ทำไมเราควรเชื่อพุทธศาสนา
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 14783
- ผู้ติดตาม: 0
ทำไมเราควรเชื่อพุทธศาสนา
โพสต์ที่ 31
พี่เกิดมามีกรรมครับ ตอนตัดสินใจไปบวช ก็ไปมีอะไรกับสาวคนนึง ไม่ได้แต่งนะ อยู่กันไป แล้วก็ไปบวช ก่อนจะไปบวช ตัดสินใจว่า ถ้าไม่อยากสึก ต้องสึกออกมาก่อน สรุปก็บวช แล้วก็ไม่อยากสึก แล้วก็ต้องสึกออกมาครับ
สรุปว่า เหมือนต้องชดใช้กรรมอะไรบางอย่าง คือยังยึดมั่นถือมั่นอยู่ครับ
ณ ปัจจุบัน ตอนไปนั่งสมาธิ เดินจงกรม ฝึกสติปัฐฐาน 4 เช่นไปที่ ดอยสะเก็ด เชียงใหม่
โห เทียบกับการอยู่ทางโลก พี่ว่าการอยู่วัด ง่ายกว่าเยอะ เบากว่าเยอะ และไม่ต้องดิ้นรน ทุลนทุราย ในการคิดที่จะต้องทำมาหากิน
ชาวบ้าน ต้อง หาเงิน เพื่อ มีบ้าน รถ อาหาร ค่ารักษาพยาบาล และอื่นๆ ทุกอย่างไปคาดหวังไว้ และก็ต้องดิ้นรนหาอย่าง กระเสือกกระสน จนกระทั่งบางคน ต่อให้ต้องทำผิดศิลเพื่อให้ได้มา ก็ยังทำนะครับ
แต่ทางวัด เมื่อไปอยู่แล้ว เบาสบาย ไม่มีเรื่อง ไม่มีราว วันๆ ก็ ตื่นแต่เช้า สวดมนต์ทำวัดเช้า ออกบิณฑบาตร( ช่วยพระ ) กลับมาก็ ปฎิบัติ แล้วบ่ายๆก็กวาดตาด ( กวาดใบไม้ กวาดไปก็ มีสติรู้อยู่ ว่ากวาด หรือไม่ก็พุทโธ ไปเรือยๆ ) ตกเย็น ก็อาบน้ำ ซักผ้า ค่ำๆ ก็ทำวัดเย็น แล้วก็นอน ตืนมาอีกวัน ก็เหมือนเดิม
ทุกวันทำเหมือนเดิม แต่ ไม่เบื่อ จริงๆอยู่ทางโลกกลับเบื่อกว่า
เราเบื่อเพราะอะไร เพราะเราอยากทำทำอะไรบางอย่างที่ท้าทายไม่น่าเบื่อ แล้วสิ่งที่ท้าทายนั้นๆ เราก็ทำไปหมดแล้ว อยากไปเที่ยว อยากกินอาหารอร่อย อยากจีบสาว หรืออยากอะไรก็แล้วแต่ หากเราทำไปหมดแล้ว สำหรับเรา วันๆก็คงน่าเบื่อแล้วหละ
แต่อยู่วัดไม่เบื่อ หากเรามุ่งเน้นการฝึกสติ ที่มีเป็นขั้นๆ ขึ้นไป เราจะรู้เลยว่า ยิ่งฝึก ยิ่งละเอียด เมื่อจิตละเอียดขึ้น ยิ่งรับรู้เรื่องของจิตได้มากขึ้น
พี่ยังทำไม่ได้ดีนะ ก็แค่ผิวๆ แต่รู้สึกดีกับการเข้าวัดครับ
ชาตินี้ คงได้บวชแหละ ถ้าบุญเก่า บุญปัจจุบันมากพอ อายุ 54 คงจะได้บวชครับ
สรุปว่า เหมือนต้องชดใช้กรรมอะไรบางอย่าง คือยังยึดมั่นถือมั่นอยู่ครับ
ณ ปัจจุบัน ตอนไปนั่งสมาธิ เดินจงกรม ฝึกสติปัฐฐาน 4 เช่นไปที่ ดอยสะเก็ด เชียงใหม่
โห เทียบกับการอยู่ทางโลก พี่ว่าการอยู่วัด ง่ายกว่าเยอะ เบากว่าเยอะ และไม่ต้องดิ้นรน ทุลนทุราย ในการคิดที่จะต้องทำมาหากิน
ชาวบ้าน ต้อง หาเงิน เพื่อ มีบ้าน รถ อาหาร ค่ารักษาพยาบาล และอื่นๆ ทุกอย่างไปคาดหวังไว้ และก็ต้องดิ้นรนหาอย่าง กระเสือกกระสน จนกระทั่งบางคน ต่อให้ต้องทำผิดศิลเพื่อให้ได้มา ก็ยังทำนะครับ
แต่ทางวัด เมื่อไปอยู่แล้ว เบาสบาย ไม่มีเรื่อง ไม่มีราว วันๆ ก็ ตื่นแต่เช้า สวดมนต์ทำวัดเช้า ออกบิณฑบาตร( ช่วยพระ ) กลับมาก็ ปฎิบัติ แล้วบ่ายๆก็กวาดตาด ( กวาดใบไม้ กวาดไปก็ มีสติรู้อยู่ ว่ากวาด หรือไม่ก็พุทโธ ไปเรือยๆ ) ตกเย็น ก็อาบน้ำ ซักผ้า ค่ำๆ ก็ทำวัดเย็น แล้วก็นอน ตืนมาอีกวัน ก็เหมือนเดิม
ทุกวันทำเหมือนเดิม แต่ ไม่เบื่อ จริงๆอยู่ทางโลกกลับเบื่อกว่า
เราเบื่อเพราะอะไร เพราะเราอยากทำทำอะไรบางอย่างที่ท้าทายไม่น่าเบื่อ แล้วสิ่งที่ท้าทายนั้นๆ เราก็ทำไปหมดแล้ว อยากไปเที่ยว อยากกินอาหารอร่อย อยากจีบสาว หรืออยากอะไรก็แล้วแต่ หากเราทำไปหมดแล้ว สำหรับเรา วันๆก็คงน่าเบื่อแล้วหละ
แต่อยู่วัดไม่เบื่อ หากเรามุ่งเน้นการฝึกสติ ที่มีเป็นขั้นๆ ขึ้นไป เราจะรู้เลยว่า ยิ่งฝึก ยิ่งละเอียด เมื่อจิตละเอียดขึ้น ยิ่งรับรู้เรื่องของจิตได้มากขึ้น
พี่ยังทำไม่ได้ดีนะ ก็แค่ผิวๆ แต่รู้สึกดีกับการเข้าวัดครับ
ชาตินี้ คงได้บวชแหละ ถ้าบุญเก่า บุญปัจจุบันมากพอ อายุ 54 คงจะได้บวชครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 2032
- ผู้ติดตาม: 0
ทำไมเราควรเชื่อพุทธศาสนา
โพสต์ที่ 32
เพิ่งทราบJeng เขียน: เคยสุขมากตอนอุ้มลูกชาย ทั้งสองคน
เคยเศร้ามากตอนลูกชาย ทั้งสองคนจากไป
เคยมาหลายอย่าง แม้กระทั่งเป่าปากภรรยาที่จมน้ำตาย
ผมคิดว่า สุข=ทุกข์ เหมือนแรงฟิสิกส์ action=reaction
สุขมากๆเข้า พอหมดสุข ก็ทุกข์ถนัด
แต่ความสุข มันเป็นกิเลส ใครๆก็อยากมี มีแล้วก็ระเริง
พูดถึงลูก วัยเด็กเล็กๆน่ารัก ทำให้เรามีสุขยิ่งกว่าอื่นใด
แต่เราห้ามเขาโตไม่ได้ พอเขาโต เจ้าเด็กไร้เดียงสาก็จากไป
แต่ผมดีใจอย่าง ที่ไม่ได้ทำให้ พ่อ-แม่ มีทุกข์หนักๆ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 14783
- ผู้ติดตาม: 0
ทำไมเราควรเชื่อพุทธศาสนา
โพสต์ที่ 33
โค้ด: เลือกทั้งหมด
เพิ่งทราบ โหย ถ้าเป็นผม คงสติแตก บ้าไปเลยแน่ๆ
ผมคิดว่า สุข=ทุกข์ เหมือนแรงฟิสิกส์ action=reaction
สุขมากๆเข้า พอหมดสุข ก็ทุกข์ถนัด
แต่ความสุข มันเป็นกิเลส ใครๆก็อยากมี มีแล้วก็ระเริง
พูดถึงลูก วัยเด็กเล็กๆน่ารัก ทำให้เรามีสุขยิ่งกว่าอื่นใด
แต่เราห้ามเขาโตไม่ได้ พอเขาโต เจ้าเด็กไร้เดียงสาก็จากไป
แต่ผมดีใจอย่าง ที่ไม่ได้ทำให้ พ่อ-แม่ มีทุกข์หนักๆ
ตอนนี้ก็เริ่มกลับมาครับ ทำงาน เก็บเงิน ซื้อหุ้น และก้าวเดินไปข้างหน้าต่อไป
..............................................................................
