อุตสาหกรรมการเงินการธนาคาร
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news02/08/07
โพสต์ที่ 91
แบงก์ไทยเครดิตไอเดียบรรเจิด บุกรายย่อยปล่อยกู้จำนำทอง
2 สิงหาคม พ.ศ. 2550 12:37:00
แบงก์ไทยเครดิตเพื่อรายย่อยไอเดียบรรเจิด บุกตลาดรายย่อย ปล่อยกู้ผ่านการ "รับจำนำทองคำ" คิดดอกเบี้ย 0.99% ต่อเดือน ปล่อยกู้ไม่เกิน 85% ของราคาทองคำ
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : นายมงคล ลีลาธรรม ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ ธนาคารไทยเครดิตเพื่อรายย่อย กล่าวว่า หลังจากธนาคารได้รับใบอนุญาตให้เปิดให้บริการมา 7 เดือน เพื่อกระตุ้นตลาดรายย่อย ธนาคารจึงเปิดบริการใหม่รับจำนำทองคำภายใต้ชื่อ บริการทองแลกเงิน คิดอัตราดอกเบี้ย 0.99% ต่อเดือน วงเงินกู้สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาทต่อราย ผ่อนชำระตั้งแต่ 2-6 เดือน ตั้งเป้าหมายปี 2550 จะปล่อยเงินกู้จำนำทอง 90 ล้านบาท เนื่องจากธนาคารมองว่าคนไทยยังประสบปัญหารายได้ไม่พอค่าใช้จ่ายถึง 79.81% และมูลค่ารับจำนำสินค้าในระบบในปี 2550 จะสูงถึง 106,700 ล้านบาท จึงมั่นใจว่าบริการดังกล่าวจะสามารถดึงตลาดและช่วยเหลือรายย่อยได้มากขึ้น
สำหรับอัตราส่วนการให้กู้กรณีการจำนำทองจะกำหนดสัดส่วนเงินกู้ 5% ของราคาทองคำ โดยใช้ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ เพราะความผันผวนของราคาทองคำจะไม่เกิน 20%
โดยธนาคารวางเป้าหมายภายใน 5 ปี จะเปิดให้บริการแก่ลูกค้าในการรับจำนำทองคำถึง 1.5 ล้านคน และปีนี้คาดว่า ตลาดรับจำนำทองคำจะเติบโตกว่า 20% เนื่องจากเศรษฐกิจชะลอตัว ค่าครองชีพแพงขึ้น
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยเครดิตเพื่อรายย่อย กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมาธนาคารได้เปิดบริการสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์และสินเชื่อบ้านโดยเน้นให้กับรายย่อย ซึ่งขณะนี้สินเชื่อรถยนต์และบ้านมีลูกค้าประมาณ 500 ราย โดยสินเชื่อรถยนต์จะปล่อยสินเชื่อวงเงิน 500,000 บาทต่อราย สินเชื่อบ้าน 1.5 ล้านบาทต่อราย และตั้งแต่เปิดบริการสามารถปล่อยสินเชื่อทั้งหมดได้แล้ว 1,200 ล้านบาท รวมทั้งระดมเงินฝาก 1,500 ล้านบาท
สำหรับการเปิดสาขา ธนาคารได้รับอนุมัติให้เปิดสาขาได้แล้ว 21 สาขา ซึ่งขณะนี้ธนาคารเปิดสาขาให้บริการที่อาคารไทยประกันชีวิต ชั้น 1 ถนนรัชดาภิเษก นอกจากนี้ ยังเตรียมเปิดให้บริการที่เขตห้วยขวาง บางกะปิ และนวนคร ตามแหล่งชุมชนต่าง ๆ ภายในสิ้นปีนี้
http://www.bangkokbiznews.com/2007/08/0 ... wsid=87329
2 สิงหาคม พ.ศ. 2550 12:37:00
แบงก์ไทยเครดิตเพื่อรายย่อยไอเดียบรรเจิด บุกตลาดรายย่อย ปล่อยกู้ผ่านการ "รับจำนำทองคำ" คิดดอกเบี้ย 0.99% ต่อเดือน ปล่อยกู้ไม่เกิน 85% ของราคาทองคำ
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : นายมงคล ลีลาธรรม ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ ธนาคารไทยเครดิตเพื่อรายย่อย กล่าวว่า หลังจากธนาคารได้รับใบอนุญาตให้เปิดให้บริการมา 7 เดือน เพื่อกระตุ้นตลาดรายย่อย ธนาคารจึงเปิดบริการใหม่รับจำนำทองคำภายใต้ชื่อ บริการทองแลกเงิน คิดอัตราดอกเบี้ย 0.99% ต่อเดือน วงเงินกู้สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาทต่อราย ผ่อนชำระตั้งแต่ 2-6 เดือน ตั้งเป้าหมายปี 2550 จะปล่อยเงินกู้จำนำทอง 90 ล้านบาท เนื่องจากธนาคารมองว่าคนไทยยังประสบปัญหารายได้ไม่พอค่าใช้จ่ายถึง 79.81% และมูลค่ารับจำนำสินค้าในระบบในปี 2550 จะสูงถึง 106,700 ล้านบาท จึงมั่นใจว่าบริการดังกล่าวจะสามารถดึงตลาดและช่วยเหลือรายย่อยได้มากขึ้น
สำหรับอัตราส่วนการให้กู้กรณีการจำนำทองจะกำหนดสัดส่วนเงินกู้ 5% ของราคาทองคำ โดยใช้ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ เพราะความผันผวนของราคาทองคำจะไม่เกิน 20%
โดยธนาคารวางเป้าหมายภายใน 5 ปี จะเปิดให้บริการแก่ลูกค้าในการรับจำนำทองคำถึง 1.5 ล้านคน และปีนี้คาดว่า ตลาดรับจำนำทองคำจะเติบโตกว่า 20% เนื่องจากเศรษฐกิจชะลอตัว ค่าครองชีพแพงขึ้น
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารไทยเครดิตเพื่อรายย่อย กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมาธนาคารได้เปิดบริการสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์และสินเชื่อบ้านโดยเน้นให้กับรายย่อย ซึ่งขณะนี้สินเชื่อรถยนต์และบ้านมีลูกค้าประมาณ 500 ราย โดยสินเชื่อรถยนต์จะปล่อยสินเชื่อวงเงิน 500,000 บาทต่อราย สินเชื่อบ้าน 1.5 ล้านบาทต่อราย และตั้งแต่เปิดบริการสามารถปล่อยสินเชื่อทั้งหมดได้แล้ว 1,200 ล้านบาท รวมทั้งระดมเงินฝาก 1,500 ล้านบาท
สำหรับการเปิดสาขา ธนาคารได้รับอนุมัติให้เปิดสาขาได้แล้ว 21 สาขา ซึ่งขณะนี้ธนาคารเปิดสาขาให้บริการที่อาคารไทยประกันชีวิต ชั้น 1 ถนนรัชดาภิเษก นอกจากนี้ ยังเตรียมเปิดให้บริการที่เขตห้วยขวาง บางกะปิ และนวนคร ตามแหล่งชุมชนต่าง ๆ ภายในสิ้นปีนี้
http://www.bangkokbiznews.com/2007/08/0 ... wsid=87329
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news03/08/07
โพสต์ที่ 92
Q2บล.กำไรกระเตื้องลุ้นครึ่งปีหลังพุ่ง
บล.โกลเบล็กชี้กำไรไตรมาส 2 ดีกว่าไตรมาส 1 ถึง 50% ขณะที่บล.ใหญ่ 4 รายโชว์รายได้-กำไรงวดครึ่งปีแรกหดถ้วนหน้า เหตุผลประกอบการไตรมาส 1 ฉุด ด้านนักวิเคราะห์เชียร์เก็งกำไรหุ้นกลุ่มหลักทรัพย์ในภาวะตลาดหุ้นขาขึ้น ชี้มีปัจจัยหนุนจากคาดกำไรปรับขึ้นมาก ตามวอลุ่ม ตลาดขึ้นแรง ลุ้นเทรดค่าพี/อีขึ้นไปถึง 20 เท่า
จากการรวบรวมผลประกอบการครึ่งปีแรกเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนของบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ที่ประกาศ 4 ราย ปรากฏว่า บล.ซีมิโก้ มี รายได้และกำไรสุทธิลดลงมากสุด โดยมีรายได้ 355.65 ล้านบาท ลดลง 41.85% และขาดทุนสุทธิ 9.69 ล้านบาท ลดลง 108% เนื่องจากรายได้ค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์และค่าธรรมเนียมและบริการจากธุรกิจที่ปรึกษาลดลง ขณะที่มีภาระจ่ายค่าตอบแทนพนักงานเพิ่มขึ้น หลังปิดสาขายุบหน่วยงานเซียนไลน์ ,ลดพื้นที่เช่าสำนักงานบางส่วน
ส่วน บล.ภัทร มีรายได้ 706.87 ล้านบาท ลดลง 37.83% และกำไรสุทธิ 223.04 ล้านบาท ลดลง 48.22% เนื่องจากรายได้ค่านายหน้าและค่าธรรม เนียมและบริการนำหุ้นเข้าตลาดหุ้นลดลง
ด้าน บล.บีฟิท มีรายได้ 295.95 ล้านบาท ลดลง 26.02% และกำไรสุทธิ 59.95 ล้านบาท ลดลง 58.69% ตามรายได้ค่านายหน้าลดลง ขณะที่รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการนำหุ้นเข้าตลาดปรับเพิ่มขึ้น แต่เนื่องจากบริษัทได้เน้นการซื้อขายผ่าน อินเทอร์เน็ตทำให้มีรายจ่ายพนักงานเพิ่มขึ้น
ส่วนผลประกอบการ งวด 9 เดือน (ต.ค.49-มิ.ย.50) ของ บล.พัฒนสิน มีรายได้ 521.83 ล้านบาท ลดลง 6.34% กำไรสุทธิ 68.69 ล้านบาท ลดลง 24.70% ซึ่งเป็นผลจากค่านายหน้าลดลง ขณะที่มีค่าใช้จ่ายกู้ยืมเงินและค่าธรรมเนียมและบริการจ่ายปรับเพิ่มขึ้น
บทวิเคราะห์ บล.โกลเบล็กคาดการณ์ผลประกอบการไตรมาส 2/50 ของ บล. 7 แห่งที่มีส่วนแบ่งอันดับต้นๆ มีกำไรสุทธิรวม 594 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% แต่จะเพิ่มขึ้นถึง 58% จากไตรมาสก่อน (ดูตาราง) เนื่องจากมูลค่าการซื้อขายเพิ่มขึ้นเฉลี่ยวันละ 15,334 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28% จากไตรมาส 1/50 ตามตลาดหุ้นที่ปรับตัวขึ้น 100 จุด และค่าใช้จ่ายลดลงจากไตรมาสแรกที่จ่ายโบนัสพนักงาน
บล.โกลเบล็ก คาดว่า บล.เคจีไอจะมีกำไร เติบโตสูงสุด 368% จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน จากการบันทึกกำไรพอร์ตเงินลงทุนที่เพิ่มขึ้นตามตลาดหุ้น และหากไม่นับรวมรายได้พิเศษดังกล่าว บล.เคจีไอก็สามารถขยายตัวโดดเด่นได้ เพราะไตรมาส 2/50 มีส่วนแบ่งการตลาด (มาร์เก็ตแชร์) เพิ่มขึ้นเป็น 4.41% จากไตรมาส 2/49 ที่อยู่ 3.44%
อย่างไรก็ตาม บล.โกลเบล็กระบุว่า หากเทียบผลประกอบการงวดครึ่งปีแรกของกลุ่มหลักทรัพย์คาดว่า กำไรโดยรวมจะลดลง 35% จึงแนะนำให้ลงทุนหุ้นกลุ่มหลักทรัพย์ช่วงภาวะตลาดหุ้นขาขึ้น โดยสามารถเก็งกำไรได้หากมูลค่าซื้อขายทั้งปีเฉลี่ยวันละ 20,000 ล้านบาทขึ้นไป
นายเอกพิทยา เอี่ยมคงเอก ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายวิจัย บล. บีฟิท กล่าวว่า ผลประกอบการในไตรมาส 2/50 ของกลุ่มหลักทรัพย์เกือบ ทุกบริษัทจะไม่โดดเด่นทั้งในด้านของรายได้และกำไร เนื่องจากยังเป็นช่วงตลาดหุ้นค่อนข้างซบเซาต่อเนื่องโดยไตรมาส 2 ตลาดหุ้นมีมูลค่าการ ซื้อขายเฉลี่ยเหลือวันละ 13,000 ล้านบาท ต่ำกว่าช่วงเดียวกันปีก่อนที่เฉลี่ยวันละ 16,000 ล้านบาท ทำให้รายได้จากค่านายหน้า ซึ่งเป็นรายได้หลักมีสัดส่วน 80-90% ของรายได้รวมของกลุ่มบริษัท หลักทรัพย์ปรับลดลง
นายเอกพิทยาคาดว่า กลุ่มหลักทรัพย์น่าจะมีผลประกอบการโดดเด่นในช่วงไตรมาส 3/50 เนื่องจากเป็นช่วงตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นแรงจากกระแสเงินทุนต่างชาติไหลเข้ามาลงทุนหุ้นไทย จนทำให้มูลค่าซื้อขายรวมเพิ่มเฉลี่ยวันละ 30,000 ล้านบาท ซึ่งหากครึ่งปีหลังมีมูลค่าซื้อขายเฉลี่ย 30,000 ล้านบาทได้ บริษัทจะมีรายได้ค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ค่าพี/อี ของกลุ่มหลักทรัพย์ปรับขึ้นอยู่ที่ระดับ 20 เท่า
นายกิตติ เหมนิลรัตน์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บล. กรุงศรีอยุธยา กล่าวว่า บริษัทจะปรับเพิ่มมูลค่าซื้อขายรวมปี"50 ใหม่เป็นเฉลี่ยวันละ 16,000-17,000 ล้านบาท จากเดิม 13,000-15,000 ล้านบาท ตามภาวะตลาดหุ้นที่ปรับขึ้นแรงในไตรมาส 3/50 โดยให้จับตาดู บล.ที่มีมูลค่าซื้อขายเฉลี่ยวันละ 8,000 ล้านบาทจะส่งผลดีต่อผลประกอบการไตรมาส 3 แต่การลงทุนในหุ้นกลุ่มหลักทรัพย์ส่วนใหญ่จะเก็งกำไรตามภาวะตลาดหุ้น
นายกิตติ วิเคราะห์ถึง บล.ที่มีส่วนแบ่งการ ตลาดอันดับต้นๆ ว่า บล. ภัทร จะมีส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้น แต่จะมีความเสี่ยงเรื่องสัญญาการส่งคำสั่งซื้อขายลูกค้าต่างประเทศกับบริษัทคู่ค้า อย่างเมอร์ริล ลินช์ ซึ่งจะเป็นสัญญารายปี ขณะที่ บล.บัวหลวง จะทำสัญญาระยะยาวกับบริษัทคู่ค้าอย่างมอร์แกน สแตนเลย์ โดยกำหนดอัตราค่านายหน้า 0.15% จากเดิม 0.25% แม้ระยะสั้นรายได้จะลดลง แต่ระยะยาวน่าเห็นผลบวกด้านการส่งเสริมความร่วมมือเชิงธุรกิจมากขึ้นรวมถึงได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีเครื่องมือการลงทุนด้วย อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ราคาหุ้น บล.บัวหลวงได้ปรับเพิ่มขึ้นมาเต็มมูลค่าพื้นฐานหุ้นที่ 12.6 บาทแล้ว
http://www.matichon.co.th/prachachat/pr ... ionid=0206
บล.โกลเบล็กชี้กำไรไตรมาส 2 ดีกว่าไตรมาส 1 ถึง 50% ขณะที่บล.ใหญ่ 4 รายโชว์รายได้-กำไรงวดครึ่งปีแรกหดถ้วนหน้า เหตุผลประกอบการไตรมาส 1 ฉุด ด้านนักวิเคราะห์เชียร์เก็งกำไรหุ้นกลุ่มหลักทรัพย์ในภาวะตลาดหุ้นขาขึ้น ชี้มีปัจจัยหนุนจากคาดกำไรปรับขึ้นมาก ตามวอลุ่ม ตลาดขึ้นแรง ลุ้นเทรดค่าพี/อีขึ้นไปถึง 20 เท่า
จากการรวบรวมผลประกอบการครึ่งปีแรกเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนของบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ที่ประกาศ 4 ราย ปรากฏว่า บล.ซีมิโก้ มี รายได้และกำไรสุทธิลดลงมากสุด โดยมีรายได้ 355.65 ล้านบาท ลดลง 41.85% และขาดทุนสุทธิ 9.69 ล้านบาท ลดลง 108% เนื่องจากรายได้ค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์และค่าธรรมเนียมและบริการจากธุรกิจที่ปรึกษาลดลง ขณะที่มีภาระจ่ายค่าตอบแทนพนักงานเพิ่มขึ้น หลังปิดสาขายุบหน่วยงานเซียนไลน์ ,ลดพื้นที่เช่าสำนักงานบางส่วน
ส่วน บล.ภัทร มีรายได้ 706.87 ล้านบาท ลดลง 37.83% และกำไรสุทธิ 223.04 ล้านบาท ลดลง 48.22% เนื่องจากรายได้ค่านายหน้าและค่าธรรม เนียมและบริการนำหุ้นเข้าตลาดหุ้นลดลง
ด้าน บล.บีฟิท มีรายได้ 295.95 ล้านบาท ลดลง 26.02% และกำไรสุทธิ 59.95 ล้านบาท ลดลง 58.69% ตามรายได้ค่านายหน้าลดลง ขณะที่รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการนำหุ้นเข้าตลาดปรับเพิ่มขึ้น แต่เนื่องจากบริษัทได้เน้นการซื้อขายผ่าน อินเทอร์เน็ตทำให้มีรายจ่ายพนักงานเพิ่มขึ้น
ส่วนผลประกอบการ งวด 9 เดือน (ต.ค.49-มิ.ย.50) ของ บล.พัฒนสิน มีรายได้ 521.83 ล้านบาท ลดลง 6.34% กำไรสุทธิ 68.69 ล้านบาท ลดลง 24.70% ซึ่งเป็นผลจากค่านายหน้าลดลง ขณะที่มีค่าใช้จ่ายกู้ยืมเงินและค่าธรรมเนียมและบริการจ่ายปรับเพิ่มขึ้น
บทวิเคราะห์ บล.โกลเบล็กคาดการณ์ผลประกอบการไตรมาส 2/50 ของ บล. 7 แห่งที่มีส่วนแบ่งอันดับต้นๆ มีกำไรสุทธิรวม 594 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% แต่จะเพิ่มขึ้นถึง 58% จากไตรมาสก่อน (ดูตาราง) เนื่องจากมูลค่าการซื้อขายเพิ่มขึ้นเฉลี่ยวันละ 15,334 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28% จากไตรมาส 1/50 ตามตลาดหุ้นที่ปรับตัวขึ้น 100 จุด และค่าใช้จ่ายลดลงจากไตรมาสแรกที่จ่ายโบนัสพนักงาน
บล.โกลเบล็ก คาดว่า บล.เคจีไอจะมีกำไร เติบโตสูงสุด 368% จากไตรมาสเดียวกันปีก่อน จากการบันทึกกำไรพอร์ตเงินลงทุนที่เพิ่มขึ้นตามตลาดหุ้น และหากไม่นับรวมรายได้พิเศษดังกล่าว บล.เคจีไอก็สามารถขยายตัวโดดเด่นได้ เพราะไตรมาส 2/50 มีส่วนแบ่งการตลาด (มาร์เก็ตแชร์) เพิ่มขึ้นเป็น 4.41% จากไตรมาส 2/49 ที่อยู่ 3.44%
อย่างไรก็ตาม บล.โกลเบล็กระบุว่า หากเทียบผลประกอบการงวดครึ่งปีแรกของกลุ่มหลักทรัพย์คาดว่า กำไรโดยรวมจะลดลง 35% จึงแนะนำให้ลงทุนหุ้นกลุ่มหลักทรัพย์ช่วงภาวะตลาดหุ้นขาขึ้น โดยสามารถเก็งกำไรได้หากมูลค่าซื้อขายทั้งปีเฉลี่ยวันละ 20,000 ล้านบาทขึ้นไป
นายเอกพิทยา เอี่ยมคงเอก ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายวิจัย บล. บีฟิท กล่าวว่า ผลประกอบการในไตรมาส 2/50 ของกลุ่มหลักทรัพย์เกือบ ทุกบริษัทจะไม่โดดเด่นทั้งในด้านของรายได้และกำไร เนื่องจากยังเป็นช่วงตลาดหุ้นค่อนข้างซบเซาต่อเนื่องโดยไตรมาส 2 ตลาดหุ้นมีมูลค่าการ ซื้อขายเฉลี่ยเหลือวันละ 13,000 ล้านบาท ต่ำกว่าช่วงเดียวกันปีก่อนที่เฉลี่ยวันละ 16,000 ล้านบาท ทำให้รายได้จากค่านายหน้า ซึ่งเป็นรายได้หลักมีสัดส่วน 80-90% ของรายได้รวมของกลุ่มบริษัท หลักทรัพย์ปรับลดลง
นายเอกพิทยาคาดว่า กลุ่มหลักทรัพย์น่าจะมีผลประกอบการโดดเด่นในช่วงไตรมาส 3/50 เนื่องจากเป็นช่วงตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นแรงจากกระแสเงินทุนต่างชาติไหลเข้ามาลงทุนหุ้นไทย จนทำให้มูลค่าซื้อขายรวมเพิ่มเฉลี่ยวันละ 30,000 ล้านบาท ซึ่งหากครึ่งปีหลังมีมูลค่าซื้อขายเฉลี่ย 30,000 ล้านบาทได้ บริษัทจะมีรายได้ค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ค่าพี/อี ของกลุ่มหลักทรัพย์ปรับขึ้นอยู่ที่ระดับ 20 เท่า
นายกิตติ เหมนิลรัตน์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บล. กรุงศรีอยุธยา กล่าวว่า บริษัทจะปรับเพิ่มมูลค่าซื้อขายรวมปี"50 ใหม่เป็นเฉลี่ยวันละ 16,000-17,000 ล้านบาท จากเดิม 13,000-15,000 ล้านบาท ตามภาวะตลาดหุ้นที่ปรับขึ้นแรงในไตรมาส 3/50 โดยให้จับตาดู บล.ที่มีมูลค่าซื้อขายเฉลี่ยวันละ 8,000 ล้านบาทจะส่งผลดีต่อผลประกอบการไตรมาส 3 แต่การลงทุนในหุ้นกลุ่มหลักทรัพย์ส่วนใหญ่จะเก็งกำไรตามภาวะตลาดหุ้น
นายกิตติ วิเคราะห์ถึง บล.ที่มีส่วนแบ่งการ ตลาดอันดับต้นๆ ว่า บล. ภัทร จะมีส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้น แต่จะมีความเสี่ยงเรื่องสัญญาการส่งคำสั่งซื้อขายลูกค้าต่างประเทศกับบริษัทคู่ค้า อย่างเมอร์ริล ลินช์ ซึ่งจะเป็นสัญญารายปี ขณะที่ บล.บัวหลวง จะทำสัญญาระยะยาวกับบริษัทคู่ค้าอย่างมอร์แกน สแตนเลย์ โดยกำหนดอัตราค่านายหน้า 0.15% จากเดิม 0.25% แม้ระยะสั้นรายได้จะลดลง แต่ระยะยาวน่าเห็นผลบวกด้านการส่งเสริมความร่วมมือเชิงธุรกิจมากขึ้นรวมถึงได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีเครื่องมือการลงทุนด้วย อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ราคาหุ้น บล.บัวหลวงได้ปรับเพิ่มขึ้นมาเต็มมูลค่าพื้นฐานหุ้นที่ 12.6 บาทแล้ว
http://www.matichon.co.th/prachachat/pr ... ionid=0206
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news04/08/07
โพสต์ที่ 93
12แบงก์เปิดรับฝากเงินนอกเก็บต๋ง0.25%จ่ายดอก3-4% [ ฉบับที่ 816 ประจำวันที่ 4-8-2007 ถึง 7-8-2007]
ธปท.เผย ปัจจุบันมีแบงก์ที่พร้อมให้บริการเปิดบัญชีเงินฝาก ดอลลาร์แล้ว 12 แห่ง อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3-4% ขณะที่ผู้ว่าฯ ธปท. กล่าวถึงเศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลังว่ายังคงต้องเผชิญกับความไม่สมดุลของเศรษฐกิจโลก
นายสุชาติ สักการโกศล ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายกำกับการแลกเปลี่ยนเงินและสินเชื่อธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าว ว่า หลังจากที่ธปท.ได้อนุญาตให้ประชาชนทั่วไปสามารถมีบัญชีเงินฝากเงินตราต่างประเทศได้ ล่าสุดพบว่ามีธนาคารพาณิชย์ที่พร้อมให้บริการดังกล่าว 12 แห่ง ซึ่งบางแห่ง ได้มีลูกค้ามาใช้บริการแล้วจำนวนหนึ่ง สำหรับอัตราดอกเบี้ยบัญชีเงิน ฝากเงินตราต่างประเทศโดยเฉลี่ยอยู่ระหว่าง 3-4% ส่วนใหญ่จะเป็นบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ แต่ธนาคารพาณิชย์รับฝาก
ทั้งบัญชีกระแสรายวันและบัญชีเงินฝากประจำด้วย กำหนดยอดเงินฝากขั้นต่ำตั้งแต่ 2,000-10,000 เหรียญ และมีค่าธรรมเนียมการฝากประมาณ 0.25%
อัตราดอกเบี้ยโดยเฉลี่ย 3-4% ถือว่าเหมาะสมแม้ดอกเบี้ยสกุลดอลลาร์ในต่างประเทศจะอยู่ที่ 5% แต่หากไปฝากที่ต่างประเทศเมื่อลบต้นทุนออกแล้วดอกเบี้ยที่ได้ก็ไม่ต่างจากในไทยมากนักนายสุชาติ กล่าวว่าธปท.มีแนวคิดที่จะอนุญาตให้กองทุนส่วนบุคคลสามารถนำเงินไปลงทุนยังต่างประเทศได้ จากเดิมที่อนุญาตเฉพาะกองทุนรวมและกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เพราะเท่าที่ดูในขณะนี้พบว่ามีกองทุนส่วนบุคคลที่มีความพร้อมที่จะไปลงทุนต่างประเทศหลายกองทุนคิดเป็นเม็ดเงินรวมกับเกือบแสนล้านบาท
อย่างไรก็ตามการอนุญาตเป็นอำนาจของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่กำกับบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม(บลจ.) ซึ่งการเปิดโอกาสดังกล่าวเป็นไปตามแผนงานของธปท.ที่ต้องการกระจายสินทรัพย์ในไทย ให้ออกไปลงทุนยังต่างประเทศซึ่งจะมีผลทางอ้อม
คือจะทำให้เงินบาทอ่อนลง โดยเร็วๆนี้ธปท.จะขยายวงเงินการไปลงทุนต่างประเทศตามที่ก.ล.ต.ขอมาจากเดิมที่ธปท.อนุมัติไปแล้ว 6.8 พันล้านเหรียญ จะอนุมัติเพิ่มอีก 3.2 พันล้านเหรียญรวมเป็น 1 หมื่นล้านเหรียญ ส่วนจะจัดสรรวงเงินอย่างไรเป็นหน้าที่ของก.ล.ต.
ขณะที่นางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวถึงทิศทางค่าเงินบาทในช่วงของครึ่งหลังของปีนี้ เศรษฐกิจไทยยังคงเผชิญกับปัญหาความไม่สมดุลของเศรษฐกิจโลก (Global Imbalance) ทำให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐยังคงอ่อนค่าลงเรื่อยๆ จนส่งผลให้มีเงินทุนจากต่างประเทศเข้ามายังประเทศในแถบภูมิภาคอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งจากการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยด้วย ซึ่งมีแรงกดดันให้ค่าเงินบาทแข็งค่าต่อเนื่อง
นอกจากนี้ ความเสี่ยงจากการกลับทิศเงินทุนของนักลงทุนต่างชาติที่ใช้เงินทุนจากสกุลเงินที่มีต้นทุนต่ำแสวงหากำไร(Carry Trade) ก็มีโอกาสเป็นไปได้ จึงมีความจำเป็นที่ภาคธุรกิจควรปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตโดยการนำเข้าเครื่องจักร รวมทั้งการผ่อนคลายให้นักลงทุนไทยลงทุนในต่างประเทศมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันมีภาคเอกชนสนใจไปลงทุนต่างประเทศคิดเป็นมูลค่า 1 แสนล้านบาทแล้ว เพื่อเป็นการผ่อนคลายให้เงินไหลออกนอกประเทศ รวมทั้งลดแรงกดดันค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นด้วย
อย่างไรก็ตามตาม ธปท.มองว่าแนวโน้มในปีหน้าคาดว่าค่าเงินบาทจะกลับมาอ่อนค่าลง เนื่องจากการผลักดันให้ภาคธุรกิจมีการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศมากขึ้น รวมทั้งภาคธุรกิจหลายฝ่ายมีการปรับโครงสร้างหนี้ต่างประเทศมากขึ้นจากช่วงที่เงินบาทแข็งค่าของปีนี้
"การที่จะกลับไปใช้นโยบายอัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่อย่างอดีตคงเป็นไปไม่ได้ เพราะปัจจุบันมีเงินตราต่างประเทศที่หมุนเวียนในตลาดโลกถึง 3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ถือว่าสูงมาก และปัจจุบันก็ยังคงมีความผันผวนของจำนวนเงินเหล่านี้อยู่ ส่วนกรณีที่ว่าธปท.เข้าไปแทรกแซงจำนวนมากหรือไม่ในช่วงที่ผ่านมานั้น แม้เงินที่แทรกแซงจำนวนเท่ากัน แต่การดูแลไม่เท่ากัน ซึ่งสิ่งเหล่านี้ขึ้นอยู่กับขนาดของตลาดด้วย"
ขณะเดียวกันภาคธุรกิจเองก็ควรมีการทำสัญญาป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน (เฮดจิ้ง) ด้วย ซึ่งปัจจุบันภาคการส่งออกมีการทำเฮดจิ้งต่อเดือนคิดเป็นมูลค่า 500-1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ดังนั้นภาคธุรกิจควรมีการทำเฮดจิ้งอย่างสม่ำเสมอ เพื่อลดความผันผวนต่างๆ ขณะเดียวกันในการทำธุรกิจควรหันไปทำธุรกิจร่วมกับประเทศที่มีแนวโน้มค่าเงินแข็งค่ามากกว่าจะทำธุรกิจเฉพาะในรูปเงินดอลลาร์เท่านั้น
http://www.siamturakij.com/home/news/di ... ws_id=5291
ธปท.เผย ปัจจุบันมีแบงก์ที่พร้อมให้บริการเปิดบัญชีเงินฝาก ดอลลาร์แล้ว 12 แห่ง อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3-4% ขณะที่ผู้ว่าฯ ธปท. กล่าวถึงเศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลังว่ายังคงต้องเผชิญกับความไม่สมดุลของเศรษฐกิจโลก
นายสุชาติ สักการโกศล ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายกำกับการแลกเปลี่ยนเงินและสินเชื่อธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าว ว่า หลังจากที่ธปท.ได้อนุญาตให้ประชาชนทั่วไปสามารถมีบัญชีเงินฝากเงินตราต่างประเทศได้ ล่าสุดพบว่ามีธนาคารพาณิชย์ที่พร้อมให้บริการดังกล่าว 12 แห่ง ซึ่งบางแห่ง ได้มีลูกค้ามาใช้บริการแล้วจำนวนหนึ่ง สำหรับอัตราดอกเบี้ยบัญชีเงิน ฝากเงินตราต่างประเทศโดยเฉลี่ยอยู่ระหว่าง 3-4% ส่วนใหญ่จะเป็นบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ แต่ธนาคารพาณิชย์รับฝาก
ทั้งบัญชีกระแสรายวันและบัญชีเงินฝากประจำด้วย กำหนดยอดเงินฝากขั้นต่ำตั้งแต่ 2,000-10,000 เหรียญ และมีค่าธรรมเนียมการฝากประมาณ 0.25%
อัตราดอกเบี้ยโดยเฉลี่ย 3-4% ถือว่าเหมาะสมแม้ดอกเบี้ยสกุลดอลลาร์ในต่างประเทศจะอยู่ที่ 5% แต่หากไปฝากที่ต่างประเทศเมื่อลบต้นทุนออกแล้วดอกเบี้ยที่ได้ก็ไม่ต่างจากในไทยมากนักนายสุชาติ กล่าวว่าธปท.มีแนวคิดที่จะอนุญาตให้กองทุนส่วนบุคคลสามารถนำเงินไปลงทุนยังต่างประเทศได้ จากเดิมที่อนุญาตเฉพาะกองทุนรวมและกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เพราะเท่าที่ดูในขณะนี้พบว่ามีกองทุนส่วนบุคคลที่มีความพร้อมที่จะไปลงทุนต่างประเทศหลายกองทุนคิดเป็นเม็ดเงินรวมกับเกือบแสนล้านบาท
อย่างไรก็ตามการอนุญาตเป็นอำนาจของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่กำกับบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม(บลจ.) ซึ่งการเปิดโอกาสดังกล่าวเป็นไปตามแผนงานของธปท.ที่ต้องการกระจายสินทรัพย์ในไทย ให้ออกไปลงทุนยังต่างประเทศซึ่งจะมีผลทางอ้อม
คือจะทำให้เงินบาทอ่อนลง โดยเร็วๆนี้ธปท.จะขยายวงเงินการไปลงทุนต่างประเทศตามที่ก.ล.ต.ขอมาจากเดิมที่ธปท.อนุมัติไปแล้ว 6.8 พันล้านเหรียญ จะอนุมัติเพิ่มอีก 3.2 พันล้านเหรียญรวมเป็น 1 หมื่นล้านเหรียญ ส่วนจะจัดสรรวงเงินอย่างไรเป็นหน้าที่ของก.ล.ต.
ขณะที่นางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวถึงทิศทางค่าเงินบาทในช่วงของครึ่งหลังของปีนี้ เศรษฐกิจไทยยังคงเผชิญกับปัญหาความไม่สมดุลของเศรษฐกิจโลก (Global Imbalance) ทำให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐยังคงอ่อนค่าลงเรื่อยๆ จนส่งผลให้มีเงินทุนจากต่างประเทศเข้ามายังประเทศในแถบภูมิภาคอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งจากการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยด้วย ซึ่งมีแรงกดดันให้ค่าเงินบาทแข็งค่าต่อเนื่อง
นอกจากนี้ ความเสี่ยงจากการกลับทิศเงินทุนของนักลงทุนต่างชาติที่ใช้เงินทุนจากสกุลเงินที่มีต้นทุนต่ำแสวงหากำไร(Carry Trade) ก็มีโอกาสเป็นไปได้ จึงมีความจำเป็นที่ภาคธุรกิจควรปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตโดยการนำเข้าเครื่องจักร รวมทั้งการผ่อนคลายให้นักลงทุนไทยลงทุนในต่างประเทศมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันมีภาคเอกชนสนใจไปลงทุนต่างประเทศคิดเป็นมูลค่า 1 แสนล้านบาทแล้ว เพื่อเป็นการผ่อนคลายให้เงินไหลออกนอกประเทศ รวมทั้งลดแรงกดดันค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นด้วย
อย่างไรก็ตามตาม ธปท.มองว่าแนวโน้มในปีหน้าคาดว่าค่าเงินบาทจะกลับมาอ่อนค่าลง เนื่องจากการผลักดันให้ภาคธุรกิจมีการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศมากขึ้น รวมทั้งภาคธุรกิจหลายฝ่ายมีการปรับโครงสร้างหนี้ต่างประเทศมากขึ้นจากช่วงที่เงินบาทแข็งค่าของปีนี้
"การที่จะกลับไปใช้นโยบายอัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่อย่างอดีตคงเป็นไปไม่ได้ เพราะปัจจุบันมีเงินตราต่างประเทศที่หมุนเวียนในตลาดโลกถึง 3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ถือว่าสูงมาก และปัจจุบันก็ยังคงมีความผันผวนของจำนวนเงินเหล่านี้อยู่ ส่วนกรณีที่ว่าธปท.เข้าไปแทรกแซงจำนวนมากหรือไม่ในช่วงที่ผ่านมานั้น แม้เงินที่แทรกแซงจำนวนเท่ากัน แต่การดูแลไม่เท่ากัน ซึ่งสิ่งเหล่านี้ขึ้นอยู่กับขนาดของตลาดด้วย"
ขณะเดียวกันภาคธุรกิจเองก็ควรมีการทำสัญญาป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน (เฮดจิ้ง) ด้วย ซึ่งปัจจุบันภาคการส่งออกมีการทำเฮดจิ้งต่อเดือนคิดเป็นมูลค่า 500-1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ดังนั้นภาคธุรกิจควรมีการทำเฮดจิ้งอย่างสม่ำเสมอ เพื่อลดความผันผวนต่างๆ ขณะเดียวกันในการทำธุรกิจควรหันไปทำธุรกิจร่วมกับประเทศที่มีแนวโน้มค่าเงินแข็งค่ามากกว่าจะทำธุรกิจเฉพาะในรูปเงินดอลลาร์เท่านั้น
http://www.siamturakij.com/home/news/di ... ws_id=5291
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news06/08/07
โพสต์ที่ 94
แบงก์เครียดแห่สำรอง หวั่นหนี้เน่าครึ่งปีหลัง
โพสต์ทูเดย์ 4 แบงก์ใหญ่แห่ตั้งสำรองเผื่อหนี้สงสัยจะสูญครึ่งปีหลัง กันเหนียวเอ็นพีแอลปูด
นายเดชา ตุลานันท์ กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ กล่าวว่า การตั้งสำรองเผื่อหนี้สงสัยจะสูญในช่วงครึ่งปีหลังจะมากกว่าครึ่งปีแรก และถือว่าเป็นจำนวนที่มากกว่าปีก่อน ซึ่งเป็นการกันสำรองฯ ตามภาวะเศรษฐกิจ ซึ่งอาจมีกรณีปิดโรงงานอย่างบริษัท ไทยศิลป์อาคเนย์ อิมปอร์ต เอ็กซ์ปอร์ต เกิดขึ้นอีก
อย่างไรก็ดี คงไม่กระทบผลการดำเนินงาน เพราะธนาคารทุกแห่งก็ต้องปฏิบัติตามมาตรฐานบัญชีใหม่ (ไอเอเอส 39) เป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นโดยไม่ได้คาดคิดไว้ก่อน ซึ่งยังไม่รู้ว่าหากใช้เกณฑ์บาเซล 2 จะต้องกันสำรองมากขึ้นเท่าใด
นายวิชิต สุรพงษ์ชัย ประธานกรรมการบริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ปีนี้ธนาคารตั้งสำรองฯ เพิ่มเป็นเดือนละ 300 ล้านบาท จากปีก่อนเดือนละ 100 ล้านบาท เนื่องจากมีการประเมินว่า ยังมีความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจ และการเมือง ซึ่งเงินสำรองฯ ระดับนี้คาดว่าเป็นจำนวนที่เพียงพอแล้ว
เป็นการกันสำรองในระดับ ที่เรากันเหนียวไว้แล้ว เพื่อความปลอดภัย นายวิชิต กล่าว
นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า หากธนาคารพิจารณาแล้วว่า ลูกหนี้รายใดควรกันสำรองฯ เพิ่ม ทั้งที่ยังมีการชำระหนี้ และดอกเบี้ยตามปกติ ธนาคารก็จะกันสำรองฯ เพิ่ม โดยพิจารณาจากกิจการของลูกหนี้ในอนาคต ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์การจัดชั้นเชิงคุณภาพ ไม่จำเป็นต้องรอให้เป็นเอ็นพีแอล
ขณะนี้มีบรรยากาศที่จะเกิดเอ็นพีแอลสูง นายประสาร กล่าว
นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า ปีนี้ธนาคารต้องกันสำรองฯ เพิ่ม ซึ่งคาดว่าจะใกล้เคียงกับปีก่อนประมาณกว่า 1 หมื่นล้านบาท เนื่องจากเอ็นพีแอลมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 2 และจะต่อเนื่องไป ยังไตรมาส 3 และ 4 ก่อนถึงจุดสูงสุดของเอ็นพีแอล โดยปีหน้าจะเห็นเอ็นพีแอลทยอยปรับลดได้ตามภาวะเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ เป็นเอ็นพีแอลที่ได้รับ การปรับโครงสร้างหนี้แล้วกลับมาเป็นเอ็นพีแอลใหม่ เนื่องจาก ธุรกิจมีความอ่อนแอ ประกอบกับต้องเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจ ในขณะนี้ จึงทำให้ปีนี้คาดว่า เอ็นพีแอลก่อนหักสำรองเผื่อหนี้สงสัยจะสูญจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากปัจจุบัน 10%
นายอภิศักดิ์ กล่าวว่า ในช่วง 6 เดือนแรก ธนาคารตั้งสำรองฯ ไปแล้ว 6 พันล้านบาท โดยไตรมาสแรกธนาคารได้กันสำรองรวมเครื่องจักรด้วย ที่เหลือจึงเป็นการทยอยสำรองใน 2 ไตรมาสสุดท้าย ซึ่ง การนำเครื่องจักรมาตั้งสำรองฯ ด้วย จะทำให้ปัญหาเอ็นพีแอลของธนาคารในปีหน้าลดลงอย่างชัดเจน โดยปีหน้าคาดว่าจะตั้งสำรองฯ อยู่ในระดับปกติ
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=183264
โพสต์ทูเดย์ 4 แบงก์ใหญ่แห่ตั้งสำรองเผื่อหนี้สงสัยจะสูญครึ่งปีหลัง กันเหนียวเอ็นพีแอลปูด
นายเดชา ตุลานันท์ กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ กล่าวว่า การตั้งสำรองเผื่อหนี้สงสัยจะสูญในช่วงครึ่งปีหลังจะมากกว่าครึ่งปีแรก และถือว่าเป็นจำนวนที่มากกว่าปีก่อน ซึ่งเป็นการกันสำรองฯ ตามภาวะเศรษฐกิจ ซึ่งอาจมีกรณีปิดโรงงานอย่างบริษัท ไทยศิลป์อาคเนย์ อิมปอร์ต เอ็กซ์ปอร์ต เกิดขึ้นอีก
อย่างไรก็ดี คงไม่กระทบผลการดำเนินงาน เพราะธนาคารทุกแห่งก็ต้องปฏิบัติตามมาตรฐานบัญชีใหม่ (ไอเอเอส 39) เป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นโดยไม่ได้คาดคิดไว้ก่อน ซึ่งยังไม่รู้ว่าหากใช้เกณฑ์บาเซล 2 จะต้องกันสำรองมากขึ้นเท่าใด
นายวิชิต สุรพงษ์ชัย ประธานกรรมการบริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ปีนี้ธนาคารตั้งสำรองฯ เพิ่มเป็นเดือนละ 300 ล้านบาท จากปีก่อนเดือนละ 100 ล้านบาท เนื่องจากมีการประเมินว่า ยังมีความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจ และการเมือง ซึ่งเงินสำรองฯ ระดับนี้คาดว่าเป็นจำนวนที่เพียงพอแล้ว
เป็นการกันสำรองในระดับ ที่เรากันเหนียวไว้แล้ว เพื่อความปลอดภัย นายวิชิต กล่าว
นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า หากธนาคารพิจารณาแล้วว่า ลูกหนี้รายใดควรกันสำรองฯ เพิ่ม ทั้งที่ยังมีการชำระหนี้ และดอกเบี้ยตามปกติ ธนาคารก็จะกันสำรองฯ เพิ่ม โดยพิจารณาจากกิจการของลูกหนี้ในอนาคต ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์การจัดชั้นเชิงคุณภาพ ไม่จำเป็นต้องรอให้เป็นเอ็นพีแอล
ขณะนี้มีบรรยากาศที่จะเกิดเอ็นพีแอลสูง นายประสาร กล่าว
นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า ปีนี้ธนาคารต้องกันสำรองฯ เพิ่ม ซึ่งคาดว่าจะใกล้เคียงกับปีก่อนประมาณกว่า 1 หมื่นล้านบาท เนื่องจากเอ็นพีแอลมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 2 และจะต่อเนื่องไป ยังไตรมาส 3 และ 4 ก่อนถึงจุดสูงสุดของเอ็นพีแอล โดยปีหน้าจะเห็นเอ็นพีแอลทยอยปรับลดได้ตามภาวะเศรษฐกิจ
ทั้งนี้ เป็นเอ็นพีแอลที่ได้รับ การปรับโครงสร้างหนี้แล้วกลับมาเป็นเอ็นพีแอลใหม่ เนื่องจาก ธุรกิจมีความอ่อนแอ ประกอบกับต้องเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจ ในขณะนี้ จึงทำให้ปีนี้คาดว่า เอ็นพีแอลก่อนหักสำรองเผื่อหนี้สงสัยจะสูญจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากปัจจุบัน 10%
นายอภิศักดิ์ กล่าวว่า ในช่วง 6 เดือนแรก ธนาคารตั้งสำรองฯ ไปแล้ว 6 พันล้านบาท โดยไตรมาสแรกธนาคารได้กันสำรองรวมเครื่องจักรด้วย ที่เหลือจึงเป็นการทยอยสำรองใน 2 ไตรมาสสุดท้าย ซึ่ง การนำเครื่องจักรมาตั้งสำรองฯ ด้วย จะทำให้ปัญหาเอ็นพีแอลของธนาคารในปีหน้าลดลงอย่างชัดเจน โดยปีหน้าคาดว่าจะตั้งสำรองฯ อยู่ในระดับปกติ
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=183264
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news06/08/07
โพสต์ที่ 95
วายุภักษ์คาด ปีนี้ฟัน9พันล. จ่ายปันผล6%
โพสต์ทูเดย์ วายุภักษ์รับอานิสงส์ต่างชาติลุยตลาดหุ้นฟันกำไร 9 พันล้าน
แหล่งข่าวกองทุนวายุภักษ์ เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของกองทุนวายุภักษ์ 1 ในปี 2550 คาดว่าจะมีกำไรจากการดำเนินงานทั้งปี 9 พันล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่มาจากเงินปันผลจากหุ้นที่กองทุนถืออยู่ ที่เป็นหุ้นพื้นฐานดี โดยเฉพาะหุ้น ปตท.ที่ถืออยู่ 50% ของมูลค่ากองทุน 1 แสนกว่าล้านบาท
นอกจากนี้ กองทุนยังมีรายได้จากดอกเบี้ยตราสารการเงินอีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งเป็นจำนวนส่วนน้อยเมื่อเทียบกับรายได้จากเงินปันผล
แหล่งข่าวเปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานรอบครึ่งปี 2550 กองทุนมีกำไรจากการดำเนินงาน 6 พันล้านบาท ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่ดีมาก ทำให้กองทุนประกาศจ่ายเงินปันผลผู้ถือหน่วยลงทุนไปแล้ว 3% ต่อหน่วยลงทุน เป็นเงินประมาณ 2 พันล้านบาท
โดยในครึ่งปีหลังหากผลการดำเนินงานเป็นไปตามเป้าที่ตั้งไว้ กองทุนก็สามารถจ่ายเงินปันผลได้อีก 3-3.5% ซึ่งจะทำให้การจ่ายเงินปันผลทั้งปีเป็น 6-6.5% เท่ากับการจ่ายเงินปันผลที่ผ่านมา
กองทุนยังมองว่าตลาดหุ้นของไทยยังขยายตัวได้อีกมาก จะเห็นว่านักลงทุนต่างประเทศนำเงินลงทุนเข้ามาลงทุนจำนวนมาก ทำให้ดัชนีปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะเห็นว่าตลาดหุ้นไทยยังให้ผลตอบแทนกว่าประเทศอื่น ซึ่งจะส่งผลดีกับกองทุนวายุภักษ์ให้ได้กำไรมากขึ้นตามไปด้วย แหล่งข่าวเปิดเผย
แหล่งข่าวเปิดเผยว่า สำหรับการจัดตั้งกองทุนวายุภักษ์ 2 กระทรวงการคลังได้สั่งชะลอไว้ก่อน เพราะเป็นเรื่องใหญ่ จึงต้องการให้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งเป็นผู้พิจารณา
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=183262
โพสต์ทูเดย์ วายุภักษ์รับอานิสงส์ต่างชาติลุยตลาดหุ้นฟันกำไร 9 พันล้าน
แหล่งข่าวกองทุนวายุภักษ์ เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของกองทุนวายุภักษ์ 1 ในปี 2550 คาดว่าจะมีกำไรจากการดำเนินงานทั้งปี 9 พันล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่มาจากเงินปันผลจากหุ้นที่กองทุนถืออยู่ ที่เป็นหุ้นพื้นฐานดี โดยเฉพาะหุ้น ปตท.ที่ถืออยู่ 50% ของมูลค่ากองทุน 1 แสนกว่าล้านบาท
นอกจากนี้ กองทุนยังมีรายได้จากดอกเบี้ยตราสารการเงินอีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งเป็นจำนวนส่วนน้อยเมื่อเทียบกับรายได้จากเงินปันผล
แหล่งข่าวเปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานรอบครึ่งปี 2550 กองทุนมีกำไรจากการดำเนินงาน 6 พันล้านบาท ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับที่ดีมาก ทำให้กองทุนประกาศจ่ายเงินปันผลผู้ถือหน่วยลงทุนไปแล้ว 3% ต่อหน่วยลงทุน เป็นเงินประมาณ 2 พันล้านบาท
โดยในครึ่งปีหลังหากผลการดำเนินงานเป็นไปตามเป้าที่ตั้งไว้ กองทุนก็สามารถจ่ายเงินปันผลได้อีก 3-3.5% ซึ่งจะทำให้การจ่ายเงินปันผลทั้งปีเป็น 6-6.5% เท่ากับการจ่ายเงินปันผลที่ผ่านมา
กองทุนยังมองว่าตลาดหุ้นของไทยยังขยายตัวได้อีกมาก จะเห็นว่านักลงทุนต่างประเทศนำเงินลงทุนเข้ามาลงทุนจำนวนมาก ทำให้ดัชนีปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะเห็นว่าตลาดหุ้นไทยยังให้ผลตอบแทนกว่าประเทศอื่น ซึ่งจะส่งผลดีกับกองทุนวายุภักษ์ให้ได้กำไรมากขึ้นตามไปด้วย แหล่งข่าวเปิดเผย
แหล่งข่าวเปิดเผยว่า สำหรับการจัดตั้งกองทุนวายุภักษ์ 2 กระทรวงการคลังได้สั่งชะลอไว้ก่อน เพราะเป็นเรื่องใหญ่ จึงต้องการให้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งเป็นผู้พิจารณา
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=183262
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news06/08/07
โพสต์ที่ 96
ธปท.ปลอบอย่าตื่น หนี้เน่าบ.เครดิตฟองซิเอร์พุ่ง74.7%
แฉบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ ยอด "เอ็นพีแอล"พุ่ง 74.7% "แบงก์ชาติ"การันตีทุกบริษัทกันสำรองหนี้ไว้เพียงพอ ขณะที่ฐานะ เงินกองทุนยังแข็งแกร่ง
นายเกริก วณิกกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) สายนโยบายสถาบันการเงินกล่าวถึงฐานะการเงิน และการดำเนินงานของระบบบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ (บค.) ซึ่งล่าสุด ณ สิ้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา มียอดหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ต่อสินเชื่อรวมสูงถึง 74.7% หรือคิดเป็นเม็ดเงินทั้งสิ้น 422.78 ล้านบาท และมีผลขาดทุนสะสม ณ สิ้นปีที่ผ่านมา 168.2 ล้านบาทว่าเท่าที่ติดตามนั้นระบบบค.ยังมีฐานะการเงินที่ดีเพราะการดูแลฐานะของสถาบันการเงินคงจะดูแต่หนี้เอ็นพีแอลไม่ได้จะต้องดูว่าสถาบันการเงินดังกล่าวมีการกันสำรองหนี้เอ็นพีแอลไว้ครบถ้วนหรือไม่
"ในกรณีของบค.นั้นเท่าที่เห็นน่าจะมีการกันสำรองหนี้เพียงพอกับหนี้เอ็นพีแอลที่มีอยู่ นอกจากนั้นในส่วนของเงินกองทุนของบค.ก็มีจำนวนมากสิ้นปีที่ผ่านมามีเงินกองทุนสูงถึง 1,461 ล้านบาท ผลการดำเนินการน่าจะไม่มีปัญหาที่จะกระทบต่อระบบสถาบันการเงินโดยรวม นอกจากนั้นในขณะนี้ บค.ส่วนใหญ่แทบไม่ได้ปล่อยสินเชื่อใหม่เลยด้วยซ้ำโดยสินเชื่อของระบบ บค.มีน้อยมาก เพียง 0.01-00.2% เทียบกับสินเชื่อทั้งระบบ"
นายเกริกกล่าวต่อว่าการดำเนินการของ บค.ในขณะนี้น่าจะเป็นรูปการดำเนินการเพื่อดูแลสินเชื่อ เก่า และดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้เสียที่มีอยู่มากกว่าการปล่อยสินเชื่อใหม่ซึ่งเป็นเรื่องที่ดี ทำให้ไม่ต้องกังวลถึงฐานะการดำเนินการมากนัก
ส่วนกรณีของบริษัทเงินทุน(บง.)นั้นนายเกริกกล่าวว่ามีเพียง5 แห่งเท่านั้นซึ่งในขณะนี้ยังมีฐานะที่จะดำเนินการต่อไปได้เช่นกันต่อข้อถามที่ว่าธปท.ต้องการที่จะให้ บง.และบค.ที่เหลืออยู่มีการควบรวมกิจการกันเอง หรือควบรวมกับสถาบันการเงินอื่นเพื่อเสริมความเข้มแข็งของระบบ นายเกริก กล่าวว่า เราสนับสนุน แต่คงไม่ไปจัดการให้เป็นการตัดสินใจของธุรกิจเองดีกว่า ถ้าขณะนี้สถาบันการเงินเหล่านี้ยังอยู่ได้ โดยมีเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงเพียงพอมีการกันสำรองหนี้เสีย และการดำเนินการต่างๆ ตามที่ธปท.กำหนดทั้งหมด ก็สามารถเปิดกิจการต่อไปได้ โดยธปท.ไม่ไปกดดัน หรือระบุเวลาให้มีการเปลี่ยนสถานะ
http://www.naewna.com/news.asp?ID=70304
แฉบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ ยอด "เอ็นพีแอล"พุ่ง 74.7% "แบงก์ชาติ"การันตีทุกบริษัทกันสำรองหนี้ไว้เพียงพอ ขณะที่ฐานะ เงินกองทุนยังแข็งแกร่ง
นายเกริก วณิกกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) สายนโยบายสถาบันการเงินกล่าวถึงฐานะการเงิน และการดำเนินงานของระบบบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ (บค.) ซึ่งล่าสุด ณ สิ้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา มียอดหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ต่อสินเชื่อรวมสูงถึง 74.7% หรือคิดเป็นเม็ดเงินทั้งสิ้น 422.78 ล้านบาท และมีผลขาดทุนสะสม ณ สิ้นปีที่ผ่านมา 168.2 ล้านบาทว่าเท่าที่ติดตามนั้นระบบบค.ยังมีฐานะการเงินที่ดีเพราะการดูแลฐานะของสถาบันการเงินคงจะดูแต่หนี้เอ็นพีแอลไม่ได้จะต้องดูว่าสถาบันการเงินดังกล่าวมีการกันสำรองหนี้เอ็นพีแอลไว้ครบถ้วนหรือไม่
"ในกรณีของบค.นั้นเท่าที่เห็นน่าจะมีการกันสำรองหนี้เพียงพอกับหนี้เอ็นพีแอลที่มีอยู่ นอกจากนั้นในส่วนของเงินกองทุนของบค.ก็มีจำนวนมากสิ้นปีที่ผ่านมามีเงินกองทุนสูงถึง 1,461 ล้านบาท ผลการดำเนินการน่าจะไม่มีปัญหาที่จะกระทบต่อระบบสถาบันการเงินโดยรวม นอกจากนั้นในขณะนี้ บค.ส่วนใหญ่แทบไม่ได้ปล่อยสินเชื่อใหม่เลยด้วยซ้ำโดยสินเชื่อของระบบ บค.มีน้อยมาก เพียง 0.01-00.2% เทียบกับสินเชื่อทั้งระบบ"
นายเกริกกล่าวต่อว่าการดำเนินการของ บค.ในขณะนี้น่าจะเป็นรูปการดำเนินการเพื่อดูแลสินเชื่อ เก่า และดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้เสียที่มีอยู่มากกว่าการปล่อยสินเชื่อใหม่ซึ่งเป็นเรื่องที่ดี ทำให้ไม่ต้องกังวลถึงฐานะการดำเนินการมากนัก
ส่วนกรณีของบริษัทเงินทุน(บง.)นั้นนายเกริกกล่าวว่ามีเพียง5 แห่งเท่านั้นซึ่งในขณะนี้ยังมีฐานะที่จะดำเนินการต่อไปได้เช่นกันต่อข้อถามที่ว่าธปท.ต้องการที่จะให้ บง.และบค.ที่เหลืออยู่มีการควบรวมกิจการกันเอง หรือควบรวมกับสถาบันการเงินอื่นเพื่อเสริมความเข้มแข็งของระบบ นายเกริก กล่าวว่า เราสนับสนุน แต่คงไม่ไปจัดการให้เป็นการตัดสินใจของธุรกิจเองดีกว่า ถ้าขณะนี้สถาบันการเงินเหล่านี้ยังอยู่ได้ โดยมีเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงเพียงพอมีการกันสำรองหนี้เสีย และการดำเนินการต่างๆ ตามที่ธปท.กำหนดทั้งหมด ก็สามารถเปิดกิจการต่อไปได้ โดยธปท.ไม่ไปกดดัน หรือระบุเวลาให้มีการเปลี่ยนสถานะ
http://www.naewna.com/news.asp?ID=70304
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news07/08/07
โพสต์ที่ 97
ศาลเบรก ทหารไทยประมูลหุ้น
โพสต์ทูเดย์ ศาลเบรกแบงก์ทหารไทย ขายทอดตลาด 3 หุ้นสินทรัพย์ไทยวา
นายธีรวุฒิ เจริญสุข กรรมการ บริษัท ไทยวา (TWC) รายงานตลาดหลักทรัพย์ว่า กรณีมีประกาศในหนังสือพิมพ์ ระบุ ธนาคารทหารไทยจะขายทอดตลาดหุ้นสามัญของบริษัท ลากูน่า รีสอร์ท แอนด์ โฮเท็ล หุ้นบริษัท ไทยวาฟูด โปรดักส์ และหุ้นสามัญบริษัท ทรอปิคอล รีสอร์ท ในวันที่ 6 ส.ค.นั้น
ต่อมาในวันที่ 3 ส.ค. บริษัท ไทยวา ได้รับหมายแจ้งคําสั่งของศาลล้มละลายกลาง ในคดีหมายเลขดำที่ พก.7/2550 ระหว่าง บริษัท รายัญรีสอร์ท โจทก์ ธนาคารทหารไทย ที่ 1 กับพวก จำเลย โดยศาลล้มละลายกลาง ได้มีคำสั่งดังนี้
ห้ามมิให้ ธนาคารทหารไทย และบริษัท ไทยวา โอนขาย หรือจำหน่ายหุ้นสามัญของบริษัท ลากูน่า รีสอร์ท แอนด์ โฮเท็ล จำนวน 29.44 ล้านหุ้น, หุ้นไทยวาฟูด โปรดักส์ จำนวน 4.32 ล้านหุ้น และหุ้น ทรอปิคอล รีสอร์ท จำนวน 10 ล้านหุ้น จนกว่าศาลจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น
สำหรับบริษัท TWC ประกอบธุรกิจจากพืชผลเกษตร โดยมีสินค้าหลัก คือ ผลิตและจำหน่ายแป้งมันสำปะหลัง ภายใต้เครื่องหมายการค้า ROSE ซึ่งปัจจุบันบริษัทออกจากแผนฟื้นฟูแล้ว
โดยเมื่อวันที่ 17 พ.ค. 2550 ศาลล้มละลายกลางได้พิจารณาแล้วเห็นว่า เนื่องจากระยะเวลาการดำเนินการตามแผนได้สิ้นสุดลง แต่การฟื้นฟูกิจการยังไม่เป็นผลสำเร็จตามแผน จึงมีคำสั่งให้ยกเลิกการฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้
นอกจากนี้ ให้ผู้บริหารของ ลูกหนี้กลับมีอำนาจจัดการกิจการและทรัพย์สินของลูกหนี้ และผู้ถือหุ้นของลูกหนี้กลับมีสิทธิตามกฎหมายต่อไป
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=183443
โพสต์ทูเดย์ ศาลเบรกแบงก์ทหารไทย ขายทอดตลาด 3 หุ้นสินทรัพย์ไทยวา
นายธีรวุฒิ เจริญสุข กรรมการ บริษัท ไทยวา (TWC) รายงานตลาดหลักทรัพย์ว่า กรณีมีประกาศในหนังสือพิมพ์ ระบุ ธนาคารทหารไทยจะขายทอดตลาดหุ้นสามัญของบริษัท ลากูน่า รีสอร์ท แอนด์ โฮเท็ล หุ้นบริษัท ไทยวาฟูด โปรดักส์ และหุ้นสามัญบริษัท ทรอปิคอล รีสอร์ท ในวันที่ 6 ส.ค.นั้น
ต่อมาในวันที่ 3 ส.ค. บริษัท ไทยวา ได้รับหมายแจ้งคําสั่งของศาลล้มละลายกลาง ในคดีหมายเลขดำที่ พก.7/2550 ระหว่าง บริษัท รายัญรีสอร์ท โจทก์ ธนาคารทหารไทย ที่ 1 กับพวก จำเลย โดยศาลล้มละลายกลาง ได้มีคำสั่งดังนี้
ห้ามมิให้ ธนาคารทหารไทย และบริษัท ไทยวา โอนขาย หรือจำหน่ายหุ้นสามัญของบริษัท ลากูน่า รีสอร์ท แอนด์ โฮเท็ล จำนวน 29.44 ล้านหุ้น, หุ้นไทยวาฟูด โปรดักส์ จำนวน 4.32 ล้านหุ้น และหุ้น ทรอปิคอล รีสอร์ท จำนวน 10 ล้านหุ้น จนกว่าศาลจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น
สำหรับบริษัท TWC ประกอบธุรกิจจากพืชผลเกษตร โดยมีสินค้าหลัก คือ ผลิตและจำหน่ายแป้งมันสำปะหลัง ภายใต้เครื่องหมายการค้า ROSE ซึ่งปัจจุบันบริษัทออกจากแผนฟื้นฟูแล้ว
โดยเมื่อวันที่ 17 พ.ค. 2550 ศาลล้มละลายกลางได้พิจารณาแล้วเห็นว่า เนื่องจากระยะเวลาการดำเนินการตามแผนได้สิ้นสุดลง แต่การฟื้นฟูกิจการยังไม่เป็นผลสำเร็จตามแผน จึงมีคำสั่งให้ยกเลิกการฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้
นอกจากนี้ ให้ผู้บริหารของ ลูกหนี้กลับมีอำนาจจัดการกิจการและทรัพย์สินของลูกหนี้ และผู้ถือหุ้นของลูกหนี้กลับมีสิทธิตามกฎหมายต่อไป
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=183443
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news07/08/07
โพสต์ที่ 98
เงินบาทยังคุกรุ่น-เก็งกำไรสนั่น
โพสต์ทูเดย์ ฉลองภพ ยันบาทนอกประเทศแข็ง ไม่มีปัญหากระทบค่าเงินในประเทศที่อ่อนค่าลง
นายฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ รมว.การคลัง กล่าวว่า ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องมีมาตรการออกมาแก้ไขค่าเงินบาทในตลาดต่างประเทศที่แข็งค่ากว่าค่าเงินบาทภายในประเทศ แต่เป็นเรื่องที่ต้องดูอย่างระมัดระวัง เพราะคนสามารถทำกำไรได้จำนวนมาก
นายฉลองภพ กล่าวยืนยันว่า การแข็งค่าของเงินบาทนอกประเทศไม่ได้ส่งผลกระทบกับค่าเงินบาทภายในประเทศ
ค่าเงินบาทนอกและในประเทศ ที่ห่างกัน เป็นเพราะเงินบาทนอกประเทศมีจำนวนน้อย ซึ่งไม่มีปัญหาอะไร เพราะค่าเงินบาทนอกประเทศ ที่แข็งไม่ได้ทำให้ค่าเงินบาทในประเทศแข็ง จะเห็นว่าตอนนี้ค่าเงินบาทในประเทศอ่อนค่าลดลง นายฉลองภพ กล่าว
นายฉลองภพ กล่าวว่า ผลกระทบทางด้านจิตวิทยาที่คนเก็งกันว่าค่าเงินบาทภายในประเทศจะแข็งตามค่าเงินบาทนอกประเทศ เป็นเรื่องที่สามารถอธิบายให้เข้าใจได้ ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
ทั้งนี้ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา นาย สมหมาย ภาษี รมช.การคลัง ได้ออกมาแสดงความเป็นห่วงเรื่องการเก็งกำไรค่าเงินบาทจากส่วนต่างของค่าเงินบาทในประเทศและต่างประเทศสูงถึง 4 บาทต่อเหรียญสหรัฐ
นายสมหมาย ยังได้ให้ความเห็นล่าสุดอีกว่า ส่วนต่างค่าเงินบาทในประเทศและต่างประเทศไม่ส่งผลดีกับประเทศอย่างแน่นอน ไม่มีประเทศไหนเหมือนกับประเทศไทย สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่ไม่น่าดี เป็นเรื่องที่ไม่ดี สะท้อนปัญหาการบริหารค่าเงินของประเทศ ที่ยังมีช่องให้คนเข้ามาเก็งกำไร
ผมต้องการแสดงความเห็นส่วนตัว แต่ไม่ต้องการให้ความเห็นไปมีปัญหาแสดงว่าใครเก่งกว่าใคร หาก ผู้มีอำนาจที่เกี่ยวข้องทั้ง รมว.การคลังและผู้ว่าการ ธปท.เห็นว่าดี ก็ต้องทำไป แล้วเมื่อเวลาผ่านไปก็จะรู้ว่าผิดหรือถูก นายสมหมาย กล่าว
นายสมหมาย กล่าวว่า ในวันที่ 9 ส.ค. สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) จะอภิปรายเรื่องค่าเงินบาทที่มีส่วนต่างกันมาก ผู้อภิปรายเป็นผู้มีความรู้ด้านการเงินการธนาคาร เช่น คุณหญิงชฎา วัฒนศิริธรรม นาย อัมมาร สยามวาลา ซึ่งต้องคอยติดตามว่า สนช.จะมีความคิดเห็นในเรื่องนี้อย่างไร
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=183426
โพสต์ทูเดย์ ฉลองภพ ยันบาทนอกประเทศแข็ง ไม่มีปัญหากระทบค่าเงินในประเทศที่อ่อนค่าลง
นายฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ รมว.การคลัง กล่าวว่า ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องมีมาตรการออกมาแก้ไขค่าเงินบาทในตลาดต่างประเทศที่แข็งค่ากว่าค่าเงินบาทภายในประเทศ แต่เป็นเรื่องที่ต้องดูอย่างระมัดระวัง เพราะคนสามารถทำกำไรได้จำนวนมาก
นายฉลองภพ กล่าวยืนยันว่า การแข็งค่าของเงินบาทนอกประเทศไม่ได้ส่งผลกระทบกับค่าเงินบาทภายในประเทศ
ค่าเงินบาทนอกและในประเทศ ที่ห่างกัน เป็นเพราะเงินบาทนอกประเทศมีจำนวนน้อย ซึ่งไม่มีปัญหาอะไร เพราะค่าเงินบาทนอกประเทศ ที่แข็งไม่ได้ทำให้ค่าเงินบาทในประเทศแข็ง จะเห็นว่าตอนนี้ค่าเงินบาทในประเทศอ่อนค่าลดลง นายฉลองภพ กล่าว
นายฉลองภพ กล่าวว่า ผลกระทบทางด้านจิตวิทยาที่คนเก็งกันว่าค่าเงินบาทภายในประเทศจะแข็งตามค่าเงินบาทนอกประเทศ เป็นเรื่องที่สามารถอธิบายให้เข้าใจได้ ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
ทั้งนี้ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา นาย สมหมาย ภาษี รมช.การคลัง ได้ออกมาแสดงความเป็นห่วงเรื่องการเก็งกำไรค่าเงินบาทจากส่วนต่างของค่าเงินบาทในประเทศและต่างประเทศสูงถึง 4 บาทต่อเหรียญสหรัฐ
นายสมหมาย ยังได้ให้ความเห็นล่าสุดอีกว่า ส่วนต่างค่าเงินบาทในประเทศและต่างประเทศไม่ส่งผลดีกับประเทศอย่างแน่นอน ไม่มีประเทศไหนเหมือนกับประเทศไทย สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่ไม่น่าดี เป็นเรื่องที่ไม่ดี สะท้อนปัญหาการบริหารค่าเงินของประเทศ ที่ยังมีช่องให้คนเข้ามาเก็งกำไร
ผมต้องการแสดงความเห็นส่วนตัว แต่ไม่ต้องการให้ความเห็นไปมีปัญหาแสดงว่าใครเก่งกว่าใคร หาก ผู้มีอำนาจที่เกี่ยวข้องทั้ง รมว.การคลังและผู้ว่าการ ธปท.เห็นว่าดี ก็ต้องทำไป แล้วเมื่อเวลาผ่านไปก็จะรู้ว่าผิดหรือถูก นายสมหมาย กล่าว
นายสมหมาย กล่าวว่า ในวันที่ 9 ส.ค. สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) จะอภิปรายเรื่องค่าเงินบาทที่มีส่วนต่างกันมาก ผู้อภิปรายเป็นผู้มีความรู้ด้านการเงินการธนาคาร เช่น คุณหญิงชฎา วัฒนศิริธรรม นาย อัมมาร สยามวาลา ซึ่งต้องคอยติดตามว่า สนช.จะมีความคิดเห็นในเรื่องนี้อย่างไร
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=183426
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news07/08/07
โพสต์ที่ 99
ฟันธงเฟดตรึงดบ. หมดหวังบาทอ่อน
โพสต์ทูเดย์ ทหารไทย-กสิกรไทยฟันธงเฟดตรึงดอกเบี้ย 5.25% ทำเงินบาทแข็งค่าต่อ
ฝ่ายวิจัยธนาคารทหารไทยเปิดเผยว่า การประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 7 ส.ค. คาดว่าจะยังคงตรึงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่เดิมในอัตรา 5.25% เป็นการตรึงต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 9 นับตั้งแต่เดือน มิ.ย. 2549 ที่มีการปรับอัตราดอกเบี้ยครั้งล่าสุด
สำหรับปัจจัยสำคัญเนื่องจากการที่เศรษฐกิจสหรัฐยังคงขยายตัวในเกณฑ์ดี ทำให้ความจำเป็นที่จะลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจมีโอกาสเกิดขึ้นน้อยลง
อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจสหรัฐยังมีความเสี่ยงจากภาวะเงินเฟ้อ เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก เกินกว่า 75 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ประกอบกับเฟดยังมีความจำเป็นที่จะต้องตรึงอัตราดอกเบี้ยเพื่อดึงเงินลงทุนจากต่างประเทศมาชดเชยกับยอดขาดดุลบัญชีเดินสะพัดวันละประมาณ 2 พันล้านเหรียญสหรัฐ
นอกจากนั้น เฟดยังต้องดำเนินนโยบายการเงินด้วยความระมัดระวัง เพราะอาจจะกระทบต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่กำลังเผชิญกับปัญหาผิดนัดชำระหนี้ของลูกหนี้ประเภทซับไพรม์แม้ว่าจะช่วยลดภาระการผ่อนชำระของลูกหนี้ แต่อีกด้านหนึ่งก็อาจส่งผลเสียต่อภาวะฟองสบู่ในภาคอสังหาริมทรัพย์ และหนี้เสียที่ลามไปยังภาคการเงิน
ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ก็มองในทิศทางเดียวกันว่าเฟดจะตรึงอัตราดอกที่ 5.25% โดยผลกระทบต่อไทยนั้นมองว่า ทิศทางอัตราดอกเบี้ยสหรัฐเป็นปัจจัยหนึ่ง แต่คงจะไม่ใช่ปัจจัยหลักที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) พิจารณา แต่เศรษฐกิจสหรัฐที่มีแนวโน้มชะลอตัวลงอาจจะทำให้เงินเหรียญสหรัฐยังตกอยู่ภายใต้แรงกดดันให้อ่อนค่าลง รวมทั้งเงินบาทของไทยอาจมีแนวโน้มแข็งค่า จะส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออก
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=183495
โพสต์ทูเดย์ ทหารไทย-กสิกรไทยฟันธงเฟดตรึงดอกเบี้ย 5.25% ทำเงินบาทแข็งค่าต่อ
ฝ่ายวิจัยธนาคารทหารไทยเปิดเผยว่า การประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในวันที่ 7 ส.ค. คาดว่าจะยังคงตรึงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่เดิมในอัตรา 5.25% เป็นการตรึงต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 9 นับตั้งแต่เดือน มิ.ย. 2549 ที่มีการปรับอัตราดอกเบี้ยครั้งล่าสุด
สำหรับปัจจัยสำคัญเนื่องจากการที่เศรษฐกิจสหรัฐยังคงขยายตัวในเกณฑ์ดี ทำให้ความจำเป็นที่จะลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจมีโอกาสเกิดขึ้นน้อยลง
อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจสหรัฐยังมีความเสี่ยงจากภาวะเงินเฟ้อ เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก เกินกว่า 75 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ประกอบกับเฟดยังมีความจำเป็นที่จะต้องตรึงอัตราดอกเบี้ยเพื่อดึงเงินลงทุนจากต่างประเทศมาชดเชยกับยอดขาดดุลบัญชีเดินสะพัดวันละประมาณ 2 พันล้านเหรียญสหรัฐ
นอกจากนั้น เฟดยังต้องดำเนินนโยบายการเงินด้วยความระมัดระวัง เพราะอาจจะกระทบต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่กำลังเผชิญกับปัญหาผิดนัดชำระหนี้ของลูกหนี้ประเภทซับไพรม์แม้ว่าจะช่วยลดภาระการผ่อนชำระของลูกหนี้ แต่อีกด้านหนึ่งก็อาจส่งผลเสียต่อภาวะฟองสบู่ในภาคอสังหาริมทรัพย์ และหนี้เสียที่ลามไปยังภาคการเงิน
ขณะที่ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ก็มองในทิศทางเดียวกันว่าเฟดจะตรึงอัตราดอกที่ 5.25% โดยผลกระทบต่อไทยนั้นมองว่า ทิศทางอัตราดอกเบี้ยสหรัฐเป็นปัจจัยหนึ่ง แต่คงจะไม่ใช่ปัจจัยหลักที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) พิจารณา แต่เศรษฐกิจสหรัฐที่มีแนวโน้มชะลอตัวลงอาจจะทำให้เงินเหรียญสหรัฐยังตกอยู่ภายใต้แรงกดดันให้อ่อนค่าลง รวมทั้งเงินบาทของไทยอาจมีแนวโน้มแข็งค่า จะส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออก
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=183495
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news08/08/07
โพสต์ที่ 100
คลังหนุนแก้กม.เงินตรา
ฉลองภพยันดีต่อการแก้ปัญหาค่าเงินเพียบรู้กำไรขาดทุน-วงในหวั่นมือดีใช้อำนาจเกิน
โพสต์ทูเดย์ ฉลองภพ หนุน ธปท. แก้ พ.ร.บ.เงินตราไม่ได้ทำเพื่อกลบเกลื่อนความเสียหาย แต่แก้ไขเพื่อลดความเสี่ยงในการบริหารทุนสำรอง
นายฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ รมว.การคลัง กล่าวว่า การเสนอร่าง พ.ร.บ.เงินตรา ให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะส่งผลดีกับการบริหารของ ธปท.อย่างแน่นอน เนื่องจากปัจจุบันมีปัญหากรณีที่เกิดการขาดทุนจะถูกบันทึกในบัญชีผลประโยชน์ประจำปีของ ธปท. แต่กรณีที่ได้กำไรนั้นกลับไปบันทึกไว้ในบัญชีอื่นๆ
ดังนั้น หากมีการแก้ไขกฎหมายเงินตราก็จะไม่มีปัญหาดังกล่าวอีก
นายฉลองภพ กล่าวว่า นอกจากพ.ร.บ.เงินตรา ที่จะเข้าสู่การพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) แล้ว ยังมี พ.ร.บ.ธนาคารแห่งประเทศไทย กำลังออกมาจากการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา นอกจากกฎหมายการเงินแล้ว กระทรวงการคลังยังต้องเร่งร่างแก้ไข พ.ร.บ.ร่วมทุนรัฐเอกชนปี 2535 เพื่อแก้ไขช่องโหว่การประมูลโครงการของรัฐหมดไป
นางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ได้ชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการการคลัง การธนาคาร และสถาบันการเงิน ให้เห็นว่าการแก้ไข พ.ร.บ.เงินตรานั้น วัตถุประสงค์หลักเพื่อลดความเสี่ยงในการบริหารทุนสำรองระหว่างประเทศ และเพิ่มประสิทธิภาพในการดูแลอัตราแลกเปลี่ยน ไม่ได้มุ่งแก้ไขเพื่อลดหรือปิดบังการขาดทุนจากการดูแลค่าเงินบาทแต่อย่างใด
เรื่องการดูแลไม่ทันแม้กระทั่งตลาดเปิดเช้าทำให้ค่าเงินอ่อนค่าน้อยก็เป็นรายละเอียดในการดูแลเงินบาทรายวัน ธปท.ไม่ต้องการแสดงความเห็นเป็นรายวัน นางธาริษา กล่าว
ทั้งนี้ หากมีการแก้ไข พ.ร.บ.เงินตราตามร่างที่ ธปท.เสนอ จะช่วยให้สามารถบริหารทุนสำรองได้หลากหลายขึ้น สามารถนำเงินทุนสำรองไปลงทุนในสินทรัพย์มากประเภทขึ้น ทำให้ได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้นได้ และสามารถนำเงินผลตอบแทนมาชดเชยความเสียหายจากการเข้าแทรกแซงค่าเงินบาทได้ด้วย แต่กฎหมายเดิมที่ใช้อยู่มีข้อจำกัดเพราะให้ลงทุนได้เฉพาะในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำหรือความเสี่ยงเป็นศูนย์
แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลังเปิดเผยว่า สิ่งที่วิตกคือกฎหมายที่เปิดทางให้ ธปท.มีอำนาจมากเกินไปและกำหนดให้ใช้เงินไปก่อนมาชี้แจงขออนุมัติภายหลังได้ทั้งในการซื้อป้องกันความเสี่ยงค่าเงินในตลาดสวอป ตลาดล่วงหน้า และตลาดสปอต ถ้าเกิดผู้บริหารใช้อำนาจเกินไปจะมีปัญหาในระยะยาว
เนื่องจากในกฎหมายเปิดทางให้ทำได้เต็มที่ ทั้งกำหนดให้ผู้ขายส่งมอบทรัพย์สินและผู้ซื้อชำระราคา ณ เวลาใดเวลาหนึ่งในอนาคต
นอกจากนี้ ยังมอบอำนาจให้ ธปท.เป็นผู้ซื้อขายคืนและผู้ขายซื้อคืน ณ เวลาใดเวลาหนึ่งได้ ตรงนี้คือตัวปัญหาในอำนาจการบริหารทุนสำรองหากไม่ดูให้รอบคอบ
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=183665
ฉลองภพยันดีต่อการแก้ปัญหาค่าเงินเพียบรู้กำไรขาดทุน-วงในหวั่นมือดีใช้อำนาจเกิน
โพสต์ทูเดย์ ฉลองภพ หนุน ธปท. แก้ พ.ร.บ.เงินตราไม่ได้ทำเพื่อกลบเกลื่อนความเสียหาย แต่แก้ไขเพื่อลดความเสี่ยงในการบริหารทุนสำรอง
นายฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ รมว.การคลัง กล่าวว่า การเสนอร่าง พ.ร.บ.เงินตรา ให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะส่งผลดีกับการบริหารของ ธปท.อย่างแน่นอน เนื่องจากปัจจุบันมีปัญหากรณีที่เกิดการขาดทุนจะถูกบันทึกในบัญชีผลประโยชน์ประจำปีของ ธปท. แต่กรณีที่ได้กำไรนั้นกลับไปบันทึกไว้ในบัญชีอื่นๆ
ดังนั้น หากมีการแก้ไขกฎหมายเงินตราก็จะไม่มีปัญหาดังกล่าวอีก
นายฉลองภพ กล่าวว่า นอกจากพ.ร.บ.เงินตรา ที่จะเข้าสู่การพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) แล้ว ยังมี พ.ร.บ.ธนาคารแห่งประเทศไทย กำลังออกมาจากการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกา นอกจากกฎหมายการเงินแล้ว กระทรวงการคลังยังต้องเร่งร่างแก้ไข พ.ร.บ.ร่วมทุนรัฐเอกชนปี 2535 เพื่อแก้ไขช่องโหว่การประมูลโครงการของรัฐหมดไป
นางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ได้ชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการการคลัง การธนาคาร และสถาบันการเงิน ให้เห็นว่าการแก้ไข พ.ร.บ.เงินตรานั้น วัตถุประสงค์หลักเพื่อลดความเสี่ยงในการบริหารทุนสำรองระหว่างประเทศ และเพิ่มประสิทธิภาพในการดูแลอัตราแลกเปลี่ยน ไม่ได้มุ่งแก้ไขเพื่อลดหรือปิดบังการขาดทุนจากการดูแลค่าเงินบาทแต่อย่างใด
เรื่องการดูแลไม่ทันแม้กระทั่งตลาดเปิดเช้าทำให้ค่าเงินอ่อนค่าน้อยก็เป็นรายละเอียดในการดูแลเงินบาทรายวัน ธปท.ไม่ต้องการแสดงความเห็นเป็นรายวัน นางธาริษา กล่าว
ทั้งนี้ หากมีการแก้ไข พ.ร.บ.เงินตราตามร่างที่ ธปท.เสนอ จะช่วยให้สามารถบริหารทุนสำรองได้หลากหลายขึ้น สามารถนำเงินทุนสำรองไปลงทุนในสินทรัพย์มากประเภทขึ้น ทำให้ได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้นได้ และสามารถนำเงินผลตอบแทนมาชดเชยความเสียหายจากการเข้าแทรกแซงค่าเงินบาทได้ด้วย แต่กฎหมายเดิมที่ใช้อยู่มีข้อจำกัดเพราะให้ลงทุนได้เฉพาะในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำหรือความเสี่ยงเป็นศูนย์
แหล่งข่าวจากกระทรวงการคลังเปิดเผยว่า สิ่งที่วิตกคือกฎหมายที่เปิดทางให้ ธปท.มีอำนาจมากเกินไปและกำหนดให้ใช้เงินไปก่อนมาชี้แจงขออนุมัติภายหลังได้ทั้งในการซื้อป้องกันความเสี่ยงค่าเงินในตลาดสวอป ตลาดล่วงหน้า และตลาดสปอต ถ้าเกิดผู้บริหารใช้อำนาจเกินไปจะมีปัญหาในระยะยาว
เนื่องจากในกฎหมายเปิดทางให้ทำได้เต็มที่ ทั้งกำหนดให้ผู้ขายส่งมอบทรัพย์สินและผู้ซื้อชำระราคา ณ เวลาใดเวลาหนึ่งในอนาคต
นอกจากนี้ ยังมอบอำนาจให้ ธปท.เป็นผู้ซื้อขายคืนและผู้ขายซื้อคืน ณ เวลาใดเวลาหนึ่งได้ ตรงนี้คือตัวปัญหาในอำนาจการบริหารทุนสำรองหากไม่ดูให้รอบคอบ
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=183665
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news08/08/07
โพสต์ที่ 101
ธปท.กำชับแบงก์พาณิชย์-คุมกำเนิดตัวเลขเอ็นพีแอล
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 8 สิงหาคม 2550 17:51 น.
ผู้ว่าฯ ธปท.กำชับแบงก์พาณิชย์ ระวังปัญหาเอ็นพีแอลที่กลับมาเพิ่มขึ้น
รายงานข่าวจากธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ระบุว่า วันนี้ (8 ส.ค.) นางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการ ธปท.ได้หารือร่วมกับผู้บริหารของสถาบันการเงินที่ ธปท.เป็นเวลาประมาณ 3 ชั่วโมง ซึ่งภายหลังการหารือ นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ ประธานสมาคมธนาคารไทยและกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า มีการหารือใน 3 เรื่องใหญ่ คือ
1. ประเมินภาวะเศรษฐกิจช่วงต่อไปจะเป็นอย่างไร โดยทาง ธปท.และสถาบันการเงินเห็นตรงกันว่าเศรษฐกิจไตรมาส 2 ดีขึ้น และคาดว่าในช่วงที่เหลือของปีนี้จะดีขึ้นต่อเนื่อง โดยปัจจัยที่เสริมเศรษฐกิจคือการส่งออกที่ขยายตัวได้ดี การบริโภคและการลงทุนเริ่มดีขึ้นจะเป็นแรงเสริมสำหรับเศรษฐกิจ และยังประเมินว่าเศรษฐกิจปี 2551 จะดีขึ้นกว่าเดิม
2. ปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดย ธปท.เป็นห่วงเรื่องนี้และขอให้ธนาคารพาณิชย์ช่วยกันบริหารความเสี่ยง ซึ่งปัญหาเอ็นพีแอลสืบเนื่องมาจากภาวะเศรษฐกิจขาลง อย่างไรก็ตาม เอ็นพีแอลที่เพิ่มขึ้นอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ แต่ ธปท.ได้กำชับธนาคารพาณิชย์อย่าประมาทให้บริหารความเสี่ยงให้ดี
3. ธปท.ให้สถาบันการเงินเตรียมรองรับการใช้แผนพัฒนาระบบสถาบันการเงินฉบับที่ 2 ที่จะเริ่มในปี 2552 - 2557 โดย ธปท.และสถาบันการเงินมีการตั้งคณะทำงานร่วมกันหารือแผนปฏิบัติ ส่วนสถานการณ์ค่าเงินบาทและอัตราดอกเบี้ยนั้น ไม่ได้มีการหารือกันแต่อย่างใด
http://www.manager.co.th/StockMarket/Vi ... 0000093005
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 8 สิงหาคม 2550 17:51 น.
ผู้ว่าฯ ธปท.กำชับแบงก์พาณิชย์ ระวังปัญหาเอ็นพีแอลที่กลับมาเพิ่มขึ้น
รายงานข่าวจากธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ระบุว่า วันนี้ (8 ส.ค.) นางธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการ ธปท.ได้หารือร่วมกับผู้บริหารของสถาบันการเงินที่ ธปท.เป็นเวลาประมาณ 3 ชั่วโมง ซึ่งภายหลังการหารือ นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ ประธานสมาคมธนาคารไทยและกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า มีการหารือใน 3 เรื่องใหญ่ คือ
1. ประเมินภาวะเศรษฐกิจช่วงต่อไปจะเป็นอย่างไร โดยทาง ธปท.และสถาบันการเงินเห็นตรงกันว่าเศรษฐกิจไตรมาส 2 ดีขึ้น และคาดว่าในช่วงที่เหลือของปีนี้จะดีขึ้นต่อเนื่อง โดยปัจจัยที่เสริมเศรษฐกิจคือการส่งออกที่ขยายตัวได้ดี การบริโภคและการลงทุนเริ่มดีขึ้นจะเป็นแรงเสริมสำหรับเศรษฐกิจ และยังประเมินว่าเศรษฐกิจปี 2551 จะดีขึ้นกว่าเดิม
2. ปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดย ธปท.เป็นห่วงเรื่องนี้และขอให้ธนาคารพาณิชย์ช่วยกันบริหารความเสี่ยง ซึ่งปัญหาเอ็นพีแอลสืบเนื่องมาจากภาวะเศรษฐกิจขาลง อย่างไรก็ตาม เอ็นพีแอลที่เพิ่มขึ้นอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ แต่ ธปท.ได้กำชับธนาคารพาณิชย์อย่าประมาทให้บริหารความเสี่ยงให้ดี
3. ธปท.ให้สถาบันการเงินเตรียมรองรับการใช้แผนพัฒนาระบบสถาบันการเงินฉบับที่ 2 ที่จะเริ่มในปี 2552 - 2557 โดย ธปท.และสถาบันการเงินมีการตั้งคณะทำงานร่วมกันหารือแผนปฏิบัติ ส่วนสถานการณ์ค่าเงินบาทและอัตราดอกเบี้ยนั้น ไม่ได้มีการหารือกันแต่อย่างใด
http://www.manager.co.th/StockMarket/Vi ... 0000093005
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news08/08/07
โพสต์ที่ 102
'อภิศักดิ์'เผยธปท.ชี้ครึ่งปีหลังศก.ผงกหัว เอ็นพีแอลลด
8 สิงหาคม พ.ศ. 2550 15:45:00
ประธานสมาคมธนาคารไทยเผยแบงก์ชาติชี้แนวโน้มเศรษฐกิจครึ่งปีหลังถึงปีหน้าเริ่มดีขึ้น ส่งผลให้แนวโน้มหนี้เน่าปรับตัวลดลง
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) (KTB) ในฐานะประธานสมาคมธนาคารไทย กล่าวภายหลังเข้าพบผูบริหารธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในวันนี้ว่า แบงก์ชาติได้รายงานว่าเศรษฐกิจไตรมาส 2 ดูดีขึ้นนิดหน่อย คิดว่าไตรมาส 3 และไตรมาส 4 ค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้น และปีหน้าก็จะดีขึ้น เมื่อเศรษฐกิจดีขึ้นแนวโน้มหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ก็จะปรับตัวลดลง
สำหรับปัจจัยที่ธปท.มองว่าจะทำให้เศรษฐกิจไทยเริ่มปรับตัวดีขึ้นในไตรมาส 3 และ 4 คือตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจยังเป็นภาคการส่งออก การบริโภคและการลงทุน ที่เริ่มเห็นการปรับตัวดีขึ้น
ส่วนตัวเลขเอ็นพีแอลของสถาบันการเงินที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ ธปท.ระบุว่า เป็นช่วงเศรษฐกิจขาลง ทำให้เอ็นพีแอลปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่ธปท.มองว่าธนาคารพาณิชย์ยังสามารถบริหารความเสี่ยงได้ อย่างไรก็ตาม ได้ขอให้สถาบันการเงินดูแลเอ็นพีแอล และอย่าประมาท
กรรมการผู้จัดการธนาคารกรุงไทย และประธานสมาคมธนาคารไทย กล่าวอีกว่า เอ็นพีแอลที่เพิ่มขึ้นช่วงที่ผ่านมา เป็นการเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยไม่ถึง 1% ซึ่งยังเป็นระดับที่ธนาคารพาณิชย์สามารถควบคุมได้
ทั้งนี้ เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ธปท.ระบุว่า ในไตรมาส 2/50 เอ็นพีแอ ลของสถาบันการเงินทั้งระบบ อยู่ที่ 2.54 แสนล้านบาท หรือ 4.41% ของสินเชื่อรวม เพิ่มขึ้นราว 1.4 หมื่นล้านบาท จากไตรมาสแรกที่มีเอ็นพีแอลที่ 4.18% ขณะที่ธปท.ตั้งเป้าลดเอ็นพีแอลปีนี้เหลือ 2%
http://www.bangkokbiznews.com/2007/08/0 ... wsid=88380
8 สิงหาคม พ.ศ. 2550 15:45:00
ประธานสมาคมธนาคารไทยเผยแบงก์ชาติชี้แนวโน้มเศรษฐกิจครึ่งปีหลังถึงปีหน้าเริ่มดีขึ้น ส่งผลให้แนวโน้มหนี้เน่าปรับตัวลดลง
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) (KTB) ในฐานะประธานสมาคมธนาคารไทย กล่าวภายหลังเข้าพบผูบริหารธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในวันนี้ว่า แบงก์ชาติได้รายงานว่าเศรษฐกิจไตรมาส 2 ดูดีขึ้นนิดหน่อย คิดว่าไตรมาส 3 และไตรมาส 4 ค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้น และปีหน้าก็จะดีขึ้น เมื่อเศรษฐกิจดีขึ้นแนวโน้มหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ก็จะปรับตัวลดลง
สำหรับปัจจัยที่ธปท.มองว่าจะทำให้เศรษฐกิจไทยเริ่มปรับตัวดีขึ้นในไตรมาส 3 และ 4 คือตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจยังเป็นภาคการส่งออก การบริโภคและการลงทุน ที่เริ่มเห็นการปรับตัวดีขึ้น
ส่วนตัวเลขเอ็นพีแอลของสถาบันการเงินที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ ธปท.ระบุว่า เป็นช่วงเศรษฐกิจขาลง ทำให้เอ็นพีแอลปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่ธปท.มองว่าธนาคารพาณิชย์ยังสามารถบริหารความเสี่ยงได้ อย่างไรก็ตาม ได้ขอให้สถาบันการเงินดูแลเอ็นพีแอล และอย่าประมาท
กรรมการผู้จัดการธนาคารกรุงไทย และประธานสมาคมธนาคารไทย กล่าวอีกว่า เอ็นพีแอลที่เพิ่มขึ้นช่วงที่ผ่านมา เป็นการเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยไม่ถึง 1% ซึ่งยังเป็นระดับที่ธนาคารพาณิชย์สามารถควบคุมได้
ทั้งนี้ เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ธปท.ระบุว่า ในไตรมาส 2/50 เอ็นพีแอ ลของสถาบันการเงินทั้งระบบ อยู่ที่ 2.54 แสนล้านบาท หรือ 4.41% ของสินเชื่อรวม เพิ่มขึ้นราว 1.4 หมื่นล้านบาท จากไตรมาสแรกที่มีเอ็นพีแอลที่ 4.18% ขณะที่ธปท.ตั้งเป้าลดเอ็นพีแอลปีนี้เหลือ 2%
http://www.bangkokbiznews.com/2007/08/0 ... wsid=88380
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news09/08/07
โพสต์ที่ 103
แบงก์ชี้รายย่อยแห่เก็งกำไรบาท ขนเงินแลกเคาน์เตอร์กินส่วนต่าง
โพสต์ทูเดย์ แบงก์พาณิชย์เผยเคาน์เตอร์แลกเงินในต่างประเทศ ขายเหรียญสหรัฐราคาออฟชอร์ หนุนคนไทยเก็งค่าเงิน
แหล่งข่าวจากธนาคารพาณิชย์แห่งหนึ่ง เปิดเผยว่า ธนาคารได้สำรวจเคาน์เตอร์แลกเงิน ในต่างประเทศ พบว่า แทบทุกแห่งใช้อัตรา แลกเปลี่ยนออฟชอร์ (ต่างประเทศ) ที่ประมาณ 29-30 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ไม่ได้ใช้อัตรา แลกเปลี่ยนที่ระดับออนชอร์ (ในประเทศ)
แหล่งข่าวเปิดเผยว่า ผู้ที่ถือเงินบาทไปแลกเงินเหรียญสหรัฐในต่างประเทศ แล้ว นำเงินกลับมาแลกเป็นเงินบาทในไทย ย่อมได้กำไรจากส่วนต่างระหว่าง 2 ตลาด ประมาณ 3-4 บาทต่อเหรียญสหรัฐ
สำหรับมาตรการใหม่ที่อนุญาตให้บุคคลธรรมดามาเปิดบัญชีเงินฝากเป็นสกุลเงินตราต่างประเทศได้ ยอมรับว่า ทำให้การทำโพยก๊วนคล่องตัวมากขึ้น เพราะลูกค้าไม่จำเป็นต้องมีธุรกรรมมารองรับ ขึ้นอยู่กับว่าลูกค้ารายนั้นๆ จะเก็งกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนหรือไม่
ปริมาณความต้องการซื้อเงินบาทจากบริษัททัวร์มีมากขึ้นผิดปกติ แต่การซื้อขายเงินตราระหว่างประเทศอาจจะมากขึ้นตามบรรยากาศการท่องเที่ยวที่ดีขึ้น เพราะความกังวลเรื่องสึนามิหมดไป และปัญหาภาคใต้ ไม่ทวีความรุนแรงเท่าช่วงที่ผ่านมา แหล่งข่าวระบุ
นายกอบสิทธิ์ ศิลปชัย ผู้บริหารงานวิจัยเศรษฐกิจและตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า การเก็งกำไรจากส่วนต่างค่าเงินบาทใน 2 ตลาด น่าจะมีมานานแล้วตั้งแต่ช่วงแรกๆ ของการแยกออกเป็น 2 ตลาด แต่ถือว่าไม่มาก เพราะรายย่อยถูกจำกัดวงเงินที่จะนำออกนอกประเทศ อีกทั้งยังมีต้นทุน เช่น ค่าเครื่องบิน ประกอบกับอัตราแลกเปลี่ยนที่หน้าเคาน์เตอร์อาจไม่ได้รับอัตราที่ดีเท่ากับอัตราที่ใช้กันระหว่างธนาคาร
หากมีการทำกำไรจากส่วนต่างระหว่าง 2 ตลาดกันมากขึ้น คงได้เห็นส่วนต่างของค่าเงิน ระหว่างเงินบาทในประเทศกับเงินบาทในต่างประเทศแคบลงไปแล้ว ในทางตรงข้ามกลับได้เห็นส่วนต่างระหว่าง 2 ตลาดเพิ่มมากขึ้น นายกอบสิทธิ์ กล่าว
นักค้าเงินจากธนาคารกรุงเทพ กล่าวว่า หลังจากมีมาตรการให้บุคคลธรรมดามาเปิดบัญชีเงินฝากเป็นเงินเหรียญสหรัฐได้ ยังไม่พบว่ามีความต้องการเงินบาทเพิ่มมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=183899
โพสต์ทูเดย์ แบงก์พาณิชย์เผยเคาน์เตอร์แลกเงินในต่างประเทศ ขายเหรียญสหรัฐราคาออฟชอร์ หนุนคนไทยเก็งค่าเงิน
แหล่งข่าวจากธนาคารพาณิชย์แห่งหนึ่ง เปิดเผยว่า ธนาคารได้สำรวจเคาน์เตอร์แลกเงิน ในต่างประเทศ พบว่า แทบทุกแห่งใช้อัตรา แลกเปลี่ยนออฟชอร์ (ต่างประเทศ) ที่ประมาณ 29-30 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ไม่ได้ใช้อัตรา แลกเปลี่ยนที่ระดับออนชอร์ (ในประเทศ)
แหล่งข่าวเปิดเผยว่า ผู้ที่ถือเงินบาทไปแลกเงินเหรียญสหรัฐในต่างประเทศ แล้ว นำเงินกลับมาแลกเป็นเงินบาทในไทย ย่อมได้กำไรจากส่วนต่างระหว่าง 2 ตลาด ประมาณ 3-4 บาทต่อเหรียญสหรัฐ
สำหรับมาตรการใหม่ที่อนุญาตให้บุคคลธรรมดามาเปิดบัญชีเงินฝากเป็นสกุลเงินตราต่างประเทศได้ ยอมรับว่า ทำให้การทำโพยก๊วนคล่องตัวมากขึ้น เพราะลูกค้าไม่จำเป็นต้องมีธุรกรรมมารองรับ ขึ้นอยู่กับว่าลูกค้ารายนั้นๆ จะเก็งกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนหรือไม่
ปริมาณความต้องการซื้อเงินบาทจากบริษัททัวร์มีมากขึ้นผิดปกติ แต่การซื้อขายเงินตราระหว่างประเทศอาจจะมากขึ้นตามบรรยากาศการท่องเที่ยวที่ดีขึ้น เพราะความกังวลเรื่องสึนามิหมดไป และปัญหาภาคใต้ ไม่ทวีความรุนแรงเท่าช่วงที่ผ่านมา แหล่งข่าวระบุ
นายกอบสิทธิ์ ศิลปชัย ผู้บริหารงานวิจัยเศรษฐกิจและตลาดทุน ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า การเก็งกำไรจากส่วนต่างค่าเงินบาทใน 2 ตลาด น่าจะมีมานานแล้วตั้งแต่ช่วงแรกๆ ของการแยกออกเป็น 2 ตลาด แต่ถือว่าไม่มาก เพราะรายย่อยถูกจำกัดวงเงินที่จะนำออกนอกประเทศ อีกทั้งยังมีต้นทุน เช่น ค่าเครื่องบิน ประกอบกับอัตราแลกเปลี่ยนที่หน้าเคาน์เตอร์อาจไม่ได้รับอัตราที่ดีเท่ากับอัตราที่ใช้กันระหว่างธนาคาร
หากมีการทำกำไรจากส่วนต่างระหว่าง 2 ตลาดกันมากขึ้น คงได้เห็นส่วนต่างของค่าเงิน ระหว่างเงินบาทในประเทศกับเงินบาทในต่างประเทศแคบลงไปแล้ว ในทางตรงข้ามกลับได้เห็นส่วนต่างระหว่าง 2 ตลาดเพิ่มมากขึ้น นายกอบสิทธิ์ กล่าว
นักค้าเงินจากธนาคารกรุงเทพ กล่าวว่า หลังจากมีมาตรการให้บุคคลธรรมดามาเปิดบัญชีเงินฝากเป็นเงินเหรียญสหรัฐได้ ยังไม่พบว่ามีความต้องการเงินบาทเพิ่มมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=183899
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news09/08/07
โพสต์ที่ 104
"ฉลองภพ" แจงเหตุเจ๊งค่าเงินบาท ด้อยประสบการณ์-ขาดเครื่องมือคุมกลไกตลาด
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 9 สิงหาคม 2550 19:02 น.
รมว.คลัง แจงเหตุผลการแทรกแซงค่าเงินบาทของ ธปท. เป็นการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้ายอมรับความเสียหายที่เกิดขึ้น เพราะผู้ดูแลมีประสบการณ์น้อย และขาดเครื่องมือดูแลค่าเงิน
นายฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวชี้แจงต่อที่ประชุมสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) วันนี้(9 ส.ค.) เพื่อตอบญัตติอภิปรายซักถามข้อเท็จจริงเรื่องปัญหาค่าเงินบาท โดยระบุว่า รัฐบาลให้ความสำคัญของปัญหาดังกล่าว ถือเป็นปัญหาระดับชาติ โดยได้หารือกับธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ตั้งแต่ช่วงแรกที่เกิดปัญหา พร้อมยืนยันว่าการเข้าไปแทรกแซงค่าเงินบาทของรัฐบาลเป็นการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า เพื่อป้องกันความเสียหายกับระบบเศรษฐกิจ
นายฉลองภพ ยังระบุว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นเพราะตลาดเงินของประเทศกำลังพัฒนาอย่างประเทศไทยเป็นตลาดที่เล็ก เมื่อเกิดการผันผวนของค่าเงินจึงได้รับผลกระทบมากกว่าตลาดใหญ่อย่างประเทศที่พัฒนาแล้ว ประกอบกับผู้ที่อยู่ในระบบเศรษฐกิจไทยก็มีประสบการณ์น้อยในการดูแลความผันผวน
"การแข็งตัวของค่าเงินบาทถือเป็นธรรมชาติของตลาดเงินไม่ใช่การแข็งตัวอย่างผิดปกติ"
รมว.คลัง ยอมรับว่า ประเทศไทยซึ่งถือเป็นประเทศที่มีรายได้ในระดับกลางยังขาดเครื่องมือที่ใช้ดูแลความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาดเงินโลก รวมถึงขาดผู้เชี่ยวชาญที่จะดูแลปัญหา ดังนั้นเมื่อเกิดปัญหาเงินทุนไหลเข้าแม้จะไม่มากแต่กลับส่งผลกระทบอย่างมากต่อทั้งตลาดหุ้นไทย รวมทั้งภาคอสังหาริมทรัพย์
"คนที่อยู่ในระบบเศรษฐกิจของไทย จึงมีปัญหาว่าถ้าเกิดความผันผวนมาก เราไม่ค่อยมีเครื่องมือที่จะใช้ดูแลความเสี่ยงจากความผันผวน ภาคธุรกิจก็มีปัญหา และผู้ที่อยู่ในระบบเศรษฐกิจก็ยังมีความเชี่ยวชาญน้อยที่จะดูแลความเสี่ยงที่เกิดขึ้น"
ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศในวันนี้ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ได้นำรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจเข้าร่วมประชุม โดยการอภิปรายช่วงแรกสมาชิกได้เน้นไปที่ปัญหาการแข็งค่าผิดปกติของค่าเงินบาท และความล้มเหลวในการเข้าไปแทรกแซงค่าเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย โดยมองว่า สาเหตุส่วนหนึ่งเกิดจากการเก็งกำไร ค่าเงิน จึงขอให้รัฐบาลตรวจสอบ และหามาตรการป้องกันกลุ่มบุคคลที่ใช้ประโยชน์จากมาตรการแทรกแซงค่าเงินบาท เพื่อเก็งกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน
อย่างไรก็ตาม การอภิปรายเป็นไปอย่างล่าช้า จนนายมีชัย ฤชุพันธ์ ประธาน สนช.ขอให้สมาชิกอภิปรายอย่างกระชับคนละ 20 นาที เพราะก่อนหน้านี้การอภิปายของแต่ละคนใช้เวลาคนละเกือบ 1 ชั่วโมง ซึ่งอาจทำให้ใช้เวลาการพิจารณาถึง 24.00น.ของวันนี้
http://www.manager.co.th/StockMarket/Vi ... 0000093579
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 9 สิงหาคม 2550 19:02 น.
รมว.คลัง แจงเหตุผลการแทรกแซงค่าเงินบาทของ ธปท. เป็นการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้ายอมรับความเสียหายที่เกิดขึ้น เพราะผู้ดูแลมีประสบการณ์น้อย และขาดเครื่องมือดูแลค่าเงิน
นายฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวชี้แจงต่อที่ประชุมสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) วันนี้(9 ส.ค.) เพื่อตอบญัตติอภิปรายซักถามข้อเท็จจริงเรื่องปัญหาค่าเงินบาท โดยระบุว่า รัฐบาลให้ความสำคัญของปัญหาดังกล่าว ถือเป็นปัญหาระดับชาติ โดยได้หารือกับธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ตั้งแต่ช่วงแรกที่เกิดปัญหา พร้อมยืนยันว่าการเข้าไปแทรกแซงค่าเงินบาทของรัฐบาลเป็นการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า เพื่อป้องกันความเสียหายกับระบบเศรษฐกิจ
นายฉลองภพ ยังระบุว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นเพราะตลาดเงินของประเทศกำลังพัฒนาอย่างประเทศไทยเป็นตลาดที่เล็ก เมื่อเกิดการผันผวนของค่าเงินจึงได้รับผลกระทบมากกว่าตลาดใหญ่อย่างประเทศที่พัฒนาแล้ว ประกอบกับผู้ที่อยู่ในระบบเศรษฐกิจไทยก็มีประสบการณ์น้อยในการดูแลความผันผวน
"การแข็งตัวของค่าเงินบาทถือเป็นธรรมชาติของตลาดเงินไม่ใช่การแข็งตัวอย่างผิดปกติ"
รมว.คลัง ยอมรับว่า ประเทศไทยซึ่งถือเป็นประเทศที่มีรายได้ในระดับกลางยังขาดเครื่องมือที่ใช้ดูแลความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาดเงินโลก รวมถึงขาดผู้เชี่ยวชาญที่จะดูแลปัญหา ดังนั้นเมื่อเกิดปัญหาเงินทุนไหลเข้าแม้จะไม่มากแต่กลับส่งผลกระทบอย่างมากต่อทั้งตลาดหุ้นไทย รวมทั้งภาคอสังหาริมทรัพย์
"คนที่อยู่ในระบบเศรษฐกิจของไทย จึงมีปัญหาว่าถ้าเกิดความผันผวนมาก เราไม่ค่อยมีเครื่องมือที่จะใช้ดูแลความเสี่ยงจากความผันผวน ภาคธุรกิจก็มีปัญหา และผู้ที่อยู่ในระบบเศรษฐกิจก็ยังมีความเชี่ยวชาญน้อยที่จะดูแลความเสี่ยงที่เกิดขึ้น"
ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศในวันนี้ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ได้นำรองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจเข้าร่วมประชุม โดยการอภิปรายช่วงแรกสมาชิกได้เน้นไปที่ปัญหาการแข็งค่าผิดปกติของค่าเงินบาท และความล้มเหลวในการเข้าไปแทรกแซงค่าเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย โดยมองว่า สาเหตุส่วนหนึ่งเกิดจากการเก็งกำไร ค่าเงิน จึงขอให้รัฐบาลตรวจสอบ และหามาตรการป้องกันกลุ่มบุคคลที่ใช้ประโยชน์จากมาตรการแทรกแซงค่าเงินบาท เพื่อเก็งกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน
อย่างไรก็ตาม การอภิปรายเป็นไปอย่างล่าช้า จนนายมีชัย ฤชุพันธ์ ประธาน สนช.ขอให้สมาชิกอภิปรายอย่างกระชับคนละ 20 นาที เพราะก่อนหน้านี้การอภิปายของแต่ละคนใช้เวลาคนละเกือบ 1 ชั่วโมง ซึ่งอาจทำให้ใช้เวลาการพิจารณาถึง 24.00น.ของวันนี้
http://www.manager.co.th/StockMarket/Vi ... 0000093579
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news10/08/07
โพสต์ที่ 105
กบข.ซื้อหุ้นบลจ.นครหลวง40%
โดย มติชน วัน ศุกร์ ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2550 08:51 น.
นายชัยวัฒน์ อุทัยวรรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารนครหลวงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) จะเข้ามาเป็นผู้ร่วมทุนเชิงกลยุทธ์ในบริษัท หลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) นครหลวงไทย จำกัด โดย บลจ.นครหลวงไทย จะเพิ่มทุนจาก 170 ล้านบาท เป็น 300 ล้านบาท มูลค่าหุ้นที่ตราไว้หุ้นละ 10 บาท โดยเสนอขายให้กับกบข. 12 ล้านหุ้น หรือ 120 ล้านบาท และธนาคารซื้อหุ้นเพิ่มทุน 1 ล้านหุ้น หรือ 10 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้สัดส่วนการถือหุ้นใน บลจ.นครหลวงไทย เปลี่ยนเป็นธนาคาร 60% และ กขบ.อีก 40%
http://news.sanook.com/economic/economic_167180.php
โดย มติชน วัน ศุกร์ ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2550 08:51 น.
นายชัยวัฒน์ อุทัยวรรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารนครหลวงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) จะเข้ามาเป็นผู้ร่วมทุนเชิงกลยุทธ์ในบริษัท หลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) นครหลวงไทย จำกัด โดย บลจ.นครหลวงไทย จะเพิ่มทุนจาก 170 ล้านบาท เป็น 300 ล้านบาท มูลค่าหุ้นที่ตราไว้หุ้นละ 10 บาท โดยเสนอขายให้กับกบข. 12 ล้านหุ้น หรือ 120 ล้านบาท และธนาคารซื้อหุ้นเพิ่มทุน 1 ล้านหุ้น หรือ 10 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้สัดส่วนการถือหุ้นใน บลจ.นครหลวงไทย เปลี่ยนเป็นธนาคาร 60% และ กขบ.อีก 40%
http://news.sanook.com/economic/economic_167180.php
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news10/08/07
โพสต์ที่ 106
หุ้นกลุ่มแบงก์ร่วง2% ตื่นข่าว4แบงก์ไทยลงทุนCDO
10 สิงหาคม พ.ศ. 2550 11:13:00
ดัชนีหุ้นกลุ่มธนาคารร่วงกว่า 2% แม้โบรกเกอร์มองว่ากรณีธนาคารพาณิชย์ไทย 4 แห่งลงทุนใน CDO นั้นจะถูกกระทบไม่มาก
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : ดัชนีกลุ่มแบงก์ ร่วงลง 2.04% ในเช้านี้ ขณะที่ดัชนีหุ้นไทยลดลง 1.99% นำโดยหุ้นธนาคารกรุงเทพ (BBL) ลดลง 2.52% มาที่ 116 บาท ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) ลดลง 1.91% มาที่ 77 บาท
ธนาคารกรุงไทย (KTB) ลดลง 0.91% มาที่ 10.90 บาท ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) ลดลง 1.78% มาที่ 24.80 บาท และธนาคารไทยธนาคาร (BT) ลบ 3.64% มาที่ 3.18 บาท
วานนี้ (9 ส.ค.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ออกมาระบุว่า มีธนาคารพาณิชย์ของไทย 4 แห่งที่ลงทุนใน CDO มูลค่ารวม 715 ล้านดอลลาร์ คิดเป็นสัดส่วนลงทุนราว 0.6% ของสินทรัพย์ทั้งหมดของ 4 ธนาคาร ขณะที่ในส่วนนี้เป็นการลงทุนในซับไพร์มไม่ถึง 0.1%
ขณะที่บล.กสิกรไทย ระบุว่า ธนาคารทั้ง 4 แห่งที่ลงทุนใน CDO นั้น BT ลงทุนมากสุดที่ 420 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นการลงทุนในซับไพร์ม 50 ล้านดอลลาร์, KTB ลงทุน 160 ล้านดอลลาร์, BAY ลงทุน 80 ล้านดอลลาร์ และ BBL มี 50 ล้านดอลลาร์
"คาดว่าการลงทุนในตราสารประเภท CDO จะไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ ต่อฐานะและกำไรของธนาคารดังกล่าว ยกเว้น BT เนื่องจากธนาคารส่วนใหญ่ลงทุนในตราสารที่มีเรทติ้งระดับ Investment grade ที่มีความเสี่ยงไม่สูง" กสิกรไทย ระบุในบทวิเคราะห์
กสิกรไทย จึงมองว่า ไม่มีความจำเป็นต้องตั้งสำรองเผื่อการด้อยค่า และธนาคารส่วนใหญ่ไม่ได้ลงทุนตลาดซับไพร์ม CDO อีกทั้งส่วนใหญ่เป็นการถือจนครบกำหนด ที่ไม่ต้องมีการ mark to market ตามราคาตลาดจนกว่าจะขายจริง
โดยเห็นว่า BBL จะกระทบต่ำที่สุด เนื่องจากมีสำรองส่วนเกินค่อนข้างมาก มีการลงทุนใน CDO ไม่สูงและมีเงินกองทุนในระดับสูง รองลงมาได้แก่ BAY และ KTB
กสิกรไทย ยังคงแนะนำ"ซื้อ" BBL และ BAY และคงแนะนำ "ขาย" KTB และ BT โดยเฉพาะ BT ที่เป็นธนาคารแห่งเดียวที่มีการลงทุนในซับไพร์ม CDO ที่คาดว่าจะต้องมีการกันสำรองเพิ่มขึ้นอีกมากในครึ่งหลังปีหลัง หลังได้ตั้งสำรองไปเพียง 8 ล้านดอลลาร์ จากวงเงินลงทุนในซับไพร์ม CDO ทั้งหมด 50 ล้านดอลลาร์
http://www.bangkokbiznews.com/2007/08/1 ... wsid=88755
10 สิงหาคม พ.ศ. 2550 11:13:00
ดัชนีหุ้นกลุ่มธนาคารร่วงกว่า 2% แม้โบรกเกอร์มองว่ากรณีธนาคารพาณิชย์ไทย 4 แห่งลงทุนใน CDO นั้นจะถูกกระทบไม่มาก
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : ดัชนีกลุ่มแบงก์ ร่วงลง 2.04% ในเช้านี้ ขณะที่ดัชนีหุ้นไทยลดลง 1.99% นำโดยหุ้นธนาคารกรุงเทพ (BBL) ลดลง 2.52% มาที่ 116 บาท ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) ลดลง 1.91% มาที่ 77 บาท
ธนาคารกรุงไทย (KTB) ลดลง 0.91% มาที่ 10.90 บาท ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) ลดลง 1.78% มาที่ 24.80 บาท และธนาคารไทยธนาคาร (BT) ลบ 3.64% มาที่ 3.18 บาท
วานนี้ (9 ส.ค.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ออกมาระบุว่า มีธนาคารพาณิชย์ของไทย 4 แห่งที่ลงทุนใน CDO มูลค่ารวม 715 ล้านดอลลาร์ คิดเป็นสัดส่วนลงทุนราว 0.6% ของสินทรัพย์ทั้งหมดของ 4 ธนาคาร ขณะที่ในส่วนนี้เป็นการลงทุนในซับไพร์มไม่ถึง 0.1%
ขณะที่บล.กสิกรไทย ระบุว่า ธนาคารทั้ง 4 แห่งที่ลงทุนใน CDO นั้น BT ลงทุนมากสุดที่ 420 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นการลงทุนในซับไพร์ม 50 ล้านดอลลาร์, KTB ลงทุน 160 ล้านดอลลาร์, BAY ลงทุน 80 ล้านดอลลาร์ และ BBL มี 50 ล้านดอลลาร์
"คาดว่าการลงทุนในตราสารประเภท CDO จะไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ ต่อฐานะและกำไรของธนาคารดังกล่าว ยกเว้น BT เนื่องจากธนาคารส่วนใหญ่ลงทุนในตราสารที่มีเรทติ้งระดับ Investment grade ที่มีความเสี่ยงไม่สูง" กสิกรไทย ระบุในบทวิเคราะห์
กสิกรไทย จึงมองว่า ไม่มีความจำเป็นต้องตั้งสำรองเผื่อการด้อยค่า และธนาคารส่วนใหญ่ไม่ได้ลงทุนตลาดซับไพร์ม CDO อีกทั้งส่วนใหญ่เป็นการถือจนครบกำหนด ที่ไม่ต้องมีการ mark to market ตามราคาตลาดจนกว่าจะขายจริง
โดยเห็นว่า BBL จะกระทบต่ำที่สุด เนื่องจากมีสำรองส่วนเกินค่อนข้างมาก มีการลงทุนใน CDO ไม่สูงและมีเงินกองทุนในระดับสูง รองลงมาได้แก่ BAY และ KTB
กสิกรไทย ยังคงแนะนำ"ซื้อ" BBL และ BAY และคงแนะนำ "ขาย" KTB และ BT โดยเฉพาะ BT ที่เป็นธนาคารแห่งเดียวที่มีการลงทุนในซับไพร์ม CDO ที่คาดว่าจะต้องมีการกันสำรองเพิ่มขึ้นอีกมากในครึ่งหลังปีหลัง หลังได้ตั้งสำรองไปเพียง 8 ล้านดอลลาร์ จากวงเงินลงทุนในซับไพร์ม CDO ทั้งหมด 50 ล้านดอลลาร์
http://www.bangkokbiznews.com/2007/08/1 ... wsid=88755
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news11/08/07
โพสต์ที่ 107
แบงก์ปรับตัว วิ่งหารายย่อย พุ่งพรวด21%
โพสต์ทูเดย์ วิชิต ชี้ 10 ปีหลังวิกฤต สถาบันการเงินลดความเสี่ยง หันปล่อยสินเชื่อรายย่อย
นายวิชิต สุรพงษ์ชัย ประธานกรรมการบริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงของธุรกิจธนาคารพาณิชย์หลังเกิดวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 คือการหันมาเน้นปล่อยสินเชื่อให้ลูกค้ารายย่อยมากขึ้น จนสัดส่วนสินเชื่อรายย่อยของระบบเพิ่มเป็น 21% จากอดีตที่ 15%
โดยเฉพาะธนาคารไทยพาณิชย์ มีสัดส่วนสินเชื่อรายย่อยเพิ่มเป็น 41% จากเดิม 18% เพราะได้บทเรียนที่สำคัญว่า เมื่อเศรษฐกิจย่ำแย่การกระจุกตัวของลูกค้ารายใหญ่ไม่กี่รายทำให้ธุรกิจธนาคารเสียหายหนัก
นอกจากนี้ ธนาคารพาณิชย์ยังเรียนรู้ที่จะรู้จักลูกค้าของตัวเองมากขึ้น จากเดิมที่การปล่อยกู้จะเน้นพิจารณาตัวโครงการและหลักประกัน แต่ปัจจุบันหันมาเน้นที่กระแสเงินสดผู้กู้มากขึ้น
นายวิชิต กล่าวว่า ธนาคารพาณิชย์สามารถฟื้นตัวได้จากวิกฤตเศรษฐกิจจนมีความเข้มแข็ง เงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงโดยเฉลี่ยเพิ่มจาก 8.01% ในยุควิกฤตเศรษฐกิจ มาเป็น 14.14% ในปัจจุบัน
อนาคตจะมีการเปิดเสรีทางการเงิน พร้อมกับคู่แข่งขันจากต่างชาติ เข้ามา และอาจนำมาซึ่งความจำเป็นของการควบรวมกิจการ เพื่อให้มีขนาดที่ใหญ่พอจะแข่งขัน หลายๆ ธนาคารคงมุ่งไปเป็นธนาคารเต็มรูปแบบ แต่ก็อาจมีบางธนาคารที่ยังต้องการเป็นธนาคารที่เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน นายวิชิต กล่าว
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=184327
โพสต์ทูเดย์ วิชิต ชี้ 10 ปีหลังวิกฤต สถาบันการเงินลดความเสี่ยง หันปล่อยสินเชื่อรายย่อย
นายวิชิต สุรพงษ์ชัย ประธานกรรมการบริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงของธุรกิจธนาคารพาณิชย์หลังเกิดวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 คือการหันมาเน้นปล่อยสินเชื่อให้ลูกค้ารายย่อยมากขึ้น จนสัดส่วนสินเชื่อรายย่อยของระบบเพิ่มเป็น 21% จากอดีตที่ 15%
โดยเฉพาะธนาคารไทยพาณิชย์ มีสัดส่วนสินเชื่อรายย่อยเพิ่มเป็น 41% จากเดิม 18% เพราะได้บทเรียนที่สำคัญว่า เมื่อเศรษฐกิจย่ำแย่การกระจุกตัวของลูกค้ารายใหญ่ไม่กี่รายทำให้ธุรกิจธนาคารเสียหายหนัก
นอกจากนี้ ธนาคารพาณิชย์ยังเรียนรู้ที่จะรู้จักลูกค้าของตัวเองมากขึ้น จากเดิมที่การปล่อยกู้จะเน้นพิจารณาตัวโครงการและหลักประกัน แต่ปัจจุบันหันมาเน้นที่กระแสเงินสดผู้กู้มากขึ้น
นายวิชิต กล่าวว่า ธนาคารพาณิชย์สามารถฟื้นตัวได้จากวิกฤตเศรษฐกิจจนมีความเข้มแข็ง เงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงโดยเฉลี่ยเพิ่มจาก 8.01% ในยุควิกฤตเศรษฐกิจ มาเป็น 14.14% ในปัจจุบัน
อนาคตจะมีการเปิดเสรีทางการเงิน พร้อมกับคู่แข่งขันจากต่างชาติ เข้ามา และอาจนำมาซึ่งความจำเป็นของการควบรวมกิจการ เพื่อให้มีขนาดที่ใหญ่พอจะแข่งขัน หลายๆ ธนาคารคงมุ่งไปเป็นธนาคารเต็มรูปแบบ แต่ก็อาจมีบางธนาคารที่ยังต้องการเป็นธนาคารที่เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน นายวิชิต กล่าว
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=184327
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news11/08/07
โพสต์ที่ 108
ธปท.โต้ขนเงินฟันกำไรค่าบาท ทำยากมีต้นทุน
โพสต์ทูเดย์ ธปท.ยันเก็งกำไรค่าบาทด้วยวิธีหิ้วเงินรอบชายแดนและบัตรเครดิตทำยาก เพราะมีต้นทุนสูง
นายสุชาติ สักการโกศล ผู้อำนวยการ ฝ่ายกำกับสินอัตราแลกเปลี่ยน และสินเชื่อธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า การเก็งกำไรผ่านธุรกรรมในลักษณะหิ้วเงินข้ามประเทศแถบชายแดนหรือผ่านบัตรเครดิตเหมือนที่สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) อภิปรายเกิดขึ้นได้ยาก
หากมีการทำกันจริงนักค้าเงินคงขาดทุน เนื่องจากอัตราค่าเงินบาทที่สนช. อ้างถึง น่าจะเป็นอัตราที่ธนาคารพาณิชย์ใช้แลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศระหว่างธนาคารพาณิชย์เอง ไม่ใช่อัตรา ที่ให้กับประชาชนที่เป็นลูกค้าทั่วไป
อัตราที่บุคคลทั่วไปไม่สูงขนาดต่างกันถึง 3-4 บาท และการเก็งกำไรลักษณะนี้ไม่น่าจะคุ้มค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายอื่นๆ หากเก็งกำไรลักษณะนี้จริง คงทำให้อัตราของ 2 ตลาดแคบเข้าหากันมากกว่านี้แล้ว ซึ่งปัจจุบันยังไม่เห็น อย่างไรก็ตาม ที่ สนช.ออกมาพูดถึงนั้น เรายินดีที่จะรับฟังความคิดเห็น และเห็นว่าสามารถทำได้ นายสุชาติ กล่าว
ทั้งนี้ ในวันพฤหัสบดีที่ 16 ส.ค. นี้ ธปท.จะชี้เตรียมชี้แจงรายละเอียดให้สาธารณะชนได้ทราบอีกครั้ง รวมทั้งกรณีบัตรเครดิตด้วย
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=184347
โพสต์ทูเดย์ ธปท.ยันเก็งกำไรค่าบาทด้วยวิธีหิ้วเงินรอบชายแดนและบัตรเครดิตทำยาก เพราะมีต้นทุนสูง
นายสุชาติ สักการโกศล ผู้อำนวยการ ฝ่ายกำกับสินอัตราแลกเปลี่ยน และสินเชื่อธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า การเก็งกำไรผ่านธุรกรรมในลักษณะหิ้วเงินข้ามประเทศแถบชายแดนหรือผ่านบัตรเครดิตเหมือนที่สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) อภิปรายเกิดขึ้นได้ยาก
หากมีการทำกันจริงนักค้าเงินคงขาดทุน เนื่องจากอัตราค่าเงินบาทที่สนช. อ้างถึง น่าจะเป็นอัตราที่ธนาคารพาณิชย์ใช้แลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศระหว่างธนาคารพาณิชย์เอง ไม่ใช่อัตรา ที่ให้กับประชาชนที่เป็นลูกค้าทั่วไป
อัตราที่บุคคลทั่วไปไม่สูงขนาดต่างกันถึง 3-4 บาท และการเก็งกำไรลักษณะนี้ไม่น่าจะคุ้มค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายอื่นๆ หากเก็งกำไรลักษณะนี้จริง คงทำให้อัตราของ 2 ตลาดแคบเข้าหากันมากกว่านี้แล้ว ซึ่งปัจจุบันยังไม่เห็น อย่างไรก็ตาม ที่ สนช.ออกมาพูดถึงนั้น เรายินดีที่จะรับฟังความคิดเห็น และเห็นว่าสามารถทำได้ นายสุชาติ กล่าว
ทั้งนี้ ในวันพฤหัสบดีที่ 16 ส.ค. นี้ ธปท.จะชี้เตรียมชี้แจงรายละเอียดให้สาธารณะชนได้ทราบอีกครั้ง รวมทั้งกรณีบัตรเครดิตด้วย
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=184347
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news13/08/07
โพสต์ที่ 109
ใต้ฝุ่นเอ็นพีแอลกระหน่ำ 3 แบงก์รัฐ - 13/8/2550
ใต้ฝุ่นเอ็นพีแอลกระหน่ำ 3 แบงก์รัฐ
++ ครึ่งหลังควักกระเป๋าสำรอง 1.6 หมื่นล.
ธนาคารทหารไทย-กรุงไทย-ไทยธนาคาร อ่วม! ครึ่งปีหลังยังต้องสำรองหนี้เสียอีกกว่า 1.6 หมื่นล้านบาท กระอักพิษไอเอเอส 39 เอ็นพีแอลไหลย้อนกลับ และถูกบีบจัดชั้นหนี้เชิงคุณภาพ ขณะที่แบงก์อื่นลอยตัวสำรองเบาหวิว เหตุโหมใส่เงินไปตั้งแต่ครึ่งปีแรก ขณะที่นายแบงก์พลิกตำราพัลวันรับมือเอ็นพีแอลพุ่ง ทั้งออกมาตรการคุมเข้มปล่อยสินเชื่อ จับตาธุรกิจเสี่ยงใกล้ชิด และชิงตั้งสำรองตั้งแต่ยังไม่เป็นหนี้เสีย
กลายเป็นดีเปรสชั่นที่กระหน่ำตรงมายัง ธนาคารพาณิชย์ เมื่อ ผู้บริหารธนาคารหลายรายออกมายอมรับว่า ปัญหาหนี้เสีย (เอ็นพีแอล) กำลังจะกลับมาอีกครั้ง
โดยเฉพาะครึ่งปีหลังอาจจะมาถึงจุดที่ ดีเปรสชั่น ขยายตัวกลายเป็น ใต้ฝุ่น ! (ปัญหาแรงขึ้น)
อนาคตท่ามกลางใต้ฝุ่นเอ็นพีแอลที่พร้อมพัดกระหน่ำ จะทำให้ธนาคารต้องหาเงินมาตั้งสำรองหนี้อีกมากน้อยเพียงใด..จะส่งผลกระทบต่อฐานะของแบงก์หรือไม่ และธนาคารมีวิธีแก้ไขปัญหาอย่างไร... สยามรัฐ จะเป็นผู้ไขคำตอบ
++ แบงก์รับสภาพหนี้เสียพุ่ง
ภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซา จนธุรกิจต้องปิดกิจการไปกว่า1,000 แห่ง คือ หนึ่งในปัจจัยหลักที่ทำให้ผู้บริหารธนาคารเริ่มหวาดผวา กับความสามารถในการชำระหนี้ที่ลดน้อยลงของลูกหนี้
หากลูกหนี้รายใดอ่อนแรงจนค้างชำระ 3 เดือน กลายเป็นหนี้เสีย นั้นหมายถึงเป็นภาระของธนาคารที่ต้องหาเงินมาตั้งสำรองเต็ม 100% ของสินเชื่อ (ตามมาตรฐานไอเอเอส 39 ขั้นที่ 3) ซึ่งในที่สุดก็อาจลุกลามจนส่งผลกระทบต่อผลประกอบการและฐานะของธนาคารตามมาเป็นลูกโซ่
อภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกรุงไทย ยอมรับโดยดุษฎีว่า เอ็นพีแอลของธนาคารมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 2 ที่ผ่านมา และจะต่อเนื่องไปยังไตรมาส 3 และ 4 ก่อนถึงจุดสูงสุดของเอ็นพีแอลในปีนี้ ก่อนที่จะให้และจะทยอยลดลงในปีหน้า
สอดคล้องกับความเห็นของ ประสาร ไตรรัตน์วรกุล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย ที่ระบุว่า ขณะนี้มีบรรยากาศที่จะเกิดเอ็นพีแอลสูง
ขณะที่ตัวเลขของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ก็ยืนยันชัดเจนว่า เอ็นพีแอล ในช่วงไตรมาส 2 ของธนาคารที่จดทะเบียนในประเทศเพิ่มขึ้นจากไตรมาสแรกจำนวน 1.42 หมื่นล้านบาท มาอยู่ที่ 2.49 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากภาวะเศรษฐกิจของประเทศที่ชะลอตัวลง ทำให้ความสามารถในการชำระหนี้ของประชาชนลดลง
สยามรัฐ รวบรวมตัวเลขการตั้งสำรองหนี้เอ็นพีแอลของธนาคารพาณิชย์จำนวน 8 แห่ง ประกอบด้วย ธนาคารกรุงเทพ กรุงไทย ไทยพาณิชย์ กสิกรไทย ทหารไทย กรุงศรีอยุธยา นครหลวงไทย และไทยธนาคาร พบว่าครึ่งแรกตั้งสำรองหนี้เอ็นพีแอลไปแล้วกว่า 38,643 ล้านบาท
ขณะที่ครึ่งปีหลังมีโอกาสที่ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ จะต้องตั้งสำรองรวมกันประมาณ 2.62 หมื่นล้านบาท โดยเฉพาะ 3 แบงก์รัฐ ธนาคารทหารไทย กรุงไทย ไทยธนาคาร จะต้องตั้งสำรองรวมกว่า 1.6 หมื่นล้านบาท
++ ทหารไทยเผชิญวิกฤตไอเอเอส 39 เฟส 3
ต้องจับตา ธนาคารทหารไทย ที่นักวิเคราะห์ ประสานเสียงว่า จะต้องตั้งสำรองในครึ่งปีหลังถึง 7 พันล้านบาท เม็ดเงินจำนวนนี้ อาจกระหน่ำซ้ำเติมฐานะของแบงก์ที่วันนี้สั่นคลอนอยู่แล้วให้มากขึ้น
ปัญหาเกิดจากความขัดแย้งในองค์กร และความล่าช้าในการเพิ่มทุนจำนวน 3.5 หมื่นล้านบาท ที่ทำให้ธนาคารต้องติดอันดับบ๊วย กลายเป็นธนาคารแห่งเดียวที่ยังไม่ได้ตั้งสำรอง ตามมาตรฐานบัญชีไอเอเอส 39 ขั้นที่ 3 ที่กำหนดให้ธนาคารต้องตั้งสำรองลูกหนี้เอ็นพีแอลที่ค้างชำระ 3-6 เดือน 100% ภายในสิ้นปีนี้
นอกจากนั้นยังต้องเผชิญกับปัญหาการจัดชั้นลูกหนี้เชิงคุณภาพ รวมทั้งลูกหนี้เอ็นพีแอลที่อาจเพิ่มขึ้นอีกตามภาวะเศรษฐกิจ
หากประเมินการตั้งสำรองในครึ่งปีแรกที่ 8.2 พันล้านบาท จนทำให้ธนาคารต้องขาดทุนสูงถึง 5.9 พันล้านบาท อาจจะไม่ต้องเอ่ยว่า การตั้งสำรอง 7 พันล้านบาทนี้ จะกระทบกับฐานะการเงินอีกแค่ไหน
ทางแก้ ปัญหาดังกล่าว มีทางเดียว คือ ต้องเร่งการเพิ่มทุนจำนวน 3.5 หมื่นล้านบาทให้เสร็จโดยเร็ว เพื่อหาเงินมาตั้งสำรองและพยุงฐานะธนาคาร ซึ่ง สุภัค ศิวะรักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารทหารไทย คาดการณ์ว่าการเพิ่มทุนในครั้งนี้จะเรียบร้อยภายในเดือนกันยายน
ขณะเดียวกันธนาคารยังมีแผนขายหุ้นที่ถืออยู่ในธุรกิจที่ไม่ใช่ธุรกิจหลัก(นอนคอร์)จำนวน 33 บริษัทออกไป เพื่อระดมเงินทุนให้ได้มากที่สุด สำหรับประคองสถานการณ์ให้อยู่รอดได้ต่อไป
นักวิเคราะห์คาดว่าหากธนาคารไม่สามารถเพิ่มทุนได้สำเร็จจะทำให้สัดส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงปรับตัวลดลงมาใกล้กับระดับที่แบงก์ชาติกำหนดไว้ที่ 8.5% จากปัจจุบันที่อยู่ในระดับ 10-11% และอาจทำให้ธนาคารต้องบันทึกผลขาดทุนในปีนี้อีกจำนวน 8.3 พันล้านบาท ซึ่งจะทำให้สถานะของแบงก์เข้าขั้นวิกฤติทันที
++ เพรซิเดนท์ฯ-ซับไพร์ม พ่นพิษ ไทยธนาคาร
ธนาคารไทยธนาคาร เป็นแบงก์ที่มีปัญหาการตั้งสำรองในอันดับรองลงมา หลังจากครึ่งปีแรกสำรองไปแล้ว 916 ล้านบาท จนส่งผลให้กำไรของธนาคารลดลงอย่างมาก ทำให้กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน(FIDF)ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ต้องตั้งกรรมการขึ้นมาตรวจสอบว่ามีการกระทำผิดหรือไม่
ปัญหาของ ไทยธนาคารนั้น เกิดจากการปล่อยสินเชื่อที่ผิดพลาดโดยเฉพาะการปล่อยกู้ให้กับบริษัทเพรซิเดนท์ อะกริ เทรดดิ้ง ซึ่งกำลังถูกตรวจสอบเรื่องการรับจำนำข้าว ช่วงที่ นายวัฒนา เมืองสุข เป็น รมช.พาณิชย์ มูลค่า 1.2 พันล้าน (เพรซิเดนท์ อะกริ เทรดดิ้ง ได้ขอวงเงินกับธนาคารในประเทศและต่างประเทศรวมถึงธนาคารรัฐทุกแห่ง รวม 9 แห่ง ประมาณ 12,000 ล้านบาท)
ดังนั้นครึ่งปีหลังนอกจากต้องตั้งสำรองปกติเดือนละ 80-90 ล้านบาท ตามคำยืนยันของ พีรศิลป์ ศุภผลศิริกรรมการผู้จัดการใหญ่แล้ว ยังต้องตั้งสำรองพิเศษในส่วนที่เหลือจากการปล่อยกู้ให้กับบริษัทเพรซิเดนท์ อะกริ เทรดดิ้ง จำนวน 695 ล้านบาท
ไทยธนาคาร ยังเป็นธนาคารไทย ที่ถูกหางเลขจากปัญหาฟองสบู่เชื่อสินเชื่อที่อยู่อาศัยคุณภาพต่ำของสหรัฐ หรือ ซับไพร์ม (Sub-Prime : Sub-Prime Residential Mortgage Backed Securities) ด้วย เมื่อธนาคารได้เข้าไปลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศประเภทซีดีโอ (CDO : Collateralized Debt Obligation) ซึ่งมีสินทรัพย์อ้างอิงเป็นซับไพร์ม ต้องตั้งสำรองจำนวน 276 ล้านบาท
รวมแล้วครึ่งปีหลังไทยธนาคารต้องตั้งสำรองราว 1.45 พันล้านบาท ซึ่งถือเป็นภาระหนักอึ้งสำหรับธนาคารขนาดเล็กที่มีสินทรัพย์รวมเพียง 2.65 แสนล้านบาท และน่าจะกระทบกับกำไรของแบงก์ช่วงครึ่งปีหลังแน่นอน
อย่างไรก็ตาม ผู้บริหารธนาคารได้พยายามแก้ไขปัญหา ด้วยประกาศยื่นหนังสือร้องทุกข์กล่าวโทษต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) และฟ้องร้องในทางแพ่งต่อลูกหนี้ เพรซิเดนท์ อะกริ เทรดดิ้ง กรุ๊ป
ส่วนการลงทุนใน ซีดีโอ นั้น ธนาคารยังมั่นใจว่าจะไม่มีการผิดนัดชำระหนี้เนื่องจากการลงทุนดังกล่าวยังมีอันดับความน่าเชื่อถืออยู่ที่ระดับการลงทุน (BBB-)
++ เอ็นพีแอล กรุงไทย ไหลย้อนกลับ
ฝั่ง ธนาคารกรุงไทย มีภาระต้องตั้งสำรองจำนวนมากเช่นกัน โดย อภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ กรรมการผู้จัดการธนาคารระบุว่าการตั้งสำรองของธนาคารจะใกล้เคียงกับครึ่งปีแรกที่ตั้งสำรองไปแล้ว 8 พันล้านบาท หรือต้องตั้งอีกประมาณ 7-8 พันล้านบาท จากปกติที่ตั้งเพียง 300 ล้านบาทต่อไตรมาส
การตั้งสำรองดังกล่าวเป็นผลมาจากเอ็นพีแอลที่สูงขึ้นและลูกหนี้ที่ปรับโครงสร้างหนี้ไปแล้วกลับมาเป็นเอ็นพีแอลใหม่ ซึ่งมีสัดส่วนถึง 30% สูงกว่าปีอื่นๆ
อย่างไรก็ตามการตั้งสำรองดังกล่าวจะมีผลกระทบต่อธนาคารหรือไม่นั้น อภิศักดิ์ยืนยันว่าแบงก์ได้ติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด และครึ่งปีแรกที่ผ่านมาธนาคารได้ตั้งสำรองไปจำนวนมาก เนื่องจากเห็นสัญญาณการเกิดเอ็นพีแอลย้อนกลับ จึงได้ตั้งสำรองครอบคลุมไว้เรียบร้อยแล้ว ทำให้ครึ่งปีหลังไม่จำเป็นต้องตั้งสำรองพิเศษ และมั่นใจว่าผลประกอบการจะดีกว่าครึ่งปีแรก
++ กรุงเทพ-ไทยพาณิชย์-กสิกรฯ รับอนิสงค์สำรองเกิน
ด้าน ธนาคารกรุงเทพ มีภาระตั้งสำรองในช่วงครึ่งปีหลังไม่มาก โดย กุลธิดา ศิวยาธร ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ กล่าวว่า ทั้งปีคาดว่าธนาคารต้องตั้งสำรองประมาณ 4-5 พันล้านบาท ขณะที่ครึ่งปีแรกสำรองไปแล้ว 2.78 พันล้านบาท
จากคำพูดของผู้บริหารประมาณการณ์ได้ว่าครึ่งปีหลังธนาคารกรุงเทพต้องตั้งสำรองอีกประมาณ 2 พันล้านบาท ซึ่งสอดคล้องกับความเห็นนักวิเคราะห์ที่คาดว่าแบงก์จะตั้งสำรองอีก 2.3 พันล้านบาท และน่าจะเป็นเพียงการตั้งสำรองตามปกติ
นอกจากนี้ กุลธิดายืนยันด้วยว่าการตั้งสำรองเอ็นพีแอลระดับปกติจะเพียงพอรองรับจำนวนเอ็นพีแอลที่อาจเพิ่มขึ้นได้ รวมถึงธนาคารยังมีระดับสำรองส่วนเกินที่สูงถึง 1.27 หมื่นล้านบาท ถือเป็นระดับที่แข็งแกร่งเมื่อเทียบกับกลุ่มแบงก์ สะท้อนคุณภาพสินเชื่อที่สามารถจัดการได้
ด้านธนาคารไทยพาณิชย์ ไม่จำเป็นต้องตั้งสำรองมาก เหมือนธนาคารกรุงเทพและกสิกรไทย เนื่องจากเป็นแบงก์ที่ตั้งสำรองไว้เกินเกณฑ์ที่แบงก์ชาติกำหนดไว้ค่อนข้างมาก โดยครึ่งปีแรกธนาคารตั้งสำรองไปแล้ว 2.07 พันล้านบาท
ส่วนครึ่งปีหลัง วิชิต สุรพงษ์ชัย ประธานกรรมการบริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ ระบุว่า ธนาคารจะตั้งสำรองอีกเดือนละ 300 ล้านบาท จากปีก่อนที่สำรองเดือนละ 100 ล้านบาท เนื่องจากมีการประเมินว่า ยังมีความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจ และการเมือง ซึ่งเงินสำรองระดับนี้คาดว่าเป็นจำนวนที่เพียงพอแล้ว
ขณะที่นักวิเคราะห์ประเมินว่าธนาคารจะตั้งสำรองอีกประมาณ 2 พันล้านบาท ซึ่งใกล้เคียงกับในช่วงครึ่งปีแรก ส่วนการตั้งสำรองแบบพิเศษจะไม่มีให้เห็นในปีนี้ เนื่องจากธนาคารได้ตั้งสำรองไปทั้งหมดตั้งแต่ปีที่แล้ว โดยเฉพาะการตั้งตามมาตรฐานบัญชีไอเอเอส 39
ฝั่ง ธนาคารกสิกรไทย มีภาระตั้งสำรองไม่มากเช่นกัน เนื่องจากในอดีตธนาคารมีสถิติการตั้งสำรองหนี้เอ็นพีแอล 70.6% สูงสุดในระบบธนาคารพาณิชย์อยู่แล้ว ทำให้ไม่มีความจำเป็นต้องตั้งสำรองพิเศษ จึงเหลือเพียงการตั้งสำรองปกติทุกไตรมาสเท่านั้น
โดยในครึ่งปีแรกธนาคารตั้งสำรองไปแล้ว 2.3 พันล้านบาท และครึ่งปีหลังก็จะสำรองอีกประมาณ 2.3 พันล้านบาท ตามอัตราปกติของแบงก์ที่มักสำรองช่วงครึ่งปีแรกและครึ่งปีหลังในสัดส่วนที่ใกล้เคียงกัน ทำให้ไม่มีผลกระทบพิเศษต่อผลประกอบการหรือฐานะของแบงก์
ประสาร ไตรรัตน์วรกุล กรรมการผู้จัดการธนาคารกสิกรไทย ระบุว่า ปกติแบงก์เข้มงวดกับการตั้งสำรองอยู่แล้ว โดยหากธนาคารพิจารณาแล้วว่าลูกหนี้รายใดควรกันสำรองเพิ่ม ทั้งที่ยังมีการชำระหนี้และดอกเบี้ยตามปกติ ธนาคารก็จะกันสำรองเพิ่ม โดยพิจารณาจากกิจการของลูกหนี้ในอนาคต ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์การจัดชั้นเชิงคุณภาพ ไม่จำเป็นต้องรอให้เป็นเอ็นพีแอล
++ 2.4 หมื่นล้านจีอี ปั๊มลมหายใจกรุงศรีฯ
ส่วนธนาคารลูกครึ่งอย่าง กรุงศรีอยุธยา เริ่มหายใจได้คล่องขึ้นภายหลังการเข้ามาของกลุ่มจีอี และในครึ่งปีหลังไม่มีภาระต้องตั้งสำรองมาก โดยผู้บริหารธนาคารเปิดเผยผ่านนักวิเคราะห์ว่าจะตั้งสำรองตามปกติขั้นต่ำไตรมาสละ 750 ล้านบาท รวมแล้วประมาณ 1.5-2 พันล้านบาท เท่านั้น
สาเหตุที่ธนาคารมีภาระตั้งสำรองไม่มากเป็นเพราะ ช่วงครึ่งปีแรกธนาคารสั่งตั้งสำรองพิเศษตามมาตรฐานไอเอเอส 39 ไปแล้วทั้ง 3 เฟส รวมมูลค่ากว่า 1.14 หมื่นล้านบาท ซึ่งทำให้แบงก์มีผลประกอบการครึ่งปีแรกขาดทุนถึง 7.6 พันล้านบาท ศศิกร เจริญสุวรรณ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ฟิลลิป กล่าว
อย่างไรก็ตามฐานะของแบงก์กรุงศรีฯจะไม่สั่นคลอนเหมือนในกรณีของธนาคารทหารไทย เนื่องจากเพิ่งได้เงินเพิ่มทุนจากกลุ่มจีอีเข้ามาถึง 2.4 หมื่นล้านบาทเมื่อช่วงต้นปี และคาดว่าผลประกอบการช่วงครึ่งปีหลังจะกลับมาสู่สภาพปติ
++ รับร่างรธน. ช่วยลดเอ็นพีแอล
ปิดท้ายที่ ธนาคารนครหลวงไทย หลังจากครึ่งปีแรกสำรองไปแล้วถึง 2.85 พันล้านบาท ทำให้ในครึ่งปีหลัง ชัยวัฒน์ อุทัยวรรณ กรรมการผู้จัดการ ยืนยันว่าจะสำรองเพียงประมาณเดือนละ 200 ล้านบาท หรือประมาณ 1.2 พันล้านบาทเท่านั้น ส่วนครึ่งปีแรกที่สำรองไปจำนวนมากเป็นเพราะธนาคารสั่งตั้งสำรองตามมาตรฐานไอเอส 39 ทั้ง 3 เฟสในคราวเดียว ซึ่งจากนี้ไปจะไม่มีอีกแล้ว
ตอนนี้แบงก์เริ่มจับตาลูกหนี้ในธุรกิจที่มีความเสี่ยงว่าจะเป็นเอ็นพีแอลอย่างใกล้ชิด เช่น ธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากเงินบาท และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ไม่มีตลาดชัดเจน เพื่อเข้าไปช่วยแก้ปัญหาได้ทันท่วงทีเมื่อมีปัญหา รวมทั้งระมัดระวังปล่อยกู้มากขึ้น โดยมียอดอนุมัติสินเชื่อเพียง 60-70% ของผู้ขอทั้งหมด จากปกติที่อนุมัติในสัดส่วน 70-80% ชัยวัฒน์ กล่าว
ชัยวัฒน์ ยังทิ้งท้ายด้วยว่า โดยส่วนตัวหวังว่าภายหลังการลงประชามติรัฐธรรมนูญจะทำให้มีกระแสเงินสดออกมาหมุนเวียนในระบบมากขึ้น ซึ่งจะทำให้ผู้บริโภคสามารถเพิ่มกำลังจับจ่ายได้มากขึ้น ขณะที่ผู้ประกอบการก็จะดำเนินธุรกิจได้ต่อไป ซึ่งจะช่วยประคับประคองไม่ให้เอ็นพีแอลสูงขึ้นมาก
http://www.siamrath.co.th/Economic.asp?ReviewID=179554
ใต้ฝุ่นเอ็นพีแอลกระหน่ำ 3 แบงก์รัฐ
++ ครึ่งหลังควักกระเป๋าสำรอง 1.6 หมื่นล.
ธนาคารทหารไทย-กรุงไทย-ไทยธนาคาร อ่วม! ครึ่งปีหลังยังต้องสำรองหนี้เสียอีกกว่า 1.6 หมื่นล้านบาท กระอักพิษไอเอเอส 39 เอ็นพีแอลไหลย้อนกลับ และถูกบีบจัดชั้นหนี้เชิงคุณภาพ ขณะที่แบงก์อื่นลอยตัวสำรองเบาหวิว เหตุโหมใส่เงินไปตั้งแต่ครึ่งปีแรก ขณะที่นายแบงก์พลิกตำราพัลวันรับมือเอ็นพีแอลพุ่ง ทั้งออกมาตรการคุมเข้มปล่อยสินเชื่อ จับตาธุรกิจเสี่ยงใกล้ชิด และชิงตั้งสำรองตั้งแต่ยังไม่เป็นหนี้เสีย
กลายเป็นดีเปรสชั่นที่กระหน่ำตรงมายัง ธนาคารพาณิชย์ เมื่อ ผู้บริหารธนาคารหลายรายออกมายอมรับว่า ปัญหาหนี้เสีย (เอ็นพีแอล) กำลังจะกลับมาอีกครั้ง
โดยเฉพาะครึ่งปีหลังอาจจะมาถึงจุดที่ ดีเปรสชั่น ขยายตัวกลายเป็น ใต้ฝุ่น ! (ปัญหาแรงขึ้น)
อนาคตท่ามกลางใต้ฝุ่นเอ็นพีแอลที่พร้อมพัดกระหน่ำ จะทำให้ธนาคารต้องหาเงินมาตั้งสำรองหนี้อีกมากน้อยเพียงใด..จะส่งผลกระทบต่อฐานะของแบงก์หรือไม่ และธนาคารมีวิธีแก้ไขปัญหาอย่างไร... สยามรัฐ จะเป็นผู้ไขคำตอบ
++ แบงก์รับสภาพหนี้เสียพุ่ง
ภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซา จนธุรกิจต้องปิดกิจการไปกว่า1,000 แห่ง คือ หนึ่งในปัจจัยหลักที่ทำให้ผู้บริหารธนาคารเริ่มหวาดผวา กับความสามารถในการชำระหนี้ที่ลดน้อยลงของลูกหนี้
หากลูกหนี้รายใดอ่อนแรงจนค้างชำระ 3 เดือน กลายเป็นหนี้เสีย นั้นหมายถึงเป็นภาระของธนาคารที่ต้องหาเงินมาตั้งสำรองเต็ม 100% ของสินเชื่อ (ตามมาตรฐานไอเอเอส 39 ขั้นที่ 3) ซึ่งในที่สุดก็อาจลุกลามจนส่งผลกระทบต่อผลประกอบการและฐานะของธนาคารตามมาเป็นลูกโซ่
อภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกรุงไทย ยอมรับโดยดุษฎีว่า เอ็นพีแอลของธนาคารมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 2 ที่ผ่านมา และจะต่อเนื่องไปยังไตรมาส 3 และ 4 ก่อนถึงจุดสูงสุดของเอ็นพีแอลในปีนี้ ก่อนที่จะให้และจะทยอยลดลงในปีหน้า
สอดคล้องกับความเห็นของ ประสาร ไตรรัตน์วรกุล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย ที่ระบุว่า ขณะนี้มีบรรยากาศที่จะเกิดเอ็นพีแอลสูง
ขณะที่ตัวเลขของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ก็ยืนยันชัดเจนว่า เอ็นพีแอล ในช่วงไตรมาส 2 ของธนาคารที่จดทะเบียนในประเทศเพิ่มขึ้นจากไตรมาสแรกจำนวน 1.42 หมื่นล้านบาท มาอยู่ที่ 2.49 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากภาวะเศรษฐกิจของประเทศที่ชะลอตัวลง ทำให้ความสามารถในการชำระหนี้ของประชาชนลดลง
สยามรัฐ รวบรวมตัวเลขการตั้งสำรองหนี้เอ็นพีแอลของธนาคารพาณิชย์จำนวน 8 แห่ง ประกอบด้วย ธนาคารกรุงเทพ กรุงไทย ไทยพาณิชย์ กสิกรไทย ทหารไทย กรุงศรีอยุธยา นครหลวงไทย และไทยธนาคาร พบว่าครึ่งแรกตั้งสำรองหนี้เอ็นพีแอลไปแล้วกว่า 38,643 ล้านบาท
ขณะที่ครึ่งปีหลังมีโอกาสที่ธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ จะต้องตั้งสำรองรวมกันประมาณ 2.62 หมื่นล้านบาท โดยเฉพาะ 3 แบงก์รัฐ ธนาคารทหารไทย กรุงไทย ไทยธนาคาร จะต้องตั้งสำรองรวมกว่า 1.6 หมื่นล้านบาท
++ ทหารไทยเผชิญวิกฤตไอเอเอส 39 เฟส 3
ต้องจับตา ธนาคารทหารไทย ที่นักวิเคราะห์ ประสานเสียงว่า จะต้องตั้งสำรองในครึ่งปีหลังถึง 7 พันล้านบาท เม็ดเงินจำนวนนี้ อาจกระหน่ำซ้ำเติมฐานะของแบงก์ที่วันนี้สั่นคลอนอยู่แล้วให้มากขึ้น
ปัญหาเกิดจากความขัดแย้งในองค์กร และความล่าช้าในการเพิ่มทุนจำนวน 3.5 หมื่นล้านบาท ที่ทำให้ธนาคารต้องติดอันดับบ๊วย กลายเป็นธนาคารแห่งเดียวที่ยังไม่ได้ตั้งสำรอง ตามมาตรฐานบัญชีไอเอเอส 39 ขั้นที่ 3 ที่กำหนดให้ธนาคารต้องตั้งสำรองลูกหนี้เอ็นพีแอลที่ค้างชำระ 3-6 เดือน 100% ภายในสิ้นปีนี้
นอกจากนั้นยังต้องเผชิญกับปัญหาการจัดชั้นลูกหนี้เชิงคุณภาพ รวมทั้งลูกหนี้เอ็นพีแอลที่อาจเพิ่มขึ้นอีกตามภาวะเศรษฐกิจ
หากประเมินการตั้งสำรองในครึ่งปีแรกที่ 8.2 พันล้านบาท จนทำให้ธนาคารต้องขาดทุนสูงถึง 5.9 พันล้านบาท อาจจะไม่ต้องเอ่ยว่า การตั้งสำรอง 7 พันล้านบาทนี้ จะกระทบกับฐานะการเงินอีกแค่ไหน
ทางแก้ ปัญหาดังกล่าว มีทางเดียว คือ ต้องเร่งการเพิ่มทุนจำนวน 3.5 หมื่นล้านบาทให้เสร็จโดยเร็ว เพื่อหาเงินมาตั้งสำรองและพยุงฐานะธนาคาร ซึ่ง สุภัค ศิวะรักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารทหารไทย คาดการณ์ว่าการเพิ่มทุนในครั้งนี้จะเรียบร้อยภายในเดือนกันยายน
ขณะเดียวกันธนาคารยังมีแผนขายหุ้นที่ถืออยู่ในธุรกิจที่ไม่ใช่ธุรกิจหลัก(นอนคอร์)จำนวน 33 บริษัทออกไป เพื่อระดมเงินทุนให้ได้มากที่สุด สำหรับประคองสถานการณ์ให้อยู่รอดได้ต่อไป
นักวิเคราะห์คาดว่าหากธนาคารไม่สามารถเพิ่มทุนได้สำเร็จจะทำให้สัดส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงปรับตัวลดลงมาใกล้กับระดับที่แบงก์ชาติกำหนดไว้ที่ 8.5% จากปัจจุบันที่อยู่ในระดับ 10-11% และอาจทำให้ธนาคารต้องบันทึกผลขาดทุนในปีนี้อีกจำนวน 8.3 พันล้านบาท ซึ่งจะทำให้สถานะของแบงก์เข้าขั้นวิกฤติทันที
++ เพรซิเดนท์ฯ-ซับไพร์ม พ่นพิษ ไทยธนาคาร
ธนาคารไทยธนาคาร เป็นแบงก์ที่มีปัญหาการตั้งสำรองในอันดับรองลงมา หลังจากครึ่งปีแรกสำรองไปแล้ว 916 ล้านบาท จนส่งผลให้กำไรของธนาคารลดลงอย่างมาก ทำให้กองทุนฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน(FIDF)ในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ต้องตั้งกรรมการขึ้นมาตรวจสอบว่ามีการกระทำผิดหรือไม่
ปัญหาของ ไทยธนาคารนั้น เกิดจากการปล่อยสินเชื่อที่ผิดพลาดโดยเฉพาะการปล่อยกู้ให้กับบริษัทเพรซิเดนท์ อะกริ เทรดดิ้ง ซึ่งกำลังถูกตรวจสอบเรื่องการรับจำนำข้าว ช่วงที่ นายวัฒนา เมืองสุข เป็น รมช.พาณิชย์ มูลค่า 1.2 พันล้าน (เพรซิเดนท์ อะกริ เทรดดิ้ง ได้ขอวงเงินกับธนาคารในประเทศและต่างประเทศรวมถึงธนาคารรัฐทุกแห่ง รวม 9 แห่ง ประมาณ 12,000 ล้านบาท)
ดังนั้นครึ่งปีหลังนอกจากต้องตั้งสำรองปกติเดือนละ 80-90 ล้านบาท ตามคำยืนยันของ พีรศิลป์ ศุภผลศิริกรรมการผู้จัดการใหญ่แล้ว ยังต้องตั้งสำรองพิเศษในส่วนที่เหลือจากการปล่อยกู้ให้กับบริษัทเพรซิเดนท์ อะกริ เทรดดิ้ง จำนวน 695 ล้านบาท
ไทยธนาคาร ยังเป็นธนาคารไทย ที่ถูกหางเลขจากปัญหาฟองสบู่เชื่อสินเชื่อที่อยู่อาศัยคุณภาพต่ำของสหรัฐ หรือ ซับไพร์ม (Sub-Prime : Sub-Prime Residential Mortgage Backed Securities) ด้วย เมื่อธนาคารได้เข้าไปลงทุนในตราสารหนี้ต่างประเทศประเภทซีดีโอ (CDO : Collateralized Debt Obligation) ซึ่งมีสินทรัพย์อ้างอิงเป็นซับไพร์ม ต้องตั้งสำรองจำนวน 276 ล้านบาท
รวมแล้วครึ่งปีหลังไทยธนาคารต้องตั้งสำรองราว 1.45 พันล้านบาท ซึ่งถือเป็นภาระหนักอึ้งสำหรับธนาคารขนาดเล็กที่มีสินทรัพย์รวมเพียง 2.65 แสนล้านบาท และน่าจะกระทบกับกำไรของแบงก์ช่วงครึ่งปีหลังแน่นอน
อย่างไรก็ตาม ผู้บริหารธนาคารได้พยายามแก้ไขปัญหา ด้วยประกาศยื่นหนังสือร้องทุกข์กล่าวโทษต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) และฟ้องร้องในทางแพ่งต่อลูกหนี้ เพรซิเดนท์ อะกริ เทรดดิ้ง กรุ๊ป
ส่วนการลงทุนใน ซีดีโอ นั้น ธนาคารยังมั่นใจว่าจะไม่มีการผิดนัดชำระหนี้เนื่องจากการลงทุนดังกล่าวยังมีอันดับความน่าเชื่อถืออยู่ที่ระดับการลงทุน (BBB-)
++ เอ็นพีแอล กรุงไทย ไหลย้อนกลับ
ฝั่ง ธนาคารกรุงไทย มีภาระต้องตั้งสำรองจำนวนมากเช่นกัน โดย อภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ กรรมการผู้จัดการธนาคารระบุว่าการตั้งสำรองของธนาคารจะใกล้เคียงกับครึ่งปีแรกที่ตั้งสำรองไปแล้ว 8 พันล้านบาท หรือต้องตั้งอีกประมาณ 7-8 พันล้านบาท จากปกติที่ตั้งเพียง 300 ล้านบาทต่อไตรมาส
การตั้งสำรองดังกล่าวเป็นผลมาจากเอ็นพีแอลที่สูงขึ้นและลูกหนี้ที่ปรับโครงสร้างหนี้ไปแล้วกลับมาเป็นเอ็นพีแอลใหม่ ซึ่งมีสัดส่วนถึง 30% สูงกว่าปีอื่นๆ
อย่างไรก็ตามการตั้งสำรองดังกล่าวจะมีผลกระทบต่อธนาคารหรือไม่นั้น อภิศักดิ์ยืนยันว่าแบงก์ได้ติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด และครึ่งปีแรกที่ผ่านมาธนาคารได้ตั้งสำรองไปจำนวนมาก เนื่องจากเห็นสัญญาณการเกิดเอ็นพีแอลย้อนกลับ จึงได้ตั้งสำรองครอบคลุมไว้เรียบร้อยแล้ว ทำให้ครึ่งปีหลังไม่จำเป็นต้องตั้งสำรองพิเศษ และมั่นใจว่าผลประกอบการจะดีกว่าครึ่งปีแรก
++ กรุงเทพ-ไทยพาณิชย์-กสิกรฯ รับอนิสงค์สำรองเกิน
ด้าน ธนาคารกรุงเทพ มีภาระตั้งสำรองในช่วงครึ่งปีหลังไม่มาก โดย กุลธิดา ศิวยาธร ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ กล่าวว่า ทั้งปีคาดว่าธนาคารต้องตั้งสำรองประมาณ 4-5 พันล้านบาท ขณะที่ครึ่งปีแรกสำรองไปแล้ว 2.78 พันล้านบาท
จากคำพูดของผู้บริหารประมาณการณ์ได้ว่าครึ่งปีหลังธนาคารกรุงเทพต้องตั้งสำรองอีกประมาณ 2 พันล้านบาท ซึ่งสอดคล้องกับความเห็นนักวิเคราะห์ที่คาดว่าแบงก์จะตั้งสำรองอีก 2.3 พันล้านบาท และน่าจะเป็นเพียงการตั้งสำรองตามปกติ
นอกจากนี้ กุลธิดายืนยันด้วยว่าการตั้งสำรองเอ็นพีแอลระดับปกติจะเพียงพอรองรับจำนวนเอ็นพีแอลที่อาจเพิ่มขึ้นได้ รวมถึงธนาคารยังมีระดับสำรองส่วนเกินที่สูงถึง 1.27 หมื่นล้านบาท ถือเป็นระดับที่แข็งแกร่งเมื่อเทียบกับกลุ่มแบงก์ สะท้อนคุณภาพสินเชื่อที่สามารถจัดการได้
ด้านธนาคารไทยพาณิชย์ ไม่จำเป็นต้องตั้งสำรองมาก เหมือนธนาคารกรุงเทพและกสิกรไทย เนื่องจากเป็นแบงก์ที่ตั้งสำรองไว้เกินเกณฑ์ที่แบงก์ชาติกำหนดไว้ค่อนข้างมาก โดยครึ่งปีแรกธนาคารตั้งสำรองไปแล้ว 2.07 พันล้านบาท
ส่วนครึ่งปีหลัง วิชิต สุรพงษ์ชัย ประธานกรรมการบริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ ระบุว่า ธนาคารจะตั้งสำรองอีกเดือนละ 300 ล้านบาท จากปีก่อนที่สำรองเดือนละ 100 ล้านบาท เนื่องจากมีการประเมินว่า ยังมีความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจ และการเมือง ซึ่งเงินสำรองระดับนี้คาดว่าเป็นจำนวนที่เพียงพอแล้ว
ขณะที่นักวิเคราะห์ประเมินว่าธนาคารจะตั้งสำรองอีกประมาณ 2 พันล้านบาท ซึ่งใกล้เคียงกับในช่วงครึ่งปีแรก ส่วนการตั้งสำรองแบบพิเศษจะไม่มีให้เห็นในปีนี้ เนื่องจากธนาคารได้ตั้งสำรองไปทั้งหมดตั้งแต่ปีที่แล้ว โดยเฉพาะการตั้งตามมาตรฐานบัญชีไอเอเอส 39
ฝั่ง ธนาคารกสิกรไทย มีภาระตั้งสำรองไม่มากเช่นกัน เนื่องจากในอดีตธนาคารมีสถิติการตั้งสำรองหนี้เอ็นพีแอล 70.6% สูงสุดในระบบธนาคารพาณิชย์อยู่แล้ว ทำให้ไม่มีความจำเป็นต้องตั้งสำรองพิเศษ จึงเหลือเพียงการตั้งสำรองปกติทุกไตรมาสเท่านั้น
โดยในครึ่งปีแรกธนาคารตั้งสำรองไปแล้ว 2.3 พันล้านบาท และครึ่งปีหลังก็จะสำรองอีกประมาณ 2.3 พันล้านบาท ตามอัตราปกติของแบงก์ที่มักสำรองช่วงครึ่งปีแรกและครึ่งปีหลังในสัดส่วนที่ใกล้เคียงกัน ทำให้ไม่มีผลกระทบพิเศษต่อผลประกอบการหรือฐานะของแบงก์
ประสาร ไตรรัตน์วรกุล กรรมการผู้จัดการธนาคารกสิกรไทย ระบุว่า ปกติแบงก์เข้มงวดกับการตั้งสำรองอยู่แล้ว โดยหากธนาคารพิจารณาแล้วว่าลูกหนี้รายใดควรกันสำรองเพิ่ม ทั้งที่ยังมีการชำระหนี้และดอกเบี้ยตามปกติ ธนาคารก็จะกันสำรองเพิ่ม โดยพิจารณาจากกิจการของลูกหนี้ในอนาคต ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์การจัดชั้นเชิงคุณภาพ ไม่จำเป็นต้องรอให้เป็นเอ็นพีแอล
++ 2.4 หมื่นล้านจีอี ปั๊มลมหายใจกรุงศรีฯ
ส่วนธนาคารลูกครึ่งอย่าง กรุงศรีอยุธยา เริ่มหายใจได้คล่องขึ้นภายหลังการเข้ามาของกลุ่มจีอี และในครึ่งปีหลังไม่มีภาระต้องตั้งสำรองมาก โดยผู้บริหารธนาคารเปิดเผยผ่านนักวิเคราะห์ว่าจะตั้งสำรองตามปกติขั้นต่ำไตรมาสละ 750 ล้านบาท รวมแล้วประมาณ 1.5-2 พันล้านบาท เท่านั้น
สาเหตุที่ธนาคารมีภาระตั้งสำรองไม่มากเป็นเพราะ ช่วงครึ่งปีแรกธนาคารสั่งตั้งสำรองพิเศษตามมาตรฐานไอเอเอส 39 ไปแล้วทั้ง 3 เฟส รวมมูลค่ากว่า 1.14 หมื่นล้านบาท ซึ่งทำให้แบงก์มีผลประกอบการครึ่งปีแรกขาดทุนถึง 7.6 พันล้านบาท ศศิกร เจริญสุวรรณ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ฟิลลิป กล่าว
อย่างไรก็ตามฐานะของแบงก์กรุงศรีฯจะไม่สั่นคลอนเหมือนในกรณีของธนาคารทหารไทย เนื่องจากเพิ่งได้เงินเพิ่มทุนจากกลุ่มจีอีเข้ามาถึง 2.4 หมื่นล้านบาทเมื่อช่วงต้นปี และคาดว่าผลประกอบการช่วงครึ่งปีหลังจะกลับมาสู่สภาพปติ
++ รับร่างรธน. ช่วยลดเอ็นพีแอล
ปิดท้ายที่ ธนาคารนครหลวงไทย หลังจากครึ่งปีแรกสำรองไปแล้วถึง 2.85 พันล้านบาท ทำให้ในครึ่งปีหลัง ชัยวัฒน์ อุทัยวรรณ กรรมการผู้จัดการ ยืนยันว่าจะสำรองเพียงประมาณเดือนละ 200 ล้านบาท หรือประมาณ 1.2 พันล้านบาทเท่านั้น ส่วนครึ่งปีแรกที่สำรองไปจำนวนมากเป็นเพราะธนาคารสั่งตั้งสำรองตามมาตรฐานไอเอส 39 ทั้ง 3 เฟสในคราวเดียว ซึ่งจากนี้ไปจะไม่มีอีกแล้ว
ตอนนี้แบงก์เริ่มจับตาลูกหนี้ในธุรกิจที่มีความเสี่ยงว่าจะเป็นเอ็นพีแอลอย่างใกล้ชิด เช่น ธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากเงินบาท และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ไม่มีตลาดชัดเจน เพื่อเข้าไปช่วยแก้ปัญหาได้ทันท่วงทีเมื่อมีปัญหา รวมทั้งระมัดระวังปล่อยกู้มากขึ้น โดยมียอดอนุมัติสินเชื่อเพียง 60-70% ของผู้ขอทั้งหมด จากปกติที่อนุมัติในสัดส่วน 70-80% ชัยวัฒน์ กล่าว
ชัยวัฒน์ ยังทิ้งท้ายด้วยว่า โดยส่วนตัวหวังว่าภายหลังการลงประชามติรัฐธรรมนูญจะทำให้มีกระแสเงินสดออกมาหมุนเวียนในระบบมากขึ้น ซึ่งจะทำให้ผู้บริโภคสามารถเพิ่มกำลังจับจ่ายได้มากขึ้น ขณะที่ผู้ประกอบการก็จะดำเนินธุรกิจได้ต่อไป ซึ่งจะช่วยประคับประคองไม่ให้เอ็นพีแอลสูงขึ้นมาก
http://www.siamrath.co.th/Economic.asp?ReviewID=179554
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news13/08/07
โพสต์ที่ 110
กสิกรไทยคาดแนวโน้มค่าบาท อยู่ที่33.90-34.20บาท/ดอลล์
11 สิงหาคม พ.ศ. 2550 12:51:00
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดแนวโน้มค่าเงินบาทเคลื่อนไหวอยู่ที่ 33.90 - 34.20 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ หลังธปท.เข้าแทรกแซง
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัดรายงานว่า ในสัปดาห์นี้ ค่าเงินบาทตลาดในประเทศอ่อนค่าผ่านระดับ 34 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ โดยถูกกดดันจากความต้องการเงินดอลลาร์สหรัฐ ของรัฐวิสาหกิจและผู้นำเข้าโดยเฉพาะบริษัทน้ำมัน ตลอดจนแรงซื้อเงินดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งตลาดคาดการณ์ว่า เป็นการแทรกแซงของ ธปท.
นอกจากนี้ เงินบาทยังมีปัจจัยลบจากการร่วงลงอย่างหนักของตลาดหุ้นไทย โดยมีนักลงทุนต่างชาติเป็นผู้ขายสุทธิ สำหรับในวันศุกร์ เงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 34.06 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ เทียบกับระดับ 33.83 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ในวันศุกร์ที่ 3 สิงหาคมที่ผ่านมา
ส่วนแนวโน้มค่าเงินบาทสัปดาห์หน้า อาจมีกรอบการเคลื่อนไหวที่ 33.90 - 34.20 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ โดยมีปัจจัยที่ควรจับตาคือ การเคลื่อนไหวของเงินทุนต่างชาติ แรงซื้อเงินดอลลาร์สหรัฐของผู้นำเข้าและรัฐวิสาหกิจ ตลอดจนสัญญาณการเข้าแทรกแซงตลาดของ ธปท.
นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาทิศทางเงินดอลลาร์สหรัฐซึ่งขึ้นอยู่กับการปรับตัวของตลาดหุ้นทั่วโลก ความกังวลต่อปัญหาตลาดสินเชื่อทั่วโลก และรายงานตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐ ที่สำคัญหลายตัว ยอดค้าปลีก ดัชนีราคาผู้บริโภคและดัชนีราคาผู้ผลิต ข้อมูลภาคอสังหาริมทรัพย์ในเดือนกรกฎาคม ข้อมูลเงินทุนไหลเข้าสุทธิและดุลการค้าในเดือนมิถุนายน ดัชนีตลาดที่อยู่อาศัยของสหรัฐ
สำหรับภาวะตลาดเงินระยะสั้นสัปดาห์นี้ อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นในตลาดเงินยังทรงตัว โดยธนาคารพาณิชย์มีการเตรียมสภาพคล่องเพื่อรองรับการเบิกถอนเงินสดของลูกค้าในช่วงวันหยุดยาว และสำหรับการปิดสำรองสภาพคล่องรายปักษ์ในต้นสัปดาห์ถัดไป โดยอัตราดอกเบี้ยอินเตอร์แบงก์ประเภทกู้ยืมข้ามคืนหนาแน่นที่ระดับเดิมที่ร้อยละ 3.25 เช่นเดียวกับอัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 1 วัน 7 วัน และ 14 วัน ที่ปิดทรงตัวเท่ากันทั้งสัปดาห์ที่ร้อยละ 3.25 ขณะที่สัปดาห์หน้า
คาดว่าอัตราดอกเบี้ยตลาดเงินคงจะปรับตัวใกล้ระดับเดิม เนื่องจากธนาคารพาณิชย์จะมีการปิดสำรองสภาพคล่องรายปักษ์ในวันอังคารและเข้าสู่ปักษ์ใหม่ในวันพุธ อีกทั้งจะมีการชำระภาษีมูลค่าเพิ่มรายเดือนด้วย
http://www.bangkokbiznews.com/2007/08/1 ... wsid=88932
11 สิงหาคม พ.ศ. 2550 12:51:00
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดแนวโน้มค่าเงินบาทเคลื่อนไหวอยู่ที่ 33.90 - 34.20 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ หลังธปท.เข้าแทรกแซง
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัดรายงานว่า ในสัปดาห์นี้ ค่าเงินบาทตลาดในประเทศอ่อนค่าผ่านระดับ 34 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ โดยถูกกดดันจากความต้องการเงินดอลลาร์สหรัฐ ของรัฐวิสาหกิจและผู้นำเข้าโดยเฉพาะบริษัทน้ำมัน ตลอดจนแรงซื้อเงินดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งตลาดคาดการณ์ว่า เป็นการแทรกแซงของ ธปท.
นอกจากนี้ เงินบาทยังมีปัจจัยลบจากการร่วงลงอย่างหนักของตลาดหุ้นไทย โดยมีนักลงทุนต่างชาติเป็นผู้ขายสุทธิ สำหรับในวันศุกร์ เงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 34.06 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ เทียบกับระดับ 33.83 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ในวันศุกร์ที่ 3 สิงหาคมที่ผ่านมา
ส่วนแนวโน้มค่าเงินบาทสัปดาห์หน้า อาจมีกรอบการเคลื่อนไหวที่ 33.90 - 34.20 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ โดยมีปัจจัยที่ควรจับตาคือ การเคลื่อนไหวของเงินทุนต่างชาติ แรงซื้อเงินดอลลาร์สหรัฐของผู้นำเข้าและรัฐวิสาหกิจ ตลอดจนสัญญาณการเข้าแทรกแซงตลาดของ ธปท.
นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาทิศทางเงินดอลลาร์สหรัฐซึ่งขึ้นอยู่กับการปรับตัวของตลาดหุ้นทั่วโลก ความกังวลต่อปัญหาตลาดสินเชื่อทั่วโลก และรายงานตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐ ที่สำคัญหลายตัว ยอดค้าปลีก ดัชนีราคาผู้บริโภคและดัชนีราคาผู้ผลิต ข้อมูลภาคอสังหาริมทรัพย์ในเดือนกรกฎาคม ข้อมูลเงินทุนไหลเข้าสุทธิและดุลการค้าในเดือนมิถุนายน ดัชนีตลาดที่อยู่อาศัยของสหรัฐ
สำหรับภาวะตลาดเงินระยะสั้นสัปดาห์นี้ อัตราดอกเบี้ยระยะสั้นในตลาดเงินยังทรงตัว โดยธนาคารพาณิชย์มีการเตรียมสภาพคล่องเพื่อรองรับการเบิกถอนเงินสดของลูกค้าในช่วงวันหยุดยาว และสำหรับการปิดสำรองสภาพคล่องรายปักษ์ในต้นสัปดาห์ถัดไป โดยอัตราดอกเบี้ยอินเตอร์แบงก์ประเภทกู้ยืมข้ามคืนหนาแน่นที่ระดับเดิมที่ร้อยละ 3.25 เช่นเดียวกับอัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 1 วัน 7 วัน และ 14 วัน ที่ปิดทรงตัวเท่ากันทั้งสัปดาห์ที่ร้อยละ 3.25 ขณะที่สัปดาห์หน้า
คาดว่าอัตราดอกเบี้ยตลาดเงินคงจะปรับตัวใกล้ระดับเดิม เนื่องจากธนาคารพาณิชย์จะมีการปิดสำรองสภาพคล่องรายปักษ์ในวันอังคารและเข้าสู่ปักษ์ใหม่ในวันพุธ อีกทั้งจะมีการชำระภาษีมูลค่าเพิ่มรายเดือนด้วย
http://www.bangkokbiznews.com/2007/08/1 ... wsid=88932
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news13/08/07
โพสต์ที่ 111
ธปท.แฉสินเชื่อรถ ไตรมาส2ขยายตัว สวนทางเศรษฐกิจ
สินเชื่อรายธุรกิจไตรมาส 2 พุ่งขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาส1กว่า 3.8หมื่นล้านบาท ระบุธุรกิจการผลิตมีสินเชื่อมากสุด รองลงมาคือสินเชื่ออุปโภคบริโภค มีรายงานข่าวจาก ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยถึงข้อมูลการให้สินเชื่อแยกตาม ประเภทธุรกิจของสถาบันการเงินรวมทั้งระบบ ในไตรมาส2 (ณ สิ้นเดือนมิถุนายน2550) ว่ามีรวมทั้งสิ้น 5,975,892 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 2 จำนวน 38,476 ล้าน บาท หรือ0.64% โดยแบ่งเป็นธุรกิจประเภทการผลิตมีเงินสินเชื่อมากที่สุดจำนวน 1,564,270 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มจากไตรมาสก่อน 5,927 ล้านบาท หรือ 0.37% รองลงมาเป็นสินเชื่ออุปโภคบริโภคส่วนบุคคลมีจำนวน 1,294,212 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาส ก่อน 42,078 ล้านบาท หรือ 3.36%
อย่างไรก็ตามสินเชื่อการขายส่ง การขายปลีก และซ่อมแซมยาน ยนต์ จักรยานยนต์ ของใช้ส่วนบุคคลและของใช้ในครัวเรือน มีจำนวน 971,256 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาสก่อน 8,285 ล้านบาท หรือ 0.84% ส่วนธุรกิจตัวกลางทางการเงิน มีจำนวน 658,240 ล้านบาท ลดลงขึ้นจากไตรมาสก่อน 3,914 ล้านบาท หรือ 3.36% ขณะที่ธุรกิจก่อสร้างมีจำนวน 193,079 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8,606 ล้านบาทบาท หรือ 4.66%
ธปท.รายงานอีกว่า ในส่วนสินเชื่ออุปโภคบริโภคส่วนบุคคลที่มีจำนวน 1,212,977 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน 42,078 ล้านบาท หรือ 3.36%โดยแบ่งเป็นการจัดหาที่อยู่อาศัยมากที่สุดจำนวน 682,447 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน 20,418 ล้านบาท หรือ 3.36% รองลงมาคือ การบริโภคส่วนบุคคลอื่นๆ จำนวน 313,908 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน 7,740 ล้านบาท หรือ 2.52% สิน
"ส่วนเชื่อเพื่อการซื้อหรือเช่ารถยนต์ และจักรยานยนต์มีจำนวน 252,753 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน 13,742 ล้านบาท หรือ 5.74%"รายงานจาก ธปท.ระบุ
สำหรับการซื้อที่ดินในไตรมาสนี้โดยรวมถือว่าเพิ่มขึ้น โดยสินเชื่อเพื่อการซื้อที่ดินจำนวน 40,551 ล้านบาท เพิ่มจากไตรมาสก่อน 130 ล้านบาท หรือ0.32% โดยแบ่งเป็น การซื้อที่ดินเปล่า จำนวน 3,810 ล้านบาท เพิ่มจากไตรมาสก่อน 225 ล้านบาท หรือ 5.57% การซื้อที่กินเปล่าเพื่อสร้างบ้าน จำนวน 32,447 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน 21 หรือ 0.06% และการซื้อที่ดินเพื่อปลูกสร้างอื่นๆจำนวน 4,220 ล้านบาท ลดลง 334 ล้านบาท หรือ 8.59%
ส่วนการสินเชื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์เพื่อการอื่นๆ มีจำนวน 2,335 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน 256 ล้านบาท หรือ 162.3% สินเชื่อเพื่อการ ศึกษามีจำนวน 282 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน 52 ล้านบาท หรือ 22.6% และสินเชื่อเพื่อการเดินทางไปทำงานต่างประเทศมีจำนวน 7,740 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาสก่อน 260 ล้านบาท หรือ 11.8%
http://www.naewna.com/news.asp?ID=71187
สินเชื่อรายธุรกิจไตรมาส 2 พุ่งขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาส1กว่า 3.8หมื่นล้านบาท ระบุธุรกิจการผลิตมีสินเชื่อมากสุด รองลงมาคือสินเชื่ออุปโภคบริโภค มีรายงานข่าวจาก ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยถึงข้อมูลการให้สินเชื่อแยกตาม ประเภทธุรกิจของสถาบันการเงินรวมทั้งระบบ ในไตรมาส2 (ณ สิ้นเดือนมิถุนายน2550) ว่ามีรวมทั้งสิ้น 5,975,892 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 2 จำนวน 38,476 ล้าน บาท หรือ0.64% โดยแบ่งเป็นธุรกิจประเภทการผลิตมีเงินสินเชื่อมากที่สุดจำนวน 1,564,270 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มจากไตรมาสก่อน 5,927 ล้านบาท หรือ 0.37% รองลงมาเป็นสินเชื่ออุปโภคบริโภคส่วนบุคคลมีจำนวน 1,294,212 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาส ก่อน 42,078 ล้านบาท หรือ 3.36%
อย่างไรก็ตามสินเชื่อการขายส่ง การขายปลีก และซ่อมแซมยาน ยนต์ จักรยานยนต์ ของใช้ส่วนบุคคลและของใช้ในครัวเรือน มีจำนวน 971,256 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาสก่อน 8,285 ล้านบาท หรือ 0.84% ส่วนธุรกิจตัวกลางทางการเงิน มีจำนวน 658,240 ล้านบาท ลดลงขึ้นจากไตรมาสก่อน 3,914 ล้านบาท หรือ 3.36% ขณะที่ธุรกิจก่อสร้างมีจำนวน 193,079 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8,606 ล้านบาทบาท หรือ 4.66%
ธปท.รายงานอีกว่า ในส่วนสินเชื่ออุปโภคบริโภคส่วนบุคคลที่มีจำนวน 1,212,977 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน 42,078 ล้านบาท หรือ 3.36%โดยแบ่งเป็นการจัดหาที่อยู่อาศัยมากที่สุดจำนวน 682,447 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน 20,418 ล้านบาท หรือ 3.36% รองลงมาคือ การบริโภคส่วนบุคคลอื่นๆ จำนวน 313,908 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน 7,740 ล้านบาท หรือ 2.52% สิน
"ส่วนเชื่อเพื่อการซื้อหรือเช่ารถยนต์ และจักรยานยนต์มีจำนวน 252,753 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน 13,742 ล้านบาท หรือ 5.74%"รายงานจาก ธปท.ระบุ
สำหรับการซื้อที่ดินในไตรมาสนี้โดยรวมถือว่าเพิ่มขึ้น โดยสินเชื่อเพื่อการซื้อที่ดินจำนวน 40,551 ล้านบาท เพิ่มจากไตรมาสก่อน 130 ล้านบาท หรือ0.32% โดยแบ่งเป็น การซื้อที่ดินเปล่า จำนวน 3,810 ล้านบาท เพิ่มจากไตรมาสก่อน 225 ล้านบาท หรือ 5.57% การซื้อที่กินเปล่าเพื่อสร้างบ้าน จำนวน 32,447 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน 21 หรือ 0.06% และการซื้อที่ดินเพื่อปลูกสร้างอื่นๆจำนวน 4,220 ล้านบาท ลดลง 334 ล้านบาท หรือ 8.59%
ส่วนการสินเชื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์เพื่อการอื่นๆ มีจำนวน 2,335 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน 256 ล้านบาท หรือ 162.3% สินเชื่อเพื่อการ ศึกษามีจำนวน 282 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน 52 ล้านบาท หรือ 22.6% และสินเชื่อเพื่อการเดินทางไปทำงานต่างประเทศมีจำนวน 7,740 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาสก่อน 260 ล้านบาท หรือ 11.8%
http://www.naewna.com/news.asp?ID=71187
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news14/08/07
โพสต์ที่ 112
ธ.ทิสโก้เล็งหาซื้อแบงก์ไทยธนาคารน่าสนที่สุด
โพสต์ทูเดย์ จับตา ธ.ทิสโก้ พลิกฐานะจากผู้ถูกซื้อกิจการเป็นผู้ไล่ซื้อธนาคารอื่นแทนหลังสินเชื่อเช่าซื้อแข่งดุ หากอยู่ลำพังทนเต็มที่ 3 ปีไม่รอด
แหล่งข่าวจากผู้บริหารสถาบัน การเงิน เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทที่ทำสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์หรือแม้กระทั่งธนาคารพาณิชย์ที่ถูกยกระดับจากบริษัทเงินทุน (บง.) เช่น ธนาคารทิสโก้ (TISCO) และธนาคารเกียรตินาคิน(KK) ก็ทำธุรกิจลำบาก เพราะการแข่งขันรุนแรงมาก ซึ่งหากต้องการจะอยู่รอดได้ต้องหาพันธมิตรเข้ามาถือหุ้นหรือเข้ามาซื้อกิจการ
แหล่งข่าวเปิดเผยว่า ในกรณีธนาคารทิสโก้ ที่มีนายปลิว มังกรกนก เป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ได้พลาดโอกาสทองของการขายหุ้นให้กับธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่อันดับ 2 และ 3 แล้ว เพราะไม่สามารถตกลงกันได้
ปัจจุบันถ้าหากทิสโก้ต้องการดำเนินธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์เพียงลำพัง ก็ถือว่าลำบากมาก และเชื่อว่าภายในช่วง 3 ปีนี้ทุกบริษัท ก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอน
ธนาคารทิสโก้เป็นผู้นำในธุรกิจสินเชื่อรถยนต์เมื่อไม่ยอมถูกแบงก์ใหญ่กลืน ทิสโก้ก็ต้องไปซื้อคนอื่นแทน เพื่อการเติบใหญ่ในอนาคตและให้สามารถแข่งขันกับธนาคารอื่นๆ ได้ แหล่งข่าวเปิดเผย
อย่างไรก็ตาม หากดูธนาคารพาณิชย์ในระบบที่ทิสโก้สามารถเข้าไปซื้อได้คือ ธนาคารไทยธนาคาร ธนาคารนครหลวงไทย และธนาคารทหารไทย แต่แบงก์ที่มีความเป็น ได้มากที่สุดก็คือ ธนาคารไทยธนาคาร เนื่องจากกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินประกาศเจตนารมณ์ชัดเจนว่าต้องการขายหุ้นส่วนที่ถืออยู่ประมาณ 48% ออกทั้งหมด หลังจากที่ได้ขายให้กับ TTG New bridge Group มากกว่า 20% แล้ว
นอกจากนั้น ธนาคารไทยธนาคารได้จัดการปัญหาเกี่ยวกับหนี้เสียเรียบร้อยแล้ว และมีสาขาทั่วประเทศรองรับการทำธุรกรรม เพียงแต่การรุกธุรกิจของไทยธนาคารในปัจจุบันไม่ประสบความสำเร็จเมื่อเทียบแบงก์อื่น ดังนั้น หากทิสโก้ควบรวมกับแบงก์ไทย ก็สามารถดำเนินธุรกิจได้ทันที และเชื่อว่าเป็นโอกาสที่จะเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันมากขึ้น
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=184895
โพสต์ทูเดย์ จับตา ธ.ทิสโก้ พลิกฐานะจากผู้ถูกซื้อกิจการเป็นผู้ไล่ซื้อธนาคารอื่นแทนหลังสินเชื่อเช่าซื้อแข่งดุ หากอยู่ลำพังทนเต็มที่ 3 ปีไม่รอด
แหล่งข่าวจากผู้บริหารสถาบัน การเงิน เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทที่ทำสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์หรือแม้กระทั่งธนาคารพาณิชย์ที่ถูกยกระดับจากบริษัทเงินทุน (บง.) เช่น ธนาคารทิสโก้ (TISCO) และธนาคารเกียรตินาคิน(KK) ก็ทำธุรกิจลำบาก เพราะการแข่งขันรุนแรงมาก ซึ่งหากต้องการจะอยู่รอดได้ต้องหาพันธมิตรเข้ามาถือหุ้นหรือเข้ามาซื้อกิจการ
แหล่งข่าวเปิดเผยว่า ในกรณีธนาคารทิสโก้ ที่มีนายปลิว มังกรกนก เป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ได้พลาดโอกาสทองของการขายหุ้นให้กับธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่อันดับ 2 และ 3 แล้ว เพราะไม่สามารถตกลงกันได้
ปัจจุบันถ้าหากทิสโก้ต้องการดำเนินธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์เพียงลำพัง ก็ถือว่าลำบากมาก และเชื่อว่าภายในช่วง 3 ปีนี้ทุกบริษัท ก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอน
ธนาคารทิสโก้เป็นผู้นำในธุรกิจสินเชื่อรถยนต์เมื่อไม่ยอมถูกแบงก์ใหญ่กลืน ทิสโก้ก็ต้องไปซื้อคนอื่นแทน เพื่อการเติบใหญ่ในอนาคตและให้สามารถแข่งขันกับธนาคารอื่นๆ ได้ แหล่งข่าวเปิดเผย
อย่างไรก็ตาม หากดูธนาคารพาณิชย์ในระบบที่ทิสโก้สามารถเข้าไปซื้อได้คือ ธนาคารไทยธนาคาร ธนาคารนครหลวงไทย และธนาคารทหารไทย แต่แบงก์ที่มีความเป็น ได้มากที่สุดก็คือ ธนาคารไทยธนาคาร เนื่องจากกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินประกาศเจตนารมณ์ชัดเจนว่าต้องการขายหุ้นส่วนที่ถืออยู่ประมาณ 48% ออกทั้งหมด หลังจากที่ได้ขายให้กับ TTG New bridge Group มากกว่า 20% แล้ว
นอกจากนั้น ธนาคารไทยธนาคารได้จัดการปัญหาเกี่ยวกับหนี้เสียเรียบร้อยแล้ว และมีสาขาทั่วประเทศรองรับการทำธุรกรรม เพียงแต่การรุกธุรกิจของไทยธนาคารในปัจจุบันไม่ประสบความสำเร็จเมื่อเทียบแบงก์อื่น ดังนั้น หากทิสโก้ควบรวมกับแบงก์ไทย ก็สามารถดำเนินธุรกิจได้ทันที และเชื่อว่าเป็นโอกาสที่จะเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันมากขึ้น
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=184895
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news14/08/07
โพสต์ที่ 113
หนี้เสียรูดปรื๊ดเริ่มทะลัก
โพสต์ทูเดย์ รูดปรื๊ด ออกฤทธิ์ เอ็นพีแอลไตรมาสสองพุ่ง โบ้ยพิษมาตราผ่อนชำระ 10% ไทยพาณิชย์เฮี้ยบหนักหากสิ้นปีเอ็นพีแอลพุ่ง
นางกรรณิกา ชลิตอาภรณ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ไตรมาส 2 ปีนี้ หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ที่เพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งมาจากลูกค้าบัตรเครดิต ซึ่งได้รับผลกระทบจากมาตรการของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ปรับเกณฑ์การผ่อนชำระของลูกค้าเพิ่มเป็น 10% จากเดิม 5% เนื่องจากลูกค้าบางส่วนใช้บัตรเครดิตหลายใบ
ยอดเอ็นพีแอลที่เพิ่มขึ้นจากบัตรเครดิตนั้น มีทั้งลูกค้าเก่าและลูกค้าใหม่ และเป็นจำนวนที่เพิ่มขึ้นจากปลายปีก่อน นางกรรณิกา ชี้แจง
นางกรรณิกา กล่าวว่า จะไม่ยอมให้เอ็นพีแอลในสิ้นปีนี้สูงไปกว่าปัจจุบันที่มีอยู่ 3.8%
ดิฉันจะไม่ยอมให้เอ็นพีแอลสูงกว่านี้ ไม่อย่างนั้นดิฉันจะเล่นงานให้ตาย นางกรรณิกา กล่าว
นายโชค ณ ระนอง ประธานชมรมบัตรเครดิต และผู้จัดการสายบัตรเครดิต ธนาคารกรุงเทพ กล่าวว่า ยอมรับว่าสมาชิกชมรมบัตรเครดิตหลายราย มีการพูดคุยถึงเรื่องเอ็นพีแอลที่เพิ่มขึ้น ซึ่งปัญหามาจาก 2 ส่วนคือ จากภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน และจากมาตรการเพิ่มวงเงินการผ่อนชำระเป็น 10% ส่งผลให้เกิดปัญหาหนี้ค้างชำระเพิ่มขึ้น เพราะลูกค้าไม่มีความสามารถในการผ่อนชำระเพิ่ม
นายโชค กล่าวว่า เอ็นพีแอลบัตรเครดิตของธนาคารกรุงเทพเพิ่มขึ้นจาก 1.25% เป็น 1.5% โดยมีทั้งลูกหนี้รายเก่าและรายใหม่ ที่ค้างชำระหนี้ตั้งแต่ 30 วันขึ้นไป
คิดว่าไม่น่ามีอะไรแย่ไปกว่านี้ ถ้าเลือกตั้งจบ เศรษฐกิจก็น่าฟื้นตัวดีขึ้น คิดว่าสิ้นปีนี้เอ็นพีแอลไม่น่าไปไกลกว่า 1.5% เพราะแค่นี้ก็เยอะพอสมควร นายโชค กล่าว
นายโชค กล่าวอีกว่า ธนาคารไม่จำเป็นต้องเพิ่มพนักงานติดตามหนี้ ที่มีอยู่ 90 คน หากหนี้เสียเพิ่มก็อาจต้องมีการว่าจ้างบุคคลภายนอกเพิ่ม สำหรับการแก้หนี้ตอนนี้คือพยายามติดต่อลูกค้าเพื่อเจรจาประนอมหนี้
แหล่งข่าวจากบริษัทเคทีซีเปิดเผยว่า กำลังติดตามหนี้เสียที่เพิ่มขึ้นในไตรมาสนี้
แหล่งข่าวจากสายนโยบายสถาบันการเงิน ธปท.ยอมรับว่า จากการ ติดตามยอดหนี้จัดชั้นของธุรกิจ บัตรเครดิต พบว่ามีอัตราการเพิ่มมา ตั้งแต่ไตรมาสแรกและเพิ่มขึ้นอย่าง ต่อเนื่อง และเมื่อจำแนกตามกลุ่มรายได้ของผู้กู้พบว่าเป็นกลุ่มครัวเรือนที่มีรายได้ต่ำ
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=184842
โพสต์ทูเดย์ รูดปรื๊ด ออกฤทธิ์ เอ็นพีแอลไตรมาสสองพุ่ง โบ้ยพิษมาตราผ่อนชำระ 10% ไทยพาณิชย์เฮี้ยบหนักหากสิ้นปีเอ็นพีแอลพุ่ง
นางกรรณิกา ชลิตอาภรณ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ไตรมาส 2 ปีนี้ หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ที่เพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งมาจากลูกค้าบัตรเครดิต ซึ่งได้รับผลกระทบจากมาตรการของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ปรับเกณฑ์การผ่อนชำระของลูกค้าเพิ่มเป็น 10% จากเดิม 5% เนื่องจากลูกค้าบางส่วนใช้บัตรเครดิตหลายใบ
ยอดเอ็นพีแอลที่เพิ่มขึ้นจากบัตรเครดิตนั้น มีทั้งลูกค้าเก่าและลูกค้าใหม่ และเป็นจำนวนที่เพิ่มขึ้นจากปลายปีก่อน นางกรรณิกา ชี้แจง
นางกรรณิกา กล่าวว่า จะไม่ยอมให้เอ็นพีแอลในสิ้นปีนี้สูงไปกว่าปัจจุบันที่มีอยู่ 3.8%
ดิฉันจะไม่ยอมให้เอ็นพีแอลสูงกว่านี้ ไม่อย่างนั้นดิฉันจะเล่นงานให้ตาย นางกรรณิกา กล่าว
นายโชค ณ ระนอง ประธานชมรมบัตรเครดิต และผู้จัดการสายบัตรเครดิต ธนาคารกรุงเทพ กล่าวว่า ยอมรับว่าสมาชิกชมรมบัตรเครดิตหลายราย มีการพูดคุยถึงเรื่องเอ็นพีแอลที่เพิ่มขึ้น ซึ่งปัญหามาจาก 2 ส่วนคือ จากภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน และจากมาตรการเพิ่มวงเงินการผ่อนชำระเป็น 10% ส่งผลให้เกิดปัญหาหนี้ค้างชำระเพิ่มขึ้น เพราะลูกค้าไม่มีความสามารถในการผ่อนชำระเพิ่ม
นายโชค กล่าวว่า เอ็นพีแอลบัตรเครดิตของธนาคารกรุงเทพเพิ่มขึ้นจาก 1.25% เป็น 1.5% โดยมีทั้งลูกหนี้รายเก่าและรายใหม่ ที่ค้างชำระหนี้ตั้งแต่ 30 วันขึ้นไป
คิดว่าไม่น่ามีอะไรแย่ไปกว่านี้ ถ้าเลือกตั้งจบ เศรษฐกิจก็น่าฟื้นตัวดีขึ้น คิดว่าสิ้นปีนี้เอ็นพีแอลไม่น่าไปไกลกว่า 1.5% เพราะแค่นี้ก็เยอะพอสมควร นายโชค กล่าว
นายโชค กล่าวอีกว่า ธนาคารไม่จำเป็นต้องเพิ่มพนักงานติดตามหนี้ ที่มีอยู่ 90 คน หากหนี้เสียเพิ่มก็อาจต้องมีการว่าจ้างบุคคลภายนอกเพิ่ม สำหรับการแก้หนี้ตอนนี้คือพยายามติดต่อลูกค้าเพื่อเจรจาประนอมหนี้
แหล่งข่าวจากบริษัทเคทีซีเปิดเผยว่า กำลังติดตามหนี้เสียที่เพิ่มขึ้นในไตรมาสนี้
แหล่งข่าวจากสายนโยบายสถาบันการเงิน ธปท.ยอมรับว่า จากการ ติดตามยอดหนี้จัดชั้นของธุรกิจ บัตรเครดิต พบว่ามีอัตราการเพิ่มมา ตั้งแต่ไตรมาสแรกและเพิ่มขึ้นอย่าง ต่อเนื่อง และเมื่อจำแนกตามกลุ่มรายได้ของผู้กู้พบว่าเป็นกลุ่มครัวเรือนที่มีรายได้ต่ำ
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=184842
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news15/08/07
โพสต์ที่ 114
คลังหารือส่วนต่างบาทใน-นอก
นายฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ รมว.คลัง เปิดเผยว่า แนวทางการปรับปรุงระบบการดูแลอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาท รวมทั้งการพิจารณาความเหมาะสมในการแยกตลาดเงินบาทในประเทศ (ออนชอร์) และตลาดเงินบาทต่างประเทศ (ออฟชอร์) ด้วยการยกเลิกหรือลดสัดส่วนการนำเงินบาทออกไปนอกประเทศจากบัญชีผู้มีถิ่นฐานนอกประเทศนั้น คาดว่าจะมีการหารือกันในวันที่ 20 ส.ค. นี้
การหารือครั้งนี้จะดูเกี่ยวกับการดูแลสถานการณ์ ค่าเงินบาทในระยะปานกลางเป็นหลัก ระยะสั้นนั้นดูแลกันอยู่แล้ว นายฉลองภพ กล่าว
นายสมชาย สกุลสุรรัตน์ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ได้เสนอแนะแนวทางการแก้ไขปัญหาค่าเงินบาทระยะสั้นว่า ภาครัฐควรหารือเพื่อออกมาตรการป้องกันเงินบาทไหลออก หรือ Bath Exchange Control แทนนโยบายการควบคุมอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ หรือ Foreign Exchange Control
นายสมชาย กล่าวว่า สถานการณ์ตอนนี้แตกต่างจากวิกฤตเมื่อปี 2540 ซึ่งในขณะนั้นตลาดต้องการเงินเหรียญสหรัฐ แต่สถานการณ์ขณะนี้ตลาดต้องการเงินบาทมากกว่าเงินเหรียญสหรัฐ สะท้อนจากค่าเงินบาทที่ยังแข็งค่าอย่างต่อเนื่อง
ดังนั้น ภาครัฐต้องเร่งหามาตรการในการป้องกันเงินบาทไหลออกนอกประเทศ โดยต้องประกาศมาตรการระยะสั้นเรื่องการห้ามไม่ให้มีการเงินบาทออกนอกประเทศแบบ 100% เพื่อไม่ให้นักลงทุนมีช่องทางในการเก็งกำไร โดยต้องชี้แจงให้นักลงทุนทราบว่า การนำเงินที่เข้ามาลงทุนออกนอกประเทศจะทำได้เฉพาะเงินสกุลเหรียญสหรัฐเท่านั้น
วิธีการเก็งกำไรตอนนี้คือ ขนเงินดอลลาร์เข้ามาแลกเงินบาท แล้วนำเงินบาทออกนอกประเทศไปซื้อดอลลาร์นอกประเทศ ถ้าเราปิดช่องทางนี้ได้ 100% ปัญหาเรื่องเก็งกำไรจะไม่เกิดขึ้นอีก และแบงก์ชาติก็ไม่ต้องเข้าไปแทรกแซง ดังนั้น ถ้าหากนักลงทุนรายใดขนเงินแหรียญสหรัฐเข้ามา เวลาขนออกไปจะต้องขนไปเป็นเงินเหรียญสหรัฐเท่านั้น นายสมชาย กล่าว
นายสมชายกล่าวถึงการแก้ปัญหาค่าเงินบาทในระยะยาวว่า โรงงานอุตสาหกรรมจะต้องเร่งเพิ่มประสิทธิ ภาพการผลิต และจะต้องเร่งเรื่องการปรับโครงสร้างทางด้านเศรษฐกิจ เนื่องจากปัจจุบันประเทศไทยเป็นประเทศที่มีการให้พลังงานจากน้ำมันฟุ่มเฟือยมากที่สุดเมื่อเทียบกับรายได้ประชาชาติ คิดเป็นอันดับ 1-2 ของโลก หากประเทศสามารถลดรายจ่ายด้านนี้ลงได้ จะช่วยผ่อนภาระเรื่องการเร่งหารายได้จากการส่งออก ซึ่งปัจจุบันเป็นรายได้หลักของประเทศคิดเป็นสัดส่วน 60%
สำหรับค่าเงินบาทในตลาดออฟชอร์วันที่ 14 ส.ค. ที่ผ่านมา ค่าเงินบาทอยู่ที่ระดับ 31.33-31.37 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ขณะที่ค่าเงินบาทในประเทศยืนอยู่ในระดับ 34.08 บาทต่อเหรียญสหรัฐ
http://www.msnth.com/msn/money2/content ... 235&ch=222
นายฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ รมว.คลัง เปิดเผยว่า แนวทางการปรับปรุงระบบการดูแลอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาท รวมทั้งการพิจารณาความเหมาะสมในการแยกตลาดเงินบาทในประเทศ (ออนชอร์) และตลาดเงินบาทต่างประเทศ (ออฟชอร์) ด้วยการยกเลิกหรือลดสัดส่วนการนำเงินบาทออกไปนอกประเทศจากบัญชีผู้มีถิ่นฐานนอกประเทศนั้น คาดว่าจะมีการหารือกันในวันที่ 20 ส.ค. นี้
การหารือครั้งนี้จะดูเกี่ยวกับการดูแลสถานการณ์ ค่าเงินบาทในระยะปานกลางเป็นหลัก ระยะสั้นนั้นดูแลกันอยู่แล้ว นายฉลองภพ กล่าว
นายสมชาย สกุลสุรรัตน์ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ได้เสนอแนะแนวทางการแก้ไขปัญหาค่าเงินบาทระยะสั้นว่า ภาครัฐควรหารือเพื่อออกมาตรการป้องกันเงินบาทไหลออก หรือ Bath Exchange Control แทนนโยบายการควบคุมอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ หรือ Foreign Exchange Control
นายสมชาย กล่าวว่า สถานการณ์ตอนนี้แตกต่างจากวิกฤตเมื่อปี 2540 ซึ่งในขณะนั้นตลาดต้องการเงินเหรียญสหรัฐ แต่สถานการณ์ขณะนี้ตลาดต้องการเงินบาทมากกว่าเงินเหรียญสหรัฐ สะท้อนจากค่าเงินบาทที่ยังแข็งค่าอย่างต่อเนื่อง
ดังนั้น ภาครัฐต้องเร่งหามาตรการในการป้องกันเงินบาทไหลออกนอกประเทศ โดยต้องประกาศมาตรการระยะสั้นเรื่องการห้ามไม่ให้มีการเงินบาทออกนอกประเทศแบบ 100% เพื่อไม่ให้นักลงทุนมีช่องทางในการเก็งกำไร โดยต้องชี้แจงให้นักลงทุนทราบว่า การนำเงินที่เข้ามาลงทุนออกนอกประเทศจะทำได้เฉพาะเงินสกุลเหรียญสหรัฐเท่านั้น
วิธีการเก็งกำไรตอนนี้คือ ขนเงินดอลลาร์เข้ามาแลกเงินบาท แล้วนำเงินบาทออกนอกประเทศไปซื้อดอลลาร์นอกประเทศ ถ้าเราปิดช่องทางนี้ได้ 100% ปัญหาเรื่องเก็งกำไรจะไม่เกิดขึ้นอีก และแบงก์ชาติก็ไม่ต้องเข้าไปแทรกแซง ดังนั้น ถ้าหากนักลงทุนรายใดขนเงินแหรียญสหรัฐเข้ามา เวลาขนออกไปจะต้องขนไปเป็นเงินเหรียญสหรัฐเท่านั้น นายสมชาย กล่าว
นายสมชายกล่าวถึงการแก้ปัญหาค่าเงินบาทในระยะยาวว่า โรงงานอุตสาหกรรมจะต้องเร่งเพิ่มประสิทธิ ภาพการผลิต และจะต้องเร่งเรื่องการปรับโครงสร้างทางด้านเศรษฐกิจ เนื่องจากปัจจุบันประเทศไทยเป็นประเทศที่มีการให้พลังงานจากน้ำมันฟุ่มเฟือยมากที่สุดเมื่อเทียบกับรายได้ประชาชาติ คิดเป็นอันดับ 1-2 ของโลก หากประเทศสามารถลดรายจ่ายด้านนี้ลงได้ จะช่วยผ่อนภาระเรื่องการเร่งหารายได้จากการส่งออก ซึ่งปัจจุบันเป็นรายได้หลักของประเทศคิดเป็นสัดส่วน 60%
สำหรับค่าเงินบาทในตลาดออฟชอร์วันที่ 14 ส.ค. ที่ผ่านมา ค่าเงินบาทอยู่ที่ระดับ 31.33-31.37 บาทต่อเหรียญสหรัฐ ขณะที่ค่าเงินบาทในประเทศยืนอยู่ในระดับ 34.08 บาทต่อเหรียญสหรัฐ
http://www.msnth.com/msn/money2/content ... 235&ch=222
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news15/08/07
โพสต์ที่ 115
บาทนิ่งหุ้นส่งออกฟื้นรับไฮซีซั่น
บาทเริ่มนิ่ง แต่เงินทุนยังมีสัญญาณไหลออกจากตลาดหุ้น นักค้าเงินเชื่อก.ล.ต.ไฟเขียวรายย่อยขนเงินลงทุนต่างประเทศไม่มีผลต่อทิศทางบาทมากนัก
แต่แนะเกาะติดวันที่ 20 ส.ค.นี้ประชุมมาตรการทั้งหมดที่ออกไป คาดมีการถกประเด็นสำรอง 30% นักวิเคราะห์ชี้หุ้นส่งออกเริ่มฟื้นไข้เพราะบาทเริ่มนิ่ง และเข้าสู่ไฮซีซั่น โดยเฉพาะSVI และDELTA พื้นฐานแกร่ง
นักค้าเงินธนาคารกรุงเทพ จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า วันนี้(15 ส.ค.)ค่าเงินบาทมีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 34.05/34.15 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ส่วนสัญญาณเงินทุนไหลออกจากประเทศไทยยังมีอยู่ แม้จะไม่มากแต่โดยหลักยังคงมาจากเงินลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ อย่างไรก็ตามวานนี้(14 ส.ค.)ค่าเงินบาทเริ่มทรงตัว โดยปิดตลาดที่ 34.06 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ใกล้เคียงกับช่วงเช้าที่เปิดตลาดที่ 34.06/34.08 ต่อดอลลาร์สหรัฐ
สำหรับกรณีที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.)เห็นชอบให้นักลงทุนทั่วไปนำเงินไปลงทุนต่างประเทศได้แล้ววงเงินไม่เกิน 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐเพิ่มจากเดิมที่ให้สถาบันเพียงอย่างเดียวนั้น มองว่าเรื่องดังกล่าวไม่น่าจะส่งผลต่อความเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทนักเพราะปัจจุบันตลาดยังคงให้ความสำคัญกับทิศทางของตลาดหุ้นต่างประเทศ และรอดูมาตรการหลังการประชุมเกี่ยวกับมาตรการทั้งหมดเกี่ยวกับค่าเงินบาทที่ออกไปในวันที่ 20 ส.ค.นี้ ซึ่งการประชุมดังกล่าวจะมีการหารือถึงความแตกต่างของค่าเงินในตลาดออฟชอร์และตลาดออนชอร์ รวมทั้งอาจมีเรื่องมาตรการสำรอง 30% ด้วย
" ข่าวเรื่องนำเงินไปลงทุนต่างประเทศตลาดรับรู้ไปแล้ว แม้จะเป็นการเพิ่มทางเลือก แต่ไม่น่ามีผลต่อค่าเงินในช่วงนี้ เพราะผลกระทบจากตลาดต่างประเทศมีน้ำหนักมากกว่า แต่ค่าเงินบาทเริ่มทรงตัวแล้ว ซึ่งเป็นไปตามตลาดหุ้นภูมิภาคที่เริ่มปรับตัวดีขึ้น " นักค้าเงิน กล่าว
นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์กรุงศรีอยุธยา จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า ผลกระทบจากการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยให้กับลูกหนี้ที่มีเครดิตต่ำ(sub prime ) ถือว่ากระทบตลาดหุ้นไทยไม่มากแล้วเพราะค่าเงินบาทไม่อ่อนค่ามากเช่นสัปดาห์ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามแม้ว่าจะมีเงินทุนไหลออกจากตลาดหุ้นไทย แต่เชื่อว่าหุ้นไทยยังมีความน่าสนใจ หากสถานการณ์ทุกอย่างดีขึ้นเงินทุนต่างชาติจะกลับมาลงทุนในตลาดหุ้นไทย
ทั้งนี้มองว่าหุ้นของบริษัทที่ทำธุรกิจส่งออกเริ่มปรับตัวดีขึ้นแล้ว หลังจากที่ค่าเงินบาทเริ่มอ่อนค่าลง อีกทั้งจะเข้าสู่ช่วงที่มียอดขายสูงที่สุดของปี โดยมองว่าบริษัทที่มีความแข็งแกร่งยังมีความน่าสนใจ เช่น บริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ ( ประเทศไทย) จำกัด ( มหาชน)DELTA และบริษัท เอสวีไอ จำกัด ( มหาชน) SVI http://www.msnth.com/msn/money2/content ... 242&ch=225
บาทเริ่มนิ่ง แต่เงินทุนยังมีสัญญาณไหลออกจากตลาดหุ้น นักค้าเงินเชื่อก.ล.ต.ไฟเขียวรายย่อยขนเงินลงทุนต่างประเทศไม่มีผลต่อทิศทางบาทมากนัก
แต่แนะเกาะติดวันที่ 20 ส.ค.นี้ประชุมมาตรการทั้งหมดที่ออกไป คาดมีการถกประเด็นสำรอง 30% นักวิเคราะห์ชี้หุ้นส่งออกเริ่มฟื้นไข้เพราะบาทเริ่มนิ่ง และเข้าสู่ไฮซีซั่น โดยเฉพาะSVI และDELTA พื้นฐานแกร่ง
นักค้าเงินธนาคารกรุงเทพ จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า วันนี้(15 ส.ค.)ค่าเงินบาทมีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 34.05/34.15 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ส่วนสัญญาณเงินทุนไหลออกจากประเทศไทยยังมีอยู่ แม้จะไม่มากแต่โดยหลักยังคงมาจากเงินลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ อย่างไรก็ตามวานนี้(14 ส.ค.)ค่าเงินบาทเริ่มทรงตัว โดยปิดตลาดที่ 34.06 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ใกล้เคียงกับช่วงเช้าที่เปิดตลาดที่ 34.06/34.08 ต่อดอลลาร์สหรัฐ
สำหรับกรณีที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.)เห็นชอบให้นักลงทุนทั่วไปนำเงินไปลงทุนต่างประเทศได้แล้ววงเงินไม่เกิน 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐเพิ่มจากเดิมที่ให้สถาบันเพียงอย่างเดียวนั้น มองว่าเรื่องดังกล่าวไม่น่าจะส่งผลต่อความเคลื่อนไหวของค่าเงินบาทนักเพราะปัจจุบันตลาดยังคงให้ความสำคัญกับทิศทางของตลาดหุ้นต่างประเทศ และรอดูมาตรการหลังการประชุมเกี่ยวกับมาตรการทั้งหมดเกี่ยวกับค่าเงินบาทที่ออกไปในวันที่ 20 ส.ค.นี้ ซึ่งการประชุมดังกล่าวจะมีการหารือถึงความแตกต่างของค่าเงินในตลาดออฟชอร์และตลาดออนชอร์ รวมทั้งอาจมีเรื่องมาตรการสำรอง 30% ด้วย
" ข่าวเรื่องนำเงินไปลงทุนต่างประเทศตลาดรับรู้ไปแล้ว แม้จะเป็นการเพิ่มทางเลือก แต่ไม่น่ามีผลต่อค่าเงินในช่วงนี้ เพราะผลกระทบจากตลาดต่างประเทศมีน้ำหนักมากกว่า แต่ค่าเงินบาทเริ่มทรงตัวแล้ว ซึ่งเป็นไปตามตลาดหุ้นภูมิภาคที่เริ่มปรับตัวดีขึ้น " นักค้าเงิน กล่าว
นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์กรุงศรีอยุธยา จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า ผลกระทบจากการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยให้กับลูกหนี้ที่มีเครดิตต่ำ(sub prime ) ถือว่ากระทบตลาดหุ้นไทยไม่มากแล้วเพราะค่าเงินบาทไม่อ่อนค่ามากเช่นสัปดาห์ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามแม้ว่าจะมีเงินทุนไหลออกจากตลาดหุ้นไทย แต่เชื่อว่าหุ้นไทยยังมีความน่าสนใจ หากสถานการณ์ทุกอย่างดีขึ้นเงินทุนต่างชาติจะกลับมาลงทุนในตลาดหุ้นไทย
ทั้งนี้มองว่าหุ้นของบริษัทที่ทำธุรกิจส่งออกเริ่มปรับตัวดีขึ้นแล้ว หลังจากที่ค่าเงินบาทเริ่มอ่อนค่าลง อีกทั้งจะเข้าสู่ช่วงที่มียอดขายสูงที่สุดของปี โดยมองว่าบริษัทที่มีความแข็งแกร่งยังมีความน่าสนใจ เช่น บริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ ( ประเทศไทย) จำกัด ( มหาชน)DELTA และบริษัท เอสวีไอ จำกัด ( มหาชน) SVI http://www.msnth.com/msn/money2/content ... 242&ch=225
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news15/08/07
โพสต์ที่ 116
++ กรุงไทยเปิดจองธนบัตรฯ 80 พรรษา
นางสาว สุพัตรา หิรัญรัศ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ผู้บริหารกลุ่ม บมจ.ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ธนาคารจะเปิดบริการให้จองธนบัตรที่ระลึกฯ 80 พรรษา ชนิดชุดละ 100 บาท ที่กำหนดให้แลกจองในวันที่ 20 พ.ย.2550 เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ลูกค้าและประชาชน ได้ที่ทุกสาขาทั่วประเทศตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป และสามารถรับธนบัตรแห่งทั่วประเทศ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป โดยสามารถรับธนบัตรที่จองได้ตั้งแต่วันที่ 28 พ.ย.นี้
++ กบข.คุยคลังเพิ่มลงทุนตปท.
นายวิสิฐ ตันติสุนทร เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) เปิดเผยว่า กบข.จะเร่งเสนอเรื่องถึงกระทรวงการคลัง เพื่อขอขยายสัดส่วนการลงทุนในต่างประเทศเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 15 เป็นร้อยละ 25 ของสินทรัพย์สุทธิ 353,024 ล้านบาท หรือคิดเป็นเม็ดเงินที่ลงทุนทั้งสิ้นกว่า 88,000 ล้านบาท ที่ผ่านมา กบข. นำเงินออกไปลงทุนต่างประเทศแล้วคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 12.64 ของสินทรัพย์สุทธิ
++ ธนชาติออกเงินฝากพ่วงประกัน
นายบัณฑิต ชีวะธนรักษ์ รองกรรมการผู้จัดการ บมจ.ธนาคารธนชาต เปิดเผยว่า ธนาคารได้เปิดโครงการ เงินฝากออมทรัพย์มีระดับ รับประกันภัยอุบัติเหตุ ให้อัตราดอกเบี้ยตามระดับของวงเงินฝาก ตั้งแต่ร้อยละ 2.00-2.20 ต่อปี และมอบประกันอุบัติเหตุคุ้มครองชีวิตผู้ฝากเงินตลอด 24 ชั่วโมงทั่วโลก โดยจะชดเชยค่าสินไหมทดแทนเป็น 2 เท่าของยอดเงินฝากคงเหลือในบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ของลูกค้าทุกบัญชีรวมกันก่อนวันเกิดเหตุ1 วัน โดยจะชดเชยสูงสุดถึง 1 ล้านบาท
++ จัดโปรฯผูกบัตรเครดิตกับเอ็มเพย์
นายวรุณเทพ วัชราภรณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอดวานซ์ เอ็มเพย์ จำกัด เปิดเผยว่า ล่าสุดเปิดให้ลูกค้าสามารถนำบัตรเครดิตของVISA และ MASTERCARD ที่ถืออยู่ มาผูกเข้ากับบริการ mPAY เพื่อใช้เป็นกระเป๋าเงินบนมือถือได้ด้วยวิธีง่ายๆ ด้วยตัวคุณเองผ่านมือถือ เพียงแค่โทร. *555 กด 7 แล้วทำตามระบบ ก็สมัครผูกบัตรเครดิตกับ mPAY ได้แล้ว พร้อมมอบโปรโมชั่นพิเศษรับฟรีค่าโทร.เพิ่มในรอบบิลถัดไป พร้อมรับอีกต่อคะแนนสะสมจากบัตรเครดิตอีกด้วย
siamrath
http://www.siamrath.co.th/Economic.asp?ReviewID=179740
นางสาว สุพัตรา หิรัญรัศ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ผู้บริหารกลุ่ม บมจ.ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ธนาคารจะเปิดบริการให้จองธนบัตรที่ระลึกฯ 80 พรรษา ชนิดชุดละ 100 บาท ที่กำหนดให้แลกจองในวันที่ 20 พ.ย.2550 เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ลูกค้าและประชาชน ได้ที่ทุกสาขาทั่วประเทศตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป และสามารถรับธนบัตรแห่งทั่วประเทศ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป โดยสามารถรับธนบัตรที่จองได้ตั้งแต่วันที่ 28 พ.ย.นี้
++ กบข.คุยคลังเพิ่มลงทุนตปท.
นายวิสิฐ ตันติสุนทร เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) เปิดเผยว่า กบข.จะเร่งเสนอเรื่องถึงกระทรวงการคลัง เพื่อขอขยายสัดส่วนการลงทุนในต่างประเทศเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 15 เป็นร้อยละ 25 ของสินทรัพย์สุทธิ 353,024 ล้านบาท หรือคิดเป็นเม็ดเงินที่ลงทุนทั้งสิ้นกว่า 88,000 ล้านบาท ที่ผ่านมา กบข. นำเงินออกไปลงทุนต่างประเทศแล้วคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 12.64 ของสินทรัพย์สุทธิ
++ ธนชาติออกเงินฝากพ่วงประกัน
นายบัณฑิต ชีวะธนรักษ์ รองกรรมการผู้จัดการ บมจ.ธนาคารธนชาต เปิดเผยว่า ธนาคารได้เปิดโครงการ เงินฝากออมทรัพย์มีระดับ รับประกันภัยอุบัติเหตุ ให้อัตราดอกเบี้ยตามระดับของวงเงินฝาก ตั้งแต่ร้อยละ 2.00-2.20 ต่อปี และมอบประกันอุบัติเหตุคุ้มครองชีวิตผู้ฝากเงินตลอด 24 ชั่วโมงทั่วโลก โดยจะชดเชยค่าสินไหมทดแทนเป็น 2 เท่าของยอดเงินฝากคงเหลือในบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ของลูกค้าทุกบัญชีรวมกันก่อนวันเกิดเหตุ1 วัน โดยจะชดเชยสูงสุดถึง 1 ล้านบาท
++ จัดโปรฯผูกบัตรเครดิตกับเอ็มเพย์
นายวรุณเทพ วัชราภรณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอดวานซ์ เอ็มเพย์ จำกัด เปิดเผยว่า ล่าสุดเปิดให้ลูกค้าสามารถนำบัตรเครดิตของVISA และ MASTERCARD ที่ถืออยู่ มาผูกเข้ากับบริการ mPAY เพื่อใช้เป็นกระเป๋าเงินบนมือถือได้ด้วยวิธีง่ายๆ ด้วยตัวคุณเองผ่านมือถือ เพียงแค่โทร. *555 กด 7 แล้วทำตามระบบ ก็สมัครผูกบัตรเครดิตกับ mPAY ได้แล้ว พร้อมมอบโปรโมชั่นพิเศษรับฟรีค่าโทร.เพิ่มในรอบบิลถัดไป พร้อมรับอีกต่อคะแนนสะสมจากบัตรเครดิตอีกด้วย
siamrath
http://www.siamrath.co.th/Economic.asp?ReviewID=179740
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news15/08/07
โพสต์ที่ 117
ไฟเขียวขนเงินลงทุนเมืองนอก - 15/8/2550
ไฟเขียวขนเงินลงทุนเมืองนอก
++ ดึงหลักทรัพย์ตปท.จดทะเบียนไทยก.ย.นี้
ก.ล.ต.อนุมัตินักลงทุนขนเงินลงทุนต่างประเทศ วงเงินไม่เกิน 5 ล้านเหรียญ ส่วนสถาบัน 50 ล้านเหรียญ มีเงินรอกว่า 1.2 แสนล้าน เตรียมชงบอร์ดเปิดทางนำหลักทรัพย์นอกจดทะเบียนตลาดหุ้นไทยก.ย.นี้ รอตรวจงบแบงก์พาณิชย์ย้อนหลังลงทุนตรสารซีดีโอลงบัญชีถูกหรือไม่ ลุ้นผลตั้งประธานตลท.วันนี้ ตลาดตราสารหนี้ลุ้นคลังแก้กฎหมาย
นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาลเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)เปิดเผยว่า ก.ล.ต.ได้มีการประชุมร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.)ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) สมาคมบริษัทหลักทรัพย์ และสมาคมบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนเพื่อหารือแนวทางให้ผู้ลงทุนไปลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศเพิ่มเติมโดยที่ประชุมเห็นควรให้มีความยืดหยุ่นในการจัดสรรวงเงินที่กว้างขึ้นนอกเหนือที่ปัจจุบันมีเพียงกองทุนรวมกองทุนสำรองเลี้ยงชีพสามารถลงทุนในต่างประเทศได้
ทั้งนี้ ผู้ลงทุนประเภทสถาบันสามารถลงทุนได้ในวงเงินไม่เกิน 50ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อราย โดยให้ลงทุนผ่านบริษัทนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์หรือซื้อจากบริษัทค้าหลักทรัพย์ขณะที่ผู้ลงทุนทั่วไปสามารถลงทุนได้ในวงเงินไม่เกิน 5ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อรายในหลักทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่มีการกำกับดูแลเว้นแต่เป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงและมีความซับซ้อนจะต้องลงทุนผ่านผู้ประกอบการธุรกิจจัดการกองทุนส่วนบุคคลเท่านั้นโดยผู้ประกอบการธุรกิจหลักทรัพย์จะต้องรายงานการลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศของลูกค้าให้ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) รับทราบตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด
นอกจากนี้ก.ล.ต.ยังอนุญาตให้มีการนำหลักทรัพย์ต่างประเทศมาจดทะเบียนซื้อขายเป็นเงินบาทในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) ได้ ซึ่งอาจเป็นรูปแบบใบรับฝากหลักทรัพย์ต่างประเทศที่เปลี่ยนมือได้ (TCR) โดยอาจเป็น TCR ของหุ้นรายตัวในบริษัทชั้นนำต่างประเทศหรือเป็น TCRของ Exchange traded Fund (ETF) ในต่างประเทศ ซึ่งรูปแบบหุ้นของบริษัทต่างประเทศที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ก.ล.ต.อยู่ระหว่างพิจารณาเกณฑ์และเงื่อนไขอนุญาตซึ่งได้มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาดูแลโดยมีนายกิตติรัตน์ ณ ระนองอดีตกรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์เป็นคณะกรรมการชุดนี้เพื่อศึกษารายละเอียดโดยภายในเดือนก.ย.นี้จะมีการสรุปและเสนอคณะกรรมการให้รับทราบ
นายธีระชัย กล่าวถึงกรณีการลงทุนตราสารต่างประเทศอย่างตราสาร CDO ว่ายังไม่พบบริษัทหลักทรัพย์ รวมถึงบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวมที่เข้าไปลงทุนในตราสาร CDO ส่วนที่ธนาคารพาณิชย์ในประเทศไทยหลายแห่งเข้าไปลงทุนในตราสาร CDOทางก.ล.ต.ได้ให้เจ้าหน้าที่ติดต่อไปยังผู้สอบบัญชีเพื่อให้พิจารณาดูงบบัญชีย้อนหลังในไตรมาส2/50 ว่ามีการบันทึกบัญชีตามราคาตลาดหรือไม่ ตามกฎของบริษัทจดทะเบียน
อนึ่งในวันนี้ (15 ส.ค. 50) จะมีการประชุมคณะกรรมการของ ก.ล.ต.ซึ่งที่ประชุมจะมีการสรรหาประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)คนใหม่
ด้านนายมาริษ ท่าราบ นายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กล่าวว่าสมาคมได้ประเมินตัวเลขเงินที่สามารถไปลงทุนต่างประเทศภายใต้กองทุนส่วนบุคคลอยู่ที่ประมาณ 1.2 แสนล้านบาท โดยคิดเป็นร้อยละ 5ของเงินฝากในระบบธนาคารพาณิชย์ในบัญชีเงินฝากบุคคลธรรมดาและนิติบุคคลที่มียอดเงินฝากตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไปซึ่งไม่รวมเงินฝากของมูลนิธิสหกรณ์ออมทรัพย์และประกันภัยหรือประกันชีวิตอีกประมาณ 7 แสนล้านบาท
ทางด้านนายณัฐพล ชวลิตชีวิน กรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย(ThaiBMA) กล่าวถึงทิศทางการพัฒนาตลาดตราสารหนี้ไทยว่า ปัจจัยสำคัญคือการที่กระทรวงการคลังกำลังเสนอขอแก้ไขพ.ร.บ.การบริหารหนี้สาธารณะ ถ้าหากทำได้ภายในรัฐบาลนี้ จะช่วยเกื้อหนุนต่อการพัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศได้มากขึ้น
siamrath
http://www.siamrath.co.th/Economic.asp?ReviewID=179735
ไฟเขียวขนเงินลงทุนเมืองนอก
++ ดึงหลักทรัพย์ตปท.จดทะเบียนไทยก.ย.นี้
ก.ล.ต.อนุมัตินักลงทุนขนเงินลงทุนต่างประเทศ วงเงินไม่เกิน 5 ล้านเหรียญ ส่วนสถาบัน 50 ล้านเหรียญ มีเงินรอกว่า 1.2 แสนล้าน เตรียมชงบอร์ดเปิดทางนำหลักทรัพย์นอกจดทะเบียนตลาดหุ้นไทยก.ย.นี้ รอตรวจงบแบงก์พาณิชย์ย้อนหลังลงทุนตรสารซีดีโอลงบัญชีถูกหรือไม่ ลุ้นผลตั้งประธานตลท.วันนี้ ตลาดตราสารหนี้ลุ้นคลังแก้กฎหมาย
นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาลเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)เปิดเผยว่า ก.ล.ต.ได้มีการประชุมร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.)ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) สมาคมบริษัทหลักทรัพย์ และสมาคมบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนเพื่อหารือแนวทางให้ผู้ลงทุนไปลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศเพิ่มเติมโดยที่ประชุมเห็นควรให้มีความยืดหยุ่นในการจัดสรรวงเงินที่กว้างขึ้นนอกเหนือที่ปัจจุบันมีเพียงกองทุนรวมกองทุนสำรองเลี้ยงชีพสามารถลงทุนในต่างประเทศได้
ทั้งนี้ ผู้ลงทุนประเภทสถาบันสามารถลงทุนได้ในวงเงินไม่เกิน 50ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อราย โดยให้ลงทุนผ่านบริษัทนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์หรือซื้อจากบริษัทค้าหลักทรัพย์ขณะที่ผู้ลงทุนทั่วไปสามารถลงทุนได้ในวงเงินไม่เกิน 5ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อรายในหลักทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่มีการกำกับดูแลเว้นแต่เป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงและมีความซับซ้อนจะต้องลงทุนผ่านผู้ประกอบการธุรกิจจัดการกองทุนส่วนบุคคลเท่านั้นโดยผู้ประกอบการธุรกิจหลักทรัพย์จะต้องรายงานการลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศของลูกค้าให้ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) รับทราบตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด
นอกจากนี้ก.ล.ต.ยังอนุญาตให้มีการนำหลักทรัพย์ต่างประเทศมาจดทะเบียนซื้อขายเป็นเงินบาทในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) ได้ ซึ่งอาจเป็นรูปแบบใบรับฝากหลักทรัพย์ต่างประเทศที่เปลี่ยนมือได้ (TCR) โดยอาจเป็น TCR ของหุ้นรายตัวในบริษัทชั้นนำต่างประเทศหรือเป็น TCRของ Exchange traded Fund (ETF) ในต่างประเทศ ซึ่งรูปแบบหุ้นของบริษัทต่างประเทศที่จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ก.ล.ต.อยู่ระหว่างพิจารณาเกณฑ์และเงื่อนไขอนุญาตซึ่งได้มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาดูแลโดยมีนายกิตติรัตน์ ณ ระนองอดีตกรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์เป็นคณะกรรมการชุดนี้เพื่อศึกษารายละเอียดโดยภายในเดือนก.ย.นี้จะมีการสรุปและเสนอคณะกรรมการให้รับทราบ
นายธีระชัย กล่าวถึงกรณีการลงทุนตราสารต่างประเทศอย่างตราสาร CDO ว่ายังไม่พบบริษัทหลักทรัพย์ รวมถึงบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวมที่เข้าไปลงทุนในตราสาร CDO ส่วนที่ธนาคารพาณิชย์ในประเทศไทยหลายแห่งเข้าไปลงทุนในตราสาร CDOทางก.ล.ต.ได้ให้เจ้าหน้าที่ติดต่อไปยังผู้สอบบัญชีเพื่อให้พิจารณาดูงบบัญชีย้อนหลังในไตรมาส2/50 ว่ามีการบันทึกบัญชีตามราคาตลาดหรือไม่ ตามกฎของบริษัทจดทะเบียน
อนึ่งในวันนี้ (15 ส.ค. 50) จะมีการประชุมคณะกรรมการของ ก.ล.ต.ซึ่งที่ประชุมจะมีการสรรหาประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)คนใหม่
ด้านนายมาริษ ท่าราบ นายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กล่าวว่าสมาคมได้ประเมินตัวเลขเงินที่สามารถไปลงทุนต่างประเทศภายใต้กองทุนส่วนบุคคลอยู่ที่ประมาณ 1.2 แสนล้านบาท โดยคิดเป็นร้อยละ 5ของเงินฝากในระบบธนาคารพาณิชย์ในบัญชีเงินฝากบุคคลธรรมดาและนิติบุคคลที่มียอดเงินฝากตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไปซึ่งไม่รวมเงินฝากของมูลนิธิสหกรณ์ออมทรัพย์และประกันภัยหรือประกันชีวิตอีกประมาณ 7 แสนล้านบาท
ทางด้านนายณัฐพล ชวลิตชีวิน กรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย(ThaiBMA) กล่าวถึงทิศทางการพัฒนาตลาดตราสารหนี้ไทยว่า ปัจจัยสำคัญคือการที่กระทรวงการคลังกำลังเสนอขอแก้ไขพ.ร.บ.การบริหารหนี้สาธารณะ ถ้าหากทำได้ภายในรัฐบาลนี้ จะช่วยเกื้อหนุนต่อการพัฒนาตลาดตราสารหนี้ในประเทศได้มากขึ้น
siamrath
http://www.siamrath.co.th/Economic.asp?ReviewID=179735
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news15/08/07
โพสต์ที่ 118
กลต.ล้วงงบ4แบงก์
โพสต์ทูเดย์ ก.ล.ต.ส่งเจ้าหน้าที่สอบงบไตรมาส 2 ของ 4 แบงก์ที่ลงทุนใน CDO ว่าบันทึกบัญชีถูกต้องหรือไม่ ซับไพรม์ป่วนหุ้นไม่หยุด ดัชนีหลุด 800 จุด
นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาลเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวถึงกรณีที่มีธนาคารพาณิชย์ไทย 4 แห่งเข้าไปลงทุนในตราสารหนี้ที่มีหลักทรัพย์อ้างอิงของสหรัฐอเมริกา หรือ CDO ว่าทาง ก.ล.ต.จะให้เจ้าหน้าที่ติดต่อไปยังผู้สอบบัญชีของธนาคารเหล่านั้น เพื่อให้พิจารณาดูงบการเงินย้อนหลังในไตรมาส 2 ปี 2550 ว่ามีการบันทึกบัญชีตามมูลค่าตลาด (mark to market) หรือไม่
ตามปกติแล้วบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ทุกแห่งในตลาดหลักทรัพย์ต้องมีการลงบัญชี mark to market สำหรับการลงทุนในทุกไตรมาส
ทั้งนี้ 4 ธนาคารประกอบด้วยธนาคารไทยธนาคาร (BT) กรุงเทพ(BBL) กรุงไทย (KTB) และกรุงศรีอยุธยา (BAY)
นายธีระชัย กล่าวว่า ได้ตรวจสอบพอร์ตการลงทุนของบริษัทหลักทรัพย์และบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) แล้วไม่พบว่ามีการลงทุนในตราสารดังกล่าว
สำหรับการอนุญาตให้ผู้ลงทุนทั่วไปออกไปลงทุนต่างประเทศเพื่อช่วยผ่อนคลายปัญหาเงินบาทแข็งค่าล่าสุดทางธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อนุมัติให้ออกไปลงทุนได้รายละไม่เกิน 5 ล้านเหรียญสหรัฐ
นอกจากนั้นยังอนุญาตให้สถาบันทั้งมูลนิธิมหาวิทยาลัย สหกรณ์ออมทรัพย์ออกไปลงทุนได้ด้วย จากเดิมให้เฉพาะสถาบันการเงินวงเงินไม่เกิน 50 ล้านเหรียญสหรัฐต่อราย
ทั้งนี้ เบื้องต้นคาดว่าจะมีเม็ดเงินของผู้ลงทุนรายบุคคลจะไปลงทุนต่างประเทศประมาณ 1.2 แสนล้านบาท และเงินฝากของมูลนิธิสหกรณ์ออมทรัพย์และประกันภัยประกันชีวิตอีก 7 แสนล้านบาท ซึ่ง ก.ล.ต.อยู่ระหว่างยกร่างเกณฑ์คาดว่าจะเสร็จในเดือน ก.ย.นี้
ก.ล.ต.กำหนดให้ บล.ต้องรายงานการนำเงินออกไปลงทุนให้ ธปท.รับทราบเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ลงทุนเก็งกำไรค่าเงินบาทระหว่างตลาดต่างประเทศและเงินบาทในประเทศ นายธีระชัย กล่าว
ด้านตลาดหุ้นไทยยังคงรับผลกระทบจากซับไพรม์ลุกลามทั่วโลกอยู่ แม้ตลาดหุ้นต่างประเทศหลายแห่งเริ่มทรงตัวได้แล้ว โดยนักลงทุนต่างชาติยังขายหนักกว่า 3,981 ล้านบาท ทุบดัชนีหลุดระดับ 800 จุดและปิดตลาดที่ 793.82 จุด ลดลง 11.02 จุด หรือ 1.37% ด้วยมูลค่าการซื้อขายทั้งสิ้น 15,689.41 ล้านบาท
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์สวิเคราะห์ว่า แรงขายจากนักลงทุนต่างชาติยังคงเกิดขึ้นต่อเนื่อง เพราะขายตอนนี้ยังมีกำไรประมาณ 17-24% และการขายรอบนี้ก็มีโอกาสที่จะทำให้ดัชนีลดลงไปแตะระดับ 770 จุดได้
ทั้งนี้ ต่างชาติเข้ามาเก็บตั้งแต่ ม.ค.ถึง เม.ย. ตอนนั้นดัชนีอยู่ที่ 648-690 จุด มีเม็ดเงินรวม 4.23 หมื่นล้านบาท และแรงซื้อเมื่อเดือน พ.ค.-ก.ค. ที่ดัชนี 720-837 จุด อีก 8.54 หมื่นล้านบาท
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=185086
โพสต์ทูเดย์ ก.ล.ต.ส่งเจ้าหน้าที่สอบงบไตรมาส 2 ของ 4 แบงก์ที่ลงทุนใน CDO ว่าบันทึกบัญชีถูกต้องหรือไม่ ซับไพรม์ป่วนหุ้นไม่หยุด ดัชนีหลุด 800 จุด
นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาลเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวถึงกรณีที่มีธนาคารพาณิชย์ไทย 4 แห่งเข้าไปลงทุนในตราสารหนี้ที่มีหลักทรัพย์อ้างอิงของสหรัฐอเมริกา หรือ CDO ว่าทาง ก.ล.ต.จะให้เจ้าหน้าที่ติดต่อไปยังผู้สอบบัญชีของธนาคารเหล่านั้น เพื่อให้พิจารณาดูงบการเงินย้อนหลังในไตรมาส 2 ปี 2550 ว่ามีการบันทึกบัญชีตามมูลค่าตลาด (mark to market) หรือไม่
ตามปกติแล้วบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ทุกแห่งในตลาดหลักทรัพย์ต้องมีการลงบัญชี mark to market สำหรับการลงทุนในทุกไตรมาส
ทั้งนี้ 4 ธนาคารประกอบด้วยธนาคารไทยธนาคาร (BT) กรุงเทพ(BBL) กรุงไทย (KTB) และกรุงศรีอยุธยา (BAY)
นายธีระชัย กล่าวว่า ได้ตรวจสอบพอร์ตการลงทุนของบริษัทหลักทรัพย์และบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) แล้วไม่พบว่ามีการลงทุนในตราสารดังกล่าว
สำหรับการอนุญาตให้ผู้ลงทุนทั่วไปออกไปลงทุนต่างประเทศเพื่อช่วยผ่อนคลายปัญหาเงินบาทแข็งค่าล่าสุดทางธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อนุมัติให้ออกไปลงทุนได้รายละไม่เกิน 5 ล้านเหรียญสหรัฐ
นอกจากนั้นยังอนุญาตให้สถาบันทั้งมูลนิธิมหาวิทยาลัย สหกรณ์ออมทรัพย์ออกไปลงทุนได้ด้วย จากเดิมให้เฉพาะสถาบันการเงินวงเงินไม่เกิน 50 ล้านเหรียญสหรัฐต่อราย
ทั้งนี้ เบื้องต้นคาดว่าจะมีเม็ดเงินของผู้ลงทุนรายบุคคลจะไปลงทุนต่างประเทศประมาณ 1.2 แสนล้านบาท และเงินฝากของมูลนิธิสหกรณ์ออมทรัพย์และประกันภัยประกันชีวิตอีก 7 แสนล้านบาท ซึ่ง ก.ล.ต.อยู่ระหว่างยกร่างเกณฑ์คาดว่าจะเสร็จในเดือน ก.ย.นี้
ก.ล.ต.กำหนดให้ บล.ต้องรายงานการนำเงินออกไปลงทุนให้ ธปท.รับทราบเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ลงทุนเก็งกำไรค่าเงินบาทระหว่างตลาดต่างประเทศและเงินบาทในประเทศ นายธีระชัย กล่าว
ด้านตลาดหุ้นไทยยังคงรับผลกระทบจากซับไพรม์ลุกลามทั่วโลกอยู่ แม้ตลาดหุ้นต่างประเทศหลายแห่งเริ่มทรงตัวได้แล้ว โดยนักลงทุนต่างชาติยังขายหนักกว่า 3,981 ล้านบาท ทุบดัชนีหลุดระดับ 800 จุดและปิดตลาดที่ 793.82 จุด ลดลง 11.02 จุด หรือ 1.37% ด้วยมูลค่าการซื้อขายทั้งสิ้น 15,689.41 ล้านบาท
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์สวิเคราะห์ว่า แรงขายจากนักลงทุนต่างชาติยังคงเกิดขึ้นต่อเนื่อง เพราะขายตอนนี้ยังมีกำไรประมาณ 17-24% และการขายรอบนี้ก็มีโอกาสที่จะทำให้ดัชนีลดลงไปแตะระดับ 770 จุดได้
ทั้งนี้ ต่างชาติเข้ามาเก็บตั้งแต่ ม.ค.ถึง เม.ย. ตอนนั้นดัชนีอยู่ที่ 648-690 จุด มีเม็ดเงินรวม 4.23 หมื่นล้านบาท และแรงซื้อเมื่อเดือน พ.ค.-ก.ค. ที่ดัชนี 720-837 จุด อีก 8.54 หมื่นล้านบาท
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=185086
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news17/08/07
โพสต์ที่ 119
เตือนผู้ประกอบการบัตรเครดิต ครึ่งปีหลังลูกค้าหมุนหนี้ไม่ทัน
โดย มติชน วัน ศุกร์ ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2550 10:48 น.
บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด ได้เผยแพร่รายงานเรื่อง ธุรกิจบัตรเครดิตครึ่งหลังปี 50 ฆปัญหาที่ต้องระวัง โดยระบุว่า ธุรกิจบัตรเครดิตในช่วงครึ่งหลังของปี 2550 จะยังคงชะลอตัว เนื่องจากปัจจัยความไม่แน่นอนทางการเมืองและเศรษฐกิจ โดยเฉพาะเรื่องค่าเงินบาทที่อาจส่งผลกระทบเกี่ยวเนื่องกับธุรกิจส่งออกในขณะนี้ และอาจทำให้เกิดผลกระทบต่อภาวะการจ้างงาน ซึ่งเป็นปัจจัยที่สร้างความกังวลต่อผู้บริโภคเพิ่มความระมัดระวังในการใช้จ่ายมากขึ้น แต่คาดว่าการแข่งขันระหว่างผู้ประกอบการยังคงเข้มข้น โดยเน้นการจัดแคมเปญส่งเสริมการขายและบริการมากขึ้น เพื่อกระตุ้นให้ผู้ถือบัตรใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต รวมถึงการขยายฐานบัตรใหม่
อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่ยังคงเป็นที่จับตามองที่อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อธุรกิจสินเชื่อบัตรเครดิตในอนาคต คือ ความสามารถในการผ่อนชำระสินเชื่อของผู้บริโภคบางกลุ่ม ทั้งนี้ การปรับขึ้นการชำระขั้นต่ำยอดสินเชื่อคงค้างบัตรเครดิตจาก 5% เป็น 10% ที่มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2550 และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยบัตรเครดิตจาก 18% เป็น 20% (รวมค่าธรรมเนียมไม่เกิน 20%) มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2550 อาจส่งผลต่อความสามารถในการผ่อนชำระสินเชื่อลดลง นอกจากนี้ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยบัตรเครดิตที่ยังส่งผลต่อยอดสินเชื่อคงค้างเพิ่มขึ้น และวงเงินชำระขั้นต่ำในรอบบัญชีถัดไปเพิ่มขึ้นด้วย ซึ่งมีผลให้ผู้ที่เป็นหนี้บัตรเครดิตจะต้องผ่อนชำระในเวลาที่ยาวนานขึ้นกว่าเดิมหากรายได้ไม่ได้เพิ่มขึ้น
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า มีความเป็นไปได้ที่ในระยะแรกเริ่มผู้ถือบัตรเครดิตอาจยังคงสามารถหมุนหนี้ โดยการนำสินเชื่อจากแหล่งอื่น เช่น สินเชื่อเงินสดอเนกประสงค์ บัตรเบิกเงินสด หรือการขอสินเชื่อนอกระบบ เป็นต้น เพื่อมาจ่ายชำระขั้นต่ำบัตรเครดิตที่ 10% ของยอดคงค้าง แต่เมื่อผู้ถือบัตรไม่สามารถหมุนเงินเพื่อนำมาชำระหนี้ได้แล้ว ความเสี่ยงต่อระบบสินเชื่อก็จะปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นวงกว้างได้ในอนาคต ซึ่งคาดว่าผู้ประกอบการคงจะเฝ้าระวังและติดตามตัวเลขการเพิ่มขึ้นของยอดสินเชื่อคงค้างบัตรเครดิตในช่วงครึ่งหลังของปี 2550 นี้
http://news.sanook.com/economic/economic_170085.php
โดย มติชน วัน ศุกร์ ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2550 10:48 น.
บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด ได้เผยแพร่รายงานเรื่อง ธุรกิจบัตรเครดิตครึ่งหลังปี 50 ฆปัญหาที่ต้องระวัง โดยระบุว่า ธุรกิจบัตรเครดิตในช่วงครึ่งหลังของปี 2550 จะยังคงชะลอตัว เนื่องจากปัจจัยความไม่แน่นอนทางการเมืองและเศรษฐกิจ โดยเฉพาะเรื่องค่าเงินบาทที่อาจส่งผลกระทบเกี่ยวเนื่องกับธุรกิจส่งออกในขณะนี้ และอาจทำให้เกิดผลกระทบต่อภาวะการจ้างงาน ซึ่งเป็นปัจจัยที่สร้างความกังวลต่อผู้บริโภคเพิ่มความระมัดระวังในการใช้จ่ายมากขึ้น แต่คาดว่าการแข่งขันระหว่างผู้ประกอบการยังคงเข้มข้น โดยเน้นการจัดแคมเปญส่งเสริมการขายและบริการมากขึ้น เพื่อกระตุ้นให้ผู้ถือบัตรใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต รวมถึงการขยายฐานบัตรใหม่
อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่ยังคงเป็นที่จับตามองที่อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อธุรกิจสินเชื่อบัตรเครดิตในอนาคต คือ ความสามารถในการผ่อนชำระสินเชื่อของผู้บริโภคบางกลุ่ม ทั้งนี้ การปรับขึ้นการชำระขั้นต่ำยอดสินเชื่อคงค้างบัตรเครดิตจาก 5% เป็น 10% ที่มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2550 และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยบัตรเครดิตจาก 18% เป็น 20% (รวมค่าธรรมเนียมไม่เกิน 20%) มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2550 อาจส่งผลต่อความสามารถในการผ่อนชำระสินเชื่อลดลง นอกจากนี้ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยบัตรเครดิตที่ยังส่งผลต่อยอดสินเชื่อคงค้างเพิ่มขึ้น และวงเงินชำระขั้นต่ำในรอบบัญชีถัดไปเพิ่มขึ้นด้วย ซึ่งมีผลให้ผู้ที่เป็นหนี้บัตรเครดิตจะต้องผ่อนชำระในเวลาที่ยาวนานขึ้นกว่าเดิมหากรายได้ไม่ได้เพิ่มขึ้น
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า มีความเป็นไปได้ที่ในระยะแรกเริ่มผู้ถือบัตรเครดิตอาจยังคงสามารถหมุนหนี้ โดยการนำสินเชื่อจากแหล่งอื่น เช่น สินเชื่อเงินสดอเนกประสงค์ บัตรเบิกเงินสด หรือการขอสินเชื่อนอกระบบ เป็นต้น เพื่อมาจ่ายชำระขั้นต่ำบัตรเครดิตที่ 10% ของยอดคงค้าง แต่เมื่อผู้ถือบัตรไม่สามารถหมุนเงินเพื่อนำมาชำระหนี้ได้แล้ว ความเสี่ยงต่อระบบสินเชื่อก็จะปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นวงกว้างได้ในอนาคต ซึ่งคาดว่าผู้ประกอบการคงจะเฝ้าระวังและติดตามตัวเลขการเพิ่มขึ้นของยอดสินเชื่อคงค้างบัตรเครดิตในช่วงครึ่งหลังของปี 2550 นี้
http://news.sanook.com/economic/economic_170085.php
-
- Verified User
- โพสต์: 7514
- ผู้ติดตาม: 0
news17/08/07
โพสต์ที่ 120
ซับไพร์ม' บทเรียน แบงก์ชาติ-สถาบันการเงิน
17 สิงหาคม พ.ศ. 2550 08:00:00
ปัญหาหนี้เสียในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐอเมริกาที่ส่งผลกระทบต่อประเทศต่างๆ ทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทยด้วยนั้น ถือเป็นอีกหนึ่งบทเรียนสำคัญของทางการไทยอย่างแบงก์ชาติและธนาคารพาณิชย์ไทย
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : แม้ว่าธนาคารพาณิชย์ไทยทั้ง 4 แห่ง ได้แก่ ธนาคารไทยธนาคาร ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา และธนาคารกรุงเทพ จะลงทุนในหลักทรัพย์ประเภทซับไพร์ม (subprime) ของสหรัฐ หรือลูกหนี้ที่มีศักยภาพในการใช้หนี้ต่ำ มีรายได้ไม่สม่ำเสมอและไม่มีประวัติการจ่ายคืนหนี้ที่ดี ตามหลักเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (แบงก์ชาติ) กำหนดไว้ คือ ได้รับการจัดอันดับเครดิต BBB ขึ้นไป (investment grade) แต่การปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ของแบงก์ชาติอาจไม่เพียงพอและไม่คุ้มค่า เพื่อแลกกับผลตอบแทนที่สูง หากกระทำโดยปราศจากการวิเคราะห์และมองการณ์ไกล
ถ้าหากปัญหาซับไพร์มลุกลามไปยังลูกหนี้ชั้นดีด้วยแล้ว ธนาคารพาณิชย์ทั้งหมดทั้ง 4 แห่งย่อมได้รับผลกระทบเข้าอย่างจัง ไม่นับรวมผลกระทบทางอ้อมที่จะเกิดขึ้นกับตลาดเงิน ตลาดทุน และเศรษฐกิจของไทย
นายเกริก วณิกกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการแบงก์ชาติ กล่าวว่า การกำกับดูแลการบริหารความเสี่ยงของธนาคารพาณิชย์ในปัจจุบันมีความเข้มข้นดีอยู่แล้ว แต่เหตุการณ์ในครั้งนี้ถือเป็นบทเรียนของธนาคาร ที่จะต้องบริหารความเสี่ยงอย่างระมัดระวัง มิฉะนั้นแล้วก็จะได้รับผลกระทบตามมา
เหตุการณ์ในครั้งนี้ถือเป็นบทเรียน ซึ่งก็เป็นเรื่องธรรมดาที่ทุกบทเรียนย่อมมีต้นทุนตามมา และไม่ใช่ไทยเท่านั้นที่ได้รับผลกระทบ ตอนที่ตราสารอนุพันธ์เกิดใหม่ๆ ธนาคารพาณิชย์เยอรมันก็เคยได้รับบทเรียนมาแล้วเช่นกัน ผู้ช่วยผู้ว่าการแบงก์ชาติ กล่าว
แบงก์ชาติเปิดให้ธนาคารพาณิชย์ออกไปลงทุนตราสารประเภทใหม่ๆ ตั้งแต่ปลายปี 2547 เพื่อเพิ่มช่องทางในการลงทุน และยังเป็นการสนับสนุนธุรกรรมทางการเงินประเภทใหม่ๆ ปรากฏว่ามีธนาคารพาณิชย์ 4 แห่งที่ออกไปลงทุนในตราสารที่มีลักษณะซับซ้อน (Collateralised Debt Obligations- CDOs) ได้แก่ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา และไทยธนาคาร
นางนวอร เดชสุวรรณ ผู้อำนวยการส่วนวิเคราะห์และติดตามฐานะ สายกำกับสถาบันการเงิน กล่าวว่า ธนาคารพาณิชย์ไทยจำนวน 4 แห่ง ลงทุนใน CDOs จำนวน 715 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นเพียง 0.6% ของสินทรัพย์รวมของธนาคารเหล่านั้น และ 1 ใน 4 แห่งนี้ลงทุนในซับไพร์ม ไม่ถึง 0.1% ของสินทรัพย์ของธนาคารนั้น
ธนาคารไทยธนาคารได้ออกมายอมรับว่าได้ลงทุนในตราสาร CDOs จำนวน 420 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 16,988 ล้านบาท โดยเป็นซับไพร์มจำนวน 50 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 1,858 ล้านบาท
ขณะที่รายงานข่าวแจ้งว่า ธนาคารอื่นๆ ลงทุนใน CDOs ที่หนุนหลังสินทรัพย์ประเภทอื่น รวมกันทั้งสิ้น 295 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยธนาคารกรุงไทยลงทุน 160 ล้านเหรียญสหรัฐ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา 85 ล้านเหรียญสหรัฐ และธนาคารกรุงเทพ อีก 50 ล้านเหรียญสหรัฐ
ธนาคารเหล่านี้เริ่มเข้าไปลงทุนตั้งแต่ปลายปี 2547 ซึ่งเป็นปีที่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐกำลังเฟื่องฟู แต่ดูเหมือนว่าธนาคารจะมองแนวโน้มธุรกิจอสังหาฯ ของสหรัฐในแง่ดีเกินไป ท่ามกลางการเก็งกำไรกันอย่างกว้างขวาง จนทำให้ราคาบ้านปรับตัวสูงขึ้นแล้วขึ้นอีกจนเกิดภาวะฟองสบู่
รวมถึงการปล่อยสินเชื่ออย่างหละหลวมของธนาคารพาณิชย์สหรัฐไปยังลูกหนี้ที่มีศักยภาพในการใช้หนี้ต่ำ หรือพวกซับไพร์มนั่นเอง
"ประเด็นอยู่ที่ธนาคารพาณิชย์ไทยลืมที่จะตระหนัก หรือเลือกที่จะมองข้ามว่า เป็นการยากที่ธุรกิจอสังหาฯ ของสหรัฐ ซึ่งขยายตัวในอัตราที่สูงต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2543 จะขยายตัวต่อเนื่องไปได้อีกนาน" นักเศรษฐศาสตร์รายหนึ่งกล่าว
ดังนั้นเมื่อธุรกิจอสังหาฯ ของสหรัฐซึ่งขึ้นถึงจุดสูงสุดในปีที่แล้วได้ชะลอตัวลงอย่างรุนแรง และตามมาด้วยเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ลูกหนี้ซับไพร์มมีความล่าช้าในการชำระหนี้เพิ่มขึ้นอย่างมาก จึงก่อให้เกิดปัญหาต่อตลาดการเงินโลกในวงกว้าง
ที่สำคัญ "แบงก์ชาติ" ไม่ได้เตือนให้ธนาคารพาณิชย์ไทยที่ลงทุนในตราสารเหล่านี้มีความระมัดระวังรอบคอบในการลงทุนและการวิเคราะห์สถานการณ์อย่างที่ควรจะเป็น
แบงก์ชาติเพียงมองว่าธนาคารปฏิบัติตามข้อกำหนดของแบงก์ชาติในการบริหารความเสี่ยง และรายงานให้ทราบเป็นประจำก็เพียงพอแล้ว
แม้ว่าไทยธนาคารจะได้มีการตั้งสำรองสำหรับการขาดทุนจากการลงทุนในซับไพร์มไปแล้ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าการลงทุนใน CDOs ของธนาคารทั้ง 4 แห่ง จะไม่มีความเสี่ยง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากปัญหาลุกลามไปยังลูกหนี้ที่ดีด้วย
ประธานธนาคารกลางสหรัฐ เบน เบอร์นันเก้ ประมาณการไว้ว่าการขาดทุนจากปัญหาซับไพร์มจะไม่เกิน 1 แสนล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นเพียง 0.6% ของจีดีพีของสหรัฐ หรือ 0.02% ของมูลค่าสินทรัพย์ครัวเรือนทั้งหมด อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ทั่วโลกยังไม่นิ่งนอนใจว่าปัญหาซับไพร์มจะหยุดอยู่แค่นั้น
หมายความว่าผลกระทบมายังธนาคารพาณิชย์ไทยไม่ได้หยุดแค่ซับไพร์ม 50 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่หมายถึง CDOs 715 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นเงินบาท สูงถึง 24,000 ล้านบาท
http://www.bangkokbiznews.com/2007/08/1 ... wsid=89751
17 สิงหาคม พ.ศ. 2550 08:00:00
ปัญหาหนี้เสียในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐอเมริกาที่ส่งผลกระทบต่อประเทศต่างๆ ทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทยด้วยนั้น ถือเป็นอีกหนึ่งบทเรียนสำคัญของทางการไทยอย่างแบงก์ชาติและธนาคารพาณิชย์ไทย
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : แม้ว่าธนาคารพาณิชย์ไทยทั้ง 4 แห่ง ได้แก่ ธนาคารไทยธนาคาร ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา และธนาคารกรุงเทพ จะลงทุนในหลักทรัพย์ประเภทซับไพร์ม (subprime) ของสหรัฐ หรือลูกหนี้ที่มีศักยภาพในการใช้หนี้ต่ำ มีรายได้ไม่สม่ำเสมอและไม่มีประวัติการจ่ายคืนหนี้ที่ดี ตามหลักเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (แบงก์ชาติ) กำหนดไว้ คือ ได้รับการจัดอันดับเครดิต BBB ขึ้นไป (investment grade) แต่การปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ของแบงก์ชาติอาจไม่เพียงพอและไม่คุ้มค่า เพื่อแลกกับผลตอบแทนที่สูง หากกระทำโดยปราศจากการวิเคราะห์และมองการณ์ไกล
ถ้าหากปัญหาซับไพร์มลุกลามไปยังลูกหนี้ชั้นดีด้วยแล้ว ธนาคารพาณิชย์ทั้งหมดทั้ง 4 แห่งย่อมได้รับผลกระทบเข้าอย่างจัง ไม่นับรวมผลกระทบทางอ้อมที่จะเกิดขึ้นกับตลาดเงิน ตลาดทุน และเศรษฐกิจของไทย
นายเกริก วณิกกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการแบงก์ชาติ กล่าวว่า การกำกับดูแลการบริหารความเสี่ยงของธนาคารพาณิชย์ในปัจจุบันมีความเข้มข้นดีอยู่แล้ว แต่เหตุการณ์ในครั้งนี้ถือเป็นบทเรียนของธนาคาร ที่จะต้องบริหารความเสี่ยงอย่างระมัดระวัง มิฉะนั้นแล้วก็จะได้รับผลกระทบตามมา
เหตุการณ์ในครั้งนี้ถือเป็นบทเรียน ซึ่งก็เป็นเรื่องธรรมดาที่ทุกบทเรียนย่อมมีต้นทุนตามมา และไม่ใช่ไทยเท่านั้นที่ได้รับผลกระทบ ตอนที่ตราสารอนุพันธ์เกิดใหม่ๆ ธนาคารพาณิชย์เยอรมันก็เคยได้รับบทเรียนมาแล้วเช่นกัน ผู้ช่วยผู้ว่าการแบงก์ชาติ กล่าว
แบงก์ชาติเปิดให้ธนาคารพาณิชย์ออกไปลงทุนตราสารประเภทใหม่ๆ ตั้งแต่ปลายปี 2547 เพื่อเพิ่มช่องทางในการลงทุน และยังเป็นการสนับสนุนธุรกรรมทางการเงินประเภทใหม่ๆ ปรากฏว่ามีธนาคารพาณิชย์ 4 แห่งที่ออกไปลงทุนในตราสารที่มีลักษณะซับซ้อน (Collateralised Debt Obligations- CDOs) ได้แก่ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกรุงศรีอยุธยา และไทยธนาคาร
นางนวอร เดชสุวรรณ ผู้อำนวยการส่วนวิเคราะห์และติดตามฐานะ สายกำกับสถาบันการเงิน กล่าวว่า ธนาคารพาณิชย์ไทยจำนวน 4 แห่ง ลงทุนใน CDOs จำนวน 715 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นเพียง 0.6% ของสินทรัพย์รวมของธนาคารเหล่านั้น และ 1 ใน 4 แห่งนี้ลงทุนในซับไพร์ม ไม่ถึง 0.1% ของสินทรัพย์ของธนาคารนั้น
ธนาคารไทยธนาคารได้ออกมายอมรับว่าได้ลงทุนในตราสาร CDOs จำนวน 420 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 16,988 ล้านบาท โดยเป็นซับไพร์มจำนวน 50 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 1,858 ล้านบาท
ขณะที่รายงานข่าวแจ้งว่า ธนาคารอื่นๆ ลงทุนใน CDOs ที่หนุนหลังสินทรัพย์ประเภทอื่น รวมกันทั้งสิ้น 295 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยธนาคารกรุงไทยลงทุน 160 ล้านเหรียญสหรัฐ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา 85 ล้านเหรียญสหรัฐ และธนาคารกรุงเทพ อีก 50 ล้านเหรียญสหรัฐ
ธนาคารเหล่านี้เริ่มเข้าไปลงทุนตั้งแต่ปลายปี 2547 ซึ่งเป็นปีที่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐกำลังเฟื่องฟู แต่ดูเหมือนว่าธนาคารจะมองแนวโน้มธุรกิจอสังหาฯ ของสหรัฐในแง่ดีเกินไป ท่ามกลางการเก็งกำไรกันอย่างกว้างขวาง จนทำให้ราคาบ้านปรับตัวสูงขึ้นแล้วขึ้นอีกจนเกิดภาวะฟองสบู่
รวมถึงการปล่อยสินเชื่ออย่างหละหลวมของธนาคารพาณิชย์สหรัฐไปยังลูกหนี้ที่มีศักยภาพในการใช้หนี้ต่ำ หรือพวกซับไพร์มนั่นเอง
"ประเด็นอยู่ที่ธนาคารพาณิชย์ไทยลืมที่จะตระหนัก หรือเลือกที่จะมองข้ามว่า เป็นการยากที่ธุรกิจอสังหาฯ ของสหรัฐ ซึ่งขยายตัวในอัตราที่สูงต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2543 จะขยายตัวต่อเนื่องไปได้อีกนาน" นักเศรษฐศาสตร์รายหนึ่งกล่าว
ดังนั้นเมื่อธุรกิจอสังหาฯ ของสหรัฐซึ่งขึ้นถึงจุดสูงสุดในปีที่แล้วได้ชะลอตัวลงอย่างรุนแรง และตามมาด้วยเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ลูกหนี้ซับไพร์มมีความล่าช้าในการชำระหนี้เพิ่มขึ้นอย่างมาก จึงก่อให้เกิดปัญหาต่อตลาดการเงินโลกในวงกว้าง
ที่สำคัญ "แบงก์ชาติ" ไม่ได้เตือนให้ธนาคารพาณิชย์ไทยที่ลงทุนในตราสารเหล่านี้มีความระมัดระวังรอบคอบในการลงทุนและการวิเคราะห์สถานการณ์อย่างที่ควรจะเป็น
แบงก์ชาติเพียงมองว่าธนาคารปฏิบัติตามข้อกำหนดของแบงก์ชาติในการบริหารความเสี่ยง และรายงานให้ทราบเป็นประจำก็เพียงพอแล้ว
แม้ว่าไทยธนาคารจะได้มีการตั้งสำรองสำหรับการขาดทุนจากการลงทุนในซับไพร์มไปแล้ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าการลงทุนใน CDOs ของธนาคารทั้ง 4 แห่ง จะไม่มีความเสี่ยง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากปัญหาลุกลามไปยังลูกหนี้ที่ดีด้วย
ประธานธนาคารกลางสหรัฐ เบน เบอร์นันเก้ ประมาณการไว้ว่าการขาดทุนจากปัญหาซับไพร์มจะไม่เกิน 1 แสนล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นเพียง 0.6% ของจีดีพีของสหรัฐ หรือ 0.02% ของมูลค่าสินทรัพย์ครัวเรือนทั้งหมด อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ทั่วโลกยังไม่นิ่งนอนใจว่าปัญหาซับไพร์มจะหยุดอยู่แค่นั้น
หมายความว่าผลกระทบมายังธนาคารพาณิชย์ไทยไม่ได้หยุดแค่ซับไพร์ม 50 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่หมายถึง CDOs 715 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นเงินบาท สูงถึง 24,000 ล้านบาท
http://www.bangkokbiznews.com/2007/08/1 ... wsid=89751