กรอบทางความคิดต่างกัน ความคาดหวังก็ต่างกัน
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 14783
- ผู้ติดตาม: 0
กรอบทางความคิดต่างกัน ความคาดหวังก็ต่างกัน
โพสต์ที่ 1
ผมขอยกตัวอย่าง WG ของคุณฉัตรชัยละกัน ขออนุญาติด้วยนะครับ
เวลามีใครมาถามคุณฉัตรชัย แกก็ตอบ ตามความคิด ตามเหตุผลของแก
แต่ตัวคุณฉัตรชัย ถือ WG ตัวเดียว
แน่นอน แกก็ต้องรู้ WG มากพอ ที่จะลงทุน 100 % ใน WG
ถ้าคุณฉัตรชัยตั้งใจถือ WG ยาวไปเลย
คุณฉัตรชัยอาจจะหวังว่า วันหนึ่งราคาหุ้นก็จะสะท้อนผลประกอบการ
ซึ่งมันก็เป็นไปตามนั้น เพราะคุณฉัตรชัย ซื้อตั้งแต่ 10 บาทกว่า พี่จำไม่ได้
.........................................................................
ต่อมา มีใครบางคนไปซื้อ WG เพราะฟังเหตุผลที่มีการพูดคุยกันแล้ว รู้สึก หรือ คิดไปเอง ว่า โอ ท่าอย่างนี้ ต่อไปราคามันจะต้องขึ้นไปแน่ๆเลย
พี่ขอสมมุติว่า ราคา WG นิ่งอยู่อย่างนี้ คือ 30 บาท ไปอีก 3 ปีเต็ม ทั้งๆที่ผลประกอบการดีไปอีก 3 ปี
เป็นไปได้หรือไม่ ก็อาจจะเป็นไปได้ หรือเป็นไปไม่ได้
........................................................................
แต่ถ้าใครซื้อ WG ไปแล้วคาดหวังส่วนต่างราคา
ผลคือ ไม่ได้ส่วนต่างราคา แต่ได้ แต่ปันผล ซึ่ง คุณฉัตรชัยเขาพอใจในปันผล และพอใจ ในความแข็งแกร่งของบริษัท ที่มีเงินสดเพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้น ทุกปี
.........................................................................
เมื่อราคามันไม่ขึ้นเลย ( เรื่องสมมุติ )
.........................................................................
คนที่ที่มาซื้อตามอาจจะคิดว่า
ไม่คุ้มเลย ไม่เอาดีกว่า
เพราะตอนซื้อ วิเคราะห์ข้อดี เหมือนที่คุณฉัตรชัยวิเคราะห์
แต่ตอนถือ เจตนาในการถือต่างกัน
ผลคือ กรอบทางความคิดต่างกัน ความคาดหวังก็ต่างกัน ทำให้ รู้สึกว่า ไม่เห็นคุ้มอย่างที่คนในเว็บนี้เขาพูดคุยกัน
ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลย เพราะ คนหนึ่งซื้อกิจการที่ดี และถือกิจการที่ดี พร้อมที่จะถือกิจการที่ดีไปเรื่อยๆ จนกว่ากิจการไม่ดี ( พื้นฐานเปลี่ยน )
แต่อีกคนซื้อเพราะคิดว่ากิจการที่ดี ราคาหุ้นจะต้องขึ้น และกดดูราคาทุกวัน จนกระทั้งรู้สึกว่า กิจการมันดีจริงหรือ ถ้ามันดีจริง ทำไมราคาไม่ขึ้น
คำตอบคือ อย่างไรก็ตาม ราคาต้องสะท้อนผลประกอบการที่ดีของกิจการ อย่างแน่นอน
แต่
แต่ มันไม่เร็วอย่างที่เราคิดครับ ถ้าเราซื้อเพราะเราต้องการส่วนต่างราคา
เวลามีใครมาถามคุณฉัตรชัย แกก็ตอบ ตามความคิด ตามเหตุผลของแก
แต่ตัวคุณฉัตรชัย ถือ WG ตัวเดียว
แน่นอน แกก็ต้องรู้ WG มากพอ ที่จะลงทุน 100 % ใน WG
ถ้าคุณฉัตรชัยตั้งใจถือ WG ยาวไปเลย
คุณฉัตรชัยอาจจะหวังว่า วันหนึ่งราคาหุ้นก็จะสะท้อนผลประกอบการ
ซึ่งมันก็เป็นไปตามนั้น เพราะคุณฉัตรชัย ซื้อตั้งแต่ 10 บาทกว่า พี่จำไม่ได้
.........................................................................