จริงๆแล้ว action = reaction ครับ
แต่ว่าเรื่องสุข มันเป็นเรื่องสะสมครับ สะสมจนกระทั่งเรายึดมั่นถือมั่น สะสมมานาน เช่นเรื่องลูก หากเราเลี้ยงเขา ดูแลเขา จากเด็กๆ จนกระทั่งโตซัก 5 ขวบ แบบนี้ก็ 5 ปีเต็มๆ ครับ
พอสูญเสียปั๊บ มันจะเหมือน สุขนั้นหายแว๊บ กระทันหันมาก ตรงนี้ครับ ที่ต้องใช้สติ ในการประครองครับ
นับว่า ผมเคยเจอเรื่องยากๆ ในชีวิตมาเยอะ แต่เจอเรื่องนี้ ก็สลบไป 3 ปีครับ
เพราะ สุขสะสม โดนเอาคืนทันที
เปรียบเสมือน คนรัก ที่ต้องจากไปอย่างกระทัน ประมาณนั้นครับ
เพราะฉะนั้นใครมีความสุข ต้องเผื่อใจไว้นะครับ ว่าสักวันสุขนั้นก็จะหายไป คืนกลับ ยึดมั่นถือมั่นไม่ได้เลย
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 14783
- ผู้ติดตาม: 0
ทำไมเราควรเชื่อพุทธศาสนา
โพสต์ที่ 34
การที่เคยเรียนแพทย์ แล้วได้เห็นความเป็นความตายมาเยอะ แต่เมื่อโตขึ้น ก็เมาเจอกับตัวเอง กับที่เรารัก แล้วต้องจากไป เช่น ภรรยา ต่อมาคุณแม่ ผมก็ผ่านมาได้
จำได้ว่าเพื่อนหมอ ลูกชายคนเดียว เรียนจบ 1 ปี ขับรถชน เมาแล้วขับ ก็ตาย คุณแม่ของเพื่อนหมอท่านนี้ ร้องไห้ ร้องไม่หยุด ร้องจนกระทั่งไม่มีน้ำตาออกมา พวกเราได้แต่มอง ทำอะไรไม่ได้ ไม่รู้ว่าจะปลอบอะไร
เรื่องพวกนี้เกิดจาก การค่อยๆยึดมั่นถือมั่น ใน รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญาน
รูป คือ เรายึดว่ามีเรา มีเขา เราเป็นแม่ เขาเป็นลูก
เวทนา คือ สุข ทุกข์ เราเลี้ยงลูก ลูกน่ารัก เรามีความสุข ลูกมักจะทำอะไรให้เราหัวเราะได้ตลอด ด้วยความไร้เดียงสา การสัมผัส การกอด การเล่นจ๊ะเอ๋ ลูกจะทำให้เรามีความเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว เวลาเขาจะทำอะไร ก็หันมาเป็นเชิงขออนุญาติเป็นต้น เราก็จะรู้สึกภาคภูมิใจ ลึกๆ พร้องที่จะปกป้องดูแล และเราก็มีความสุข เมื่อลูกเจ็บไข้ เราก็ทุกข์ พ่อแม่บางคน ลูกมีน้ำมูก สั่งไม่ออก ก็ลงมือ เอาปากดูด พี่เขยผม รับเด็กมาเลี้ยง ไม่ใช่ลูกแท้ๆ ยังเอาปากดูดเลย
สัญญา ความจำหมาย เมื่อมีความผูกพันธ์มากๆ ความจำ ก็คือสัญญา ภาพต่างๆ ในสถานที่ต่างๆ ค่อยๆผุดขึ้นมา
สังขาร การปรุงแต่ง พ่อแม่บางคน หวังกับลูกมาก โตขึ้นจะเป็นอะไร โตขึ้นจะฝากผีฝากไข้
วิญญาน การรับรู้ทางโสตวิญญาน เช่น ทางตา ก็ จักขุวิญญาน หากปราศจากจักขุวิญญาน ถึงมีลูกตาเราก็มองไม่เห็น สังเกตได้ด้วยตัวเอง เวลา เพลินๆกับอะไรบางอย่าง เช่นฟังเพลง ก็จะไม่เห็นอะไรบางอย่าง ทั้งๆที่ตายังทำงานอยู่
ความยึดมั่นถือมั่น ใน รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาน ทำให้เกิดทุกข์
การพิจารณา ว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาน ไม่เทียง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ทำให้ ทุกข์ค่อยๆลดลง
การพิจารณา ไม่ได้ทำให้เศร้า ซึม ไม่ต่อสู้ สังเกตได้จากพระผู้ใหญ่ ที่มีกิเลสน้อย ยังตื่นแต่เช้า ออกบิณฑบาตร รับกิจนิมนต์ ไปโปรดญาติโยม ตอนบ่าย ตอนเย็น หลังปฎิบัติตรวจตรา โบส ที่กำลังสร้าง ตกค่ำ ทำวัตรเย็น ทั้งๆที่กิเลสน้อยแต่ยังขยันกว่า คนธรรมดาที่กิเลสหนา และพระทำอะไรได้มากกว่า เพราะ มีสติมากกว่า พูดน้อย ทำได้มาก ทำได้นาน และทำได้ต่อเนื่อง
จำได้ว่าเพื่อนหมอ ลูกชายคนเดียว เรียนจบ 1 ปี ขับรถชน เมาแล้วขับ ก็ตาย คุณแม่ของเพื่อนหมอท่านนี้ ร้องไห้ ร้องไม่หยุด ร้องจนกระทั่งไม่มีน้ำตาออกมา พวกเราได้แต่มอง ทำอะไรไม่ได้ ไม่รู้ว่าจะปลอบอะไร
เรื่องพวกนี้เกิดจาก การค่อยๆยึดมั่นถือมั่น ใน รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญาน
รูป คือ เรายึดว่ามีเรา มีเขา เราเป็นแม่ เขาเป็นลูก
เวทนา คือ สุข ทุกข์ เราเลี้ยงลูก ลูกน่ารัก เรามีความสุข ลูกมักจะทำอะไรให้เราหัวเราะได้ตลอด ด้วยความไร้เดียงสา การสัมผัส การกอด การเล่นจ๊ะเอ๋ ลูกจะทำให้เรามีความเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว เวลาเขาจะทำอะไร ก็หันมาเป็นเชิงขออนุญาติเป็นต้น เราก็จะรู้สึกภาคภูมิใจ ลึกๆ พร้องที่จะปกป้องดูแล และเราก็มีความสุข เมื่อลูกเจ็บไข้ เราก็ทุกข์ พ่อแม่บางคน ลูกมีน้ำมูก สั่งไม่ออก ก็ลงมือ เอาปากดูด พี่เขยผม รับเด็กมาเลี้ยง ไม่ใช่ลูกแท้ๆ ยังเอาปากดูดเลย
สัญญา ความจำหมาย เมื่อมีความผูกพันธ์มากๆ ความจำ ก็คือสัญญา ภาพต่างๆ ในสถานที่ต่างๆ ค่อยๆผุดขึ้นมา
สังขาร การปรุงแต่ง พ่อแม่บางคน หวังกับลูกมาก โตขึ้นจะเป็นอะไร โตขึ้นจะฝากผีฝากไข้
วิญญาน การรับรู้ทางโสตวิญญาน เช่น ทางตา ก็ จักขุวิญญาน หากปราศจากจักขุวิญญาน ถึงมีลูกตาเราก็มองไม่เห็น สังเกตได้ด้วยตัวเอง เวลา เพลินๆกับอะไรบางอย่าง เช่นฟังเพลง ก็จะไม่เห็นอะไรบางอย่าง ทั้งๆที่ตายังทำงานอยู่
ความยึดมั่นถือมั่น ใน รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาน ทำให้เกิดทุกข์
การพิจารณา ว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาน ไม่เทียง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ทำให้ ทุกข์ค่อยๆลดลง
การพิจารณา ไม่ได้ทำให้เศร้า ซึม ไม่ต่อสู้ สังเกตได้จากพระผู้ใหญ่ ที่มีกิเลสน้อย ยังตื่นแต่เช้า ออกบิณฑบาตร รับกิจนิมนต์ ไปโปรดญาติโยม ตอนบ่าย ตอนเย็น หลังปฎิบัติตรวจตรา โบส ที่กำลังสร้าง ตกค่ำ ทำวัตรเย็น ทั้งๆที่กิเลสน้อยแต่ยังขยันกว่า คนธรรมดาที่กิเลสหนา และพระทำอะไรได้มากกว่า เพราะ มีสติมากกว่า พูดน้อย ทำได้มาก ทำได้นาน และทำได้ต่อเนื่อง
-
- Verified User
- โพสต์: 2496
- ผู้ติดตาม: 0
ทำไมเราควรเชื่อพุทธศาสนา
โพสต์ที่ 35
เฮียเจ๋งมีกระทู้ดีๆน่าสนใจมาฝากเสมอๆ ชอบค่ะ :D
ชอบตรงนี้มาก
แต่มันก็ไม่เหมือน ไม่เทียบเท่า กะที่ได้ลงมือปฏิบัติ ให้รู้แจ้งด้วยตนเอง ไปตามแต่ระดับนั้นๆ
อีกทั้ง แก่นวิธีของทางพุทธนั้น เน้นที่การไม่ยึดติด ในตัวกู-ของกู
