พัฒนาอสังหาริมทรัพย์และวัสดุก่อสร้าง

การลงทุนแบบเน้นคุณค่า เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

พัฒนาอสังหาริมทรัพย์และวัสดุก่อสร้าง

โพสต์ที่ 1

โพสต์

ธปท.ชี้แนวโน้มอสังหาฯปี"50 ดีมานด์-ซัพพลายหด
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สรุปภาวะเศรษฐกิจในประเทศโดยรวม ในเดือนเมษายน 2550 ที่ผ่านมาว่า ปรับรับตัวขึ้นจากเดือนมีนาคม แต่เครื่องชี้ภาวะอสังหาริมทรัพย์ยังหดตัวต่อเนื่องตามการชะลอตัวของภาคอสังหาฯ

โดยเดือนมีนาคมตลาดอสังหาฯยังคงซบเซา จากการชะลอการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยของผู้บริโภค เพราะขาดความเชื่อมั่นทางการเมืองและเศรษฐกิจ โดยมูลค่าและจำนวนรายการซื้อขายที่ดิน และสิ่งปลูกสร้างลดลงจากระยะเดียวกันปีก่อน 13.9% และ 12.0% ตามลำดับ ขณะที่ยอดจำหน่ายปูนซีเมนต์ลดลง 3.8% นอกจากนี้ พื้นที่รับอนุญาตก่อสร้างลดลงมากถึง 38.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีการเร่งขออนุญาตก่อสร้างอาคารสูงก่อนการประกาศใช้กฎหมายผังเมืองฉบับใหม่

ด้านสินเชื่ออสังหาฯไตรมาสที่ 1 ที่ผ่านมา ยอดคงค้างสินเชื่อส่วนบุคคลเพื่ออสังหาฯเพิ่มขึ้น 14.0% จากไตรมาสก่อนหน้า ส่วนหนึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นของการขอสินเชื่อเพื่อสร้างบ้านเองที่ยังขยายตัว ขณะที่ยอดคงค้างสินเชื่อ ผู้ประกอบการอสังหาฯลดลง 1.5% โดยลดลง ในส่วนของสินเชื่อโครงการบ้านจัดสรร และอาคารพาณิชย์ แต่สินเชื่อโครงการอาคารชุดเพิ่มขึ้น สอดคล้องกับภาพรวมของตลาด
http://www.matichon.co.th/prachachat/pr ... ionid=0217
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news08/06/07

โพสต์ที่ 2

โพสต์

เปิดโพย 9 โซนใหม่

ขอมูลจาก กรมโยธาธิการและผังเมืองระบุพื้นที่ 9 โซนใหม่ ประกอบด้วย โซน 1 บริเวณที่ 1.1-1.9 เป็นชุมชนอยู่อาศัยหนาแน่นน้อย ห้ามก่อสร้างอาคารทุกประเภทยกเว้นบ้านเดี่ยว บ้านแฝด บ้านแถว อาคารพาณิชยกรรมขนาดไม่เกิน 300 ตร.ม. สำนักงานไม่เกิน 300 ตร.ม. ตลาด พาณิชย กรรมค้าปลีกค้าส่ง ฯลฯ มีพื้นที่ว่างต่อขนาดแปลงที่ดินไม่เกิน 50% อัตราส่วนพื้นที่อาคารต่อแปลงที่ดินไม่เกิน 1.5 : 1 ฯลฯ

โซนที่ 2 บริเวณ 2.1-2.9 เป็นชุมชนอยู่อาศัยหนาแน่นปานกลาง ให้สร้างบ้านเดี่ยว บ้านแฝด บ้านแถว อาคารชุด อาคารอยู่อาศัยรวม หอพัก อาคารพาณิชย์พื้นที่ไม่เกิน 300 ตร.ม. ตลาด พาณิชยกรรมค้าปลีกค้าส่ง สถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงและก๊าซ อาคารราชการหรือสาธารณูปการ สถานศึกษา สถานพยาบาล ศาสนสถาน ฯลฯ พื้นที่โล่งต่อขนาดแปลงที่ดินไม่เกิน 55% พื้นที่อาคารต่อขนาดแปลงที่ดิน ไม่เกิน 3 : 1 ฯลฯ

โซนที่ 3 บริเวณ 3.1 ชุมชนอยู่อาศัยความหนาแน่นสูง บริเวณเมืองศูนย์กลางสุวรรณภูมิมหานคร ให้สร้างบ้านเดี่ยว บ้านแฝด บ้านแถว ตึกแถวเพื่อการพาณิชย์หรือพักอาศัยห่างจากริมถนน 80 เมตร หรือทางสาธารณะที่มีเขตทางกว้างไม่น้อยกว่า 18 เมตร อาคารชุด อาคารอยู่อาศัยรวม หอพัก อาคารพาณิชยกรรมไม่เกิน 300 ตร.ม. สำนักงานขนาดไม่เกิน 300 ตร.ม. พาณิชยกรรมค้าปลีกค้าส่ง ตลาด สถานีบริการน้ำมันเชื้อเพลิงหรือก๊าซ อาคารราชการหรือสาธารณูปการ สถานศึกษา สถานพยาบาล ศาสนสถาน ฯลฯ อัตราส่วนพื้นที่โล่งต่อแปลงที่ดินไม่เกิน 60% อัตราส่วนพื้นที่อาคารต่อขนาดแปลงที่ดิน ไม่เกิน 4.5 : 5 ฯลฯ
http://www.matichon.co.th/prachachat/pr ... ionid=0217
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news09/06/07

โพสต์ที่ 3

โพสต์

ดอกเบี้ยบ้านลดปลุกอสังหาฯ [ ฉบับที่ 794 ประจำวันที่ 19-5-2007 ถึง 22-5-2007]  
> ธอส.นำทีมฟิกซ์ดอกกู้ต่ำกว่าล้านดีเดย์ 23 พ.ค.นี้

รร.แอมบาสซาเดอร์ สุขุมวิท 11 - หวั่นภาวะอสังหาฯ ชะลอตัว ธอส.ใจป้ำฟิกซ์ดอกเบี้ยให้ผู้กู้ต่ำกว่าล้านถึง 3 ปี ชี้แนวโน้มดอกเบี้ยบ้านจะปรับลดลงอีก ด้านผู้ประกอบการแข่งเดือด งัดโปรโมชั่นเด็ดกระตุ้นการตัดสินใจซื้อผู้บริโภค เชื่อมาตรการกระตุ้นอสังหาฯช่วยฟื้นตลาดได้

นายขรรค์ ประจวบเหมาะ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยในงานสัมมนา สงครามการขายและการตลาดอสังหาริมทรัพย์ 2 ว่า สถานการณ์อสังหาริมทรัพย์มีการชะลอตัวเนื่องจากปัจจัยลบต่างๆ ผู้บริโภคไม่มีความเชื่อมั่นในรายได้ และเศรษฐกิจโดยรวม ส่งผลให้มีการชะลอการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยออกไปก่อน เพื่อรอดูสถานการณ์ ส่วนผู้ประกอบการก็มีการปรับตัวให้เข้ากับสภาวะ จากที่เคยสร้างบ้านหลังใหญ่และราคาสูง ก็หันมาสร้างบ้านหลังเล็กและราคาลดต่ำลงมา เพื่อให้สอดคล้องกับกำลังซื้อของผู้บริโภคในปัจจุบัน โดยในส่วนของธอส. มีจำนวนสินเชื่อปล่อยใหม่ในแต่ละเดือนของปีนี้ลดลงเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านๆ มา

โดยในเดือนมกราคมสามารถปล่อยสินเชื่อได้ 6.7 พันล้านบาท เทียบกับปีที่แล้วที่ปล่อยได้ 8 พันล้านบาท ส่วนเดือนกุมภาพันธ์ปล่อยได้ 8 พันล้านบาท ปีที่แล้วปล่อยได้ 9 พันล้านบาท เดือนมีนาคมปล่อยได้ 7.7 พันล้านบาท ปีที่แล้วปล่อยได้ 1.2 หมื่นล้านบาท เดือนเมษายนปล่อยได้ 6.6 พันล้านบาท เทียบปีที่แล้วปล่อยได้ 7.7 พันล้านบาท เฉลี่ยปล่อยกู้วันละ 300 ล้านบาท จากช่วงที่ปล่อยเศรษฐกิจดีปล่อยได้วันละ 500 ล้านบาท
http://www.siamturakij.com/home/index.html
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news11/06/07

โพสต์ที่ 4

โพสต์

สุขุมวิท101 ส่งสัญญาณเดือด! +คอนโดฯแห่ผุดแล้ว 7 โครงการกว่า 2.5 พันยูนิตรับรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายอ่อนนุช-สำโรง  
วัดอุณหภูมิสุขุมวิท 101 ผู้ประกอบการคอนโดมิเนียม แห่ผุรับรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายอ่อนนุช-สำโรงโครงการปักธงขายรอแล้ว 7 โครงการ กว่า 2.5 พันยูนิต เซียนหุ้น "ชนะชัย ลีนะบรรจง" ปักมุดตรงข้ามซอย 101 ผุด 451 ยูนิตในโครงการพรีมา ศรีนครินทร์ ส่วน "เอสซี แอสเสท" ผุด 234 ยูนิต ขณะที่กลุ่มทุนวงการผ้า "พิชิตสิงห์" นอ้งใหม่ขอแจมลุยผุดโครงการปากซอย 101/1 กว่า 799 ยูนิต ค่าย "เมโทร สตาร์" ขอส่วนแบ่ง 654 ยูนิต และ "พลัส" ตอกเสาเข็มในซอย 103 อีก 336 หน่วย
จากปรากฏการณ์ "คอนโดมิเนียม ฟีเวอร์" ของผู้ประกดอบการในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และกลุ่มทุนนอกวงการในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ที่ปรับทิศทางลงทุนในตลาดคอนโดมิเนียมระดับราคา 1 ล้านเศษอย่าบต่อเนื่อง โดย "ฐานเศรษฐกิจ" ได้เคยลงสำรวจตลาดคอนโดมิเนียมในย่านถนนรัชดาภิเษกซึ่งเป็นทำเลที่มีการขึ้นคอนโดมิเนียมเป็นจำนวนมาก เนื่องจากเป็นทำเลที่อยู่ในแนวรถไฟฟ้าใต้ดินและเป็นแหล่งออฟฟิศสำนักงานและย่านธุรกิจแห่งแห่งใหม่ ที่มีเป็นศูนย์ร่วมแหล่งงานจำนวนมาก โดยมีศักยภาพรองจากถนนสุขุมวิท เท่านั้น แม้ว่าที่ดินจะมีการขยับราคาขึ้นไปสูงจากตารางวาละ 1 แสน กลายเป็น 2 แสนบาทแล้วก็ตาม แต่ยังมีที่ดินให้พอหาซื้อได้อยู่ จึงกลายเป็นทำเลที่ผู้ประกอบการต่างก็ช่วงชิงตลาดกัน
http://www.thannews.th.com/detialnews.p ... issue=2225
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news12/06/07

โพสต์ที่ 5

โพสต์

อสังหาริมทรัพย์ไทยผลจากการแก้ไข

ในช่วงแรกที่ คมช.ทำการปฏิวัติรัฐประหาร ประมาณปลายปีที่แล้ว มีประเด็นใหญ่ที่เป็นที่ฮือฮามาก คือ การแก้ไข พ.ร.บ.ประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว ที่มีเสียงสะท้อนดังๆ จากนักลงทุนต่างประเทศว่าเป็นกฎหมายที่กีดกันการค้าและการลงทุนของชาวต่างประเทศ มีมหาประเทศหลายประเทศออกมากล่าวขู่ว่า หาก พ.ร.บ.นี้ออกมาจะย้ายฐานการลงทุนไปประเทศอื่น ซึ่งการยกประเด็น พ.ร.บ.ฉบับนี้มาแก้ไขเพียงเพื่อต้องการแก้ลำ เทมาเซก เป็นหลัก ในเรื่อง นอมินี เท่านั้น

ตอนนี้ก็เงียบหายไปในประเด็น นิติบุคคลต่างด้าว ตามร่างแก้ไข พ.ร.บ.การประกอบธุรกิจคนต่างด้าว มีเพียง 2 ประเด็นที่เขียนเพิ่มเติม ก็คือ เพิ่มในส่วนของ การออกเสียงลงคะแนนตั้งแต่กึ่งหนึ่งของเสียงทั้งหมด (Voting Right) และการเป็นตัวแทนคนต่างด้าว (Nominee) ทั้ง 2 กรณีนี้ให้ถือเป็นนิติบุคคลต่างด้าวต้องแจ้งอธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ ภายใน 90 วัน และปฏิบัติให้ถูกต้องภายในกำหนดเวลา 1 ปี ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะนักลงทุนต่างชาติและผู้ซื้อเป็นหลัก

http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=171681
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news13/06/07

โพสต์ที่ 6

โพสต์

ซีพี.รุกอสังหาฯผุด5โครงการ4.5พันล.

โพสต์ทูเดย์ กลุ่ม ซี.พี.รุกอสังหาฯเต็มสูบ ส่งบริษัทในเครือ ซี.พี.แลนด์ ปูพรม 5 โครงการ 5 พันล้าน ขณะที่ แมกโนเลีย งัดเทคโนโลยีผุดบ้านประหยัดลุยทุกเซ็กเมนต์

นายสุนทร อรุณานนท์ชัย รองประธานกรรมการ เครือเจริญโภคภัณฑ์ ในฐานะกรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานคณะผู้บริหาร บริษัท ซี.พี. แลนด์ เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนนำที่ดินในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดมาพัฒนาให้เกิดประโยชน์สูงสูด โดยปัจจุบัน ซี.พี.แลนด์ มีที่ดินสะสมอยู่ในมือประมาณ 5 พันไร่ ไม่นับรวมที่ดินของกลุ่ม ซี.พี.ทั้งหมด


ในเบื้องต้นจะพัฒนาที่อยู่อาศัยในระดับกลาง ที่ถือว่าเป็นกลุ่มที่มีฐานลูกค้าจำนวนมาก โดยในปีนี้บริษัทมีแผนพัฒนา 5 โครงการมูลค่ารวม 4.5 พันล้านบาท ได้แก่ 1.อาคารสำนักงาน ซี.พี.ทาวเวอร์ 4 ใน จ.ขอนแก่น เนื้อที่ 20 ไร่ เป็นอาคารสูง 11 ชั้น มูลค่า 200 ล้านบาท 2.โครงการคอนโด มิเนียม ที่พัทยาใต้ เนื้อที่ 30 ไร่ เป็นคอนโดมิเนียมสูง 7 ชั้น 10 อาคาร จำนวน 700 ยูนิต ราคาขายเริ่มต้น 1.9 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 2 พันล้านบาท
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=172027
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news14/06/07

โพสต์ที่ 7

โพสต์

ชงครม.ทุ่ม9แสนล้านสร้าง5เขื่อนยักษ์

โดย ข่าวสด วัน พฤหัสบดี ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2550 08:19 น.

เกษตรเตรียมทำประชาพิจารณ์-เล็งประเดิมอีสาน
นายธีระ สูตะบุตร รมว.เกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า อีก 2-3 สัปดาห์จะเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาให้ดำเนินการศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมจากการสร้างเขื่อน 5 เขื่อนขนาดใหญ่ ได้แก่ 1.เขื่อนแก่งเสือเต้น จ.แพร่ 2.เขื่อนรับร่อ จ.ชุมพร 3.เขื่อนโปร่งขุนเพชร จ.ชัยภูมิ 4.เขื่อนท่าแซะ จ.ชุมพร และ 5.เขื่อนคลองกราย จ.นครศรีธรรมราช หลังจากที่กรมชลประทานสำรวจพื้นที่ที่มีศักยภาพและเหมาะสมในการดำเนินการพัฒนาเป็นพื้นที่ชลประทานให้เพียงพอต่อพื้นที่การเกษตรทั่วประเทศที่มีอยู่ 140 ล้านไร่
นายธีระ กล่าวว่า กรมชลประทานดำเนินการจัดทำแผนพัฒนาการเพิ่มพื้นที่ชลประทานจากเดิมที่มีอยู่ 27.98 ล้านไร่ เป็น 60.29 ล้านไร่ คาดว่าจะใช้งบประมาณดำเนินการทั้งสิ้น 895,773 ล้านบาท และใช้เวลาดำเนินการประมาณ 15 ปี ภายใต้ 4 แผนยุทธศาสตร์ ดังนี้ 1. การเก็บกักน้ำเพิ่มเติม โดยการเพิ่มประสิทธิภาพความจุเก็บกักของอ่างเก็บน้ำที่มีอยู่เดิม และการพัฒนาเพิ่มศักยภาพในการเก็บกักน้ำของ หนอง คลอง บึง สระเก็บน้ำ โดยมอบหมายให้หน่วยงานที่รับผิดชอบไปดำเนินการ เช่น การขุดลอก การผันน้ำระหว่างแหล่งเก็บกักน้ำ เพื่อเพิ่มน้ำในช่วงน้ำหลาก รวมถึงการพัฒนาแหล่งน้ำใหม่เพิ่มเติม ทั้งขนาดใหญ่ ขนาดกลาง ขนาดเล็ก และสระเก็บน้ำ
http://news.sanook.com/economic/economic_145945.php
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news14/06/07

โพสต์ที่ 8

โพสต์

ประมูลรถไฟฟ้าสีแดง1.3หมื่นล. เปิดอีออกชั่นกลางเดือนสิงหาคม

โดย ประชาชาติธุรกิจ วัน พฤหัสบดี ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2550 02:01 น.

รถไฟฟ้าสายสีแดง ช่วงบางซื่อ-ตลิ่งชัน เลื่อนเปิดประมูลออกไปอีก 1 เดือน จากกำหนดเดิมสิ้นมิถุนายนเป็นกลางสิงหาคม เผยต้องลงประกาศ ทีโออาร์ในเว็บไซต์ เพื่อรับฟังความคิดเห็น พร้อมเสนอบอร์ดอนุมัติอีกครั้งก่อนถึงจะลงมือเคาะราคาได้ ด้วยวิธีอีออกชั่นแบบสัญญาเดียว ด้านผู้รับเหมาเฮได้งานชิ้นโต มูลค่า 13,000 ล้านบาท ร.ฟ.ท.เตรียมรื้อ 15 ชุมชนริมทางรถไฟ กว่า 2,000 หลังคาเรือน ก่อนเริ่มตอกเสาเข็มต้นปี51
นายนคร จันทศร รองผู้ว่าการการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) เปิดเผย ประชาชาติธุรกิจ ว่า การเปิดประมูลโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีแดง ช่วงบางซื่อ-ตลิ่งชัน ระยะทาง 15 กิโลเมตร ค่าก่อสร้าง 13,000 ล้านบาท อาจจะต้องเลื่อนการเปิดประมูลออกไป จากกำหนดเดิม ที่จะเปิดประมูลภายในเดือนมิถุนายน-กรกฎาคมนี้เป็นกลางเดือนสิงหาคมแทน เนื่องจากยังมีกระบวนการที่จะต้องดำเนินการตามขั้นตอนต่างๆ อีกหลายขั้นตอน อย่างไรก็ตาม ในส่วนของการก่อสร้างจะเริ่มก่อสร้างได้ตั้งแต่ต้นปี 2551 เป็นต้นไป
http://news.sanook.com/immovable/immovable_145812.php
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news19/06/07

โพสต์ที่ 9

โพสต์

จี้รัฐกระตุ้นการใช้จ่าย ลดด/บ-หนุนอสังหาฯ

โดย ผู้จัดการออนไลน์ 19 มิถุนายน 2550 08:02 น.


      สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติจี้รัฐ เร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ทั้งการกระตุ้นภาคการบริโภค การสนับสนุนภาคอสังหาฯ ลดอัตราดอกเบี้ย ด้านตลท.ชี้นักลงทุนต่างชาติยังมีมุมมองต่อตลาดหุ้นไทยในด้านบวก หลังยอดซื้อสุทธิแค่ 6 เดือนกว่า 8.7 หมื่นล้านบาท ขณะที่ "วิสิฐ" แนะนักลงทุนในตลาดหุ้น 1 ใน 3 ของพอร์ตลงทุน เชื่อผลตอบแทนสูงกว่าตราสารหนี้ หลังอัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มปรับตัวลดลง
     
      นายวรพล โสคติยานุรักษ์ รองประธานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เปิดเผยในงานสัมนา Signature Wealth Avenue ครั้งที่2 ในหัวข้อ จับทิศทางเศรษฐกิจและการลงทุนอ กลยุทธ์เลือกหุ้นเด่น เน้นความมั่นคงว่า ปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นในประเทศจนส่งผลทำให้เศรษฐกิจของประเทศชะลอตัวลง เกิดจากปัญหาการเมืองที่ยังไม่ได้ข้อสรุปที่ชัดเจน เป็นเหตุให้การขยายตัวภาคการลงทุนและความมั่นใจของผู้บริโภคต่การจับจ่ายใช้สอยลดลง
http://www.manager.co.th/StockMarket/Vi ... 0000070755
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news23/06/07

โพสต์ที่ 10

โพสต์

มนุษย์คอนโดฯร้องรัฐแก้ก.ม.อาคารชุด +ระบุบทลงโทษเจ้าของโครงการ-นิติบุคคล-เจ้าของร่วม/วางกรอบกันออกกฎเอื้อตัวเอง  
เครือข่าย "ตนคอนโด" ผู้อยู่อาศัยคนโดมิเนียม ร้องรัฐแก้ไขพ.ร.บ.อาคารชุดใหม่ เพิ่มบทลงโทษเจ้าของโครงการ-นิติบุคคล-เจ้าของร่วม กรณีกระทำผิดกฎ พร้อมระบุในข้อเสนอห้ามผู้ประกอบการนำที่ดินเพื่อสาธารณูปโภค-การบริการสาธารณะไปใช้ประโยชน์ จี้รัฐวางกรอบข้อบังคับอาคารชุดเป็นมาตรฐานป้องกันเจ้าของโครงการเอื้อประโยชน์ตัวเอง นายกฯสมาคมอาคารชุดโต้ ไม่มั่นใจมีใครจ้างมาร้องเรียนหรือเปล่า

กลุ่มเครือข่ายตนคอนโด นำโดยนายภิรมย์ แม้นโกศล, นายสุพัฒน์ วรเวทวิชัย เจ้าของร่วมในโครงการอาคารชุดเดอะวอเตอร์ฟอร์ด ไดมอนด์, นายปฐมพงศ์ เจียมอุดมสิน เจ้าของร่วมในโครงการอาคารชุดเดอะทรีโอการ์เด้น, นายสุชาติ เกียรติธร เจ้าของร่วมในโครงการอาคารชุดเอสวี ซิตี้, พ.ต.ท.สถาพร เชื้อพันธ์ เจ้าของร่วมในโครงการอาคารชุดป็อปปูล่า เมืองทองธานี, นางสมศรี วิจิตรทองเรือ เจ้าของร่วมในโครงการอาคารชุดวอเตอร์ฟอร์ด พระราม 4 ได้ยื่นเสนอขอให้มีการแก้ไขพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ.2522 แก่คณะกรรมาธิการคุ้มครองผู้บริโภคที่มีนายประพันธ์ คูณมี เป็นประธานคณะกรรมาธิการ
http://www.thannews.th.com/detialnews.p ... issue=2229
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news25/06/07

โพสต์ที่ 11

โพสต์

ครึ่งปีแรกอสังหาหดถึง20%
ตัดใจยอดขายปีนี้ ขาใหญ่ซุ่มลงทุน รอกำลังซื้อปี51

โพสต์ทูเดย์ อสังหาฯ ครึ่งปีแรกวูบ 20% ผู้ประกอบการตัดใจ มองข้ามไปปีหน้า เตรียมเปิดโครงการใหม่ รอขายหลังเลือกตั้ง

นายอธิป พีชานนท์ นายกสมาคมอาคารชุดไทย กล่าวว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในครึ่งปีแรกไม่ค่อยดีเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2549 เป็นผลจากสถานการณ์ทางการเมือง ทำให้ยอดขายลดลงประมาณ 20% แต่คาดครึ่งปีหลังน่าจะดีกว่าครึ่งปีแรก ถ้าไม่มีสถานการณ์รุนแรงเกิดขึ้น


จากการสำรวจ ยอดขายรวม 4 เดือนแรก ลดลงถึง 25% เนื่องจาก ผู้บริโภคชะลอการตัดสินใจซื้อ แต่ ช่วง 2 เดือนหลังของครึ่งปีแรก สถานการณ์เริ่มดีขึ้น โดยมียอดขายส่วนหนึ่งมาจากการจัดงานมหกรรมบ้านและคอนโด และอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง ขณะบรรยากาศทางการเมืองเดือน พ.ค.-มิ.ย. เริ่มชัดเจนขึ้น ทำให้ยอดขายครึ่งปีแรกน่าจะลดลง 20% นายอธิป กล่าว


อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ด้านการเมือง ยังคงมีความไม่แน่นอนและยังเป็นปัจจัยลบภายนอกที่ผู้ประกอบการจะต้องระวัง หากการเลือกตั้งตามกำหนดเวลาที่วางไว้ คิดว่าการเมือง น่าจะดีขึ้น


แต่อีกปัจจัยที่น่าเป็นห่วงคือภาวะต้นทุนที่จะปรับสูงขึ้นจากราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มจะสูงขึ้นอีก ขณะราคายังไม่สามารถปรับขึ้นได้ ซึ่งจะกระทบถึงกำไร
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=174440
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news25/06/07

โพสต์ที่ 12

โพสต์

เช็กยอดขายบิ๊กอสังหาฯ ไตรมาสแรกหืดจับ

โดย ประชาชาติธุรกิจ วัน จันทร์ ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2550 02:02 น.

โดย รองศาสตราจารย์ ดร.บัณฑิต จุลาสัย ภาควิชาสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ช่วงเวลาที่ผ่านมาคงได้ข่าวบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ สรุปผลการดำเนินธุรกิจในไตรมาสแรกของปี ผู้บริหารหลายบริษัทจะมีคำอธิบายอ้างถึงปัญหาบ้านเมืองและข้อจำกัดต่างๆ ทำให้รายได้หรือกำไรลดลงเมื่อเทียบกับ ไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมา แต่ผู้บริหาร บางบริษัทจะอวดอ้างตัวเลขยอดขายสูงขึ้น หรือกำไรเพิ่มขึ้น และคาดการณ์ว่าผลประกอบการปีนี้ประสบผลสำเร็จตามแผนแน่นอน

จากที่เคยมีผลประกอบการของปี พ.ศ.2549 ของบริษัท จำกัด (มหาชน) จำนวน 24 บริษัทในกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง ที่ดำเนินธุรกิจหลักสร้างบ้านขาย ไปแล้ว เมื่อติดตามผลประกอบการไตรมาสแรกของปี พ.ศ.2550 จะพบว่ายอดรายได้ รวมของทุกบริษัทเท่ากับ 20,000 ล้านบาท (ดูตารางประกอบ) หรือคิดเป็นร้อยละ 22 ของยอดรายได้รวมปี พ.ศ.2549 ตัวเลขนี้ ช่วยยืนยันว่าสภาพธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของบ้านเราย่ำแย่และอาจย่ำแย่ต่อไปจนถึงสิ้นปี

บรรดาบริษัทใหญ่ๆ ที่เคยทำรายได้รวมสูงสุดในปีที่ผ่านมา ดูเหมือนว่ายังคงทำรายได้รวมในไตรมาสแรกนี้สูงสุดเช่นเดิมได้แก่ บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ทำรายได้ถึง 4,000 ล้านบาท ตามมาด้วยบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) และบริษัท ควอลิตี้ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ที่ทำรายได้ใกล้เคียงกันคือ 2,500 ล้านบาท บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) บริษัท เอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) บริษัท แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) และบริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) แต่ละบริษัททำรายได้รวมตั้งแต่ 1,900 ล้านบาท ลงมาจนถึง 1,000 ล้านบาท

ในขณะที่บริษัท เค.ซี.พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) บริษัท กฤษดามหานคร จำกัด (มหาชน) บริษัท เอเวอร์แลนด์ จำกัด (มหาชน) บริษัท ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ จำกัด (มหาชน) และบริษัท ปรีชา กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) แต่ละบริษัทมีรายได้รวมอยู่ระดับ 200 ล้านบาท และลดลงไปเหลือ 70 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปได้ว่าบริษัทเหล่านี้กำลังใส่เกียร์ว่าง รอดูสถานการณ์บ้านเมือง

ยิ่งไปกว่านี้ ปรากฏว่ามีเพียง 6 บริษัทที่สามารถทำรายได้เข้าเป้า คือ มากกว่าร้อยละ 25 ของรายได้รวมปี พ.ศ.2549 ได้แก่ บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) บริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด (มหาชน) บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) บริษัท เคปเปลไทย พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) บริษัท สัมมากร จำกัด (มหาชน) และบริษัท อารียา พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ส่วนบริษัทที่เหลือมีอาการน่าเป็นห่วง
http://news.sanook.com/immovable/immovable_150186.php
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news27/06/07

โพสต์ที่ 13

โพสต์

10บริษัทอสังหาฯคุมตลาด หลังรายเล็กขาดเงินพัฒนา

โดย ผู้จัดการออนไลน์ 27 มิถุนายน 2550 08:22 น.
 
      "อนุพงษ์ อัศวโภคิน"ออกโรงเตือน ตลาดอสังหาฯระยะข้างหน้า ผู้ประกอบการรายใหญ่ จะครองส่วนแบ่งตลาดทางด้านมูลค่าในตลาดสูงสุด จากปัจจุบันเพียง 10 กว่าบริษัท กินรวบส่วนแบ่งตลาดไปกว่า 60% เหตุบริษัทขนาดเล็ก ไม่ได้รับท่อส่งทางการเงินจากแบงก์ ซ้ำผู้บริโภคเริ่มให้ความสนใจในแบรนด์ พร้อมเดินหน้าปรับเป้ายอดขายจาก 9,000 ล้านบาท เป็น 12,000 ล้านบาท หลังยอดขายคอนโดฯ แบรนด์ ไลฟ์ ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า
     
      นายอนุพงษ์ อัศวโภคิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือเอพี เปิดเผยว่า ขณะนี้ประชาชนเริ่มชินกับสถานการณ์ทางด้านการเมืองแล้ว และเชื่อว่าความเชื่อมั่นคงจะไม่ลดลงไปมากกว่าที่เป็นอยู่ และจากปัจจัยดังกล่าวทำให้มีการหันมาซื้อที่อยู่อาศัยกันมากขึ้น ซึ่งขณะนี้ยอมรับว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์เป็นตลาดของผู้ประกอบการรายใหญ่ เนื่องจากมีการขยายตัวค่อนข้างมาก โดยพบว่ารายใหญ่ในตลาดที่มีอยู่ประมาณ 10 กว่ารายนั้น มีส่วนแบ่งการตลาดทางด้านมูลค่ามากกว่า 60%และคาดว่าจะมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากเดิมที่กลุ่มเหล่านี้มีส่วนแบ่งการตลาดเพียง 20-30% เท่านั้น ที่เป็นเช่นนี้เพราะรายเล็กไม่ได้รับการสนับสนุนจากสถาบันการเงินและผู้บริโภคไม่ตอบรับ เนื่องจากผู้บริโภคไม่มั่นใจในคุณภาพและหันมาให้ความสำคัญการตราสินค้ามากขึ้น
     
      "ขณะนี้ลูกค้าเร่งตัดสินใจซื้อมากขึ้น โดยปัจจุบันในส่วนของบริษัทนั้นสามารถขายได้สัปดาห์ละ 100ล้านบาทจากเดิมที่มียอดขาย 70-80 ล้านบาท เท่านั้น ส่วนกรณีที่ว่าซิตี้คอนโดฯแข่งขันกันมาก โดยเฉพาะในทำเลรัชดา แต่จากตัวเลขยอดขายมีอยู่อย่างต่อเนื่อง แม้จะมีสินค้าระดับราคาตั้งแต่ 40,000-70,000 บาท/ตร.ม. แต่สินค้าของบริษัทในระดับราคา 60,000 บาทก็ยังขายดี ในขณะที่ยอดขายของรายเล็กกลับไม่มาก แสดงว่าลูกค้าเลือกที่ แบรนด์สินค้าด้วย"
     
      แม้ว่า ภาวะตลาดจะมีการชะลตัว แต่สำหรับบริษัทกลับมียอดขายที่เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะจากการขายคอนโดฯในแบรนด์ ไลฟ์ ซึ่งยอดขายในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้บริษัทสามารถทำได้แล้ว 8,800 ล้านบาท ทำให้บริษัทได้ปรับเป้ายอดขายภายในปีนี้จากเดิมต้นปีตั้งไว้ที่ 9,000 ล้านบาท เป็น 12,000 ล้านบาท ส่วนยอดรับรู้รายได้คงไม่เปลี่ยนแปลงมาก เนื่องจากสินค้าที่ทำยอดขายเป็นคอนโดฯ ซึ่งส่วนใหญ่จะสามารถรับรู้ได้ในปี 2552 ดังนั้นยอดรับรู้รายได้ในปีนี้จะอยู่ที่ประมาณ 7,000-7,500 ล้านบาท
http://www.manager.co.th/StockMarket/Vi ... 0000074501
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news27/06/07

โพสต์ที่ 14

โพสต์

หุ้นเหล็กอาละวาด พบราคาต่ำบุ๊คเพียบ
TSTH-GSTEEL-EWC-BSBM นำทีม
*ขณะภาพรวม SET ยังเจ๋ง ตปท.เพิ่มนำหนักลงทุนหุ้นไทยต่อ

              หุ้นเหล็กสุดร้อนแรง TSTH นำทีมหนุนหุ้นตัวอื่นวิ่งตาม หลังนักลงทุนเก็งกำไรราคาเหล็กเริ่มดีขึ้น โครงการก่อสร้างรัฐ-อสังหาฯ เริ่มมีเพิ่มขึ้น สำรวจพบราคาหุ้นในกระดานยังถูกต่ำกว่าบุ๊คแวลูทั้ง TSTH- GSTEEL-SSI-NSM-EWC-BSBM ส่วนโบรกเกอร์ยังมองต่างมุม โกลเบล็ก-แอ็ดคินซัน เชียร์ TSTH เจ๋งสุด ทั้งพื้นฐานและสัญญาณเทคนิค แต่บล.ไทยพาณิชย์ ยังให้ลดน้ำหนักลงทุนคาดงบฯ Q2/50 อาจจะไม่ดีอย่างที่คาดการณ์ไว้ ขณะที่ภาพรวมตลาดหุ้นต่างชาติยังไม่ทิ้งไทย CLSA ยังเพิ่มน้ำหนักลงทุนต่อ

               1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมาแม้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวขึ้นๆ ลงๆ สลับกันบ้าง แต่สำหรับหุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็กแล้ว ราคาหุ้นในกลุ่มดังกล่าวกับปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะตั้งแต่ปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ต่อเนื่องจนถึงสัปดาห์นี้ นักลงทุนเข้ามาลงทุนในหุ้นกลุ่มดังกล่าวอย่างหนาแน่น โดยมีมูลค่าการซื้อขายค่อนข้างคึกคัก ตั้งแต่หุ้น บมจ. สามชัย สตีล อินดัสทรี (SAM) บมจ. ริช เอเชีย สตีล (RICH) บมจ. เอเซีย เมทัล (AMC) บมจ. สหวิริยาสตีลอินดัสตรี (SSI) บมจ. ทาทา สตีล (ประเทศไทย) (TSTH) โดยเฉพาะ SAM และ RICH เพิ่มขึ้นสวนทางกับภาพรวมของตลาดฯ และวานนี้ก็ถึงคิวของหุ้น TSTH ที่ปรับขึ้นค่อนข้างร้อนแรงตั้งแต่ช่วงเปิดตลาดฯ และส่งผลให้ราคาหุ้นตัวอื่นในกลุ่มนี้ต่างก็ปรับขึ้นในทิศทางเดียวกัน
               ทั้งนี้จะเห็นได้ว่าในช่วงตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมานั้น หุ้นในกลุ่มนี้ มักจะถูกมองข้ามจากบรรดาโบรกเกอร์ส่วนใหญ่ เพราะมองว่าหุ้นกลุ่มเหล็กไม่น่าสนเนื่องจากมีการแข่งขันสูง จนทำให้ผู้ประกอบการต้องเร่งปรับตัวเพื่อให้อยู่รอด ขณะที่ราคาเหล็กรีดร้อนในตลาดโลกลดลง ต้นทุนวัตถุดิบยังทรงตัวสูง ขณะที่การนำเข้าวัตถุดิบใหม่มาผลิตจะทำให้เกิดผล
ขาดทุนตามมา เพราะอุปสงค์หรือความต้องการยังคงทรงตัว จนทำให้ส่วนใหญ่ยังคงแนะนำลดน้ำหนักการลงทุนในหุ้นดังกล่าวอยู่ แต่อย่างไรก็ตามจากราคาหุ้นที่ปรับเพิ่มขึ้นนั้น ทำ
ให้เริ่มเห็นสัญญาณที่ดีขึ้นของอุตสาหกรรมเหล็กและราคาหุ้นในกลุ่มนี้อีกครั้งหนึ่ง เนื่องจากความต้องการในการก่อสร้างที่อยู่อาศัยยังมีอยู่ ประกอบกับราคาเหล็กในช่วงปีนี้ปรับตัวดี
ขึ้นกว่าช่วงก่อนหน้านี้ ในขณะที่กระทรวงพาณิชย์ก็เพิ่งอนุมัติเพิ่มราคาขายเหล็กในประเทศ จึงน่าจะส่งผลดีต่อธุรกิจมากขึ้น ตลอดจนมีการคาดการณ์ว่ารัฐบาลเริ่มที่จะอนุมัติการก่อ
สร้างโครงการขนาดใหญ่มากขึ้น จึงได้ส่งผลดีต่อหุ้นในกลุ่มเหล็ก ถึงแม้ว่าสถานการณ์การเมืองในประเทศที่ยังไม่คลี่คลายดีนักจะกดดันอยู่บ้างก็ตาม
               อย่างไรก็ตามแม้ภาพรวมตอนนี้จะดี และหุ้นเหล็กจะกลับมาคึกคัก หรือฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้ง ก็ยังไม่ได้หมายความ หุ้นกลุ่มนี้น่าลงทุนทั้งหมด เพราะแนวโน้มเหล็กนั้นอาจจะไม่ได้ดีต่อเนื่อง อีกทั้งผลประกอบการในไตรมาสที่ 2 ก็ยังต้องลุ้นว่าจะดีขึ้นจากเดิมด้วยหรือไม่และอาจไม่ดีอย่างที่คาดการณ์ไว้ เพราะอุตสาหกรรมนี้ยังขึ้นอยู่กับความต้องการของอุปสงค์และราคาในตลาดโลกด้วยไม่เฉพาะในประเทศอย่างเดียว เมื่อใดที่ราคาเหล็กในตลาดโลกยังจตกต่ำก็จะยิ่งกระทบต่อราคาเหล็กในประเทศไทยด้วย โดยเฉพาตลาดใหญ่อย่างประเทศสหรัฐอเมริกา จีน และอินเดีย ก็จะกระทบต่ออุตสาหกรรมเหล็กทันที โดยเฉพาะเหล็กรีดร้อน เพราะฉะนั้นหากลงทุนจึงควรเน้นลงทุนหุ้นเป็นรายตัว ที่มีผลประกอบการดี หรือมีสตอรี่ที่สามารถเข้าลงทุนได้ เพราะยังมีหุ้นในกลุ่มนี้อีกหลายตัวที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าตามบัญชีหรือบุ๊คแวลูให้สามารถซื้อได้
               จากการสำรวจราคาหุ้นกลุ่มเหล็ก รวมไปถึงหุ้นวัสดุก่อสร้างบางตัวที่เกี่ยวเนื่องกัน ที่มีราคาต่ำกว่าบุ๊คแวลู ประกอบด้วย หุ้น GSTEEL NSM SSI TYCN BSBM EWC และ TSTH โดยหุ้น NSM มีราคาหุ้นในกระดานต่ำกว่าบุ๊คฯ มากที่สุด 63.09% รองลงมาคือหุ้น GSTEEL ต่ำกว่าบุ๊ค 62.55% ตามมาด้วยหุ้น TYCN และ EWC ต่ำกว่า 53.36% และ 42.56% ตามลำดับ ในขณะที่หุ้นที่มีราคาในกระดานสูงกว่าบุ๊คฯ มากที่สุด คือ RICH สูงกว่าถึง 379.86% รองลงมาคือ SAM สูงกว่า 173.12%
                ส่วนราคาปิดของหุ้นกลุ่มเหล็กวานนี้ (26 มิ.ย.) หุ้น SSI ปิดที่ 1.02 บาท เพิ่มขึ้น 0.01 บาท หรือ 0.99% มูลค่าการซื้อขาย 7.02 ล้านบาท หุ้น TSTH ปิดที่ 1.45 บาท เพิ่มขึ้น 0.08 บาท หรือ 5.84% มูลค่าการซื้อขาย 43.13 ล้านบาท หุ้น NSM ปิดที่ 0.31 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง มูลค่าการซื้อขาย 1.68 ล้านบาท หุ้น BSBM ปิดที่ 1.22 บาท เพิ่มขึ้น 0.02 บาท หรือ 1.67% มูลค่าการซื้อขาย 1.57 ล้านบาท หุ้น SAM อยู่ที่ 6.35 บาท เพิ่มขึ้น 0.10 บาท หรือ 1.60% มูลค่าการซื้อขาย 280.84 ล้านบาท หุ้น EWC ปิดที่ 9.10 บาท เพิ่มขึ้น 1.10 บาท หรือ 13.75% มูลค่าการซื้อขาย 276.52 ล้านบาท
                หุ้น AMC ปิดที่ 2.90 บาท เพิ่มขึ้น 0.02 บาท หรือ 0.69% มีมูลค่าการซื้อขาย 12.43 ล้านบาท หุ้น RICH ปิดที่ 7.20 บาท เพิ่มขึ้น 0.05 บาท หรือ 0.70% มูลค่าการซื้อขาย 181.06 ล้านบาท และหุ้น GSTEEL ปิดที่ 0.92 บาท เพิ่มขึ้น 0.01 บาท หรือ 1.10% มูลค่าการซื้อขาย 32.42 ล้านบาท

http://www.efinancethai.com/hotnews/i_h ... t_all.aspx
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news28/06/07

โพสต์ที่ 15

โพสต์

จี้รัฐออกกม.ยกระดับก่อสร้าง

โพสต์ทูเดย์ สมาคมอุตฯ ก่อสร้าง เร่งรัฐออกกฎหมายคุมมาตรฐาน งานก่อสร้าง หลังไทยไปรับงานต่างประเทศทำแล้วต่ำมาตรฐาน
นายปิยะบุตร ชลวิจารณ์ รมช.อุตสาหกรรม กล่าวว่า ผู้บริหารสมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้เข้าพบและเสนอให้กระทรวงอุตสาหกรรม ผลักดันพระราชบัญญัติอุตสาหกรรมก่อสร้างไทย เพื่อให้เป็นกฎหมายควบคุมดูแลสมาชิกและผู้ประกอบการต่างประเทศที่เข้ามาทำธุรกิจในไทย เพื่อให้งานมีมาตรฐานและเป็นที่ยอมรับทั้งในประเทศและระดับสากล ขณะเดียวกันได้หารือถึงแนวทางการพัฒนาอุตสาหกรรมก่อสร้างเพื่อยกระดับผู้ประกอบการทั้งด้านเทคโนโลยี บุคลากร รวมไปถึงงานที่เกี่ยวเนื่อง

พระราชบัญญัติอุตสาหกรรมก่อสร้างที่สมาคมฯ ขอให้ กระทรวงเร่งผลักดันนั้นเกรงว่าจะไม่ทันในรัฐบาลชุดนี้ เพราะยังมีกฎหมาย ที่ต้องเร่งพิจารณาอีกกว่า 100 ฉบับ ดังนั้นจึงมอบนโยบายให้สมาคม คิดหาแนวทางพัฒนาอุตสาหกรรมฯ เพื่อเตรียมความพร้อมรองรับกฎหมายดังกล่าว ในอนาคต ที่สำคัญเพื่อให้อุตสาหกรรมก่อสร้างไทยเป็นที่ยอมรับในระดับสากล เพราะอดีตผู้ประกอบการไทยเกือบจะได้งานก่อสร้างงานใน โดฮาเกมส์ที่ประเทศกาตาร์ แต่ก็ต้อง ยอมให้ผู้รับเหมาประเทศอื่นที่มีระบบ มาตรฐาน และเทคโนโลยีที่ดีกว่า นายปิยะบุตร กล่าว

นายพลพัฒ กรรณสูต นายกสมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวว่า พ.ร.บ.ประกอบการรับเหมาก่อสร้างจะทำให้ผู้รับเหมามีองค์กรกลางและทำหน้าที่เป็นผู้รับจดทะเบียน ลักษณะคล้ายสภาอุตสาหกรรม เพื่อกำกับดูแล ในภาคเอกชน โดยเฉพาะในรายที่มีปัญหาซ้ำซากฉ้อโกงเงินลูกค้าแล้ว ทิ้งงานรับเหมาไป

สำหรับทิศทางอุตสาหกรรมก่อสร้างในประเทศ คาดว่าปีนี้มีอัตราการเติบโตไม่เกิน 1% เพราะเศรษฐกิจชะลอตัว และไม่มีโครงการขนาดใหญ่มีเพียงงบผูกพันจากปี 2549 เพียง 1 แสนล้านบาท และงานขององค์การ บริหารส่วนตำบล (อบต.) เข้ามาเพียง ปีละ 3 แสนล้านบาทเท่านั้น
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news28/06/07

โพสต์ที่ 16

โพสต์

ตลาดบ้านเดี่ยวรอตีตื้นคอนโดฯ ปัจจุบันราคาบ้านลด-ดบ.ขาลงเพิ่มกำลังผ่อนคนซื้อ

โดย ผู้จัดการออนไลน์ 28 มิถุนายน 2550 07:44 น.

      ผลสำรวจผู้ชมงาน บ้านและคอนโดฯ ยอดขายคอนโดฯสูงสุด 51.84% แซงโค้งยอดขายบ้านเดี่ยว แต่ความต้องการซื้อบ้านเดี่ยวยังสูงเป็นอันดับ1 ผลสำรวจชี้ กำลังซื้อ ความสามารถผ่อนส่งของลูกค้าไม่สอดคล้องกับราคาสินค้า ส่งผลผู้บริโภคลดขนาดของการซื้อบ้าน เพื่อป้องกันความเสี่ยงในอนาคต เผยตลาดบ้านแฝด-ทาวน์เฮาส์ รับอานิสงส์ลูกค้ากำลังซื้อไม่ถึงบ้านเดี่ยว
     
      นายสัมมา คีตสิน ผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์(ธอส.) เปิดเผยว่า จากการเก็บข้อมูลความต้องการที่อยู่อาศัยในงานมหกรรมบ้านและคอนโดฯ ครั้งที่ 16 ที่ผ่านมา พบว่า มีผู้เข้าร่วมชมงานมากกว่า 1แสนคน โดยมียอดขายภายในงานมากกว่า 3,000 ล้านบาท แบ่งเป็นคอนโดมิเนียม 51.84% บ้านเดี่ยว 19.58% สินทรัพย์รอจำหน่ายของสถาบันกรเงิน (NPA) 15.90% ทาวน์เฮาส์ 5.91% ที่ดินเปล่า 2.83% อาคารพาณิชย์ 2.24% ห้องชุดสำนักงาน 1.17% และรับสร้างบ้าน0.54% และภายหลังจากการจัดงานคาดว่ามีผู้ประกอบการที่ออกงานมียอดขายเพิ่มอีกประมาณ 2 เท่าของยอดขายในงาน
     
      ทั้งนี้ จากการสำรวจข้อมูลของผู้ลงทะเบียนเข้าชมงาน จะเห็นได้ว่าความต้อการที่อยู่อาศัยประเภทต่างๆ ยังคงมีจำนวนสูงเพิ่มขึ้น โดยสามารถจัดอันดับความต้องการที่อยู่อาศัยออกเป็น บ้านเดี่ยวประมาณ 38.6% คอนโดฯ 23.2% ทาวน์เฮาส์ 21.2% บ้านแฝด 6.4% อาคารพาณิชย์ 5.9% ที่ดินเปล่า 4.5% โดยผู้ที่เข้าชมงานส่วนใหญ่ มีวัตถุประสงค์เพื่อเก็บข้อมูลโครงการบ้านและคอนโดฯที่สนใจ คิดเป็น35.4% เพื่อตัดสินใจซื้อ 31.2% เพื่อศึกษาทำเล 20.2% และเก็บข้อมูลเปรียบเทียบจุดเด่นจุดด้อยของโครงการก่อนตัดสินใจซื้อมีประมาณ 13.2%
http://www.manager.co.th/StockMarket/Vi ... 0000075012
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news30/06/07

โพสต์ที่ 17

โพสต์

จีนปรับขึ้นภาษีเหล็ก80 รายการดันต้นทุนนำเข้าไทยสูงขึ้น

29 มิถุนายน พ.ศ. 2550 11:00:00
จีนประกาศปรับเพิ่มภาษีสินค้าใช้พลังงานกว่า 140 รายการ ขึ้นภาษีเหล็ก 80 รายการ ดันต้นทุนวัตถุดิบเหล็กนำเข้าสูงขึ้น ขณะเดียวกันได้ปรับลดภาษีนำเข้าเครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องครัว

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : นางอภิรดี ตันตราภรณ์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2550 กระทรวงพาณิชย์ของจีน ได้กำหนดปรับขึ้นอัตราภาษีส่งออกสินค้า 142 รายการ สำหรับสินค้าที่ใช้พลังงานมาก สินค้าที่ก่อให้เกิดมลภาวะ

และสินค้าที่มีสัดส่วนการใช้ทรัพยากรสูง โดยการปรับขึ้นภาษีส่งออกจะอยู่ระหว่างร้อย 5-10 และครอบคลุมถึงผลิตภัณฑ์เหล็กกว่า 80 รายการ สำหรับสินค้าเหล็กขั้นปฐม ปรับขึ้นจากร้อยละ 10 เป็นร้อยละ 15

พร้อมกันนี้ได้ประกาศลดอัตราภาษีนำเข้าลงระหว่าง ร้อยละ 0-17 ในสินค้า ทั้งหมด 209 รายการ ซึ่งรวมถึงวัตถุดิบ สำคัญต่างๆ โดยอัตราภาษีนำเข้าของถ่านหินและน้ำมันปรับลดไม่เกินร้อยละ 3 ขณะที่อัตราภาษีนำเข้าของเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ เช่น โทรทัศน์ ตู้เย็น และเครื่องจักร อยู่ที่ร้อยละ 2-6 ส่วนอัตราภาษีนำเข้าของวัตถุดิบก่อสร้าง เครื่องครัว และอาหารทารกลดลงมาอยู่ระหว่างร้อยละ 6-17

การดำเนินมาตรการดังกล่าวของจีน มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความสมดุลระหว่างการนำเข้าและการส่งออกอันจะทำให้ลดการเกินดุลการค้า ซึ่งก่อนหน้านี้จีนได้ประกาศยกเลิกการขอใบอนุญาตนำเข้าสินค้า จำนวน 338 รายการ
http://www.bangkokbiznews.com/2007/06/2 ... wsid=81567
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news30/06/07

โพสต์ที่ 18

โพสต์

แอลพีเอ็น-พฤกษา-เอพี "ดาวเด่น"กลุ่มอสังหาฯ

นักวิเคราะห์หลายสำนักต่างคาดการณ์ว่า หุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ จะกลับมาสร้างความคึกคักให้กับตลาดหุ้นอีกครั้ง เพราะมีตัวกระตุ้นชั้นดีจากอัตราดอกเบี้ย "ขาลง"
ว่ากันว่าขณะนี้ผู้บริโภคเริ่มกล้าตัดสินใจซื้อบ้าน ดังนั้นไม่เกินปลายปีนี้ ไม่เกินต้นปีหน้า หุ้นกลุ่มอสังหาฯ มีโอกาสฟื้นตัว
ถึงอย่างนั้นก็ตาม การลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้ก็ไม่สามารถใช้วิธี "เหวี่ยงแห" ต้องแกะงบการเงินกันเป็นรายตัวทีเดียว เพื่อให้แน่ใจว่าเลือกได้ของดีและถูกจังหวะ
เทอดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส บอกว่า หุ้นอสังหาฯ ช่วงปลายนี้มีโอกาสกลับมาอีกครั้ง แต่ถ้าจะเข้าซื้อหุ้นต้องเลือกหุ้นบางตัว เพราะหุ้นในตลาดขณะนี้มี 2 กลุ่ม ทั้งหุ้นที่ประสบความสำเร็จในการขาย และบริษัทที่ไม่สำเร็จในการบันทึกเป็นรายได้และกำไร

เขาแนะให้เลือกบริษัทหรือดีเวลอปเปอร์ที่ประสบความสำเร็จในการขาย และมีการบันทึกกำไร จะเป็นบริษัทที่น่าสนใจลงทุนมากที่สุด โดยมองว่า ตลาดคอนโดมิเนียมและทาว์นเฮ้าส์ ยังเติบโตได้อีก
"เราคิดว่าตลาดคอนโดมิเนียมยังมาแรงและไปได้อีก ซึ่งปัจจุบันยังมีคอนโดมิเนียมเปิดใหม่หลายโครงการ ถ้าเป็นโครงการที่ทำเลดี ราคาไม่สูงเกินไป ยังมีความต้องการซื้ออีกมาก นอกจากนั้น ยังมองว่าตลาดทาวน์เฮ้าส์ ยังไปได้อีก ขึ้นอยู่กับผู้ประกอบการว่าจะจับตลาดและราคาได้ถูกต้องหรือไม่"
ส่วนหุ้นที่โดดเด่น เขามองว่ายังเป็นกลุ่มคอนโดมิเนียม เช่น แอลพีเอ็น ( LPN) เอเชี่ยนพร็อพเพอร์ตี้ (AP) พร็อพเพอร์ตี้เพอร์เฟค (PF) และศุภาลัย (SPALI)
ขณะที่หุ้นที่ทำธุรกิจบ้านจัดสรรหรือทาวน์เฮ้าส์ พฤกษา เรียลเอสเตท (PS) น่าสนใจที่สุด เพราะเป็นผู้นำตลาดบ้านจัดสรรถึง 40% ของตลาดรวม
"ประเด็นสำคัญคือต้องเลือกหุ้นให้ถูกตัว และซื้อในช่วงที่บริษัทประกาศผลงานออกมา หุ้นเด่นที่เราแนะนำคือ LPN ขณะนี้ราคายังต่ำอยู่ ทำให้มีอัพไซด์ เกน (โอกาสปรับตัวขึ้น) มากพอควร หรือกลุ่มทาวน์เฮ้าส์ที่เด่นก็แนะซื้อหุ้น PS ซึ่งเป็นผู้นำตลาด" เทอดศักดิ์กล่าว
ด้านนักกลยุทธ์การลงทุน "ปองรัตน์ รัตนะตวณานนท์" ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.บัวหลวง บอกว่า ธุรกิจอสังหาฯ ที่มีผลประกอบการ คือกลุ่มผู้ประกอบการที่อยู่อาศัย บ้าน และคอนโดมิเนียม ราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทต่อหลัง ซึ่งจะมียอดขายและกำไรในปีนี้และปีหน้าเติบโตต่อเนื่อง หุ้นที่แนะนำก็เช่น หุ้น AP, PS, LPN และ QH
"แม้ว่าหุ้น QH ภาพจะยังไม่ชัดเจนมากนัก เพราะมีหลายธุรกิจทั้งบ้านเดี่ยว คอนโด อาคารสำนักงาน แต่การที่บริษัทจัดตั้งกองทุนอสังหาฯ ทำให้ไม่ต้องเสียภาษีและยังได้รายได้และกำไรจากการขายอสังหาฯ เข้ากองทุน รวมถึงเมื่อกองทุนจ่ายปันผลก็จะได้อีก เหมือนกับได้กำไรสองต่อ"
ปองรัตน์แนะนำให้ลงทุนในหุ้น QH ที่ได้ประโยชน์จากกองทุน นอกจากนั้น ยังแนะนำหุ้น TICON ซึ่งมีโอกาสเติบโตอีกมาก
"หากไม่อยากลงทุนในกองทุนอสังหาฯ เพราะมีปัญหาเรื่องสภาพคล่องซื้อขายน้อย ทางลัดก็คือ ถ้าบริษัทไหนจัดตั้งกองทุนก็เลือกซื้อได้ เช่น QH TICON" ปองรัตน์กล่าว
ในมุมมองของเทอดศักดิ์ เขาเห็นว่า แม้หุ้นอสังหาฯ ที่ออกกองทุนจะได้ประโยชน์จากการจัดตั้ง แต่ก็ไม่ใช่ลงทุนได้ทุกบริษัท เพราะบริษัทที่จะเติบโตจากการจัดตั้งกองทุนได้ จะต้องขยายการลงทุนและขายสินทรัพย์ให้กองทุนทุกปี
"หุ้น TICON จะมีการเพิ่มทุนตลอด บริษัทเติบโตต่อเนื่อง และเป็นหุ้นที่น่าสนใจ ส่วนบริษัทอื่นๆ ที่มีอยู่ขณะนี้ จะเป็นธีมเข้าเก็งกำไรมากกว่า" เทอดศักดิ์ให้ความเห็น
http://www.bangkokbizweek.com/
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news30/06/07

โพสต์ที่ 19

โพสต์

จับเท็จ..."หุ้นอสังหาฯ" 4 วิธี "เลี่ยงหลุมพราง" ทางบัญชี

จะเล่นหุ้นอสังหาฯ ให้มีกำไรต้องทำอย่างไร นักวิเคราะห์แนะนำว่า มีกลเกมทางบัญชี 4 วิธีที่ผู้ลงทุนต้องรู้ทุน คือ การบันทึกรายได้ กำไรขั้นต้น ค่าใช้จ่าย และการไหลของกระแสเงินสด
กลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในตลาดหุ้นไทยมีมากถึง 68 บริษัท แยกเป็น 5 กลุ่ม ทั้งรับเหมาก่อสร้าง ที่อยู่อาศัย พัฒนาโครงการให้เช่า โรงงานอุตสาหกรรม และน้องใหม่กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ ทั้งที่เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ และสิทธิการเช่า ซึ่งกลุ่มหลังสุดนี้โตขึ้นเรื่อยๆ เพราะมีกองทุนเข้ามาจดทะเบียนต่อเนื่อง
ทั้ง 5 ธุรกิจในเซคเตอร์อสังหาฯ รวมๆ กันแล้วมีมาร์เก็ตแคปประมาณ 10% ของตลาด แต่กระจายกันถึง 68 หลักทรัพย์ แค่เลือกว่าจะลงทุนตัวไหนก็ละลานตาพอแล้ว แต่นักวิเคราะห์ยังเตือนไว้ด้วยว่า "เล่นหุ้นอสังหาฯ ไม่ง่าย" เพราะแต่ละบริษัทมีกลวิธีทางบัญชีที่แตกต่างกัน
ฉะนั้นจะเล่นหุ้นกลุ่มนี้ ต้องตาดีเป็นพิเศษ ไม่เช่นนั้นอาจตกหลุมพรางทางบัญชีที่ถูก "ขุดล่อ" ไว้
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส บอกว่า ก่อนจะตัดสินใจลงทุน หรือไม่ลงทุนในหุ้นอสังหาฯ นอกจากต้องเข้าใจกลไกและผลกระทบของปัจจัยต่างๆ ในธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นดอกเบี้ย ความเชื่อมั่น มาตรการต่างๆ แล้ว
สิ่งสำคัญที่สุด ต้องเข้าใจโครงสร้างรายได้ วิธีบันทึกรายได้ และการทำประมาณการผลการดำเนินงาน
เพราะหุ้นกลุ่มนี้ แตกต่าง จากกลุ่มอื่นๆ หรือแม้แต่ในกลุ่มอสังหาฯ เหมือนกัน ก็ยังมีวิธีบันทึกรายได้และประมาณการแตกต่างกัน
สินค้าทั่วไป ถ้าขายแล้วได้เงินมา ก็จะบันทึกราคาเลย แต่บริษัทอสังหาฯ ไม่ใช่ จะบันทึกรายได้เฉพาะส่วนที่ "สร้างเสร็จ" แล้วเท่านั้น
ไม่ใช่เท่านั้น เพราะการบันทึกรายได้ของธุรกิจบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์ หรือที่เรียกว่า โครงการแนวราบ กับโครงการคอนโดมิเนียมก็ "แตกต่าง" กันอีก
เทิดศักดิ์อธิบายว่า การบันทึกรายได้ในบัญชีมี 3 เงื่อนไข คือ บริษัทต้องได้รับเงินจากลูกค้าอย่างน้อย 20% ของราคาขาย งานก่อสร่างต้องคืบหน้าเกิน 10% และลูกค้าผ่อนดาวน์ต้องไม่ขาดผ่อนต่อเนื่องเกิน 3 งวด
ส่วนกรณีคอนโดมิเนียม จะเพิ่มเงื่อนไขอีกข้อว่า โครงการนั้นต้องมียอดขายพื้นที่ "เกิน 40%" ของพื้นที่ขาย
โครงการคอนโดมิเนียมจะแบกรับความเสี่ยงมากกว่าบ้านเดี่ยวหรือทาว์นเฮ้าส์ จึงต้องการยอดขายและกำไรขั้นต้นที่สูงกว่า
ผู้ลงทุนที่จะซื้อหุ้นของกิจการคอนโดมิเนียมจึงต้องพิจารณาให้ดี
อีกเรื่องที่ต้องดูคือการคาดการณ์ กำไรขั้นต้น หรือ "Gross Margin" ซึ่งจะเป็นตัวบ่งชี้ถึง "ฝีมือ" ผู้บริหาร
ถ้า Gross Margin สูงๆ โดยปกติก็บ่งชี้ว่า จัดการเก่ง มีประสิทธิภาพ บริหารจัดการเป็นเยี่ยม แต่บางกรณี Gross Margin ก็อาจถูก หมกเม็ด ได้เช่นกัน
ที่เห็นกันบ่อยๆ คือ กำไรขั้นต้นสูง แต่ไม่ได้เกิดจากการบริหารจัดการที่ดี แต่มาจากการเล่นกลทางบัญชี
เทิดศักดิ์ตั้งข้อสังเกตว่า บางบริษัทที่มี Gross Margin สูง เพราะมีการปรับปรุงทาง บัญชี เช่น ปรับลดมูลค่าสินทรัพย์ในอดีต ทำให้เมื่อนำสินทรัพย์ชิ้นที่ถูกปรับลดมูลค่ามาพัฒนาเพื่อขาย จึงมีต้นทุนต่ำกว่าปกติ ส่งผลให้กำไรขั้นต้นสูงกว่าปกติ
กำไรขั้นต้น หรือ Gross Margin สูง ยังอาจมาจากกลยุทธ์พัฒนาที่ดินของผู้บริหาร เช่นสะสมที่ดินแปลงใหญ่มาหลายปี แต่ทยอยพัฒนา เช่น มีที่ดินสะสม 100 ไร่ ซึ่งในการพัฒนาที่ดินเฟสแรกๆ กำไรขั้นต้นจะต่ำเพราะมีต้นทุนสูง แต่หลังจากนั้นมูลค่าที่ดินสูงขึ้น และตั้งราคาสินค้าได้สูงกว่าเฟสแรก กำไรขั้นต้นก็สูงขึ้นในช่วงเฟสท้ายๆ
กำไรขั้นต้นของกลุ่มอสังหาฯ เคยขึ้นไปสูงสุดถึง 41% ในปี 2546 ซึ่งเป็นช่วงที่บ้านสร้างไม่พอขาย ทำให้การสต็อกสินค้าต่ำมากๆ และตลาดเป็นของผู้ขาย แต่จากนั้น Gross Margin ก็ถอยลงมาเรื่อยๆ จนเหลือ 32-34% สะท้อนว่าตอนนี้ตลาดเป็นของผู้ซื้อ"
กรณีแบบนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้ว เทิดศักดิ์ยกตัวอย่างบริษัทสัมมากร" ซึ่งซื้อที่ดินแปลงใหญ่และพัฒนาโครงการ โดยใช้เวลาถึง 10 ปี ตอนนั้นโครงการหมู่บ้านที่บางกะปิ เคยมีกำไรขั้นต้นสูงถึง 70% แต่พอที่ดินหมด กำไรขั้นต้นก็ลดลง
ฉะนั้นในการพิจารณา Gross Margin หากเห็นว่าสูงผิดปกติ ต้องเจาะลึกด้วยว่าเป็นข้อมูลจริงหรือไม่ และจะอยู่อย่างนั้นตลอดไปหรือไม่
"ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร" ก็เป็นอีกรายการหนึ่งที่ต้องดูอย่างละเอียด และเป็นอีกหนึ่งประเด็นที่ผู้ลงทุนต้องระวัง..
โดยทั่วไปค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารของธุรกิจอสังหาฯ จะมี 4 ส่วน คือ ค่าจ้างเงินเดือน และค่าใช้จ่ายเบ็ดเตล็ดในการจัดการต่างๆ ภาษีธุรกิจเฉพาะ 3.3% ของราคาประเมิน ค่าธรรมเนียมการโอน 2% และค่าใช้จ่ายส่งเสริมการขายส่วนใหญ่จะคิดราว 3% ของยอดจอง รวมเป็น 7.3%
สิ่งที่ควรระวังก็คือ ในบางกรณีการบันทึกบัญชี จะมีค่าใช้จ่ายการขายแปลกๆ เกิดขึ้น เช่น โปรโมชั่นแปลกๆ ให้ของแลกแจกแถม ดอกเบี้ยจ่าย ซึ่งถ้าเห็นความผิดปกติ ต้องสอบถามผู้บริหารด้วย

สิ่งที่ต้องจับตาอีกอย่างคือ โครงสร้างการเงินและแนวโน้มการก่อหนี้

ในช่วงวิกฤติ บริษัทอสังหาฯ ส่วนใหญ่จะเติบโตด้วยการก่อหนี้ โดยไปกู้ยืมเงินนอกประเทศ เพราะได้อัตราดอกเบี้ยถูก แต่หลังการปล่อยค่าเงินลอยตัว ทำให้มีหนี้เพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว โดยในปี 2543 สัดส่วนหนี้สิน (Net Gearing) สูงถึง 11% จากนั้นจึงทำการ "แฮร์คัต" หรือปรับโครงสร้างหนี้ ทำให้ Net Gearing ปัจจุบันเหลือเพียง 0.7% ช่วงนี้จึงถือว่าฐานเงินทุนบริษัทอสังหาฯ แข็งแรง เพราะเป็นการเติบโตจากเงินของผู้ถือหุ้นเป็นส่วนใหญ่
วิธีดูกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน ก็เป็นเครื่องบ่งชี้ "สถานะ" (Position) ของกิจการได้ทางหนึ่ง
"ในช่วงเริ่มฟื้นตัวของกิจการ หรือช่วงขยายกิจการ ส่วนใหญ่จะมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานติดลบ แต่เมื่อผ่านช่วงการลงทุนไปแล้ว ฐานธุรกิจใหญ่ขึ้น กระแสเงินสดจะเป็นบวก"
"ดูวิธีบันทึกบัญชี เกาะติด Gross Margin พิจารณาค่าใช้จ่ายในการขาย และปรายตาดูกระแสเงินสด" นี่คือแนวทางหลักๆ ในการค้นหาความจริงของหุ้นอสังหาริมทรัพย์ ที่นักวิเคราะห์แนะนำไว้
หากทำได้ครบ รับรองว่าได้หุ้นถูกตัว ถูกใจ มีกำไรได้ไม่ยาก..
http://www.bangkokbizweek.com/
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news02/07/07

โพสต์ที่ 20

โพสต์

สต๊อกบ้านพุ่ง แบงก์ไม่ให้กู้

โพสต์ทูเดย์ แบงก์ปฏิเสธเงินกู้ซื้อบ้าน กระเทือนผู้ประกอบการแบกภาระบ้านค้างสต๊อกเพิ่ม ต้องจ้างนายหน้าช่วยขายแทน

แหล่งข่าวจากบริษัทพัฒนาที่ดิน เปิดเผยว่า ปัจจุบันผู้ประกอบการประสบปัญหาบ้านค้างสต๊อกเพิ่มขึ้น จากปัญหาการปฏิเสธสินเชื่อรายย่อยของธนาคารที่โดยเฉลี่ยประมาณ 20% หรือมากกว่านั้น โดยเฉพาะโครงการระดับกลาง-ล่าง ที่คุณสมบัติของลูกค้าอาจจะไม่ตรงตามเงื่อนไขที่สถาบันการเงินต้องการ ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องคุณสมบัติด้านรายได้ที่ไม่แน่นอน
ลูกค้าอีกส่วนหนึ่งก็จะมีปัญหาด้านเครดิตที่ติดอยู่กับเครดิตบูโร จึงกู้เงินไม่ผ่านเช่นกัน
นอกจากนี้ ในช่วงที่ผ่านมามีลูกค้าเริ่มทิ้งเงินดาวน์ เพราะไม่มั่นใจว่าเมื่อตัดสินใจซื้อบ้านไปแล้วในอนาคตจะผ่อนไหวหรือไม่
ปัญหาดังกล่าวทำให้เกิดบ้านที่ ต้องนำกลับมาขายใหม่อีกครั้ง แต่ในสถานการณ์ปัจจุบันที่ภาวะตลาดชะลอตัวจึงระบายสต๊อกบ้านออกมาค่อนข้างลำบาก
ผู้ประกอบการหลายรายใช้การลดราคาบ้านที่นำกลับมาขายใหม่ เพื่อให้ขายได้ง่ายขึ้น เพราะเงินส่วนหนึ่งลูกค้าเดิมได้จ่ายเงินดาวน์ไปแล้ว แต่หลายบริษัทก็มีเงื่อนไขคืนเงินดาวน์ในกรณีที่กู้เงินไม่ผ่าน
ผู้ประกอบการบางรายไม่ต้องการจะแบกสต๊อกนั้นไว้ ก็ตัดให้บริษัทบริหารการขาย หรือตัวแทนนายหน้า เข้ามารับช่วงขายต่อไปในรูปแบบบ้านพร้อมขาย โดยปัจจุบันมีโบรกเกอร์หลายรายที่เข้าไปทำตลาดนี้ให้
นายอธิป พีชานนท์ กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย กล่าวว่า สต๊อกบ้านที่กลับเข้ามาจากลูกค้าที่กู้ไม่ผ่านจะมีอยู่ประมาณ 20% โดยเฉลี่ย การระบายสต๊อกออกไปอีกรอบนั้นจะขึ้นอยู่กับภาระต้นทุนของแต่ละบริษัท หากมีต้นทุนที่สูงก็จำเป็นต้องเร่งระบายสต๊อกเก่าออกไปให้เร็ว โดยใช้วิธีลดราคา ค่อยๆ ระบายสต็อกออกไป
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=176027
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news02/07/07

โพสต์ที่ 21

โพสต์

"โพลศูนย์ข้อมูลฯ" ชี้ อสังหาฯฟื้นไตรมาสแรกปีหน้า

ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ตั้งประเด็นสอบถามความเห็นของประชาชนใน "REIC Web Poll" ล่าสุดระหว่าง วันที่ 16-30 มิถุนายนที่ผ่านมา ในหัวข้อ "หลังคำพิพากษาคดียุบพรรคการเมือง และ สถานการณ์การเมืองที่ตามมา ท่านคิดว่าภาคอสังหาริมทรัพย์ไทยจะฟื้นตัวกลับไปสู่สถานการณ์ปกติได้เมื่อไร" ถือเป็นการตั้งคำถามที่ยิงตรงประเด็นและโดนใจคนในวงการอสังหาฯ

เมื่อคำถามเป็นที่น่าสนใจ ทำให้ผลโหวตในหัวข้อดังกล่าวมีผู้เข้าชมและร่วมโหวตแสดงความคิดเห็นแล้วกว่า 362 ราย (ณ วันที่ 28 มิถุนายน) ที่สำคัญลักษณะคำถามในรูปแบบนี้มักสะท้อนนัยสำคัญบางอย่างของผู้ตอบแบบสอบถามด้วย

สำหรับผลโหวตเกือบ 400 รายนั้น ปรากฏว่าผู้ตอบแบบสอบถาม 22% คิดว่าภาคอสังหาริมทรัพย์ไทยจะฟื้นตัวกลับไปสู่สถานการณ์ปกติ, รองลงมาคิดว่าเศรษฐกิจ จะฟื้นในปี 2552 หรือหลังจากนั้นคิด เป็น 18%

อีก 16% คิดว่าน่าจะเป็นไตรมาส 2 ปี 2551 คิดว่าน่าจะฟื้นตัวในไตรมาส 4 ปี 2550 คิดเป็น 14% และไตรมาส 3 ปี 2551 คิดเป็น 13% ขณะที่ 9% มีความคิดเห็นว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวไตรมาส 3 ปี 2550 และอีก 8% คิดว่าจะฟื้นตัวไตรมาส 4 ปี 2551

ส่วนคำถามสำรวจความคิดเห็นของ "REIC Web Poll" ในช่วง 1-15 มิถุนายน 2550 ในหัวข้อ "ในปัจจุบันค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับ ที่อยู่อาศัยของท่าน (ค่าผ่อนบ้าน หรือค่าเช่าบ้าน ไม่รวมค่าน้ำ ค่าไฟ) คิดเป็นสัดส่วนประมาณร้อยละเท่าไรของเงินรายได้สุทธิในแต่ละเดือน"

ในหัวข้อดังกล่าวมีผู้ร่วมโหวต 433 ราย ในจำนวนนี้ผู้ตอบคำถามอันดับแรก 30% ตอบว่าไม่มี หรือไม่เกินร้อยละ 20 คิดเป็น 43%

รองลงมาร้อยละ 21-40 คิดว่าค่าใช้จ่ายต่างๆ คิดเป็นสัดส่วน 30% อันดับ 3 ร้อยละ 41-60 คิดเป็นสัดส่วน 13% อันดับ 4 ร้อยละ 61-80 มีสัดส่วน 5% และสุดท้ายร้อยละ 81-100 คิดเป็นสัดส่วน 4%

นอกจากนี้มี 5% ที่ตอบว่ามีรายได้ไม่พอรายจ่ายด้านที่อยู่อาศัย

ผลโหวตที่ออกมาน่าจะเป็นประโยชน์ และอาจนำไปสู่การวิเคราะห์และวางแผนการลงทุน รวมทั้งการพัฒนาโปรดักต์ของบรรดาผู้ประกอบการให้ตรงกับความต้องการของตลาดมากที่สุด
http://www.matichon.co.th/prachachat/pr ... ionid=0217
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news02/07/07

โพสต์ที่ 22

โพสต์

หุ้นรับเหมาคึกชิงรถไฟฟ้า

ทันหุ้น- CK- ITD- STEC คึกรับครึ่งปีหลังเปิดประมูลรถไฟฟ้าสายสีแดงช่วงบางซื่อ-ตลิ่งชันสายแรกเดือนนี้ ด้านบล.ทรีนีตี้ประเมินกลุ่มรับเหมาน่าสนใจลงทุนมากขึ้น หลังงานประมูลครึ่งปีแรกทยอยประกาศผลช่วงครึ่งปีหลัง หนุนฐานรายได้ - กำไรให้เติบโตมากยิ่งขึ้น แนะ ซื้อ CK- ITD  และ STEC เข้าพอร์ตลงทุน
    นักวิเคราะห์กลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แนวโน้มธุรกิจรับเหมาก่อสร้างในครึ่งปีหลังของปี 2550 จะคึกคักมากเป็นพิเศษและคาดว่าจะมีแรงเก็งกำไรเข้ามาในหุ้นกลุ่มดังกล่าว เพราะโครงการรถไฟฟ้าสายสีแดง ช่วงบางซื่อ-ตลิ่งชันจะเปิดประมูลในเดือนกรกฏาคมนี้ โดยโครงการดังกล่าวเป็นโครงการของภาครัฐที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่และจะสร้างความน่าสนใจให้กับธุรกิจรับเหมาก่อสร้างได้เป็นจำนวนมาก
    นอกจากนี้ผู้ประกอบการยังมีการรุกขยายฐานงานในต่างประเทศเพิ่มสูงขึ้น หลังจากโครงการต่างๆในประเทศค่อนข้างชะลอการเปิดประมูลออกไป เพื่อรอความชัดเจนนโยบายของรัฐบาลใหม่ หลังจากที่มีการเลือกตั้งในช่วงปลายปีนี้
    สำหรับผู้ประกอบการธุรกิจรับเหมาก่อสร้างที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ และมีโอกาสได้งานจากการประมูลโครงการรถไฟฟ้าสายสีแดง ช่วงบางซื่อ-ตลิ่งชัน ในช่วงเดือนกรกาคมนี้ ประกอบด้วย CK   ITD   STEC และ SEAFCO
    อย่างไรก็ดีส่วนโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงและน้ำเงินนั้น มองว่าอาจจะต้องเลื่อนประมูลออกไปก่อน เพราะยังต้องอาศัยแหล่งเงินกู้จากธนาคารเพื่อความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (JBIC) ซึ่งต้องใช้ระยะเวลาในการจัดทำเอกสารต่างๆ เป็นเวลานาน  
    ทั้งนี้มองว่ารัฐบาลญี่ปุ่นอาจต้องการทำสัญญาอนุมัติเงินกู้ให้กับรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรง เพราะไม่ต้องการให้เสียภาพพจน์ว่าญี่ปุ่นสนับสนุนรัฐบาลที่ไม่ได้มาจากระบอบประชาธิปไตย ดังนั้นจึงมั่นใจว่า JBIC จะปล่อยกู้ให้กับรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง
    นักวิเคราะห์กล่าวว่า ปัจจัยเสี่ยงที่ยังต้องจับตาต่อในครึ่งปีหลังนี้ คือความเสี่ยงจากปัจจัยการเมือง โดยเฉพาะการตรวจสอบคดีต่างๆของคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.)  และการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาวัสดุก่อสร้าง โดยในช่วง  5 เดือนแรกของปีนี้ราคาวัสดุก่อสร้างได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นแล้ว 6.2% เมื่อเทียบจากปีก่อนโดยเฉพาะราคาเหล็ก ซึ่งอาจจะทำให้ต้นทุนการก่อสร้างเพิ่มสูงขึ้นได้
    สำหรับกลยุทธ์การลงทุนฝ่ายวิจัยแนะนำ ซื้อ ยSTEC เนื่องจากบริษัทมีพื้นฐานที่แข็งแกร่งและผลประกอบการมีโอกาสเติบโตจากโครงการก่อสร้างโรงงานปิโตรเคมีที่คาดว่าจะสามารถประกาศผลได้ในไตรมาส 3/2550นี้ และโรงไฟฟ้า ซึ่งเป็นงานที่บริษัทมีความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษ เหมาะแก่การลงทุนในระยะยาว โดยให้ราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 7.30 บาทต่อหุ้น
    ส่วน CK มองว่ารายได้ในปีนี้ยังอยู่ในระดับที่ไม่โดดเด่นมากนัก เพราะสัดส่วนงานส่วนใหญ่จะมาจากโครงการจากภาครัฐ ซึ่งในปีนี้มีการเปิดประมูลน้อยมาก แต่อย่างไรก็ตาม CK มีการรุกประมูลงานในต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะงานการก่อสร้างเขื่อนในประเทศลาว ซึ่งจะทำให้รายได้ในปี 2551 มีการปรับตัวอย่างโดเด่นมากขึ้น
    ประกอบกับ CK ยังมีการบันกำไรจากการขายหุ้น PTW ให้กับ TTW คาดสามารถบันทึกกำไรประมาณ600 ล้านบาทในไตรมาส 2/2550 นี้ รวมถึงการนำ TTW เข้าจดทะเบียนในตลาดได้ในไตรมาส 4/2550 เพราะเป็นจังหวะที่เหมาะสม อย่างไรก็ตามมีโอกาสที่จะล่าช้าไปเป็นช่วงต้นปี 2551ได้ จังแนะนำ ซื้อ  โดยให้ราคาเป้าหมาย 10.70 บาท
    ขณะที่ ITD แนะนำ ซื้อเก็งกำไร ให้ราคาเป้าหมายที่ 6.60 บาท แม้ว่าจะมีปัจจัยเสี่ยงจากการเมืองอยู่ แต่ ITD มีการรุกประมูลงานทั้งในประเทศ และต่างประเทศ โดยเฉพาะงานในประเทศอินเดีย  ไต้หวัน และตะวันออกกลาง ซึ่งยังสร้างผลตอบแทนให้กับ ITD ในระดับสูงได้ในอนาคต
    ด้านนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ สินเอเซีย จำกัด กล่าวว่า ราคาหุ้น CK มีโอกาสปรับตัวเพิ่มขึ้นได้ต่อ จึงแนะนำ ซื้อ โดยให้แนวรับ 8.65 บาท แนวต้าน 9.00 บาท ส่วน STEC ราคาหุ้นยังปรับตัวพักฐาน จึงแนะนำ ซื้ออ่อนตัวให้แนวรับ 6.65 บาท แนวต้าน 6.85 บาท ขณะที่ ITD ราคาหุ้นมีโอกาสปรับตัวได้ต่อ จึงแนะนำ ซื้อ โดยให้แนวรับ 6.00 บาท แนวต้าน 6.40 บาท
http://www.thunhoon.com/home/default.asp
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news04/07/07

โพสต์ที่ 23

โพสต์

เปิดโผหุ้นอสังหาเข้าตาฝรั่ง เน้นบิ๊กแคป
โบรกเกอร์ ประสานเสียง กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ครึ่งปีหลังฟื้นตัวแน่ หลังการเมืองชัดเจน รัฐพร้อมหนุนเลือกตั้ง ผู้บริโภคความมั่นใจกลับคืน  จับตาต่างชาติอาจเข้ามาลุยเก็บหุ้นอสังหา

กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ครึ่งปีหลังฟื้นตัวแน่ หลังการเมืองชัดเจน รัฐพร้อมหนุนเลือกตั้ง ผู้บริโภคความมั่นใจกลับคืน  จับตาต่างชาติอาจเข้ามาลุยเก็บหุ้นอสังหา คัดหุ้นเข้าเกณฑ์เน้นหุ้นมาร์เก็ตแคปสูง  LH ,  QH  , AP , SPALI
   
นายสุกิจ อุดมศิริกุล ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์นครหลวงไทย จำกัด กล่าวว่า แนวโน้มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในช่วงครึ่งปีหลังจะฟื้นตัวได้จากครึ่งปีแรก หลังจากสถานการณ์ทางเมืองคลี่คลายในทิศทางที่ดีขึ้น โดยรัฐบาลย้ำชัดถึงการจัดให้มีการเลือกตั้ง จึงส่งผลให้ผู้บริโภคเกิดความมั่นใจ และดึงแรงซื้อกลับมาอีกครั้ง

ในช่วงที่ผ่านมาเชื่อว่ากำลังซื้อยังคงมีอยู่ เพียงแต่ผู้บริโภคไม่มีความมั่นใจเท่านั้น ดังนั้นเชื่อว่าจากปัจจัยการปรับตัวอัตราดอกเบี้ยตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา และคาดว่ามีแนวโน้มที่จะปรับตัวได้อีก 0.25%ในครึ่งปีหลัง ขณะที่เศรษฐกิจมีการฟื้นตัวในทิศทางที่ดีขึ้น จะส่งผลให้กำลังซื้อจะกลับเข้ามาอีกครั้ง นายสุกิจ กล่าว

ทั้งนี้แม้ว่าแนวโน้มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จะมีปรับตัวตัวดีขึ้น แต่เชื่อว่าอสังหาริมทรัพย์ที่จะเป็นผู้นำตลาดในครึ่งปีหลังจะเป็นอสังหาริมทรัพย์ประเภทแนวราบ  เช่น  PS , LH , SPALI  เพราะธุรกิจอสังหาจะอิงกับทิศทางเศรษฐกิจโดยตรง ดังนั้นเมื่อทิศทางเศรษฐกิจเริ่มดีขึ้น ประกอบกับอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง จึงทำให้กำลังซื้อเริ่มกลับคืนมา ขณะที่ในช่วงครึ่งปีแรกผู้นำตลาดอสังหาริมทรัพย์จะเป็นประเภทคอนโดมิเนียม เป็นหลัก
   
สำหรับหุ้นในกลุ่มนี้ที่บล.นครหลวงไทย ยังคงแนะนำและให้น้ำหนักการลงทุนในมากที่สุดคือ หุ้น PS โดยให้ราคาเป้าหมายที่ 7.60 บาท เพราะความต้องการของผู้บริโภค 60-70% จะซื้ออสังหาริมทรัพย์ในราคาไม่เกือบ 2 ล้านบาท  และเป็นบริษัทที่มีมาร์เก็ตแชร์สูงถึง 35-40% และ หุ้นLH ในราคาเป้าหมายที่ 7.80 บาท และ SPALI ที่ 4.50 บาท ซึ่งมีค่าพี/อี ต่ำกว่าตัวอื่นในกลุ่ม

หุ้นอสังหาริมทรัพย์ที่น่าลงทุนในสายตานักลงทุนต่างประเทศ จะเป็นหุ้นที่มีมาร์เก็ตแคปสูง เช่น  LH , QH , AP และ SPALI  ซึ่งหุ้น 4 ตัวนี้ จะเป็นหุ้นที่เข้าเกณฑ์การลงทุนของต่างชาติ นายสุกิจ กล่าว  

นายสุรศักดิ์ อนุตรโสตถิ์ นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์กิมเอ็ง(ประเทศไทย)จำกัด(มหาชน)กล่าวว่า อัตราดอกเบี้ยปรับตัวลดลงจาก5% มาอยู่ที่ 3.5% ในปัจจุบัน ส่งผลเชิงบวกต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค โดยในช่วงครึ่งปีหลังอัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มที่จะปรับตัวลดลงไปอีก 0.25%  จึงเป็นผลบวกต่อหุ้นในกลุ่มอสังหารมิทรัพย์
 
ฝ่ายวิจัยแนะนำลงทุน หุ้น PS โดยให้ราคาเป้าหมายที่ 6.80 บาท ประเมินกำไรสุทธิปีนี้ 1,552 ล้านบาท จากรายได้รวม 9,140  ล้านบาท แต่จากยอดขายที่เพิ่มขึ้นมากอาจจะมีการปรับประมาณการณ์ใหม่  และ หุ้น APซึ่งราคาในขณะนี้เกินเป้าหมายที่ให้ไว้ที่ 5.38 บาท จึงแนะนำซื้ออ่อนตัว  โดยประเมินกำไรสุทธิปีนี้ที่ 921 ล้านบาท และรายได้รวม  7,360 ล้านบาท
   
ส่วนหุ้นกลุ่มที่แนะนำลงทุน และขณะนี้อยู่ระหว่างปรับราคาเป้าหมายใหม่หลังจากเห็นว่ามีแนวโน้มการเติบโตที่ดีขึ้น โดยแนะนำหุ้น LPN   คาดกำไรสุทธิปีนี้ 930 ล้านบาท และรายได้รวม  6,188 ล้านบาท  หุ้น QH ราคาเป้าหมายเดิม  1.52 บาท คาดกำไรสุทธิ  942 ล้านบาท และรายได้รวม 9,651 ล้านบาท และหุ้นLH ราคาเป้าหมายเดิม 7.05 บาท คาดกำไรสุทธิ  3,258 ล้านบาท และรายได้รวม 19,626 ล้านบาท

ถึงราคาหุ้นบางตัวจะเกินราคาเป้าหมายที่ทางบล.ให้ไว้ แต่ฝ่ายวิจัยจะมีการปรับประมาณการณ์เพียงบางตัวเท่านั้น ซึ่งจะอิงปัจจัยพื้นฐานผลการดำเนินงานเป็นหลัก โดยจะไม่ปรับเป้าโดยอิงตามกระแสเงินต่างชาติที่เข้ามา นายสุรศักดิ์กล่าว  
http://www.msnth.com/msn/money2/content ... 531&ch=225
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news04/07/07

โพสต์ที่ 24

โพสต์

หุ้นนิคมตีปีกยอดขายที่ดินพุ่ง
ยอดขายที่ดินพุ่ง HEMRAJเด่น-มีลุ้นอัพไซด์ กลุ่มนิคมฯผ่านพ้นจุดต่ำสุด  คาดครึ่งปีหลังเตรียมรับทรัพย์ยอดขายที่ดินพุ่ง หลังการเมืองกำหนดวันเลือกตั้งได้

กลุ่มนิคมฯผ่านพ้นจุดต่ำสุด  คาดครึ่งปีหลังเตรียมรับทรัพย์ยอดขายที่ดินพุ่ง หลังการเมืองกำหนดวันเลือกตั้งได้  เรียกความเชื่อมั่นกลับคืนมา  โบรกมองผู้ประกอบการจ่อปรับเป้ายอดขายที่ดินเพิ่ม ประเดิมด้วย HEMRAJ ปรับขึ้นเป็น 800-900 ไร่ ส่วน AMATA  ROJANA ขอรอดูไตรมาส 2/2550  ส่วนราคาหุ้น HEMRAJ ยังมีอัพไซด์เพียบ    
นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ นครหลวงไทย จำกัด กล่าวว่า แนวโน้มการเติบโตของอุตสาหกรรมนิคมอุตสาหกรรมในครึ่งปีหลัง 2550 หลังจากทิศทางการเมืองชัดเจนมากขึ้น โดยคาดว่าจะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นปลายเดือนธันวาคมปี 2550 หรืออย่างช้าต้นเดือนมกราคมปีหน้า ซึ่งจะสร้างความเชื่อมั่นกับนักลงทุนที่ต้องการขยายการลงทุนเพิ่มขึ้น
   
สำหรับธุรกิจที่คาดว่าจะมีการขยายกำลังการผลิตต่อเนื่องในครึ่งปีหลังนี้ คือ อุตสาหกรรมปิโตรเคมี อุตสาหกรรมยานยนต์ และอุตสาหกรรมชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ โดยเฉพาะในกลุ่มยานยนต์ และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ที่ได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐด้านภาษีอีโคคาร์ และเริ่มเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ด้วย
   
จึงสร้างความน่าสนใจให้นิคมอุตสาหกรรมที่มีพื้นที่ใกล้กับท่าเทียบเรือมากที่สุด เช่น HEMRAJ AMATA และ ROJANA ซึ่งมีพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมที่ชลบุรี และระยอง ซึ่งคาดว่าในครึ่งปีหลังจะมียอดขายที่ดินเพิ่มสูงขึ้นเมื่อเทียบจากครึ่งปีแรกที่ยอดขายที่ดินค่อนข้างชะลอตัว
   
นอกจากนี้มองว่าอุตสาหกรรมนิคมอุตสาหกรรมสามารถผ่านจุดต่ำสุดได้แล้ และผู้ประกอบการหลายเตรียมปรับประมาณการยอดขายที่ดินเพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ โดย HEMRAJ คาดว่าจะมียอดขายที่ดินทั้งปี 800-900 ไร่ ส่วน AMATA และ ROJANA อยู่ระหว่างปรับประมาณการ ซึ่งคาดว่าหลังจากประมาณผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/2550 ออกมาสามารถกำหนดยอดขายที่ดินในครึ่งปีที่เหลือได้
   
อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณาราคาหุ้นทั้ง 3 บริษัทแล้ว พบว่าราคาหุ้น HEMRAJ มีการปรับตัวน้อยกว่าบริษัทในกลุ่มเดียวกันเช่น AMATA ที่ราคาหุ้นได้ปรับเพิ่มขึ้นเกินราคาเหมาะสมที่ประเมินไว้ 17.00 บาท ส่วน ROJANA อยู่ระหว่างประมาณการรายได้ กำไร และราคาเหมาะสมใหม่  แนะนำ ซื้อลงทุน HEMRAJ โดยให้ราคาเหมาะสม 1.23 บาท
   
สำหรับ HEMRAJ ฝ่ายวิจัยประเมินผลการดำเนินงานในปี 2550 มีกำไร 1,500 ล้านบาท และมีรายได้ 5,900 ล้านบาท ซึ่งรายได้ส่วนใหญ่มาจากการรับรู้รายได้จากโครงการคอนโดมิเนียมเดอะพาร์ค ชิดลม ที่จะสามารถทยอยรับรู้ทั้งหมดในปีนี้
   
ประกอบกับยอดขายที่ดินเริ่มมีกาปรับตัวเพิ่มตั้งแต่ไตรมาส 2/2550 ซึ่งคาดว่าจะมียอดขายถึง 450-500 ไร่ โดยยอดขายที่ดินของ HEMRAJ ยังคงมาจากโครงการอีสเทิร์น ซีบอร์ด และ เหมราช อีสเทิร์น ซีบอร์ด ซึ่งเป็นนิคมที่เปิดรับกลุ่มผู้ประกอบการรถยนต์เป็นหลัก ดังนั้นจึงสอดรับกับโอกาสในการขยายตัวของการลงทุนหากเกิดโครงการอีโคร์คาร์ที่จะเกิดขึ้นในปีนี้
   
HEMRAJ(3 ก.ค.)ปิดที่ 1.12 บาท เพิ่มขึ้น 0.02 บาท หรือ 1.82% มูลค่าซื้อขาย 32.06 ล้านบาท
http://www.msnth.com/msn/money2/content ... 536&ch=225
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news05/07/07

โพสต์ที่ 25

โพสต์

9อสังหาฯแกร่ง LH-ลลิลไม่สู้ดี

โพสต์ทูเดย์ ทริส คงเครดิตหุ้นอสังหาริมทรัพย์ 9 แห่งหลังพบฐานะการเงินแกร่งหนี้ต่อทุนต่ำ การเมืองป่วนเศรษฐกิจหดไม่กระทบ

บริษัท ทริส เรทติ้ง เปิดเผยว่า การประเมินอันดับความน่าเชื่อถือ (เครดิต) ของบริษัทในหมวดอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งมี 9 บริษัทที่ยังคงอันดับเครดิตไว้ในระดับเดิม เพราะปัญหาการเมืองและเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงไม่กระทบต่อฐานะการเงินของบริษัทเหล่านี้ อีกทั้งยังมีสัดส่วนหนี้สินต่อทุนในระดับที่ต่ำกว่า 1 เท่าเท่านั้น

ทริสรายงานว่า มีเพียง 2 ราย เท่านั้นที่เปลี่ยนแนวโน้มอันดับเครดิตจาก คงที่ เป็น ลบ คือแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ (LH) และลลิล พร็อพเพอร์ตี้ (LALIN)

ทริสระบุว่า ภาพรวมของอุตสาห กรรมพัฒนาที่อยู่อาศัยยังอยู่ในภาวะชะลอตัวไปจนถึงปีหน้า การเมืองที่ ไม่แน่นอน ความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ที่ลดลง น่าจะคลี่คลายไปในทางที่ดี เมื่อเกิดการเลือกตั้งในปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า
http://www.posttoday.com/newsdet.php?se ... &id=176710
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news05/07/07

โพสต์ที่ 26

โพสต์

ขาใหญ่ซื้อที่ปักธงคอนโดพรึบ ฝั่งธนฯ-อ่อนนุชตร.วาละแสน

ดีเวลอปเปอร์ฉวยจังหวะซื้อที่ดินตุนสวนกระแสเศรษฐกิจ แลนด์ฯ, แสนสิริ, ศุภาลัย, ควอลิตี้ เฮ้าส์, เพอร์เฟค, L.P.N., AP นำขบวนช็อป ชี้รถไฟฟ้า BTS ส่วนต่อขยายจุดพลุฝั่งธนฯ-อ่อนนุช-สำโรง เป็นทำเลทองแห่งใหม่ ราคาซื้อขายพุ่งทะลุ 1-2.5 แสนบาท/ตร.ว. จรัญสนิทวงศ์-ท่าพระ ได้อานิสงส์รถไฟฟ้าสายสีแดง-น้ำเงิน ด้าน รฟม.อ่วมค่าเวนคืนสายสีม่วงเพิ่มเท่าตัว

ผู้สื่อข่าว "ประชาชาติธุรกิจ" รายงานว่า จากการสำรวจความเคลื่อนไหวของการซื้อขายที่ดินตั้งแต่ช่วงต้นปี 2550 จนถึงขณะนี้ พบว่าที่ดินหลาย ทำเลที่ไม่เคยเป็นที่สนใจมาก่อนกลับมีผู้ประกอบการเข้าไปหาซื้อ ด้วยการส่งคนเข้าไปเจรจากับเจ้าของที่ดินโดยตรงและติดต่อผ่านนายหน้า ทำให้ที่ดินในทำเลใหม่หลายแห่งกลายเป็นทำเลทอง แม้ราคาจะขยับขึ้นแต่เป็นที่ต้องการของผู้ซื้อ

สำหรับทำเลรถไฟฟ้าบูมทำเลสุขุมวิทตอนปลาย-ปากน้ำ กลุ่มที่เข้าไปซื้อที่ดินก่อนหน้านี้ อาทิ แสนสิริ, ศุภาลัย, เมโทรสตาร์ รวมทั้งค่ายแมคโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่นฯ ของตระกูลเจียรวนนท์ ส่วนใหญ่เน้นพัฒนาโครงการคอนโดฯเป็นหลัก

นอกจากนั้นมีบริษัท ยูนิ อิมพีเรียลแลนด์ จำกัด เจ้าของโครงการอิมพีเรียล พาร์ค พัฒนาเป็นโครงการบ้านเดี่ยว ราคาเริ่มต้น 4.99 ล้านบาท บริษัท พรรณสิริ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด เจ้าของโครงการคอนโดฯพรีม่า สุขุมวิท และโรงแรม ฯลฯ ส่งผลให้แนวรถไฟฟ้าบีทีเอส อ่อนนุช-แบริ่ง คึกคักขึ้นอย่างมาก แม้ระยะทางเพียงแค่ 5.25 กิโลเมตร ขณะที่การประกาศขายที่ดินก็ให้เห็นจำนวนมากไม่แพ้กัน

ส่วนทำเลรถไฟฟ้าบีทีเอสส่วนต่อขยายฝั่งธนฯ ระยะทาง 2.2 กิโลเมตร ผู้ประกอบการที่เข้าไปจับจองซื้อที่ดินล้วนเป็นรายใหญ่เช่นเดียวกัน อาทิ กลุ่มแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์, ทีซีซีแลนด์ ของนายเจริญ สิริวัฒนภักดี บริษัท นีโอ แคปปิตอล จำกัด, พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ในเครือแสนสิริ ฯลฯ ไม่รวมกลุ่มที่เข้าไปซื้อและพัฒนาโครงการล่วงหน้าเกาะติดทำเลรถไฟฟ้า เช่น พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค, แอล.พี.เอ็น., เอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้
http://www.matichon.co.th/prachachat/pr ... ionid=0201
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news06/07/07

โพสต์ที่ 27

โพสต์

ทุนต่างชาติตั้งงบ 7 หมื่นล้าน ลุยซื้ออาคารสูงฟันกำไร 15%

6 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 03:00:00
ทุนต่างชาติไล่ซื้ออาคารสำนักงาน-โรงแรม ขายต่อทำกำไรเหมือนตลาดหุ้น กินส่วนต่างขั้นต่ำ 10-15% "แคปปิตอล แอดไวเซอรี่ฯ" เผยปี 2549 ลงทุนแล้วกว่าหมื่นล้าน คาดปีนี้ทุนนอกรุกต่อหอบเม็ดเงินกว่า 6-7 หมื่นล้านบาท ลุยซื้ออาคารในไทย โบรกเกอร์แจง "เฮดจ์ฟันด์" รุกหนักซื้อไทยขายต่อต่างประเทศ

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาการขายโครงการอสังหาริมทรัพย์รายย่อยเป็นไปอย่างฝืดเคือง โดยเฉพาะที่อยู่อาศัยประเภทบ้านเดี่ยว แต่ในภาพรวมของการลงทุน กลับพบความเคลื่อนไหวในการซื้อ-ขายอาคารขนาดใหญ่ หรืออสังหาริมทรัพย์ประเภทสำนักงาน และโรงแรมทำเลใจกลางกรุงเทพฯ ออกมาเป็นระยะๆ

นายกาศิก ศรีสวัสดิ์ ผู้บริหารฝ่ายการตลาดและขาย บริษัท แคปปิตอล แอดไวเซอรี่ (ประเทศไทย) ซึ่งเป็นบริษัทที่ให้บริการเป็นที่ปรึกษาในด้านแนะนำธุรกิจ และบริหารทรัพย์สินภายใต้ชื่อ "พร็อพเพอร์ตี้ ช้อยส์" เปิดเผยว่า ภาวะการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นการซื้อขายอาคารขนาดใหญ่ ที่พบมากในปีที่ผ่านมา และยังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในปี 2550

ทั้งนี้ประเมินจากทรัพย์ที่บริษัทบริหาร เป็นทรัพย์ของกองทุนรวมโกลบอลไทย พร็อพเพอร์ตี้ และบริษัทบริหารสินทรัพย์พาลาภ จำกัด (บบส.พาลาภ) ซึ่งจะมีทั้งประเภทอสังหาริมทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน ทรัพย์สินก่อให้เกิดรายได้ และการขายอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งมาจากกระบวนการขายทอดตลาด โดยในปีนี้ตั้งเป้าระบายทรัพย์ที่มีอยู่ให้ได้ประมาณ 3,000 ล้านบาท

ปัจจุบันทรัพย์สินภายใต้การบริหารของบริษัท ซึ่งเป็นทรัพย์รายการย่อย ประเภท บ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์ อาคารพาณิชย์ และที่ดินเปล่า ฯลฯ รวมมูลค่า 3,000 ล้านบาท และขณะนี้อยู่ระหว่างเสนอซื้อทรัพย์ประเภทดังกล่าวจากสถาบันการเงิน ในลักษณะซื้อบิ๊กล็อต พอร์ตและไม่น้อยกว่า 400-1,000 ล้านบาท/ครั้ง รวมถึงซื้อทรัพย์จากการขายทอดตลาดของกรมบังคับคดี โดยในช่วงครึ่งแรกของปี 2550 นี้ซื้อมาแล้ว 200 ล้านบาท

นอกจากนี้ ยังมีทรัพย์ชิ้นใหญ่ประเภทอาคารสำนักงาน โรงแรม ฯลฯ ที่ได้ลงทุนซื้อไปเมื่อช่วงปี 2549 รวมมูลค่าที่ลงทุนไปไม่น้อยกว่า 10,000 ล้านบาท เช่น ซื้ออาคารอิตัลไทย เพชรบุรี ของ บมจ.อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ เป็นอาคารสำนักงาน 20,000 ตร.ม., อาคารเมอร์เคียวรี่ ตรงข้ามเซ็นทรัล ชิดลม เป็นอาคารสำนักงานกว่า 10,000 ตร.ม. อาคารเมืองไทยภัทร รัชดา เป็นอาคารสำนักงานพื้นที่กว่า 40,000-50,000 ตร.ม. อาคารแปซิฟิก วัน และแปซิฟิก ทู ที่สุขุมวิท นอกจากนี้ยังมี โรงแรม รีสอร์ท ในต่างจังหวัดหัวเมืองท่องเที่ยว

นายกาศิก กล่าวว่า ทรัพย์สินที่ซื้อมาบริษัทพร้อมจะขายต่อเพื่อสร้างผลตอบแทน หรือกำไร อย่างน้อย 10-15% ซึ่งจะใช้เวลาในการถือครองไม่นานนัก ส่วนทรัพย์สินรายการใดยังขายไม่ได้ ก็จะเข้าไปปรับปรุงสภาพอาคารใหม่ รวมถึงว่าจ้างโบรกเกอร์ให้ช่วยหาลูกค้ามาใช้หรือเช่าพื้นที่ ซึ่งจะทำให้มีรายได้เข้ามาก่อนที่จะขายเหมายกอาคาร

คาดปีนี้เม็ดเงินลงทุน 6-7 หมื่นล.

นายกาศิก กล่าวอีกว่า ในปี 2550 ได้ตั้งงบประมาณในการซื้อทรัพย์รายใหญ่ไม่น้อยกว่า 60,000-70,000 ล้านบาท เป็นอาคารสำนักงาน 10 อาคาร และโรงแรมอีก 8 แห่ง โดยทรัพย์ประเภทอาคารสำนักงาน จะเน้นใน กทม.ย่านซีบีดี ส่วนโรงแรม สนใจซื้อทั้งใน กทม.และต่างจังหวัด เช่น สมุย ภูเก็ต พัทยา รวมถึงเชียงใหม่

"กลุ่มทุนที่เราบริหารอยู่ พร้อมลงทุนในไทยไม่อั้น และผมว่าตอนนี้กลุ่มทุนต่างชาติ สนใจซื้อทรัพยสินในเมืองไทยมาก เราเร่งมือหาอยู่" นายกาศิก กล่าว พร้อมระบุว่า ทรัพย์ที่บริหารอยู่จะเป็นของบริษัทบริหารสินทรัพย์พาลาภ ขณะที่ของกองทุนรวมโกลบอลไทยฯ นั้นไม่มีแล้ว

บริษัท บริหารสินทรัพย์พาลาภ จำกัด กรรมการบริษัทประกอบด้วย นางนิตยา หงส์รพิพัฒน์, นายชาร์ลส์ เจสัน รูบิน และนายเทอร์เรนซ์ แพรททริค แม็คกี้ และมีผู้ถือหุ้นใหญ่ คือ กองทุนไทยแลนด์ออพพอร์ทูนิตี้ กว่า 99% แบ่งเป็นผู้ถือหุ้นคนไทย 4 ราย คิดเป็นสัดส่วน 50.12%, อเมริกา 2 รายสัดส่วน 0.1% และหมู่เกาะเวอร์จิน (อังกฤษ) 1 ราย สัดส่วน 49.8%

บริษัทที่เกี่ยวข้องประกอบด้วย บริษัท การะบูร จำกัด 2.บริษัท ขวัญตา แอสเซ็ท จำกัด 3.บริษัท เดซติเนชั่น พร็อพเพอร์ตี้ส์ (ซีไซด์) จำกัด 4.บริษัท บางกอก เซอร์วิส อพาร์ทเม้นท์ 1 โฮลดิ้ง จำกัด 5.บริษัท บางกอก ออฟฟิศ 1 โฮลดิ้ง จำกัด 6.บริษัท บางกอก ออฟฟิศ 2 จำกัด 7.บริษัท แปซิฟิค เอสเตท ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด 8.บริษัท พันธุ์ทิพย์ พาร์ค จำกัด 9.บริษัท ภูเก็ต แคปปิตอล รีสอร์ท จำกัด 10.บริษัท โรงแรม ไนหาน 1 จำกัด 11.บริษัท โรงแรม ภูเก็ต 1 โฮลดิ้ง จำกัด 12.บริษัท โรงแรม ภูเก็ต 2 โฮลดิ้ง จำกัด 13.บริษัท ไรมอน แลนด์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด และ 14. บริษัท เลแมน บราเดอร์ส (ไทยแลนด์) จำกัด เป็นต้น

เฮดจ์ฟันด์เก็งกำไรขายต่อต่างประเทศ

ด้านแหล่งข่าวโบรกเกอร์ต่างชาติรายหนึ่ง กล่าวว่า ขณะนี้มีกลุ่มทุนประเภทเฮดจ์ฟันด์ เข้ามาลงทุนในทรัพย์สินในประเทศไทยค่อนข้างมาก และการซื้อขายทรัพย์ในรายการใหญ่ๆ หลายรายการไปปิดการขายที่ต่างประเทศ  
"เท่าที่ทราบทรัพย์บางรายการซื้อมายังไม่ถึงเดือน ก็มีการขายเปลี่ยนมือกันแล้ว การทำกำไรของกลุ่มทุนเหล่านี้ จะซื้อขายแลกเปลี่ยนอาคารกันเหมือนกับการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์" แหล่งข่าว กล่าว
นอกจากทรัพย์ในรายการใหญ่ๆ กลุ่มทุนเหล่านี้ยังสนใจซื้อทรัพย์ในรายการย่อยรวมถึงบัญชีหนี้จากสถาบันการเงิน ที่กลุ่มทุนเหล่านี้หลังจากที่ซื้อหนี้ จะมีฝ่ายติดตามหนี้ ทั้งฝ่ายกฎหมาย ฝ่ายบัญชี ซึ่งหากดำเนินการเสร็จก็จะนำทรัพย์เหล่านั้นมาขายต่อ และการซื้อแต่ละครั้งไม่น้อยกว่า 400-500 ล้านบาท

ไทยเล็งรื้อกฎควบคุมทรัสต์

นายปีเตอร์ มิทเชลล์ หัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) สมาคมอสังหาริมทรัพย์สาธารณะเอเชีย (เอพีอาร์อีเอ) กล่าวที่สิงคโปร์วานนี้ (5 ก.ค.) ว่า บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และผู้ควบคุมกฎระเบียบในไทย เกาหลีใต้ และญี่ปุ่น กำลังพยายามปรับเปลี่ยนกฎเกณฑ์ที่ใช้ควบคุมทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (อาร์อีไอที) จดทะเบียน โดยมีจุดประสงค์เพื่อกระตุ้นให้หลักทรัพย์ประเภทนี้เติบโตมากขึ้น
นายมิทเชลล์ กล่าวว่า ไทยและเกาหลีใต้ดำเนินการล่าช้ากว่าญี่ปุ่นและสิงคโปร์ ในการจัดตั้งและจดทะเบียนทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ โดยกิจการประเภทนี้เติบโตขึ้นในช่วง 6 ปีที่ผ่านมาจนมีขนาดราว 87,000 ล้านดอลลาร์ ปัจจุบันภาคธุรกิจและผู้ควบคุมกฎระเบียบในไทยและเกาหลีใต้กำลังผลักดันให้มีการทบทวนกฎหมายด้านนี้
นายมิทเชลล์ ยกตัวอย่างการที่ทรัสต์อสังหาริมทรัพย์ที่จดทะเบียนในไทย ไม่สามารถกู้ยืมเงินมาซื้อกิจการได้ เพราะกฎระเบียบของไทยไม่อนุญาตให้กิจการประเภทนี้กู้ยืมเงิน
http://www.bangkokbiznews.com/2007/07/0 ... wsid=82656
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news06/07/07

โพสต์ที่ 28

โพสต์

เซ็นสัญญาด่วนรามอินทรา-วงแหวนฯ [ ฉบับที่ 770 ประจำวันที่ 24-2-2007 ถึง 27-2-2007]  
เซ็นสัญญาด่วนรามอินทรา-วงแหวนฯ
เผชิญ ไพโรจน์ศักดิ์ ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย ทำพิธีลงนามในสัญญาว่าจ้างก่อสร้างโครงการทางพิเศษสายรามอินทรา-วงแหวนรอบนอกกทม.กับนายนที พานิชชีวะ ประธานกรรมการบริษัท ยูนิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด(มหาชน) ซึ่งเป็นโครงการช่วยแก้ปัญหาการจราจรในกทม.-ปริมณฑล

กคช.ต้อนรับรมต.อินโดฯ
พรศักดิ์ บุณโยดม ผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติ ให้การต้อนรับ ฯพณฯ มูฮัมหมัด ยูซบ แอซรี่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเคหะการประเทศอินโดนีเซียพร้อมคณะ ซึ่งเดินทางมาศึกษาการพัฒนาที่อยู่อาศัยในประเทศไทย รวมทั้งระบบการเงินเพื่อที่อยู่อาศัย

บุญถาวรมอบรางวัลฝีมือแรงงาน
วิวัฒน์ ทยานุวัฒน์ รองประธานกรรมการบริษัท บุญถาวรเซรามิค จำกัด แสดงความยินดีพร้อมมอบรางวัลให้กับพีรพล ศรีเพชร และอภิสิทธิ์ สิทธิกัน ช่างไทยที่ได้รับเหรียญทองจากการประกวดการแข่งขันฝีมือแรงงานอาเซียน ครั้งที่6 ที่ประเทศบรูไน ดารุสซาลาม

PSแจกกระบะลูกค้าโครงการ
ประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต รักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานธุรกิจ บริษัทพฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด(มหาชน) เป็นผู้แทนมอบรถกระบะอีซูซุ ดีแม็กซ์ มูลค่า 448,000 บาท แก่คุณชนัญวัฒน์ แม่น้ำ เจ้าของบ้านพฤกษา21 บางใหญ่ ซึ่งได้โอนกรรมสิทธิ์บ้านทาวน์เฮ้าส์ภายในเดือนพ.ย.-ธ.ค.49 จากจำนวนผู้รับโอนกว่า 600 คน
http://www.siamturakij.com/home/news/di ... 12DDS45231
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news07/07/07

โพสต์ที่ 29

โพสต์

ไร่20ล.รับสะพานนนท์1 +แย่งผุดบ้านหรู ชนวนระเบิดศึกยักษ์อสังหาฯแลนด์-เพอร์เฟค-แสนสิริ-ชินวัตร กว้านซื้อที่ดิน  
ระเบิดศึกทุนจัด รับแนวสะพานถ.นนบุรีเชื่อมราชพฤกษ์ เตรียมที่ดินกว่า1000ไร่ผุดบ้านหรู ดินที่ดินราคาพุงไร่ละ20ล้านบรรดายักษ์อสังหาฯ เพอร์เฟค ซุ่มเงียบตุน 400 ไร่ แลนด์แอนด์เฮ้าส์ 400- 500 ไร่ แสนสิริ อยู่ระหว่างกว้านซื้อ 100 ไร่ ตระกูลชินวัตร เอสซีแอสเซต ร่วม500 ไร่ ปากเกร็ด-ท่าน้ำนนท์ ที่ดินตาบอดได้เฮ เดิมราคาแค่ 5,000 บาท/ตารางวา ขยับเป็น 50,000 บาท /ตารางวา ทางหลวงชนบท ดีเดย์ ก่อสร้างปี2551
ตามที่จังหวัดนนทบุรี มีโครงข่ายจราจรเกิดขึ้นหลายเส้นทาง อาทิ ถนนราชพฤกษ์ ถนนชัยพฤกษ์ ถนนนครอินทร์สะพานพระราม 5 สะพานห้าแยกปากเกร็ด รถไฟฟ้าสายสีม่วง ส่งผลให้เป็นต้น กระตุ้นบริษัทพัฒนาที่ดินให้ความสนใจกว้านซื้อที่ดินจำนวนมากเพื่อผุดโครงการบ้านจัดสรรรองรับการขยายตัวของชุมชนตามา โดยล่าสุด กรมทางหลวงชนบทได้เตรียมเวนคืนและก่อสร้างโครงการสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณถนนนนทบุรี 1 และโครงการต่อเชื่อมถนนราชพฤกษ์ กาญจนาภิเษก ที่ดินรอบๆบริเวณดังกล่าวปรับตัวพุ่งขึ้นอย่างคึกคัก

***ที่ดินนนท์บูมรับโครงข่ายจราจร


นาย คมชิต วิทยะเดชา เจ้าพนักงานที่ดิน จังหวัดนนทบุรีสาขาปากเกร็ด เปิดเผยกับ"ฐานเศรษฐกิจ"ว่า เนื่องจาก จังหวัดนนทบุรี ถูกจัดให้เป็นเมืองที่อยู่อาศัยชั้นดี ประกอบกับ มีโครงข่ายจราจรสายสำคัญเกิดขึ้นหลายสาย ดังนั้นจึงมีโครงการบ้านจัดสรรเกิดขึ้นจำนวนมากเพื่อรองรับการเติบโตและการเดินทาง จากการตรวจสอบ พบว่า ขณะนี้บริษัทควอลิตี้เฮ้าส์ จำกัด(มหาชน) ได้เข้าไปซื้อที่ดิน บริเวณถนนที่มาจากบางแค จำนวน 300-400 ไร่ ) และบริษัทแลนด์แอนด์เฮ้าส์จำกัด( มหาชน) อยู่ระหว่างรวบรวมที่ดินได้100 กว่าไร่ โดยราคาที่ดินบริเวณถนนราชพฤกษ์ เชื่อมต่อกับถนน345 ที่ดินแปลงไม่ติดถนนราคาขยับขึ้น ไร่ละ 4-5ล้านบาท จากเดิม แค่ไร่ละ 1-2ล้านบาท ส่วนติดถนนไร่ละ 10-20 ล้านแล้วแต่ทำเล นอกจากนี้ยังมีโครงการเกิดขึ้นใหม่ๆอีก 2สายอยู่ระหว่างเวนคืนที่ดิน อาทิ โครงการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณถนนนทบุรี เชื่อมต่อกับถนนราชพฤกษ์ ซึ่งเป็นของกรมทางหลวงชนบท ซึ่งขณะนี้มีบริษัทพัฒนาที่ดินให้ความสนใจเข้าไปซื้อที่ดินเก็บไว้รอการพัฒนาโดยเฉพาะบริษัทในตลาดหลักทรัพย์รายใหญ่ที่จำเป็นต้องมีแลนด์แบงก์จำนวนมากสต็อกไว้พัฒนาอย่างต่อเนื่อง ส่วน ถนนแจ้งวัฒนะ ขณะนี้บอกขายกันในราคา 120,000-150,000 บาท/ตารางวาซึ่งถือว่าเป็นราคาที่สูงมาก และ โครงการก่อสร้างถนนเชื่อมต่อถนนราชพฤกษ์-กาญจนาภิเษก
***ยักษ์อสังหาตุนที่ดินหมื่นล้าน
ขณะที่ ดร. ธีระชน มโนมัยพิบูลย์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) เปิดเผย ว่า บริษัทยอมรับว่า ได้เข้าไปซื้อที่ดิน บริเวณแนวโครงการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณถนนนนทบุรี 1 ประมาณ 400 ไร่ ช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เนื่องจาก ทราบข่าวว่า จะมีโครงการนี้เกิดขึ้น
ซึ่งเฉลี่ยราคาไร่ละ 2ล้านบาท ซึ่งถือว่ายังไม่แพง นับว่าได้เปรียบมากกว่ารายอื่นและเจรจากับเจ้าของที่ดินโดยไม่ผ่านนายหน้า เมื่อโครงการก่อสร้างถนนชัดเจนมากขึ้น ราคาที่ดินได้ขยับขึ้นไปเป็น 4-5 ล้านบาทไร่ แพงขึ้น 2-3เท่าตัว
http://www.thannews.th.com/detialNews.p ... issue=2232
chartchai madman
Verified User
โพสต์: 7514
ผู้ติดตาม: 0

news07/07/07

โพสต์ที่ 30

โพสต์

ฟันธงเศรษฐกิจหลังเลือกตั้งยังไม่ฟื้น [ ฉบับที่ 808 ประจำวันที่ 7-7-2007 ถึง 10-7-2007]  
ธุรกิจรับสร้างบ้าน ต้องปรับตัวสร้างโอกาสใหม่ อย่าคาดหวังภาพเศรษฐกิจ และการเมืองหลังเลือกตั้งให้มากนัก ผู้ประกอบธุรกิจควรตั้งอยู่บนความจริง ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น ปรับตัวเพื่อ ให้อยู่รอดได้ และสร้างโอกาสใหม่ๆ ในวิกฤติรอบนี้ เพื่อรอการฟื้นตัวที่แท้จริง

ในสถานการณ์ปัจจุบันท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว บวกกับการเมืองที่มีการเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา ส่งผลให้ภาพเศรษฐกิจโดยรวมในประเทศมีความน่าเป็นห่วง รวมถึงความมั่นใจของผู้บริโภคลดลง มีความระมัดระวังในการใช้จ่ายเงิน ผู้ประกอบการของ แต่ละภาคธุรกิจต้องคอยหาวิธีการเพื่อมากระตุ้นการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค และต่างหวังว่าหากการเมืองเริ่มคลี่คลายปัญหาต่างๆก็จะมีทิศทางที่ดีขึ้น

สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้านจัดสัมมนาหัวข้อ โอกาสของธุรกิจรับสร้างบ้านในสถานการณ์ปัจจุบัน เพื่อประเมินสถานการณ์ของประเทศ ในปัจจุบัน ทั้งทางด้านการเมืองและเศรษฐกิจ โดยเชิญวิทยากรทางด้านการเมืองและเศรษฐกิจ มาวิเคราะห์เจาะลึกถึงความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้น ในอนาคตอันใกล้นี้

รศ.ดร.สุขม นวลสกุล ผู้เชี่ยวชาญด้านรัฐศาสตร์ การปกครองและการเมือง กล่าวว่า จากสถานการณ์ทางการเมืองที่กำลังร้อนระอุอยู่ใน ปัจจุบัน จะไม่มีความรุนแรงเกิดขึ้น เพราะได้เห็น ตัวอย่างการใช้ความรุนแรงในปี 2535 แล้ว คาด ว่าจะมีการเลือกตั้งใหม่ในปีนี้ และรัฐธรรมนูญฉบับที่กำลังยกร่างอยู่ปัจจุบันจะไม่ผ่าน และจะกลับมาใช้รัฐธรรมนูญ ปี 2540 เช่นเดิม รวมทั้งการเมือง ก็มีการเคลื่อนไหวตลอดเวลา

สำหรับรัฐบาลชุดใหม่ที่เข้ามาคาดว่าจะเป็นรัฐบาลผสม ซึ่ง ดีกว่ารัฐบาลชุดปัจจุบันแน่นอน เพราะรัฐบาลชุดปัจจุบันส่วน ใหญ่มาจากข้าราชการ ต่างจากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งที่จะตื่นตัวกับการแก้ปัญหามากกว่า และปัญหาที่จะตามมาหลังการเลือกตั้งคือ ระบบข้าราชการ เพราะรัฐบาลชุดที่แล้วเข้าไปปรับระบบราชการ เพื่อตอบสนองการให้บริการของประชาชนมากขึ้น แต่สุดท้ายคือ ถูกปฏิวัติ ทำให้นักการเมืองเริ่มคิดว่า อย่าหยิ่งกับข้าราช การมากนัก

ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ กรรมการผู้จัดการหัวหน้าฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ภัทร จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า รัฐบาลชุดปัจจุบันพยายาม สร้างความหวังว่าหากมีการเลือกตั้งจะทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวดีขึ้น และหากจะดูว่าเศรษฐกิจหลังเลือกตั้งจะเป็นอย่างไรมีข้อสังเกตอยู่ 2 ข้อ คือ รัฐบาลใหม่จะเข้าไปกระตุ้นเศรษฐกิจได้หรือไม่ได้ขึ้นอยู่กับงบประมาณ ซึ่งรัฐบาลชุดนี้ได้ตั้งงบประมาณไว้แล้ว และงบประมาณปีหน้าขาดดุล 1.8% ของจีดีพี ซึ่งคำนวณคร่าวๆ งบประมาณที่ขาดดุลเพิ่มหรือประมาณ 3 หมื่นล้านบาท นำไปใช้สำหรับการขึ้นเงินเดือนข้าราชการและเป็นงบลับของทหาร ดังนั้นการกระตุ้นใหม่ๆ ด้วยงบประมาณคงจะเป็นไปได้ยาก รัฐบาลใหม่ที่เข้ามาหลังเลือกตั้งคงจะต้องเดินตามกรอบงบประมาณที่ได้ตั้งไว้แล้ว

ในภาคการเงินเกี่ยวกับเรื่องอัตราดอกเบี้ย นั้นธนาคารแห่งประเทศ (ธปท.) ได้ลดอัตราดอก เบี้ยมาตั้งแต่ต้นปี ซึ่งเป็นดอกเบี้ยกู้ยืมระยะสั้น 1 วัน ในช่วงตั้งแต่ต้นปีจนถึงเดือน พ.ค. ทำให้ ดอกเบี้ย 2 ปี ดอกเบี้ย 5 ปี ดอกเบี้ย 10 ปี ลดลง ตามหมด ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐต้องการ แต่ถ้าสังเกตให้ดีตั้งแต่วันที่ 23 พ.ค. เป็นต้นมา ดอกเบี้ยระยะยาวซึ่งเป็นดอกเบี้ยพันธบัตรเป็นขาขึ้นหมด

ดังนั้น ต้องเข้าใจว่ารัฐสามารถดึงดอกเบี้ย ได้ในระดับหนึ่งและเป็นดอกเบี้ยตัวเดียว แต่ตอนนี้ภาพรวมได้กลายเป็นดอกเบี้ยขาขึ้นไปแล้ว นอกจากนี้รัฐบาลยังจะต้องออกพันธบัตรจากการขาดดุลงบประมาณ และพันธบัตรกองทุนฟื้นฟูอีกหลายแสนล้านบาท ทำให้ซัพพลายของพันธบัตรออกมาเยอะมาก ดอกเบี้ยมีแต่จะปรับขึ้น โดยเฉพาะดอกเบี้ยที่ตลาดเป็นตัวกำหนด ถ้ามองทั้งการเงินและการคลังแล้ว ฟันธงได้ว่า ไม่ได้กระตุ้นเศรษฐกิจหลังเลือกตั้งได้สักเท่าไร

สำหรับนโยบายของรัฐที่จะมากระตุ้นเศรษฐกิจ ภาพที่ผ่านมาสัญญาณที่รัฐบาลชุดนี้ส่งออกมาส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นไปในเชิงบวก โดยความเห็นส่วนตัวแล้ว การกระตุ้นเศรษฐกิจควรจะเน้นที่การลงทุนเป็นหลัก แต่หลายคนยังมองว่า ตลาดส่งออกยังดีอยู่ทำให้เศรษฐกิจยังขยายตัว แต่เมื่อคิดในระยะยาวการส่งออกคือ การผลิต ถ้าผลิตไปโดยไม่ลงทุนกำลังการผลิตจะตกลง ดังนั้นในระยะยาวการขยายตัวทางเศรษฐกิจจะต้องมาจากการลงทุนเป็นหลัก การส่งออกเป็นตัวกระตุ้นระยะสั้น

แต่ภาวะการลงทุนในประเทศไทยขณะนี้ไม่มีใครกล้าลงทุน ยิ่งดอกเบี้ยกำลังเริ่มสูงขึ้นในขณะที่สัญญาณที่รัฐบาลส่งออกมาทำให้นักลงทุนไม่มั่นใจ เช่น เรื่องของการกันสำรอง 30% การแก้กฎหมายทุนต่างด้าวกฎหมายค้าปลีก สิ่งเหล่านี้จะเป็นตัวปิดกั้นทุนต่างประเทศไม่ให้เข้ามา

เหมือนในช่วงที่เศรษฐกิจไทยโตสูงสุดในปี 1987-1990 ช่วงนั้นการลงทุนโต 30-40% ต่อปี และเป็นการลงทุนข้ามชาติของญี่ปุ่นที่ย้ายฐานผลิตมาในไทย เนื่องจากเงินเยนแข็งในขณะนี้ค่าเงิน บาทก็มีแนวโน้มจะแข็งขึ้นเช่นกัน เพราะการส่งออกทำให้ได้เงินดอลลาร์เข้ามา แต่ไม่ได้นำไปใช้โดยเฉพาะการนำเข้าสินค้าทุน ทำให้ค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งขึ้นแต่ตอนนี้ ธปท. พยายามดึงไว้ด้วยการซื้อดอลลาร์เก็บไว้ 8 หมื่นกว่าล้านบาท

ความเห็นจากกูรูทั้งด้านเศรษฐกิจและการเมืองสรุปตรงกันได้ว่า อย่าคาดหวังภาพเศรษฐกิจและการเมืองหลังเลือกตั้งให้มากนัก ผู้ประกอบธุรกิจจึงควรจะตั้งอยู่บนความจริง ยอม รับสิ่งที่เกิดขึ้น ปรับตัวเพื่อให้อยู่รอดได้และสร้างโอกาสใหม่ๆ ในวิกฤติรอบนี้ เพื่อรอการฟื้น ตัวที่แท้จริง

นายวิทวัส ชัยปราณี นายกสมาคมโฆษณาธุรกิจแห่งประเทศไทย เปิดเผยในงานสัมมนา โอกาสของธุรกิจรับสร้างบ้านในสถานการณ์ปัจจุบัน ว่า แม้การทำโฆษณาประชาสัมพันธ์ รวมถึงการจัดกิจกรรมทางการตลาดจะมีผลต่อการสร้างการรับรู้ให้แก่ผู้บริโภค แต่ขณะเดียวกัน ผู้ประกอบการรับสร้างบ้านก็จะต้องมีข้อมูลและเข้าใจกลุ่มลูกค้า หรือผู้บริโภคคนไทยด้วยว่าในกลุ่มคนแต่ละกลุ่มนั้นมีความต้องการหรือมีวิถีชีวิต อย่างไรด้วย เนื่องจากกลุ่มผู้บริโภคแต่ละกลุ่มมีความต้องการแตกต่างกัน

โดยนายวิทวัสได้ขยายความถึง 5 กลุ่มผู้บริโภคที่มีความหลากหลายในพฤติกรรมว่า กลุ่มที่ บูมเมอร์ (Be stable) เป็นกลุ่มรุ่น เบบี้ บูมเมอร์ ที่มีความต้องการด้านความมั่นคงในชีวิต มีชีวิตเรียบง่าย ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง คนกลุ่มนี้คิดเป็นสัดส่วน 7-8% ของประชากรทั้งหมด
http://www.siamturakij.com/home/news/di ... 12DDS45231