ต่อมา มีใครบางคนไปซื้อ WG เพราะฟังเหตุผลที่มีการพูดคุยกันแล้ว รู้สึก หรือ คิดไปเอง ว่า โอ ท่าอย่างนี้ ต่อไปราคามันจะต้องขึ้นไปแน่ๆเลย
พี่ขอสมมุติว่า ราคา WG นิ่งอยู่อย่างนี้ คือ 30 บาท ไปอีก 3 ปีเต็ม ทั้งๆที่ผลประกอบการดีไปอีก 3 ปี
เป็นไปได้หรือไม่ ก็อาจจะเป็นไปได้ หรือเป็นไปไม่ได้
........................................................................
แต่ถ้าใครซื้อ WG ไปแล้วคาดหวังส่วนต่างราคา
ผลคือ ไม่ได้ส่วนต่างราคา แต่ได้ แต่ปันผล ซึ่ง คุณฉัตรชัยเขาพอใจในปันผล และพอใจ ในความแข็งแกร่งของบริษัท ที่มีเงินสดเพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้น ทุกปี
.........................................................................
เมื่อราคามันไม่ขึ้นเลย ( เรื่องสมมุติ )
.........................................................................
คนที่ที่มาซื้อตามอาจจะคิดว่า
ไม่คุ้มเลย ไม่เอาดีกว่า
เพราะตอนซื้อ วิเคราะห์ข้อดี เหมือนที่คุณฉัตรชัยวิเคราะห์
แต่ตอนถือ เจตนาในการถือต่างกัน
ผลคือ กรอบทางความคิดต่างกัน ความคาดหวังก็ต่างกัน ทำให้ รู้สึกว่า ไม่เห็นคุ้มอย่างที่คนในเว็บนี้เขาพูดคุยกัน
ซึ่งไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลย เพราะ คนหนึ่งซื้อกิจการที่ดี และถือกิจการที่ดี พร้อมที่จะถือกิจการที่ดีไปเรื่อยๆ จนกว่ากิจการไม่ดี ( พื้นฐานเปลี่ยน )
แต่อีกคนซื้อเพราะคิดว่ากิจการที่ดี ราคาหุ้นจะต้องขึ้น และกดดูราคาทุกวัน จนกระทั้งรู้สึกว่า กิจการมันดีจริงหรือ ถ้ามันดีจริง ทำไมราคาไม่ขึ้น
คำตอบคือ อย่างไรก็ตาม ราคาต้องสะท้อนผลประกอบการที่ดีของกิจการ อย่างแน่นอน
แต่
แต่ มันไม่เร็วอย่างที่เราคิดครับ ถ้าเราซื้อเพราะเราต้องการส่วนต่างราคา
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 14783
- ผู้ติดตาม: 0
กรอบทางความคิดต่างกัน ความคาดหวังก็ต่างกัน
โพสต์ที่ 2
และถ้าสมมุติให้หนักกว่านั้นอีก คือ สมมุติว่าตลาดช่วงนี้แย่มากขึ้นทุกวัน
และสมมุติต่อว่า ราคา WG ลดลงทุกวัน ตลอด 3 ปีนี้ จาก 30 ลดเหลือ 20 บาท ในปี ที่ 3
ทั้งๆที่ผลประกอบการดีขึ้น เงินสดมากขึ้น ปันผลมากขึ้น
เอ เหตุการแบบนี้จะเป็นไปได้หรือ
คำตอบ คือ สมัยก่อน TR หนักกว่านี้อีก ลงไปเหลือ PE 2 เลย
...........................................................................