ดังนั้น การที่คนที่ได้ลองปฏิบัติจนเห็นแจ้งในแต่ละขั้นนั้น จำเป็นต้องระมัดระวังในการนำเสนอ เพราะหากพูดมากไป ว่าตนทำได้ขั้นนั้นขั้นนี้แล้ว บางทีอาจเผลอกลายเป็นยึดติด ในคำสรรเสริญจากรอบข้างไปก็ได้ ว่าฉันนี่แน่แล้ว
ดังนั้น ดิฉันเชื่อว่า หลายท่านที่ปฏิบัติได้ระดับยิ่งสูงๆ มักวางเฉย อาจไม่ค่อยแสดงตัวต่อสาธารณะมากนัก
อย่างสำหรับดิฉันเอง ก็มักจะอยากอธิบาย ตย.เชิงประจักษ์ของตน บางส่วน ให้คนอื่นได้อ่านบ้าง แต่หลายครั้งคิดว่า เอ นี่เรากะลังยึดติดในการโชว์ อะไรอยู่หรือไม่ ก็เป็นเรื่องที่ต้องคอยตรวจสอบตัวเองให้ดีเสมอๆ
แต่อีกฟากนึง ก็มักจะคิดว่า ก็จะเป็นการดี ถ้าจะมีบ้างเพียงซัก 1 คน ที่สามารถนำ ตย. ไปเพื่อใช้ขบคิด ทดลอง เพื่อให้เกิดวิถีทางแห่งการหลุดพ้นจาก ทุกข์ ของท่านนั้นๆอย่างแท้จริง ได้ด้วยตัวของท่านเอง ในเวลาต่อไป
ดิฉันนั้น มิได้จัดอยู่ในผู้ปฏิบัติในระดับสูงแต่อย่างใดเลย
แต่แม้นว่า ยังมิใช่ระดับสูง สะอาดขาว สว่างสงบ จนถึงที่สุดแล้ว แต่ก็พบว่า การปฏิบัตินั้น บังเกิดผลที่มาก มากในระดับที่เห็นชัดว่า ทุกข์ทั้งปวงในชีวิต ลดระดับลงมาก จนรู้สึกได้โดยไม่มีความจำเป้นต้องคำนวนเป็นค่าวัดใดใดออกมา
หลักสูตร อาณาปานสติทั้ง 16 ขั้น ที่พระพุทธเจ้าท่านคิดค้นขึ้น เพื่อให้คนรุ่นหลังมีไว้ใช้ มันแยบคายอย่างยิ่ง และเห็นด้วยมากว่า เป็นสูตรลัด ที่เกิดผลได้แรง ทันท่วงทีในการนำมาแก้ไข สิ่งสะสมทั้งปวง ที่ทับถมจนเกิดนิสัยติดยึดของมนุษย์ตั้งแต่เกิดเป็นต้นมา
แล้วพอทดลองทำไปตามสูตรนั้น ช่วงแรกเริ่มฝึก ก็อาจจะพบว่า ยากนะ
คือ ในหมวดแรก ขั้น 1-3 คนมักจะไปติดอยู่แถวนั้น พอจะเข้ามาขั้น 4 มันอาจจะยากนิดหน่อย ในการที่จะกำราบมันให้นิ่งจนเกิดสมาธิได้ ดังนั้นหลายคนจะมาเบื่อเอาแถวขั้น 4
ประมาณว่า เฮ้อ ... ก็ไม่เห็นมันจะเกิดอะไรเลย แค่นั่ง หายใจ เข้าออก ๆ ๆ ๆ
บางคนจะคิดว่า เฮ้อ แค่หมวดแรก กายนุปัสสนา ยังไม่ก้าวไปไหน แล้วอีกตั้ง 3 หมวด จะขนาดไหน
จริงๆแล้ว ไม่ได้เป็นอย่างที่กลัวเลย ,มันก็ชี้ชัดไม่ถูกว่า ควรแนะนำอย่างไรจึงจะให้แต่ละท่าน กำหนดขั้น 4 ให้อยุ่หมัดได้ (แต่ละคน มันจะมีทางที่ทำได้ แล้วแต่บุคคล แล้วแต่จะลงล๊อคได้อย่างไร เมื่อไร)
ในที่นี้ เพียงอยากจะบอก ว่าอย่าท้อ อยากจะบอกแค่ว่า พอมันลงล๊อคของมันนะ มันจะผั๊วะ ๆ ไปเองเลย
เอาแค่สัมผัส "ปีติ" ซึ่งเป็นปีติทางธรรม ในขั้นที่เกิดสมาธิปฐมฌานได้ เท่านั้นเองนะ ก็จะเข้าใจอย่างถ่องแท้ ว่าปีติอย่างธรรม มันช่างแตกต่างกันอย่างเทียบไม่ได้เลย กะปีติทางโลก หรือสุขแบบโลกๆ
เห็นได้ รู้สึกได้ สัมผัสถึงได้ ในปีติทางธรรมนั้นๆ อย่างแรงกล้า อย่างเป็นระยะเวลาอันต่อเนื่องยาว เป็นวันๆนะ เดินไปสิ ตากแดงเปรี้ยงเลยนะ แต่เย็นฉ่ำสบายมาก โลกเบาเหลือเกิน ต่างกันมากอย่างลิบลับ ต้องใช้คำอธิบายเช่นนั้นจริงๆ
อย่างที่พูดมานี้ ยังขั้นเด็กเท่านั้นค่ะ ดิฉันยังคงต้องฝึกต่อไปอีกมากนัก
แต่ก็อยากจะลองเล่าให้ฟังกัน ใครจะติว่าโอ้อวดก็ไม่เป็นไร เพราะคิดตรึกตรองมาแล้ว เหรียญมีสองด้าน แล้วแต่ใครจะมองด้านใด
ที่ลองเล่าให้ฟัง เพราะอยากให้ประสบการณ์อันเป็นผลจาก ระบบอาณาปานสติ เป็นแง่คิด เป็นกำลังใจต่อผู้ที่จะเริ่มปฏิบัติ ว่านี่นะ มันเกิดผลขึ้นได้จริงนะ
สูตรอาณา นี้นั้น ท่านคิดค้นขึ้นมา เหมือนเป็นสูตรระดับพื้นฐาน ไม่ว่าจะไม้แก่ ไม้อ่อน จะใช้เวลาช้า หรือเร็ว ก็แล้วแต่ หากทำไปตามขั้นตอน ก็สามารถนำไปปฏิบัติอย่างได้ผล ไม่มากก็น้อยค่ะ
:D :D
ชอบตรงนี้มาก
หลักแก่นแท้ของพุทธศาสนานั้น พูดออกมาเป็นคำพูด ก็พอจะฟังได้เข้าใจไปในระดับนึงนะหลายอย่างไม่สามารถคิดได้นะ
ต้องพิสูจน์ และรู้ด้วยตัวเอง หนะใช่
ส่วนการรู้ด้วยตัวเอง ทางพุทธ ไม่ได้เน้นที่คิด และ เชื่ออย่างมีเหตุผลเท่านั้น
แต่เพิ่มเติม ด้วย การรู้แจ้งเห็นจริงด้วยตัวเอง โดยไม่ได้คิดนะ
แต่มันก็ไม่เหมือน ไม่เทียบเท่า กะที่ได้ลงมือปฏิบัติ ให้รู้แจ้งด้วยตนเอง ไปตามแต่ระดับนั้นๆ
อีกทั้ง แก่นวิธีของทางพุทธนั้น เน้นที่การไม่ยึดติด ในตัวกู-ของกู
ดังนั้น การที่คนที่ได้ลองปฏิบัติจนเห็นแจ้งในแต่ละขั้นนั้น จำเป็นต้องระมัดระวังในการนำเสนอ เพราะหากพูดมากไป ว่าตนทำได้ขั้นนั้นขั้นนี้แล้ว บางทีอาจเผลอกลายเป็นยึดติด ในคำสรรเสริญจากรอบข้างไปก็ได้ ว่าฉันนี่แน่แล้ว
ดังนั้น ดิฉันเชื่อว่า หลายท่านที่ปฏิบัติได้ระดับยิ่งสูงๆ มักวางเฉย อาจไม่ค่อยแสดงตัวต่อสาธารณะมากนัก
อย่างสำหรับดิฉันเอง ก็มักจะอยากอธิบาย ตย.เชิงประจักษ์ของตน บางส่วน ให้คนอื่นได้อ่านบ้าง แต่หลายครั้งคิดว่า เอ นี่เรากะลังยึดติดในการโชว์ อะไรอยู่หรือไม่ ก็เป็นเรื่องที่ต้องคอยตรวจสอบตัวเองให้ดีเสมอๆ
แต่อีกฟากนึง ก็มักจะคิดว่า ก็จะเป็นการดี ถ้าจะมีบ้างเพียงซัก 1 คน ที่สามารถนำ ตย. ไปเพื่อใช้ขบคิด ทดลอง เพื่อให้เกิดวิถีทางแห่งการหลุดพ้นจาก ทุกข์ ของท่านนั้นๆอย่างแท้จริง ได้ด้วยตัวของท่านเอง ในเวลาต่อไป
ดิฉันนั้น มิได้จัดอยู่ในผู้ปฏิบัติในระดับสูงแต่อย่างใดเลย
แต่แม้นว่า ยังมิใช่ระดับสูง สะอาดขาว สว่างสงบ จนถึงที่สุดแล้ว แต่ก็พบว่า การปฏิบัตินั้น บังเกิดผลที่มาก มากในระดับที่เห็นชัดว่า ทุกข์ทั้งปวงในชีวิต ลดระดับลงมาก จนรู้สึกได้โดยไม่มีความจำเป้นต้องคำนวนเป็นค่าวัดใดใดออกมา
หลักสูตร อาณาปานสติทั้ง 16 ขั้น ที่พระพุทธเจ้าท่านคิดค้นขึ้น เพื่อให้คนรุ่นหลังมีไว้ใช้ มันแยบคายอย่างยิ่ง และเห็นด้วยมากว่า เป็นสูตรลัด ที่เกิดผลได้แรง ทันท่วงทีในการนำมาแก้ไข สิ่งสะสมทั้งปวง ที่ทับถมจนเกิดนิสัยติดยึดของมนุษย์ตั้งแต่เกิดเป็นต้นมา
แล้วพอทดลองทำไปตามสูตรนั้น ช่วงแรกเริ่มฝึก ก็อาจจะพบว่า ยากนะ
คือ ในหมวดแรก ขั้น 1-3 คนมักจะไปติดอยู่แถวนั้น พอจะเข้ามาขั้น 4 มันอาจจะยากนิดหน่อย ในการที่จะกำราบมันให้นิ่งจนเกิดสมาธิได้ ดังนั้นหลายคนจะมาเบื่อเอาแถวขั้น 4
ประมาณว่า เฮ้อ ... ก็ไม่เห็นมันจะเกิดอะไรเลย แค่นั่ง หายใจ เข้าออก ๆ ๆ ๆ
บางคนจะคิดว่า เฮ้อ แค่หมวดแรก กายนุปัสสนา ยังไม่ก้าวไปไหน แล้วอีกตั้ง 3 หมวด จะขนาดไหน
