ชีวิตหลังความตาย
- Rocker
- Verified User
- โพสต์: 4526
- ผู้ติดตาม: 0
ชีวิตหลังความตาย
โพสต์ที่ 1
ใครดู รายการ ตี 10 ที่นําเทปมาออกบ้างครับ
ที่เล่าว่า ตกจากชั้น 2 แล้ว วิญญาณไป ยมโลกแล้วกลับเข้าร่าง
ผมอยากทราบว่า เค้าคิดไปเองเปล่าระหว่างที่สลบ คือ
1 ทําไมยมทูตต้องนุ่งผ้าแบบไทยโบราณ เป็นเพราะเค้าได้ยินฟัง
มาทําให้จินตนการไปเปล่า แล้วถ้า ฝรั่ง แขก ตายหละ ยมทูตจะแต่ง
กายต่างกันใหมตาม ชาติ
2 ถ้าวิญญาณมีจริงแล้ว 65 ล้านปีที่แล้วที่ไม่มี มนุษย์ มีแต่Dino ยังงี้
เวลามันตายแล้ว จะต้องไปพิจรณาคดีในนรกปะ หรือ ยมพบาลสมัยนั้นจะเป็นGodzela ที่ตัวใหญ่กว่ามากๆ
3 สวรรค์ นรก นั้น คุณคิดว่าเป็นแค่กุศโลบายใหม ที่ไว้หลอกให้คนทําแต่ความดี โลกจะได้สงบ
4 คือผมเห็นคนทําชั่วแต่ก็เจริญเอาๆ นะ เช่น นักการเมืองที่ ทุจริต
หรือ เจ้ามือหวยใต้ดิน ที่ลูกหลานกับได้ดิบได้ เป็น หมอ เรียนสูงๆ
มีเงิน มีคนกราบไหว้ ดั่งเทพแต่คน แทงหวยกับจนลงๆ สุดท้าย
กฏหมายไทย ใช้ได้กับคนจนเท่านั้น
5 รู้สึกว่าถ้า ตายแล้วจบกัน งั้นชีวิตก็คือ Game theory
ที่เล่าว่า ตกจากชั้น 2 แล้ว วิญญาณไป ยมโลกแล้วกลับเข้าร่าง
ผมอยากทราบว่า เค้าคิดไปเองเปล่าระหว่างที่สลบ คือ
1 ทําไมยมทูตต้องนุ่งผ้าแบบไทยโบราณ เป็นเพราะเค้าได้ยินฟัง
มาทําให้จินตนการไปเปล่า แล้วถ้า ฝรั่ง แขก ตายหละ ยมทูตจะแต่ง
กายต่างกันใหมตาม ชาติ
2 ถ้าวิญญาณมีจริงแล้ว 65 ล้านปีที่แล้วที่ไม่มี มนุษย์ มีแต่Dino ยังงี้
เวลามันตายแล้ว จะต้องไปพิจรณาคดีในนรกปะ หรือ ยมพบาลสมัยนั้นจะเป็นGodzela ที่ตัวใหญ่กว่ามากๆ
3 สวรรค์ นรก นั้น คุณคิดว่าเป็นแค่กุศโลบายใหม ที่ไว้หลอกให้คนทําแต่ความดี โลกจะได้สงบ
4 คือผมเห็นคนทําชั่วแต่ก็เจริญเอาๆ นะ เช่น นักการเมืองที่ ทุจริต
หรือ เจ้ามือหวยใต้ดิน ที่ลูกหลานกับได้ดิบได้ เป็น หมอ เรียนสูงๆ
มีเงิน มีคนกราบไหว้ ดั่งเทพแต่คน แทงหวยกับจนลงๆ สุดท้าย
กฏหมายไทย ใช้ได้กับคนจนเท่านั้น
5 รู้สึกว่าถ้า ตายแล้วจบกัน งั้นชีวิตก็คือ Game theory
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 14783
- ผู้ติดตาม: 0
ชีวิตหลังความตาย
โพสต์ที่ 2
โค้ด: เลือกทั้งหมด
ใครดู รายการ ตี 10 ที่นําเทปมาออกบ้างครับ
ที่เล่าว่า ตกจากชั้น 2 แล้ว วิญญาณไป ยมโลกแล้วกลับเข้าร่าง
ผมอยากทราบว่า เค้าคิดไปเองเปล่าระหว่างที่สลบ คือ
1 ทําไมยมทูตต้องนุ่งผ้าแบบไทยโบราณ เป็นเพราะเค้าได้ยินฟัง
มาทําให้จินตนการไปเปล่า แล้วถ้า ฝรั่ง แขก ตายหละ ยมทูตจะแต่ง
กายต่างกันใหมตาม ชาติ
ตามหลักพุทธศาสนา เราเห็นได้ เพราะ 1. สิ่งที่เห็น 2. จักขุวิญญาน ( อยู่บริเวณตา ) 3. ตัวที่เข้าไปเห็น ( จิต ) หากไม่มีสิ่งที่เห็น เราก็ม่ายเห็น หากไม่มีลูกตา เราก็ไม่เห็น แต่ไม่เสมอไป เนื่องจาก บางทีหลับตาเรายังเห็นภาพ ใช่หรือไม่ และ จิตที่รับกระทบ ทำให้เราเห็น ระหว่างจิตหลุด จิตเลื่อนลอย เราก็ไม่เห็น เช่น หลับใน หรือ จิตไป เพ่งจ้องเรื่องอื่นอยู่ คือ เห็นแต่ไม่เห็น รวมความว่า เราไม่ต้องไปสนใจหรอกว่า เห็นจริงหรือไม่ หรือว่า ทำไมต้องแต่งชุดอะไร เรื่องนี้สนใจไปก็ไม่ได้ทำให้ตัวเราดับทุกข์ได้
โค้ด: เลือกทั้งหมด
2 ถ้าวิญญาณมีจริงแล้ว 65 ล้านปีที่แล้วที่ไม่มี มนุษย์ มีแต่Dino ยังงี้
เวลามันตายแล้ว จะต้องไปพิจรณาคดีในนรกปะ หรือ ยมพบาลสมัยนั้นจะเป็นGodzela ที่ตัวใหญ่กว่ามากๆ
โค้ด: เลือกทั้งหมด
3 สวรรค์ นรก นั้น คุณคิดว่าเป็นแค่กุศโลบายใหม ที่ไว้หลอกให้คนทําแต่ความดี โลกจะได้สงบ
โค้ด: เลือกทั้งหมด
4 คือผมเห็นคนทําชั่วแต่ก็เจริญเอาๆ นะ เช่น นักการเมืองที่ ทุจริต
หรือ เจ้ามือหวยใต้ดิน ที่ลูกหลานกับได้ดิบได้ เป็น หมอ เรียนสูงๆ
มีเงิน มีคนกราบไหว้ ดั่งเทพแต่คน แทงหวยกับจนลงๆ สุดท้าย
กฏหมายไทย ใช้ได้กับคนจนเท่านั้น
โค้ด: เลือกทั้งหมด
5 รู้สึกว่าถ้า ตายแล้วจบกัน งั้นชีวิตก็คือ Game theory
-
- Verified User
- โพสต์: 1992
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ชีวิตหลังความตาย
โพสต์ที่ 3
คงจะแต่งกายต่างกัน เพราะถ้าฝรั่งไม่เคยเห็นชุดไทย เขาก็คงไม่จินตนาการตอนตายว่ายมฑูตแต่งกายชุดชาติอื่นมารับนะRocker เขียน:ใครดู รายการ ตี 10 ที่นําเทปมาออกบ้างครับ
ที่เล่าว่า ตกจากชั้น 2 แล้ว วิญญาณไป ยมโลกแล้วกลับเข้าร่าง
ผมอยากทราบว่า เค้าคิดไปเองเปล่าระหว่างที่สลบ คือ
1 ทําไมยมทูตต้องนุ่งผ้าแบบไทยโบราณ เป็นเพราะเค้าได้ยินฟัง
มาทําให้จินตนการไปเปล่า แล้วถ้า ฝรั่ง แขก ตายหละ ยมทูตจะแต่ง
กายต่างกันใหมตาม ชาติ
ให้อาจจะเป็นบริการของยมฑูตอย่างหนึ่ง เพราะฑูต (ambassador) น่าจะต้องเป็นตัวแทนของอะไรซักอย่าง ยมฑูตก็เป็นตัวแทนจากปรโลก เขาน่าจะมีสัมพันธ์ไมตรีกับชาติต่าง ๆ ดีนะ บริการแต่งชุดประจำชาติ (แบบแอร์บนเครื่อง) น่าจะเป็นอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ ในการต้อนรับผู้ใช้บริการ
Rocker เขียน:2 ถ้าวิญญาณมีจริงแล้ว 65 ล้านปีที่แล้วที่ไม่มี มนุษย์ มีแต่Dino ยังงี้
เวลามันตายแล้ว จะต้องไปพิจรณาคดีในนรกปะ
-
- Verified User
- โพสต์: 1688
- ผู้ติดตาม: 0
ชีวิตหลังความตาย
โพสต์ที่ 4
ทางวิทยาศาสตร์ผมเชื่อว่าตายแล้วก็สลายไป
นอกเหนือจากนั้น
อะไรก็ไม่รู้ก็คือที่เราไม่มีทางรู้
เล็กสุด ใหญ่สุด ไม่มีที่สิ้นสุด
ชาติหน้า นรก สววรค์ ชีวิตนิรันดร์ คงไม่มีจริง
จริงคือเท็จ เท็จคือจริง
หรือท่าจะจริง
หากไม่มีตัวเรา ก็ไม่มีความคิด ก็ไม่มีอะไรเลย
แต่มีตัวเราถึงได้มีความจริง มีนรก สวรรค์ ฯลฯ
:lol:
นอกเหนือจากนั้น
อะไรก็ไม่รู้ก็คือที่เราไม่มีทางรู้
เล็กสุด ใหญ่สุด ไม่มีที่สิ้นสุด
ชาติหน้า นรก สววรค์ ชีวิตนิรันดร์ คงไม่มีจริง
จริงคือเท็จ เท็จคือจริง
หรือท่าจะจริง
หากไม่มีตัวเรา ก็ไม่มีความคิด ก็ไม่มีอะไรเลย
แต่มีตัวเราถึงได้มีความจริง มีนรก สวรรค์ ฯลฯ
:lol:
==หากบริษัทไม่ได้อยู่ในตลาดฯ หุ้นยังน่าซื้อหรือไม่ ==
- Ryuga
- Verified User
- โพสต์: 1771
- ผู้ติดตาม: 0
ชีวิตหลังความตาย
โพสต์ที่ 7
โค้ด: เลือกทั้งหมด
1 ทําไมยมทูตต้องนุ่งผ้าแบบไทยโบราณ เป็นเพราะเค้าได้ยินฟัง
มาทําให้จินตนการไปเปล่า แล้วถ้า ฝรั่ง แขก ตายหละ ยมทูตจะแต่ง
กายต่างกันใหมตาม ชาติ
โค้ด: เลือกทั้งหมด
2 ถ้าวิญญาณมีจริงแล้ว 65 ล้านปีที่แล้วที่ไม่มี มนุษย์ มีแต่Dino ยังงี้
เวลามันตายแล้ว จะต้องไปพิจรณาคดีในนรกปะ หรือ ยมพบาลสมัยนั้นจะเป็นGodzela ที่ตัวใหญ่กว่ามากๆ
โค้ด: เลือกทั้งหมด
3 สวรรค์ นรก นั้น คุณคิดว่าเป็นแค่กุศโลบายใหม ที่ไว้หลอกให้คนทําแต่ความดี โลกจะได้สงบ

โค้ด: เลือกทั้งหมด
4 คือผมเห็นคนทําชั่วแต่ก็เจริญเอาๆ นะ เช่น นักการเมืองที่ ทุจริต
หรือ เจ้ามือหวยใต้ดิน ที่ลูกหลานกับได้ดิบได้ เป็น หมอ เรียนสูงๆ
มีเงิน มีคนกราบไหว้ ดั่งเทพแต่คน แทงหวยกับจนลงๆ สุดท้าย
กฏหมายไทย ใช้ได้กับคนจนเท่านั้น

โค้ด: เลือกทั้งหมด
5 รู้สึกว่าถ้า ตายแล้วจบกัน งั้นชีวิตก็คือ Game theory
Low Profile High Profit
หมากล้อมเย้ยยุทธจักร
หมากล้อมเย้ยยุทธจักร
- por_jai
- Verified User
- โพสต์: 14338
- ผู้ติดตาม: 0
ชีวิตหลังความตาย
โพสต์ที่ 9
8) ผมว่า Rocker ตั้งคำถามได้ดีมากครับ
ผมว่าวัยรุ่นสมัยนี้(หรือสมัยไหน) เขาไม่สนเรื่องนี้กันซักเท่าไหร่
หนุ่มร็อคนี่เป็นนักคิดชั้นดีคนนึง
สมัยก่อนเห็นชอบถามปัญหาทางการตลาด
คิดไม่ถึงว่าเรื่องบาปบุญก็สนใจ
ผมว่าคนที่ตอบที่อ่านมาก็ตอบได้ความ ทำให้เข้าใจง่ายครับ...