ถ้าเป็นแบบนั้น ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคุณฉัตรชัยเขาจะทำอย่างไร
แต่คนที่มาซื้อตามเพราะคิดว่ากิจการมันดี แต่ราคาลดลงไปเรื่อยๆนี่ซิ เขาจะคิดอย่างไร
และสมมุติต่อว่า ราคา WG ลดลงทุกวัน ตลอด 3 ปีนี้ จาก 30 ลดเหลือ 20 บาท ในปี ที่ 3
ทั้งๆที่ผลประกอบการดีขึ้น เงินสดมากขึ้น ปันผลมากขึ้น
เอ เหตุการแบบนี้จะเป็นไปได้หรือ
คำตอบ คือ สมัยก่อน TR หนักกว่านี้อีก ลงไปเหลือ PE 2 เลย
...........................................................................
ถ้าเป็นแบบนั้น ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคุณฉัตรชัยเขาจะทำอย่างไร
แต่คนที่มาซื้อตามเพราะคิดว่ากิจการมันดี แต่ราคาลดลงไปเรื่อยๆนี่ซิ เขาจะคิดอย่างไร
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 14783
- ผู้ติดตาม: 0
กรอบทางความคิดต่างกัน ความคาดหวังก็ต่างกัน
โพสต์ที่ 3
คนที่ลงทุนตาม คุณฉัตรชัยเพราะอยากได้เป็นเจ้าของกิจการที่ดี และพอใจในปันผล และพอใจในการถือกิจการที่ดี
เคยซื้อ 30 บาท ต่อหุ้น แล้วพอใจ อาจจะ อาจจะพอใจหนักขึ้นไปอีก ถ้าได้ซื้อเพิ่ม ในราคา 20 บาท เพราะเทียบเป็นปันผล ก็ได้เพิ่ม หรือเข้าไปดูกระแสเงินสดในปีหลังๆ อาจจะ 15 บาทต่อหุ้นไปแล้ว
แต่คนที่ซื้อเพราะต้องการส่วนต่างราคานี่ซิ เขาซื้อเพื่อขาย เขาพร้อมที่จะขายเสมอ
ถ้าราคามันลงเอา ลงเอา เขาจะคิดอย่างไร
เคยซื้อ 30 บาท ต่อหุ้น แล้วพอใจ อาจจะ อาจจะพอใจหนักขึ้นไปอีก ถ้าได้ซื้อเพิ่ม ในราคา 20 บาท เพราะเทียบเป็นปันผล ก็ได้เพิ่ม หรือเข้าไปดูกระแสเงินสดในปีหลังๆ อาจจะ 15 บาทต่อหุ้นไปแล้ว
แต่คนที่ซื้อเพราะต้องการส่วนต่างราคานี่ซิ เขาซื้อเพื่อขาย เขาพร้อมที่จะขายเสมอ
ถ้าราคามันลงเอา ลงเอา เขาจะคิดอย่างไร
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 14783
- ผู้ติดตาม: 0
กรอบทางความคิดต่างกัน ความคาดหวังก็ต่างกัน
โพสต์ที่ 4
จุดที่ผมชอบที่สุดของวอเรน คือ เขากลับ PE เป็น EP
เขาจะดูว่ากำไรเท่าไร เมื่อเทียบกับราคา
WG กำไร 3.69 บาทต่อหุ้น ราคา 30 บาทต่อหุ้น
เท่ากับได้ผลตอบแทน 12.30 %
ฝากธนาคารได้ 1 % ซื้อ WG ได้ 12.30 %
แล้วเสี่ยงหรือเปล่า
ก็ต้องไปดูเอา เขาทำการค้าแบบเสี่ยงหรือเปล่า หนี้เขาเยอะหรือเปล่า