จริงๆแล้ว ไม่ได้เป็นอย่างที่กลัวเลย ,มันก็ชี้ชัดไม่ถูกว่า ควรแนะนำอย่างไรจึงจะให้แต่ละท่าน กำหนดขั้น 4 ให้อยุ่หมัดได้ (แต่ละคน มันจะมีทางที่ทำได้ แล้วแต่บุคคล แล้วแต่จะลงล๊อคได้อย่างไร เมื่อไร)
ในที่นี้ เพียงอยากจะบอก ว่าอย่าท้อ อยากจะบอกแค่ว่า พอมันลงล๊อคของมันนะ มันจะผั๊วะ ๆ ไปเองเลย
เอาแค่สัมผัส "ปีติ" ซึ่งเป็นปีติทางธรรม ในขั้นที่เกิดสมาธิปฐมฌานได้ เท่านั้นเองนะ ก็จะเข้าใจอย่างถ่องแท้ ว่าปีติอย่างธรรม มันช่างแตกต่างกันอย่างเทียบไม่ได้เลย กะปีติทางโลก หรือสุขแบบโลกๆ
เห็นได้ รู้สึกได้ สัมผัสถึงได้ ในปีติทางธรรมนั้นๆ อย่างแรงกล้า อย่างเป็นระยะเวลาอันต่อเนื่องยาว เป็นวันๆนะ เดินไปสิ ตากแดงเปรี้ยงเลยนะ แต่เย็นฉ่ำสบายมาก โลกเบาเหลือเกิน ต่างกันมากอย่างลิบลับ ต้องใช้คำอธิบายเช่นนั้นจริงๆ
อย่างที่พูดมานี้ ยังขั้นเด็กเท่านั้นค่ะ ดิฉันยังคงต้องฝึกต่อไปอีกมากนัก
แต่ก็อยากจะลองเล่าให้ฟังกัน ใครจะติว่าโอ้อวดก็ไม่เป็นไร เพราะคิดตรึกตรองมาแล้ว เหรียญมีสองด้าน แล้วแต่ใครจะมองด้านใด
ที่ลองเล่าให้ฟัง เพราะอยากให้ประสบการณ์อันเป็นผลจาก ระบบอาณาปานสติ เป็นแง่คิด เป็นกำลังใจต่อผู้ที่จะเริ่มปฏิบัติ ว่านี่นะ มันเกิดผลขึ้นได้จริงนะ
สูตรอาณา นี้นั้น ท่านคิดค้นขึ้นมา เหมือนเป็นสูตรระดับพื้นฐาน ไม่ว่าจะไม้แก่ ไม้อ่อน จะใช้เวลาช้า หรือเร็ว ก็แล้วแต่ หากทำไปตามขั้นตอน ก็สามารถนำไปปฏิบัติอย่างได้ผล ไม่มากก็น้อยค่ะ

-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 14783
- ผู้ติดตาม: 0
ทำไมเราควรเชื่อพุทธศาสนา
โพสต์ที่ 36
อนุโมทนาครับ ปฎิบัติต่อไป 007
สำหรับพี่แล้ว คงยังหยาบอยู่ ทุกวันนี้ ก็ แค่ ไม่ค่อยรู้สึกทุกร้อน กับ อากาศร้อน เสียงดังจากการก่อสร้างโรงพยาบาลราม การกิน การอยู่ ไม่ค่อยเดือดร้อน
แต่ในจิต ว่างๆก็จะมี เวทนา สัญญา เข้ามาเล่นงาน สังขารที่เข้าไปปรุงมีน้อยลง วิญญาน ในการรับรู้ ก็น้อยลง
เวทนา สัญญา ที่เข้ามาทำให้ทุกข์ พี่ก็ใช้สติดู ว่า เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป
สมัยก่อน เวทนา สัญญา มาแรงมาก แรงแบบ นั่งนิ่งไปเลย เศร้าสุดๆ ยิ่งกว่าดูหนังเศร้าๆอีกนะ
คริๆ
แต่ก็แปลก คนรอบตัวพี่ บอกว่า ถ้าพี่ไม่พูด ดูไม่ออกว่าเป็นคนมีความทุกข์ หน้าใส บรรยายเก่ง ประมาณนั้น
แสดงว่า 007 ปฎิบัติเพื่อ ยกระดับจิต แต่ของพี่ปฎิบัติเพื่อ ลดทุกข์
แต่ ก็ยังไม่ได้ไปถึง ปิติสุข ( ทางผ่าน ไม่ควรยึด )
หรืออาจจะเป็นเพราะพี่เน้นปฎิบัติในแนววิปัสนาเป็นหลัก พอจะเกิดปิติ ก็ รู้หนอ
ก็เคยสมัยบวช ก็เดินไปนะ เห็น ใบไม้ร่วง ร่วงลงมา เป็นภาพสโล
หรือ ปัจจุบัน เคยครั้งเดียว คือเวลาเดิน ขนลุกซู่ ตลอด แต่ ก็กำหนด รุกหนอ รุกหนอ ไม่ได้ ตีความ หรือ เกิดความยินดี ว่าสุขหนอ
คือแค่รับรู้เฉยๆ รู้ว่า นี่ เวทนา รู้ว่านี่ สัญญา รู้ว่านี่สังขาร รู้ว่านี่ คือ รูป
เรื่องธรรมะ พี่ยังห่างชั้นแน่นอน เพราะพี่ยังกินเบียร์ สูบบุหรี่อยู่เลย
แต่ชอบนะ ขออนุโมทนากับ 007 ครับ
สำหรับพี่แล้ว คงยังหยาบอยู่ ทุกวันนี้ ก็ แค่ ไม่ค่อยรู้สึกทุกร้อน กับ อากาศร้อน เสียงดังจากการก่อสร้างโรงพยาบาลราม การกิน การอยู่ ไม่ค่อยเดือดร้อน
แต่ในจิต ว่างๆก็จะมี เวทนา สัญญา เข้ามาเล่นงาน สังขารที่เข้าไปปรุงมีน้อยลง วิญญาน ในการรับรู้ ก็น้อยลง
เวทนา สัญญา ที่เข้ามาทำให้ทุกข์ พี่ก็ใช้สติดู ว่า เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป
สมัยก่อน เวทนา สัญญา มาแรงมาก แรงแบบ นั่งนิ่งไปเลย เศร้าสุดๆ ยิ่งกว่าดูหนังเศร้าๆอีกนะ
คริๆ
แต่ก็แปลก คนรอบตัวพี่ บอกว่า ถ้าพี่ไม่พูด ดูไม่ออกว่าเป็นคนมีความทุกข์ หน้าใส บรรยายเก่ง ประมาณนั้น
แสดงว่า 007 ปฎิบัติเพื่อ ยกระดับจิต แต่ของพี่ปฎิบัติเพื่อ ลดทุกข์
แต่ ก็ยังไม่ได้ไปถึง ปิติสุข ( ทางผ่าน ไม่ควรยึด )
หรืออาจจะเป็นเพราะพี่เน้นปฎิบัติในแนววิปัสนาเป็นหลัก พอจะเกิดปิติ ก็ รู้หนอ
ก็เคยสมัยบวช ก็เดินไปนะ เห็น ใบไม้ร่วง ร่วงลงมา เป็นภาพสโล
หรือ ปัจจุบัน เคยครั้งเดียว คือเวลาเดิน ขนลุกซู่ ตลอด แต่ ก็กำหนด รุกหนอ รุกหนอ ไม่ได้ ตีความ หรือ เกิดความยินดี ว่าสุขหนอ
คือแค่รับรู้เฉยๆ รู้ว่า นี่ เวทนา รู้ว่านี่ สัญญา รู้ว่านี่สังขาร รู้ว่านี่ คือ รูป
เรื่องธรรมะ พี่ยังห่างชั้นแน่นอน เพราะพี่ยังกินเบียร์ สูบบุหรี่อยู่เลย
แต่ชอบนะ ขออนุโมทนากับ 007 ครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 2496
- ผู้ติดตาม: 0
ทำไมเราควรเชื่อพุทธศาสนา
โพสต์ที่ 37
โอ ก็ไม่ใช่เรื่องห่างชั้นหรือไม่หรอกค่ะเฮีย ดิฉันยังมาได้แค่ขั้นกำหนดสมาธิให้เกิดได้ในขั้นปฐมเท่านั้น ซึ่งก็ไม่ได้จะทำได้ในทุกครั้งหรอก บางวันก็ไปไม่ถึง ถ้าสติไม่นิ่งพอ
ช่วงนี้ถ้ามีเวลา ก็กะลังพยายามฝึกหมวดจิตตาอยู่ ค่อนข้างยากหน่อย แต่สนุกดีค่ะ
ดีจัง มีคนแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้วยนี่ชอบ เหมือนนักเรียนมานั่นถกกัน มันเป็นเคส study อย่างนึงที่เป็นประโยชน์มาก
อาการทำนอง เกรียวๆ นี่เป็นไปได้มากว่า กะลังแล้ว ใกล้มากๆแล้ว หรืออาจเกิดขึ้นแล้ว หรือเฉียดจะนิ่ง เฉียดอย่างมาก ยิ่งประเภทเห็นภาพแปลกๆทั้งหลาย ที่ปรากฏขึ้นมาเอง โดยส่วนใหญ่นั้นจะไร้เจตนา ....ในทำนองนี้ เรียกว่าเข้าขั้น อุคคหนิมิต ...เฉียดอีกนิดเดียว มันจะหลุดผั่วะ continue แบบไม่ทันจับสังเกตุ เข้าไปสุ่สมาธิขั้นปฐมฌาน
อุคคหนิมิต เป็นทำนองว่ามันเกิดขึ้นมาเอง คือแรกเลย เรากำหนดสติอยู่ที่ลมหายใจ แล้วเริ่มบริกรรมนิมิต คือ เมื่อลมหายใจละเอียดมากดั่งรู้สึกได้เหมือนเอามือลูบเกลือป่นเนื้อละเอียด เมื่อลมเรานิ่ง เราจะค่อยๆ วางมือจากลม เคลื่อนเข้ามากำหนดนิมิต ..พอนิ่งได้ระดับของมัน อุคคนิมิตมันจะมา ..ซึ่งอีตรงนี้เองแหละ ที่หลายคนจะกลัว หรือตกใจ หรือ สติสดุ้ง สะดุด หรือแวะสงสัย หรือ พยายามสลัดมันไป อะไรแล้วแต่...