ผมว่าวัยรุ่นสมัยนี้(หรือสมัยไหน) เขาไม่สนเรื่องนี้กันซักเท่าไหร่
หนุ่มร็อคนี่เป็นนักคิดชั้นดีคนนึง
สมัยก่อนเห็นชอบถามปัญหาทางการตลาด
คิดไม่ถึงว่าเรื่องบาปบุญก็สนใจ
ผมว่าคนที่ตอบที่อ่านมาก็ตอบได้ความ ทำให้เข้าใจง่ายครับ...
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
-
- Verified User
- โพสต์: 391
- ผู้ติดตาม: 0
ชีวิตหลังความตาย
โพสต์ที่ 10
ผมคิดเหมือนพี่เต่านะครับต.หยวนเปียว เขียน:ทางวิทยาศาสตร์ผมเชื่อว่าตายแล้วก็สลายไป
นอกเหนือจากนั้น
อะไรก็ไม่รู้ก็คือที่เราไม่มีทางรู้
ทางวิทยาศาสตร์ เราตายแล้วก็สลายไป
แต่ที่เขาว่าเวียนว่ายตายเกิดน่าจะเป็นเพราะ......
พอเราตายร่างกายเราเน่าเปื่อยก็จริง แต่ธาตุและสารประกอบไม่ได้สลายไปด้วย ก็สสารไม่มีวันสูญหายนี่ครับ นอกจากจะเปลี่ยนไปเป็นพลังงาน
คาร์บอนในตัวเราก็ยังคงเป็นคาร์บอน ไฮโดรเจนก็ยังคงป็นไฮโดรเจน ทีนี้พอร่างกายเน่าเปื่อย เจ้าแบคทีเรียก็มาย่อยสลาย ถ้าสมัยก่อนก็อาจจะโดนสัตว์อื่นมาแทะกิน H , O ,C และอื่นๆก็ถูกนำไปสร้างเป็นเซลของสัตว์อื่นๆ
อย่างนี้จะเรียกว่า ตัวเรา(บางส่วน)กลับชาติไปเป็นเสือ จระเข้ได้ไหม ถ้าเสือหรือจระเข้มากินศพเรา ไปเป็นหนอนได้ไหม ไปเป็นพืชได้ไหม ไปเป็นกวางได้ไหม
และวันหนึ่งกวางก็โดนมนุษย์กิน ก็บอกว่า ได้กลับชาติมาเป็นมนุษย์อีกทีได้ไหม
วัฏฏสงสารเวียนว่ายตายเกิดเป็นเพราะสาเหตุนี้ได้ไหมครับ
- Ryuga
- Verified User
- โพสต์: 1771
- ผู้ติดตาม: 0
ชีวิตหลังความตาย
โพสต์ที่ 12
ผมนับถือท่านป้าที่มาออก ตี 10 มากครับ เพราะท่านมีเจตนาดีที่อยากให้คนทั้งหลายรู้จักกลัวบาปกลัวกรรม จะได้หันมาทำความดีกันเยอะๆ :lol:
ประเด็นอย่างที่พี่ Rocker ว่ามามันก็เป็นอย่างที่พี่ Rocker ว่ามาอยู่แล้วนี่ครับ ไม่เห็นต้องมาถามกันเลยว่าคนพวกนั้น ( เอ เรียกคนดีรึป่าวหว่า
) ปกติก็ไม่กลัวบาปกรรมอยู่แล้วถึงได้ทำอะไรแบบนั้น :lol:
สำหรับทุกๆ ท่านเลยนะครับที่มีความคิดว่าเกิดหนเดียวตายหนเดียว ตายแล้วก็สูญไป บุญบาปไม่มี
ขอแนะนำว่าให้ลองไปนอนในป่าช้าคนเดียว (ต้องคนเดียวจริงๆ นะ :lol: )
ป่าช้าแถวบ้านนอกจะเหมาะมาก หรือถ้ามีศพไร้ญาติ ศพตายโหง มาฝังใหม่ๆ เลยก็ยิ่งดีพวกบ้านผีสิงที่เขาว่าเฮี้ยนๆ โกดังเก็บศพเก่า ก็เข้าเค้าเหมือนกัน
ถ้าจะให้ดี ก็หลับตุนไว้แต่กลางวัน กลางคืนก็ค่อยไปจะได้ตาสว่างนานๆ
เตรียมข้าวของอุปกรณ์ในการยังชีพไปให้พร้อมด้วยนะครับ 8)
เครื่องรางของขลังก็ไม่ต้องพก ไม่ต้องมี อะไรจะมาขลัง ตายแล้วก็หมดไป
เรื่องวิญญาณเรื่องผี มีจริงที่ไหน ตายแล้วสูญหมด
ถึงที่เรียบร้อยแล้ว เริ่ม Ghost Game [ล่า-ท้า-ผี] ได้เลยครับ
เกมแห่งการลบหลู่
จงกล่าวบทกลอนนี้ออกมาดังๆ 8)
"สวดคาถาไปทำไมไร้ประโยชน์
พวกคนโทษหลอกลวงทั้งปวงสิ้น
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่ำช้าอย่ายลยิน
จงพังภินท์แหลกยับอัปรา
ขอสาปส่งศพทุกตนคนสิ้นคิด
เศษชีวิตสมควรตายวิญญาณบ้า
ขอสาปส่งเครื่องเซ่นสรวงที่บูชา
จึงขอท้าให้ผีมาปรากฏตัว"
ภูตผี ผีสางนางไม้มันไม่มีอยู่แล้วนี่ ลบหลู่กันให้เต็มที่ไปเลย
วิธีอะไรที่เขาว่าทำแล้วเห็นผีได้ทำไปให้หมดครับ ยืนมองลอดใต้ขา เอาขี้เถ้าป้ายตาอะไรก็ว่าไป
เห็นหลุมศพฝังดินลวกๆ ในป่าช้า เข้าไปลบหลู่ทันทีครับ เช่น ถ่มน้ำลาย อุจจาระ ปัสสาวะรด ฯลฯ
ใครเอาข้าวของมาไหว้คนตาย เหยียบทิ้งทำลายให้หมดซะ
สวดมนต์สวดคาถาอะไรก็ไม่ต้องไปสวด ผีไม่มี ตายแล้วสูญ
ซากศพที่เห็นก็แค่ก้อนโปรตีน ตายแล้วก็เหมือนๆ กัน กลัวทำไม
ยามที่เขายังมีชีวิต เป็นบุคคลน่าเคารพนับถือเราไหว้ได้
แต่พอตายแล้วก็แค่ก้อนโปรตีน ไปยึดถืออะไรกันมากมาย ตายแล้วสูญมิใช่รึ
ลบหลู่ไปเลย คนก็ตายไปแล้ว ผีไม่น่ากลัวหรอก คนต่างหากที่น่ากลัว
ไม่ต้องสวดมนต์ คุณพระคุณเจ้าไม่ต้องนึกถึง
พระทั้งหลายพวกท่านแต่ก่อนร่อนชะไรก็ชอบเอาเรื่องนรก สวรรค์มาหลอกกันเล่นให้คนทำความดี
นรก สวรรค์ มีที่ไหน โกหกทั้งนั้น
เสร็จแล้วก็นั่งอยู่ข้างหลุมศพนั่นแหละ ไม่ต้องไปหลับมันหรอก
สำหรับมือใหม่ ถึงปากจะชอบว่าตายแล้วสูญ ผีไม่มี บาปบุญไม่มี แต่ถ้ายังไม่อยากลบหลู่ก็ไม่ว่ากัน
เอาแค่ไปนั่งที่นั่นคนเดียวก็พอ........
จากนั้น ขอให้ตามดูจิตของตนเองขณะนั้นว่าเป็นอย่างไร
ตามดู ตามดู ตามดู ตามดู ..........
แล้วก็จะได้รู้ประจักษ์ขึ้นบ้างว่า
จิตใจอันหยาบกระด้างเกลื่อนกล่นด้วยโมหะและอวิชชานั้น มันตื่นตระหนก ขลาดเขลา นั่งสิ้นท่า น่าสมเพชอยู่ตรงนั้นใช่หรือไม่
องค์พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าอุตส่าห์สั่งสอนอะไรให้เราได้รู้บ้าง
ทำให้นึกถึงคนจำนวนมากเหมือนกันครับที่ชอบบอกว่า ไม่เชื่ออย่าลบหลู่
คำกล่าวที่ว่านี้ แท้จริงแล้วผิดหลักตรรกะ
เพราะหากไม่เชื่อแล้ว จะลบหลู่รึไม่ลบหลู่ย่อมไม่ต่างกัน ถูกรึไม่
การลบหลู่ไม่ได้มีนัยสำคัญเหนือการไม่ลบหลู่เลย
ที่พูดมาแบบนั้น แท้จริงคนพูดเชื่อในใจอยู่แล้ว แต่ทำเก๋ไปอย่างนั้นเอง
เรียกว่าไม่แน่จริง ดีแต่ปาก
ดีแต่ปากที่ติเตียนพระสงฆ์องค์เจ้าว่าสอนไม่เป็นเรื่องเพราะคนตายแล้วก็สูญ บาปบุญไม่มี
ขอให้อยู่ป่าช้าได้นานๆ เหมือนกับพระที่ท่านถือโสสานิกังคะธุดงค์ก็แล้วกันนะครับ
หมายเหตุ - ถ้าท่านไม่ว่างไป forest slow จริงๆ ก็ขอให้ลองถามใจตัวเองดูเถิดว่า ใจของท่าน จิตของท่าน จะมีอาการเช่นไรหากท่านต้องไปอยู่กลางป่าช้าคนเดียวตอนเที่ยงคืน แล้วท่านจะรู้มากขึ้นว่าองค์พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนอะไร 8)
ประเด็นอย่างที่พี่ Rocker ว่ามามันก็เป็นอย่างที่พี่ Rocker ว่ามาอยู่แล้วนี่ครับ ไม่เห็นต้องมาถามกันเลยว่าคนพวกนั้น ( เอ เรียกคนดีรึป่าวหว่า

สำหรับทุกๆ ท่านเลยนะครับที่มีความคิดว่าเกิดหนเดียวตายหนเดียว ตายแล้วก็สูญไป บุญบาปไม่มี
ขอแนะนำว่าให้ลองไปนอนในป่าช้าคนเดียว (ต้องคนเดียวจริงๆ นะ :lol: )
ป่าช้าแถวบ้านนอกจะเหมาะมาก หรือถ้ามีศพไร้ญาติ ศพตายโหง มาฝังใหม่ๆ เลยก็ยิ่งดีพวกบ้านผีสิงที่เขาว่าเฮี้ยนๆ โกดังเก็บศพเก่า ก็เข้าเค้าเหมือนกัน
ถ้าจะให้ดี ก็หลับตุนไว้แต่กลางวัน กลางคืนก็ค่อยไปจะได้ตาสว่างนานๆ
เตรียมข้าวของอุปกรณ์ในการยังชีพไปให้พร้อมด้วยนะครับ 8)
เครื่องรางของขลังก็ไม่ต้องพก ไม่ต้องมี อะไรจะมาขลัง ตายแล้วก็หมดไป
เรื่องวิญญาณเรื่องผี มีจริงที่ไหน ตายแล้วสูญหมด
ถึงที่เรียบร้อยแล้ว เริ่ม Ghost Game [ล่า-ท้า-ผี] ได้เลยครับ

เกมแห่งการลบหลู่

จงกล่าวบทกลอนนี้ออกมาดังๆ 8)
"สวดคาถาไปทำไมไร้ประโยชน์
พวกคนโทษหลอกลวงทั้งปวงสิ้น
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่ำช้าอย่ายลยิน
จงพังภินท์แหลกยับอัปรา
ขอสาปส่งศพทุกตนคนสิ้นคิด
เศษชีวิตสมควรตายวิญญาณบ้า
ขอสาปส่งเครื่องเซ่นสรวงที่บูชา
จึงขอท้าให้ผีมาปรากฏตัว"
ภูตผี ผีสางนางไม้มันไม่มีอยู่แล้วนี่ ลบหลู่กันให้เต็มที่ไปเลย
วิธีอะไรที่เขาว่าทำแล้วเห็นผีได้ทำไปให้หมดครับ ยืนมองลอดใต้ขา เอาขี้เถ้าป้ายตาอะไรก็ว่าไป
เห็นหลุมศพฝังดินลวกๆ ในป่าช้า เข้าไปลบหลู่ทันทีครับ เช่น ถ่มน้ำลาย อุจจาระ ปัสสาวะรด ฯลฯ
ใครเอาข้าวของมาไหว้คนตาย เหยียบทิ้งทำลายให้หมดซะ
สวดมนต์สวดคาถาอะไรก็ไม่ต้องไปสวด ผีไม่มี ตายแล้วสูญ
ซากศพที่เห็นก็แค่ก้อนโปรตีน ตายแล้วก็เหมือนๆ กัน กลัวทำไม
ยามที่เขายังมีชีวิต เป็นบุคคลน่าเคารพนับถือเราไหว้ได้
แต่พอตายแล้วก็แค่ก้อนโปรตีน ไปยึดถืออะไรกันมากมาย ตายแล้วสูญมิใช่รึ
ลบหลู่ไปเลย คนก็ตายไปแล้ว ผีไม่น่ากลัวหรอก คนต่างหากที่น่ากลัว
ไม่ต้องสวดมนต์ คุณพระคุณเจ้าไม่ต้องนึกถึง
พระทั้งหลายพวกท่านแต่ก่อนร่อนชะไรก็ชอบเอาเรื่องนรก สวรรค์มาหลอกกันเล่นให้คนทำความดี
นรก สวรรค์ มีที่ไหน โกหกทั้งนั้น
เสร็จแล้วก็นั่งอยู่ข้างหลุมศพนั่นแหละ ไม่ต้องไปหลับมันหรอก
สำหรับมือใหม่ ถึงปากจะชอบว่าตายแล้วสูญ ผีไม่มี บาปบุญไม่มี แต่ถ้ายังไม่อยากลบหลู่ก็ไม่ว่ากัน
เอาแค่ไปนั่งที่นั่นคนเดียวก็พอ........
จากนั้น ขอให้ตามดูจิตของตนเองขณะนั้นว่าเป็นอย่างไร
ตามดู ตามดู ตามดู ตามดู ..........
แล้วก็จะได้รู้ประจักษ์ขึ้นบ้างว่า
จิตใจอันหยาบกระด้างเกลื่อนกล่นด้วยโมหะและอวิชชานั้น มันตื่นตระหนก ขลาดเขลา นั่งสิ้นท่า น่าสมเพชอยู่ตรงนั้นใช่หรือไม่

องค์พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าอุตส่าห์สั่งสอนอะไรให้เราได้รู้บ้าง

ทำให้นึกถึงคนจำนวนมากเหมือนกันครับที่ชอบบอกว่า ไม่เชื่ออย่าลบหลู่
คำกล่าวที่ว่านี้ แท้จริงแล้วผิดหลักตรรกะ
เพราะหากไม่เชื่อแล้ว จะลบหลู่รึไม่ลบหลู่ย่อมไม่ต่างกัน ถูกรึไม่
การลบหลู่ไม่ได้มีนัยสำคัญเหนือการไม่ลบหลู่เลย
ที่พูดมาแบบนั้น แท้จริงคนพูดเชื่อในใจอยู่แล้ว แต่ทำเก๋ไปอย่างนั้นเอง
เรียกว่าไม่แน่จริง ดีแต่ปาก
ดีแต่ปากที่ติเตียนพระสงฆ์องค์เจ้าว่าสอนไม่เป็นเรื่องเพราะคนตายแล้วก็สูญ บาปบุญไม่มี
ขอให้อยู่ป่าช้าได้นานๆ เหมือนกับพระที่ท่านถือโสสานิกังคะธุดงค์ก็แล้วกันนะครับ

หมายเหตุ - ถ้าท่านไม่ว่างไป forest slow จริงๆ ก็ขอให้ลองถามใจตัวเองดูเถิดว่า ใจของท่าน จิตของท่าน จะมีอาการเช่นไรหากท่านต้องไปอยู่กลางป่าช้าคนเดียวตอนเที่ยงคืน แล้วท่านจะรู้มากขึ้นว่าองค์พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนอะไร 8)
Low Profile High Profit
หมากล้อมเย้ยยุทธจักร
หมากล้อมเย้ยยุทธจักร
-
- Verified User
- โพสต์: 391
- ผู้ติดตาม: 0
ชีวิตหลังความตาย
โพสต์ที่ 14
อย่างเรื่องเทพ เรื่องเทวดา เรื่องสวรรค์
ผมก็ว่าไม่มีตัวตนอยู่จริง
แต่บางท่านก็ชอบอ้างว่า พระอริยสงฆ์ท่านยืนยันว่ามีจริง ดังนั้นท่านไม่โกหก ดังนั้นมีอยู่จริง
ตรรกกะแค่นี้ผมว่าไม่พอครับ
ท่านยืนยันว่ามีจริง ท่านไม่โกหกจริง
แต่จะแน่ใจได้อย่างไรว่าเราสื่อความหมายมาจากท่านได้ถูกต้องเป๊ะๆ
อย่างพระพรหม ท่านอาจจะหมายถึง ผู้ที่มีความเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ก็ได้ คือ ท่านหมายถึงว่า คนที่มีจิตใจแบบนี้นี่แหละที่ท่านเรียกว่า พระพรหม
เราเองก็ยังเรียกว่าหลักธรรมนี้ว่า พรหมวิหารสี่ ไม่ใช่หรือ
หรือคนที่ดีๆ ทำแต่ความดี นี่แหละคือเทวดา นี่แหละพระอินทร์
คือว่าจิตใจของคนนั้นไม่เหมือนกัน แม้ในคนเดียวกันก็เปลี่ยนแปลงไปตามสภาวะ บางสภาวะก็ดีมากๆ ประเสริฐมากๆ สภาวะนั้นก็คือ เป็นเทพ
บางสภาวะก็เลวจริงๆ ทั้งโกรธทั้งโลภทั้งหลง สภาวะนี้ก็คือ มาร
แต่เรื่องพวกนี้เป็นนามธรรมเสียส่วนใหญ่
การสื่อสารด้วยนามธรรมอาจจะเข้าใจยาก ท่านเลยเปลี่ยนให้เป็นรูปธรรมเสียเลย เป็นเทวดาตัวสีเขียวมั่ง สีแดงมั่ง แล้วก็ระบุกำกับไปว่า มีความดีถึงขั้นนี้ก็เป็นเทวดากลุ่มนี้ มีมากๆก็ขยับชั้นขึ้นไปอีก
ผมก็ว่าไม่มีตัวตนอยู่จริง
แต่บางท่านก็ชอบอ้างว่า พระอริยสงฆ์ท่านยืนยันว่ามีจริง ดังนั้นท่านไม่โกหก ดังนั้นมีอยู่จริง
ตรรกกะแค่นี้ผมว่าไม่พอครับ
ท่านยืนยันว่ามีจริง ท่านไม่โกหกจริง
แต่จะแน่ใจได้อย่างไรว่าเราสื่อความหมายมาจากท่านได้ถูกต้องเป๊ะๆ
อย่างพระพรหม ท่านอาจจะหมายถึง ผู้ที่มีความเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ก็ได้ คือ ท่านหมายถึงว่า คนที่มีจิตใจแบบนี้นี่แหละที่ท่านเรียกว่า พระพรหม
เราเองก็ยังเรียกว่าหลักธรรมนี้ว่า พรหมวิหารสี่ ไม่ใช่หรือ
หรือคนที่ดีๆ ทำแต่ความดี นี่แหละคือเทวดา นี่แหละพระอินทร์
คือว่าจิตใจของคนนั้นไม่เหมือนกัน แม้ในคนเดียวกันก็เปลี่ยนแปลงไปตามสภาวะ บางสภาวะก็ดีมากๆ ประเสริฐมากๆ สภาวะนั้นก็คือ เป็นเทพ
บางสภาวะก็เลวจริงๆ ทั้งโกรธทั้งโลภทั้งหลง สภาวะนี้ก็คือ มาร
แต่เรื่องพวกนี้เป็นนามธรรมเสียส่วนใหญ่
การสื่อสารด้วยนามธรรมอาจจะเข้าใจยาก ท่านเลยเปลี่ยนให้เป็นรูปธรรมเสียเลย เป็นเทวดาตัวสีเขียวมั่ง สีแดงมั่ง แล้วก็ระบุกำกับไปว่า มีความดีถึงขั้นนี้ก็เป็นเทวดากลุ่มนี้ มีมากๆก็ขยับชั้นขึ้นไปอีก
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 14783
- ผู้ติดตาม: 0
ชีวิตหลังความตาย
โพสต์ที่ 15
วิญญานมีจริงแน่นอน ผมเคยมีประสบการณ์ หลายครั้ง แต่มีสองครั้งที่มีหลักฐาน พอจะเชื่อได้
เรื่องแรก คือภรรยาคนแรกที่จมน้ำตาย หลังแต่งงาน 1 เดือน
เราก็ฉุกละหุก และไปเขียนบนกระดานว่า จะเผาวันที่เท่าไร ก็เขียนไป
สักพัก มานั่งนับใหม่ นึกได้ หลังจากนั้น ไม่กี่วัน ก็เลยไปแก้ใหม่ คือมีคนมาบอกว่า นับผิดแล้ว ต้องวันที่เท่านี้ ก็เลยไปแก้กัน
ทีนี้ ผู้ใหญ่ท่านนึง ข้างบ้านเก่า ของภรรยา แกฝัน ว่าภรรยาของข้าพเจ้า ไปหาแกแล้วบอกว่า อย่าลืมไปงานแกนะ วันที่ XX ในฝัน แกเห็นว่าที่บ้านของภรรยา มีคนเยอะมาก และคิดไปเองว่า คงมีงานมงคล
และมาทราบอีกทีว่า เสียแล้ว แกตกใจพอควร แล้วก็มางานศพที่วัดธาตุทองแกไปยืนดูบอร์ด วันเผา แล้วแกบอกว่า
ไม่ตรงกับในฝัน ผมก็เลยถามว่าในฝันวันที่เท่าไร
แกตอบมา ผมก็ อ๋อ ใช่ๆ วันนั้นเราเขียนไว้ทีแรก ตอนนี้แก้แล้ว
ผมไม่ได้รู้สึกอะไร เพราะก็เชื่ออยู่แล้ว ไม่มีอะไร แต่คนอื่นซิ อิอิ คงกลัวกัน
เรื่องที่สอง ผมไปต่างจังหวัด กับภรรยาคนที่สอง และมีน้องภรรยาไปด้วย นอนที่โรงแรมที่พัทยา เลือกให้ถูกๆหน่อย แต่ห้องเก่ามาก ตอนนั้นไม่ได้คิดอะไร เพราะเหนื่อยมากแล้ว
ตกดึกๆ ผมเคลิ้มๆ ลืมตาขึ้น เห็น สาวคนหนึ่ง เห็นแว๊บเดียว ผมจ้องเข้าไป สาวก็หายแว๊บ เหลือแต่ ที่แขวนเสื้อ
พอตอนเช้า น้องสาวภรรยา ก็สะกิดภรรยาว่า เมื่อคืน เมื่อคืน ผมก็ร้องอ๋อ งั้นมาเล่น 20 คำถามกัน ดูว่าตรงกันหรือไม่
โดยผมเริ่มก่อน ประมาณว่า สาวผมสั้น เอ้าตอบ ใช่หรือไม่ คำตอบ ใช่
น้องภรรยาก็บอกว่า ไม่ใส่เครื่องประดับ ทั้งตัว ไม่มีอะไรเลย ตั้งหู แหวน สร้อย ผมก็บอกว่า ใช่
ผมบอก คนไทย น้องสาวตอบ ใช่
เอาเป็นว่า เล่นครบ 20 คำถามก็ตรงกันหมด
แต่เห็นคนละเวลา น้องสาวภรรยาเห็นอีกตอนดึกเหมือนกัน แต่สาวคนนั้นคงไม่กลัว ก็เลยเดินเข้ามา น้องสาว เธอสัมผัสได้ว่า ไม่ได้มาทำอันตราย แต่เดินมาดู พวกของใช้ เช่น สร้อย แหวน หรืออะไรต่างๆ ที่วางอยู่บนโต๊ะ เครื่องแป้ง เธอคงไม่เคยเห็นของพวกนี้
เพราะท่าทางเธอจะเป็นสาวชาวบ้าน ธรรมดา ที่ไม่ได้แต่งเนื้อแต่งตัวอะไร
สรุปว่า เผ่น ทุกคนรีบ ขนของออก แล้วก็ไปทำบุญ
อิอิ สองเรื่องนี้ สำหรับผมก็พอแล้ว สำหรับคำว่าวิญญาน
ส่วนที่เห็นประปราย ทั้งๆที่ไม่อยากเห็นนะ เช่น เวลาเดินจงกรม แล้วเห็น ช่วงล่าง ของแม่ชีเดินนำหน้า พอเงยหน้าหาย เดินจงกรมต้องก้มหน้าเล็กน้อย ไม่ต้องมาก เดี่ยวเมื่อย พอพอก้มอีกครั้งก็เห็นอีกครั้ง พอเดินไปอีกหน่อย ก็รู้สึก เหมือนเห็นทางหางตา ว่ามีคนจีนแก่ๆ มานั่งข้างๆดูผมเดินจงกรม
เรื่องที่เห็นเอง ไม่นับเพราะอาจจะคิดไปเอง
เรื่องแรก คือภรรยาคนแรกที่จมน้ำตาย หลังแต่งงาน 1 เดือน
เราก็ฉุกละหุก และไปเขียนบนกระดานว่า จะเผาวันที่เท่าไร ก็เขียนไป
สักพัก มานั่งนับใหม่ นึกได้ หลังจากนั้น ไม่กี่วัน ก็เลยไปแก้ใหม่ คือมีคนมาบอกว่า นับผิดแล้ว ต้องวันที่เท่านี้ ก็เลยไปแก้กัน
ทีนี้ ผู้ใหญ่ท่านนึง ข้างบ้านเก่า ของภรรยา แกฝัน ว่าภรรยาของข้าพเจ้า ไปหาแกแล้วบอกว่า อย่าลืมไปงานแกนะ วันที่ XX ในฝัน แกเห็นว่าที่บ้านของภรรยา มีคนเยอะมาก และคิดไปเองว่า คงมีงานมงคล
และมาทราบอีกทีว่า เสียแล้ว แกตกใจพอควร แล้วก็มางานศพที่วัดธาตุทองแกไปยืนดูบอร์ด วันเผา แล้วแกบอกว่า
ไม่ตรงกับในฝัน ผมก็เลยถามว่าในฝันวันที่เท่าไร
แกตอบมา ผมก็ อ๋อ ใช่ๆ วันนั้นเราเขียนไว้ทีแรก ตอนนี้แก้แล้ว
ผมไม่ได้รู้สึกอะไร เพราะก็เชื่ออยู่แล้ว ไม่มีอะไร แต่คนอื่นซิ อิอิ คงกลัวกัน
เรื่องที่สอง ผมไปต่างจังหวัด กับภรรยาคนที่สอง และมีน้องภรรยาไปด้วย นอนที่โรงแรมที่พัทยา เลือกให้ถูกๆหน่อย แต่ห้องเก่ามาก ตอนนั้นไม่ได้คิดอะไร เพราะเหนื่อยมากแล้ว
ตกดึกๆ ผมเคลิ้มๆ ลืมตาขึ้น เห็น สาวคนหนึ่ง เห็นแว๊บเดียว ผมจ้องเข้าไป สาวก็หายแว๊บ เหลือแต่ ที่แขวนเสื้อ
พอตอนเช้า น้องสาวภรรยา ก็สะกิดภรรยาว่า เมื่อคืน เมื่อคืน ผมก็ร้องอ๋อ งั้นมาเล่น 20 คำถามกัน ดูว่าตรงกันหรือไม่
โดยผมเริ่มก่อน ประมาณว่า สาวผมสั้น เอ้าตอบ ใช่หรือไม่ คำตอบ ใช่
น้องภรรยาก็บอกว่า ไม่ใส่เครื่องประดับ ทั้งตัว ไม่มีอะไรเลย ตั้งหู แหวน สร้อย ผมก็บอกว่า ใช่
ผมบอก คนไทย น้องสาวตอบ ใช่
เอาเป็นว่า เล่นครบ 20 คำถามก็ตรงกันหมด
แต่เห็นคนละเวลา น้องสาวภรรยาเห็นอีกตอนดึกเหมือนกัน แต่สาวคนนั้นคงไม่กลัว ก็เลยเดินเข้ามา น้องสาว เธอสัมผัสได้ว่า ไม่ได้มาทำอันตราย แต่เดินมาดู พวกของใช้ เช่น สร้อย แหวน หรืออะไรต่างๆ ที่วางอยู่บนโต๊ะ เครื่องแป้ง เธอคงไม่เคยเห็นของพวกนี้
เพราะท่าทางเธอจะเป็นสาวชาวบ้าน ธรรมดา ที่ไม่ได้แต่งเนื้อแต่งตัวอะไร
สรุปว่า เผ่น ทุกคนรีบ ขนของออก แล้วก็ไปทำบุญ
อิอิ สองเรื่องนี้ สำหรับผมก็พอแล้ว สำหรับคำว่าวิญญาน
ส่วนที่เห็นประปราย ทั้งๆที่ไม่อยากเห็นนะ เช่น เวลาเดินจงกรม แล้วเห็น ช่วงล่าง ของแม่ชีเดินนำหน้า พอเงยหน้าหาย เดินจงกรมต้องก้มหน้าเล็กน้อย ไม่ต้องมาก เดี่ยวเมื่อย พอพอก้มอีกครั้งก็เห็นอีกครั้ง พอเดินไปอีกหน่อย ก็รู้สึก เหมือนเห็นทางหางตา ว่ามีคนจีนแก่ๆ มานั่งข้างๆดูผมเดินจงกรม
เรื่องที่เห็นเอง ไม่นับเพราะอาจจะคิดไปเอง
-
- Verified User
- โพสต์: 2266
- ผู้ติดตาม: 0
ชีวิตหลังความตาย
โพสต์ที่ 16
ไม่ลบหลู่ครับ
เคยหนนึงนานมาละไม่ค่อยได้จำ
ผมหลับไปแล้วลุกขึ้นมากลางดึก เห็นอะไรตะคุ่มๆอยุ่ในห้อง
ผมลุกไม่ขึ้นมันชาไปทั้งตัว
นึกได้ว่าลักษณะคล้ายผีอำ
เลยนอนหลับตาอีกครั้งตั้งจิตประทับสวดมนต์
แล้วก็ลุกได้ครับ ที่ตะคุ่มๆดำก็หายไป
ไม่รู้ว่าใช่หรือเปล่า :?:
เคยหนนึงนานมาละไม่ค่อยได้จำ
ผมหลับไปแล้วลุกขึ้นมากลางดึก เห็นอะไรตะคุ่มๆอยุ่ในห้อง
ผมลุกไม่ขึ้นมันชาไปทั้งตัว
นึกได้ว่าลักษณะคล้ายผีอำ
เลยนอนหลับตาอีกครั้งตั้งจิตประทับสวดมนต์
แล้วก็ลุกได้ครับ ที่ตะคุ่มๆดำก็หายไป
ไม่รู้ว่าใช่หรือเปล่า :?:
การลงทุนคือความเสี่ยง
แต่ความเสี่ยงสูงคือ ไม่รุ้ว่าอะไรคือจุดชี้เป็นชี้ตายของบริษัท
ความเสียงสุงที่สุด คือ ไม่รู้ว่าเลยว่าตัวเองทำอะไรอยู่
แต่ความเสี่ยงสูงคือ ไม่รุ้ว่าอะไรคือจุดชี้เป็นชี้ตายของบริษัท
ความเสียงสุงที่สุด คือ ไม่รู้ว่าเลยว่าตัวเองทำอะไรอยู่
-
- Verified User
- โพสต์: 391
- ผู้ติดตาม: 0
ชีวิตหลังความตาย
โพสต์ที่ 17
ขอแย้งท่านเรียวหน่อยนะครับ คงไม่โกรธกันRyuga เขียน:ทำให้นึกถึงคนจำนวนมากเหมือนกันครับที่ชอบบอกว่า ไม่เชื่ออย่าลบหลู่
คำกล่าวที่ว่านี้ แท้จริงแล้วผิดหลักตรรกะ
เพราะหากไม่เชื่อแล้ว จะลบหลู่รึไม่ลบหลู่ย่อมไม่ต่างกัน ถูกรึไม่
การลบหลู่ไม่ได้มีนัยสำคัญเหนือการไม่ลบหลู่เลย
ที่พูดมาแบบนั้น แท้จริงคนพูดเชื่อในใจอยู่แล้ว แต่ทำเก๋ไปอย่างนั้นเอง
เรียกว่าไม่แน่จริง ดีแต่ปาก
ผมเคยอ่านเจอเหมือนกันในพันทิป ประเด็นไม่เชื่ออย่าลบหลู่นี่แหละครับ
ผมเข้าใจว่าคลาดเคลื่อนจากที่อ่านมา
คืออย่างนี้ครับ ในนั้นเขาแบ่งเป็นสองฝ่าย คือฝ่ายเชื่อ กับฝ่ายไม่เชื่อ อิอิ
ประเด็นที่ถกกัน ไม่ใช่ประเด็น "ไม่เชื่ออย่าลบหลู่" แต่เป็นประเด็น "ไม่เชื่อแต่ก็ไม่ได้ลบหลู่"ดูคล้ายกันก็จริง แต่มันเปลี่ยนเป็นคนละข้างอ่ะครับ
เรื่องของเรื่องคือ ฝ่ายเชื่อเขาเอาคำพูดของฝ่ายไม่เชื่อมาพูดว่ามันผิดตรรกกะ เรื่องอะไรเขาจะเอาคำพูดเขาเองมาว่า(ด่า) ใช่ไหมครับ
ฝ่ายเชื่อบอกว่า
ฝ่ายไม่เชื่อแต่ไม่ลบหลู่ เขาก็บอกว่า ตรรกกะข้อไหนของคุณ :lovl: (คุณในที่นี้ไม่ใช่คุณเรียวนะครับ แต่เป็นคุณในพันทิป)พวกที่ไม่เชื่อนั้นไม่แน่จริง ถ้าคุณไม่เชื่อ แน่จริงคุณก็ลบหลู่เลยสิ ด้วยเหตุผลว่ามันไม่ถูกตรรกกะนั่นแหละ ตรรกกะที่ว่าก็คือ เพราะหากไม่เชื่อแล้ว จะลบหลู่รึไม่ลบหลู่ย่อมไม่ต่างกัน ถูกรึไม่ การลบหลู่ไม่ได้มีนัยสำคัญเหนือการไม่ลบหลู่เลย ที่พูดมาแบบนั้น แท้จริงคนพูดเชื่อในใจอยู่แล้ว แต่ทำเก๋ไปอย่างนั้นเอง เรียกว่าไม่แน่จริง ดีแต่ปาก :lovl:
ถ้าตรรกกะของคุณเป็นจริง ก็แปลว่าโลกเรามีแค่สองฝ่ายอย่างนั้นหรือ คือถ้าไม่ยกย่องก็แปลว่าต้องเหยียดหยาม ถ้าไม่รักก็แปลว่าต้องเกลียด ถ้าไม่ใช่ซ้ายก็ต้องแปลว่าขวา ถ้าไม่บวกก็แปลว่าต้องลบ
ซึ่งจริงๆแล้วโลกเราไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย เพราะมันมีเรื่องของตรงกลาง ไม่รักก็อาจจะไม่ใช่เกลียดแต่เป็นเฉยๆ ไม่เป็นเลขบวกก็ไม่จำเป็นต้องเป็นเลขลบ เพราะมันมีเลขศูนย์อยู่ตรงกลางไม่ใช่หรือ
- Ryuga
- Verified User
- โพสต์: 1771
- ผู้ติดตาม: 0
ชีวิตหลังความตาย
โพสต์ที่ 19
พี่แผ่วเบาก็เข้าใจตรงกันอยู่แล้วนี่ครับ :lol: ที่ผมกล่าวคือ
แต่สำหรับอันนี้
นี่ผิดตรรกะชัดเจนอยู่แล้วครับ :lovl: ประเภทที่ไม่ขาวก็ต้องดำ เป็นการอ้างน้ำขุ่นๆ
หมายความว่า คนกลุ่มนี้ปิดประตูการลบหลู่ไปแล้ว แม้ปกติจะบอกไม่เชื่อแต่ลึกๆ แล้วยังเกรงว่าอาจจะมีจริง เพราะฉะนั้นก็ขอไม่ลบหลู่ไว้ก่อน เผื่อถ้ามันมีจริงจะได้ไม่เดือดร้อน
ต่างกันนะครับระหว่าง
การลบหลู่หรือการไม่ลบหลู่ไม่มีนัยสำคัญเหนือกว่ากัน กับ การปิดประตูการลบหลู่ไปเลย
เรื่องลบหลู่นั้นที่จริงก็พูดไปอย่างนั้นเองครับ ไม่ต้องไปถือสาระอะไรก็ได้ ที่อยากสื่อจริงๆ คือผมต้องการตรงที่ดูจิตนั้นมากกว่า โดยให้ป่าช้าเข้ามาช่วย ไปนั่งเฉยๆ ไม่ต้องลบหลู่นั่นแหละดีแล้วครับเพราะสุภาพชนย่อมไม่ทำกัน เผื่อจะได้ชัดเจนมากขึ้นในคำสอนของพระพุทธองค์ :lol:
(ดู ghost game แล้วรู้สึกสนุกดี ตายกันหมดทั้งเรื่องเยย เลยเอามาพูดซะหน่อย :lol: )
โค้ด: เลือกทั้งหมด
เพราะหากไม่เชื่อแล้ว จะลบหลู่รึไม่ลบหลู่ย่อมไม่ต่างกัน ถูกรึไม่
การลบหลู่ไม่ได้มีนัยสำคัญเหนือการไม่ลบหลู่เลย
โค้ด: เลือกทั้งหมด
พวกที่ไม่เชื่อนั้นไม่แน่จริง ถ้าคุณไม่เชื่อ แน่จริงคุณก็ลบหลู่เลยสิ ด้วยเหตุผลว่ามันไม่ถูกตรรกกะนั่นแหละ
โค้ด: เลือกทั้งหมด
ที่พูดมาแบบนั้น แท้จริงคนพูดเชื่อในใจอยู่แล้ว แต่ทำเก๋ไปอย่างนั้นเอง
เรียกว่าไม่แน่จริง ดีแต่ปาก
ต่างกันนะครับระหว่าง
การลบหลู่หรือการไม่ลบหลู่ไม่มีนัยสำคัญเหนือกว่ากัน กับ การปิดประตูการลบหลู่ไปเลย
เรื่องลบหลู่นั้นที่จริงก็พูดไปอย่างนั้นเองครับ ไม่ต้องไปถือสาระอะไรก็ได้ ที่อยากสื่อจริงๆ คือผมต้องการตรงที่ดูจิตนั้นมากกว่า โดยให้ป่าช้าเข้ามาช่วย ไปนั่งเฉยๆ ไม่ต้องลบหลู่นั่นแหละดีแล้วครับเพราะสุภาพชนย่อมไม่ทำกัน เผื่อจะได้ชัดเจนมากขึ้นในคำสอนของพระพุทธองค์ :lol:
(ดู ghost game แล้วรู้สึกสนุกดี ตายกันหมดทั้งเรื่องเยย เลยเอามาพูดซะหน่อย :lol: )
Low Profile High Profit
หมากล้อมเย้ยยุทธจักร
หมากล้อมเย้ยยุทธจักร
- Ryuga
- Verified User
- โพสต์: 1771
- ผู้ติดตาม: 0
ชีวิตหลังความตาย
โพสต์ที่ 20
ลืมไป ขออีกหน่อย :lol:
ที่ใช้คำว่า แน่จริง อาจทำให้เข้าใจผิดว่า การแน่จริงต้องไปท้าผี ลบหลู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์
(แบบนั้น ไม่เรียกแน่จริงครับ แต่อาจเรียกว่าพวกไม่สุภาพ หรืออาจกล่าวว่ากักขฬะ หยาบ เถื่อน)
ที่จริงผมหมายถึง จิต ของผู้นั้น จิต ของบุคคลนั้นต่างหาก
ให้ไปอยู่ป่าช้าเสียบ้าง จะได้เป็นการปราบพยศแห่งตนเสีย เผื่อจะได้รู้ว่าจิตแห่งตนนั้นอ่อนแอ ขลาดเขลาเพียงใด
เรื่อง ผีสาง เทวดา นรก สวรรค์ ไม่ต้องไปสนใจก็ได้ครับ ไม่มีสาระอะไรมากนัก :lol:
ที่ใช้คำว่า แน่จริง อาจทำให้เข้าใจผิดว่า การแน่จริงต้องไปท้าผี ลบหลู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์
(แบบนั้น ไม่เรียกแน่จริงครับ แต่อาจเรียกว่าพวกไม่สุภาพ หรืออาจกล่าวว่ากักขฬะ หยาบ เถื่อน)
ที่จริงผมหมายถึง จิต ของผู้นั้น จิต ของบุคคลนั้นต่างหาก
ให้ไปอยู่ป่าช้าเสียบ้าง จะได้เป็นการปราบพยศแห่งตนเสีย เผื่อจะได้รู้ว่าจิตแห่งตนนั้นอ่อนแอ ขลาดเขลาเพียงใด
เรื่อง ผีสาง เทวดา นรก สวรรค์ ไม่ต้องไปสนใจก็ได้ครับ ไม่มีสาระอะไรมากนัก :lol:
Low Profile High Profit
หมากล้อมเย้ยยุทธจักร
หมากล้อมเย้ยยุทธจักร
-
- Verified User
- โพสต์: 5786
- ผู้ติดตาม: 0
ชีวิตหลังความตาย
โพสต์ที่ 21
ขอแย้งท่านเรียวหน่อยนะครับแผ่วเบา เขียน:
แก้ไขล่าสุดโดย MarginofSafety เมื่อ ศุกร์ ก.ย. 14, 2007 8:55 pm, แก้ไขไปแล้ว 1 ครั้ง.
