถือเป็น
คู่ว่าเท่าเทียมกัน การไม่สละคืน นี้เรียกว่า การตีเสมอ การตีเสมอนี้
อันบุคคลใดละได้แล้ว บุคคลนี้เรียกว่า ผู้ไม่ตีเสมอผู้อื่น

     [๗๐] บุคคลผู้ไม่มีความริษยา เป็นไฉน
     ความริษยา ในข้อนั้นเป็นไฉน ความริษยา กิริยาที่ริษยา ภาวะที่
ริษยา ความไม่ยินดีด้วย กิริยาที่ไม่ยินดีด้วย ภาวะที่ไม่ยินดีด้วยในลาภสักการะ
การทำความเคารพ ความนับถือ การไหว้ การบูชาของคนอื่น อันใด นี้
เรียกว่า ความริษยา ความริษยานี้ อันบุคคลใดละได้แล้ว บุคคลนี้เรียกว่า
ผู้ไม่มีความริษยา

     บุคคลผู้ไม่มีความตระหนี่ เป็นไฉน
     ความตระหนี่ ในข้อนั้นเป็นไฉน ความตระหนี่ ๕ ประการ คือ
ตระหนี่ที่อยู่ ตระหนี่ตระกูล ตระหนี่ลาภ ตระหนี่วรรณะ ตระหนี่ธรรม
ความตระหนี่ กิริยาที่ตระหนี่ ภาวะที่ตระหนี่ ความอยากมีประการต่างๆ
ความเหนียวแน่น ความตระหนี่ถี่เหนียว ความที่จิตไม่เผื่อแผ่ อันใด เห็นปานนี้
นี้เรียกว่า ความตระหนี่ ความตระหนี่นี้ อันบุคคลใดละได้แล้ว บุคคลนี้
เรียกว่า ผู้ไม่มีความตระหนี่

     [๗๑] บุคคลผู้ไม่โอ้อวด เป็นไฉน
     ความโอ้อวด ในข้อนั้นเป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้เป็นผู้อวด
เป็นผู้โอ้อวด ความโอ้อวด ภาวะที่โอ้อวด กิริยาที่โอ้อวด ภาวะที่แข็งกระด้าง
กิริยาที่แข็งกระด้าง ความพูดยกตน กิริยาที่พูดยกตน อันใด นี้เรียกว่า
ความโอ้อวด ความโอ้อวดนี้อันบุคคลใดละได้แล้ว บุคคลนี้เรียกว่า ผู้ไม่โอ้อวด

     บุคคลผู้ไม่มีมายา เป็นไฉน
     มายา ในข้อนั้นเป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้ ประพฤติทุจริตด้วย
กาย ประพฤติทุจริตด้วยวาจา ประพฤติทุจริตด้วยใจแล้ว เพราะเหตุจะปกปิด
ความทุจริตนั้น จึงตั้งความปรารถนาอันลามก ปรารถนาว่าใครๆ อย่ารู้เรา
ดำริว่าใครๆ อย่ารู้เรา พูดว่าใครๆ อย่ารู้เรา พยายามด้วยกายว่าใครๆ อย่า
รู้เรา มายา ภาวะที่มีมายา ความวางท่า ความหลอกลวง ความตลบแตลง
ความมีเล่ห์เหลี่ยม ความทำให้ลุ่มหลง ความซ่อน ความอำพราง ความปิด
ความปกปิด การไม่ทำให้เข้าใจง่าย การไม่ทำให้จะแจ้ง การปิดบังอำพราง
กิริยาลามก อันใด เห็นปานนี้ นี้เรียกว่า มายา มายานี้ อันบุคคลใดละได้แล้ว
บุคคลนี้เรียกว่า ผู้ไม่มีมายา
ภาพประจำตัวสมาชิก
Ryuga
Verified User
โพสต์: 1771
ผู้ติดตาม: 0

ทำไมเราควรเชื่อพุทธศาสนา

โพสต์ที่ 130

โพสต์

[๑๐๒] ในศาสดาเหล่านั้น ศาสดา ๓ จำพวก เป็นไฉน
     ศาสดาบางคนในโลกนี้ ย่อมบัญญัติการละกาม แต่ไม่บัญญัติการละรูป
ไม่บัญญัติการละเวทนา
     ศาสดาบางคนในโลกนี้ ย่อมบัญญัติการละกามด้วย ย่อมบัญญัติการ
ละรูปด้วย แต่ไม่บัญญัติการละเวทนา
     ศาสดาบางคนในโลกนี้ ย่อมบัญญัติการละกามด้วย ย่อมบัญญัติการ
ละรูปด้วย ย่อมบัญญัติการละเวทนาด้วย
     บรรดาศาสดา ๓ จำพวกนั้น ศาสดานี้ใด บัญญัติการละกาม แต่ไม่
บัญญัติการละรูป ไม่บัญญัติการละเวทนา พึงเห็นว่าศาสดานั้นเป็นศาสดาผู้ได้
รูปาวจรสมาบัติ โดยการบัญญัตินั้น
     ศาสดานี้ใด บัญญัติการละกามด้วย บัญญัติการละรูปด้วย แต่ไม่บัญญัติ
การละเวทนา พึงเห็นว่าศาสดานั้น เป็นศาสดาผู้ได้อรูปาวจรสมาบัติ โดยการ
บัญญัตินั้น
     ศาสดานี้ใด บัญญัติการละกามด้วย บัญญัติการละรูปด้วย บัญญัติ
การละเวทนาด้วย พึงเห็นว่า ศาสดานั้นเป็นศาสดาผู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
โดยการบัญญัตินั้น
     เหล่านี้เรียกว่า ศาสดา ๓ จำพวก

     [๑๐๓] บรรดาศาสดาเหล่านั้น ศาสดา ๓ จำพวก แม้อื่นอีก เป็นไฉน
     บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมบัญญัติตนในทิฏฐธรรม [คืออัตภาพนี้]
โดยความเป็นของมีจริง โดยความเป็นของยั่งยืน และย่อมบัญญัติตนภายหน้า
[ในอัตภาพอื่น] โดยความเป็นของมีจริง โดยความเป็นของยั่งยืน
     ศาสดาบางคนในโลกนี้ ย่อมบัญญัติตนในทิฏฐธรรม โดยความเป็น
ของมีจริง โดยความเป็นของยั่งยืน แต่ไม่บัญญัติตนในภายหน้า โดยความ
เป็นของมีจริง โดยความเป็นของยั่งยืน
     ศาสดาบางคนในโลกนี้ ย่อมไม่บัญญัติตนในทิฏฐธรรม โดยความเป็น
ของมีจริง โดยความเป็นของยั่งยืน และย่อมไม่บัญญัติตนในภายหน้า โดย
ความเป็นของมีจริง โดยความเป็นของยั่งยืน
     บรรดาศาสดาเหล่านั้น ศาสดานี้ใด ย่อมบัญญัติตนในทิฏฐธรรมโดย
ความเป็นของมีจริง โดยความเป็นของยั่งยืน และบัญญัติตนในภายหน้า โดย
ความเป็นของมีจริง โดยความเป็นของยั่งยืน พึงเห็นว่าศาสดานั้น เป็นศาสดาผู้
มีวาทะว่าเที่ยง โดยการบัญญัตินั้น
     ศาสดานี้ใด ย่อมบัญญัติตนในทิฏฐธรรม และย่อมไม่บัญญัติตนภาย
หน้า โดยความเป็นของมีจริง โดยความเป็นของยั่งยืน พึงเห็นว่าศาสดานั้น
เป็นศาสดาผู้มีวาทะว่าขาดสูญ โดยการบัญญัตินั้น
     ศาสดานี้ใด ย่อมไม่บัญญัติตนในทิฏฐธรรม โดยความเป็นของมีจริง
โดยความเป็นของยั่งยืน และย่อมไม่บัญญัติตนในภายหน้า โดยความเป็นของมี
จริง โดยความเป็นของยั่งยืน พึงเห็นว่าศาสดานั้น เป็นศาสดาผู้เป็นพระสัมมา
สัมพุทธเจ้า โดยการบัญญัตินั้น
     เหล่านี้เรียกว่าศาสดา ๓ จำพวก แม้อื่นอีก
ภาพประจำตัวสมาชิก
Ryuga
Verified User
โพสต์: 1771
ผู้ติดตาม: 0

ทำไมเราควรเชื่อพุทธศาสนา

โพสต์ที่ 131

โพสต์

บุคคลเปรียบด้วยวลาหก ๔ อย่าง เป็นไฉน
     [๑๑๑] วลาหก ๔ อย่าง
           ฟ้าร้องฝนไม่ตก
           ฝนตกฟ้าไม่ร้อง
           ฟ้าร้องฝนตก
           ฟ้าไม่ร้องฝนไม่ตก

     [๑๑๒] บุคคลเปรียบด้วยวลาหก ๔ อย่างนี้ มีปรากฏอยู่ในโลกก็ฉัน
นั้นเหมือนกัน
     บุคคล ๔ จำพวก เป็นไฉน
           บุคคลเหมือนฟ้าร้องฝนไม่ตก
           บุคคลเหมือนฝนตกฟ้าไม่ร้อง
           บุคคลเหมือนฟ้าร้องฝนตก
           บุคคลเหมือนฟ้าไม่ร้องฝนไม่ตก

     บุคคลเหมือนฟ้าร้องฝนไม่ตก เป็นไฉน
     บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้พูดแต่ไม่ทำ อย่างนี้เป็นคนเหมือนฟ้า
ร้องฝนไม่ตก ฟ้านั้นร้องแต่ฝนไม่ตก แม้ฉันใด บุคคลนี้ก็มีอุปไมยฉันนั้น

     บุคคลเหมือนฝนตกฟ้าไม่ร้อง เป็นไฉน
     บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นคนทำแต่ไม่พูด อย่างนี้เป็นคนเหมือนฝนตก
ฟ้าไม่ร้อง ฝนตกฟ้าไม่ร้องแม้ฉันใด บุคคลนี้ก็มีอุปไมยฉันนั้น

     บุคคลเหมือนฟ้าร้องฝนตก เป็นไฉน
     บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้พูดด้วยทำด้วย อย่างนี้เป็นคนเหมือนฟ้า
ร้องฝนตก ฟ้าร้องฝนตกแม้ฉันใด บุคคลนี้ก็มีอุปไมยฉันนั้น

     บุคคลเหมือนฟ้าไม่ร้องฝนไม่ตก เป็นไฉน
     บุคคลบางคนในโลกนี้ ไม่พูดไม่ทำ อย่างนี้เป็นคนเหมือนฟ้าไม่ร้อง
ฝนไม่ตก ฟ้าไม่ร้องฝนไม่ตกแม้ฉันใด บุคคลนี้ก็มีอุปไมยฉันนั้น

     บุคคลเปรียบด้วยวลาหก ๔ อย่างเหล่านี้ มีปรากฏอยู่ในโลก

     บรรดาบุคคลเหล่านั้น บุคคลเปรียบด้วยหนู ๔ จำพวก เป็นไฉน
     [๑๑๓] หนู ๔ จำพวก
                หนูที่ขุดรูไว้ แต่ไม่อยู่
                หนูที่อยู่ แต่มิได้ขุดรู
                หนูที่ขุดรูด้วย อยู่ด้วย
                หนูที่ทั้งไม่ขุดรู ทั้งไม่อยู่

     [๑๑๔] บุคคลเปรียบด้วยหนู ๔ จำพวกเหล่านี้ มีปรากฏอยู่ในโลก
ก็ฉันนั้นเหมือนกัน
     บุคคลเปรียบด้วยหนู ๔ จำพวก เป็นไฉน
                บุคคลเป็นผู้ทำที่อยู่ แต่ไม่อยู่
                บุคคลเป็นผู้อยู่ แต่ไม่ทำที่อยู่
                บุคคลเป็นผู้ทำที่อยู่ และอยู่ด้วย
                บุคคลทั้งไม่ทำที่อยู่ ทั้งไม่อยู่ด้วย

     บุคคลทำที่อยู่ แต่ไม่อยู่ เป็นไฉน
     บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมเรียนธรรม คือ สุตตะ เคยยะ เวยยา
กรณะ คาถา อุทาน อิติวุตตกะ ชาดก อัพภูตธรรม เวทัลละ บุคคลนั้น
ไม่รู้ตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธ
คามินีปฏิปทา บุคคลอย่างนี้ชื่อว่าเป็นผู้ทำที่อยู่ แต่ไม่อยู่ หนูนั้นทำรังไว้แต่ไม่อยู่
แม้ฉันใด บุคคลนี้ก็มีอุปไมยฉันนั้น

     บุคคลเป็นผู้อยู่ แต่ไม่ทำที่อยู่ เป็นไฉน
     บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมไม่เล่าเรียนธรรม คือ สุตตะ เคยยะ
เวยยากรณะ คาถา อุทาน อติวุตตกะ ชาดก อัพภูตธรรม เวทัลละ บุคคล
นั้นรู้อยู่ตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธ
คามินีปฏิปทา บุคคลอย่างนี้ชื่อว่า เป็นผู้อยู่ แต่ไม่ทำที่อยู่ หนูที่เป็นผู้อยู่ แต่
ไม่ทำรังนั้น แม้ฉันใด บุคคลนี้ก็มีอุปไมย ฉันนั้น

     บุคคลเป็นผู้ทำที่อยู่ และอยู่ด้วย เป็นไฉน
     บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมเล่าเรียนธรรม คือ สุตตะ เคยยะ
เวยยากรณะ คาถา อุทาน อิติวุตตกะ ชาดก อัพภูตธรรม เวทัลละ บุคคล
นั้น ย่อมรู้ตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกข
นิโรธคามินีปฏิปทา บุคคลอย่างนี้ชื่อว่าเป็นผู้ทำที่อยู่ และอยู่ด้วย หนูที่ทำรังอยู่
และอยู่ด้วยนั้น แม้ฉันใด บุคคลนี้ก็มีอุปไมยฉันนั้น

     บุคคลทั้งไม่ทำที่อยู่ ทั้งไม่อยู่ด้วย เป็นไฉน
     บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมไม่เล่าเรียนธรรม คือ สุตตะ เคยยะ
เวยยากรณะ คาถา อุทาน อิติวุตตกะ ชาดก อัพภูตธรรม เวทัลละ
บุคคลนั้นไม่รู้ตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกข
นิโรธคามินีปฏิปทา บุคคลอย่างนี้ชื่อว่าทั้งไม่ทำที่อยู่ ทั้งไม่อยู่ด้วย หนูที่ทั้ง
ไม่ทำรัง ทั้งไม่อยู่ด้วยนั้น แม้ฉันใด บุคคลนี้ก็มีอุปไมยฉันนั้น
     บุคคลเปรียบด้วยหนู ๔ จำพวกเหล่านี้ มีปรากฏอยู่ในโลก

     บรรดาบุคคลเหล่านั้น บุคคลเปรียบด้วยหม้อ ๔ จำพวก เป็นไฉน
     [๑๑๗] หม้อ ๔ ชนิด
                หม้อเปล่าปิด
                หม้อเต็มเปิด
                หม้อเปล่าเปิด
                หม้อเต็มปิด

     [๑๑๘] บุคคลเปรียบด้วยหม้อ ๔ ชนิด เหล่านี้ มีปรากฏอยู่ในโลก
ฉันนั้นเหมือนกัน
     บุคคล ๔ จำพวก เป็นไฉน
                คนเปล่าปิด
                คนเต็มเปิด
                คนเปล่าเปิด
                คนเต็มปิด

     บุคคลที่เป็นคนเปล่าปิด เป็นไฉน
     บุคคลบางคนในโลกนี้ มีการก้าวไปข้างหน้า ถอยหลังแลตรง เหลียว
ซ้ายแลขวา คู้เข้า เหยียดออก ทรงสังฆาฏิบาตรและจีวร น่าเลื่อมใส บุคคล
นั้นย่อมไม่รู้ตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ ฯลฯ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา บุคคล
อย่างนี้ชื่อว่า เป็นคนเปล่าปิด หม้อเปล่าปิดแม้ฉันใด บุคคลนี้ก็มีอุปไมยฉันนั้น

     บุคคลที่เป็นคนเต็มเปิด เป็นไฉน
     บุคคลบางคนในโลกนี้ มีการก้าวไปข้างหน้า ถอยหลังแลตรง เหลียว
ซ้ายแลขวา คู้เข้า เหยียดออก ทรงสังฆาฏิบาตรและจีวร ไม่น่าเลื่อมใส บุคคล
นั้นรู้ตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ ฯลฯ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา บุคคลอย่าง
นี้ชื่อว่าเป็นคนเต็มเปิด หม้อเต็มเปิดนั้นแม้เป็นฉันใด บุคคลนี้ก็มีอุปไมยฉันนั้น

     บุคคลที่เป็นคนเปล่าเปิด เป็นไฉน
     บุคคลบางคนในโลกนี้ มีการก้าวไปข้างหน้า ถอยหลังแลตรง เหลียว
ซ้ายแลขวา คู้เข้า เหยียดออก ทรงผ้าสังฆาฏิบาตรและจีวร ไม่น่าเลื่อมใส
บุคคลนั้นไม่รู้ตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ ฯลฯ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา บุคคล
อย่างนี้ชื่อว่า เป็นคนเปล่าเปิด หม้อเปล่าเปิดนั้นแม้ฉันใด บุคคลนี้ก็มีอุปไมย
ฉันนั้น

     บุคคลที่เป็นคนเต็มปิด เป็นไฉน
     บุคคลบางคนในโลกนี้ มีการก้าวไปข้างหน้า ถอยหลังแลตรง เหลียว
ซ้ายแลขวา คู้เข้า เหยียดออก ทรงสังฆาฏิบาตรและจีวร น่าเลื่อมใส บุคคล
นั้นรู้ตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ ฯลฯ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา บุคคลอย่าง
นี้ชื่อว่า เป็นคนเต็มปิด หม้อเต็มปิดนั้นแม้ฉันใด บุคคลนี้ก็มีอุปไมยฉันนั้น
     บุคคลเปรียบด้วยหม้อ ๔ จำพวกเหล่านี้ มีปรากฏอยู่ในโลก

     บรรดาบุคคลเหล่านั้น บุคคลเปรียบด้วยอสรพิษ ๔ จำพวก
เป็นไฉน
     [๑๒๓] อสรพิษ ๔ จำพวก
                อสรพิษมีพิษแล่นเร็ว แต่ไม่ร้าย
                อสรพิษมีพิษร้าย แต่ไม่แล่นเร็ว
                อสรพิษมีพิษแล่นเร็วด้วย มีพิษร้ายด้วย
                อสรพิษมีพิษไม่แล่นเร็วด้วย มีพิษไม่ร้ายด้วย

     [๑๒๔] บุคคลเปรียบด้วยอสรพิษ ๔ จำพวกเหล่านี้ มีปรากฏอยู่ใน
โลกฉันนั้นเหมือนกัน
     บุคคล ๔ จำพวก เป็นไฉน
                บุคคลมีพิษแล่นเร็ว แต่ไม่ร้าย
                บุคคลมีพิษร้าย แต่ไม่แล่นเร็ว
                บุคคลมีพิษแล่นเร็วด้วย มีพิษร้ายด้วย
                บุคคลมีพิษแล่นไม่เร็วด้วย มีพิษไม่ร้ายด้วย

     บุคคลมีพิษแล่นเร็ว แต่ไม่ร้าย เป็นไฉน
     บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมโกรธเนืองๆ แต่ว่าความโกรธของเขานั้น
แล ย่อมไม่นอนเนื่องอยู่ตลอดกาลยาวนาน บุคคลอย่างนี้ชื่อว่า ผู้มีพิษแล่น
เร็วแต่ไม่ร้าย อสรพิษที่มีพิษแล่นเร็วแต่มีพิษไม่ร้ายนั้น แม้ฉันใด บุคคลนี้ก็มี
อุปไมยฉันนั้น

     บุคคลมีพิษร้าย แต่ไม่แล่นเร็ว เป็นไฉน
     บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมไม่โกรธเนืองๆ แต่ความโกรธของเขา
นั้นแล ย่อมนอนเนื่องอยู่ตลอดกาลยาวนาน บุคคลอย่างนี้ชื่อว่า มีพิษร้ายแต่
มีพิษไม่แล่นเร็ว อสรพิษที่มีพิษร้ายแต่มีพิษไม่แล่นเร็ว แม้ฉันใด บุคคลนี้ก็
มีอุปไมยฉันนั้น

     บุคคลมีพิษแล่นเร็วด้วย มีพิษร้ายด้วย เป็นไฉน
     บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมโกรธเนืองๆ และความโกรธของเขา
นั้นแล ย่อมนอนเนื่องอยู่ตลอดกาลยาวนาน บุคคลอย่างนี้ชื่อว่า มีพิษแล่นเร็ว
ด้วย มีพิษร้ายด้วย อสรพิษนี่มีพิษแล่นเร็วด้วย มีพิษร้ายด้วย แม้ฉันใด
บุคคลนี้ก็มีอุปไมยฉันนั้น

     บุคคลมีพิษไม่แล่นเร็วด้วย มีพิษไม่ร้ายด้วย เป็นไฉน
     บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมไม่โกรธเนืองๆ ทั้งความโกรธของเขา
นั้น ไม่นอนเนื่องอยู่ตลอดกาลยาวนาน บุคคลอย่างนี้ชื่อว่า มีพิษไม่แล่นเร็ว
ด้วย มีพิษไม่ร้ายด้วย อสรพิษที่มีพิษไม่แล่นเร็วด้วย มีพิษไม่ร้ายด้วย แม้ฉันใด
บุคคลนี้ก็มีอุปไมยฉันนั้น
     บุคคลเปรียบด้วยอสรพิษ ๔ จำพวกเหล่านี้ มีปรากฏอยู่ในโลก
ภาพประจำตัวสมาชิก
Ryuga
Verified User
โพสต์: 1771
ผู้ติดตาม: 0

ทำไมเราควรเชื่อพุทธศาสนา

โพสต์ที่ 132

โพสต์

[๑๒๕] บุคคลไม่ใคร่ครวญไม่ไตร่ตรองแล้ว พูดสรรเสริญคนที่
ไม่ควรสรรเสริญ เป็นไฉน
     บุคคลบางคนในโลกนี้ พูดสรรเสริญพวกเดียรถีย์ สาวกของเดียรถีย์
ผู้ปฏิบัติชั่วปฏิบัติผิด ว่าเป็นผู้ปฏิบัติดีบ้าง เป็นผู้ปฏิบัติชอบบ้าง บุคคลอย่าง
นี้ชื่อว่า ไม่ใคร่ครวญไม่ไตร่ตรองแล้ว พูดสรรเสริญคนที่ไม่ควรสรรเสริญ

     บุคคลไม่ใคร่ครวญไม่ไตร่ตรองแล้ว พูดติเตียนคนที่ควรสรรเสริญ
เป็นไฉน
     บุคคลบางคนในโลกนี้ พูดติเตียนพระพุทธเจ้า พระสาวกของพระ
พุทธเจ้า ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ว่าเป็นผู้ปฏิบัติชั่วบ้าง เป็นผู้ปฏิบัติผิดบ้าง บุคคล
อย่างนี้ชื่อว่าไม่ใคร่ครวญไม่ไตร่ตรองแล้ว พูดติเตียนคนที่ควรสรรเสริญ

     บุคคลไม่ใคร่ครวญไม่ไตร่ตรองแล้ว มีความเลื่อมใสในฐานะ
ที่ไม่ควรเลื่อมใส เป็นไฉน
     บุคคลบางคนในโลกนี้ ยังความเลื่อมใสให้เกิดขึ้น ในข้อปฏิบัติชั่ว
ปฏิบัติผิด ว่าเป็นข้อปฏิบัติดีบ้าง เป็นข้อปฏิบัติชอบบ้าง บุคคลอย่างนี้ชื่อว่า
ไม่ใคร่ครวญไม่ไตร่ตรองแล้ว มีความเลื่อมใสในฐานะที่ไม่ควรเลื่อมใส

     บุคคลไม่ใคร่ครวญแล้วไม่ไตร่ตรองแล้ว ไม่เลื่อมใสในฐานะ
ที่ควรเลื่อมใส เป็นไฉน
     บุคคลบางคนในโลกนี้ ยังความไม่เลื่อมใสให้เกิดขึ้น ในข้อปฏิบัติดี
ปฏิบัติชอบ ว่าเป็นข้อปฏิบัติชั่วบ้าง เป็นข้อปฏิบัติผิดบ้าง บุคคลอย่างนี้ชื่อว่า
ไม่ใคร่ครวญไม่ไตร่ตรองแล้ว ไม่เลื่อมใสในฐานะที่ควรเลื่อมใส

     [๑๒๖] บุคคลใคร่ครวญไตร่ตรองแล้ว พูดติเตียนคนที่ควรติเตียน
เป็นไฉน
     บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมพูดติเตียนพวกเดียรถีย์ สาวกเดียรถีย์
ผู้ปฏิบัติชั่วปฏิบัติผิด ว่าเป็นผู้ปฏิบัติชั่วบ้าง เป็นผู้ปฏิบัติผิดบ้าง บุคคลอย่างนี้
ชื่อว่า ใคร่ครวญไตร่ตรองแล้ว พูดติเตียนคนที่ควรติเตียน

     บุคคลใคร่ครวญไตร่ตรองแล้ว พูดสรรเสริญคุณของคนที่ควร
สรรเสริญ เป็นไฉน
     บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมสรรเสริญพระพุทธเจ้า พระสาวกของ
พระพุทธเจ้า ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ว่าเป็นผู้ปฏิบัติดีบ้าง ปฏิบัติชอบบ้าง บุคคล
อย่างนี้ชื่อว่า ใคร่ครวญไตร่ตรองแล้ว พูดสรรเสริญคุณของคนที่ควรสรรเสริญ

     บุคคลใคร่ครวญไตร่ตรองแล้ว ไม่เลื่อมใสในฐานะที่ไม่ควร
เลื่อมใส เป็นไฉน
     บุคคลบางคนในโลกนี้ ยังความไม่เลื่อมใสให้เกิดขึ้น ในข้อปฏิบัติชั่ว
ข้อปฏิบัติผิด ว่าข้อปฏิบัตินี้ชั่วบ้าง ข้อปฏิบัตินี้ผิดบ้าง บุคคลอย่างนี้ชื่อว่า
ใคร่ครวญไตร่ตรองแล้ว ไม่เลื่อมใสในฐานะที่ไม่ควรเลื่อมใส

     บุคคลใคร่ครวญไตร่ตรองแล้ว เลื่อมใสในฐานะที่ควรเลื่อมใส
เป็นไฉน
     บุคคลบางคนในโลกนี้ ยังความเลื่อมใสให้เกิดขึ้น ในข้อปฏิบัติดี
ปฏิบัติชอบ ว่านี้เป็นข้อปฏิบัติดีบ้าง นี้เป็นข้อปฏิบัติชอบบ้าง บุคคลอย่างนี้ชื่อว่า
ใคร่ครวญไตร่ตรองแล้ว เลื่อมใสในฐานะที่ควรเลื่อมใส

     [๑๒๗] บุคคลพูดติเตียนคนที่ควรติเตียนจริงแท้ตามกาล แต่ไม่
พูดสรรเสริญคนที่ควรสรรเสริญจริงแท้ตามกาล เป็นไฉน
     บุคคลบางคนในโลกนี้ ควรสรรเสริญก็มี ควรติเตียนก็มี ในคน ๒ คนนั้น
ผู้ใดควรติเตียน ย่อมติเตียนผู้นั้น จริงแท้ตามกาล ผู้ใดควรสรรเสริญ ย่อม
ไม่พูดสรรเสริญผู้นั้น จริงแท้ตามกาล บุคคลอย่างนี้ชื่อว่า พูดติเตียนคนที่ควร
ติเตียนจริงแท้ตามกาล แต่ไม่พูดสรรเสริญคนที่ควรสรรเสริญ จริงแท้ตามกาล

     บุคคลพูดสรรเสริญคนที่ควรสรรเสริญจริงแท้ตามกาล แต่ไม่พูด
ติเตียนคนที่ควรติเตียนจริงแท้ตามกาล เป็นไฉน
     บุคคลบางคนในโลกนี้ ควรสรรเสริญก็มี ควรติเตียนก็มี ใน ๒ คนนั้น
ผู้ใดควรสรรเสริญ ย่อมพูดสรรเสริญผู้นั้น จริงแท้ตามกาล ผู้ใดควรติเตียน
ย่อมไม่พูดติเตียนผู้นั้น จริงแท้ตามกาล บุคคลอย่างนี้ชื่อว่า พูดสรรเสริญคนที่
ควรสรรเสริญจริงแท้ตามกาล แต่ไม่พูดติเตียนคนที่ควรติเตียนจริงแท้ตามกาล

     บุคคลพูดติเตียนคนที่ควรติเตียนจริงแท้ตามกาลและพูดสรรเสริญ
คนที่ควรสรรเสริญจริงแท้ตามกาล เป็นไฉน
     บุคคลบางคนในโลกนี้ ควรสรรเสริญก็มี ควรติเตียนก็มี ใน ๒ คนนั้น
ผู้ใดควรติเตียน ย่อมพูดติเตียนผู้นั้นจริงแท้ตามกาล ผู้ใดควรสรรเสริญ ย่อม
พูดสรรเสริญแม้บุคคลนั้นจริงแท้ตามกาล เป็นผู้รู้กาล เพื่อจะแก้ปัญหานั้นใน
ที่นั้น บุคคลอย่างนี้ชื่อว่า พูดติเตียนคนที่ควรติเตียนจริงแท้ตามกาล และพูด
สรรเสริญคนที่ควรสรรเสริญจริงแท้ตามกาล

     บุคคลไม่พูดติเตียนคนที่ควรติเตียนจริงแท้ตามกาล ทั้งไม่พูด
สรรเสริญคนที่ควรสรรเสริญจริงแท้ตามกาล เป็นไฉน
     บุคคลบางคนในโลกนี้ ควรสรรเสริญก็มี ควรติเตียนก็มี ใน ๒ คนนั้น
ผู้ใดควรติเตียน ย่อมไม่พูดติเตียนผู้นั้นจริงแท้ตามกาล ผู้ใดควรสรรเสริญ
ย่อมไม่พูดสรรเสริญแม้ผู้นั้นจริงแท้ตามกาล เป็นผู้วางเฉย มีสติ มีสัมปชัญญะ
บุคคลอย่างนี้ชื่อว่า ไม่พูดติเตียนคนที่ควรติเตียนจริงแท้ตามกาล ทั้งไม่พูด
สรรเสริญคนที่ควรสรรเสริญจริงแท้ตามกาล

     [๑๒๘] บุคคลดำรงชีพอยู่ด้วยผลแห่งความหมั่น มิใช่ดำรงชีพ
อยู่ด้วยผลแห่งบุญ เป็นไฉน
     อาชีพของบุคคลใด ย่อมเจริญรุ่งเรืองเพราะความหมั่น ความขยัน
ความเพียรพยายาม มิได้บังเกิดแต่บุญ นี้เรียกว่า บุคคลผู้ดำรงชีพ อยู่ด้วยผล
แห่งความหมั่น มิใช่ดำรงชีพอยู่ด้วยผลแห่งบุญ

     บุคคลดำรงชีพอยู่ด้วยผลแห่งบุญ มิใช่ดำรงชีพอยู่ด้วยผลแห่ง
ความหมั่น เป็นไฉน
     เทวดาชั้นสูงๆ ขึ้นไป ตลอดถึงเทวดาเหล่าปรนิมมิตวสวดี ชื่อว่า
ผู้ดำรงชีพอยู่ด้วยผลแห่งบุญ มิใช่ผู้ดำรงชีพอยู่ด้วยผลแห่งความหมั่น

     บุคคลดำรงชีพอยู่ด้วยผลแห่งความหมั่นด้วย ดำรงชีพอยู่ด้วยผล
แห่งบุญด้วย เป็นไฉน
     อาชีพของบุคคลใด ย่อมเจริญรุ่งเรืองเพราะความหมั่น ความขยัน
ความเพียรพยายามด้วย เพราะบุญด้วย นี้เรียกว่า บุคคลผู้ดำรงชีพอยู่ด้วยผล
แห่งความหมั่นด้วย ดำรงชีพอยู่ด้วยผลแห่งบุญด้วย

     บุคคลผู้มิใช่ดำรงชีพอยู่ด้วยผลแห่งความหมั่น ทั้งมิใช่ดำรงชีพ
อยู่ด้วยผลแห่งบุญด้วย เป็นไฉน
     สัตว์นรกทั้งหลาย ชื่อว่ามิใช่ผู้ดำรงชีพอยู่ด้วยผลแห่งความหมั่น ทั้ง
มิใช่ดำรงชีพอยู่ด้วยผลแห่งบุญด้วย
ภาพประจำตัวสมาชิก
Ryuga
Verified User
โพสต์: 1771
ผู้ติดตาม: 0

ทำไมเราควรเชื่อพุทธศาสนา

โพสต์ที่ 133

โพสต์

[๑๒๙] บุคคลผู้มืดมามืดไป เป็นไฉน
     บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้เกิดในภายหลัง ในตระกูลต่ำ คือตระกูล
คนจัณฑาล ตระกูลนายพราน ตระกูลช่างสาน ตระกูลช่างหนัง ตระกูลคนเท
ดอกไม้ ซึ่งขัดสน มีข้าวน้ำโภชนะน้อย มีความเป็นอยู่ฝืดเคือง มีอาหารที่จะ
พึงกิน มีผ้านุ่งห่มหาได้ยาก และบุคคลนั้นเป็นผู้มีผิวพรรณขี้ริ้ว ไม่น่าดู เป็น
คนเตี้ย มีอาพาธมาก เป็นคนบอด คนมือเท้ากุด คนกระจอก หรือเป็นคนง่อย
มักไม่ได้ข้าว น้ำ ผ้า ยาน ดอกไม้ ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่อยู่อาศัย วัตถุ
เป็นอุปกรณ์แก่ประทีป เขาย่อมประพฤติทุจริตทางกาย ประพฤติทุจริตทางวาจา
ประพฤติทุจริตทางใจ ครั้นเขาประพฤติทุจริตทางกาย วาจา ใจแล้ว เบื้องหน้า
แต่ตายเพราะความแตกแห่งกาย ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก บุคคล
อย่างนี้ชื่อว่ามืดมามืดไป

     บุคคลผู้มืดมาสว่างไป เป็นไฉน
     บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้เกิดในภายหลัง ในตระกูลต่ำ คือตระกูล
คนจัณฑาล ตระกูลนายพราน ตระกูลช่างสาน ตระกูลช่างหนัง ตระกูลคนเท
ดอกไม้ ซึ่งขัดสน มีข้าวน้ำโภชนะน้อย มีความเป็นอยู่ฝืดเคือง มีอาหารที่จะ
พึงกิน มีผ้านุ่งห่มหาได้ยาก และบุคคลนั้นเป็นผู้มีผิวพรรณขี้ริ้ว ไม่น่าดู เป็นคนเตี้ย
มีอาพาธมาก เป็นคนบอด คนมือเท้ากุด คนกระจอก หรือเป็นคนง่อย มักไม่ได้
ข้าว น้ำ ผ้า ยาน ดอกไม้ ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่อยู่อาศัย วัตถุอุปกรณ์แก่
ประทีป เขาย่อมประพฤติสุจริตทางกาย ประพฤติสุจริตทางวาจา ประพฤติสุจริต
ทางใจ ครั้นเขาประพฤติสุจริตทางกาย วาจา ใจแล้ว เบื้องหน้าแต่ตายเพราะความ
แตกแห่งกาย ย่อมเข้าถึงสุคติ โลกสวรรค์ บุคคลอย่างนี้ชื่อว่ามืดมาสว่างไป

     บุคคลผู้สว่างมามืดไป เป็นไฉน
     บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้เกิดแล้วในภายหลัง ในตระกูลสูง คือ
ตระกูลขัตติยมหาศาล ตระกูลพราหมณ์มหาศาล ตระกูลคหบดีมหาศาล ซึ่งมี
อำนาจวาสนามาก มีทรัพย์มาก มีโภคะมาก มีทองและเงินเพียงพอ มีอุปกรณ์
เครื่องปลื้มใจเพียงพอ มีทรัพย์และข้าวเปลือกเพียงพอ และบุคคลนั้นเป็นผู้มี
รูปงาม น่าดูน่าชม น่าเลื่อมใส ประกอบด้วยเป็นผู้มีสรีระมีสีราวกับทอง มีปกติ
ได้ข้าว น้ำ ผ้า ยาน ดอกไม้ ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่อยู่อาศัย วัตถุเป็น
อุปกรณ์แก่ประทีป เขาย่อมประพฤติทุจริตทางกาย ประพฤติทุจริตทางวาจา
ประพฤติทุจริตทางใจ ครั้นเขาประพฤติทุจริตทางกาย วาจา ใจแล้ว เบื้องหน้า
แต่ตายเพราะความแตกแห่งกาย ย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก บุคคล
อย่างนี้ ชื่อว่าสว่างมามืดไป

     บุคคลที่สว่างมาสว่างไป เป็นไฉน
     บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้เกิดแล้วในภายหลัง ในตระกูลสูง คือ
ตระกูลขัตติยมหาศาล ตระกูลพราหมณ์มหาศาล หรือตระกูลคหบดีมหาศาล
ซึ่งมีอำนาจวาสนามาก มีทรัพย์มาก มีโภคะมาก มีทองและเงินเพียงพอ มีอุปกรณ์
เครื่องปลื้มใจเพียงพอ มีทรัพย์และข้าวเปลือกเพียงพอ และบุคคลนั้นเป็นผู้มี
รูปงาม น่าดูน่าชม น่าเลื่อมใส ประกอบด้วยความเป็นผู้มีสรีระมีสีราวกับทอง
มีปกติได้ข้าว น้ำ ผ้า ยาน ดอกไม้ ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่อยู่อาศัย วัตถุ
เป็นอุปกรณ์แก่ประทีป เขาย่อมประพฤติสุจริตทางกาย ประพฤติสุจริตทางวาจา
ประพฤติสุจริตทางใจ ครั้นเขาประพฤติสุจริตทางกาย วาจา ใจแล้ว เบื้องหน้า
แต่ตาย เพราะความแตกแห่งกาย ย่อมเข้าถึงสุคติ โลกสวรรค์ บุคคลอย่างนี้
ชื่อว่า สว่างมาสว่างไป
ภาพประจำตัวสมาชิก
Ryuga
Verified User
โพสต์: 1771
ผู้ติดตาม: 0

ทำไมเราควรเชื่อพุทธศาสนา

โพสต์ที่ 134

โพสต์

[๑๔๘] บุคคลจมแล้วคราวเดียว ย่อมจมอยู่นั่นเอง เป็นไฉน
     บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ประกอบแล้วด้วยอกุศลธรรมอันดำโดย
ส่วนเดียว บุคคลอย่างนี้ชื่อว่า บุคคลจมแล้วคราวเดียว ย่อมจมอยู่นั่นเอง

     บุคคลโผล่ขึ้นแล้ว จมลงอีก เป็นไฉน
     บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมโผล่ขึ้นในกุศลธรรมคือสัทธาอันดี ย่อมโผล่
ขึ้นในกุศลธรรมคือหิริอันดี ย่อมโผล่ขึ้นในกุศลธรรมคือโอตตัปปะอันดี ย่อมโผล่
ขึ้นในกุศลธรรมคือวิริยะอันดี ย่อมโผล่ขึ้นในกุศลธรรมคือปัญญาอันดี สัทธา
ของบุคคลนั้นย่อมไม่ตั้งอยู่ได้ ย่อมไม่เจริญ ย่อมเสื่อมไปถ่ายเดียว หิริของ
บุคคลนั้นไม่ตั้งอยู่ได้ ย่อมไม่เจริญ ย่อมเสื่อมไปถ่ายเดียว โอตตัปปะของ
บุคคลนั้น ย่อมไม่ตั้งอยู่ได้ ย่อมไม่เจริญ ย่อมเสื่อมไปโดยถ่ายเดียว วิริยะ
ของบุคคลนั้นย่อมไม่ตั้งอยู่ได้ ย่อมไม่เจริญ ย่อมเสื่อมไปถ่ายเดียว ปัญญา
ของบุคคลนั้น ย่อมไม่ตั้งอยู่ได้ ย่อมไม่เจริญ ย่อมเสื่อมไปถ่ายเดียว บุคคล
อย่างนี้ชื่อว่า โผล่ขึ้นแล้ว จมลงอีก

     บุคคลโผล่ขึ้นแล้ว หยุดอยู่ เป็นไฉน
     บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมโผล่ขึ้นในกุศลธรรมคือสัทธาอันดี ใน
กุศลธรรมคือหิริอันดี ในกุศลธรรมคือโอตตัปปะอันดี ในกุศลธรรมคือวิริยะอันดี
ในกุศลธรรมคือปัญญาอันดี สัทธาของบุคคลนั้น ไม่เสื่อม ไม่เจริญ คงตั้งอยู่
หิริของบุคคลนั้น ไม่เสื่อม ไม่เจริญ คงตั้งอยู่ โอตตัปปะของบุคคลนั้น ไม่เสื่อม
ไม่เจริญ คงตั้งอยู่ วิริยะของบุคคลนั้น ไม่เสื่อม ไม่เจริญ คงตั้งอยู่ ปัญญา
ของบุคคลนั้น ไม่เสื่อม ไม่เจริญ คงตั้งอยู่ บุคคลอย่างนี้ชื่อว่า โผล่ขึ้นแล้ว
หยุดอยู่

     บุคคลโผล่ขึ้นแล้ว เหลียวมองดู เป็นไฉน
     บุคคลบางคนในโลกนี้ โผล่ขึ้นในกุศลธรรมคือสัทธาอันดี ในกุศลธรรม
คือหิริอันดี ในกุศลธรรมคือโอตตัปปะอันดี ในกุศลธรรมคือวิริยะอันดี ใน
กุศลธรรมคือปัญญาอันดี บุคคลนั้นเป็นพระโสดาบัน เป็นผู้มีอันไม่ตกไปใน
อบายภูมิเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยง เป็นผู้มีความตรัสรู้เป็นที่ในเบื้องหน้า เพราะ
สัญโญชน์ ๓ สิ้นไปแล้ว บุคคลอย่างนี้ชื่อว่า โผล่ขึ้นแล้ว เหลียวมองดู

     บุคคลโผล่ขึ้นแล้ว ว่ายข้ามไป เป็นไฉน
     บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมโผล่ขึ้นในกุศลธรรมคือสัทธาอันดี ใน
กุศลธรรมคือหิริอันดี ในกุศลธรรมคือโอตตัปปะอันดี ในกุศลธรรมคือวิริยะอันดี
ในกุศลธรรมคือปัญญาอันดี บุคคลนั้นชื่อว่า เป็นพระสกทาคามี เพราะสัญโญชน์
๓ สิ้นไปแล้ว เพราะราคะ โทสะ และโมหะ เบาบางลง มาสู่โลกนี้อีกเพียง
ครั้งเดียวเท่านั้น ย่อมกระทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ บุคคลอย่างนี้ชื่อว่า โผล่ขึ้นแล้ว
ว่ายข้ามไป

     บุคคลโผล่ขึ้นแล้วและว่ายไปถึงที่ตื้นพอหยั่งถึงแล้ว เป็นไฉน
     บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมโผล่ขึ้นในกุศลธรรมคือสัทธาอันดี ใน
กุศลธรรมคือหิริอันดี ในกุศลธรรมคือโอตตัปปะอันดี ในกุศลธรรมคือวิริยะอันดี
ในกุศลธรรมคือปัญญาอันดี บุคคลนั้นเป็นอุปปาติกะ เพราะโอรัมภาคิย-
*สัญโญชน์ ๕ สิ้นไปแล้ว จะปรินิพพานในเทวโลกนั้น เป็นผู้มีอันไม่กลับมาจาก
เทวโลกนั้นเป็นธรรมดา บุคคลอย่างนี้ชื่อว่า โผล่ขึ้นแล้วและว่ายไปถึงที่ตื้นพอ
หยั่งถึงแล้ว

     บุคคลโผล่ขึ้นและว่ายข้ามไปถึงฝั่งแล้ว เป็นพราหมณ์ยืนอยู่
บนบก เป็นไฉน
     บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมโผล่ขึ้นในกุศลธรรมคือสัทธาอันดี ย่อมโผล่
ขึ้นในกุศลธรรมคือหิริอันดี ย่อมโผล่ขึ้นในกุศลธรรมคือโอตตัปปะอันดี ย่อมโผล่
ขึ้นในกุศลธรรมคือวิริยะอันดี ย่อมโผล่ขึ้นในกุศลธรรมคือปัญญาอันดี บุคคล
นั้นรู้ยิ่งด้วยตนเองแล้ว ทำให้แจ้งแล้ว เข้าถึงแล้วซึ่งเจโตวิมุติ ซึ่งปัญญาวิมุติ
ชื่อว่าหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไปแล้ว สำเร็จอิริยาบถอยู่ใน
ทิฏฐธรรมเทียว บุคคลอย่างนี้ชื่อว่า โผล่ขึ้นและว่ายข้ามไปถึงฝั่งแล้วเป็น
พราหมณ์ยืนอยู่บนบก
ภาพประจำตัวสมาชิก
Ryuga
Verified User
โพสต์: 1771
ผู้ติดตาม: 0

ทำไมเราควรเชื่อพุทธศาสนา

โพสต์ที่ 135

โพสต์

[๑๕๑] บุคคลผู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นไฉน
     บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมตรัสรู้สัจจะทั้งหลายด้วยตนเอง ในธรรม
ทั้งหลายที่ตนมิได้เคยสดับมาแล้วในกาลก่อน บรรลุความเป็นพระสัพพัญญูใน
ธรรมนั้นๆ และบรรลุความเป็นผู้มีความชำนาญในธรรม เป็นกำลังทั้งหลาย
นี้เรียกว่า บุคคลผู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

     บุคคลผู้เป็นพระปัจเจกพุทธะ เป็นไฉน
     บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมตรัสรู้สัจจะทั้งหลายด้วยตนเอง ในธรรม
ทั้งหลายที่ตนมิได้เคยสดับมาแล้วในกาลก่อน แต่มิได้บรรลุความเป็นพระสัพพัญญู
ในธรรมนั้น ทั้งไม่ถึงความเป็นผู้ชำนาญในธรรมอันเป็นกำลังทั้งหลาย นี้เรียกว่า
บุคคลผู้เป็นพระปัจเจกพุทธะ

     บุคคลผู้เป็นอุภโตภาควิมุต เป็นไฉน
     บุคคลบางคนในโลกนี้ ถูกต้องวิโมกข์ ๘ ด้วยกาย สำเร็จอิริยาบถอยู่
ทั้งอาสวะของผู้นั้นก็หมดสิ้นแล้ว เพราะเห็นด้วยปัญญา นี้เรียกว่า บุคคลผู้เป็น
อุภโตภาควิมุต

     บุคคลผู้เป็นปัญญาวิมุต เป็นไฉน
     บุคคลบางคนในโลกนี้ มิได้ถูกต้องวิโมกข์ ๘ ด้วยกาย สำเร็จอิริยาบถ
อยู่ แต่อาสวะของผู้นั้นหมดสิ้นแล้ว เพราะเห็นด้วยปัญญา นี้เรียกว่า บุคคล
ผู้เป็นปัญญาวิมุต

     บุคคลผู้เป็นกายสักขี เป็นไฉน
     บุคคลบางคนในโลกนี้ ถูกต้องวิโมกข์ ๘ ด้วยกาย สำเร็จอิริยาบถอยู่
ทั้งอาสวะบางอย่างของผู้นั้นก็หมดสิ้นแล้ว เพราะเห็นด้วยปัญญา นี้เรียกว่า
บุคคลผู้เป็นกายสักขี

     บุคคลผู้เป็นทิฏฐิปัตตะ เป็นไฉน
     บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ ฯลฯ
นี้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ อนึ่งธรรมทั้งหลายที่พระตถาคตประกาศแล้ว
ผู้นั้นเห็นชัดด้วยปัญญา ดำเนินไปด้วยดีแล้วด้วยปัญญา อนึ่งอาสวะบางอย่าง
ของผู้นั้น ก็หมดสิ้นแล้วเพราะเห็นด้วยปัญญา นี้เรียกว่าบุคคลผู้เป็นทิฏฐิปัตตะ

     บุคคลผู้เป็นสัทธาวิมุต เป็นไฉน
     บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ ฯลฯ
นี้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ อนึ่งธรรมทั้งหลายที่พระตถาคตประกาศ ผู้นั้น
เห็นชัดด้วยปัญญา ดำเนินไปด้วยดีแล้วด้วยปัญญา อนึ่งอาสวะบางอย่างของผู้นั้น
ก็หมดสิ้นแล้ว เพราะเห็นด้วยปัญญา แต่มิใช่เหมือน บุคคลผู้เป็นทิฏฐิปัตตะ
นี้เรียกว่า บุคคลผู้เป็นสัทธาวิมุต