ดิฉันก็เป็นนะ แรกที่ทำแล้วมีอะไรแปลกๆขึ้นมา ก็งงก่อน แล้วอยากรู้ สะดุดแล้ว แต่พอบางที พยายามตั้งสติให้จดจ่อ บางทีออกทะเลเลย ไปกะมันยาวเลย แทนที่จะกำหนดมัน ดันโดนมันกำหนดก็มี :lol:
แต่พอเมื่อวันทำได้ คือเอาสติครองไว้อย่าให้สติถูกครอง มันก็ผ่านต่อเนื่องมาได้ อย่างง่ายมาก
เล่าเท่าที่ตนเกิดประสบการณ์ก็ ช่วงที่หลังจากเนียน ตัวจะค่อนมาทางเบา คือเราจะรู้ตัวหมด แต่ก็ไม่ใส่ใจไรนัก ไม่รู้สึกสงสัย ไม่อยากแวะถาม เสียงจิตคิดในหัวเริ่มน้อยลง เหมือนเวลาเราตั้งใจดูหนัง ...รู้ตลอดว่านี่ไม่ใช่อภินิหาร ไม่หลงว่านี่อิทธิฤทธิใดใด เพียงแค่ดู ...อุคคนิมิตมา ...จะมีอาการ คล้ายๆสป๊าร์คเล็กน้อย ปล่อยมันต่อเนื่องไป สำคัญที่กำหนดครองสติไว้ให้มั่น ยึดไว้อย่าให้เชือกผูกลิงขาด จะกำหนดเกิดแสง สี ใดใด รูปร่างต่างๆ เอาสติมากำหนด ไปเรื่อยๆ ...พอกำหนดให้นิ่งได้ แนบแน่น เนียน กลมกลืน ...อาการฉ่ำๆจะเริ่มเกิดอย่างแนบเนียน
still hold .......just still hold....
ดื่มด่ำมัน ให้ชุ่มฉ่ำไป ดั่งลิ้มรสไวน์ชั้นเลิศ (ช่างบรรยายเนอะ...แต่เป็นเช่นนั้นจริงๆอ่าค่ะ :lol: ไม่ทราบจะอธิบายเป็นคำพูดให้เหมือนอย่างไรได้เท่า)
ในตอนครั้งนั้น เสียงในหัวพูดน้อยมาก แรกจะมีบ้างนิดหน่อย เช่น เท่าที่จำได้ก็ประมาณ...เฮ้ยไรน่ะ ...นี่เองๆ ...เจอแล้ว...
ไม่มากค่ะ เพราะมันจะฟู มันจะเกรียว มันจะแบ่บ จดจ่ออยู่กะตรงนั้น มากกว่าจะอยากคิดคำนึงอะไร ...แทบไม่สงสัยอะไร ...เพราะมันรู้...
ไม่ใช่บ้า ไม่ใช่ฝัน ไม่ใช่ไร้สติ ไม่หลงเมาไปว่าฉันมีอิทธิฤทธิ...มีสติตลอดที่ปฏิบัติ
ตรงขั้นนั้น ในครั้งแรกที่รู้ว่าใช่สมาธิขั้น เอกคตา แล้ว ดิฉันออกจากสมาธิมาเลย ออกมาทั้งที่ ปีติสุข ยังคาอยู่อย่างนั้น คือจบการกำหนดสมาธิไว้แค่นั้นก่อน...แล้วเดินเหินไปไหนต่อไหน ทำหรือไม่ทำอะไร ก็ฉ่ำไปหมด เย็น เนียน จิตนวลมากค่ะ (อาการสุขขั้นเอกคตานี้นั้น สำหรับครั้งนั้นของดิฉัน มันhold ต่อเนื่องไปเป็นวันๆ แล้วมันค่อยๆเฝดลงๆ ไปเอง)
วิธีการคิด การมองโลก การอะไรๆในทางโลก เปลี่ยนทันที เปลี่ยนบัดเดี๋ยวนั้น ไม่เหมือนกันเลยกับที่เคยเป็นมาแทบทั้งชีวิต
เข้าใจทันที ว่าทำไมมีสูตรอาณาปานสติไว้เพื่อการแก้ไขอย่างทันที
คนเรานั้นเกิดมามีชีวิต สะสมเรื่องยึดติดเรื่องทุกข์สุขทั้งปวง ทับถมกันมายาวนานเท่าอายุของแต่ละคน
แต่อาณา นี่มันหักศอกเลย เหมือนกระดูกที่เบี้ยวๆอยู่ หมดนวดบิดกิ๊กลงล๊อคโป๊ะ กระดูกกลับเข้าที่ได้ทันที ...ไม่มีการลีลาจ่ายยาเลี้ยงไข้ ผั๊วะ ยิงหมัดตรงเข้าหน้าแงเลย :lol:
ที่เล่ามาทั้งหมด อยากให้รู้ว่า ปฏิบัติธรรมนั้น มิใช่เรื่องน่าเบื่อเลย อร่อยอย่างมาก สนุกสนาน อิ่มเอมไประหว่างทาง การปฏิบัตินั้นๆ
ขณะนี้ นักเรียนคนนี้ กะลังฝึกอยู่ในขั้นจิตตานุปัสสนา ยังไม่เก่ง ไม่ช่ำชองเท่าไรนักเลย กะลังเล่นมวยปล้ำกะจิตอยู่
แต่ที่อยากจะเล่าออกมา เพราะอย่างที่บอกคือ เข้าใจว่า พี่ๆขั้นสูงๆ เขามักไม่ชอบจะเล่ากัน เขาวางเฉยมากกว่านี้แล้ว
ดังนั้น ดิฉัน นักเรียนชั้นประถมจึงอยากจะเล่า อยากให้ผู้ที่อยากทดลอง กล้าหาญที่จะตัดสินใจเข้ามาทดลอง
บางทีส่วนใหญ่ ฟังซะมาก บางทีฟุ้งไปไกล ถึงขนาดว่า ไม่กล้า กลัวจะบ้า
ท่านพุทธทาสว่าไว้งี้ค่ะ คมคายมาก....
บ้าเต็มตัวแล้ว ยังจะกลัวเขาว่าบ้า นี่น่าหวัว....
มนุษย์จะกลัวบ้าทำไม ก็คุณบ้าอยู่ก่อนนานแล้ว ยังจะมาทำไม่รู้ตัวอีก :lovl:

ช่วงนี้ถ้ามีเวลา ก็กะลังพยายามฝึกหมวดจิตตาอยู่ ค่อนข้างยากหน่อย แต่สนุกดีค่ะ
ดีจัง มีคนแลกเปลี่ยนประสบการณ์ด้วยนี่ชอบ เหมือนนักเรียนมานั่นถกกัน มันเป็นเคส study อย่างนึงที่เป็นประโยชน์มาก
อาการทำนองนี้ ถ้าตามที่ดิฉันเข้าใจ ก็เป็นไปได้ว่า ใช่แล้วนะคะก็เคยสมัยบวช ก็เดินไปนะ เห็น ใบไม้ร่วง ร่วงลงมา เป็นภาพสโล
หรือ ปัจจุบัน เคยครั้งเดียว คือเวลาเดิน ขนลุกซู่ ตลอด
อาการทำนอง เกรียวๆ นี่เป็นไปได้มากว่า กะลังแล้ว ใกล้มากๆแล้ว หรืออาจเกิดขึ้นแล้ว หรือเฉียดจะนิ่ง เฉียดอย่างมาก ยิ่งประเภทเห็นภาพแปลกๆทั้งหลาย ที่ปรากฏขึ้นมาเอง โดยส่วนใหญ่นั้นจะไร้เจตนา ....ในทำนองนี้ เรียกว่าเข้าขั้น อุคคหนิมิต ...เฉียดอีกนิดเดียว มันจะหลุดผั่วะ continue แบบไม่ทันจับสังเกตุ เข้าไปสุ่สมาธิขั้นปฐมฌาน
อุคคหนิมิต เป็นทำนองว่ามันเกิดขึ้นมาเอง คือแรกเลย เรากำหนดสติอยู่ที่ลมหายใจ แล้วเริ่มบริกรรมนิมิต คือ เมื่อลมหายใจละเอียดมากดั่งรู้สึกได้เหมือนเอามือลูบเกลือป่นเนื้อละเอียด เมื่อลมเรานิ่ง เราจะค่อยๆ วางมือจากลม เคลื่อนเข้ามากำหนดนิมิต ..พอนิ่งได้ระดับของมัน อุคคนิมิตมันจะมา ..ซึ่งอีตรงนี้เองแหละ ที่หลายคนจะกลัว หรือตกใจ หรือ สติสดุ้ง สะดุด หรือแวะสงสัย หรือ พยายามสลัดมันไป อะไรแล้วแต่...
ดิฉันก็เป็นนะ แรกที่ทำแล้วมีอะไรแปลกๆขึ้นมา ก็งงก่อน แล้วอยากรู้ สะดุดแล้ว แต่พอบางที พยายามตั้งสติให้จดจ่อ บางทีออกทะเลเลย ไปกะมันยาวเลย แทนที่จะกำหนดมัน ดันโดนมันกำหนดก็มี :lol:
แต่พอเมื่อวันทำได้ คือเอาสติครองไว้อย่าให้สติถูกครอง มันก็ผ่านต่อเนื่องมาได้ อย่างง่ายมาก
เล่าเท่าที่ตนเกิดประสบการณ์ก็ ช่วงที่หลังจากเนียน ตัวจะค่อนมาทางเบา คือเราจะรู้ตัวหมด แต่ก็ไม่ใส่ใจไรนัก ไม่รู้สึกสงสัย ไม่อยากแวะถาม เสียงจิตคิดในหัวเริ่มน้อยลง เหมือนเวลาเราตั้งใจดูหนัง ...รู้ตลอดว่านี่ไม่ใช่อภินิหาร ไม่หลงว่านี่อิทธิฤทธิใดใด เพียงแค่ดู ...อุคคนิมิตมา ...จะมีอาการ คล้ายๆสป๊าร์คเล็กน้อย ปล่อยมันต่อเนื่องไป สำคัญที่กำหนดครองสติไว้ให้มั่น ยึดไว้อย่าให้เชือกผูกลิงขาด จะกำหนดเกิดแสง สี ใดใด รูปร่างต่างๆ เอาสติมากำหนด ไปเรื่อยๆ ...พอกำหนดให้นิ่งได้ แนบแน่น เนียน กลมกลืน ...อาการฉ่ำๆจะเริ่มเกิดอย่างแนบเนียน
still hold .......just still hold....
