ภัยธรรมชาตกระหน่ำโลก
-
- Verified User
- โพสต์: 312
- ผู้ติดตาม: 0
ภัยธรรมชาตกระหน่ำโลก
โพสต์ที่ 2
เฉพาะหน้า คงแก้ได้ครับแบบเอาตัวรอดไปเป็นคราวๆไป ถนนขาดก็สร้างถนนใหม่ บ้านพังก็บ้านน็อคดาวน์ ฯลฯ
แต่ระยะยาวถ้าคิดตามที่นักวิทยาศาสตร์ทำนายไว้ ก็คงหนีความจริงไม่พ้นละครับ โดยเฉพาะการอพยพย้ายถิ่นฐานของคนจำนวนมาก ซึ่งจะมีลูกโซ่ต่ออีกเยอะเลย
แต่ระยะยาวถ้าคิดตามที่นักวิทยาศาสตร์ทำนายไว้ ก็คงหนีความจริงไม่พ้นละครับ โดยเฉพาะการอพยพย้ายถิ่นฐานของคนจำนวนมาก ซึ่งจะมีลูกโซ่ต่ออีกเยอะเลย
การทำอะไรแบบเดิมๆเป็นเวลานานๆทำให้ชีวิตเสียหาย
-
- Verified User
- โพสต์: 6853
- ผู้ติดตาม: 0
ภัยธรรมชาตกระหน่ำโลก
โพสต์ที่ 3
สิ่งนี้ผมเคยคิดคับอพยพย้ายถิ่นฐานของคนจำนวนมาก
อย่างแรก หมู่เกาะจำนวนมากน่าจะหายไปจากแผนที่
ดังนั้นที่ดินบริเวณๆไม่ได้รับผลกระทบน่าจะมีราคาแพงขึ้นในอนาคต
แต่ส่วนไหนของโลกละคับ
ถ้าน้ำแข็งขั่วโลกเหนือ ละลาย ทางฝั่งด้านเหนือของโลก
จีน น่าจะเสียพื้นที่บางส่วน หรือ อเมริกาเหนือ
แต่รัฐเซีย น่าจะได้ประโยชน์นะผมว่า
-
- Verified User
- โพสต์: 312
- ผู้ติดตาม: 0
ภัยธรรมชาตกระหน่ำโลก
โพสต์ที่ 4
คือผมมองว่า มันเป็นผลกระทบในวงกว้างแบบไม่เลือกยากดีมีจนทุกสาขาอาชีพ คนที่ปรับตัวได้เพราะมีปัจจัยส่วนตัวและแวดล้อมรองรับให้ปรับตัวได้ในเวลาอันสั้น ก็คงไม่กระไรนัก
ตามความเข้าใจของผมๆมองว่าคนส่วนใหญ่เข้าใจเพียงภาพระยะสั้นๆว่าเกิดปัญหาก็หาทางออกกันไป ชีวิตก็เป็นแบบนี้อะไรทำนองนี้
สเกลการรับรู้ของเรา(คนส่วนใหญ่)กับสเกลการเปลี่ยนแปลงแบบค่อยเป็นค่อยไปทีละเล็กละน้อยของธรรมชาตินี่มันห่างกันมากเลย เราจึงรู้สึกว่าทนรับได้ แก้ไขได้
เหมือนเด็กที่ค่อยๆโตหรือผู้ใหญ่ที่ค่อยๆแก่ตัวลง ถ้าเราเฝ้าสังเกตุในเวลาสั้นๆเช่นหนึ่ง-สองวันเราก็ไม่ค่อยเห็นการเปลี่ยนแปลงมาก แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นหนึ่ง-สองเดือนเราจะรับรู้ได้
ตอนนี้คนส่วนใหญ่ก็ไม่คิดว่าจะมีคนจำนวนมากย้ายถิ่นจากภัยธรรมชาติ แต่ในความเป็นจริงมีคนอพยพตลอดเวลา เกิดขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป ทีละคนทีละครอบครัว เคยได้ยินใหมครับที่ว่าคนอีสานหนีภัยแล้งเข้ากรุงมาเป็นสิบๆปี(เพราะไม่มีปัจจัยแวดล้อมอย่างอื่นอำนวยให้ปรับตัวได้)
น้ำท่วมสิงห์บุรี อ่างทอง ริมแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นบริเวณกว้างนานนับเดือนจนต้นไม้ต้นไร่ตายหมด บางครอบครัวกัดฟันลงทุนใหม่ จากสวนผลไม้บ่อปลาไปปลูกพืชผักระยะสั้นเลี้ยงเป็ดเลี้ยงไก่ แต่ท่วมทีขาดรายได้ไปสามสี่เดือน มีคนเอาของไปแจกรัฐเอาเงินไปให้ทั้งฟรีและกู้ดอกต่ำ อีกสาม-สี่ปีท่วมหนักอีกตายอีก ไม่ย้ายคงไม่ไหว แรกๆก็ชั่วคราว คนพวกนี้ไม่พ้นเข้าเมืองใหญ่ (บางที่อาจกำลังยืนมองหน้าต่างบ้านเราอยู่ก็ได้ตอนนี้)
เราคงไม่ต้องคิดถึงเกิดการเปลี่ยนแปลงแบบเกาะหายไปทั้งเกาะหรอก เพราะสเกลการเปลี่ยนแปลงมันใหญ่และใช้เวลามาก เอาแค่ชาวประมงชายฝั่งเจอคลื่นลมแรงผิดปกติออกหาปลาไม่ได้ติดต่อกันสิบ-ยี่สิบวันต่อครั้งก็พอ แถวนครศรีธรรมราชกับสุราษฎ์ธานีรู้สึกจะเจอเป็นเดือนเมื่อต้นปี ถนนที่สร้างเป็นเขื่อนหวังกันคลื่นให้กับชุมชนก็ไม่รอด ต่อไปชุมชนก็ต้องย้าย
ถ้ามีความเสียหายเกิดขึ้นระยะยาวต่อเนื่องไปเรื่อยอย่าหวังเลยครับว่าเศรษฐกิจบางพืนที่จะดีขึ้นในระยะยาว คนที่อพยพมาใหม่นี่จะมาเป็นวิศวกร เป็นนักธุระกิจ เป็นช่างฝีมือหรืออื่นๆ ทีจะมาใช้ชีวิตในเมืองหรือพื้นที่อื่นอย่างสะดวกสบาย มีเงินซื้อคอนโดกันทุกคนคงเป็นไปได้ยาก ดูแค่ที่รัฐเอาทุนไปให้นี่นะยังไม่พอฟื้นเลย
แต่เอนี่มันห้องนั่งเล่นนี่นา ขออภัยครับถ้าดูเครียดไปหน่อย แหะ ๆ
ตามความเข้าใจของผมๆมองว่าคนส่วนใหญ่เข้าใจเพียงภาพระยะสั้นๆว่าเกิดปัญหาก็หาทางออกกันไป ชีวิตก็เป็นแบบนี้อะไรทำนองนี้
สเกลการรับรู้ของเรา(คนส่วนใหญ่)กับสเกลการเปลี่ยนแปลงแบบค่อยเป็นค่อยไปทีละเล็กละน้อยของธรรมชาตินี่มันห่างกันมากเลย เราจึงรู้สึกว่าทนรับได้ แก้ไขได้
เหมือนเด็กที่ค่อยๆโตหรือผู้ใหญ่ที่ค่อยๆแก่ตัวลง ถ้าเราเฝ้าสังเกตุในเวลาสั้นๆเช่นหนึ่ง-สองวันเราก็ไม่ค่อยเห็นการเปลี่ยนแปลงมาก แต่ถ้าเปลี่ยนเป็นหนึ่ง-สองเดือนเราจะรับรู้ได้
ตอนนี้คนส่วนใหญ่ก็ไม่คิดว่าจะมีคนจำนวนมากย้ายถิ่นจากภัยธรรมชาติ แต่ในความเป็นจริงมีคนอพยพตลอดเวลา เกิดขึ้นแบบค่อยเป็นค่อยไป ทีละคนทีละครอบครัว เคยได้ยินใหมครับที่ว่าคนอีสานหนีภัยแล้งเข้ากรุงมาเป็นสิบๆปี(เพราะไม่มีปัจจัยแวดล้อมอย่างอื่นอำนวยให้ปรับตัวได้)
