ถามทุกท่าน ช่วยบอกที เศรษฐกิจประเทศเติบโตหรือแย่ลงครับ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 14783
- ผู้ติดตาม: 0
ถามทุกท่าน ช่วยบอกที เศรษฐกิจประเทศเติบโตหรือแย่ลงครับ
โพสต์ที่ 2
ส่วนตัวแล้ว ถ้าจะตอบคำถามนี้ หลังหุ้นตก 100 จุด กับ ตอบคำถามนี้ หลังหุ้นขึ้น 100 จุด บางคนอาจจะมีคำตอบ ต่างกัน
แต่สำหรับผมแล้ว ผมว่า ดีขึ้นกว่าแต่ก่อนครับ
ยังยืนยัน
เพียงแต่เจอสถานการณ์ ข่าวร้าย ชั่วคราว ที่ทำให้เราได้มีโอกาสเป็นเจ้าของหุ้นพื้นฐานดี ราคาถูก
แต่สำหรับผมแล้ว ผมว่า ดีขึ้นกว่าแต่ก่อนครับ
ยังยืนยัน
เพียงแต่เจอสถานการณ์ ข่าวร้าย ชั่วคราว ที่ทำให้เราได้มีโอกาสเป็นเจ้าของหุ้นพื้นฐานดี ราคาถูก
- Mon money
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 3134
- ผู้ติดตาม: 0
ถามทุกท่าน ช่วยบอกที เศรษฐกิจประเทศเติบโตหรือแย่ลงครับ
โพสต์ที่ 4
เมื่ออาทิตยืที่แล้วไปเยี่ยมลูกพี่เก่าแถวหลังโลตัสพระรามสอง พอขับรถเข้าไปงงเลย ที่รกร้างกำลังกลายเป็นอาคารพานิชณ์ บ้านจัดสรร ขับรถไปแถวๆวัดคู้บอน รามอินทรา กม.9 สองข้างทางกำลังก่อสร้าง แถวๆถนนตัดใหม่สาธร รัตนาทิเบศสองข้างทางเคยเป็นสวนก็กำลังเป็นคฤหาสราคาเกินสิบล้าน ไปซื้อปลั๊กไฟที่ร้านซีเมนไทยฯ ต้องรอคิวจ่ายเงิน
พ่อผมขายเครื่องประดับตอนนี้ขายดีมาก ผมขายถุงมือยางก็ขายดีมากแต่ผมไม่มีของขาย
อาการอย่างนี้มันเกิดจากอารมณ์ครับ ภาคใต้กำลังร้อนอารมณ์คนกังวลก็เลยตามๆกันไป สังเกตุรอบๆตัวให้ดีๆครับว่าออกอาการอย่างไรแล้วจะรู้เอง
พ่อผมขายเครื่องประดับตอนนี้ขายดีมาก ผมขายถุงมือยางก็ขายดีมากแต่ผมไม่มีของขาย
อาการอย่างนี้มันเกิดจากอารมณ์ครับ ภาคใต้กำลังร้อนอารมณ์คนกังวลก็เลยตามๆกันไป สังเกตุรอบๆตัวให้ดีๆครับว่าออกอาการอย่างไรแล้วจะรู้เอง
เป็นบุญหนักหนาเหลือเกินที่ได้เกิดมาเป็นคนไทย เป็นคนไทยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 9795
- ผู้ติดตาม: 0
ถามทุกท่าน ช่วยบอกที เศรษฐกิจประเทศเติบโตหรือแย่ลงครับ
โพสต์ที่ 5
ผมคิดว่าเศรษฐกิจขยายตัว (หมายถึงดี) ขึ้นกว่าเมื่อ 3 ปีก่อนเยอะครับ
แต่ในขณะเดียวกัน ความเสี่ยงก็สูงขึ้นด้วยในหลายๆ ด้าน แต่ก็มีบ้าง
ด้านที่ความเสี่ยงลดลงครับ
เทียบกับสมัยคุณชวน นโยบายรากหญ้าและทุ่มหมดหน้าตักของคุณ
ทักษิณนำมาซึ่งการเติบโตแบบก้าวกระโดดจริงๆ แต่สิ่งที่เสียไปก็เยอะ
ครับ No Pain, No Gain. ปัจจัยความเสี่ยงได้เพิ่มขึ้นอย่างมาก ซึ่งถ้าไม่
เกิดอะไรขึ้นก็ดีไป แต่ถ้าเกิดขึ้น ความถดถอยของเศรษฐกิจก็ย่อมรุนแรง
กว่าเป็นธรรมดา
ความเสี่ยงที่ผมคิดว่าเพิ่มขึ้นและควรจับตามองอย่างใกล้ชิดคือ
1. ปัญหาเรื่องการขยายตัวของเศรษฐกิจจีน -- นโยบาย FTA กับจีน
อาจจะส่งผลร้ายอย่างรุนแรงกับไทยได้
2. ปัญหาเรื่องสงครามจากผู้ก่อการร้าย -- นับจากสมัยพระนารายณ์
เป็นต้นมา ไทยดำเนินนโยบาย "ไทยนี้รักสงบ" มาตลอด แม้กระทั่ง
ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เราก็ยังดำเนินนโยบายไม่ฝักไฝ่
ฝ่ายใด ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่รัฐบาลไทยประกาศสนับสนุนอเมริกา (และ
Bush) เต็มที่ โดยแลกกับสิทธิพิเศษทางการทหารและการเอื้อประโยชน์
ทางการค้าให้ไทย -- ถ้าเราไม่เป็นเป้าก่อการร้าย ก็ถือว่ากำไรครับ แต่
ถ้าเราโดนบอมบ์ครั้งเดียว ก็ขาดทุนยับเยินครับ
3. ปัญหาจากหนี้ของประชาชน -- ตราบใดที่เศรษฐกิจยังเคลื่อนตัวไป
ในแนวบวก เรื่องนี้เป็นข้อดีในการกระตุ้นเศรษฐกิจให้มีเงินไหลเวียน
ทำให้บริษัทต่างๆ ได้กำไรมากขึ้น ตลาดหลักทรัพย์ก็ใหญ่ขึ้น คนก็ (คิด
ว่าตัวเอง) มีเงินมากขึ้น ใช้จ่ายมากขึ้น และเศรษฐกิจก็จะเติบโตขึ้น
แต่วันใดที่เศรษฐกิจหยุดโตหรือถดถอย เรื่องนี้จะทำให้เศรษฐกิจพัง
พาบเร็วกว่าที่ควรจะเป็น
4. ปัญหาจากประชากรไร้คุณภาพมากขึ้น -- เดี๋ยวนี้วัยรุ่นฟุ้งเฟ้อขึ้นเรื่อยๆ
และใช้เงินอย่างไม่เป็นระบบมากขึ้น ประชาชนก็ขาดวินัยในการออมเงิน
เน้นว่าพยายามหาให้ได้มากกว่ารายจ่ายเป็นใช้ได้ สรุปคือ นิสัยการใช้เงิน
ยังเหมือนเดิมหลังจากได้บทเรียนในคราวที่แล้ว และคอยแต่จะมองหา
"ฮีโร่" หรือพระเอกขี่ม้าขาวมาช่วย ไม่รู้จักช่วยตัวเองก่อน
5. ปัญหาเรื่องดอลลาร์อ่อน -- อันนี้ไม่เกี่ยวกับนโยบายรัฐบาลชุดปัจจุบัน
เท่าใด แต่ก็เป็นปัญหาใหญ่สำหรับการส่งออกของไทย ซึ่งอาจจะนำไป
สู่การชะงักงันทางเศรษฐกิจได้
นอกจากนี้มีเรื่องอื่นๆ อีกครับ แต่ผมว่า 5 เรื่องนี้เป็น risk factor ที่เราควร
ติดตามอย่างใกล้ชิด
แต่ในขณะเดียวกัน ความเสี่ยงก็สูงขึ้นด้วยในหลายๆ ด้าน แต่ก็มีบ้าง
ด้านที่ความเสี่ยงลดลงครับ
เทียบกับสมัยคุณชวน นโยบายรากหญ้าและทุ่มหมดหน้าตักของคุณ
ทักษิณนำมาซึ่งการเติบโตแบบก้าวกระโดดจริงๆ แต่สิ่งที่เสียไปก็เยอะ
ครับ No Pain, No Gain. ปัจจัยความเสี่ยงได้เพิ่มขึ้นอย่างมาก ซึ่งถ้าไม่
เกิดอะไรขึ้นก็ดีไป แต่ถ้าเกิดขึ้น ความถดถอยของเศรษฐกิจก็ย่อมรุนแรง
กว่าเป็นธรรมดา
ความเสี่ยงที่ผมคิดว่าเพิ่มขึ้นและควรจับตามองอย่างใกล้ชิดคือ
1. ปัญหาเรื่องการขยายตัวของเศรษฐกิจจีน -- นโยบาย FTA กับจีน
อาจจะส่งผลร้ายอย่างรุนแรงกับไทยได้
2. ปัญหาเรื่องสงครามจากผู้ก่อการร้าย -- นับจากสมัยพระนารายณ์
เป็นต้นมา ไทยดำเนินนโยบาย "ไทยนี้รักสงบ" มาตลอด แม้กระทั่ง
ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เราก็ยังดำเนินนโยบายไม่ฝักไฝ่
ฝ่ายใด ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่รัฐบาลไทยประกาศสนับสนุนอเมริกา (และ
Bush) เต็มที่ โดยแลกกับสิทธิพิเศษทางการทหารและการเอื้อประโยชน์
ทางการค้าให้ไทย -- ถ้าเราไม่เป็นเป้าก่อการร้าย ก็ถือว่ากำไรครับ แต่
ถ้าเราโดนบอมบ์ครั้งเดียว ก็ขาดทุนยับเยินครับ
3. ปัญหาจากหนี้ของประชาชน -- ตราบใดที่เศรษฐกิจยังเคลื่อนตัวไป
ในแนวบวก เรื่องนี้เป็นข้อดีในการกระตุ้นเศรษฐกิจให้มีเงินไหลเวียน
ทำให้บริษัทต่างๆ ได้กำไรมากขึ้น ตลาดหลักทรัพย์ก็ใหญ่ขึ้น คนก็ (คิด
ว่าตัวเอง) มีเงินมากขึ้น ใช้จ่ายมากขึ้น และเศรษฐกิจก็จะเติบโตขึ้น
แต่วันใดที่เศรษฐกิจหยุดโตหรือถดถอย เรื่องนี้จะทำให้เศรษฐกิจพัง
พาบเร็วกว่าที่ควรจะเป็น
4. ปัญหาจากประชากรไร้คุณภาพมากขึ้น -- เดี๋ยวนี้วัยรุ่นฟุ้งเฟ้อขึ้นเรื่อยๆ
และใช้เงินอย่างไม่เป็นระบบมากขึ้น ประชาชนก็ขาดวินัยในการออมเงิน
เน้นว่าพยายามหาให้ได้มากกว่ารายจ่ายเป็นใช้ได้ สรุปคือ นิสัยการใช้เงิน
ยังเหมือนเดิมหลังจากได้บทเรียนในคราวที่แล้ว และคอยแต่จะมองหา
"ฮีโร่" หรือพระเอกขี่ม้าขาวมาช่วย ไม่รู้จักช่วยตัวเองก่อน
5. ปัญหาเรื่องดอลลาร์อ่อน -- อันนี้ไม่เกี่ยวกับนโยบายรัฐบาลชุดปัจจุบัน
เท่าใด แต่ก็เป็นปัญหาใหญ่สำหรับการส่งออกของไทย ซึ่งอาจจะนำไป
สู่การชะงักงันทางเศรษฐกิจได้
นอกจากนี้มีเรื่องอื่นๆ อีกครับ แต่ผมว่า 5 เรื่องนี้เป็น risk factor ที่เราควร
ติดตามอย่างใกล้ชิด
-
- Verified User
- โพสต์: 213
- ผู้ติดตาม: 0
ถามทุกท่าน ช่วยบอกที เศรษฐกิจประเทศเติบโตหรือแย่ลงครับ
โพสต์ที่ 6
ขอร่วมแจมนะครับ ตามความคิดเห็นของผม ผมว่าเศรษกิจไทยดีขึ้นกว่าเดิมนะครับ แต่ผมว่าที่ดีขึ้นกว่าเดิมจริง ก็จะมีแค่เฉพาะกลุ่มบริษัทใหญ่ๆ หรือพวกตระกูลใหญ่ๆ เท่านั้นแหละครับ เพราะ ถ้าเราดูกระบวนการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่เริ่มแต่รากหญ้า ทำให้คนมีกำลังซื้อมากขึ้น แต่กำลังซื้อของคนที่มากขึ้นโดยมากจะมาจากการกู้ยืมเป็นส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นการผ่านทางกองทุนหมู่บ้าน การกู้ดอกเบี้ยต่ำ จากสารพัดโครงการของรัฐ และเมื่อกำลังซื้อของคนมากขึ้นคนก็จะมากซื้อสินค้ามากขึ้น ซึ่งโดยมากก็จะมีพวกบริษัทใหญ่ๆ หรือตระกูลใหญ่ เป็นเจ้าของ แล้วหากเราถือว่าบริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์เป็นบริษัทที่มีขนาดใหญ่แล้วละก้อ จะเห้นชัดเจนว่าปีที่ผ่านมากำไรของบริษัทเหล่านี้เพิ่มขี้นหลายสิบ% ซึ่งกำไรที่บริษัทเหล่านี้ได้รับเป็นกำไรที่แท้จริง