ดื่มด่ำมัน ให้ชุ่มฉ่ำไป ดั่งลิ้มรสไวน์ชั้นเลิศ (ช่างบรรยายเนอะ...แต่เป็นเช่นนั้นจริงๆอ่าค่ะ :lol: ไม่ทราบจะอธิบายเป็นคำพูดให้เหมือนอย่างไรได้เท่า)
ในตอนครั้งนั้น เสียงในหัวพูดน้อยมาก แรกจะมีบ้างนิดหน่อย เช่น เท่าที่จำได้ก็ประมาณ...เฮ้ยไรน่ะ ...นี่เองๆ ...เจอแล้ว...
ไม่มากค่ะ เพราะมันจะฟู มันจะเกรียว มันจะแบ่บ จดจ่ออยู่กะตรงนั้น มากกว่าจะอยากคิดคำนึงอะไร ...แทบไม่สงสัยอะไร ...เพราะมันรู้...
ไม่ใช่บ้า ไม่ใช่ฝัน ไม่ใช่ไร้สติ ไม่หลงเมาไปว่าฉันมีอิทธิฤทธิ...มีสติตลอดที่ปฏิบัติ
ตรงขั้นนั้น ในครั้งแรกที่รู้ว่าใช่สมาธิขั้น เอกคตา แล้ว ดิฉันออกจากสมาธิมาเลย ออกมาทั้งที่ ปีติสุข ยังคาอยู่อย่างนั้น คือจบการกำหนดสมาธิไว้แค่นั้นก่อน...แล้วเดินเหินไปไหนต่อไหน ทำหรือไม่ทำอะไร ก็ฉ่ำไปหมด เย็น เนียน จิตนวลมากค่ะ (อาการสุขขั้นเอกคตานี้นั้น สำหรับครั้งนั้นของดิฉัน มันhold ต่อเนื่องไปเป็นวันๆ แล้วมันค่อยๆเฝดลงๆ ไปเอง)
วิธีการคิด การมองโลก การอะไรๆในทางโลก เปลี่ยนทันที เปลี่ยนบัดเดี๋ยวนั้น ไม่เหมือนกันเลยกับที่เคยเป็นมาแทบทั้งชีวิต
เข้าใจทันที ว่าทำไมมีสูตรอาณาปานสติไว้เพื่อการแก้ไขอย่างทันที
คนเรานั้นเกิดมามีชีวิต สะสมเรื่องยึดติดเรื่องทุกข์สุขทั้งปวง ทับถมกันมายาวนานเท่าอายุของแต่ละคน
แต่อาณา นี่มันหักศอกเลย เหมือนกระดูกที่เบี้ยวๆอยู่ หมดนวดบิดกิ๊กลงล๊อคโป๊ะ กระดูกกลับเข้าที่ได้ทันที ...ไม่มีการลีลาจ่ายยาเลี้ยงไข้ ผั๊วะ ยิงหมัดตรงเข้าหน้าแงเลย :lol:
ที่เล่ามาทั้งหมด อยากให้รู้ว่า ปฏิบัติธรรมนั้น มิใช่เรื่องน่าเบื่อเลย อร่อยอย่างมาก สนุกสนาน อิ่มเอมไประหว่างทาง การปฏิบัตินั้นๆ
ขณะนี้ นักเรียนคนนี้ กะลังฝึกอยู่ในขั้นจิตตานุปัสสนา ยังไม่เก่ง ไม่ช่ำชองเท่าไรนักเลย กะลังเล่นมวยปล้ำกะจิตอยู่
แต่ที่อยากจะเล่าออกมา เพราะอย่างที่บอกคือ เข้าใจว่า พี่ๆขั้นสูงๆ เขามักไม่ชอบจะเล่ากัน เขาวางเฉยมากกว่านี้แล้ว
ดังนั้น ดิฉัน นักเรียนชั้นประถมจึงอยากจะเล่า อยากให้ผู้ที่อยากทดลอง กล้าหาญที่จะตัดสินใจเข้ามาทดลอง
บางทีส่วนใหญ่ ฟังซะมาก บางทีฟุ้งไปไกล ถึงขนาดว่า ไม่กล้า กลัวจะบ้า
ท่านพุทธทาสว่าไว้งี้ค่ะ คมคายมาก....
บ้าเต็มตัวแล้ว ยังจะกลัวเขาว่าบ้า นี่น่าหวัว....

มนุษย์จะกลัวบ้าทำไม ก็คุณบ้าอยู่ก่อนนานแล้ว ยังจะมาทำไม่รู้ตัวอีก :lovl:

- farmer
- Verified User
- โพสต์: 604
- ผู้ติดตาม: 0
ทำไมเราควรเชื่อพุทธศาสนา
โพสต์ที่ 38
ลองไปโหลดมาฟังครับ หลายๆท่านเทศน์ ไว้เกี่ยวกับรู้จักทุกข์ วิธีดับทุกข์
มีเกือบทุกรูป ครับ ส่วนใหญ่เป็นสาย หลวงปู่มั่น
http://audio.palungjit.com/
มีเกือบทุกรูป ครับ ส่วนใหญ่เป็นสาย หลวงปู่มั่น
http://audio.palungjit.com/
ไม่มีป่า ไม่มีน้ำ
-
- Verified User
- โพสต์: 391
- ผู้ติดตาม: 0
ทำไมเราควรเชื่อพุทธศาสนา
โพสต์ที่ 40
ถ้าผมจำไม่ผิดนะครับ เพราะเคยอ่านอานาปานสติของท่านพุทธทาสเมื่อ นานมากๆแล้วสัก 20 กว่าปีเห็นจะได้ ท่านบอกว่าเมื่อ007-s เขียน:
ขณะนี้ นักเรียนคนนี้ กะลังฝึกอยู่ในขั้นจิตตานุปัสสนา ยังไม่เก่ง ไม่ช่ำชองเท่าไรนักเลย กะลังเล่นมวยปล้ำกะจิตอยู่
1. บรรลุขั้นกายานุปัสสนา เท่ากับ บรรลุโสดาบัน
2. บรรลุขั้นเวทนานุปัสสนา เท่ากับ บรรลุสกิทาคามี
3. บรรลุขั้นจิตตานุปัสสนา เท่ากับ บรรลุอนาคามี
4. บรรลุขั้นธรรมมานุปัสสนา เท่ากับ บรรลุอรหันต์ เลยนะครับนั่น
แปลว่าตอนนี้อย่างน้อยๆคุณสายลับก็ผ่านขั้น สกิทาคามีสิครับ

- Ryuga
- Verified User
- โพสต์: 1771
- ผู้ติดตาม: 0
ทำไมเราควรเชื่อพุทธศาสนา
โพสต์ที่ 41
พี่สายลับเก่งจังครับ 

ถ้าผมจำไม่ผิดนะครับแผ่วเบา เขียน:
Low Profile High Profit
หมากล้อมเย้ยยุทธจักร
หมากล้อมเย้ยยุทธจักร
-
- Verified User
- โพสต์: 2496
- ผู้ติดตาม: 0
ทำไมเราควรเชื่อพุทธศาสนา
โพสต์ที่ 42
ดิฉันก็ไม่น่าจะจัดในพวกเก่งไรนะ คิดว่าเพราะกลวิธีในสูตรอาณาปานสติที่มีนั้น แยบคายมากกว่า น่าจะพูดได้อย่างนั้น
คือถ้าเรา ตั้งใจจะทำจริง ตั้งใจทำไปตามวิธีที่บอกไว้ในสูตร มันทำได้จริง มันไปได้แน่ๆ
(ซึ่งพอได้แล้วอย่างดิฉันเนี่ย ก็ยังไม่ถึงกะแน่นอนเสมอ ยังต้องฝึกไปเรื่อยๆจนกว่าจะเข้าฝักกว่านี้ ต้องฝึกให้ได้ซ้ำๆมากๆครั้งไปเรื่อยๆอีก มันเหมือนการหัดขี่จักรยาน มันขี่ได้3-4ครั้ง แต่มันต้องหัดไปจนกว่าจะบังคับจักรยานจนคล่องแคล่วด้วย)
อย่างบางท่านที่ยังทำได้ไม่ค่อยดีนัก บางทีเป็นเพราะความเข้าใจที่ผิดนิดๆหน่อยๆ ในเทคนิคบางข้อ
เช่น เวลาที่ปฏิบัติหายใจเข้าออก มัวเอาสติไปวุ่นวายจะจัดการกะความคิด พวกเสียงคิดในหัว
มีคร่าวๆสองแนว ....คือหนึ่ง มัวเอาสติไปจดจ่อกะเรื่องที่คิดจนต่อยอดความคิดนั้นไปยาวเลย หลงทางไป มันเลยสติไม่นิ่งอยู่กะลม , สองคือ มัวเอาสติไปจ้องจะปัดความคิดนั้นออกไปให้ได้ ซึ่งมันปัดได้ แต่จะไม่มีวันปัดหมด สะกดความคิดแรกได้ ความคิดที่สองจะผุดขึ้นมา มันจะเป็นเช่นนี้ไป กลายเป็นเอาสติไปจัดการผิดหน้าที่
....เทคนิคสำหรับของดิฉันในกรณีนี้นี่คือ อย่าไปสนมัน เปรียบจิตยังเป็นเด็กซน อย่าไปดุแว๊ดๆใส่มัน แต่ต้องล่อมัน เราเป็นคนคุมเกม อย่าให้เด็กคุมเกม เด็กมันซ่ามันกร่าง เรานิ่งๆ เป้าหมายคือ เราจะผลิตขนมหวาน เหมือนนั่งทำเฉยแล้วอยู่ๆเสกขนมหวานชูขึ้นอวดเด็ก เด็กมันจะเริ่มหันมาสนใจเรา มันจะอยากรู้ อยากได้ขนมของเราแล้วทีนี้
เพราะเหตุว่า ขนมหวานที่ชื่อว่า ปีติอย่างธรรม ชิ้นนี้นั้น โอยมันเหนือชั้นกว่าขนมหวานแบบทางโลกมากมาย ไม่ต้องตะโกนเรียกมัน เด็กจะรี่เข้ามาหาขนมเอง แล้วพอมันได้ชิมรสของขนม เด็กจะเคลิ้มไปได้เอง มันจะลืมที่จะซน
อีกจุดนึงที่เข้าใจว่าหลายท่านไม่ยอมฝ่าไป หรือฝ่าไปไม่ได้ (รวมถึงดิฉันเองแรกๆก็ฝ่าไม่ง่ายนัก)คือช่วง ที่พอลมหายใจเนียน ในระดับที่เฉียดจะเกิดสมาธิ
มีหลายอาการที่มักจะเกิด คือ กลัว กังวล ลำพอง กระหยิ่ม สงสัย อะไรต่างๆ ...มัวหาเหตุผลของที่มาที่ไปของนิมิตที่ปรากฏขึ้น แล้วที่สำคัญคือ มักจะหาเหตุผลโดยใช้ "ความสำคัญมั่นหมาย" ที่แต่ละคนสะสมมานานนับปีๆ เอามาใช้วัดตริตรอง ....ซึ่งนั่นเอง จะทำให้สติหลุดลอยจากเส้นทางที่กะลังจะเข้าล๊อคของการเกิดสมาธิ
ต้องมีสติรู้ในกระบวนการที่เรากระทำมา และกำลังกระทำอย่างต่อเนื่องกันอยู่ เสมอ
เช่น สมมติ เกิดภาพนิมิตของชายแก่คนนึง ในใจสรุปเสร็จเลย ...ผี
หรือ เกิดภาพเสือพุ่งเข้ามาจะแง่งเรา สรุปอีก...โอ้ตายแน่ :?