วันนี้ถ้าฝากแบงค์ไปแล้ว 1 ล้านบาท เขาให้ดอกเบี้ย 12.30 % ต่อมา อีก 3 ปี เขาบอกว่า ถ้าฝากเพิ่ม จะให้ดอกเบี้ยเพิ่มเป็น 18.45 % เราจะฝากเพิ่มหรือไม่ ถ้าเรามีเงิน ถ้าเราไม่มีเงิน เราจะโกรธแบงค์หรือไม่ ที่มาเพิ่มดอกเบี้ย ในขณะที่เราไม่มีเงิน
18.45 % คิดจาก สมมุติว่า กำไรเท่าเดิม 3.69 แต่ สมมุติว่า ราคาลงไปที่ 20 บาท
แสดงว่า วอเรน เขาทำให้เราได้คิดว่า ราคาที่ลดลง คือผลตอบแทนที่เราจะได้เพิ่มขึ้น
คงมีแต่วอเรนที่ดีใจ ที่ราคาหุ้นดีๆ ลดลง
แต่คนที่หวังส่วนต่างราคานี่ซิ ผมว่า
เขาจะพูดว่า ได้ปันผล 1.85 เทียบกับราคา 30 บาท เท่ากับได้ 6.17 % แต่ดูซิราคาหุ้นลงเอา ลงเอา ถ้าขาย ตอนนี้ต้องขาดทุนตั้ง 10% 20% 30 % เป็นต้น
กรอบทางความคิดต่างกัน มุมมองต่างกัน
คงต้องถึงเวลาแล้ว ที่พวกเราทุกคนต้องรู้ว่าเรากำลังจะเอาข้อมูล ( ข้อเท็จจริง + ความเห็น ) เดียวกัน
ไปใช้กับกรอบทางความคิดที่ต่างกัน
เพราะฉะนั้น กรอบทางความคิดเป็นเรื่องของแต่ละคนครับ ใครชอบแนวไหน ก็ทำตามแนวนั้น
ส่วนที่เรามาพูดคุยกันในเว็บ เราเพียงเข้ามาแลกเปลี่ยน ข้อเท็จจริง + ความเห็น ก็เท่านั้นเอง
ขอให้โชคดีกับการลงทุนครับ
เขาจะดูว่ากำไรเท่าไร เมื่อเทียบกับราคา
WG กำไร 3.69 บาทต่อหุ้น ราคา 30 บาทต่อหุ้น
เท่ากับได้ผลตอบแทน 12.30 %
ฝากธนาคารได้ 1 % ซื้อ WG ได้ 12.30 %
แล้วเสี่ยงหรือเปล่า
ก็ต้องไปดูเอา เขาทำการค้าแบบเสี่ยงหรือเปล่า หนี้เขาเยอะหรือเปล่า
วันนี้ถ้าฝากแบงค์ไปแล้ว 1 ล้านบาท เขาให้ดอกเบี้ย 12.30 % ต่อมา อีก 3 ปี เขาบอกว่า ถ้าฝากเพิ่ม จะให้ดอกเบี้ยเพิ่มเป็น 18.45 % เราจะฝากเพิ่มหรือไม่ ถ้าเรามีเงิน ถ้าเราไม่มีเงิน เราจะโกรธแบงค์หรือไม่ ที่มาเพิ่มดอกเบี้ย ในขณะที่เราไม่มีเงิน
18.45 % คิดจาก สมมุติว่า กำไรเท่าเดิม 3.69 แต่ สมมุติว่า ราคาลงไปที่ 20 บาท
แสดงว่า วอเรน เขาทำให้เราได้คิดว่า ราคาที่ลดลง คือผลตอบแทนที่เราจะได้เพิ่มขึ้น
คงมีแต่วอเรนที่ดีใจ ที่ราคาหุ้นดีๆ ลดลง
แต่คนที่หวังส่วนต่างราคานี่ซิ ผมว่า
เขาจะพูดว่า ได้ปันผล 1.85 เทียบกับราคา 30 บาท เท่ากับได้ 6.17 % แต่ดูซิราคาหุ้นลงเอา ลงเอา ถ้าขาย ตอนนี้ต้องขาดทุนตั้ง 10% 20% 30 % เป็นต้น
กรอบทางความคิดต่างกัน มุมมองต่างกัน
คงต้องถึงเวลาแล้ว ที่พวกเราทุกคนต้องรู้ว่าเรากำลังจะเอาข้อมูล ( ข้อเท็จจริง + ความเห็น ) เดียวกัน
ไปใช้กับกรอบทางความคิดที่ต่างกัน
เพราะฉะนั้น กรอบทางความคิดเป็นเรื่องของแต่ละคนครับ ใครชอบแนวไหน ก็ทำตามแนวนั้น
ส่วนที่เรามาพูดคุยกันในเว็บ เราเพียงเข้ามาแลกเปลี่ยน ข้อเท็จจริง + ความเห็น ก็เท่านั้นเอง