คือคนไปซื้อสินค้าจ่ายเงินจริงๆ แต่กลับประชาชนที่ไปซื้อสินค้าสิครับ ถึงแม้จะได้สินค้ามาจริงๆ เช่นกัน แต่โดยมากมักเป้นการซื้อด้วยเงินเชื่อ นั่นคือการนำรายได้ในอนาคตของตนเองมากใช้ก่อนนั่นเอง นอกจากนี้การที่ตลาดหลักทรัพย์ดัชนีโตขึ้น ก็จะมี 1. คนที่เป้นเจ้าของกิจการได้ประโยชน์ เพราะมูลค่ากิจการของตนสูงขึ้น 2. ผู้ที่ลงทุนในหุ้นซึ่งส่วนใหญก้ต้องเป้นคนที่มีเงินพอสมควรนั่นก็คือ พวกที่ต้องมีเงินเก็บ ฉะนั้นพวกที่อยู่รากหญ้าไม่น่าจะได้รับประโยชน์ตรงนี้ด้วย
แต่อย่างไรก้ต้องขอชื่นชมเกี่ยวกับการบริหารการส่งออกของรัฐบาลชุดนี้ ซึ่งผมคิดว่าเป็นจุดที่สำคัญที่มีการบริหารให้เรามีการเกินดุลการค้า และมีการขยายตลาดส่งออก รวมทั้งพยายามที่จะยกระดับความสามารถในการส่งออกของประเทศ ซึ่งผมคิดว่าสำคัญได้ดี ซึ่งการส่งออกที่เกินดุลนี้องทำให้ประเทศมีเงินไหลเข้ามาตลอดเวลา และสนับสนุนการบริโภคภายในประเทศ
สำหรับความเสี่ยงภายใต้การบริหารของรัฐบาลผมว่ามีอยู่ 3 ประการ
1. หนี้ภาคประชาชนที่ต้องมีการบริหารจัดการให้ดี
2. การยกระดับความสามรถเชิงแข่งขันของบริษัทต่างๆ เพื่อที่บริษัทเหล่านั้นจะได้สามารถขายสินค้าได้เรื่อยๆ ภายใต้การแข่งค่าขึ้นของเงินบาท ซึ่งหากทำได้จะทำให้ประเทศเกินดุลตลอดเวลา โอกาสเกิดวิกฟตก็น้อยลง เพราะเปรียบเสมือนกิจการมีกำไรเข้ามาตลอดเวลา
3 ภัยที่คาดไม่ถึง เช่นการก่อการร้าย
ผมว่า ถ้าเราสามารถชนะความเสี่ยงข้างต้นได้ ก็ถือว่า เรากำลังจะเข้าสู่ยุครุ่งเรืองทางเศรษฐกิจอีกครั้งแล้วแหละครับ
แต่อย่างไรก้ต้องขอชื่นชมเกี่ยวกับการบริหารการส่งออกของรัฐบาลชุดนี้ ซึ่งผมคิดว่าเป็นจุดที่สำคัญที่มีการบริหารให้เรามีการเกินดุลการค้า และมีการขยายตลาดส่งออก รวมทั้งพยายามที่จะยกระดับความสามารถในการส่งออกของประเทศ ซึ่งผมคิดว่าสำคัญได้ดี ซึ่งการส่งออกที่เกินดุลนี้องทำให้ประเทศมีเงินไหลเข้ามาตลอดเวลา และสนับสนุนการบริโภคภายในประเทศ
สำหรับความเสี่ยงภายใต้การบริหารของรัฐบาลผมว่ามีอยู่ 3 ประการ
1. หนี้ภาคประชาชนที่ต้องมีการบริหารจัดการให้ดี
2. การยกระดับความสามรถเชิงแข่งขันของบริษัทต่างๆ เพื่อที่บริษัทเหล่านั้นจะได้สามารถขายสินค้าได้เรื่อยๆ ภายใต้การแข่งค่าขึ้นของเงินบาท ซึ่งหากทำได้จะทำให้ประเทศเกินดุลตลอดเวลา โอกาสเกิดวิกฟตก็น้อยลง เพราะเปรียบเสมือนกิจการมีกำไรเข้ามาตลอดเวลา
3 ภัยที่คาดไม่ถึง เช่นการก่อการร้าย
ผมว่า ถ้าเราสามารถชนะความเสี่ยงข้างต้นได้ ก็ถือว่า เรากำลังจะเข้าสู่ยุครุ่งเรืองทางเศรษฐกิจอีกครั้งแล้วแหละครับ