นั่นเป็นความรู้ในสำคัญมั่นหมายที่สะสมมาเนิ่นนานในชีวิตเรา
แต่เราลืมไปซะงั้นว่า...เฮ้ยย ก็ที่มันเกิดใดใดมาทั้งปวงนั้น...ก็เรานั่นเอง เป็นผู้เริ่มกำหนดมาแต่ต้นกระบวนการ...คือ...ขั้น"กายลมปรุงแต่งกายเนื้อ"...เราเองที่เพิ่งกระทำ "กายลมละเอียด สามารถให้กายเนื้อสงบรำงับ"....แล้วผู้บริกรรมนิมิต นั่นก็เราเอง...เราเป็นผู้คุมเกมทั้งหมดนี่
ถ้าไม่สับสนเอา สิ่งสำคัญมั่นหมาย มาปนกับ สิ่งที่เกิดขึ้นจริง ...เราจะฝ่าด่านนี้ไปได้เอง
แล้วเราจะผลิต ปีติสุขได้ แล้วจิตจะเสร็จเรา สมาธิจิตจะเกิดขึ้น เพื่อหมายจะเคล้าเคลียปีติสุขนั้นๆ นั่นเอง
(แต่ยังไม่จบแค่นี้ แค่ผลิตสมาธิจิตได้ ยังต้องไปต่ออีก แต่ละขั้นตอนมันมีความหมายอยู่ เช่นว่า ผลิตปีติ เพื่อจับให้จิตนิ่ง เมื่อจิตอยู่ในโอวาท ก็จะเพื่อใช้งานจิต ให้ทำในขั้นต่อไปอีกได้...)

คือถ้าเรา ตั้งใจจะทำจริง ตั้งใจทำไปตามวิธีที่บอกไว้ในสูตร มันทำได้จริง มันไปได้แน่ๆ
(ซึ่งพอได้แล้วอย่างดิฉันเนี่ย ก็ยังไม่ถึงกะแน่นอนเสมอ ยังต้องฝึกไปเรื่อยๆจนกว่าจะเข้าฝักกว่านี้ ต้องฝึกให้ได้ซ้ำๆมากๆครั้งไปเรื่อยๆอีก มันเหมือนการหัดขี่จักรยาน มันขี่ได้3-4ครั้ง แต่มันต้องหัดไปจนกว่าจะบังคับจักรยานจนคล่องแคล่วด้วย)
อย่างบางท่านที่ยังทำได้ไม่ค่อยดีนัก บางทีเป็นเพราะความเข้าใจที่ผิดนิดๆหน่อยๆ ในเทคนิคบางข้อ
เช่น เวลาที่ปฏิบัติหายใจเข้าออก มัวเอาสติไปวุ่นวายจะจัดการกะความคิด พวกเสียงคิดในหัว
มีคร่าวๆสองแนว ....คือหนึ่ง มัวเอาสติไปจดจ่อกะเรื่องที่คิดจนต่อยอดความคิดนั้นไปยาวเลย หลงทางไป มันเลยสติไม่นิ่งอยู่กะลม , สองคือ มัวเอาสติไปจ้องจะปัดความคิดนั้นออกไปให้ได้ ซึ่งมันปัดได้ แต่จะไม่มีวันปัดหมด สะกดความคิดแรกได้ ความคิดที่สองจะผุดขึ้นมา มันจะเป็นเช่นนี้ไป กลายเป็นเอาสติไปจัดการผิดหน้าที่
....เทคนิคสำหรับของดิฉันในกรณีนี้นี่คือ อย่าไปสนมัน เปรียบจิตยังเป็นเด็กซน อย่าไปดุแว๊ดๆใส่มัน แต่ต้องล่อมัน เราเป็นคนคุมเกม อย่าให้เด็กคุมเกม เด็กมันซ่ามันกร่าง เรานิ่งๆ เป้าหมายคือ เราจะผลิตขนมหวาน เหมือนนั่งทำเฉยแล้วอยู่ๆเสกขนมหวานชูขึ้นอวดเด็ก เด็กมันจะเริ่มหันมาสนใจเรา มันจะอยากรู้ อยากได้ขนมของเราแล้วทีนี้
เพราะเหตุว่า ขนมหวานที่ชื่อว่า ปีติอย่างธรรม ชิ้นนี้นั้น โอยมันเหนือชั้นกว่าขนมหวานแบบทางโลกมากมาย ไม่ต้องตะโกนเรียกมัน เด็กจะรี่เข้ามาหาขนมเอง แล้วพอมันได้ชิมรสของขนม เด็กจะเคลิ้มไปได้เอง มันจะลืมที่จะซน
อีกจุดนึงที่เข้าใจว่าหลายท่านไม่ยอมฝ่าไป หรือฝ่าไปไม่ได้ (รวมถึงดิฉันเองแรกๆก็ฝ่าไม่ง่ายนัก)คือช่วง ที่พอลมหายใจเนียน ในระดับที่เฉียดจะเกิดสมาธิ
มีหลายอาการที่มักจะเกิด คือ กลัว กังวล ลำพอง กระหยิ่ม สงสัย อะไรต่างๆ ...มัวหาเหตุผลของที่มาที่ไปของนิมิตที่ปรากฏขึ้น แล้วที่สำคัญคือ มักจะหาเหตุผลโดยใช้ "ความสำคัญมั่นหมาย" ที่แต่ละคนสะสมมานานนับปีๆ เอามาใช้วัดตริตรอง ....ซึ่งนั่นเอง จะทำให้สติหลุดลอยจากเส้นทางที่กะลังจะเข้าล๊อคของการเกิดสมาธิ
ต้องมีสติรู้ในกระบวนการที่เรากระทำมา และกำลังกระทำอย่างต่อเนื่องกันอยู่ เสมอ
เช่น สมมติ เกิดภาพนิมิตของชายแก่คนนึง ในใจสรุปเสร็จเลย ...ผี

หรือ เกิดภาพเสือพุ่งเข้ามาจะแง่งเรา สรุปอีก...โอ้ตายแน่ :?
นั่นเป็นความรู้ในสำคัญมั่นหมายที่สะสมมาเนิ่นนานในชีวิตเรา
แต่เราลืมไปซะงั้นว่า...เฮ้ยย ก็ที่มันเกิดใดใดมาทั้งปวงนั้น...ก็เรานั่นเอง เป็นผู้เริ่มกำหนดมาแต่ต้นกระบวนการ...คือ...ขั้น"กายลมปรุงแต่งกายเนื้อ"...เราเองที่เพิ่งกระทำ "กายลมละเอียด สามารถให้กายเนื้อสงบรำงับ"....แล้วผู้บริกรรมนิมิต นั่นก็เราเอง...เราเป็นผู้คุมเกมทั้งหมดนี่
ถ้าไม่สับสนเอา สิ่งสำคัญมั่นหมาย มาปนกับ สิ่งที่เกิดขึ้นจริง ...เราจะฝ่าด่านนี้ไปได้เอง
แล้วเราจะผลิต ปีติสุขได้ แล้วจิตจะเสร็จเรา สมาธิจิตจะเกิดขึ้น เพื่อหมายจะเคล้าเคลียปีติสุขนั้นๆ นั่นเอง
(แต่ยังไม่จบแค่นี้ แค่ผลิตสมาธิจิตได้ ยังต้องไปต่ออีก แต่ละขั้นตอนมันมีความหมายอยู่ เช่นว่า ผลิตปีติ เพื่อจับให้จิตนิ่ง เมื่อจิตอยู่ในโอวาท ก็จะเพื่อใช้งานจิต ให้ทำในขั้นต่อไปอีกได้...)