ขอให้โชคดีกับการลงทุนครับ
- harry
- Verified User
- โพสต์: 4200
- ผู้ติดตาม: 0
กรอบทางความคิดต่างกัน ความคาดหวังก็ต่างกัน
โพสต์ที่ 5
พี่เจ๋งครับ พี่พูดได้ตรงประเด็นดีมาก คนเรามองต่างกัน เพราะความรู้ ประสบการณ์ สิ่งแวดล้อม การคาดหวังต่างกัน ทำให้พฤติกรรมและการสื่อสารออกมาแตกต่างกัน เป็นเรื่องของจิตวิทยาทั่วไปสำหรับคน ที่ผมเรียนมาเพื่อใช้ในการสื่อสารของ นิเทศศาสตร์เลย
ดังนั้นเค้าก็มีทฤษฎีสำหรับหนังสือพิมพ์ทั่วไปว่า ให้เขียนให้เข้าใจง่ายที่สุด เพราะเราต้องมองเป้าหมายให้ออกว่าสื่อสารกับใคร และคนอ่านหนังสือพิมพ์ก็มีทั้งคนที่แค่อ่านออกเขียนได้ จบป.4 ไปจนถึงดอกเตอร์ ดังนั้นถ้าหนังสือพิมพ์ธรรมดาพวกไทยรัฐ เดลินิวส์ จะไม่มีคำยากเลยครับ แถมใช้คำชวนเชื่อให้อยากอ่านด้วยซ้ำ ส่วนหนังสือพิมพ์ หนังสืออื่นๆ สื่อที่มีกลุ่มเป้าหมายเป็นคนที่มีการศึกษามากกว่านี้ พวกบทวิจารณ์ บทวิเคราะห์ ศัพท์เฉพาะทางจะมีมากขึ้น เพราะคนอ่านสามารถเข้าใจไปในทางเดียวกับคนเขียน หรือคนจัดทำได้
ดังนั้นแล้ว คนในเว็บนี้จึงแบ่งออกเป็นสองประเภทได้คือ
1. คนที่มีความรู้ความเข้าใจในการลงทุนดี เข้าใจในการอ่านงบการเงิน ดังนั้นเจอศัพท์ยากก็ไม่แปลก คุยกันได้
2. คนที่พอมีความรู้หรืองูๆปลาๆ ก็เข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง มาถามได้เรื่อยๆ แม้บางคำถามจะดูว่าไม่น่ามาถามก็ตาม
3. คนที่มือใหม่แล้วยังหลงอยู่กับความคิดที่ว่าการเล่นหุ้นคือการเอาเงินไปซื้อหุ้นแล้วรอวันราคาขึ้นแล้วขายเท่านั้น จบ พวกนี้ถ้าคุณเชียร์หุ้นไหนก็ซื้อตาม เชียร์ขายก็ขายตาม พวกนี้แหละ มีมาก และก็พลาดท่าโดนหลอกมามากมาย เสียหายกันหลายร้อยหลายพันล้านบาท แต่ก็ยังคงอยู่ในกะลาต่อไป ไม่ออกมานอกกะลา ใช้ 1-2-call ได้แล้ว(ขอเชียร์ advanc นิดนึง ไม่ว่ากันนะ)
ดังนั้นเค้าก็มีทฤษฎีสำหรับหนังสือพิมพ์ทั่วไปว่า ให้เขียนให้เข้าใจง่ายที่สุด เพราะเราต้องมองเป้าหมายให้ออกว่าสื่อสารกับใคร และคนอ่านหนังสือพิมพ์ก็มีทั้งคนที่แค่อ่านออกเขียนได้ จบป.4 ไปจนถึงดอกเตอร์ ดังนั้นถ้าหนังสือพิมพ์ธรรมดาพวกไทยรัฐ เดลินิวส์ จะไม่มีคำยากเลยครับ แถมใช้คำชวนเชื่อให้อยากอ่านด้วยซ้ำ ส่วนหนังสือพิมพ์ หนังสืออื่นๆ สื่อที่มีกลุ่มเป้าหมายเป็นคนที่มีการศึกษามากกว่านี้ พวกบทวิจารณ์ บทวิเคราะห์ ศัพท์เฉพาะทางจะมีมากขึ้น เพราะคนอ่านสามารถเข้าใจไปในทางเดียวกับคนเขียน หรือคนจัดทำได้