"Winners never quit, and quitters never win."
-
- Verified User
- โพสต์: 5786
- ผู้ติดตาม: 0
ชีวิตหลังความตาย
โพสต์ที่ 22
ประสาทสัมผัสหรือ "อายตนะ" ของมนุษย์ที่เป็นประตูไปสู่การรับรู้ก็มีเพียง
ตา หู จมูก ลิ้น กาย ....
ผมเชื่อว่าสิ่งที่วิทยาศาสตร์ไม่สามารถพิสูจน์ได้ ไม่จำเป็นว่าสิ่งเหล่านั้นไม่มี
ด้วยข้อจำกัดในเรื่อง "อายตนะ" ดังกล่าว
ถ้าบางอย่างที่ต้องใช้อย่างอื่นมากกว่านั้นในการรับรู้เช่น "ใจ" ล่ะ
ยกตัวอย่างเช่น
สมัยก่อนที่มนุษย์จะค้นพบเครื่องมือสื่อสารไร้สาย
เราคงปฏิเสธว่าคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าไม่มีจริงไม่ได้
ความจริงคลื่นมันมีอยู่ เพียงแต่ความเชื่อหรือความไม่รู้ ทำให้เราไม่เชื่อ
เนื่องจากเรายังไม่สามารถพิสูจน์ทราบได้
ถ้ากรณีวิญญาณเป็นแบบนี้ล่ะ
แล้วการรับรู้ต้องใช้อะไรที่มากกว่านั้นเป็นตัวรับ เช่นการฝึกฝนปฏิบัติ
จนสภาวะของใจเข้าถึงระดับที่สามารถรับรู้ได้ (มีตัวรับแล้ว)
ซึ่งคนอื่นก็ไม่สามารถมารับรู้ด้วย เพราะเค้าไม่มีตัวรับ
ถ้าไม่ลองปฏิบัติแล้วจะรู้หรือ
หนังสือธรรมะเป็นเหมือนแผนที่
แต่ถ้าไม่ลองเดินทางจะรู้หรือว่าที่นั่นที่นี่มีจริงหรือเปล่า
หรือเราจะมองแผนที่แล้วคิดเดาเอาเองว่า
ที่ประหลาดๆ แบบนี้ไม่มีทางเป็นจริงแน่นอน ... :D
ตา หู จมูก ลิ้น กาย ....
ผมเชื่อว่าสิ่งที่วิทยาศาสตร์ไม่สามารถพิสูจน์ได้ ไม่จำเป็นว่าสิ่งเหล่านั้นไม่มี
ด้วยข้อจำกัดในเรื่อง "อายตนะ" ดังกล่าว
ถ้าบางอย่างที่ต้องใช้อย่างอื่นมากกว่านั้นในการรับรู้เช่น "ใจ" ล่ะ
ยกตัวอย่างเช่น
สมัยก่อนที่มนุษย์จะค้นพบเครื่องมือสื่อสารไร้สาย
เราคงปฏิเสธว่าคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าไม่มีจริงไม่ได้
ความจริงคลื่นมันมีอยู่ เพียงแต่ความเชื่อหรือความไม่รู้ ทำให้เราไม่เชื่อ
เนื่องจากเรายังไม่สามารถพิสูจน์ทราบได้
ถ้ากรณีวิญญาณเป็นแบบนี้ล่ะ
แล้วการรับรู้ต้องใช้อะไรที่มากกว่านั้นเป็นตัวรับ เช่นการฝึกฝนปฏิบัติ
จนสภาวะของใจเข้าถึงระดับที่สามารถรับรู้ได้ (มีตัวรับแล้ว)
ซึ่งคนอื่นก็ไม่สามารถมารับรู้ด้วย เพราะเค้าไม่มีตัวรับ
ถ้าไม่ลองปฏิบัติแล้วจะรู้หรือ
หนังสือธรรมะเป็นเหมือนแผนที่
แต่ถ้าไม่ลองเดินทางจะรู้หรือว่าที่นั่นที่นี่มีจริงหรือเปล่า
หรือเราจะมองแผนที่แล้วคิดเดาเอาเองว่า
ที่ประหลาดๆ แบบนี้ไม่มีทางเป็นจริงแน่นอน ... :D
"Winners never quit, and quitters never win."
- Rocker
- Verified User
- โพสต์: 4526
- ผู้ติดตาม: 0
ชีวิตหลังความตาย
โพสต์ที่ 23
[quote="sunrise"]ไม่ลบหลู่ครับ
เคยหนนึงนานมาละไม่ค่อยได้จำ
ผมหลับไปแล้วลุกขึ้นมากลางดึก เห็นอะไรตะคุ่มๆอยุ่ในห้อง
ผมลุกไม่ขึ้นมันชาไปทั้งตัว
นึกได้ว่าลักษณะคล้ายผีอำ
เลยนอนหลับตาอีกครั้งตั้งจิตประทับสวดมนต์
แล้วก็ลุกได้ครับ ที่ตะคุ่มๆดำก็หายไป
ไม่รู้ว่าใช่หรือเปล่า
เคยหนนึงนานมาละไม่ค่อยได้จำ
ผมหลับไปแล้วลุกขึ้นมากลางดึก เห็นอะไรตะคุ่มๆอยุ่ในห้อง
ผมลุกไม่ขึ้นมันชาไปทั้งตัว
นึกได้ว่าลักษณะคล้ายผีอำ
เลยนอนหลับตาอีกครั้งตั้งจิตประทับสวดมนต์
แล้วก็ลุกได้ครับ ที่ตะคุ่มๆดำก็หายไป
ไม่รู้ว่าใช่หรือเปล่า
- Ryuga
- Verified User
- โพสต์: 1771
- ผู้ติดตาม: 0
ชีวิตหลังความตาย
โพสต์ที่ 26
เห็นด้วยกับพี่หวีครับ 
เชื่อ ไม่เชื่อ เป็นแค่ความคิด
ควรจะเปลี่ยนเสียที่ว่า ไม่เชื่อ ให้เป็น ไม่รู้
เมื่อยอมรับความจริงแล้วว่าไม่รู้ ก็จะได้เร่งพัฒนาตนเองให้รู้

เชื่อ ไม่เชื่อ เป็นแค่ความคิด
ควรจะเปลี่ยนเสียที่ว่า ไม่เชื่อ ให้เป็น ไม่รู้
เมื่อยอมรับความจริงแล้วว่าไม่รู้ ก็จะได้เร่งพัฒนาตนเองให้รู้
Low Profile High Profit
หมากล้อมเย้ยยุทธจักร
หมากล้อมเย้ยยุทธจักร
- Ryuga
- Verified User
- โพสต์: 1771
- ผู้ติดตาม: 0
ชีวิตหลังความตาย
โพสต์ที่ 28
ขอย้ำอีกทีนะครับ สำหรับผู้ที่มีความเห็นว่า เกิดหนเดียวตายหนเดียว ตายแล้วสูญ บุญบาปไม่มี นั้น
ขอความกรุณาจริงๆ ว่าให้ลองไปเยือนป่าช้าด้วยตัวคนเดียวตอนกลางดึกดูสักครั้ง
แค่ไปเยือนก็ไม่ได้เรียกเป็นการลบหลู่อะไร
พระที่ท่านถือธุดงค์อยู่ป่าช้าก็ไม่ได้เป็นการลบหลู่
แค่เป็นวัตรปฏิบัติที่ท่านถือเพื่อจะทรมานกิเลส
และหากท่านเชื่อว่าตายแล้วสูญจริง เชื่อเช่นนั้นจริงๆ หมายความอย่างที่กล่าวแล้วจริงๆ ท่านก็ต้องเชื่อว่าผีสางมันไม่มี
การเยือนป่าช้าของท่านก็ไม่จำเป็นต้องจุดธูปเทียนบอกกล่าวผู้ตาย
เจ้าที่เจ้าทางก็ไม่ต้องไหว้ เพราะท่านเชื่อแล้วจริงๆ ว่าสิ่งเหล่านี้ไม่มี
หากท่านแอบไหว้ แอบอธิษฐานจิตสักนิด ประหวัดคิดไปสักหน่อยในการบอกกล่าวผู้ตาย บอกกล่าวเจ้าที่เจ้าทาง คำกล่าวของท่านแต่แรกที่ว่าเชื่อว่าตายแล้วสูญนั้น ย่อมเป็นการโกหก
นั่งข้างหลุมศพเขาเฉยๆ ลบหลู่ตรงไหน
พวกสัตว์ พวกหนอนแมลงวันก็ไม่เห็นมันจะกลัวศพ
ไปยืนไปนั่งพิจารณาหลุมศพของท่านต่างๆ ในที่นั่นไปเรื่อยๆ ตามอัธยาศัย
มีอยู่กี่หลุม รวมแล้วมีกี่ศพ ฝังอยู่ใต้ผืนดินแถวนั้นก็ลองนับไป
ดูเสร็จแล้ว ก็ปูเสื่อปูผ้า กางเต๊นท์นอนอยู่ข้างหลุมศพนั่นเอง
นอนแล้วก็อย่าพึ่งหลับ ขอให้สังเกตจิตตนเองว่ามีอาการเช่นไร
ตามดูไปเรื่อยๆ
ที่ว่าผีไม่มี ตายแล้วสูญนั้น ลึกๆ ในใจท่านเชื่อเช่นนั้นจริงหรือ
ที่ขอให้ทำเช่นนี้ มิใช่เพื่อให้พิสูจน์ว่าผีมีจริงนะ
(อ่านมาตั้งนาน ถ้าใครคิดอย่างนี้ ผมจะเสียใจมากนะครับ
)
แต่เพื่อให้ท่านเห็นได้ชัดเจนมากขึ้นว่า
ความหวาดกลัว ตื่นตระหนก ขนพองสยองเกล้าทั้งหลายที่ครอบงำท่านขณะอยู่ข้างหลุมศพนั้นเป็นของจริง
ณ เวลานั้น ท่านไม่ได้มาพร่ำบอกใคร หรือพร่ำบอกตนเองอีกแล้วว่าข้าพเจ้าไม่เชื่อเรื่องผี คนตายแล้วก็สูญ
มันไม่ต้องเชื่อ หรือไม่ต้องไม่เชื่อแล้ว
มันมีแต่ความกลัว
กลัวก็เพราะมันไม่รู้
มันไม่รู้อะไรเลย
มันมืดบอด ไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง
ไม่รู้อย่างที่พระท่านเรียกว่าอวิชชา
ตอนนั้นมันจะชัดแจ้งทีเดียวว่า
อวิชชา สรรพกิเลสทั้งหลายที่ครอบงำท่านในขณะนั้นเป็นของจริง
เมื่อได้ไปนอนทรมานกิเลสที่ป่าช้ามาแล้ว
เห็นความทุกข์ที่ครอบงำจิตใจท่านแล้ว
จากนั้นจะได้เปลี่ยนเสียนะครับ ที่ชอบว่ากันนักหนาว่า ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ ไปเป็น
ไม่เชื่อต้องพิสูจน์
ส่วนที่ว่า ข้าพเจ้าเชื่อว่าเกิดหนเดียวตายหนเดียว ตายแล้วสูญ บุญบาปไม่มี นั้น จะได้เปลี่ยนไปเป็น
เรื่อง เกิดหนเดียวตายหนเดียว ตายแล้วสูญ บุญบาปไม่มี นั้น เป็นเรื่องที่ข้าพเจ้าไม่ทราบ
เมื่อไม่ทราบ ฉะนั้นก็ต้องพิสูจน์ :lol:
พิสูจน์ให้รู้ ขับไล่ความไม่รู้ออกไปเสีย
วิธีพิสูจน์ก็ไม่ยากครับ
ปรึกษาพี่ๆ ทั้งหลายที่มีประสบการณ์(การปฏิบัติธรรม) ทั้งพี่ฉัตร พี่เจ๋ง พี่พอใจ ฯลฯ
ลองเข้ามาดูครับว่าพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนอะไร :D
ขอความกรุณาจริงๆ ว่าให้ลองไปเยือนป่าช้าด้วยตัวคนเดียวตอนกลางดึกดูสักครั้ง
แค่ไปเยือนก็ไม่ได้เรียกเป็นการลบหลู่อะไร
พระที่ท่านถือธุดงค์อยู่ป่าช้าก็ไม่ได้เป็นการลบหลู่
แค่เป็นวัตรปฏิบัติที่ท่านถือเพื่อจะทรมานกิเลส
และหากท่านเชื่อว่าตายแล้วสูญจริง เชื่อเช่นนั้นจริงๆ หมายความอย่างที่กล่าวแล้วจริงๆ ท่านก็ต้องเชื่อว่าผีสางมันไม่มี
การเยือนป่าช้าของท่านก็ไม่จำเป็นต้องจุดธูปเทียนบอกกล่าวผู้ตาย
เจ้าที่เจ้าทางก็ไม่ต้องไหว้ เพราะท่านเชื่อแล้วจริงๆ ว่าสิ่งเหล่านี้ไม่มี
หากท่านแอบไหว้ แอบอธิษฐานจิตสักนิด ประหวัดคิดไปสักหน่อยในการบอกกล่าวผู้ตาย บอกกล่าวเจ้าที่เจ้าทาง คำกล่าวของท่านแต่แรกที่ว่าเชื่อว่าตายแล้วสูญนั้น ย่อมเป็นการโกหก
นั่งข้างหลุมศพเขาเฉยๆ ลบหลู่ตรงไหน
พวกสัตว์ พวกหนอนแมลงวันก็ไม่เห็นมันจะกลัวศพ
ไปยืนไปนั่งพิจารณาหลุมศพของท่านต่างๆ ในที่นั่นไปเรื่อยๆ ตามอัธยาศัย
มีอยู่กี่หลุม รวมแล้วมีกี่ศพ ฝังอยู่ใต้ผืนดินแถวนั้นก็ลองนับไป
ดูเสร็จแล้ว ก็ปูเสื่อปูผ้า กางเต๊นท์นอนอยู่ข้างหลุมศพนั่นเอง
นอนแล้วก็อย่าพึ่งหลับ ขอให้สังเกตจิตตนเองว่ามีอาการเช่นไร
ตามดูไปเรื่อยๆ
ที่ว่าผีไม่มี ตายแล้วสูญนั้น ลึกๆ ในใจท่านเชื่อเช่นนั้นจริงหรือ
ที่ขอให้ทำเช่นนี้ มิใช่เพื่อให้พิสูจน์ว่าผีมีจริงนะ
(อ่านมาตั้งนาน ถ้าใครคิดอย่างนี้ ผมจะเสียใจมากนะครับ

แต่เพื่อให้ท่านเห็นได้ชัดเจนมากขึ้นว่า
ความหวาดกลัว ตื่นตระหนก ขนพองสยองเกล้าทั้งหลายที่ครอบงำท่านขณะอยู่ข้างหลุมศพนั้นเป็นของจริง
ณ เวลานั้น ท่านไม่ได้มาพร่ำบอกใคร หรือพร่ำบอกตนเองอีกแล้วว่าข้าพเจ้าไม่เชื่อเรื่องผี คนตายแล้วก็สูญ
มันไม่ต้องเชื่อ หรือไม่ต้องไม่เชื่อแล้ว
มันมีแต่ความกลัว
กลัวก็เพราะมันไม่รู้
มันไม่รู้อะไรเลย
มันมืดบอด ไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง
ไม่รู้อย่างที่พระท่านเรียกว่าอวิชชา
ตอนนั้นมันจะชัดแจ้งทีเดียวว่า
อวิชชา สรรพกิเลสทั้งหลายที่ครอบงำท่านในขณะนั้นเป็นของจริง
เมื่อได้ไปนอนทรมานกิเลสที่ป่าช้ามาแล้ว
เห็นความทุกข์ที่ครอบงำจิตใจท่านแล้ว
จากนั้นจะได้เปลี่ยนเสียนะครับ ที่ชอบว่ากันนักหนาว่า ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ ไปเป็น
ไม่เชื่อต้องพิสูจน์

ส่วนที่ว่า ข้าพเจ้าเชื่อว่าเกิดหนเดียวตายหนเดียว ตายแล้วสูญ บุญบาปไม่มี นั้น จะได้เปลี่ยนไปเป็น
เรื่อง เกิดหนเดียวตายหนเดียว ตายแล้วสูญ บุญบาปไม่มี นั้น เป็นเรื่องที่ข้าพเจ้าไม่ทราบ
เมื่อไม่ทราบ ฉะนั้นก็ต้องพิสูจน์ :lol:
พิสูจน์ให้รู้ ขับไล่ความไม่รู้ออกไปเสีย
วิธีพิสูจน์ก็ไม่ยากครับ
ปรึกษาพี่ๆ ทั้งหลายที่มีประสบการณ์(การปฏิบัติธรรม) ทั้งพี่ฉัตร พี่เจ๋ง พี่พอใจ ฯลฯ
ลองเข้ามาดูครับว่าพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนอะไร :D
Low Profile High Profit
หมากล้อมเย้ยยุทธจักร
หมากล้อมเย้ยยุทธจักร
- Ryuga
- Verified User
- โพสต์: 1771
- ผู้ติดตาม: 0
ชีวิตหลังความตาย
โพสต์ที่ 29
[quote="แผ่วเบา"][quote="Ryuga"]เห็นด้วยกับพี่หวีครับ 
เชื่อ ไม่เชื่อ เป็นแค่ความคิด
ควรจะเปลี่ยนเสียที่ว่า ไม่เชื่อ ให้เป็น ไม่รู้
เมื่อยอมรับความจริงแล้วว่าไม่รู้ ก็จะได้เร่งพัฒนาตนเองให้รู้

เชื่อ ไม่เชื่อ เป็นแค่ความคิด
ควรจะเปลี่ยนเสียที่ว่า ไม่เชื่อ ให้เป็น ไม่รู้
เมื่อยอมรับความจริงแล้วว่าไม่รู้ ก็จะได้เร่งพัฒนาตนเองให้รู้
Low Profile High Profit
หมากล้อมเย้ยยุทธจักร
หมากล้อมเย้ยยุทธจักร
-
- Verified User
- โพสต์: 5786
- ผู้ติดตาม: 0
ชีวิตหลังความตาย
โพสต์ที่ 30
[quote="Ryuga"]ขอย้ำอีกทีนะครับ สำหรับผู้ที่มีความเห็นว่า เกิดหนเดียวตายหนเดียว ตายแล้วสูญ บุญบาปไม่มี นั้น
ขอความกรุณาจริงๆ ว่าให้ลองไปเยือนป่าช้าด้วยตัวคนเดียวตอนกลางดึกดูสักครั้ง
แค่ไปเยือนก็ไม่ได้เรียกเป็นการลบหลู่อะไร
พระที่ท่านถือธุดงค์อยู่ป่าช้าก็ไม่ได้เป็นการลบหลู่
แค่เป็นวัตรปฏิบัติที่ท่านถือเพื่อจะทรมานกิเลส
และหากท่านเชื่อว่าตายแล้วสูญจริง เชื่อเช่นนั้นจริงๆ หมายความอย่างที่กล่าวแล้วจริงๆ ท่านก็ต้องเชื่อว่าผีสางมันไม่มี
การเยือนป่าช้าของท่านก็ไม่จำเป็นต้องจุดธูปเทียนบอกกล่าวผู้ตาย
เจ้าที่เจ้าทางก็ไม่ต้องไหว้ เพราะท่านเชื่อแล้วจริงๆ ว่าสิ่งเหล่านี้ไม่มี
หากท่านแอบไหว้ แอบอธิษฐานจิตสักนิด ประหวัดคิดไปสักหน่อยในการบอกกล่าวผู้ตาย บอกกล่าวเจ้าที่เจ้าทาง คำกล่าวของท่านแต่แรกที่ว่าเชื่อว่าตายแล้วสูญนั้น ย่อมเป็นการโกหก
นั่งข้างหลุมศพเขาเฉยๆ ลบหลู่ตรงไหน
พวกสัตว์ พวกหนอนแมลงวันก็ไม่เห็นมันจะกลัวศพ
ไปยืนไปนั่งพิจารณาหลุมศพของท่านต่างๆ ในที่นั่นไปเรื่อยๆ ตามอัธยาศัย
มีอยู่กี่หลุม รวมแล้วมีกี่ศพ ฝังอยู่ใต้ผืนดินแถวนั้นก็ลองนับไป
ดูเสร็จแล้ว ก็ปูเสื่อปูผ้า กางเต๊นท์นอนอยู่ข้างหลุมศพนั่นเอง
นอนแล้วก็อย่าพึ่งหลับ ขอให้สังเกตจิตตนเองว่ามีอาการเช่นไร
ตามดูไปเรื่อยๆ
ที่ว่าผีไม่มี ตายแล้วสูญนั้น ลึกๆ ในใจท่านเชื่อเช่นนั้นจริงหรือ
ที่ขอให้ทำเช่นนี้ มิใช่เพื่อให้พิสูจน์ว่าผีมีจริงนะ
(อ่านมาตั้งนาน ถ้าใครคิดอย่างนี้ ผมจะเสียใจมากนะครับ
)
แต่เพื่อให้ท่านเห็นได้ชัดเจนมากขึ้นว่า
ความหวาดกลัว ตื่นตระหนก ขนพองสยองเกล้าทั้งหลายที่ครอบงำท่านขณะอยู่ข้างหลุมศพนั้นเป็นของจริง
ณ เวลานั้น ท่านไม่ได้มาพร่ำบอกใคร หรือพร่ำบอกตนเองอีกแล้วว่าข้าพเจ้าไม่เชื่อเรื่องผี คนตายแล้วก็สูญ
มันไม่ต้องเชื่อ หรือไม่ต้องไม่เชื่อแล้ว
มันมีแต่ความกลัว
กลัวก็เพราะมันไม่รู้
มันไม่รู้อะไรเลย
มันมืดบอด ไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง
ไม่รู้อย่างที่พระท่านเรียกว่าอวิชชา
ตอนนั้นมันจะชัดแจ้งทีเดียวว่า
อวิชชา สรรพกิเลสทั้งหลายที่ครอบงำท่านในขณะนั้นเป็นของจริง
เมื่อได้ไปนอนทรมานกิเลสที่ป่าช้ามาแล้ว
เห็นความทุกข์ที่ครอบงำจิตใจท่านแล้ว
จากนั้นจะได้เปลี่ยนเสียนะครับ ที่ชอบว่ากันนักหนาว่า ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ ไปเป็น
ไม่เชื่อต้องพิสูจน์
ส่วนที่ว่า ข้าพเจ้าเชื่อว่าเกิดหนเดียวตายหนเดียว ตายแล้วสูญ บุญบาปไม่มี นั้น จะได้เปลี่ยนไปเป็น
เรื่อง เกิดหนเดียวตายหนเดียว ตายแล้วสูญ บุญบาปไม่มี นั้น เป็นเรื่องที่ข้าพเจ้าไม่ทราบ
เมื่อไม่ทราบ ฉะนั้นก็ต้องพิสูจน์ :lol:
พิสูจน์ให้รู้ ขับไล่ความไม่รู้ออกไปเสีย
วิธีพิสูจน์ก็ไม่ยากครับ
ปรึกษาพี่ๆ ทั้งหลายที่มีประสบการณ์(การปฏิบัติธรรม) ทั้งพี่ฉัตร พี่เจ๋ง พี่พอใจ ฯลฯ
ลองเข้ามาดูครับว่าพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนอะไร
ขอความกรุณาจริงๆ ว่าให้ลองไปเยือนป่าช้าด้วยตัวคนเดียวตอนกลางดึกดูสักครั้ง
แค่ไปเยือนก็ไม่ได้เรียกเป็นการลบหลู่อะไร
พระที่ท่านถือธุดงค์อยู่ป่าช้าก็ไม่ได้เป็นการลบหลู่
แค่เป็นวัตรปฏิบัติที่ท่านถือเพื่อจะทรมานกิเลส
และหากท่านเชื่อว่าตายแล้วสูญจริง เชื่อเช่นนั้นจริงๆ หมายความอย่างที่กล่าวแล้วจริงๆ ท่านก็ต้องเชื่อว่าผีสางมันไม่มี
การเยือนป่าช้าของท่านก็ไม่จำเป็นต้องจุดธูปเทียนบอกกล่าวผู้ตาย
เจ้าที่เจ้าทางก็ไม่ต้องไหว้ เพราะท่านเชื่อแล้วจริงๆ ว่าสิ่งเหล่านี้ไม่มี
หากท่านแอบไหว้ แอบอธิษฐานจิตสักนิด ประหวัดคิดไปสักหน่อยในการบอกกล่าวผู้ตาย บอกกล่าวเจ้าที่เจ้าทาง คำกล่าวของท่านแต่แรกที่ว่าเชื่อว่าตายแล้วสูญนั้น ย่อมเป็นการโกหก
นั่งข้างหลุมศพเขาเฉยๆ ลบหลู่ตรงไหน
พวกสัตว์ พวกหนอนแมลงวันก็ไม่เห็นมันจะกลัวศพ
ไปยืนไปนั่งพิจารณาหลุมศพของท่านต่างๆ ในที่นั่นไปเรื่อยๆ ตามอัธยาศัย
มีอยู่กี่หลุม รวมแล้วมีกี่ศพ ฝังอยู่ใต้ผืนดินแถวนั้นก็ลองนับไป
ดูเสร็จแล้ว ก็ปูเสื่อปูผ้า กางเต๊นท์นอนอยู่ข้างหลุมศพนั่นเอง
นอนแล้วก็อย่าพึ่งหลับ ขอให้สังเกตจิตตนเองว่ามีอาการเช่นไร
ตามดูไปเรื่อยๆ
ที่ว่าผีไม่มี ตายแล้วสูญนั้น ลึกๆ ในใจท่านเชื่อเช่นนั้นจริงหรือ
ที่ขอให้ทำเช่นนี้ มิใช่เพื่อให้พิสูจน์ว่าผีมีจริงนะ
(อ่านมาตั้งนาน ถ้าใครคิดอย่างนี้ ผมจะเสียใจมากนะครับ

แต่เพื่อให้ท่านเห็นได้ชัดเจนมากขึ้นว่า
ความหวาดกลัว ตื่นตระหนก ขนพองสยองเกล้าทั้งหลายที่ครอบงำท่านขณะอยู่ข้างหลุมศพนั้นเป็นของจริง
ณ เวลานั้น ท่านไม่ได้มาพร่ำบอกใคร หรือพร่ำบอกตนเองอีกแล้วว่าข้าพเจ้าไม่เชื่อเรื่องผี คนตายแล้วก็สูญ
มันไม่ต้องเชื่อ หรือไม่ต้องไม่เชื่อแล้ว
มันมีแต่ความกลัว
กลัวก็เพราะมันไม่รู้
มันไม่รู้อะไรเลย
มันมืดบอด ไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง
ไม่รู้อย่างที่พระท่านเรียกว่าอวิชชา
ตอนนั้นมันจะชัดแจ้งทีเดียวว่า
อวิชชา สรรพกิเลสทั้งหลายที่ครอบงำท่านในขณะนั้นเป็นของจริง
เมื่อได้ไปนอนทรมานกิเลสที่ป่าช้ามาแล้ว
เห็นความทุกข์ที่ครอบงำจิตใจท่านแล้ว
จากนั้นจะได้เปลี่ยนเสียนะครับ ที่ชอบว่ากันนักหนาว่า ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ ไปเป็น
ไม่เชื่อต้องพิสูจน์

ส่วนที่ว่า ข้าพเจ้าเชื่อว่าเกิดหนเดียวตายหนเดียว ตายแล้วสูญ บุญบาปไม่มี นั้น จะได้เปลี่ยนไปเป็น
เรื่อง เกิดหนเดียวตายหนเดียว ตายแล้วสูญ บุญบาปไม่มี นั้น เป็นเรื่องที่ข้าพเจ้าไม่ทราบ
เมื่อไม่ทราบ ฉะนั้นก็ต้องพิสูจน์ :lol:
พิสูจน์ให้รู้ ขับไล่ความไม่รู้ออกไปเสีย
วิธีพิสูจน์ก็ไม่ยากครับ
ปรึกษาพี่ๆ ทั้งหลายที่มีประสบการณ์(การปฏิบัติธรรม) ทั้งพี่ฉัตร พี่เจ๋ง พี่พอใจ ฯลฯ
ลองเข้ามาดูครับว่าพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนอะไร
"Winners never quit, and quitters never win."