- Little Boy
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1318
- ผู้ติดตาม: 0
ทำไมเราควรเชื่อพุทธศาสนา
โพสต์ที่ 43
อธิบายได้เห็นภาพมากเลยครับพี่สายลับสาว พี่เจ๋งก็สุดยอดครับ

ความรู้..อาจมีขอบเขตจำกัด แต่จินตนาการ..ไร้ขีดจำกัด
-
- Verified User
- โพสต์: 5786
- ผู้ติดตาม: 0
ทำไมเราควรเชื่อพุทธศาสนา
โพสต์ที่ 44
ถ้าผมจำไม่ผิดนะครับRyuga เขียน:พี่สายลับเก่งจังครับ
"Winners never quit, and quitters never win."
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 14783
- ผู้ติดตาม: 0
ทำไมเราควรเชื่อพุทธศาสนา
โพสต์ที่ 47
โค้ด: เลือกทั้งหมด
เดี๋ยวผมจะแอบพิสูจน์ด้วยการแอบเข้าข้างหลัง แล้ว จ๊ะเอ๋
หรือไม่งั้นเดี๋ยวเอาปีเตอร์ไปปล่อยไว้ในห้อง
"ผู้บรรลุธรรมย่อมครองความมีสติได้ทุกขณะจิต แล้วไม่ตกใจกับภัยอันตรายใดๆ"
แซวเล่นนะครับ อิอิ ...
ขออนุโมทนากับพี่สายลับด้วยครับ เก่งมั่กๆ
แกก็ได้ยิน แล้วก็ สงบ อะไรจะเกิดก็เกิด แกก็นั่งต่อไป
อ่านจากหนังสือหลวงพ่อจรัญ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 14783
- ผู้ติดตาม: 0
ทำไมเราควรเชื่อพุทธศาสนา
โพสต์ที่ 52
ในขณะที่นั่ง แล้ว จิตเริ่มละเอียดขึ้น กลับเห็นคลื่นความคิด เล็กๆ แต่มีหลายเรื่อง ไม่สับสน เหมือนคลื่นของทะเล มีคลื่นความคิดเล็ก เช่นเรื่องหุ้น เรื่องงาน เรื่องนั่น เรื่องนี่ คลื่นเล็กๆ บางคลืนเล็กมาก แต่พอเริ่มใหญ่หน่อยก็เป็นความคิด ตอนนั้น ความคิดก็น้อยอยู่แล้ว เพราะปฎิบัติอยู่ไม่ได้ปรุงแต่งอะไร
ถามว่ายากหรือไม่ ก็ไม่รู้ เพราะ ณ เวลานั้น เราก็คิดกันได้น้อยอยู่แล้ว เป็นการรับรู้ระดับไม่ต้องคิดมากอยู่แล้ว
หลุดง่ายหรือไม่ ก็ง่ายมาก เช่น เผลอไปกับความคิดนั้นๆ ไม่ได้ผิดอะไร พอรู้ตัวก็กำหนดรู้หนอ แล้วกลับมาอยู่ กับ กาย เวทนา จิต ธรรม ตรงไหนแรง จับตรงนั้น
เช่น จับตรง นั่งหนอ ถูกหนอ ( ก้นถูกกับพื้น หรือ มือถูกกับ หน้าตัก ) ไล่เป็นจุดๆ ไป เอาตรงแรงๆ
มีเสียงอะไรดังปัง ก็กำหนด ยินหนอ
มีภาพแว๊บเข้ามาก็ เห็นหนอ
มีความปวดเข้ามา ( เวทนา ) ก็ ปวดหนอ
มีความสุขจากการได้ปฎิบัติ ( เวทนา ) ก็สุขหนอ
มีความง่วงเข้ามา ( ธรรม ) ก็ ง่วงหนอ
มีความสงสัยเข้ามา ( ธรรม ) ก็ สงสัยหนอ หรือ รู้หนอ ก็ได้ รู้หนอ รู้ว่ากำลังมีสงสัย ไม่ต้องไปปรุงแต่งต่อ
มีอะไรก็แล้วแต่ทีชัดๆเข้ามาก็กำหนด เมื่อกำหนดไปเรื่อยๆ จะอัตโนมัติ จะไม่ง่วง ไม่ปรุงแต่ง ปวดขาแต่ไม่ทรมานก็แค่ปวดหนอ จิตเกิดความเศร้ามาก ก็เศร้าหนอ
ไม่ต้องไปพยายามแยกแยะอะไรหรอก ว่าอันนี้กาย อันนี้เวทนา อันนี้จิต อันนี้ธรรม
ดูไป ดูไป ก็จะมีสติมากขึ้น แล้วทุกอย่างก็จะค่อยๆชัดขึ้น
ทำสบายๆไม่ต้องฝืน ทุกอย่างสบายๆ แต่ต้องมีความตั้งใจ มีความพยายาม เช่น แว๊บขึ้นมาว่านอนดีกว่า ดึกแล้ว ก็ อดทนหนอพากเพียรหนอ
รู้สึกเมื่อย ก็เมื่อยหนอ อยากขยับ ไม่ต้องขยับนะ ก็กำหนด อยากขยับหนอ อดทนหนอพากเพียรหนอ
ทำไปเรื่อยๆ
ใครอยากเรียนเชิญที่วัดผานิตยาราม เข้าจองได้ที่เว็บ kondee.com ครับ
ขออนุโมทนา
ถามว่ายากหรือไม่ ก็ไม่รู้ เพราะ ณ เวลานั้น เราก็คิดกันได้น้อยอยู่แล้ว เป็นการรับรู้ระดับไม่ต้องคิดมากอยู่แล้ว
หลุดง่ายหรือไม่ ก็ง่ายมาก เช่น เผลอไปกับความคิดนั้นๆ ไม่ได้ผิดอะไร พอรู้ตัวก็กำหนดรู้หนอ แล้วกลับมาอยู่ กับ กาย เวทนา จิต ธรรม ตรงไหนแรง จับตรงนั้น
เช่น จับตรง นั่งหนอ ถูกหนอ ( ก้นถูกกับพื้น หรือ มือถูกกับ หน้าตัก ) ไล่เป็นจุดๆ ไป เอาตรงแรงๆ
มีเสียงอะไรดังปัง ก็กำหนด ยินหนอ
มีภาพแว๊บเข้ามาก็ เห็นหนอ
มีความปวดเข้ามา ( เวทนา ) ก็ ปวดหนอ
มีความสุขจากการได้ปฎิบัติ ( เวทนา ) ก็สุขหนอ
มีความง่วงเข้ามา ( ธรรม ) ก็ ง่วงหนอ
มีความสงสัยเข้ามา ( ธรรม ) ก็ สงสัยหนอ หรือ รู้หนอ ก็ได้ รู้หนอ รู้ว่ากำลังมีสงสัย ไม่ต้องไปปรุงแต่งต่อ
มีอะไรก็แล้วแต่ทีชัดๆเข้ามาก็กำหนด เมื่อกำหนดไปเรื่อยๆ จะอัตโนมัติ จะไม่ง่วง ไม่ปรุงแต่ง ปวดขาแต่ไม่ทรมานก็แค่ปวดหนอ จิตเกิดความเศร้ามาก ก็เศร้าหนอ
ไม่ต้องไปพยายามแยกแยะอะไรหรอก ว่าอันนี้กาย อันนี้เวทนา อันนี้จิต อันนี้ธรรม
ดูไป ดูไป ก็จะมีสติมากขึ้น แล้วทุกอย่างก็จะค่อยๆชัดขึ้น
ทำสบายๆไม่ต้องฝืน ทุกอย่างสบายๆ แต่ต้องมีความตั้งใจ มีความพยายาม เช่น แว๊บขึ้นมาว่านอนดีกว่า ดึกแล้ว ก็ อดทนหนอพากเพียรหนอ
รู้สึกเมื่อย ก็เมื่อยหนอ อยากขยับ ไม่ต้องขยับนะ ก็กำหนด อยากขยับหนอ อดทนหนอพากเพียรหนอ
ทำไปเรื่อยๆ
ใครอยากเรียนเชิญที่วัดผานิตยาราม เข้าจองได้ที่เว็บ kondee.com ครับ
ขออนุโมทนา
-
- Verified User
- โพสต์: 2496
- ผู้ติดตาม: 0
ทำไมเราควรเชื่อพุทธศาสนา
โพสต์ที่ 57
พี่พอใจคะ....ดิฉันก็รู้สึกยินดีเสมอ ที่ได้สนทนากะพี่ค่ะ
.............................................................
สำหรับ พี่หวี.....
....เพิ่งเห็นว่าโดนแซว....
ล้อเล่งงงงง น่า แหมๆๆๆ
:lovl:
.............................................................
สำหรับ พี่หวี.....

พี่หวีมา อันนี้ก็ไม่แน่นะ จะเป็นไงยังไม่ทราบ ...แต่ว่าพี่ปีเตอร์เนี่ย ถ้าหล่อแบบเป็น พี่ปีเตอร์ คอรปไดเรนดัล..นี่ก็.....เดี๋ยวผมจะแอบพิสูจน์ด้วยการแอบเข้าข้างหลัง แล้ว จ๊ะเอ๋
หรือไม่งั้นเดี๋ยวเอาปีเตอร์ไปปล่อยไว้ในห้อง

ล้อเล่งงงงง น่า แหมๆๆๆ
:lovl:
-
- Verified User
- โพสต์: 5786
- ผู้ติดตาม: 0
ทำไมเราควรเชื่อพุทธศาสนา
โพสต์ที่ 58
ปีเตอร์อ่ะ
แก้ไขล่าสุดโดย MarginofSafety เมื่อ อังคาร ก.ย. 18, 2007 11:32 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
"Winners never quit, and quitters never win."