น้ำท่วมสิงห์บุรี อ่างทอง ริมแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นบริเวณกว้างนานนับเดือนจนต้นไม้ต้นไร่ตายหมด บางครอบครัวกัดฟันลงทุนใหม่ จากสวนผลไม้บ่อปลาไปปลูกพืชผักระยะสั้นเลี้ยงเป็ดเลี้ยงไก่ แต่ท่วมทีขาดรายได้ไปสามสี่เดือน มีคนเอาของไปแจกรัฐเอาเงินไปให้ทั้งฟรีและกู้ดอกต่ำ อีกสาม-สี่ปีท่วมหนักอีกตายอีก ไม่ย้ายคงไม่ไหว แรกๆก็ชั่วคราว คนพวกนี้ไม่พ้นเข้าเมืองใหญ่ (บางที่อาจกำลังยืนมองหน้าต่างบ้านเราอยู่ก็ได้ตอนนี้)
เราคงไม่ต้องคิดถึงเกิดการเปลี่ยนแปลงแบบเกาะหายไปทั้งเกาะหรอก เพราะสเกลการเปลี่ยนแปลงมันใหญ่และใช้เวลามาก เอาแค่ชาวประมงชายฝั่งเจอคลื่นลมแรงผิดปกติออกหาปลาไม่ได้ติดต่อกันสิบ-ยี่สิบวันต่อครั้งก็พอ แถวนครศรีธรรมราชกับสุราษฎ์ธานีรู้สึกจะเจอเป็นเดือนเมื่อต้นปี ถนนที่สร้างเป็นเขื่อนหวังกันคลื่นให้กับชุมชนก็ไม่รอด ต่อไปชุมชนก็ต้องย้าย
ถ้ามีความเสียหายเกิดขึ้นระยะยาวต่อเนื่องไปเรื่อยอย่าหวังเลยครับว่าเศรษฐกิจบางพืนที่จะดีขึ้นในระยะยาว คนที่อพยพมาใหม่นี่จะมาเป็นวิศวกร เป็นนักธุระกิจ เป็นช่างฝีมือหรืออื่นๆ ทีจะมาใช้ชีวิตในเมืองหรือพื้นที่อื่นอย่างสะดวกสบาย มีเงินซื้อคอนโดกันทุกคนคงเป็นไปได้ยาก ดูแค่ที่รัฐเอาทุนไปให้นี่นะยังไม่พอฟื้นเลย
แต่เอนี่มันห้องนั่งเล่นนี่นา ขออภัยครับถ้าดูเครียดไปหน่อย แหะ ๆ
การทำอะไรแบบเดิมๆเป็นเวลานานๆทำให้ชีวิตเสียหาย
- Ryuga
- Verified User
- โพสต์: 1771
- ผู้ติดตาม: 0
ภัยธรรมชาตกระหน่ำโลก
โพสต์ที่ 5
เป็นธรรมดาตามประวัติศาสตร์โลก
แต่ก็น่ากลัวนะครับ ถ้า greenland ไป กทม. เห็นจะไม่เหลือ 


Low Profile High Profit
หมากล้อมเย้ยยุทธจักร
หมากล้อมเย้ยยุทธจักร
-
- Verified User
- โพสต์: 2496
- ผู้ติดตาม: 0
ภัยธรรมชาตกระหน่ำโลก
โพสต์ที่ 7
เพราะโลกเรามีอัตราการเพิ่มขึ้นของจำนวนมนุษย์มาก และรวดเร็วเกินไป หรือไม่
มนุษย์เกิดมาหนึ่งคน มันเลี่ยงยากที่จะไม่ให้ไปเบียดเบียนสิ่งอื่น ทำลาย หรือทำให้ธรรมชาติเพี้ยนไป
ถ้าดูจากผลการศึกษาใน An Inconvinion Truth ของพี่อัลกอร์ จะเห็นชัดเจนของอัตราเร่งของการเกิดใหม่ ในระยะแค่ไม่กี่ปีหลังมานี่เอง
ดูแล้วเหมือนวงจรอุบาทว์ก็ว่าได้
คือ ยิ่งคนที่เกิดมา ก็ทำลายพื้นที่อยุ่อาศัยทั้งทางตรงและอ้อม มากขึ้น ในขณะที่ ยังไม่มีมนุษย์คนใดสามารถคิดหาหนทางยักย้ายประชากรไปอาศัยยังดาวดวงอื่นได้
พื้นที่ลดลง อาหารลดลง แต่ประชากรเยอะขึ้น (หรือก็คือ ประชากรที่เพิ่มนั่นแหละ เป็นตัวเร่งให้ส่วนอื่นลดลง)
ถ้าไม่หาหนทางควบคุมการเกิด อีกไม่นาน มนุษย์คงจะยืนหลับมั้ง จำนวนประชากรต่อพื้นที่อาจจะเบียดกันไหล่ต่อไหล่
ขนาดว่าจากการวิจัย พบว่าหลังๆเกิดภัยธรรมชาติบ่อยขึ้น ซึ่งนั่นก็ช่วยคร่าชีวิตมนุษย์ลดลงได้บ้างเป็นระยะๆ ...แต่เราก็ยังพบว่า อัตราการเพิ่มขึ้นนั้นรวดเร็วลิบลิ่วเมื่อเทียบกับระยะประมาณก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง
อืม น่าคิด เกิดกันมากไป ตายกันน้อยไป ไม่สมดุลย์ โลกนั้นหยุดโตขยายแล้ว แต่คนไม่หยุดโต
ก็คงอยู่ไม่ถึงวันที่ต้องเบียดกันไหล่ต่อไหล่หรอก เพราะถ้าวงจรนี้ไม่ถูกควบคุมอย่างจริงจัง โลกก็จะป่วยหนักไปเรื่อยๆ
เปรียบโลกเป็น คน แล้วให้มนุษย์เป็น มะเร็ง
มะเร็งทำให้ คน ป่วย เมื่อคนป่วยถึงจุดนึง ย่อมต้องตาย มะเร็งเองก็ต้องตายหายไปด้วย

มนุษย์เกิดมาหนึ่งคน มันเลี่ยงยากที่จะไม่ให้ไปเบียดเบียนสิ่งอื่น ทำลาย หรือทำให้ธรรมชาติเพี้ยนไป
ถ้าดูจากผลการศึกษาใน An Inconvinion Truth ของพี่อัลกอร์ จะเห็นชัดเจนของอัตราเร่งของการเกิดใหม่ ในระยะแค่ไม่กี่ปีหลังมานี่เอง
ดูแล้วเหมือนวงจรอุบาทว์ก็ว่าได้
คือ ยิ่งคนที่เกิดมา ก็ทำลายพื้นที่อยุ่อาศัยทั้งทางตรงและอ้อม มากขึ้น ในขณะที่ ยังไม่มีมนุษย์คนใดสามารถคิดหาหนทางยักย้ายประชากรไปอาศัยยังดาวดวงอื่นได้
พื้นที่ลดลง อาหารลดลง แต่ประชากรเยอะขึ้น (หรือก็คือ ประชากรที่เพิ่มนั่นแหละ เป็นตัวเร่งให้ส่วนอื่นลดลง)
ถ้าไม่หาหนทางควบคุมการเกิด อีกไม่นาน มนุษย์คงจะยืนหลับมั้ง จำนวนประชากรต่อพื้นที่อาจจะเบียดกันไหล่ต่อไหล่
ขนาดว่าจากการวิจัย พบว่าหลังๆเกิดภัยธรรมชาติบ่อยขึ้น ซึ่งนั่นก็ช่วยคร่าชีวิตมนุษย์ลดลงได้บ้างเป็นระยะๆ ...แต่เราก็ยังพบว่า อัตราการเพิ่มขึ้นนั้นรวดเร็วลิบลิ่วเมื่อเทียบกับระยะประมาณก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง
อืม น่าคิด เกิดกันมากไป ตายกันน้อยไป ไม่สมดุลย์ โลกนั้นหยุดโตขยายแล้ว แต่คนไม่หยุดโต
ก็คงอยู่ไม่ถึงวันที่ต้องเบียดกันไหล่ต่อไหล่หรอก เพราะถ้าวงจรนี้ไม่ถูกควบคุมอย่างจริงจัง โลกก็จะป่วยหนักไปเรื่อยๆ
เปรียบโลกเป็น คน แล้วให้มนุษย์เป็น มะเร็ง
มะเร็งทำให้ คน ป่วย เมื่อคนป่วยถึงจุดนึง ย่อมต้องตาย มะเร็งเองก็ต้องตายหายไปด้วย

-
- Verified User
- โพสต์: 312
- ผู้ติดตาม: 0
ภัยธรรมชาตกระหน่ำโลก
โพสต์ที่ 8
แบบที่พี่ 007s ว่าประชากรจะล้นโลก ผมก็เคยคิดแบบนั้นเหมือนกัน
แต่จากข้อมูลที่รับทราบผ่านมา มีแนวโน้มลดลง โดยเฉพาะประเทศที่พัฒนาถึงขีดสุดทั้งหลาย ยุโรปตะวันตกเช่นอิตาลี่ เยอรมัน และฝั่งอเมริกา ที่เห็นชัดก็ญี่ปุ่นปีที่แล้วลดลงไปสองหมื่นกว่าคน ที่ใกล้เราก็สิงคโปร์
สาเหตุ ก็คงเป็นเพราะวิถีชีวิตสมัยใหม่ที่พึ่งเศรษฐกิจการตลาดมากชึ้น ทำให้คนรู้สึกไม่มั่นคงพอ ทำให้ไม่อยากมีภาระ มีผลให้แต่งงานช้า หากพ้นวัยก็เลยตามเลย(ไม่แต่ง)
ที่สิงคโปร์รู้สึกว่ารัฐบาลจะให้ สิ่งจูงใจสำหรับคู่ฮันนีมูน เช่นค่าใช้จ่ายช่วงฮันนี่มูน มีลูกช่วยค่าที่พักใหม่ ลดภาษี
ที่เมืองไทยดูข่าวทีวีปลายสัปดาห์ที่แล้ว อีกยี่สิบปีประชากรจะคงที่(เข้าสู่สังคมผู้สูงวัย) อีกสิบปีจากนั้นจะเริ่มลดลง
เรื่องกินเรื่องใช้ ถ้าเราดำเนินชีวิตแบบชีววิถี ทรัพยากรทั้งโลกมีพอ แต่ปัญหามันมีสองลักษณะ
หนึ่ง การกระจายทรัพยากรไม่ทั่วถึง เพราะการเพาะปลูกบางพื้นที่ได้ผลเกินต้องการ(เช่นข้าวไทย) แต่บางพื้นที่ไม่พอเพียง(เช่น อาฟริกาบางส่วน)
สอง การกระจายทรัพยากรต้องผ่านกระบวนการทางเศรษฐกิจการตลาด(ทุนนิยม)ต้องมีอำนาจซื้อมาต่อรอง ซึงประเทศที่ผลิตอาหารเองไม่ได้ ย่อมออ่นแอทางเศรษฐกิจอยู่แล้ว
กลางปีที่แล้วมีหน่วยงานเกี่ยวกับอาหารระดับโลก(จำไม่ได้)ออกมาบอกว่า คนอ้วนทั้งโลกส่วนที่กินเกินมีมากกว่าคนอดอยากทั้งโลกถึงสี่เท่า คือเอาส่วนที่กินเกินไปแจกคนอดอยากแล้วยังเหลืออีกสามส่วน
การใช้ชีวิตแบบชีววิถีมีมลพิษออกมารบกวนกลไกธรรมชาติดั้งเดิมน้อยมาก เพราะไม่มีการผลิตสิ่งที่ไม่มีอยู่นธรรมชาติเดิมออกมามาก(สารสังเคราะห์ต่างๆ)
ปัญหาโลกร้อนหรือธรรมชาติอื่นๆ ส่วนหนึ่งจึงน่าจะมาจากการดำเนินชีวิตของคนที่สร้างมลพิษเป็นหลัก มีการบริโภคเกินจำเป็นมากมายซึ่งเกิดจากระบบทุนนิยม(สะสมทุน)ที่ขยายตัวมากขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่มีกลไกการกลับไปชดเชยธรรมชาติที่ถูกทำลาย(จากการนำทรัพยากรมาเป็นวัตถุดิบ)อย่างเพียงพอ
แต่จากข้อมูลที่รับทราบผ่านมา มีแนวโน้มลดลง โดยเฉพาะประเทศที่พัฒนาถึงขีดสุดทั้งหลาย ยุโรปตะวันตกเช่นอิตาลี่ เยอรมัน และฝั่งอเมริกา ที่เห็นชัดก็ญี่ปุ่นปีที่แล้วลดลงไปสองหมื่นกว่าคน ที่ใกล้เราก็สิงคโปร์
สาเหตุ ก็คงเป็นเพราะวิถีชีวิตสมัยใหม่ที่พึ่งเศรษฐกิจการตลาดมากชึ้น ทำให้คนรู้สึกไม่มั่นคงพอ ทำให้ไม่อยากมีภาระ มีผลให้แต่งงานช้า หากพ้นวัยก็เลยตามเลย(ไม่แต่ง)
ที่สิงคโปร์รู้สึกว่ารัฐบาลจะให้ สิ่งจูงใจสำหรับคู่ฮันนีมูน เช่นค่าใช้จ่ายช่วงฮันนี่มูน มีลูกช่วยค่าที่พักใหม่ ลดภาษี
ที่เมืองไทยดูข่าวทีวีปลายสัปดาห์ที่แล้ว อีกยี่สิบปีประชากรจะคงที่(เข้าสู่สังคมผู้สูงวัย) อีกสิบปีจากนั้นจะเริ่มลดลง
เรื่องกินเรื่องใช้ ถ้าเราดำเนินชีวิตแบบชีววิถี ทรัพยากรทั้งโลกมีพอ แต่ปัญหามันมีสองลักษณะ
หนึ่ง การกระจายทรัพยากรไม่ทั่วถึง เพราะการเพาะปลูกบางพื้นที่ได้ผลเกินต้องการ(เช่นข้าวไทย) แต่บางพื้นที่ไม่พอเพียง(เช่น อาฟริกาบางส่วน)
สอง การกระจายทรัพยากรต้องผ่านกระบวนการทางเศรษฐกิจการตลาด(ทุนนิยม)ต้องมีอำนาจซื้อมาต่อรอง ซึงประเทศที่ผลิตอาหารเองไม่ได้ ย่อมออ่นแอทางเศรษฐกิจอยู่แล้ว
กลางปีที่แล้วมีหน่วยงานเกี่ยวกับอาหารระดับโลก(จำไม่ได้)ออกมาบอกว่า คนอ้วนทั้งโลกส่วนที่กินเกินมีมากกว่าคนอดอยากทั้งโลกถึงสี่เท่า คือเอาส่วนที่กินเกินไปแจกคนอดอยากแล้วยังเหลืออีกสามส่วน
การใช้ชีวิตแบบชีววิถีมีมลพิษออกมารบกวนกลไกธรรมชาติดั้งเดิมน้อยมาก เพราะไม่มีการผลิตสิ่งที่ไม่มีอยู่นธรรมชาติเดิมออกมามาก(สารสังเคราะห์ต่างๆ)
ปัญหาโลกร้อนหรือธรรมชาติอื่นๆ ส่วนหนึ่งจึงน่าจะมาจากการดำเนินชีวิตของคนที่สร้างมลพิษเป็นหลัก มีการบริโภคเกินจำเป็นมากมายซึ่งเกิดจากระบบทุนนิยม(สะสมทุน)ที่ขยายตัวมากขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่มีกลไกการกลับไปชดเชยธรรมชาติที่ถูกทำลาย(จากการนำทรัพยากรมาเป็นวัตถุดิบ)อย่างเพียงพอ
การทำอะไรแบบเดิมๆเป็นเวลานานๆทำให้ชีวิตเสียหาย