     บุคคลผู้เป็นธัมมานุสารี เป็นไฉน
     ปัญญินทรีย์ ของบุคคลใดผู้ปฏิบัติแล้ว เพื่อทำให้แจ้งโสดาปัตติผล
มีประมาณยิ่ง บุคคลนั้นย่อมอบรมอริยมรรคอันมีปัญญาเป็นตัวนำ มีปัญญาเป็น
ประธาน นี้เรียกว่า บุคคลผู้เป็นธัมมานุสารี บุคคลผู้ปฏิบัติแล้ว เพื่อทำให้แจ้ง
โสดาปัตติผล ชื่อว่าธัมมานุสารี บุคคลผู้ตั้งแล้วอยู่ในผล ชื่อว่าทิฏฐิปัตตะ

     บุคคลผู้เป็นสัทธานุสารี เป็นไฉน
     สัทธินทรีย์ ของบุคคลใดผู้ปฏิบัติ เพื่อทำให้แจ้งโสดาปัตติผล มี
ประมาณยิ่ง ย่อมอบรมอริยมรรค มีสัทธาเป็นตัวนำ มีสัทธาเป็นประธาน
นี้เรียกว่า บุคคลผู้เป็นสัทธานุสารี บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งโสดาปัตติผล
ชื่อว่าสัทธานุสารี บุคคลผู้ตั้งอยู่แล้วในผล ชื่อว่าสัทธาวิมุต

- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -

:bow:  :bow:  :bow:  :pray:

แทบจะยกบุคคลบัญญัติมาเลยทีเดียวครับ :lol:
ภาพประจำตัวสมาชิก
Ryuga
Verified User
โพสต์: 1771
ผู้ติดตาม: 0

ทำไมเราควรเชื่อพุทธศาสนา

โพสต์ที่ 136

โพสต์

ผมได้แสดงเจตนาชัดเจนแล้วทั้งสามครั้ง ไม่ควรที่จะกล่าวอีกเป็นครั้งที่สี่ หากเห็นว่าที่ผมกล่าวไปแล้วนั้นเป็นการล่วงเกิน ปรามาส ติเตียน พี่สายลับแล้วไซร้ ผมก็ขออภัยมาในที่นี้ด้วยครับ :bow:

ยังไงพี่สายลับก็เป็นพี่สายลับคนสวยของพี่หวี ของผม ของทุกๆ คนนะครับ หาก board ขาดพี่สายลับไปคนคงจะแย่แน่ๆ :D
MarginofSafety
Verified User
โพสต์: 5786
ผู้ติดตาม: 0

ทำไมเราควรเชื่อพุทธศาสนา

โพสต์ที่ 137

โพสต์

Ryuga เขียน: ยังไงพี่สายลับก็เป็นพี่สายลับคนสวยของพี่หวี
จริงครับๆ 555
ถ้าไม่รังเกียจผม เดี๋ยวจะไปเคาะห้องยืมหนังสือมาอ่านน๊า ...  :rofl:

ผมคิดว่าทุกท่านที่มาแจมกระทู้นี้
ล้วนแล้วแต่มีความศรัทธาพระพุทธศาสนา
และเรากำลังพูดถึงสิ่งเดียวกันนั่นคือ พระธรรม

ส่วนต่างคนต่างเห็น ต่างจิตต่างใจนั้นเป็นเรื่องธรรมดา
เหมือนตาบอดคลำช้าง
สิ่งที่พี่ริวยกมานั้น เจตนาหลักๆก็คือ
อย่าไปเหมาว่าสิ่งที่เราคลำเจอนั่นคือช้าง
และไปเหมาเอาเลยว่าช้างต้องเป็นเหมือนอย่างที่เรารู้สึก สัมผัส

เนื่องจากต่างคนต่างมีข้อจำกัดในการสืบทราบ
ทั้งด้วยระดับความรู้ความแตกฉานในปริยัติ และการบรรลุในทางปฏิบัติ

ดังนั้นการคุยกันในกระทู้นี้อย่างไรไม่ให้เกิดโทษเกิดแต่ประโยชน์ถ่ายเดียว
ก็คงหนีไม่พ้น

แยกความเห็นส่วนตัว กับข้อเท็จจริงออกจากกัน อย่าเอามาปนกัน
หลีกเลี่ยง งดเว้น การวิจารณ์ พระรัตนตรัย ว่าที่จริงแล้วเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ตามความคิดเห็นตัวเอง
(จริงอยู่ พระพุทธเจ้าท่านสอนว่าไม่ให้เชื่อ
แต่คงไม่เหมาะสมหากจะนำพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
มาวิพากษ์ วิจารณ์ ว่าที่จริงแล้วเป็นอย่างโน้นอย่างนี้)

เราเข้ามาพูดคุยกันในเชิงสร้างสรรค์ เสริมสร้างปัญญา
พร้อมที่จะรับข้อมูลของผู้ที่รู้มากกว่า หลังจากใคร่ครวญแล้ว

คงเป็นเรื่องน่าขัน ที่ชาวพุทธคุยเรื่องธรรมมะกันแล้วต้องทะเลาะกันจนมองหน้ากันไม่ติด
ผมคิดว่าคงไม่ใช่วิสัยชาวพุทธ
"Winners never quit, and quitters never win."
007-s
Verified User
โพสต์: 2496
ผู้ติดตาม: 0

ทำไมเราควรเชื่อพุทธศาสนา

โพสต์ที่ 138

โพสต์

เยอะไปค่ะ และไม่เกี่ยวกะประเด็น ไม่ใช่สาระในกรณีนี้

เอาสั้นๆ พีพอจะตอบให้ชัดเจนได้หรือไม่

1 ใครเป็นคนปรามาส พี่พุดถึงดิฉัน หรือใคร โปรดระบุ (ถ้าไม่สบายใจที่จะระบุ เว้นช่องว่างไว้ค่ะ ไม่บังคับใจ จะได้จบนะประเด็นนี้ พี่ไม่ระบุ แต่สามารถใช้ตัวอักษร ที่เชื่อมโยงให้เห็นว่าหมายถึงดิฉันได้ แต่หากพี่ไม่ต้องการยอมรับ ไม่มีปัญหาค่ะ ไม่ฝืน)
2 ปรามาสส่วนไหน
ที่ว่านั่งไขว่ห้างทำสมาธิ ...ปรามาสมะ
ที่ว่าพระพุทธเจ้าก็เป็นมนุษย์คนนึงเช่นกัน...นี่ใช่ปรามาสมะ
ที่เห็นว่า พระไตรปิฏกเอง ก็ย่อมต้องสืบทอดทั้งตัดต่อ และอาจตกหล่น แต่งเติม ไม่ว่าจงใจหรือไม่ก็ตาม นั้นมีโอกาสเป็นได้ ไม่มีทางสืบต่อได้ทั้ง 100%(ซึ่งดิฉันก็ว่าไม่เห็นจะเป็นเรื่องที่เข้าใจไม่ได้อันใด).....อันนี้ปรามาสมั้ย

หรือจะเป็นที่บอกว่า ชื่อเรียกก็ไม่ใช่สาระที่แท้...นี่ปรามาสอย่างไร

ตั้งสตินิดพี่ริว อ่ะ ลองย้อนไปอ่านหน้าก่อนๆนี้ดู (ให้พี่หวีช่วยกันอ่านก็ได้ อ่ะช่วยกันดูนะ)

มีคนมาบอก(หรือวิจารณ์ หรือจะเรียกวิเคราะห์)ในความเป็นตัวดิฉันเนี่ย พูดไปถึงว่า ดิฉันเป็นขั้นนั่นขั้นนี่ แล้วเกิดมีการแชร์ข้อมูลกันขึ้น ว่าอ้อ พี่คับเรียกงี้ไม่ถูกคับ ก็ว่าไป....อ่ะ ย้อนไปอ่าน...ใช่ ไม่ใช่คะ

ดิฉันก็เลยเสร่อเข้ามาแทรกกลางวงว่า อ่า พี่ๆคะ พอก่อนเถิด คือเด๋วจะไปกันใหญ่ ไอ้ดิฉันย่อมต้องทราบดีกว่าคนอื่นแน่ว่า ตนถึงขั้นเพิ่งขี่จักรยานเป็น และยังไม่คล่องนัก
แล้วในแบบดิฉันเนี่ย ก็ไม่มานั่งท่องจำ ว่าทำได้ถึงลักษณะนี้ๆ แล้วจะต้องได้ขึ้นชื่อว่าเป็นขั้นนี้ๆ...ดิฉันไม่สนใจ และไม่คิดว่านั่นเป็นสาระที่ต้องใฝ่ใจในขั้นตำแหน่งใดใด

นี่คือวิธีที่ดิฉันปฏิบัติ พี่เข้าใจมั้ยคะ
ดิฉันเข้าใจอย่างนี้...การจะเข้าให้ถึงธรรม สาระแก่นแท้ มันคือว่า ไม่ยึดตัวกู ของกู เราอย่าไปติดยึด เราอย่าแม้แต่อยากจะได้นั่นได้นี่ ...แม้แต่จะอยากไปให้ถึงขั้นนั้นขั้นนี้

....เพราะจะไม่มีวันไปถึงอย่างแท้จริง.....

เช่น ถ้าพี่นั่งปฏิบัติสมาธิ แล้วก็เพ้ออยู่ทุกลมหายใจเข้าออก ว่าแหม อยากเห็นนิมิตนั่นนี่บ้างจัง.....พี่จะไม่เห็น อย่างนี้เป็นต้น


ขอโค๊ดอีกทีค่ะ จะได้เคลียร์นะ
แต่อยู่ที่หากเกิดเหตุอันเข้าข่ายติเตียนปรามาสพระรัตนตรัย ไม่ว่าจะด้วยกายก็ดี ด้วยวาจาก็ดี ด้วยใจก็ดีนั้น ควรที่พุทธบริษัททุกท่านจะไม่สบายใจ
จากประโยคนี้(และอีกบางประโยคของบางท่าน) แสดงให้เห็นว่า ในที่แห่งนี้ เกิดมีคน(ใครก็ไม่ทราบ พี่พรวดออกมาลอยๆ) ปรามาสพระพุทธเจ้าบ้าง พระรัตนตรัยบ้าง

ขอถามค่ะ ว่า อะไรของพี่คะ....
พี่จะบอกว่า ป่าวคับ ป๋มไม่ได้แจ้งชื่อว่าเจ๊สายลับ เป็นผู้ลงมือ กระทำการปรามาส ...ก็จะหมายถึงใครล่ะ ดิฉันยังไม่เข้าใจนะ ใครปรามาส ฟ้าฝนหรือแมงหวี่ที่ไหน

ดิฉันจึงได้ลงมือ อย่างรุนแรงกลับไปบ้าง
ชี้ให้พี่เห็นให้ชัดๆ ว่า การยัดยาบ้าใส่มือคนอื่น เพื่อจะจับมันขึ้นศาล มิใช่สิ่งพึงกระทำ

แล้วก็อยากจะขอฝากไว้อีกข้อให้คิด
แถบเอเชียเรานี่ บ้าผีสาง บ้าอิทธิฤทธิ บ้าศักดานุภาพอะไรกันมาก แถมมองเรื่องศาสนาเป็นสิ่งที่ไม่พึงแตะต้อง ตำรับตำราก็ล้วนแต่ถูกเสี้ยมสอนให้วางไว้แค่เหนือหัว

ฝุ่นจับอยู่บนหิ้ง ไหว้เช้าเย็น ไม่รู้จะไหว้ไปเพื่อให้เกิดอันใด

ทำให้มันง่ายๆซะบ้างเถิด อย่าข้อแม้นัก
ตัวหนังสือ ไม่ใช่ตัวบุ้ง จับไปเถิด ไม่มีคัน
แสดงความเห็นได้ค่ะ คนเรา อย่าเอาแต่ แบ๊ะแบ๊ะ

ถามจิงนะ เด็กๆน่ะ ถ้าจับมันมานั่งฟัง แล้วพอมันไม่เห็นด้วยตรงไหน ยกมือขึ้น ขอแสดงความเห็นข้องใจและขัดแย้ง ...เจอตวาดแว๊ดเลย...เฮ้ย...ห้ามไม่เข้าใจ ...อย่านะ อย่ามาหือ อย่าไม่เห็นด้วย...ฟังซะ หุบปาก แล้วเชื่อฝังหัวตามนั้น :!:

พี่ว่าเด็กมันจะสนใจตำราสูงส่งที่วางไว้บนหิ้งนั่นมั้ย

อย่างท่านทะไลลามะที่ 14 ท่านชอบถกกะนักวิทยาศาสตร์สมัยใหม่
ใครจะท้วงว่าให้ระวังกระไร ท่านก็ว่า จะไปกลัวอะไรล่ะ ถกได้แน่
ท่านว่า ถ้ามันใช่มันก็ใช่ ถ้าไม่ใช่อันไหนพิสูจน์สิ้นสุดแล้ว เราก็พร้อมยอมรับ เช่นว่า ที่ดวงจันทร์นั้น นิลอาร์มสตรองไปเหยียบดวงจันทร์ยังได้ ...อย่างนี้เราก็ต้องยอมรับ ว่าในส่วนนี้ของความเชื่อตำราโบราณมันต้องลบออกไป จะมัวกราบไหว้ดวงจันทร์แบบเดิมอยู่ก็ใช่ที่


และอันนี้
หาก board ขาดพี่สายลับไปคนคงจะแย่แน่ๆ
พี่ก็กล่าวเกินจริง เวบนี้ขาดดิฉันไป ไม่สะเทือนปลายก้อยหรอก
ถ้าขาด ท่านโยโย่ ท่านนริศ ท่านมน ท่านลูกอิสาน ท่านประธาน ท่านฉัตรชัย ท่านป๋าพอใจ...โอยอีกหลายคนกล่าวถึงไม่ครบในที่นี้....เนี่ย ขาดพวกท่านเหล่านี้ไปจิ บอร์ดสะเทือน :lol:


ปล. อ่ะลืม ท่านเจ๋งอีกคน เด๋วเจอทวง  :lol: (แวะแซว)
Jeng
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 14783
ผู้ติดตาม: 0

ทำไมเราควรเชื่อพุทธศาสนา

โพสต์ที่ 139

โพสต์

โค้ด: เลือกทั้งหมด

เราเข้ามาพูดคุยกันในเชิงสร้างสรรค์ เสริมสร้างปัญญา 
พร้อมที่จะรับข้อมูลของผู้ที่รู้มากกว่า หลังจากใคร่ครวญแล้ว 

คงเป็นเรื่องน่าขัน ที่ชาวพุทธคุยเรื่องธรรมมะกันแล้วต้องทะเลาะกันจนมองหน้ากันไม่ติด 
ผมคิดว่าคงไม่ใช่วิสัยชาวพุทธ
ธรรมดามาก ที่จะเห็นไม่ตรงกัน สมัยพุทธกาลหลังจากพระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพาน ก็มีพระผู้ใหญ่สายหนึ่ง เห็นไม่ตรงกับพระท่านอื่น จึงเกิดการสังคายนา

และสุดท้าย เท่าที่ดูจาก ตามรอยพระพุทธเจ้า พี่พอใจให้มา เท่าที่จำได้มี 16 ส่าย

ผมคิดว่า พวกเราก็คนธรรมดา เอาแค่

1. ทำบุญ ทำทาน
2. รักษาศิล 5 - 10ฃ
3. ปฎิบัติบ้าง ตามแต่โอกาสอำนวย

ส่วนเรื่องลึกๆที่ยังเห็นไม่ตรงกันนั้น ผมขอผ่าน

ยกตัวอย่างผมเคยฟัง ท่านพุทธทาส ( เรียกตามคนอื่นด้วยความเคารพ ) กล่าวว่า สวรร นรก ไม่มี ผมก็ฟังนะ ฟังจากเสียงท่านเลย อันนี้จำแม่น

แต่พอไปบางวัด ก็บอกว่า สวรร นรก มีแน่นอน ผมก็ฟังอีกนะ

สุดท้าย สวรร นรก มีหรือไม่มี ผมมานั่งคิดว่า ผมไปทำบุญ ทำทาน รักษาศิล ปฎิบัติบ้าง ก็จะดีกว่า มานั่งคิดว่า มี หรือ ไม่มี

และผมก็ไม่ได้หลบหลู่ ท่านพุทธทาส หรือ ผมก็ไม่ได้ลบหลู่วัดที่สอนว่ามี สวรร มีนรก

เรื่องที่ถกกันนั้น ลึกซึ้ง ระดับ ยกอภิธรรมมาอ้างนะ ว่า สวรร นรก มีจริง แต่ท่านพุทธทาส บอกว่า อภิธรรมมาแต่งทีหลังครับ

เอาเป็นว่า ผมม่ายยุ่งนะ เพราะเกิดประโยชน์น้อย ในการถกเถียงกัน

ปล. สายลับ007 ใครว่าอะไรเรา ถ้าเราเป็นอย่างนั้น เราก็ ไม่ต้องโกรธ หากเราไม่ได้เป็นอย่างนั้น เราก็ไม่ต้องโกรธ เขาก็มีสิทธิ์ว่า แต่เราก็ไม่ต้องโกรธ เขาก็สิทธิ์ ที่จะเข้าใจถูก เข้าใจผิด หวังดี หวังร้าย ตีความ ตัดสิน หรืออะไรก็ได้ทั้งนั้นแหละ
MarginofSafety
Verified User
โพสต์: 5786
ผู้ติดตาม: 0

ทำไมเราควรเชื่อพุทธศาสนา

โพสต์ที่ 140

โพสต์

กระทู้ยังร้อนเหมือนเดิม สงสัยมุขเราไม่ขำแฮะ
"Winners never quit, and quitters never win."
Jeng
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 14783
ผู้ติดตาม: 0

ทำไมเราควรเชื่อพุทธศาสนา

โพสต์ที่ 141

โพสต์

โค้ด: เลือกทั้งหมด

พี่พอใจ พี่เจ๋ง พี่สายลับ และทุกท่าน 
จะมาบอกว่าจะไปอยู่วัดภัททันตะอาสภาราม 
ที่บ้านบึงอ่ะ 
ตอนแรกว่าจะไปนู่น สกลนู่น 
แต่ว่ามันไกลจัด ที่บ้านไม่ค่อยอยาก 
พอดีเจออาจารย์ท่านนึง 
ท่านพาไปคุยกะหลวงพ่อที่วัดมหาธาตุ 
หลวงพ่อท่านบอกว่าถ้าสนใจจริงก็แนะนำที่นี่ 
เคร่งดี เริ่มตั้งแต่ตีสามครึ่ง  

คุยๆกับท่านท่านว่าที่ผ่านมาของผมเป็นแนว "สมถะ" 
แต่ที่นี่จะเป็นสติปัฎฐานสี่ แนวพี่สายลับเลย 
ผมก็เลย เออน่าสนแฮะ ก็ว่าจะเอาซะหน่อย 

อยากถามนี๊ดนึงครับ 
พี่ๆ ไปนั่งไปปฎิบัติเนี่ยคนรอบข้างเขาเข้าใจไหมครับ 
คือคนรอบข้างผมเขาถามว่า "เป็นไรเปล่า" 
แต่คนที่ถามนี่ไม่เคยบวชหรือนั่งมาก่อนนะ 
ผมก็ว่าไม่ได้เป็นไรหรอก 
เวลาตีแบดนะ บางจังหวะมันต้องแย๊บแล้ว 
แต่เพราะร่างกายไม่ฟิตน่ะ เลยต้องเข้าไปหยอดหรือโยนแทน 
คนเล่นคู่มันเห็นเลย ว่าร่างกายนาย "ช้า" 
ไอ้นี่เรื่องจิต เรื่องสติ ก็คล้ายๆกันอ่ะ 
ผมรู้ว่าทำไม ผมถึงจะไปนั่ง 
แต่เขาไม่ค่อยเข้าใจอ่ะ 
เขากลัวผมไปไม่กลับ ฮ่าฮ่าฮ่า 
อะไรมันจะขนาดน๊าน...จ๊ะ 

แค่อยากถามว่า พวกพี่ๆทำไงครับ 
พยายามอธิบาย หรือ เอ่อ เงียบๆดีกว่า 

ผมก็อธิบายนะ แต่ดูเหมือนว่า 
มันยิ่งไปทำเขางงใหญ่ 
แค่เริ่มคำว่า ขันธ์5 เวทนา อะไรพวกนี้ 
ก็สร้างความงุนงงและเป็นห่วงซะแล้ว 
คนรอบข้างนี่ใครกันเหรอ บิดา มารดา แฟน หรือใคร

ก็ค่อยๆอธิบายเขาไปนิดๆละกัน ว่าจะไปเพราะอะไร

ถ้าเราเองเป็นที่รักของทุกคน พอเราจะเข้าวัด คนก็กลัวนะซิ กลัวสูญเสียของรัก ใช่ปะ ก็ค่อยๆอธิบายละกัน
ภาพประจำตัวสมาชิก
Ryuga
Verified User
โพสต์: 1771
ผู้ติดตาม: 0

ทำไมเราควรเชื่อพุทธศาสนา

โพสต์ที่ 142

โพสต์

ขอโทษพี่สายลับอีกครั้งหนึ่งครับที่กล่าวไปแล้วทำให้เข้าใจเช่นนั้น :bow:

แต่ก็ต้องขอบคุณด้วยครับ เพราะผมออกปากจะไม่ต่อแล้ว หากพี่สายลับไม่ปุจฉามา ผมก็ไม่อาจวิสัชนาไป :D

ผมอาศัยเหตุเช่นไรจึงถึงแก่กล่าวว่าพี่สายลับจะเข้าข่ายปรามาสพระรัตนตรัยนั้น ขอชี้แจงดังนี้
พี่หวีจ๋า...พระธรรมที่ระบุไว้ในพระไตรปิฏกน่ะ ก็เกิดมาจากความเห็นของคนๆนึง(ในที่นี้เชื่อกันต่อๆมาว่า คือของพระพุทธเจ้า)
หรือในความเป็นจริง น่าจะกล่าวได้ว่า เป็นความเห็นของไม่ใช่แค่คนนึง แต่เป็นของหลายๆคน ที่บันทึกเข้าไปอย่างสืบต่อๆกันมา(ย่อมมีเพิ่มนู่น ตัดนี่ ไรต่างๆ)

ซึ่งสาระที่ท่านบันทึกลงไปในนั้น ล้วนแต่เอาความเห็นเข้าไปจับหาสาระนั้นๆ

ความเห็นในที่นี้นั้น ก็คือ ท่านได้ลองกระทำดูก่อน จึงได้เกิดมีความเห็นขึ้นมาได้ ว่า....อ้อ ไอ้ใบไม้กำมือเดียวจากใบไม้ทั้งป่า อันนี้แหละท่านลงความเห็นว่า นี่น่ะสาระ

แล้วอาจารย์ท่านนี้ ผู้คิดค้นพระสูตรนี้ขึ้นมา เดิมทีท่านก็ย่อมมีอาจารย์อีกทีนึง และย่อมมีตำรามากมายที่ต้องศึกษา
แล้วต่อมา ท่านก็มาเจอสูตรของท่าน ท่านก็เลยเอาสูตรมาฝากคนอื่นๆ
แล้วท่านก็ยังมีแนะด้วยนะ ว่า นี่นา เรามีสูตรพ้นทุกข์อย่างดีเลยอ่ะ มาฝาก ลองฟังดู แล้วอย่าเชื่อเรานะ ท่านยังกำชับไว้เช่นนั้น ท่านให้ลองเองนะ ต้องลองดูว่าทำแล้วเห็นเป็นไง

นี่เอง ที่ดิฉันชื่นชอบพระพุทธเจ้า ท่านทันสมัย นี่ท่านเกิดในยุค สองพันกว่าปีก่อน แต่ท่านทันสมัยได้ถึงขนาดนี้นะ
ที่ว่า "พระธรรมที่ระบุไว้ในพระไตรปิฏกน่ะ ก็เกิดมาจากความเห็นของคนๆนึง(ในที่นี้เชื่อกันต่อๆมาว่า คือของพระพุทธเจ้า)"
ศัพท์ว่าความเห็น ความเห็นนั้น เป็นสังขตธรรมอันประกอบรวมขึ้นด้วยเหตุ หากสิ้นเหตุไป สังขตธรรมนั้นย่อมไม่อาจดำรงอยู่ได้ แต่พระธรรมเป็น อกาลิโก ไม่ประกอบด้วยกาล คงทนต่อการพิสูจน์ จะหยิบข้อใดอรรถใดมาพิสูจน์ก็ย่อมได้ คำว่าความเห็นจึงใช้ไม่ได้ ด้วยว่า opinion กับ fact นั้น ไม่เหมือนกัน
หากกล่าวว่าพระธรรมเป็นเพียงความเห็น พระธรรมก็เป็นเพียงสิ่งหนึ่งอันปรุงแต่งขึ้นจากความรู้แลประสบการณ์ของคนที่แสดงความเห็นนั้น อาศัยเหตุนี้ ผมจึงกล่าวว่า จะเข้าข่ายปรามาสพระรัตนตรัย ในที่นี้ก็คือ พระธรรมรัตนะ

และไม่เพียงแต่เท่านั้น เพราะพระธรรมไม่ประกอบด้วยกาล พระธรรมมีอยู่แล้ว พระพุทธเจ้าเป็นผู้ที่รู้แจ้งในพระธรรมแล้วนำมาประกาศ แม้พระพุทธเจ้าพระองค์ใดตรัสรู้แล้วก็ย่อมสั่งสอนเช่นเดียวกัน ประกาศพระสัทธรรมเนื้อความเช่นเดียวกัน การรู้แจ้งธรรมของพระองค์มิได้เป็นการลองผิดลองถูกลองทำไปเรื่อยๆ แบบหาความรู้ทางโลกไม่ ท่านเคยเสวยสุขในวังมา เคยทรมานตนมา ก็พบว่าทั้งสองทางนั้นไม่ทำให้พ้นทุกข์ ดังที่ท่านได้กล่าวต่อมาว่า เทวฺ เม ภิกฺขเว อนฺตา ปพฺพชิเตน น เสวิตพฺพา นั้นเป็นต้น  อาศัยเหตุแห่งการลองแบบนั้นไม่ได้ทำให้พ้นทุกข์หรือรู้แจ้งธรรมอันประเสริฐใด แต่เมื่อเหตุแห่งการตรัสรู้ถึงพร้อมพระองค์จึงได้เห็นแจ้งในธรรมทั้งมวล

อาศัยเหตุดังว่ามานี้ด้วยการกล่าวว่าพระธรรมเป็นความเห็น ผมจึงกล่าวว่า จะเข้าข่ายปรามาสพระรัตนตรัย ในที่นี้ก็คือ พระพุทธรัตนะ เพราะเป็นการคัดค้านพระสัพพัญญุตญาณ  เป็นการหมิ่นพระเวสารัชชญาณของพระบรมศาสดา

ที่ว่า "หรือในความเป็นจริง น่าจะกล่าวได้ว่า เป็นความเห็นของไม่ใช่แค่คนนึง แต่เป็นของหลายๆคน ที่บันทึกเข้าไปอย่างสืบต่อๆกันมา(ย่อมมีเพิ่มนู่น ตัดนี่ ไรต่างๆ) "
หากใครอ่านพระไตรปิฎก ย่อมรู้ดีว่าฤทธิ์เดชแห่งการมุขปาฐะกันมานั้น ส่งผลเช่นไร ภาษาที่ปรากฏในพระไตรปิฎกนั้นหาใช่แบบมนุษย์ธรรมดาเขาสนทนากันไม่ แต่กลับเป็นถ้อยคำอันเป็นระเบียบเรียบร้อย รัดกุม บางที่ก็เป็นคาถาประพันธ์ เป็นโศลก มีความไพเราะ ทั้งนี้ก็เพราะมีการตัดทอน รวบรวมเนื้อความสำคัญไว้อย่างเป็นระบบระเบียบ เรื่องไม่มีการเพิ่มนั่นตัดนี่ย่อมเป็นไปไม่ได้ตลอดกาลเวลาอันยาวนาน แต่เนื้อความสำคัญต้องนับว่าสมบูรณ์ดีที่สุดเท่าที่พระสงฆ์ท่านจะทำได้แล้ว

อย่างเช่นสังคีติสูตรนั้นก็ชัดเจนว่าผู้ประมวลคือพระธรรมเสนาบดีสารีบุตร ซึ่งก็เป็นที่ทราบกัน มีระบุไว้ชัดเจน ที่เป็นเถระคาถา เถรีคาถา ก็ระบุชัดเจนว่าเป็นของท่านใด หากจะประมวลข้อธรรมใดๆ ก็นิยมประพันธ์เป็นเรื่องเฉพาะแยกต่างหาก เป็นตำราแยกต่างหากออกมา ในอรรถกถานั้น ก็ไม่ทราบว่าจะมีภิกษุมากท่านเท่าใดร่วมกันเรียบเรียงขึ้นมาเพื่อจะอธิบายความพระไตรปิฎก แต่นั่นย่อมไม่ใช่เหตุอันจะนำไปกล่าวว่าพระสงฆ์ท่านอาศัยความเห็นเฉพาะตัวไปเพิ่มนั่นตัดนี่เอาตามที่เห็นควรเองไม่ ใครมาอ่านชั้นหลังก็อาจเข้าใจไปได้ว่า พระไตรปิฎกเป็นความเห็นที่หลายๆ ท่านรวมประมวลกันขึ้น ตัดนั่นเพิ่มนี่ ตลอด ย่อมไม่น่าเชื่อถือ ดังนี้

อาศัยเหตุดังว่ามานี้ ผมจึงกล่าวว่า จะเข้าข่ายปรามาสพระรัตนตรัย ในที่นี้ก็คือ พระสังฆรัตนะ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Ryuga
Verified User
โพสต์: 1771
ผู้ติดตาม: 0

ทำไมเราควรเชื่อพุทธศาสนา

โพสต์ที่ 143

โพสต์

ต่อมาพี่หวีก็ได้ยกขึ้นกล่าวแก้ อันพี่สายลับก็เห็นตามนั้น ต่อมาพี่สายลับก็กล่าวถึงพระธรรมว่าย่อมคงทนต่อการพิสูจน์ นี่ย่อมเห็นว่าพี่สายลับหาได้มีเจตนาจะปรามาสพระธรรมไม่ แลด้วยพระพุทธ พระสงฆ์ก็เช่นเดียวกัน ที่จริงเรื่องก็นับว่าจบแล้ว เพียงแต่ผมอ่านแล้วไม่สบายใจก็ขุดขึ้นมากล่าวเผื่อว่าใครจะไปอ่านความนั้นเข้าแล้วเข้าใจผิดเห็นผิดไปก็จะไม่ดี

คำว่าความเห็นย่อมยังให้เกิดความเข้าใจผิดได้ดังที่ผมกล่าวขอโทษไปแล้ว ด้วยที่ยกคำกล่าวท่านขงจื่อมาเรื่องข้อจำกัดของถ้อยคำและภาษามาตั้งแต่ต้นก็เพราะที่พี่สายลับกล่าวคำว่าความเห็นนั้น อาจหมายถึง ความเห็นแจ้ง ความรู้แจ้ง ความเห็นประจักษ์ ดังที่พระพุทธองค์ได้กล่าวว่ารู้ด้วยจักษุ ด้วยญาณนั้นเป็นต้น เช่นนี้แล้วก็นับว่าผมเข้าใจผิดอย่างมากแล้วก็ถึงแก่ตั้งข้อกล่าวหาร้ายกาจเอากับพี่สายลับ ซึ่งก็ต้องขออภัยมาอีกครั้ง :bow:

ที่ว่าสไตล์พี่สายลับนั้น หมายถึง ความเป็นมวยวัด ที่มุ่งตรงเลย ไม่รอช้า ลุย ตรงไปตรงมา เปิดเผย จริงใจ ไม่อ้อมค้อม ส่วนผมนั้นเป็นพวกขี้กลัว กลัวนั่นกลัวนี่ แก่ตำรา เป็นหนอนหนังสือ อ้อมค้อม ไม่ค่อยเปิดเผย
จะอธิบายคร่าวๆก่อน ว่า จริงๆ ในสติปัฐฐานสี่ คือจะประกอบด้วย อาณาปานสติทั้ง 16 ขั้นค่ะ
อันนี้เอามาสั้นๆ เพื่อจะอธิบายที่ว่าไม่เห็นด้วยแต่ก็ไม่คัดค้านนั้นอย่างไร
การเรียบเรียงประโยคเช่นข้างบนที่ว่าอาจทำให้ผู้อ่านเข้าใจว่า สติปัฏฐานสี่ประกอบด้วยอาณาปานสติ 16 ขั้น หรือ สติปัฏฐานสี่ประกอบด้วยอาณาปานสติ 16 ขั้น เท่านั้น ซึ่งดูแปลกๆ หากเรียบเรียงว่า  อาณาปานสติทั้ง 16 ขั้นนับเป็นสติปัฏฐานสี่ หรือ อาณาปานสติทั้ง 16 ขั้น เป็นสติปัฏฐานสี่ เช่นนี้ผมไร้ข้อเห็นต่างทันที

อย่างไรก็ตามอย่างที่กล่าวว่าผมเล็งเห็นว่าพี่สายลับเจตนาดี มุ่งประโยชน์ มุ่งความสุขแก่คนอื่น ผมมองเจตนานั้นสำคัญ จึงไม่โต้แย้งใดๆ คนจำนวนมากเสียอีกที่คร้านจะมาอธิบายเรื่องเหล่านี้เพื่อประโยชน์คนอื่น เพราะเรื่องของคนอื่นเค้าจะเป็นยังไงก็ช่าง ทำนองนั้น แต่พี่สายลับมีใจเอื้อเฟื้อแก่ผู้อื่นเสมอ ซึ่งผมก็อนุโมทนาด้วยบ่อยๆ :pray:  :D
ภาพประจำตัวสมาชิก
Ryuga
Verified User
โพสต์: 1771
ผู้ติดตาม: 0

ทำไมเราควรเชื่อพุทธศาสนา

โพสต์ที่ 144

โพสต์

ผมเคยไปอยู่วัดพักนึง เป็นวัดพระสายหลวงปู่มั่น ครั้งนั้นมีท่านป้า 2 ท่าน เป็นอุบาสิกามาพักที่วัดด้วย ภายหลังก็ทราบว่าท่านอาศัยเวลาว่างจากการงาน เทียวไปที่นั่นที่นี่หลายวัดแล้ว โดยเฉพาะวัดที่มีพระอาจารย์ผู้มีชื่อ วัดพระอาจารย์สายหลวงปู่มั่นท่านได้ไปมาเกือบหมดแล้ว

คะเนดูก็เห็นว่าท่านนึงอายุก็คงจะเลขสี่แล้ว อีกท่านก็คงไม่แคล้วเลขห้า ผมเองแค่เลขสอง ก็ไม่ได้สนทนาอะไรมากด้วยวิสัยปกติเป็นคนปากเสีย คร้านจะสนทนากับผู้อาวุโสกว่า เกรงจะไปล่วงเกินท่านเข้า

เหตุมามีเอาช่วงค่ำ ทำวัตรเย็นแล้ว ท่านป้าผู้อาวุโสด้านตัวเลขกว่าก็เข้ามาคุย คุยไปคุยมาท่านก็ควักเอาแบบฟอร์มให้เซ็นชื่อสนับสนุนที่จะให้พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติเข้าในรัฐธรรมนูญออกมาให้ผมเซ็น ผมเห็นแล้วก็บอกทันทีว่าไม่เซ็นเพราะไม่เห็นด้วย ท่านก็มีความเพียรพยายามชักแม่น้ำทั้งห้า แลเหตุผลต่างๆ เพื่อจะให้ผมตกลงปลงใจที่จะเซ็นแบบฟอร์มนั้น ผมก็ยกเหตุผลของผมออกต้าน ท่านป้าก็ยังมีวิริยะอุตสาหะ ยกเหตุผลอื่นๆ ขึ้นมาอีก เมื่อถึงกาลนั้นแล้ว ผมก็ตัดบทเอาดื้อๆ ความว่า

ท่านป้าอย่าได้เสียเวลาว่ากล่าวอีกเลย ผมกล่าวแต่แรกแล้วว่าไม่เซ็น ไม่เซ็นก็คือไม่เซ็น หากท่านป้าจะกล่าวอะไรต่อไปก็จะเสียเวลาเปล่า ดังนี้

ท่านป้าท่านนี้นับว่ามีขันติธรรมอันดี ท่านก็ยิ้มไม่ว่าอะไร แต่แววตาท่านก็มีประกายอย่างหนึ่งอยู่ แลคำกล่าวที่ผมกล่าวไปนั้นก็นับว่าไม่สุภาพสำหรับผู้ใหญ่ที่สูงวัยกว่าตนมาก (ดังว่าท่านฟังไม่รู้ภาษาคนฉะนั้น) ด้วยความที่ผมมีปรกติเป็นคนปากร้าย อุปนิสัยหยาบคาย มักไม่เกรงอกเกรงใจผู้ใหญ่แลผู้อาวุโส จึงได้กล่าวเช่นนั้น แต่ผมเห็นประโยชน์เช่นนั้นจริงๆ ว่าหากท่านป้าท่านนั้นจะหว่านล้อมผมต่อไปก็เสียเวลาเปล่า

ครั้นเช้าวันรุ่งขึ้น หลังทำวัตรเช้าแล้ว พระท่านฉันเช้าแล้ว อุบาสก อุบาสิกา ก็กินข้าวบ้างตามหลังพระ ท่านป้าอีกท่านหนึ่งก็ทักขึ้นมาถึงเรื่องแบบฟอร์มทันทีว่าควรจะเอาให้ผมเซ็น ท่านป้าผู้สูงวัยกว่าก็กล่าวว่าบอกไปแล้วเขาไม่เซ็น ท่านป้าที่อ่อนกว่าก็เสียงแข็งทันที แม้ผมไม่ได้เห็นสีหน้าชัดเจน แต่น้ำเสียงนั้นชัดมาก ท่านป้าท่านนั้นก็พยายามหว่านล้อมอีก ผมก็ได้แต่ยืนยันคำปฏิเสธ ท่านป้าผู้นี้ขันติธรรมต่างกับอีกท่าน จึงกล่าวแลมองผมดุจดังว่าเป็นพวกอันมิจฉาทิฏฐิครอบงำ ไม่อาจจะอยู่ทนคุยต่อไปได้ฉะนั้น

การที่ท่านป้าทำมึนตึงใส่ผมนั้น ผมติดจะตื่นเต้นอยู่บ้าง นอกนั้นก็เฉยๆ รู้สึกดีเสียอีกที่เขาไม่มาคุยด้วย
ครั้นเวลาสายต่อมาท่านก็ออกวัดไป ผมได้คุยกับท่านแม่ชีที่วัด ก็ได้ทราบว่าท่านป้าทั้งสองก็ได้ควักฟอร์มออกมาให้เซ็นเหมือนกัน แม่ชีท่านกล่าวว่าท่านเองก็ไม่ได้เห็นด้วยหรอก แต่ก็ไม่กล้าแย้ง เห็นเขาเอาออกมาก็เซ็นๆ ไป :lol:

ที่เล่ามาก็คือเพื่อจะให้เห็นว่าผมเป็นผู้มีพยศสูง มีความคิดอันผู้อื่นครอบงำได้ยาก นอกจากนั้นก็ยังเป็นคนปากร้าย มีวิสัยหยาบคายไม่เคารพผู้หลักผู้ใหญ่ บางทีก็เล่นคำผวนบ้าง (เรื่องนี้ไม่อยากแพ้พี่พอใจ ฮ่า....) หากมีอันใด ที่ล่วงเกิน ติเตียนกล่าวโทษ พี่สายลับด้วยถ้อยคำหยาบช้า ร้ายกาจ ด้วยเนื้อความอันไม่จริง ผมก็ขอโทษทั้งหมด ผมผิดเองแต่ผู้เดียว :bow: หวังว่าทุกๆ ท่านก็จะได้สบายใจ :D
ภาพประจำตัวสมาชิก
Eyore
Verified User
โพสต์: 606
ผู้ติดตาม: 0

ทำไมเราควรเชื่อพุทธศาสนา

โพสต์ที่ 145

โพสต์

อา.. ในฐานะคนต้นเรื่อง

กระผมมีความคิดเห็นดังเช่นที่ท่าน ryuga post มาเมื่อ 2-3 reply ก่อนทุกประการ

ดังนั้น จึงขอจบเรื่องนี้แต่เพียงเท่านี้ครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
Ryuga
Verified User
โพสต์: 1771
ผู้ติดตาม: 0

ทำไมเราควรเชื่อพุทธศาสนา

โพสต์ที่ 146

โพสต์

ลืมไป เสริมอีกนิดครับเพราะเห็นกล่าวถึงใบไม้กำมือเดียวบ่อยๆ :D

พระธรรมนั้นย่อมมีมากมายประดุจใบไม้ทั้งป่า แต่หลักสำคัญที่สุดจริงๆ อยู่ที่เพียงใบไม้กำมือเดียวนั้น
ด้วยพระสัพพัญญุตญาณ พระผู้มีพระภาคเจ้าย่อมรู้แจ้งซึ่งใบไม้ทั้งป่า แต่พระองค์กล่าวว่าสำหรับชนทั่วไปรู้แต่ใบไม้กำมือเดียวก็พอ ไม่ต้องรู้ถึงขั้นพระองค์ก็ทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ แต่ถึงเพียงนั้นก็หาได้ยากเต็มทีที่จะมีผู้รู้แจ้งในใบไม้กำมือเดียวนั้น ถึงแม้จะรู้แจ้งแล้ว ทำที่สุดแห่งทุกข์แล้ว ก็ไม่มีผู้ใดอาจจะมีความรู้แจ้งทั่วถึงใบไม้ทั้งป่าดุจเดียวกับพระผู้มีพระภาคผู้ทรงพระสัพพัญญุตญาณไม่ พระอรหันต์ผู้ถึงพร้อมด้วยปฏิสัมภิทาญาณก็เทียบพระองค์ไม่ได้ แม้พระธรรมเสนาบดีสารีบุตรก็เทียบพระองค์ไม่ได้  :bow:  :bow:  :bow:  :pray:
ภาพประจำตัวสมาชิก
por_jai
Verified User
โพสต์: 14338
ผู้ติดตาม: 0

ทำไมเราควรเชื่อพุทธศาสนา

โพสต์ที่ 147

โพสต์

8) ไปวิ่งที่ระยองมา
     ไม่ได้เข้าเวบมาสองวัน
     กำลังจะเข้ามาถามว่า
     เวลาวิ่ง ถ้ากำหนดสมาธิได้มั่น
     จะเหนื่อยน้อยกว่า
     คิดอะไรเรื่อยเปื่อย มากๆเลย
    ว่าเป็นเพราะเหตุใด
     เขาว่าจิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว
     จิตนิ่งๆ มันทำให้ร่างกายเผาผลาญน้อยหรืออย่างไร
     เดี๋ยวนี้เวลาสมาธิแน่นๆ
     ร่างกายเวลาวิ่งมันเบาๆ มันสบายบอกไม่ถูก
     จิตมันมีพลังขนาดนั้นเชียวหรือครับ

     พอเข้ามาอ่านกระทู้นี้ รู้สึกระเบิดกำลังลงอยู่พอดี
     ไม่ถามแล้วดีกว่าครับ
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
Jeng
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 14783
ผู้ติดตาม: 0

ทำไมเราควรเชื่อพุทธศาสนา

โพสต์ที่ 148

โพสต์

555 ถามได้พี่พอใจ หลายๆคน ในที่นี้ผมว่า เก่งนะ ทั้ง น้องหวี น้อง Ryuga น้อง Eyore และ 007-s

อืม เกือบลืม HVI
Jeng
สมาชิกกิตติมศักดิ์
โพสต์: 14783
ผู้ติดตาม: 0

ทำไมเราควรเชื่อพุทธศาสนา

โพสต์ที่ 149

โพสต์

ผมเองก็ได้ความรู้เยอะ จากกระทู้นี้ เมื่อคืนก็เลยฟังหลวงพ่อ เกษม เขมรรังสี วัดมเหยงคณ์ ฟัง MP3 ฟังไปเรื่อยๆ เผลอแป๊บเดียว เช้าแล้ว

ไม่ได้ฟังถึงเช้าหรอก หลับไปอะ

ในกระทู้นี้ ชอบหลายส่วนนะ เช่น

โค้ด: เลือกทั้งหมด

สังโยชน์ 10 คือเครื่อง ร้อยรัด หมู่สัตว์ให้เกิดตายใน วัฏฏะ 
1. สักกายทิฐิ ความสำคัญว่าเราเป็นกาย เราเป็นใจ 
2. ศีลลัพผัสปรามาส มีศีลแบบไม่รู้เหตุผล ถือโชคลาง 
3. วิจิกิจฉา สงสัย ทำให้ใจ ผัวผันอยู่กับความสงสัย 
4. ปฏิฆะ ความ กระเทือน ของใจ 
5. กามราคะ พอใจในกาม รูปรสกลิ่น เสียงสัมผัส 
6. รูปราคะ พอใจใน รูปฌาน 
7. อรูปราคะ พอใจใน อรูปฌาน 
8. มานะ ถือตัวว่าเราดีกว่าท่าน หรือท่านดีกว่าเรา 
9. ทิฐิ เห็นผิด 
10. อวิชชา ไม่รู้ในอริยสัจ และปฏิจจสมุปบาท 
โดยส่วนตัวไปปฎิบัติมาพอควร แต่ไม่ค่อยได้ยินจุดนี้ เคยได้ยินเหมือนกันครับ แต่ได้ยินผ่านๆ

10 ข้อนี้ผมว่าเป็น ผล ที่เกิดจากเหตุ คือการปฎิบัติ ( สติปัฐฐาน 4 )

เปรียบเสมื่อนสอนลูกเราให้ประหยัด ซึ่งเป็นหลักสำคัญข้อใหญ่ข้อหนึ่ง ของคนที่มีความมั่นคงในชีวิต ( ตัวชี้วัดความร่ำรวยตัวหนึ่ง คือความประหยัด )

อย่างไรก็ตาม ประหยัดทำอย่างไรหละ ในเมื่อเห็นอะไรก็อยากได้ อยากได้ อยากได้

พี่ชายผมบอกว่า อยากได้อะไร ไปยืนดู จนกว่าจะหายอยาก ( ใช้สติ เหนือกิเลส )ถ้ายังอยากอยู่ อีกวันไปดูใหม่ ถ้ายังอยากได้อีก โดยไม่มีอารมณ์อยากเข้ามาเกียวข้องแล้ว ก็ซื้อได้ เพราะเป็นเรื่องเหตุผล เรื่องความจำเป็นล้วนๆ
007-s
Verified User
โพสต์: 2496
ผู้ติดตาม: 0

ทำไมเราควรเชื่อพุทธศาสนา

โพสต์ที่ 150

โพสต์

ค่ะป๋าพอใจ ความเห็นดิฉัน จิตมีความสามารถขนาดนั้นเลย

เฮียเจ๋ง
ปล. สายลับ007 ใครว่าอะไรเรา ถ้าเราเป็นอย่างนั้น เราก็ ไม่ต้องโกรธ หากเราไม่ได้เป็นอย่างนั้น เราก็ไม่ต้องโกรธ เขาก็มีสิทธิ์ว่า แต่เราก็ไม่ต้องโกรธ เขาก็สิทธิ์ ที่จะเข้าใจถูก เข้าใจผิด หวังดี หวังร้าย ตีความ ตัดสิน หรืออะไรก็ได้ทั้งนั้นแหละ
ก็นี่แหละค่ะ จะให้ตามสบายกัน จะเอาแก่นหรือกะพี้ ก็จะไม่ยุ่ง
แล้วก็ในความเห็นดิฉันอีกอ่ะนะ เวทนาเกิด ก็คือเกิด อย่าโกหกตัวเอง กดเวทนาไว้ไม่ให้ปรากฏตามที่มันเป็น มันแค่ช่วยภาพภายนอกให้ดูดีระยะสั้น ผลระยะยาวจะเกิดได้ดีกว่า ถ้ากำหนดสติรู้ เกิด ตั้ง ดับ พิจารณาเห็นว่าไม่เที่ยง จึงพบทุกขัง และอนัตตา ค่ะ

พี่ริว.. ใช่แล้ว ดิฉันชัดเจน ไม่อ้อมค้อม ไม่ชอบพะรุงพะรัง

พี่หวี ขอบคุณที่ชี้แนะ ว่าดิฉันควรทำอะไร

ไปล่ะ  :lol: