อยากให้ช่วยแสดงความคิดเห็นหน่อยครับ จากพี่ Invisible hand
- Wvix
- Verified User
- โพสต์: 124
- ผู้ติดตาม: 0
อยากให้ช่วยแสดงความคิดเห็นหน่อยครับ จากพี่ Invisible hand
โพสต์ที่ 1
จากพี่ Invisible hand ครับ
http://www.bbznet.com/scripts/view.php? ... r=numtopic
ผมเห็นหุ้นอสังหาฯ ช่วงนี้ลงมากันมากจน P/e ต่ำกว่า 10 กันหลายตัว ด้วยความกังวลของนักลงทุนว่ารายได้ในไตรมาส 1 จะไม่ดีเนื่องจากได้รับรู้ในไตรมาส 4 ปีก่อนกันหมดแล้ว รวมถึงปัจจัยด้านราคาวัสดุก่อสร้างที่สูงขึ้น การแข่งขันที่มากขึ้น และ margin ที่ลดลงจากการที่ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะและภาษีโอน
จริงๆ แล้วผมชอบหุ้นวัสดุก่อสร้างหรือหุ้นอย่าง HMPRO มากกว่าหุ้นอสังหาฯ เนื่องจากกลุ่มวัสดุก่อสร้างตรงที่มี demand เพิ่มขึ้นจากผลของอสังหาริมทรัพย์ที่ฟื้นตัว ในขณะที่จำนวนผู้ประกอบการเท่าเดิมหรือเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ซึ่งหมายความว่าเค้กใหญ่ขึ้นและคนแบ่งเค้กเท่าเดิม ในขณะที่หุ้นอสังหาริมทรัพย์นั้นแม้ว่า demand จะเพิ่มขึ้นแต่จำนวนผู้ประกอบการก็เพิ่มขึ้นตาม ซึ่งก็เหมือนกับเค้กใหญ่ขึ้นก็จริงแต่คนแบ่งก็มากขึ้นด้วย ดังนั้นคนที่จะต้องได้เค้กเพิ่มขึ้นก็จะต้องมีฝีมือจริงๆ แต่ตอนนี้หุ้นกลุ่มวัสดุก่อสร้างหลายตัวที่น่าสนใจคือ VNG DCC Q-CON ก็มี P/e ที่สูงมาก บางตัวที่ P/E ต่ำก็มี capacity constraint คือใช้เต็มกำลังผลิตและต้องใช้เวลา 2 ปีในการขยาย ด้วยเหตุนี้ผมจึงกลับมาคิดว่าหุ้นอสังหาฯ จะกลับมาน่าสนใจรึเปล่า
ผมคิดว่าหุ้นอสังหาฯ ที่น่าสนใจรอบนี้ เราจะต้องใช้ valuation เป็นหลัก คือจะต้องใช้ P/E และต้องเป็น fully dilute P/E คือรวม warrant ทั้งหมดมาคิดด้วย อย่าง LH P/E ปกติก็ไม่แพงนัก แต่พอเป็น fully diluted ก็นับว่าแพงครับ
นอกจากนี้ประเด็นหนึ่งที่ต้องคิดคือ บริษัทนั้นเสีย tax ในปัจจุบันกี่ % หากยังไม่เสียแสดงว่าบริษัทนั้นมีขาดทุนสะสมที่หัก tax ได้หรือทีเรียกว่า tax shield ซึ่งไม่ช้าก็เร็วบริษัทเหล่านี้จะต้องเริ่มจ่าย income tax ซึ่งหลายคนอาจจะตกใจในผลของมันครับ
ยกตัวอย่างหากบริษัท A มีกำไร 100 บาทในปี 2546 และเริ่มเสียภาษี 30% ในปี 2547 หากบริษัท A สามารถมีกำไรก่อนหักภาษี 150 บาทหรือเติบโต 50% บริษัทจะมีกำไรหลังหักภาษี 105 บาทหรือเติบโตเพียง 5% เท่านั้น
ดังนั้น หุ้นที่ยังไม่เริ่มเสียภาษีเลยควรจะมี P/E ที่ตำกว่าหุ้นที่เริ่มเสียภาษีบ้างแล้วหรือเสียเต็มจำนวนครับ
ผมกำลังนึก pro and con ของหุ้นอสังหา ลอง list มาให้ดูกันนะครับ
Pro
- เศรษฐกิจยังน่าจะเป็นขาขึ้น
- ดอกเบี้ยน่าจะอยู่ในระดับต่ำได้อีกสํกพักใหญ่
Con
- การแข่งขันเพิ่มขึ้น
- วัสดุก่อสร้างแพงขึ้น
- margin ลดลงจากการเริ่มเสียภาษีธุรกิจเฉพาะและภาษีโอนรวม 4.3%
ประเด็นของผม ผมคิดว่าทุกคนคงยอมรับแล้วว่า supply ของอสังหาฯ เพิ่มขึ้นจริงๆ จากการเปิดตัวของโครงการใหม่ๆ ผมจึงคิดว่าปัจจัยที่จะเป็นตัวบอกอนาคตคือ demand ครับ ว่าจะเป็นยังไงต่อไป
เท่าที่ฟังการอภิปรายหรืออ่านมา หลายคนมองตลาดบ้านระดับกลางถึงล่างยังดี ในขณะที่ตลาดบนเริ่มชะลอตัว ในขณะที่ตลาดคอนโดฯ ระดับบนเริ่มอิ่มตัวแต่คอนโดฯ ระดับกลางถึงล่างที่เกาะแนวรถไฟฟ้ายังขยายตัว
ผมมีข้อมูลอันนึงเป็นตัวเลขการจดทะเบียนบ้านเฉพาะในส่วนของบ้านที่สร้างโดยผู้ประกอบการในปี 46 ครับ และวงเล็บข้างหลังจะบอกถึงระดับที่สูงสุดในก่อนวิกฤติครับ
บ้านเดียว 17,911 ( 20,793 ปี 2538 )
ทาวเฮาส์และตึกแถว 12,177 ( 59,031 ปี 2538 )
คอนโดมิเนียม 1,908 ( 67,941 ปี 2537 )
จากตัวเลขจะเห็นว่าบ้านเดี่ยวใกล้ถึงระดับที่เคย peak แล้ว ในขณะที่ทาวเฮาส์และตึกแถวยังต่ำกว่า peak มาก เคยมีคนอธิบายให้ผมฟังเรื่องนี้เพราะตอนนั้นผมเอาตัวเลขนี้ไปให้เค้าดูว่าบ้านเดี่ยวใกล้อิ่มตัวรึยัง ผู้ประกอบการรายหนึ่งอธิบายว่าเป็นเพราะอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลงทำให้กำลังการผ่อนของผู้บริโภคสูงขึ้นก็เลยทำให้ด้วยเงินเท่าเดิม อาจจะซื้อบ้านเดี่ยวได้แทนที่จะซื้อทาวเฮาส์อย่างเดียว
ส่วน คอนโดฯ จะเห็นได้ว่าห่างจาก peak มาก เนื่องจากคอนโดฯ ที่ขายดีในปี 2003 ยังไม่มีโครงการไหนสร้างเสร็จ แต่หากดูจำนวนหน่วยที่เปิดขายในปี 2003 ทั้งหมดก็ไม่น่าจะเกิน 10,000 หน่วย แต่เราก็ต้องยอมรับว่ามีการเก็งกำไรในตลาดคอนโดฯ หนักมากในช่วงปี 2536-2538 เช่น โครงการปลาทอง กะรัต ซึ่งรวมแล้วน่าจะหลายพันหน่วย
มีอีกปัจจัยหนึ่งคือ สัดส่วนระหว่าง developer built กับ self built ในส่วนของบ้านเดี่ยว สัดส่วนนี้จะไม่มีในทาวเฮาส์กับคอนโดเพราะคงไม่มีใครสร้างทาวเฮาส์อยู่เอง หากสัดส่วน developer built เพิ่มขึ้นซึ่งก็หมายความว่าคนไม่นิยมสร้างบ้านเอง ก็จะทำให้ยอดขายของ developer โตแม้ว่า demand จะไม่โต เหตุการณ์นี้มักเกิดช่วงเศรษฐกิจดีซึ่งผู้ที่ต้องการบ้านใหม่มีความมั่นใจในตัวผู้ประกอบการ
มีคนเคยบอกว่าอสังหาฯ cycle จะเป็น 7+7 คือขึ้น 7 ลง 7 หากมองขาขึ้นเที่ยวก่อนอาจจะเริ่มซัก ปี 31 แล้วจบที่ 37 ขาลงเริ่ม 38 แล้วจบ 44 ขาขึ้นเริ่ม 45 และหากทฤษฎีนี้จริงก็น่าจบปี 51 ครับ
ผมจึงอยากให้เพื่อนๆ ทุกคนช่วยกันให้ความเห็นและวิเคราะห์กันนะครับว่ารู้สึกยังไงก็ตลาดอสังหาฯ ในปัจจุบัน ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญหรือในวงการก็ให้ความเห็นได้ครับเช่นอาจจะได้มีโอกาสไปดูโครงการใหม่ๆ หรือมีคนใกล้ชิดกำลังซื้อบ้านแล้วฟังเค้าคุยกันก็ได้ครับ เพราะผมมองว่าหากเราคิดว่า demand น่าจะดีถึงปี 49-50 ผมยังคิดว่าหุ้นบางตัวที่ P/E ต่ำกว่า 10 ตอนนี้ก็น่าสนใจเหมือนกันครับ
http://www.bbznet.com/scripts/view.php? ... r=numtopic
ผมเห็นหุ้นอสังหาฯ ช่วงนี้ลงมากันมากจน P/e ต่ำกว่า 10 กันหลายตัว ด้วยความกังวลของนักลงทุนว่ารายได้ในไตรมาส 1 จะไม่ดีเนื่องจากได้รับรู้ในไตรมาส 4 ปีก่อนกันหมดแล้ว รวมถึงปัจจัยด้านราคาวัสดุก่อสร้างที่สูงขึ้น การแข่งขันที่มากขึ้น และ margin ที่ลดลงจากการที่ต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะและภาษีโอน
จริงๆ แล้วผมชอบหุ้นวัสดุก่อสร้างหรือหุ้นอย่าง HMPRO มากกว่าหุ้นอสังหาฯ เนื่องจากกลุ่มวัสดุก่อสร้างตรงที่มี demand เพิ่มขึ้นจากผลของอสังหาริมทรัพย์ที่ฟื้นตัว ในขณะที่จำนวนผู้ประกอบการเท่าเดิมหรือเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ซึ่งหมายความว่าเค้กใหญ่ขึ้นและคนแบ่งเค้กเท่าเดิม ในขณะที่หุ้นอสังหาริมทรัพย์นั้นแม้ว่า demand จะเพิ่มขึ้นแต่จำนวนผู้ประกอบการก็เพิ่มขึ้นตาม ซึ่งก็เหมือนกับเค้กใหญ่ขึ้นก็จริงแต่คนแบ่งก็มากขึ้นด้วย ดังนั้นคนที่จะต้องได้เค้กเพิ่มขึ้นก็จะต้องมีฝีมือจริงๆ แต่ตอนนี้หุ้นกลุ่มวัสดุก่อสร้างหลายตัวที่น่าสนใจคือ VNG DCC Q-CON ก็มี P/e ที่สูงมาก บางตัวที่ P/E ต่ำก็มี capacity constraint คือใช้เต็มกำลังผลิตและต้องใช้เวลา 2 ปีในการขยาย ด้วยเหตุนี้ผมจึงกลับมาคิดว่าหุ้นอสังหาฯ จะกลับมาน่าสนใจรึเปล่า
ผมคิดว่าหุ้นอสังหาฯ ที่น่าสนใจรอบนี้ เราจะต้องใช้ valuation เป็นหลัก คือจะต้องใช้ P/E และต้องเป็น fully dilute P/E คือรวม warrant ทั้งหมดมาคิดด้วย อย่าง LH P/E ปกติก็ไม่แพงนัก แต่พอเป็น fully diluted ก็นับว่าแพงครับ
นอกจากนี้ประเด็นหนึ่งที่ต้องคิดคือ บริษัทนั้นเสีย tax ในปัจจุบันกี่ % หากยังไม่เสียแสดงว่าบริษัทนั้นมีขาดทุนสะสมที่หัก tax ได้หรือทีเรียกว่า tax shield ซึ่งไม่ช้าก็เร็วบริษัทเหล่านี้จะต้องเริ่มจ่าย income tax ซึ่งหลายคนอาจจะตกใจในผลของมันครับ
ยกตัวอย่างหากบริษัท A มีกำไร 100 บาทในปี 2546 และเริ่มเสียภาษี 30% ในปี 2547 หากบริษัท A สามารถมีกำไรก่อนหักภาษี 150 บาทหรือเติบโต 50% บริษัทจะมีกำไรหลังหักภาษี 105 บาทหรือเติบโตเพียง 5% เท่านั้น
ดังนั้น หุ้นที่ยังไม่เริ่มเสียภาษีเลยควรจะมี P/E ที่ตำกว่าหุ้นที่เริ่มเสียภาษีบ้างแล้วหรือเสียเต็มจำนวนครับ
ผมกำลังนึก pro and con ของหุ้นอสังหา ลอง list มาให้ดูกันนะครับ
Pro
- เศรษฐกิจยังน่าจะเป็นขาขึ้น
- ดอกเบี้ยน่าจะอยู่ในระดับต่ำได้อีกสํกพักใหญ่
Con
- การแข่งขันเพิ่มขึ้น
- วัสดุก่อสร้างแพงขึ้น
- margin ลดลงจากการเริ่มเสียภาษีธุรกิจเฉพาะและภาษีโอนรวม 4.3%
ประเด็นของผม ผมคิดว่าทุกคนคงยอมรับแล้วว่า supply ของอสังหาฯ เพิ่มขึ้นจริงๆ จากการเปิดตัวของโครงการใหม่ๆ ผมจึงคิดว่าปัจจัยที่จะเป็นตัวบอกอนาคตคือ demand ครับ ว่าจะเป็นยังไงต่อไป
เท่าที่ฟังการอภิปรายหรืออ่านมา หลายคนมองตลาดบ้านระดับกลางถึงล่างยังดี ในขณะที่ตลาดบนเริ่มชะลอตัว ในขณะที่ตลาดคอนโดฯ ระดับบนเริ่มอิ่มตัวแต่คอนโดฯ ระดับกลางถึงล่างที่เกาะแนวรถไฟฟ้ายังขยายตัว
ผมมีข้อมูลอันนึงเป็นตัวเลขการจดทะเบียนบ้านเฉพาะในส่วนของบ้านที่สร้างโดยผู้ประกอบการในปี 46 ครับ และวงเล็บข้างหลังจะบอกถึงระดับที่สูงสุดในก่อนวิกฤติครับ
บ้านเดียว 17,911 ( 20,793 ปี 2538 )
ทาวเฮาส์และตึกแถว 12,177 ( 59,031 ปี 2538 )
คอนโดมิเนียม 1,908 ( 67,941 ปี 2537 )
จากตัวเลขจะเห็นว่าบ้านเดี่ยวใกล้ถึงระดับที่เคย peak แล้ว ในขณะที่ทาวเฮาส์และตึกแถวยังต่ำกว่า peak มาก เคยมีคนอธิบายให้ผมฟังเรื่องนี้เพราะตอนนั้นผมเอาตัวเลขนี้ไปให้เค้าดูว่าบ้านเดี่ยวใกล้อิ่มตัวรึยัง ผู้ประกอบการรายหนึ่งอธิบายว่าเป็นเพราะอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลงทำให้กำลังการผ่อนของผู้บริโภคสูงขึ้นก็เลยทำให้ด้วยเงินเท่าเดิม อาจจะซื้อบ้านเดี่ยวได้แทนที่จะซื้อทาวเฮาส์อย่างเดียว
ส่วน คอนโดฯ จะเห็นได้ว่าห่างจาก peak มาก เนื่องจากคอนโดฯ ที่ขายดีในปี 2003 ยังไม่มีโครงการไหนสร้างเสร็จ แต่หากดูจำนวนหน่วยที่เปิดขายในปี 2003 ทั้งหมดก็ไม่น่าจะเกิน 10,000 หน่วย แต่เราก็ต้องยอมรับว่ามีการเก็งกำไรในตลาดคอนโดฯ หนักมากในช่วงปี 2536-2538 เช่น โครงการปลาทอง กะรัต ซึ่งรวมแล้วน่าจะหลายพันหน่วย
มีอีกปัจจัยหนึ่งคือ สัดส่วนระหว่าง developer built กับ self built ในส่วนของบ้านเดี่ยว สัดส่วนนี้จะไม่มีในทาวเฮาส์กับคอนโดเพราะคงไม่มีใครสร้างทาวเฮาส์อยู่เอง หากสัดส่วน developer built เพิ่มขึ้นซึ่งก็หมายความว่าคนไม่นิยมสร้างบ้านเอง ก็จะทำให้ยอดขายของ developer โตแม้ว่า demand จะไม่โต เหตุการณ์นี้มักเกิดช่วงเศรษฐกิจดีซึ่งผู้ที่ต้องการบ้านใหม่มีความมั่นใจในตัวผู้ประกอบการ
มีคนเคยบอกว่าอสังหาฯ cycle จะเป็น 7+7 คือขึ้น 7 ลง 7 หากมองขาขึ้นเที่ยวก่อนอาจจะเริ่มซัก ปี 31 แล้วจบที่ 37 ขาลงเริ่ม 38 แล้วจบ 44 ขาขึ้นเริ่ม 45 และหากทฤษฎีนี้จริงก็น่าจบปี 51 ครับ
ผมจึงอยากให้เพื่อนๆ ทุกคนช่วยกันให้ความเห็นและวิเคราะห์กันนะครับว่ารู้สึกยังไงก็ตลาดอสังหาฯ ในปัจจุบัน ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญหรือในวงการก็ให้ความเห็นได้ครับเช่นอาจจะได้มีโอกาสไปดูโครงการใหม่ๆ หรือมีคนใกล้ชิดกำลังซื้อบ้านแล้วฟังเค้าคุยกันก็ได้ครับ เพราะผมมองว่าหากเราคิดว่า demand น่าจะดีถึงปี 49-50 ผมยังคิดว่าหุ้นบางตัวที่ P/E ต่ำกว่า 10 ตอนนี้ก็น่าสนใจเหมือนกันครับ
- ayethebing
- Verified User
- โพสต์: 2125
- ผู้ติดตาม: 0
อยากให้ช่วยแสดงความคิดเห็นหน่อยครับ จากพี่ Invisible hand
โพสต์ที่ 2
ผมมุมมองไม่ได้ลึกซึ้งอะไรมากครับเพียงแต่ที่ผมสังเกตุได้มีคือเคยเห็นโฆษณาของบริษัทพวกขายบ้านเต็มหน้าหนังสือพิมพ์มั้ยครับ เคยเห็นขายบ้านแจกรถมั้ยครับ ได้ยินและเห็นโฆษณาสวยๆ ในทีวีหรือวิทยุมั้ยครับ
มีชื่อไหนที่ผุดขึ้นมาในใจถ้าจะคิดซื้อบ้านมีมั้ย สำหรับผม ไม่มีเลย สำหรับคนอื่นว่าไงครับ อันนี้พยายามจะสื่อว่าแบรนด์ของบริษัทอสังหามันสร้างยากครับ เอหรือว่าผมไม่รู้จริงก็ไม่รู้
กลับมาที่งบโฆษณาและโปรโมชั่นเยอะขนาดนี้ ก็แปลความได้สองอย่างว่าบ้านกำไรดีมากๆ มาร์จินเยอะมากๆ ก็เลยเอาไปใช้ในงบโฆษณาและโปรโมชั่นได้ อีกอย่างที่แปลได้คือ การแข่งขันของผู้เล่นที่มีจำนวนมากมันรุนแรงจนต้องใช้งบโฆษณาบวกโปรโมชั่นดีๆ จึงจะดึงผู้ซื้อให้มาสนใจบ้านของกิจการได้
อันนี้เป็นจุดด้อยสำคัญในความเห็นผม
จุดเด่นก็มีครับเพราะผมเคยได้ยินเพื่อนเล่ามาว่าโครงการบ้านจัดสรรโดยเฉพาะสร้างเสร็จแล้วขาย ขายดีอยู่เหมือนกัน พอสร้างได้ประมาณ 8-9 หลัง ก็จะโดนจองหมดอย่างรวดเร็ว แต่ไม่รู้จะได้โอนหรือเปล่านะครับ
มุมมองอันนี้เป็นความเห็นส่วนตัวนะครับ จากคนนอกที่มองธุรกิจอสังหา คงจะผิดมากกว่าถูกละครับ
มีชื่อไหนที่ผุดขึ้นมาในใจถ้าจะคิดซื้อบ้านมีมั้ย สำหรับผม ไม่มีเลย สำหรับคนอื่นว่าไงครับ อันนี้พยายามจะสื่อว่าแบรนด์ของบริษัทอสังหามันสร้างยากครับ เอหรือว่าผมไม่รู้จริงก็ไม่รู้
กลับมาที่งบโฆษณาและโปรโมชั่นเยอะขนาดนี้ ก็แปลความได้สองอย่างว่าบ้านกำไรดีมากๆ มาร์จินเยอะมากๆ ก็เลยเอาไปใช้ในงบโฆษณาและโปรโมชั่นได้ อีกอย่างที่แปลได้คือ การแข่งขันของผู้เล่นที่มีจำนวนมากมันรุนแรงจนต้องใช้งบโฆษณาบวกโปรโมชั่นดีๆ จึงจะดึงผู้ซื้อให้มาสนใจบ้านของกิจการได้
อันนี้เป็นจุดด้อยสำคัญในความเห็นผม
จุดเด่นก็มีครับเพราะผมเคยได้ยินเพื่อนเล่ามาว่าโครงการบ้านจัดสรรโดยเฉพาะสร้างเสร็จแล้วขาย ขายดีอยู่เหมือนกัน พอสร้างได้ประมาณ 8-9 หลัง ก็จะโดนจองหมดอย่างรวดเร็ว แต่ไม่รู้จะได้โอนหรือเปล่านะครับ
มุมมองอันนี้เป็นความเห็นส่วนตัวนะครับ จากคนนอกที่มองธุรกิจอสังหา คงจะผิดมากกว่าถูกละครับ
ขอนไม้อันนิ่งสงบ
- ayethebing
- Verified User
- โพสต์: 2125
- ผู้ติดตาม: 0
อยากให้ช่วยแสดงความคิดเห็นหน่อยครับ จากพี่ Invisible hand
โพสต์ที่ 7
ไม่ได้จะซื้อบ้านครับ จะซ่อมแซมรังหนูเก่าของผมต่างหาก
ไปดูบ้านจัดสรรเพื่อหาแบบบ้านเฉยๆ ครับ เรียกว่าขโมยก็ว่าได้
ไปดูบ้านจัดสรรเพื่อหาแบบบ้านเฉยๆ ครับ เรียกว่าขโมยก็ว่าได้
ขอนไม้อันนิ่งสงบ
- ayethebing
- Verified User
- โพสต์: 2125
- ผู้ติดตาม: 0
อยากให้ช่วยแสดงความคิดเห็นหน่อยครับ จากพี่ Invisible hand
โพสต์ที่ 9
ผมก็อิจฉาคนอยู่ในเมืองครับ ไม่ต้องเดินทาง รถติดนานๆ
มีบริเวณก็เท่านั้น ถ้าไม่ค่อยได้อยู่บ้าน ใช้เวลาบนถนนหมด
อ้าวเลยมองข้ามประเด็นที่น้อง WVIX ถามไปเลย พี่ CK ว่าไงกับอสังหาละ
อิอิ ว่าไปว่ามาผมก็มีหุ้นของ AMATA ที่อยู่ในกลุ่มนี้ด้วยนา มีนิดเดียวเองง่ะ รอให้ลงไปต่ำกว่า 11 บาทอีไม่ยอมไปซักกะที
มีบริเวณก็เท่านั้น ถ้าไม่ค่อยได้อยู่บ้าน ใช้เวลาบนถนนหมด
อ้าวเลยมองข้ามประเด็นที่น้อง WVIX ถามไปเลย พี่ CK ว่าไงกับอสังหาละ
อิอิ ว่าไปว่ามาผมก็มีหุ้นของ AMATA ที่อยู่ในกลุ่มนี้ด้วยนา มีนิดเดียวเองง่ะ รอให้ลงไปต่ำกว่า 11 บาทอีไม่ยอมไปซักกะที
ขอนไม้อันนิ่งสงบ
- Minesweeper
- Verified User
- โพสต์: 472
- ผู้ติดตาม: 0
อยากให้ช่วยแสดงความคิดเห็นหน่อยครับ จากพี่ Invisible hand
โพสต์ที่ 10
รู้สึกเหมือนกันครับ ว่าช่วงนี้ หุ้นกลุ่มอสังหาฯ ลงมามากเหลือเกิน มองไปทางไหนก็เจอแต่ของลดราคา ...
เลยทำให้เป้าหมายมันเยอะขึ้นจนเลือกไม่ถูกเลยครับ ที่มีอยู่แล้ว ก็ถูกลงทุกวัน :lol:
โบรกก็เชียร์กันจัง ...
PF, MK, SPALI, SIRI, AP, NOBLE, QH, LH
ให้ราคาเป้าหมายกันเกิน 20% ทั้งนั้น ...
งานนี้ทำตัวไม่ถูกจริงๆ
เลยทำให้เป้าหมายมันเยอะขึ้นจนเลือกไม่ถูกเลยครับ ที่มีอยู่แล้ว ก็ถูกลงทุกวัน :lol:
โบรกก็เชียร์กันจัง ...
PF, MK, SPALI, SIRI, AP, NOBLE, QH, LH
ให้ราคาเป้าหมายกันเกิน 20% ทั้งนั้น ...
งานนี้ทำตัวไม่ถูกจริงๆ
- Minesweeper
- Verified User
- โพสต์: 472
- ผู้ติดตาม: 0
อยากให้ช่วยแสดงความคิดเห็นหน่อยครับ จากพี่ Invisible hand
โพสต์ที่ 12
คุณ tk
ก็เพราะจองหมดเกลี้ยงอย่างรวดเร็วนี่แหละครับ เป็นต้นเหตุ
ถึงต้องไปขอเงินเราๆ ท่านๆ ไปรีบสร้างคอนโดฯ ให้เสร็จเร็วๆ จะได้ book กำไรได้เร็วขึ้นน่ะ แบบว่าเงินมันหมุนไม่ค่อยจะทัน ...
8)
ก็เพราะจองหมดเกลี้ยงอย่างรวดเร็วนี่แหละครับ เป็นต้นเหตุ
ถึงต้องไปขอเงินเราๆ ท่านๆ ไปรีบสร้างคอนโดฯ ให้เสร็จเร็วๆ จะได้ book กำไรได้เร็วขึ้นน่ะ แบบว่าเงินมันหมุนไม่ค่อยจะทัน ...
8)
- tk
- Verified User
- โพสต์: 343
- ผู้ติดตาม: 0
อยากให้ช่วยแสดงความคิดเห็นหน่อยครับ จากพี่ Invisible hand
โพสต์ที่ 13
ขอบคุณครับMinesweeper เขียน:คุณ tk
ก็เพราะจองหมดเกลี้ยงอย่างรวดเร็วนี่แหละครับ เป็นต้นเหตุ
ถึงต้องไปขอเงินเราๆ ท่านๆ ไปรีบสร้างคอนโดฯ ให้เสร็จเร็วๆ จะได้ book กำไรได้เร็วขึ้นน่ะ แบบว่าเงินมันหมุนไม่ค่อยจะทัน ...
8)
จา...รอ.....ครับ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 9795
- ผู้ติดตาม: 0
อยากให้ช่วยแสดงความคิดเห็นหน่อยครับ จากพี่ Invisible hand
โพสต์ที่ 14
เข้าใจว่าคอนโดเปิดใหม่ที่หมดอย่างรวดเร็ว เพราะมีคนจองเพื่อเก็งกำไร
กันเยอะครับ แบบว่าซื้อมาขายต่อเมื่อราคาคอนโดถีบตัวขึ้นสูงตามเศรษฐกิจ
ตอนนี้เริ่มเห็นแนวโน้มราคาคอนโดตกแล้วครับ ผู้ขายเริ่มเขยิบราคาลง
เมื่อเทียบกับต้นปี
คนเริ่ม cautious มากขึ้นในการซื้ออสังหาครับ ผมว่า
แต่ผมก็ยังมั่นใจในกลุ่มวัสดุก่อสร้างอยู่ครับ ทะยอยซื้อจนเกือบขึ้นแท่น
อันดับหนึ่งแล้ว คาดว่าจะทะยอยเก็บเรื่อยจนถึงกลางพฤษภาคม น่าจะ
เต็มปอดพอดีครับ (รวมนิวมันนี่จากปันผลด้วย)
จริงๆแล้วก็เล็ง QH อยู่เหมือนกัน แต่กลัวๆ กล้าๆ เลยจนป่านนี้ยังเล่นแบบ
trading อยู่ครับ ซื้อไว้หน่อยๆ พอขึ้นไป 6-10 สตางค์ก็ปล่อยไป (QH-W3)
กันเยอะครับ แบบว่าซื้อมาขายต่อเมื่อราคาคอนโดถีบตัวขึ้นสูงตามเศรษฐกิจ
ตอนนี้เริ่มเห็นแนวโน้มราคาคอนโดตกแล้วครับ ผู้ขายเริ่มเขยิบราคาลง
เมื่อเทียบกับต้นปี
คนเริ่ม cautious มากขึ้นในการซื้ออสังหาครับ ผมว่า
แต่ผมก็ยังมั่นใจในกลุ่มวัสดุก่อสร้างอยู่ครับ ทะยอยซื้อจนเกือบขึ้นแท่น
อันดับหนึ่งแล้ว คาดว่าจะทะยอยเก็บเรื่อยจนถึงกลางพฤษภาคม น่าจะ
เต็มปอดพอดีครับ (รวมนิวมันนี่จากปันผลด้วย)
จริงๆแล้วก็เล็ง QH อยู่เหมือนกัน แต่กลัวๆ กล้าๆ เลยจนป่านนี้ยังเล่นแบบ
trading อยู่ครับ ซื้อไว้หน่อยๆ พอขึ้นไป 6-10 สตางค์ก็ปล่อยไป (QH-W3)
-
- Verified User
- โพสต์: 2513
- ผู้ติดตาม: 0
อยากให้ช่วยแสดงความคิดเห็นหน่อยครับ จากพี่ Invisible hand
โพสต์ที่ 15
กระซิบกันหน่อยดิคับทั่นซีเค เก็บอารายอยู่มั่ง ใช่น้องยูมิหรือเปล่า
เสรีภาพก็เหมือนอากาศที่เราไม่อาจมองเห็นด้วยตา แต่จะรู้สึกได้ในทันทีหากมีมันอยู่เบาบางหรือขาดหายไป
-จีรนุช เปรมชัยพร
-จีรนุช เปรมชัยพร
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 11443
- ผู้ติดตาม: 0
อยากให้ช่วยแสดงความคิดเห็นหน่อยครับ จากพี่ Invisible hand
โพสต์ที่ 16
เพิ่งเข้ามาอ่านกระท้นี้ครับ เลยตอบช้าไปนิด
ที่ผมซื้อบ้านของ LH เพราะเชื่อใจในการก่อสร้างของบริษัทนะครับ
ผมไม่มีความร้เรื่องการก่อสร้าง ไม่ได้จบโยธา เลยขอแบบแน่ใจไว้ก่อน รวมทั้งเพื่อนๆที่จบวิศวะโยธาก็ซื้อของบริษัทนี้กันครับ (อาจจะเป็นเพราะอดหนนร่นพี่ก็ได้ครับ)
คณ CK ครับ ก่อนผมจะซื้อบ้านอย่ ผมกับครอบครัว 4 ชีวิต อาศัยอย่ในห้องแคบๆเพียงแค่ 65 ตร.ม. เล็กกว่าของคณอีกครับ
พอดีผมและแฟนไม่มีใครทำงาน เลยเลือกซื้อบ้านจากโรงเรียนลกเป็นหลักครับ เอาแบบไม่ไกลจากโรงเรียนลก ใช้เวลาเดินทางไม่นานนัก มาอย่ชานเมืองแล้วชอบครับ เงียบสงบดี อากาศก็ดีด้วยครับ ไม่ว่นวาย มีบริเวณให้ลกๆไปวิ่งเล่นได้อย่างสบายใจครับ
เรื่องราคาคอนโดนี่ พ่งสงขึ้นมากเลยนะครับ บริษัทที่ขายปิดโครงการล่วงหน้าไปแล้ว แต่เวลาก่อสร้างราคาวัสดขาดแคลนและราคาพ่งขึ้นอย่างรวดเร็วแบบนี้ Margin จะลดลงเหลือเท่าไรครับเนี่ยะ จะมีไหมเหนอที่ขายทั้งโครงการแล้วไม่เหลือกำไรนะครับ
ผมคิดนะถ้าอีก 5-6 ปี ระบบขนส่งมวลชนดีขึ้น รายไฟใต้ดินเปิดบริการครบ ผมว่าคนที่มีครอบครัวน่าจะซื้อบ้านอย่ชานเมืองแล้วนั่งรถไฟใต้ดินเข้าเมืองไปทำงานนะครับ คอนดดใหญ่หน่อยใจกลางเมืองเดี๋ยวนี้ราคาเป็นสิบล้านเลย ซื้อบ้านชานเมืองได้หลังใหญ่พอควรที่เดียวครับ
ที่ผมซื้อบ้านของ LH เพราะเชื่อใจในการก่อสร้างของบริษัทนะครับ
ผมไม่มีความร้เรื่องการก่อสร้าง ไม่ได้จบโยธา เลยขอแบบแน่ใจไว้ก่อน รวมทั้งเพื่อนๆที่จบวิศวะโยธาก็ซื้อของบริษัทนี้กันครับ (อาจจะเป็นเพราะอดหนนร่นพี่ก็ได้ครับ)
คณ CK ครับ ก่อนผมจะซื้อบ้านอย่ ผมกับครอบครัว 4 ชีวิต อาศัยอย่ในห้องแคบๆเพียงแค่ 65 ตร.ม. เล็กกว่าของคณอีกครับ
พอดีผมและแฟนไม่มีใครทำงาน เลยเลือกซื้อบ้านจากโรงเรียนลกเป็นหลักครับ เอาแบบไม่ไกลจากโรงเรียนลก ใช้เวลาเดินทางไม่นานนัก มาอย่ชานเมืองแล้วชอบครับ เงียบสงบดี อากาศก็ดีด้วยครับ ไม่ว่นวาย มีบริเวณให้ลกๆไปวิ่งเล่นได้อย่างสบายใจครับ
เรื่องราคาคอนโดนี่ พ่งสงขึ้นมากเลยนะครับ บริษัทที่ขายปิดโครงการล่วงหน้าไปแล้ว แต่เวลาก่อสร้างราคาวัสดขาดแคลนและราคาพ่งขึ้นอย่างรวดเร็วแบบนี้ Margin จะลดลงเหลือเท่าไรครับเนี่ยะ จะมีไหมเหนอที่ขายทั้งโครงการแล้วไม่เหลือกำไรนะครับ
ผมคิดนะถ้าอีก 5-6 ปี ระบบขนส่งมวลชนดีขึ้น รายไฟใต้ดินเปิดบริการครบ ผมว่าคนที่มีครอบครัวน่าจะซื้อบ้านอย่ชานเมืองแล้วนั่งรถไฟใต้ดินเข้าเมืองไปทำงานนะครับ คอนดดใหญ่หน่อยใจกลางเมืองเดี๋ยวนี้ราคาเป็นสิบล้านเลย ซื้อบ้านชานเมืองได้หลังใหญ่พอควรที่เดียวครับ