ดังนั้นแล้ว คนในเว็บนี้จึงแบ่งออกเป็นสองประเภทได้คือ
1. คนที่มีความรู้ความเข้าใจในการลงทุนดี เข้าใจในการอ่านงบการเงิน ดังนั้นเจอศัพท์ยากก็ไม่แปลก คุยกันได้
2. คนที่พอมีความรู้หรืองูๆปลาๆ ก็เข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง มาถามได้เรื่อยๆ แม้บางคำถามจะดูว่าไม่น่ามาถามก็ตาม
3. คนที่มือใหม่แล้วยังหลงอยู่กับความคิดที่ว่าการเล่นหุ้นคือการเอาเงินไปซื้อหุ้นแล้วรอวันราคาขึ้นแล้วขายเท่านั้น จบ พวกนี้ถ้าคุณเชียร์หุ้นไหนก็ซื้อตาม เชียร์ขายก็ขายตาม พวกนี้แหละ มีมาก และก็พลาดท่าโดนหลอกมามากมาย เสียหายกันหลายร้อยหลายพันล้านบาท แต่ก็ยังคงอยู่ในกะลาต่อไป ไม่ออกมานอกกะลา ใช้ 1-2-call ได้แล้ว(ขอเชียร์ advanc นิดนึง ไม่ว่ากันนะ)
Expecto Patronum!!!!!!
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 14783
- ผู้ติดตาม: 0
กรอบทางความคิดต่างกัน ความคาดหวังก็ต่างกัน
โพสต์ที่ 8
คนส่วนใหญ่ เล่นเก็งกำไรครับ จะสมมุติเท่าไรดี
ต้องสมมุตว่า 90 % แล้วกัน คนที่เล่นเก็งกำไร ก็ต้องมีกรอบแบบซื้อ ถูกขายแพง
ซึ่ง
เมื่อ มาถามในเว็บ คนที่เก่งๆในเว็บ ที่เป็นแนว VI เขาก็ตอบ ข้อเท็จจริง + ความเห็น
แต่คนเหล่านี้ที่ศึกษาในหุ้นแต่ละตัวอย่างจริง จัง มีน้อยครับ เอาเป็นว่าประมาณ 10 %
ละกัน
ถึงจะมองต่างมุม แบบการมองน้ำครึ่งแก้วก็ตาม
แต่จำนวนคนมันต่างกัน ระหว่างคนถาม กับคนตอบ
พี่ไม่อยากให้คนตอบ เขารู้สึกไม่ดี ก็เท่านั้นเองครับ
เพราะคนถามบางคน ( ม่ายได้เกี่ยวกับน้อง minesweeper นะครับ )
เพราะคนถามบางคน ชอบดึงประเด็นให้คนอ่าน คนอื่นๆ เขวตามไปด้วยเช่น
ถามไปถามมา แล้วถามว่า หุ้นดีจริงๆ ทำไม ราคาลงเอา ลงเอา
คนที่อ่านมาตั้งแต่ต้นคงเค๊าใจนะครับ
ว่าราคาลงเอา ลงเอา ระหว่าง คนที่ซื้อถือยาว กับคนที่ซื้อเพื่อหวังส่วนต่างราคา ใครจะมีปัญหา
สรุปคือ คนที่ซื้อแล้วถือยาว เขาไม่ได้มีปัญหาอะไรกับราคาหุ้นที่ขึ้นๆ ลงๆ
แต่เขาอาจจะมีปัญหากับการตอบ ในกระทู้ต่างๆได้
ถ้าพวกเราไม่ช่วยๆกัน ใช้คำพูดให้เหมาะสม
ต้องสมมุตว่า 90 % แล้วกัน คนที่เล่นเก็งกำไร ก็ต้องมีกรอบแบบซื้อ ถูกขายแพง
ซึ่ง
เมื่อ มาถามในเว็บ คนที่เก่งๆในเว็บ ที่เป็นแนว VI เขาก็ตอบ ข้อเท็จจริง + ความเห็น
แต่คนเหล่านี้ที่ศึกษาในหุ้นแต่ละตัวอย่างจริง จัง มีน้อยครับ เอาเป็นว่าประมาณ 10 %
ละกัน
ถึงจะมองต่างมุม แบบการมองน้ำครึ่งแก้วก็ตาม
แต่จำนวนคนมันต่างกัน ระหว่างคนถาม กับคนตอบ
พี่ไม่อยากให้คนตอบ เขารู้สึกไม่ดี ก็เท่านั้นเองครับ
เพราะคนถามบางคน ( ม่ายได้เกี่ยวกับน้อง minesweeper นะครับ )
เพราะคนถามบางคน ชอบดึงประเด็นให้คนอ่าน คนอื่นๆ เขวตามไปด้วยเช่น
ถามไปถามมา แล้วถามว่า หุ้นดีจริงๆ ทำไม ราคาลงเอา ลงเอา
คนที่อ่านมาตั้งแต่ต้นคงเค๊าใจนะครับ
ว่าราคาลงเอา ลงเอา ระหว่าง คนที่ซื้อถือยาว กับคนที่ซื้อเพื่อหวังส่วนต่างราคา ใครจะมีปัญหา
สรุปคือ คนที่ซื้อแล้วถือยาว เขาไม่ได้มีปัญหาอะไรกับราคาหุ้นที่ขึ้นๆ ลงๆ
แต่เขาอาจจะมีปัญหากับการตอบ ในกระทู้ต่างๆได้
ถ้าพวกเราไม่ช่วยๆกัน ใช้คำพูดให้เหมาะสม
-
- Verified User
- โพสต์: 93
- ผู้ติดตาม: 0
กรอบทางความคิดต่างกัน ความคาดหวังก็ต่างกัน
โพสต์ที่ 10
Jeng เขียน:คนที่ซื้อเพราะต้องการส่วนต่างราคานี่ซิ เขาซื้อเพื่อขาย เขาพร้อมที่จะขายเสมอ ถ้าราคามันลงเอา ลงเอา เขาจะคิดอย่างไร
ผมไม่รู้ว่าเรื่องนี้คนอื่นคิดไง แต่เอาความเห็นส่วนตัวของผมเลยนะครับ เวลาผมซื้อผมมักจะรู้ว่าผมซื้อเพราะอะไร-ผ่านการไตร่ตรองของตัวเองแล้ว?หรือ(บางครั้ง)เชื่อในบทวิเคราะห์ ?-ไม่มีใครมาบังคับผมซื้อครับ ผมซื้อของผมเอง
ถ้าราคามันลงเอามากๆเนี่ยผมจะเลือกทำอยู่ 3 อย่างครับ
1.Cut Loss เมื่อถึงจุดที่ผมรับไม่ไหว- บ่อยครั้งที่ขายหมูครับ
2.ซื้อถัวเฉลี่ยเพื่อลดต้นทุน - ทำกับหุ้นที่ผมค่อนข้างมั่นใจ
3.อยู่เฉยๆ - เพราะกระสุนหมด
ปล.บางครั้งผมก้องงง-งเหมือนกัน ที่เห็นบางคนเล่นหุ้นตามคนอื่นเขาแล้วเวลาหุ้นตกก้อมาโวยวาย ...นานาจิดตังครับ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 11443
- ผู้ติดตาม: 0
กรอบทางความคิดต่างกัน ความคาดหวังก็ต่างกัน
โพสต์ที่ 11
คนที่ลงทนแนว VI ต้องมีความเชื่อข้อหนึ่งที่เหมือนกันครับ
และถ้าใครไม่เชื่อข้อคิดนี้ก็เป็ฯ VI ไม่ได้ครับ
ข้อที่ว่าคือ ราคาย่อมสะท้อนกับผลการดำเนินงานและฐานะทางการเงินของบริษัทในที่สดครับ
ถ้าใครไม่เชื่อก็คงไม่ต้องมานั่งวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานของบริษัทหรอกครับ
และถ้าใครไม่เชื่อข้อคิดนี้ก็เป็ฯ VI ไม่ได้ครับ
ข้อที่ว่าคือ ราคาย่อมสะท้อนกับผลการดำเนินงานและฐานะทางการเงินของบริษัทในที่สดครับ
ถ้าใครไม่เชื่อก็คงไม่ต้องมานั่งวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานของบริษัทหรอกครับ