จดหมายเปิดผนึก

เชิญมาพักผ่อน คลายร้อนนั่งเล่น คุยกันเย็นๆ พร้อมเรื่องกีฬา สัพเพเหระ ทัศนะนานา ชีวิตชีวา สุขภาพทั่วไป บันเทิงขำขัน รอบเรื่องเมืองไทย ชวนเที่ยวที่ไหน อยากไปก็นัดมา ...โย่วๆ

โพสต์ โพสต์
humdrum
Verified User
โพสต์: 1961
ผู้ติดตาม: 0

จดหมายเปิดผนึก

โพสต์ที่ 1

โพสต์

คำนำ (ผู้อ่านวะ)

      เอาเฮอะ.. เล่าเลยละกัน

      เห้ย เห้ยยยยยยย นี่เป็นยาระบายอ่อน ๆ เลยนะ

   สวัสดีครับท่านผู้อ่าน  ผมกำลังอ่านต้นฉบับไดอาลี่ "จดหมายเปิดผนึก" ที่รุ่นน้องในเว็บส่งมาให้เมื่อหลายอาทิตย์ก่อน
 
      ต้องยกความดีให้ไอ้โรมิโอ (หมา) มันนอนแทะเล่นอยู่หน้าห้องน้ำ ไม่งั้นลืมสนิทไปแล้วครับท่านผู้อ่าน  

       ปลื้มครับ ปลื้มหมาตัวเอง ยังไง ยังไง ส่วนตัวผมก็ไม่อาจใช้หมาตัวเองเป็นมาตรฐานชี้วัดคุณภาพงานเขียนของใคร ๆ ไอ้บ้าเอ้ย

       ผมรีบแย่งหยิบติดเข้าห้องน้ำทันที  ตด ปู้ดดด.. แปร่ดๆๆๆๆ....ฟี้.......  

          วันนี้ไปกินส้มตำมาเผ็ดมาก ขี้เป็นน้ำครั้งที่ 20 แล้วครับ  เกิดมาไม่เคยประสบมหันตภัย วาตภัย อุทกภัย น้ำท่วมตูด หนักขนาดนี้มาก่อน

   แบบว่า ฟอดๆ หน่อย จะ พรั่งพรูออกมา พรั่งพรูออกมา เป็นน้ำจริงๆ ไหลเหมือนเปิดก๊อก ไม่ต้องเบ่ง แค่ยืนเฉยๆ บางทีก็ซึมออกมาแล้ว แล้วคือประมาณว่า พอเสร็จแต่ละครั้ง  ลุกขึ้นมาใส่กางเกงเรียบร้อย ล้างมือเสร็จ เดินออกมากะจะไปนอนต่อ  พอหย่อนตูดแตะเตียงได้ไม่ถึง 20 วิ ยังไม่ทันหายยวน  มันกลับมาอีกแล้ว รู้สึกได้เลย  ถึงคลื่นความยวนที่ค่อยๆ บีบเลื่อนเคลื่อนตัว จากลำไส้เล็กส่วนดูโอดีนัม ผ่านมาเจจูนัม ต่อมาสู่ลำไส้ใหญ่ ช่วงไหลเร็วจะดัง คล่อกๆๆๆ ช่วงเข้าโค้งจะมีชลอตัวเล็กน้อย เสียงจะแหลมๆ ขึ้นดัง จูร๊อกๆๆ พองออก พองออก พองออก จนระเบิด ตู้ม! นั่นแหละ อารมณ์ประมาณนั้น

   กระเด็นกลับมาด้วยนะครับ แประแก้มตูดยังไม่เท่าไหร่ ไอ้พวกที่ สะท้อนตั้งฉากกลับขึ้นมาเข้ารูตูดพอดีเนี่ยสิ มันจะเย็นๆ เสียวๆ โสๆ ชวนให้เอน็จใจมาก

       หลังจากขี้ไป 10 กว่ารอบแล้ว ใช้ทิชชู่หมดไป 3 ม้วน เช็ดจนเลือดซิบ หนังกำพร้งกำพร้านี่หลุดตูดไปหมด คุณเคยมะ
 
      แล้วการขี้เป็นน้ำเนี่ยนะ มันก็อาจจะดีที่ไม่ต้องเบ่ง ก็จริง แต่ไอ้น้ำพวกเนี้ย  แสบตูดมาก แสบสุดๆ  มันเหมือนแบบเจ็บแปรบ ๆ ยิ่งกว่าเอาวิกซอว์ราดแล้วตามด้วยสก๊อตไบค์ โอยชาตินี้ ชาติก่อน ไม่เคยรู้สึกทรมานตูดได้ขนาดนี้ เข้าใจความรู้สึกของเกย์ควีนวัยแรกแย้มมากๆ

    โอ้ยยย..ตูดKu

    อ่านจบพอดีครับ ก็ "จดหมายเปิดผนึก" ไงครับ

    แล้วอยากอานต่อครับ ทั้งๆ ที่หิวทั้งอิ่ม ทำไมถึงเขียนดีมีรสชาติขนาดนี้วะ นี้กลายเป็นความกดดันอีกอย่างในชีวิตเลยนะ ประมาณว่ารุ่นน้องในเว็บส่งต้นฉบับมาให้อ่าน บอกพี่ ผมอยากเขียนหนังสือแนวการลงทุนแบบหนุกๆ ฮา ๆ พี่ช่วยดูให้ที สัพะสาระ ผิวเผินคิดว่าเกี่ยวกับการลงทุน แต่พออ่านแล้ว แง่คิด อารมณ์ขัน ตลอดจนลีลาที่รุ่นพี่รุ่นน้องคู้นี้ส่งประเด็นให้กัน เสน่จับใจ ผมประทับใจครับ อย่างนี้ไม่ต้องมีใครมาแป๊ะหน้าหรอก เขียนไม่เป็นว้อยยยยยย สมรรถภาพการเขียนมันเสื่อม ขออภัยในความไม่สะดวก เอ็งลงเลยก็แล้วกัน เดี๋ยวมีคนด่าเองละเฟ้ย!!


                                      พี่เจิมให้คนแรกแล้ว

                                                    ^O-O^
ภาพประจำตัวสมาชิก
por_jai
Verified User
โพสต์: 14338
ผู้ติดตาม: 0

จดหมายเปิดผนึก

โพสต์ที่ 2

โพสต์

8) น้องตี๋แว่นครับ
     ขี้ตั้ง20รอบ
     กินยาฆ่าเชื้อ1ชุดก็หายแล้วครับ
     ทำไมไปทรมานทวารขนาดนั้นครับ
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
ภาพประจำตัวสมาชิก
oatty
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 2444
ผู้ติดตาม: 0

จดหมายเปิดผนึก

โพสต์ที่ 3

โพสต์

กินอยู่กับปาก อยากอยู่กับท้อง แต่คนที่ลำบากคือขา (กับตูด)  :!:

ดร.ระวังขาตัวเองหน่อยนะครับ เดี๋ยวมันหมั่นไส้ ก้านคอ ดร.เข้าให้
กินก็ไม่ได้กินด้วย แถมต้องมาเดินเหนื่อยอีก
"ผู้ทรงธรรมนั่นแหละคือผู้ทรงเกียรติ ผู้มีความดีนั่นแหละคือผู้มีทรัพย์ ผู้รู้จักพอนั่นแหละคือมหาเศรษฐี" ว.วชิรเมธี
humdrum
Verified User
โพสต์: 1961
ผู้ติดตาม: 0

จดหมายเปิดผนึก

โพสต์ที่ 4

โพสต์

(ต่อไปนี้เป็นอนุสนธิในจดหมายเปิดผนึกจาก "จ๋อย" ถึง เพื่อนรุ่นน้องในเว็บ ที่ใช้ชื่อว่า "เต้ย" ส่วนผมเป็นคนกลางส่งแรงใจ จัดรูปหน้า ปรู๊ฟสิ่งที่ทั้งสองท่านร่วมกันปลูกสวนอักษรลงในจดหมายเปิดผนึกฉบับนี้ ผมขอรับรองว่า ทุกตัวอักษรของรุ่นพี่รุ่นน้องคู่นี้ทำหน้าที่อย่างซื่อสัตย์ในการรับใช้ท่านอย่างดีที่สุด ทั้งสาระบันเทิงและความเพลิดเพลิน ตั้งแต่อมยิ้มยันหัวเราะน้ำตาไหล

    ขอขอบคุณบัฟเฟทผู้ที่ทำให้หัวใจการลงทุนของผมแบ่งบานตลอดเวลา และที่สำคัญขอขอบคุณเพื่อน ๆ ในเว็บทุกท่านผู้คอยพยุงและปลุกปลอบให้กำลังใจแก่ชีวิต ขอให้สนุกกับการอ่านครับ ! )  
 



        ประโยคบอกเล่า

รูปภาพ

        ก่อนที่จะเริมต้นเป็นปฐมฤกษ์บทกับงานเขียนชุดนี้  พี่คิดอยู่หลายวัน มันก็น่าจะสนุกนะกับเขียนโต้ตอบสไตล์ฉบับรุ่นพี่รุ่นน้อง แต่ต้องขอสารภาพก่อนว่า พี่เขียนไม่เก่งนะ แต่ถ้าเรื่องบุกตะลุยหื่นกระหายอ่าน...อ่าน.....และอ่านอย่างเดียวพอได้   ไม่ว่าจะเป็น ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมท  * มาลัย ชูพินิจ  *อาจินต์ ปัญจพรรค์ * ไม้เมืองเดิม  และ*ยาขอบ  เลยไปถึง งานเขียนของ*โกวเล้ง * กิมย้ง *รพินทรนาท ฐากูร ของอินเดีย ...ข้ามไปโน้นฝั่งตะวันตก หลงน้ำหมึกของ* เออร์เนส เฮมมิ่งเวย์  *  มาร์ก ทเวน   * กี เดอร์  โมปาศอง * โอมาร์ ไคยัม  และ   ...และ.....และ.....  
 
                   พี่กลายเป็นเป็นคนที่คลั่งไคล้มากเลยใช่ไหมครับ
   
    แต่พี่ก็ว่า การอ่านเป็นรากฐานที่สำคัญ  (สโลแกน Aprint ยืมมาใช้)  พี่จึงพยายามมาก ๆ เลย ที่จะให้ลูกพี่รักการอ่านเหมือนพี่ด้วย ว่าที่จริงนะ สิบปีที่ผ่านมา โลกอินเตอร์เนตได้ย่อโลกให้เล็กลง เชื่อมโยงทุกอย่างปะดามีให้เหลือเพียงสัมผัสปลายนิ้วของพวกเรา  พี่เลยชักสงสัย ในอนาคตข้างหน้าไอ้สิ่งที่เรียกว่า หนังสือ มันจะมีความสำคัญอีกไหม

   ทุกวันนี้ชีวิตคนเร่งรีบ รีบเร่ง อะไร ๆ ก็ เปลี่ยนไปหมด และพี่ก็ว่า มีผลต่อรูปลักษณ์ความงามของหนังสือในอดีตไปหมดแล้ว ดูเหมือนคนสมัยนี้พอใจที่จะอ่านสิ่งที่มันต้องสั้น รวบรัด กระชับ และง่าย ทำให้หลายอย่างต้องเปลี่ยนไปเป็นแบบสำเร็จรูปเพื่อตอบสนองความต้องการของคนในตลาด เนื่อหาก็ไม่ใช่สิ่งสำคัญอีกต่อไปแล้ว หากแต่ต้องโหมประชาสัมพันธ์ ไม่ต่างจากหุ้นปั่นเลย  คุณค่าทางศิลป์ก็น้อยลง การดูแลด้านจิตใจของคนอ่านและการดูและจิตวิญญาณคนอ่านมันก็น้อยลงอีก ไม่ต้องพูดถึงเลย

   ยังไงพี่ก็ยังมีความหวังนะ อยากเห็นเด็กไทย อ่านหนังสือเยอะ ๆ มากกว่า 6 7  บรรทัดต่อปี อย่างที่เค้าว่ากัน อัตราคนอ่านออกให้มันเต็มร้อยไปเลย ด้วยอาหารสมองดี ๆ มีคุณค่าทางโภชนาการ มากกว่าจะเป็นอาหารจานด่วนที่เห็นจนเลี่ยนอย่างทุกวันนี้

                  หรือ น้อง ว่าไง
121
Verified User
โพสต์: 843
ผู้ติดตาม: 0

จดหมายเปิดผนึก

โพสต์ที่ 5

โพสต์

ผมสงสัยเสมอเมื่อมีโอกาสได้อ่านงานของพวกที่เรียกว่า นักเขียน

บางคน

ทำไมผลงานของพวกเขา จึงขาดสุนทรียภาพทางภาษาได้ขนาดนั้น

พวกเขาทำไม ไม่ละเอียดละออพอ กับงานของตนเอง

ความจริงใจกับตนเอง จริงจังกับผลงานที่สื่อสู่สังคม

โดยขาดการ "เกรงใจ" คนอ่าน

แน่นอนครับสังคมเราเป็นอย่างนี้เอง

เราทุกคนช่วยกันปรุงแต่งเหตุปัจจัยให้มันเกิดขึ้น
humdrum
Verified User
โพสต์: 1961
ผู้ติดตาม: 0

จดหมายเปิดผนึก

โพสต์ที่ 6

โพสต์

ประโยคคลาสสิค    


รูปภาพ


          โอย!  คิดฮอดหลายเด้อ พี่สบายดีบ่ครับ
     
       
      เดี๋ยวนี้ไม่รู้เป็นไงพี่ พอแก่ตัวลงแล้วมักคิดถึงแม่ขึ้นมาเรื่อย ๆ (สปอนเซอร์ใหญ่พอร์ตผม อิ อิ)

     ไม่รู้นะพี่ แต่ผมนะ ไง ก็อยากให้ใคร ๆ พูดถึงว่าเป็นคนที่กตัญญูต่อแม่สูงสุดชนิดเลื่องลือไปทั่วโลกเลย

     ผม....มานั่งนึกผ่านการวิเคราะห์อย่างลึกซึ้ง  แล้วอยู่ดี ๆ ผมก็นึกถึงกฏบังเกิดเกล้าข้อที่ 3 ของนิวตัน (การกระทำใดๆ ย่อมได้รับผลตอบสะท้อนกลับ ที่เท่าเทียมกัน)

     แล้วผมก็สรุปเลยพี่ ว่า ของขวัญวันแม่ที่ดีที่สุดที่ผมจะซื้อให้ในปีนี้และสอดคล้องกับหลักฟิสิกส์มากที่สุด น่าจะเป็น "นม" ครับ

    เอ้า พี่ลองคิดดู เพลงประจำวันแม่ที่แพร่หลายที่สุด ก็เป็นเพลง "ค่าน้ำนม"

    อันนี้เป็นเครื่องบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่า "นม" คือพระคุณที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ที่เราได้รับจากแม่ซึ่งเปรียบเหมือนพระอรหันต์ในบ้าน และผมเชื่อว่าทุกคนรักแม่ของตนเองอย่างสุดหัวใจ

 
      อย่างไรก็ตาม การให้ "นม" เป็นของขวัญวันแม่ อาจถูกวิพากษ์วิจารณ์ ว่าเป็นการแบ่งแยกทางเพศ

     ทำไมหรือพี่ โอ....พระเจ้า

   ก็เนื่องจากว่า บุตรชาย ไม่สามารถผลิตน้ำนมได้ครับ  จึงไม่สามารถให้"นม"แม่ได้ และนอกจากนี้ ยังอาจถือเป็นการ เพิกเฉยลบหลู่ต่อวัฒนธรรมความเชื่อดั้งเดิม ซึ่งเคยยึดถือ การให้ดอกมะลิ เป็นของขวัญประจำวันแม่มาก่อน

    ครับ...เป็นได้ถึงขนาดนั้น!  

   นับแต่วินาทีนี่เอง ผมตัดสินใจเด็ดขาดว่า วิธีแก้ปัญหาที่แยบยลที่สุดเห็นจะเป็น แทนที่จะให้"นม"เราแก่แม่โดยตรง อาจกระทำโดยการไปซื้อ "นมมะลิ" มาให้แม่แทน ("นมมะลิ ในที่นี้ หมายถึงนมตรามะลิ ไม่ใช่นมของสตรีชื่อมะลิ" อิ อิ)

                รูปภาพ

      จริง ๆ พี่ ไม่ต้องขำผมเลย ผมรู้พี่ ขำผมอยู่

     พี่ลองคิดดู การให้ "นมมะลิ" แก่แม่ ในวันแม่นี้ นอกจากจะเป็นทางออกที่ทำได้สำหรับ ทั้งบุตรชาย และบุตรสาว แล้ว ยังไม่เป็นการขัดต่อความเชื่อเดิม ที่ยึดถือดอกมะลิเป็นดอกไม้ประจำวันแม่อีกด้วย มิหนำซ้ำ ยังเป็นการส่งเสริมสุขภาพของผู้ดื่ม"นม" และส่งเสริมผลผลิตจากอุตสาหกรรม"นม" ของคนไทยด้วยกันอีก

        อ้า!      

    เพราะฉะนั้น วันแม่นี้ มาให้ "นม" แม่กันเถอะ และอย่าลืมพูดประโยคคลาสสิค ว่า "รักแม่" นะครับ

     
  รับรอง...จะมีความเจริญแก่ชีวิตและจิตใจในทุก ๆ วัน อย่างแน่นอน

 ขอฝากความรัก และความเคารพไปยังคุณแม่พี่จ๋อย ด้วยนะครับ  และก็ของท่านผู้อ่านทุกท่านด้วยเช่นกันครับ

        สวัสดีครับพี่
humdrum
Verified User
โพสต์: 1961
ผู้ติดตาม: 0

จดหมายเปิดผนึก

โพสต์ที่ 7

โพสต์

ตะกร้า 4 ใบ  

รูปภาพ


          กลับไปอ่านบทความเรื่อง ประโยคคลาสสิค ของเต้ยอีกรอบ ขำ ๆ ดี  แต่ ก็เกิดสะท้อนใจมาตงอด ๆ ว่า  น่าจะรวมแม่ของลูก (ภรรยา) เข้าไปด้วย ก็น่าจะดีนะ  

           พูดถึง พออายุมากขึ้น พี่ไม่รู้เป็นไร ช่วงนี้ อยากไปไหนกับภรรยา  แต่ก่อน อยากไปไหนตามลำพัง เวลาห่างภรรยา รู้สึกดีใจ เมื่อปลาได้น้ำ เหมือนนกที่ถูกปลดปล่อยออกจากกรง เวลาไปไหนคนเดียว มันเบาโหวงดีบอกไม่ถูก   เวลาอยู่คนเดียว นึกอยากทำอะไรก็ทำ ไม่ต้องระวังอยู่ในกฎเกณฑ์เมีย คนเรามีความสุขไปคนละแบบ

      แต่พออายุมันมากขึ้น  เริ่มเป็นชาวเกาะ สวมวิญญาณสามีกตัญญูเมีย อ้อนวอนให้เป็นเพื่อน ไปไหนคนเดียวไม่ค่อยถูกแล้ว พี่ติดเมียมากว่าลูกซะอีก  เมียเก็บตังค์หมด ไปไหนไกลไม่ค่อยได้

             สมัยเป็นครู  มีเพื่อนพี่คนหนึ่งเคยมาถาม แต่งมาเกือบ15 ปี ใช้หลักอะไร เขาแต่งมา 7 ปี พอดี แล้วกลัวเลข 7 มาก ประมาณว่ากลัวเลิกกัน พี่ก็ตอบไปว่า

             สามีภรรยาแต่งกันอยู่กินกันไป ข้อผิดพลาดต่างๆ มันเกิดขึ้นได้  คำถามแรกที่จะต้องถามคือ ข้อผิดพลาดเหล่านี้มันเกิดขึ้นได้ยังไง แล้วจากนั้น พอได้คำตอบมาแล้ว ให้เตรียมตะกร้าไว้ 4 ตะกร้า


           ตะกร้าที่หนึ่งติดป้ายไว้ว่า ไม่ใช่ความผิดฉัน-แก้ไม่ได้

                      ตะกร้าที่สองติดว่า ความผิดฉัน-แก้ไม่ได้

                      ตะกร้าสาม ไม่ใช่ความผิดฉัน-แก้ได้

                         และสุดท้าย ความผิดฉัน-แก้ได้


      แล้วจากนั้น ก็ให้เอาคำตอบ สาเหตุทั้งหลายที่เราคิดได้เหล่านั้นน่ะ มาแยกทิ้งใส่ตะกร้าแต่ละใบให้เหมาะสม  ย้ำว่าให้เหมาะสม อย่าแบบว่า บางทีเป็นความผิดตัวเอง แต่เอาไปใส่เป็นความผิดภรรยาซะงั้นน่ะ อันนั้นไม่ดีนะ

          ลองมาดูตัวอย่างกันว่าเช่นยังไงบ้าง สมมุติว่า ช่วงนี้ มีงานสมนา  เต้ยอยากไปมาก  แต่เต้ยไม่ได้ไป  เพราะต้องเลี้ยงลูก เนื่องจากว่า ภรรยาแขนเจ็บเอ็นพลิก เพราะอุ้มลูกผิดท่า  อันนี้จะเห็นว่า น่าจะเอาทิ้งไปในตะกร้าหนึ่ง นั่นคือ มันไม่ใช่ความผิดของฉันหรือของใครทั้งนั้น  แล้วก็ไม่ใช่สิ่งที่ใครจะไปแก้ไขอะไรได้ด้วย จะให้เลื่อนงานออกไป ก็ไม่ได้ จะให้พี่หมอศรรามยกเลิก ก็ไม่ได้อีก เพราะงั้นสรุปแล้วไม่มีใครทำอะไรได้ มันเป็นเรื่องของเงื่อนไขจำกัดในชีวิตที่เราต้องยอมรับ อะไรก็ตามที่เราวิเคราะห์แล้ว ว่ามันควรจะทิ้งในตะกร้านี้ เราไม่ควรจะไปอารมณ์เสียกับมัน ไม่ควรไปหมกมุ่นว่า  ทำไมเป็นอย่างงี้  ให้ทำใจยอมรับมันไปซะโดยดี เพราะหากเราไปยึดติดกับมัน หรือไปเซ็งกับมันมากไป เราจะเสียสุขภาพจิตเปล่าๆ สิ่งที่สำคัญคือ ในเงื่อนไขที่มีให้มาจำกัดเนี่ย  จะทำยังไงให้ดีที่สุดเท่าที่เงื่อนไขจะอำนวยได้ ต่างหาก แล้วจำไว้อย่างว่า มันไม่มีหรอก  วันที่เราจะเจอว่าทุกอย่างมันช่างลงตัว สวยงาม พร้อม เพอร์เฟ็คหมดทุกอย่างน่ะ  เราควรจะเรียนรู้ข้อนี้เอาไว้ แล้วอย่าไปคาดหวังอะไรกับสิ่งที่มันไม่มีทางเกิดขึ้น

           ดูตะกร้าสองต่อ อันนี้คือ สิ่งที่พลาดมาจากตัวเราเอง แล้วก็แก้ไขปรับปรุงอะไรไม่ได้ เช่น เป็นคนตัวเหม็นเพื่อนเลยไม่คบไม่ยอมให้ร่วมกลุ่มในวันงาน เขามีกัน 10 กลุ่ม เต้ยต้องแยกไปอยู่กลุ่ม 11 คนเดียว  เป็นคนพูดไม่รู้เรื่องไม่กล้าแสดงออก ประหม่า ตดเหม็นเน่าสุดๆ  เวลาออกมาหน้าชั้น เป็นมาตั้งแต่เด็ก ตอนนี้ก็ยังเป็นอยู่ และคงเป็นไปตลอดชีวิต   อืม.....ทีนี้กลับมาบ้าน แล้วหวุดหงิด  มาหาเรื่องภรรยาซะอย่างนั้น

     พวกสาเหตุเหล่านี้ก็คล้ายๆ กับข้อหนึ่ง คือต้องทำใจยอมรับสภาพตนเอง แต่ว่ามันจะไม่ง่ายเท่า เพราะหลายๆ อย่างมันเป็นเรื่องที่ค่อนข้าง sensitive แล้วเราอาจจะไม่ต้องการยอมรับ หรือไม่ก็กลัวว่าถ้ายอมรับเดี๋ยว เพื่อนๆ จะมารุมสงสาร หรือดูถูก อะไรทำนองนี้เป็นต้น การจัดการกับความรู้สึกพวกนี้ เป็นเรื่องที่ยากและ พี่เองก็ไม่แน่ใจว่าจะแนะนำได้ดีหรือไม่   เพราะฉะนั้นพี่จะไม่ขอพูดดีกว่า แต่ประเด็นหนึ่งที่อยากจะพูดคือ  การเอาสิ่งต่างๆ มาถมไว้ในตะกร้านี้ อย่างถูกต้อง เน้นว่า อย่างถูกต้อง อาจจะมีประโยชน์ที่ชัดเจนอย่างหนึ่ง นั่นก็คือ มันจะทำให้รู้จักตัวเอง และประเมินตัวเองถูกว่ามีข้อจำกัดด้านไหนบ้าง  จะรู้ว่าสิ่งไหนบ้างที่ต่อให้พยายามเท่าไหร่ก็อาจจะทำไม่ได้ และต่อไปจะได้ไม่เอาตัวเองเข้าไปอยู่ในสถานการณ์นั้นๆ ให้อับอาย

               

        ต่อมา ตะกร้า 3 ไม่ใช่ความผิดฉัน และแก้ได้ อันนี้ง่าย และคนทั่วไปมักจะใส่สาเหตุความผิดพลาดตัวเองในตะกร้านี้อยู่แล้ว ตัวอย่างเช่น อ้าว ก็เธอ สั่งไม่ดีนี่ เลยฟังไม่รู้เรื่อง เลยซื้อของมาไม่ตรง หรือ ก็เธอไม่ยอมช่วยงานบ้านฉันมั่ง  มัวแต่ตัดเล็บตัวเอง ดูซิ  ลูกหิวไม่สนใจ หรือ เมื่อวานกะจะนั่งอ่านรายงานที่ไปประชุมมา  แต่ภรรยาเปิดเพลงดังลั่น รบกวนสุดๆ  เหล่านี้เป็นต้น ปฏิกริยาที่คนทั่วไปมีต่อ สาเหตุลักษณะนี้มักจะแบ่งเป็นสองอย่าง คือ หนึ่ง เงียบ แต่แอบเคือง แอบด่าอยู่ในใจ  กับอีกกรณีหนึ่ง คือพอเกิดความไม่พอใจแล้ว ระงับไว้ไม่อยู่ แสดงออกไปอย่างขาดสติ งอนเมีย  งอนลูก  หรือแย่กว่านั้น ว่าเค้าเสียๆ หายๆ ต่อหน้า คนอื่น  

        ในกรณีนี้ พี่จะขอแนะนำว่า เราควรให้ความสำคัญกับการสื่อสารเพื่อแก้ปัญหา ใช้จิตวิทยาเยอะๆ หน่อย เอาใจเขามาใส่ใจเราเยอะๆ หน่อย ในการที่จะบอกกล่าวให้อีกฝ่ายมองเห็น และปรับปรุงแก้ไขตัวเอง หาทางสายกลาง จุดสมดุล ระหว่าง เกลียดเงียบ กับตวาดใส่ มันต้องมีวิธีสิ ที่จะพูดกันดีๆ ด้วยเหตุด้วยผล ยกตัวอย่างเช่น หากมีไรไม่พอใจ  แล้วมันเป็นความผิดพลาดของเราจริงๆ เนี่ย  เรายินดีรับฟังอยู่แล้ว  พี่ว่าภรรยาทุกคนก็มีหน้าต่างซึ่งเปิดเอาไว้สำหรับรับฟังความคิดเห็นสามีเหมือนกัน เพียงแต่บางคนอาจจะเปิดกว้าง บางคนอาจจะเปิดแคบหน่อยเท่านั้นเอง ซึ่งอันนี้มันขึ้นอยู่กับฝีมือเราว่าจะหาจุดเปิดเค้าเจอรึเปล่า  บางทีมันไม่ง่ายหรอก แต่นะ มันก็น่าลองดู เพราะถ้าหาก ทุกๆ คนเวลาไม่พอใจอะไรกันก็เก็บเงียบเอาไว้ หรือไม่ก็ด่ากันเกลียดกันอย่างขาดสตินี่ อีกหน่อยมันก็เกลียดกันทั้งโลกน่ะสิ

      ปัญหาอะไรก็แก้ไขประนีประนอมกันไม่ได้ แล้วโลกนี้มันจะยังน่าอยู่ๆอีกมั้ยล่ะ  

          วันนี้พี่โม้ยาวจริงๆ แต่ก็มาถึงสุดท้ายแล้ว นั่นก็คือ ตะกร้าที่ 4
   
  ตะกร้าที่สำคัญที่สุดในการเรียนรู้  ความผิดฉัน-แก้ไขได้ ใช่แล้ว "ความผิดฉันเอง และฉันสามารถแก้ไขมันได้ ถ้าฉันจะทำ " ประโยคสั้นๆ แค่นี้ แต่จะมีสักกี่คนที่พูดมันออกมาได้อย่างเต็มปาก คนส่วนใหญ่พอเกิดอะไรก็โทษนู่นโทษนี่ไปเรื่อย ไม่หัดเอาบทเรียนมาพัฒนาตนเอง หรือไม่บางคนก็โทษตัวเองนี่แหละ แต่ว่าก็ไม่คิดที่จะแก้ไข หรือคิดไปเองว่าแก้ไขไม่ได้ ทำให้เกิดอาการซึมเศร้า ไม่เห็นคุณค่าตนเอง บ้างก็คิดปลีกตัวออกจากบ้านจากลูกจากเมีย   เพราะฉะนั้น การยอมรับข้อบกพร่องของตัวเอง และการมองให้ทะลุปรุโปร่งว่าข้อบกพร่องนั้นสามารถแก้ไขได้ ถ้าเราตั้งใจจริง จึงเป็นสิ่งสำคัญมาก

       พูดมา มันฟังดูเหมือนง่าย ใช่  พี่ก็เข้าใจนะ ว่าในความเป็นจริงแล้วมันทำยาก อย่างบอกตัวเอง จะเป็นสามีที่ดี พอถึงเวลาจริงๆ ก็ง่วง ก็หิว ก็เหนื่อย  ไม่อยากคุย อันนี้มันของธรรมดา ด้วยเหตุนี้ไง คนที่ประสบความสำเร็จได้คือคนที่ฝ่าฟันอุปสรรคเหล่านี้ได้สำเร็จเท่านั้น ใช่มันยาก  อุปสรรค  is the only way บางคนฝันลม ๆแล้ง ๆ ว่ามันง่าย เดี๋ยวก็รวย  ซักวันจะรวย จะเก่ง จะประสบความสำเร็จ อันนั้น มันหลอกตัวเองชัดๆ

           และ นั่นล่ะ คือสิ่งสำคัญนะ  น้องรัก
MarginofSafety
Verified User
โพสต์: 5786
ผู้ติดตาม: 0

จดหมายเปิดผนึก

โพสต์ที่ 8

โพสต์

จากตุ๋ยถึงพี่เจี๊ยก

รูปภาพ

กราบสวัสดีพ่อแม่พี่น้องมิตรรักแฟนเพลง (เฮ้ย... ไม่ใช่ให้มาเล่นลิเก)
สวัสดีครับพี่เจี๊ยกและมิตรรักนักอ่าน

ผมถูกบังคับให้มาเล่นเป็นตุ๋ย
(ชื่อไรฟะ ตุ๋ยกับเจี๊ยก ไหนๆ ลอง Scroll Mouse ลงไปดูใหม่หน่อยซิ
ตรูว่าแล้ว ... อันที่ถูกมันต้องเป็น เต้ย กับ จ๋อย ต่างหาก
"Winners never quit, and quitters never win."
cuboty
Verified User
โพสต์: 88
ผู้ติดตาม: 0

จดหมายเปิดผนึก

โพสต์ที่ 9

โพสต์

กินอยู่กับปาก อยากอยู่กับท้อง แต่คนที่ลำบากคือขา (กับตูด)

ตรงกับคำพังเพย สบายปาก ลำบากตูด
humdrum
Verified User
โพสต์: 1961
ผู้ติดตาม: 0

จดหมายเปิดผนึก

โพสต์ที่ 10

โพสต์

กลับแกล้ม ขำ ขำ
   

รูปภาพ


          If the fact dont fit the theory, change the fact.

                           

                มีใครทราบไหมครับว่าประโยคข้างบนใครพูดed

   บอกใบ้สักนิดครับ สมองของคนที่พูดคนนี้ หนักเพียงแค่ 80 % ของคนปกติ แถมสมองของเค้า ก็รวมตัวกันเป็นเนื้อเดียว ไม่ได้แบ่งออกเป็นซีกซ้าย ขวา เหมือนคนทั่วไป หรือจะพูดง่ายๆก็คือ สมองส่วนการคิดคำนวนและสมองส่วนจินตนาการมันรวมกันเป็นส่วนเดียว

       
    ท่านยังเป็นเจ้าของคำพูดที่ว่า ให้พยายามเป็นคนมีคุณค่า ดีกว่าคนที่ประสบความสำเร็จ  
   
      มีอีกครับ

   "ถ้าต้องการให้เด็กฉลาดก็ต้องเล่านิทานให้เด็กฟัง แต่ถ้าต้องการให้ฉลาดมากยิ่งขึ้น ก็ต้องเล่านิทานมากมากมากหลาย ๆ เรื่อง"
             
      นึกออกไหมครับ สุดท้ายแล้วครับ
 
          จินตนาการสำคัญกว่าความรู้

   อ๋อ แล้วใช่ไหมครับ  คนเดียวกันครับ  ถ้า ท่าน แอลเบิร์ต ไอสไตล์ ไม่ว่าอะไร ผมขออนุญาต ยืมไปใช้หน่อยนะครับ  
                 
         
      If the fact dont fit the theory, change the fact.
 
              แปลว่า


               เนียน

   
             ครับ  สั้น ๆ  

     เนียน เป็นคำคุณศัพท์ ครับ  ถือกำเนิดขึ้นราว 3708 ปีก่อนคริสกาล ชาวเผ่าอารยันโบราณ มักจะใช้ คำว่าเนียน ในการขยายลักษณะของพื้นผิวที่เรียบลื่น ตัวอย่างเช่น ผิวเนียนดุจทุเรียน
         
       ต่อมาอีก ในสมัยราชวงศ์ถังตอนปลาย เหล่าจอหงวน ได้ตกลงกันขยายนิยามของคำว่าเนียน ให้หมายรวมถึง  อากัปกริยาหรือการกระทำใดๆ ก็ตาม ที่เป็นไปอย่างราบรื่น ไม่ติดขัด ไม่สะดุด หรือถึงแม้สะดุด ก็ยังสามารถ เนียนต่อไปได้เรื่อยๆ โดย ไม่มีใครสังเกตุเห็นว่าเกิดอะไรขึ้น

          ต่อมาในสมัยอยุธยา  คำว่าเนียนได้รับการเพิ่มเติมความหมายในฐานะคำกริยาเข้าไปด้วย หมายถึง การที่บุรุษค่อยๆ ฉวยโอกาสเข้าไปใกล้ชิดนวลเนียนกับสตรี โดยที่เธออาจจะไม่ทันได้รู้ตัวว่ากำลังถูกเนียนอยู่ในขณะนั้น

         อืมมม.....    

         ถึงปัจจุบัน คำว่าเนียน ขยายวงกว้างเข้าไปในหมู่นักลงทุน หมายถึง   อากัปกริยาหรือการกระทำใดลอกหุ้น ชาวบ้านที่เป็นไปอย่างราบรื่น ไม่ติดขัด ไม่สะดุด หรือถึงแม้สะดุด ก็ยังสามารถ เนียนต่อไปได้เรื่อยๆ โดย ไม่มีใครสังเกตุเห็นว่าเกิดอะไรขึ้น อิอิ

         ผมเนียนบ่อยครับ 555

          เนียนยังรวมถึง  การเปลี่ยน ความเชื่อ  เป็น  ความจริง โดยไม่รู้ตัว ตัวอย่างเช่น  การเชื่อว่าสินทรัพย์แสดงให้เห็นสถานะทางการเงินบริษัท บริษัทที่ทรัพย์สินมาก โอกาสในการลงทุนก็มากตาม   ส่วนค่าใช้จ่าย คือสิ่งที่นำไปหักจากรายได้ในกำไรขาดทุน ค่าใช้จ่ายยิ่งสูง กำไรยิ่งต่ำ  แต่ ความจริง คือ  สินทรัพย์  คือ รายจ่ายในวันหน้า ค่าใช้จ่ายในวันนี้ คือ สินทรัพย์เมื่อวานนั่นเอง ทั้งสินทรัพย์และรายจ่ายต่างก็ส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดรายได้ทั้งคู่ ดังนั้น fact ไม่ได้อยู่ที่มี Asset น้อย  expenses มาก แต่อยู่ที่ความสามารถในการหารายได้มาทดแทนทรัพย์สินที่กลายเป็นค่าใช้จ่ายไป

             สินทรัพย์ดี ค่าใช้จ่ายไม่ดี จึงเป็นความเชื่อ มากกว่า ความจริง

             อาการเนียนจึงเกิดขึ้น  

       If the fact dont fit the theory, change the fact.

    ทางพุทธพระท่านว่า อย่ายึดมั่น ถือมั่น หรือ ถ้า ยึดมั่นมันกัดแน่

         
               วันนี้กราบลาท่านผู้อ่านไปเนียนก่อนครับ

                           สวัสดีครับ
humdrum
Verified User
โพสต์: 1961
ผู้ติดตาม: 0

จดหมายเปิดผนึก

โพสต์ที่ 11

โพสต์

ปริศนาอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์    

รูปภาพ
     
       อ่านเรื่อง อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ของพี่จ๋อย แล้วก็อดทึ่งในความเป็นอัจฉริยะของนักฟิสิกส์ชาวเยอรมัน ผู้เสนอทฤษฏีสัมพันธภาพ ผู้นี้ไม่ได้นะครับ

      ถ้าพี่จ๋อยเจอแก จะถามอะไรแก ผมมาชวนท่านผู้อ่านทุกท่านก็ได้ครับ ลองคิดสนุก ๆ นะครับ ถ้าผู้อ่านทุกท่านมีโอกาสได้เจอ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ สักครั้ง  ท่านจะถามคำถามอะไรแกครับ.....?

       อย่างเช่น.......

  ... จาเอาทฎษฏีสัมพัทธ์ภาพมาใช้กับการจีบสาวยังไงคับ
มีสมการ หรือวิธีไหนบ้าง ที่สามารถคำนวนหาได้ว่า โอกาสที่จีบผู้หญิงคนนี้ติด มีกี่เปอร์เซ็น
จะได้ไม่ต้องมาอกหักตอนหลัง

  ... ถามว่าไมไม่สร้างไทม์แมชชีนก่อนตาย
          หรือว่าโดเรมอนสร้างได้อยู่แล้ว ท่านเลยไม่สนใจ
 
   ....   รับขนมจีบ ซาลาเปาเพิ่มมั้ยครับ
              หรือว่าท่านชอบแฮมเบอร์เกอร์ ทางร้านเรา Cp7-11 ก็มีนะครับ (โฆษณาหน่อยครับ อิ อิ มีอยู่นิดหนึ่ง)
 
   .... แม่ไม่ว่าเหรอ ทำผมอย่างนี้อ่ะ
                   

             ..... ทำไมผมถึงเกิดไม่ทันท่าน
                                                 

   ....... คิดยังไงกับทักษิณ? ท่านอยากให้ทักษิณกลับมาหรือไม่  
                   ท่านไม่ต้องตอบก็ได้นะครับ เพราะถ้าท่านตอบ ยังไงก็โดน Mod ลบอยู่ดี เค้าจ้องอยู่ 555    

     ....... ทฤษฎีของท่านมีความเกี่ยวข้องอะไรเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา
     พวกเราไม่สามารถเข้าใจได้ลึกเหมือนท่านโปรดอธิบายด้วย
             ใช่ครับ......

       ผมนึกออกแล้ว พูดถึงเรื่องศาสนาพุทธ นึกออกเลย  ในช่วงวาระสุดท้ายของชีวิต ไอสไตล์ได้ทิ้งคำพูดที่เป็นปริศนาเกี่ยวกับศาสนาพุทธไว้ด้วยนะครับ ผมไปค้นเจอมา

    โดยที่อัลเบิร์ต  ได้เริ่มสงสัยแล้วว่า พระพุทธศาสนาของเรา  อาจจะเป็นศาสนาที่ให้คำตอบต่อคำถามที่เขากำลังพยายามค้นหาในช่วง 1 ปีก่อนที่เขาจะเสียชีวิต

    มหาวิทยาลัยปรินซ์ตัน ได้ตีพิมพ์งานเขียนชิ้นหนึ่งของเขาชื่อเรื่อง " The Human Side " ซึ่งนักฟิสิกส์ผู้ที่ได้รับรางวัลโนเบลผู้นี้ ได้กล่าวทิ้งท้ายให้เป็นปริศนาแห่งโลกอนาคตว่า ดีงนี้ ครับ

"The religion of the future will be a cosmic religion. It should transcend personal God and avoid dogma and theology. Covering both the natural and the spiritual, it should be based on a religious sense arising from the experience of all things natural and spiritual as a meaningful unity. Buddhism answers this description. If there is any religion that could cope with modern scientific needs it would be Buddhism.

                                                    (Albert Einstein)


    "ศาสนาในอนาคต จะต้องเป็นศาสนาสากล ศาสนานั้นควรอยู่เหนือพระเจ้าที่มีตัวตน และควรจะเว้นคำสอนแบบสิทธันต์ (คือเป็นแบบสำเร็จรูปที่ให้เชื่อตามเพียงอย่างเดียว) และแบบเทววิทยา(คือพึ่งเทวดาเป็นหลักใหญ่) ศาสนานั้น เมื่อครอบคลุมทั้งธรรมชาติและจิตใจ จึงควรมีรากฐานอยู่บนสามัญสำนึกทางศาสนา ที่เกิดขึ้นจากประสบการณ์ต่อสิ่งทั้งปวง คือ ทั้งธรรมชาติและจิตใจอย่างเป็นหน่วยรวมที่มีความหมาย พระพุทธศาสนาตอบข้อกำหนดนี้ได้....ถ้าจะมีศาสนาใดที่รับมือได้กับความต้องการทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ปัจจุบัน ศาสนานั้นก็ควรเป็นพระพุทธศาสนา"

                                            อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์
         
        ...พระนักวิทยาศาสตร์?

          ความคิดอัลเบริต์ แก้ปัญหาพระแก้

          พระต้อง สอบTOFEL ก่อนบวช

              สอบ ชีวะ เคมี ฟิสิกส์

             วัดจะกลายเป็นศูนย์กลางทางการศึกษา

           มากกว่า หมดไฟในชีวิต แล้วค่อยเข้าวัด ตอนแก่

                เมืองไทยจงเจริญครับ
humdrum
Verified User
โพสต์: 1961
ผู้ติดตาม: 0

จดหมายเปิดผนึก

โพสต์ที่ 12

โพสต์

กรอบ ที่ไม่มีเส้น


รูปภาพ


 
"รับขนมจีบ ซาลาเปาไหมครับ"
คิดได้ไงเต้ย พี่ชอบเต้ยตรงนี้แหละ คิดนอกกรอบดี


      นักลงทุนที่ดี จำเป็นต้องมีจินตนาการครับ
แต่ผมเชื่อว่าจินตนาการของนักลงทุน ต้องไม่ใช่จินตนาการที่ไร้ขอบเขต
     ความคิดสร้างสรรค์ในการหาหุ้นนั้นต้องมี "กรอบ"
แต่ "กรอบ" ของนักลงทุนเป็น "นามธรรม" ที่ต้องเบาบางอย่างยิ่ง

         เป็นกรอบที่ไม่มีเส้น        

        เรื่อง valueinvestment นั้นเป็นความคิดของฝรั่ง ของ Benjamin GraHam ชาวตะวันตก  เราเอาของเค้า เรายอมรับกฎกติกาที่ชาวตะวันตกกำหนด  แต่พอเอามาใช้ในบ้านเรา เราไม่จำเป็นต้องเหมือนเค้าทุกอย่าง มีกรอบได้แต่ไม่ต้องมีเส้น
       
     อย่างการจับไม้ปิงปอง จีนเอามาจากอังกฤษ ซึ่งเป็นกีฬาประจำราชสำนักในสมัยศตวรรษที่ 12 ซึ่งตอนหลังทหารอังกฤษที่ประจำอยู่ที่ประเทศอินเดียและอัฟริกาใต้เอาไปเผยแพร่ จนเล่นกันทั่วโลก
     
     แต่จีนเอามาเล่น แต่ไม่ยอมรับการจับไม้ปิงปอง แทนที่จะจับไม้แบบที่ตะวันตกกำหนด เขาเลือกจับไม้แบบใหม่ ที่เรียกกันทั่วไป "ไม้จีน" การจับไม้แบบใหม่ ทำให้การเสิร์ฟ การตบ หรือแบ๊กแฮนด์มีรูปแบบที่แตกต่างจากกรอบเดิมๆ  เมื่อจับไม้แบบใหม่ วิธีการตีลูกก็เปลี่ยนไป

            มีกรอบแต่ไม่มีเส้น

     อ่านมาจากไหนจำไม่ได้แล้วครับ มีห้องโล่ง ๆ มีเก้าอี้ 2 ตัว แล้วให้คนกรุงเทพ เข้าไปคน ชาวเขาเผ่ามูเซอ เข้าไปอีกคน คนกรุงเทพนั่งเก้าอี้ แต่ชาวเขานั่งพื้น
     "เพราะพื้น คือ เก้าอี้ ของเขา"
  "เก้าอี้" คือ ที่รองก้น ชาวเขาทุกคนใช้ "พื้น" ลองก้น
              "พื้น" จึงเป็นเก้าอี้ ของ "ชาวเขา"

            มีกรอบแต่ไม่มีเส้น
               
     
      อีกเรื่องหนึ่ง เกิดในเมืองไทยนี่เอง "ชุมพล ณ ลำเลียง" สมัยยังไม่เป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ ปูนซิเมนต์ไทย ตอนนั้นปูนใหญ่มีปัญหาเรื่องสถานที่ทำงาน ตึกเก่าเริ่มแออัด รองรับคนไม่ไหว ผู้บริหารส่วนใหญ่เสนอให้สร้างอาคารสำนักใหม่เพื่อแก้ปัญหา แต่โครงการนี้ใช้เงินจำนวนมาก ในขณะที่ภาวะเศรษฐกิจตอนนั้นไม่ดี เป็นการสร้างปัญหาใหม่แทนปัญหาเก่า แต่ "ชุมพล" คิดนอกกรอบ เมื่อปัญหาคือพื้นที่สำนักงานไม่พอเพียงกับพนักงาน การแก้ปัญหาไม่จำเป็นที่ต้องแก้โจทย์ด้วยการขยายสำนักงานอย่างเดียว เหมือน "ดีมานด์" กับ "ซัพพลาย" ที่ไม่สอดคล้องกัน ไม่จำเป็นต้องเพิ่มซัพพลายให้พอเพียงกับดีมานด์เสมอไป แต่เราอาจแก้ปัญหาด้วยการลดดีมานด์ลงให้พอเหมาะกับซัพพลายที่มีอยู่ก็ได้ "ชุมพล" เสนอวิธีแก้ปัญหาใหม่ด้วยการลดขนาดโต๊ะทำงานของทุกคน ตั้งแต่ผู้บริหารจนถึงพนักงาน เสียเงินค่าโต๊ะใหม่เป็นเงินจำนวนไม่น้อย แต่น้อยกว่าการสร้างตึกใหม่หลายสิบ หลายร้อยเท่า พื้นที่สำนักงานเท่าเดิม แต่โต๊ะทำงานของแต่ละคนเล็กลง เหมือนลดรัศมีวงกลมในสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ลง การลดรัศมีวงกลมแต่ละวง ทำให้เพิ่มจำนวนวงกลมได้มากขึ้น จากแออัดก็เริ่มกว้างสบาย พอมีพื้นที่เหลือก็สามารถเพิ่มจำนวนคนทำงานในตึกเดิมได้มากขึ้น บรรลุเป้าหมายของการแก้ปัญหา โดยไม่ต้องเสียเงินสร้างตึกใหม่

               มีกรอบทีไม่มีเส้น

    ถ้าชอบทั้ง "กรอบ" ทั้ง "เส้น"
   
       ต้องโกยซือหมี่ ครับ.....อร่อย!
humdrum
Verified User
โพสต์: 1961
ผู้ติดตาม: 0

จดหมายเปิดผนึก

โพสต์ที่ 13

โพสต์

ท่าไม้ตายใหม่

รูปภาพ

     
       หลัง ๆ ปูนใหญ่น่าสนใจขึ้นเยอะเลยนะพี่ตั้งแต่คุณ กานต์ ตระกูลฮุน มารับไม้ต่อจากคุณ ชุมพล ณ ลำเลียง
   
      เรื่องที่เด่นที่สุดเห็นจะเป็นเรื่องที่เปลี่ยน ท่าไม้ตาย จากความเก่งเฉพาะด้าน มาเป็นความรู้รอบด้าน แปลงจากเก่งคนเดียวมาเป็นเก่งยกทีม จาก Local Company สู่ Multinational Company
       
         ผมเก็บเพิ่มไปเยอะเลยครับ ตั้งแต่เปลี่ยนท่าไม้ตาย
     
    น่าสนใจขึ้นหรือยังพี่ ผมเก็บข้อมูลไว้เยอะเลย ว่างๆ พี่แวะมาดูที่บ้านผมได้เลย แม่ผมยังบ่นคิดถึงพี่อยู่เลย บอกถ้าพี่มาจะทำของโปรด แกงส้มผักกะเชดไว้รอ สนไหมพี่
    รูปภาพ

         เรื่องมันเป็นอย่างนี้พี่...
      ก่อนจะเปลี่ยน คุณกานต์ท่านได้ทำวิจัยหา perception ขององค์กร ปรากฎว่า ปูนได้คะแนนเต็มในเรื่อง คนเก่ง และ สินค้าระดับ premium quality แต่ไปสอบตกเรื่องความคิดสร้างสรรค์ ความทันสมัยของ product
 
      ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะพี่ ที่จะเปลี่ยนคนให้คิดนอกกรอบ (โกยซือหมี่ของพี่นั่นแหละครับ) ให้คิดสิ่งสร้างสรรค์ใหม่ ๆ ออกมา คุณกานต์ท่านบอกว่า  2-3 ปีแรกของการเดินหน้าสู่นวัตกรรมของเครือปูนซิเมนต์ไทย เป็นเรื่องของการสร้างบรรยากาศครับ  มุ่งให้พนักงานเกิดการเปิดใจ รับฟัง กล้าเสนอแนะ  
 
      ท่านยืนยันว่าอีกไม่เกิน 3 ปีนับจากนี้ ความเป็นองค์กรแห่งนวัตกรรมจะสัมฤทธิผล และจับต้องได้ชัดเจน ซึ่งเป็นผลลัพธ์จากการสร้างมูลค่าเพิ่มทั้งทางด้านการตลาดและผลิตภัณฑ์ รวมถึงประเด็นของการสร้างคน เพิ่มปริมาณคน เพื่อรองรับการเติบโตนอกบ้าน

     ในปูนคนเก่งเยอะครับ แต่เก่งมากแบบ hard core แน่อยู่คนเดียว จะมุ่งแต่การแข่งขันอย่างเดียว  ตอนนี้ คุณกานต์ เลยเน้นว่า ปูนจะต้องประสบความสำเร็จในการสร้างคนให้เก่งและดี แต่ในยุคที่ธุรกิจต้องไต่บันไดไปอีกขั้น จำเป็นต้องเสริมศักยภาพให้แน่นขึ้นไปอีก เช่น การเปิดใจรับฟังผู้อื่น เพราะการเก่งงานไม่เหลือบ่ากว่าแรงที่จะทำได้อยู่แล้ว แต่สิ่งสำคัญต้องเก่งคน โดยเฉพาะประเด็นของภาวะผู้นำ และการทำงานเป็นทีม ยังถือเป็นเรื่องหลักที่เป็นจุดอ่อนของคนปูน ณ เวลานี้
     
     บางคนอาจจะไม่เคยรับรู้มาก่อนเลยนะครับว่า เครือซิเมนต์ไทยเป็นลูกค้ารายใหญ่ของ Harvard Business School  แต่ละปีบริษัทลงทุนส่งผู้บริหารแต่ละธุระกิจไปรับการขัดเกลาบ่มเพาะการเป็นผู้นำ ในแบบอย่างที่สอดรับกับวิถีแห่งความเป็นคนปูนมากที่สุด และทันท่วงทีที่สุดในรอยต่อของการเปลี่ยนแปลง ถือเป็นการเตรียมความพร้อมอย่างสุดสุด ๆ ครับ  
     
        คุ้มไหมครับ ยิ่งกว่าคุ้มครับ
   
    ปัจจุบันเครือซิเมนต์ไทยมีกิจการในเครือราว 80 แห่ง ใช้กรรมการผู้จัดการนั่งบริหารรวม 40 คน ถ้าคิดจากยอดขายปี 2549 ที่ผ่านมา 2.5 แสนล้านบาท ผู้บริหารแต่ละธุรกิจสามารถทำเงินให้ไม่น้อยกว่า 7 พันล้านบาทต่อปี    
             
        ว้าว!

      ยังมีอีกครับ หลายปีที่ผ่านมานี้ ปูนกวาดเลือดใหม่ไฟแรงเกียรตินิยมอันดับ 1 ในประเทศ เข้าบริษัทหมดครับ ขณะเดียวกันปูนยังคิดโปรแกรมพิเศษสำหรับคนไทยและต่างชาติ ที่ใช้ทุนเองเรียนจบมหาวิทยาลัยชั้นนำอย่าง Wharton  หรือ Standford สามารถเข้ามาร่วมงานกับปูนโดยบริษัทจะคืนทุนเรียนทั้งหมดให้ในวงเงิน 5 ล้านบาท ทั้งในรูปของการจ่ายคืนทั้งก้อน หรือชดเชยให้ทุกไตรมาสเป็นเวลา 6 ปี
       
      ยอดนักพูดของโลกท่าหนึ่งเคยบอกไว้ว่า คนเราจะไม่ฉลาดขึ้นเวลาพูด
เมื่อเราฟัง ความรู้เราจะเพิ่มขึ้น
   
    พระเจ้าสร้างให้เรา มี 1 ปาก กับ 2 หู บางที พระองค์กำลังบอกให้เราทุกคน ฟังมากกว่าพูด
 
     ผมหวังว่าผู้บริหารยุคใหม่ Multi-skills ของปูนทุกท่านคงจะไม่ไว้ผมยาวนะครับ
        เพราะการไว้ผมยาว เส้นผมจะปิดหูทั้ง 2 ข้างจนเหลือแต่ปาก
             
                   ก็เลยพูดอย่างเดียว ไม่ฟังลูกน้อง อิ อิ
MarginofSafety
Verified User
โพสต์: 5786
ผู้ติดตาม: 0

จดหมายเปิดผนึก

โพสต์ที่ 14

โพสต์

งั้นผมขอเป็นคนดูแล้วกันนะครับพี่จ๋อยกับน้องเต้ย...
"Winners never quit, and quitters never win."
humdrum
Verified User
โพสต์: 1961
ผู้ติดตาม: 0

จดหมายเปิดผนึก

โพสต์ที่ 15

โพสต์

Mrs. B VS อาม่าจีฉ่อย


รูปภาพ

    กระทู้คุณ teetotal  เรื่องร้านจีฉ่อย "ล่อตา" เด็กช่างอ่านและขี้สงสัยอย่างผมมาก  
 ในห้องนั่งเล่น มักจะมีเรื่องราวดี ๆ อย่างนี้เสมอที่ทำให้ลมหายใจของคนเขียนหนังสือที่เพิ่งคลานเตาะแตะอย่างผมไม่เจือจางหายไปและวิ่งพลุ่งพล่านอยู่ภายในจิตใจจนอดที่จะนำมากล่าวถึงไม่ได้

      ถ้าผมเป็นนักย่อความที่ดีผมคงมีความสามารถย่อเรื่องของคุณ teetotal มาลงให้ท่านผู้อ่านในที่นี้ ...เสียดายผมไม่เก่งขนาดนั้น ผมเลยทำลิงค์ปลดปล่อยให้ท่านหลั่งไหลความรู้สึกเองดีกว่าครับ  
   
http://www.thaivi.com/webboard/viewtopic.php?t=25981

         
    Mrs. B หรือ คุณนายบี เป็นใคร?

                   รูปภาพ


    เป็นเจ้าของร้าน Nebraska Furniture Mart (NFM) ครับ

    ย้อนกลับไปปี 1993 วอเร็น บัฟเฟทต์ เดินเข้าไปในร้าน เนบาสก้า เฟอร์นิเจอร์มาร์ท (ขาย พรม เพอร์นิเจอร์ อุปกรณ์อิเลคโทรนิคส์ เครื่องใช้ในบ้าน ฯลฯ ) ซึ่งผูกขาดในโอมาฮานานกว่า 40 ปีแล้ว แล้วพูดกับมิสซิสบีซึ่งขณะนั้นอายุ 89 ปี ว่า วันนี้วันเกิดผม และต้องการจะซื้อร้านของเธอ เธอตอบกลับว่า ได้ เธอจะขายให้ในราคา 60 ล้านเหรียญ ห้ามต่อ วอเร็น ตอบตกลงทันที เดินออกจากร้าน ไปหยิบเช็คให้เธอ  วอเร็นบอกว่า เธอบอกผมเพียงว่าไม่มีหนี้คงค้าง มีเงินสดเท่าไร  เมื่อเธอถามผมว่าจะไม่ตรวจบัญชีหรือสินค้าคงคลังหน่อยหรือ ผมบอกไม่จำเป็น ผมเชื่อใจเธอ

          ในจดหมายถึงผู้ถือหุ้นของ Berkshire Hathaway ปี 1983 วอเร็นอธิบายเหตุผลที่ซื้อ NFM เขาบอกว่า ผมคงเลือกที่จะปล้ำกับหมีกรีซซ์ลี่มากกว่าที่จะทำธุรกิจแข่งขันกับคุณนายบีและลูก ๆ ของเธอ
       
       วอเร็นต์พูดได้คมคายมากครับ ว่า พวกเขาซื้อสินค้าอย่างฉลาด บริหารงานด้วยต้นทุนต่ำจนใครๆ คิดไม่ถึง และส่งผ่านค่าใช้จ่ายที่ประหยัดได้ไปให้ลูกค้า มันเป็นธุรกิจที่สร้างมูลค่าให้กับลูกค้า ซึ่งในที่สุดผลประโยชน์มากมายจะกลับคืนแก่เจ้าของ
         
        วอเร็นต์ พูดถึงการเรียนรู้จากเธอว่า....
      ถ้าเขามีทางเลือกที่เรียนต่อ MBA สักสองปีหรือทำงานกับเธอสักสองเดือน วอเร็นต์จะเลือกทำงานกับเธอมากกว่า  เพราะคุณสามารถเรียนรู้วิธีการทำธุรกิจโดยการเรียนรู้จากสิ่งที่เธอทำ    
        เมื่ออายุครบ 100 ปี คุณนายบียังคงมีสุขภาพแข็งแรง เธอตื่นนอน 6 โมงเช้า ไปถึงร้าน 9 โมง ทำงานจนถึง 5 โมงเย็น เธอจะนั่งบนรถเข็นไฟฟ้าซึ่งมีชื่อเล่นว่า "เดอะ โรส บี" ซึ่งเธอใช้ตรวจร้านทั่วร้าน พอเสร็จงาน เธอจะให้คนขับรถพาเธอขับรอบโอมาฮาเพื่อสำรวจลานจอดรถและร้านค้าของคู่แข่งจนถึง 3 ทุ่ม  เหตุผลที่เธอยังทำงานว่าเธอไม่ชอบกลับบ้าน เธอทำงานเพราะเธอไม่อยากตาย

        เป็นคนที่เก่ง อายุเกินจริงๆ ครับ อ่านเสร็จก็ทำความเคารพได้เลย
           
  เธอชอบพูดว่า ที่รัก ไม่ว่าคุณกำลังมองหาอะไรอยู่ อะไรที่คุณต้องการ ฉันจะขายให้ในราคาถูกๆ ให้ราคาที่ดีที่สุด  เธอบอกว่าลูกค้าชอบในสิ่งที่เธอพูด และจะกลับมาทุกครั้ง  เหตุผลที่ฉันประสบความสำเร็จคือ ฉันซื่อสัตย์ต่อลูกค้า พูดความจริง และ ขายสินค้าถูก

      หลักการดำเนินงานของคุณนายบี

** ลูกค้าต้องเป็นอันดับ 1 ตอบสนองความต้องการของพวกเขา และพวกเขาจะกลับมาอีก
**ให้เวลาของคุณ (ร้อยละ 100 ) กับลูกค้าในชั้นวางสินค้าขาย
**อย่าเสียเวลากับอย่างอื่น ยกเว้นช่วยเหลือลูกค้า
**ลูกค้าควรได้สิ่งที่พวกเขาสามารถประหยัดได้
**อย่าก่อหนี้สิน

       
    อ่านแล้วคิดถึงร้านจีฉ่อย ครับ นอกจากเรื่องทำเล ที่กลุ่มเป้าหมายมากพอ ขายที่ไหน-ขายใครแล้ว ผมสงสัยว่า หลักการบริหารของอาม่าจีฉ่อย ถึงแม้ไม่เหมือน 100 เปอร์เซ็นต์ ก็คงคล้ายคุณนายบี คุณนายบีคิดหลักการบริหารเองครับ และผมคงเดาอีกเช่นเคย ว่าหลักการบริหารในร้าน อาม่าจีฉ่อยคงคิดเองเช่นกัน ไม่มีสอนที่ไหน

                               รูปภาพ
                              อาม่าจีฉ่อย ท่ามกลางนักศึกษา

       วามได้เปรียบเชิงแข่งขันยั่งยืนของจีฉ่อย คงมาจากเป็นเจ้าของตึกซึ่งซื้อไว้นานแล้ว  ด้วยพื้นที่ร้านไว้เก็บของแค่ 30 ตารางเมตร คงชนะ 7-11 ไม่ได้ แต่ชนะตรงความหลากหลายของสินค้าที่มีให้ลูกค้า คงไม่ได้เปรียบจากการซื้อสินค้าเข้าร้านเป็นจำนวนมาก ส่วนลดๆ สูง ๆ แล้วขายราคาถูก  ต้นทุนคงไม่ต่ำกว่าคู่แข่ง ทางร้านจึงต้องมีของแถมติดมือให้เสมอ ถึงแม้กำไรขั้นต้นจะต่ำ แต่ได้รับการชดเชยด้วยอัตราหมุนที่สูง
       เกือบทุกซอย ทุกหมู่บ้าน จะมีร้านขายของชำผูกขาดในพื้นที่ คล้าย ๆ ร้านจีฉ่อยอยู่เสมอ บางทีหลายปีที่ผ่านมา ร้านขายของชำกว่า 60,000 กว่าราย คงไม่สูญหายตายจากไป ตั้งแต่ ห้างใหญ่ ๆ  โลตัส แมคโคร คาร์ฟู มาเปิดในบ้านเรา ถ้าร้านเหล่านั้นเอาหลักบริหารแบบคุณนายบี และ อาม่าจีฉ่อย มาใช้

               นักธุรกิจท่านหนึ่งเคยบอกว่า
    สินค้าเหมือนวงกลมวงหนึ่งครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายกลุ่มหนึ่ง  แต่วงกลมเหล่านี้ทุกวงเมื่อมาจัดเรียงติดกัน จะเกิด ช่องว่าง เล็ก ๆ ระหว่างวงกลมเกิดขึ้นเสมอ
               
              และนั่นคือ โอกาส ทางธุรกิจ
humdrum
Verified User
โพสต์: 1961
ผู้ติดตาม: 0

จดหมายเปิดผนึก

โพสต์ที่ 16

โพสต์

.                                                  รูปภาพ
                     
                                                   พระวิสิทธิสังวรเถร

เอกลักษณ์พิเศษ

รูปภาพ


      คุณนายบีอายุยืนจังครับ  หรือเพราะทำงานเลยอายุยืน ผมเคยได้ยินพ่อบอกว่า ถึงอายุมากแล้วก็ไม่อยากหยุดทำงาน สมองมันจะฝ่อ  ต่างจากป่าไก่ข้างบ้าน เกษียนแล้วอยู่เฉย ๆ  ป่าไก่แกน่าสงสารครับไปตรวจเลือดอาทิตย์ก่อนมาบ่นให้แม่ผมฟัง ว่าผลเลือดเต็มไปกรดยูริก คอเลสเตอรอล น้ำตาล เส้นเลือดหัวใจตีบ แกเดินจ้ำอ้าวไม่กี่นาที ก็ฮอบแฮก ๆ ต้องนั่งพ่นสเปรย์ขยายหลอดลมเข้าปากหายใจทุกที หลัง ๆ แกเริ่มปลง แต่งชุดขาวไปวัดทุกวันพระตั้งแต่เช้า บ่ายๆ ถึงกลับเข้าบ้าน

        พูดถึงวัด ผมมีหนังสือธรรมะออกแนวขายหัวเราะมาแนะนำครับ เป็นหนังสือที่ตลกมาก  เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่สนใจธรรมะมาก่อน  หรือผู้ที่ไม่รู้จักพระพุทธศาสนา มีธรรมะสอดแทรกไปกับเรื่องใกล้ๆตัวอย่างแนบเนียนจูงใจให้ผู้ฟังเพลิดเพลินติดตามเรื่องตลอดเวลา    
        หนังสือเล่มนี้ ชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า " Opening the Door of Your Heart"  เขียนโดยท่านอาจารย์พรหมวังโส หรือ พระวิสิทธิสังวรเถร ท่านเป็นชาวอังกฤษครับ เป็นศิษย์หลวงปู่ชา ก่อนจะไปสร้างวัดป่าโพธิญาณ แถวๆ เมืองเพิร์ธ ประเทศออสเตรเลีย
      ชื่อไทยว่า "ชวนม่วนชื่น" ครับ ผมทำลิงค์ไว้ข้างล่างนี้แล้ว อ่านสบายตาและเบิกบานใจ  จะเสียดาย...ถ้าไม่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้ครับ

      http://www.thawsischool.com/dhamma-book ... nchaen.pdf


    ในหนังสือมีตอนหนึ่งผมชอบเรื่องนี้มากเป็นพิเศษ เรื่องอิฐ 2 ก้อน ประมาณว่า...
    แรก ๆ ท่านสร้างกำแพงวัดก่ออิฐถือปูนเอง พอสร้างเสร็จสังเกตว่ามีอิฐอยู่ 2 ก้อน วางไม่ตรงแนวจะเรื้อก็ไม่ได้ เพราะเจ้าอาวาสไม่ให้รื้อ ท่านกลุ้มใจมาก ต้องเดินมามองเจ้าอิฐ 2 ก้อนนี้อยู่ตลอดเวลา จนวันหนึ่งมีโยมมาทักว่ากำแพงสวย ท่านตกใจมาก เลยถามว่า สวยตรงไหน เจ้า 2 ก้อนนั้นมันคดไปคดมา โยมไม่เห็นหรือ โยมคนนั้นพูดทีเดียว ท่านเปลี่ยนทัศนคติทั้งหมดเลย โยมพูดอะไรทราบไหมครับ



                     

           ( ผมปล่อยให้ความว่างปล่าวทำงานของมันก่อนนะครับ )



             




             ตื่นเต้นไม่ครับ

           
         
            ความว่างเปล่าวและความเงียบมักจะทำงานนี้ได้ดีเสมอ
       


         

         ยมตอบว่า เห็นว่า 2 ก้อนมันคด แต่อีกเป็นร้อยเป็นพันมันไม่คด มันสวยงามมาก ทำไมต้องไปมอง 2 ก้อนนั้นด้วย  พระอาจารย์พรหมบอกท่านตาบอดมา 3 เดือน มองแต่อิฐ2 ก้อน จนไม่เห็นข้อดีอื่นๆ มากมายของกำแพงเลย  ท่านสอนว่าเอาเรื่องนี้ไปใช้ในชีวิตประจำวัน อย่างเช่น อย่ามัวไปมองแต่อิฐสองก้อนในคู่ชีวิตจนมองไม่เห็นอิฐที่ดีอีกมากมาย อย่าให้อิฐเพียงแค่นั้นต้องทำให้เราทำลายกำแพงชีวิตคู่ดี ๆ จนพัง

           ท่านบอกเจ้าสองก้อนนั้นถือว่าเป็น เอกลักษณ์พิเศษ ก็แล้วกัน ให้รู้จักมองหาข้อดีจากข้อบกพร่อง เพราะเอกลักษณ์พิเศษส่วนใหญ่เกิดจากความผิดพลาด

                    หอเอนพิซซ่า
        ถ้าตรง ๆคงไม่ติด1ใน Wonders of the World
                         Mrs. B  
         สงครามกลางเมืองสมัยพระเจ้าซาร์ในรัสเซียและความลำบากของการเป็นชาวยิวในอเมริกาทำให้เธอมีหัวใจที่แข็งแกร่ง                                              
               
                   พี่โหน่ง  เป้นไปได้ไหมพี่
        ไม่น่าเชื่อพี่โหน่งกว่าจะอ่านออกเขียนได้คล่องก็ตอน ป.5
        ครูเปลี่ยนมือข้างเขียนจากซ้ายเป็นขวาตอน อ.2 ทำให้พี่เค้าพูดติดอ่าง สมองพัฒนาการช้า สอบได้ที่โล่ทุกปี ป.4 ยังดูนาฬิกาไม่เป็น เขียนอ่านยังไม่ค่อยได้

        แต่พออ่านออก หนังสืออะไรรู้ไหมที่พี่เค้าอ่านครั้งแรก

                 เอ็นไซโครพิเดียพี่
humdrum
Verified User
โพสต์: 1961
ผู้ติดตาม: 0

จดหมายเปิดผนึก

โพสต์ที่ 17

โพสต์

ความรักของ San Valentino


รูปภาพ

 
        ผมไปแลหลังกระทู้ "ความรักคืออะไร" ของคุณ ForrestGump

      http://www.thaivi.com/webboard/viewtopic.php?t=25987

  ผมชอบอ่านกระทู้อย่างนี้ คนอ้วนถึงแม้ตัวใหญ่แต่มักจะเป็นคนอ่อนไหวครับ น่าเสียดายครับที่มีคนตอบน้อยไปหน่อย ถ้าจะให้เลือกคำตอบใดคำตอบหนึ่งของทุกท่านที่ตอบในกระทู้นั้น ไม่ว่าจะเป็นคุณ Ano, Macarian, Zionism, หรือ Raphin Phraiwal ผมคงเลิกไม่ถูก ขอตอบแบบคนเจ้าชู้ว่า
             ข้อ จ. ถูกทุกข้อก็แล้วกันครับ

    หลับหูหลับตานั่งนึกว่าถ้าเป็นท่าน San Valentino หรือที่เราเติบโตและคุ้นเคยกับสำเนียงฝรั่งเศสว่า Saint Valentine มากกว่า ท่านจะให้ความหมายว่า ความรักของท่านคืออะไร?

       ไปย้อนอดีตกันดีกว่าครับ

    เรื่องนี้เกิดขึ้นในสมัยกษัตริย์โรมันที่มีนามว่า คลอดิอุสที่2 Claudius II ตอนนั้นมีสงคราม ผู้ชายทุกคนต้องเป็นทหาร  พระองค์เชื่อว่าการมีครอบครัวของทหารทำให้กองทัพอ่อนแอ จึงสั่งว่าในแผ่นดินของพระองค์จะไม่มีการแต่งงานเป็นอันขาด  
   
     San Valentino ตอนนั้นเป็น Bishop ครับ ได้ลักลอบทำพิธีแต่งงานแบบคริสต์ให้หลายต่อหลายคู่ในสถานที่ลับตาคน ท่านสาธุคุณยังแอบเอาอาหารไปวางไว้หน้าบ้านคนยากจน ในสมัยโรมันศาสนาคริสต์ถือว่าเป็นสิ่งต้องห้ามครับ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรงมากสำหรับการเข้ารีตเป็นคริสต์ หากถูกจับได้ ถ้าไม่เลิกนับถือคริสต์ จะถูกประหารทันที
     
     ท่าน San Valentino จะเหลือหรือครับ โดนจับยัดห้องขัง ระหว่างถูกจองจำ ยังมีโอกาสไปกิ๊กสาวที่ชื่อ จูเลีย แต่จูเลียตาบอดมองไม่เห็น มีพ่อเป็นผู้ขุม (มิน่าถึงเข้าไปได้) พ่อชื่อแอสเทอริอุส พอพ่อรู้โกรธมาก และให้เลิกยุ่งกับ San Valentino โดยเด็ดขาด
   
     แน่นอนครับ เรื่องนี้ถึงหูกษัตริย์คลอดิอุสที่2 ทรงกริ้วมาก สั่งให้ Valentino มาเข้าเฝ้าและให้โอกาสสุดท้ายในการเลิกนับถือคริสต์แล้วหันมานับถือเทพเจ้าโรมันแทน  
    ทานสาธุคุณ San Valentino ตอบกลับไปว่า พระองค์ต่างหากที่ควรเลิกนับถือเทพเจ้าและหันมานับถือคริสต์
     
           วันรุ่งขึ้นโดนตัดหัวทันทีครับ
       วันนั้นเป็นวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 270

    ในคืนก่อนวันประหาร Valentino ได้เขียนจดหมายถึง จูเลีย หญิงอันเป็นที่รัก ลงท้ายในจดหมายว่าเป็นขอความสั้น ๆ ที่เป็นอมตะจนทุกวันนี้ว่า
                      From your Valentino
     
   ตอนหลัง Pope Julius I ได้สร้างโบสหลังใหญ่ครอบสุสานเขาไว้ใกล้เมือง  Ponte Mole เพื่อเป็นอนุสรณ์ให้ San Valentino ครับ โบสแห่งนี้มีชื่อว่า  Porta del Popolo  ภายหลัง กระดูก San Valentino จึงถูกย้ายไปอยู่ที่โบส  Saint Praxed ในกรุง Rome ตราบจนปัจจุบัน
     
      ในสมัยนั้น คนโรมันไม่ได้เรียกท่านสาธุคุณว่า Valentine ครับ แต่เรียกว่า "Galantine"  มาจากคำว่า "gallant"  ความหมายทำนองว่า เจ้าชู้ ตอนหลังคนฝรั่งเศสในยุคกลางออกเสียง "G" กันลำบากจึงเปลี่ยนเป็นชื่อ "Valentine" ครับ
         
      ผมรู้แล้ว ความรักของท่านคืออะไร?
       ท่านมีความรักกับจูเลีย
     ท่านคงได้สมหวังกับความรัก และคงไม่ถูกประหาร และ คงไม่มีตำนานของท่านให้พวกเราอ่าน และ ...และ.....และ...
        ถ้าท่านเลือกที่จะนับถือเทพเจ้าโรมัน
  แต่มี "ความรัก" อย่างอื่นที่ยิ่งใหญ่กว่า "ความรัก" ของท่านที่มีให้กับจูเลีย
       
         คือ"ความรัก" ที่ท่านมีต่อพระเจ้าครับ
    ท่านจึงยอมตายเพื่อพระเจ้า ไม่ใช่เพื่อหญิงที่ตนรัก


      รั้งหนึ่งพี่อ้อย พี่สาวผมเองไปเดินเที่ยวที่มิลาน เดินๆ อยู่ดี ๆ ไม่รู้หนุ่มอิตาลีที่ไหนเข้ามาจับก้น ยิ้มให้แล้วเดินจากไป พี่อ้อยบอกหล่อมาก แต่ก็เผลอด่าไล่หลังเป็นภาษาไทยไปด้วย ไกด์บอกที่นี่เค้าเป็นอย่างนี้ ต้องระวัง "ก้น" ตัวเองให้ดี เพราะเค้าถือว่า Italy เป็นสถานที่ต้นกำเนิดวัฒนธรรมแห่งความรัก และอิตาลีเป็นประเทศที่ร่ำรวยความรักมากที่สุดในโลก
   
        การ "จับก้น"  จึงถือเป็นการแสดงความรักให้แก่กัน
humdrum
Verified User
โพสต์: 1961
ผู้ติดตาม: 0

จดหมายเปิดผนึก

โพสต์ที่ 18

โพสต์

สินทรัพย์      


 รูปภาพ
 


             กระทู้เพื่อนๆ คือ สินทรัพย์

        นี่คือการยกระดับงานเขียนไปอีกขั้นหนึ่งของ พี่จ๋อย
      เดี๋ยวนี้พี่จ๋อยไม่คิดเรื่องเอง  เริ่มชำเลืองมองเรื่องชาวบ้านมาพรีเซ็นเตชั่น
ค่ากรีนฟีไม่เสีย   ดอกเบี้ยก็ไม่ต้องจ่าย ปลอดภาษีดีจริงๆ ครับ
       ผมเริ่มตาถลนจ้องดูกระทู้ชาวบ้านมั่ง........


      ในเว็บนี้ใครเป็นเกย์บ้าง           เทคนิคพิชิตน้องเมีย
  คู่มือตั้งชื่อเมีย ตั้งอย่างไรให้ถูกโฉลก
      เงินสำคัญกว่าเมีย จริงไหมคับ     ทำไงให้น้องสมชาย ตัวโตขึ้น
เทคนิค "ขยับแขนนิดเดียวเสียวสุดๆ"    เย็นนี้ไปอาบน้ำที่ไหนดี
    หาทุนการศึกษาค่ะ     ภาพลับสุดยอด...พี่โหน่งเผด็จศึกน้องตั๊กที่โพเซดอน
ถ้า...แข็งตัวเวลาที่ไม่ต้องการ ทำไงให้หายแข็งกันคับ
    ถอดเสื้อผ้า คุณใช้เวลากี่นาที  


   

            เต้ยเจอแล้วครับ!

   ขอคำแนะนำเขียน essay  ของท่าน BHT ครับ
http://www.thaivi.com/webboard/viewtopic.php?t=26020

          จะเขียน Essay ยังไง เออ!   ผมกางพิมพ์เขียวให้ดูดีกว่าครับ

        อาจารย์นิเวศน์
   ตอนเรียนคณะวิศวะ มหาวิทยาลัยจุฬา ฯ  อาจารย์นิเวศน์ เขียน อาจารย์ ไพบูลย์  พูด ไปโต้วาทีที่ไหน ชนะหมด  ปรมาจารย์การลงทุนท่านนี้  เขียน มานานมากกว่า 30 กว่าปีแล้ว ไม่ใช่พึ่ง เขียน  
                 
       พี่ เว็บ (WEB)  
   ตอนเด็ก ๆ  อ่านหนังสือสาระพัด ทุกประเภท อ่านเสร็จ ระเห็จเอาไปวางขาย  ได้เงินมายิ่งอิ่มเอิบปิติ ไปซื้อหนังสือมาอ่านต่อ  หนังสือแปลของพี่เว็บ ยิ่งอ่านยิ่งชุ่มหัวใจ ภาษาการแปลช่างหอมหวานไม่มีใดเทียม   ผมเคยถามพี่เว็บถึง สูตรเด็ด เพื่อตัวเองสักวันจะเริ่มลุยเข้ามาในดงน้ำหมึกอย่างมีอนาคตสดใสเหมือนพี่เว็บบ้าง พี่เว็บให้ศีลให้พรพึมพำในลำคอประโยคหนึ่งครับ เป็นอะไรที่ชาตินี้ ผมไม่มีวันลืม
       
      จะแปลหนังสือ ไม่จำเป็นต้องเก่งภาษาอังกฤษ  แต่ต้องเก่งภาษาไทย
                             
     พี่โหน่ง
  เขียน ไดอาลี่ตั้งแต่เด็ก ๆ ที่เขียนเพราะแกบอกไปอ่านเจอสุภาษิตฝั่งประโยคหนึ่งที่ว่า  จงเป็นนายคำพูดของตัวเอง แกคิดแบบเด็ก ๆ เลย ขัง คำพูดของตัวเองไว้ในสมุดบันทึก ไม่ให้ คำพูดตัวเอง ออกมาข้างนอก
         
      นักเขียนเก่ง ๆ ไม่มีเส้นทางบายพาส ครับ  

    กฏเหล็กน้ำพี้ที่ทุกคนเหมือนกัน คือ ตอนเป็นเด็กที่ชอบอ่านหนังสือเป็นชีวิตจิตใจ หลงใหลในมนต์ขลังของตัวอักษรตั้งแต่เด็กเหมือนกัน

    ถ้าผมมีลูก ผมจะลงทุนสร้างห้องสมุดกลางบ้าน  ให้ลูก ๆฝึกกายกรรมเปียงยาง ลูก ๆในบ้านพอโตขึ้นรู้ประสีประสา ปีกกล้าขาแข็ง จะได้แอบปีนแขย่งเก็งกอยปีนเก้าอี้หยิบหนังสือบนหิ้งของผมมาอ่าน  รามเกียรติ์ สามก๊ก ไซอิ๋ว ซ้องกั๋ง รพินทร์ ไพรวัลย์ พล นิกร กิมหงวน    เชอร์ล๊อค โฮม  ฯลฯ   เรื่องเหล่านี้เป็นฮีโร่ในดวงใจของเด็กหนุ่มเด็กสาวได้ไม่ยากครับ....ชนิดว่าฝันแล้วฝันอีก ผมจะซื้อมาไว้ให้หมดเลย      
     
          งานเหล่านี้เป็นบทเรียนที่มีค่าสำหรับเด็กๆ ครับ  

      อ้อ! ผมลืมไป  นิยายคลาสิคโรแมนซ์ ของ โสภาค สุวรรณ   ก็ควรมีไว้ติดหิ้งเป็นหนังสือสามัญประจำบ้านครับ อย่าง  รักเร่ "เงาราหู" และ "พรานทะเล" สนุกดีครับ   "ความลับบนแหลมไซไน ผมชอบที่สุด แต่ตอนนี้หาซื้อชุดใหม่ยังไม่ได้เลย   งานของคุณโสภาค สุวรรณถึงแม้จะเป็นนิยาย แต่คุณโสภาคนำความรู้จากเรื่องต่าง ๆ มาแต่งเป็นนิยาย ท่านเป็นนักเดินทางตัวยงและเป็นนักเก็บข้อมูลครับ  พอจินตนาการของท่านมาผนวกกับความรู้มากมายที่มีอยู่  งานของท่านจึงเป็นผลงานที่มีคุณค่ายิ่งนัก
   

            การอ่าน ของเด็กๆ   คือ สินทรัพย์ ของพวกเขาครับ
            รูปแบบ สินทรัพย์ อาจจะแตกต่างจาก เชิงธุรกิจ
                  แต่ที่เหมือนกันคือ คุณสมบัติ
         เพราะคุณสมบัติที่ดีของ สินทรัพย์ คือ การความสามารถในการเปลี่ยนเป็นรายได้ครับ
humdrum
Verified User
โพสต์: 1961
ผู้ติดตาม: 0

จดหมายเปิดผนึก

โพสต์ที่ 19

โพสต์

เรียนรู้ จาก Leonado Da Vinci


รูปภาพ

    ปะป๋า หนูเกิดมายังไง?     ทำไมหนูไม่มีปีกเหมือนนก?
          ทำไมปลาไม่มีขา?   ทำไมดอกไม้มีหลายสี?   ทำไม..ทำไม...  

                 
     ลายๆ ท่านที่มีลูกเล็ก ๆ จะต้องร้อง"อ๋อ!" ขึ้นมาทันที!
     ความใฝ่รู้แบบไม่จำกัดของเด็ก ๆ กับสิ่งต่างๆ ในชีวิตประจำวันรอบ ๆ ตัวพวกเขาเป็นสิ่งที่บริสุทธ์และมีสุนทรียะครับ

     ผมเชื่อว่าพวกเราตอนเด็ก ๆ มีสิ่งนี้เหมือนกันหมด เราเกิดมาพร้อมมีความอยากรู้อยากเห็นเหมือน ๆ กัน แต่ประเด็นสำคัญอยู่ที่ว่า  เราพัฒนาและใช้ความอยากรู้อยากเห็นนี้เพื่อให้เกิดประโยชน์แต่ตัวเองได้มากน้อยเพียงใดเมื่อเราเติบโตขึ้น  ในช่วงแรก ๆ เราเต็มไปด้วยความกระหายในความรู้อย่างไม่รู้จักพอตั้งแต่เราเกิด เราทดลองค้นคว้าเหมือนนักวิทยาศาสตร์ตัวน้อย  และทันทีที่เริ่มพูดได้  พวกเรามักจะจีบปากจีบคอถามคำถามแล้วคำถามเล่า "ทำไม.."  "ทำไม..."  "ทำไม..."
          เมื่อผมเป็นเด็ก "ไอ้มดแดง" และ "เลโอนาโด ดา วินซี" เป็น "พิมพ์เขียว" ของผมครับ พอโตขึ้นมา มนุษย์หัวมด ขึ้นเขาลงห้วยแล้วก็หล่นหายไป แต่หัวใจผมที่มีต่อเลโอนาโดยังคงอยู่และพอกพูนขึ้นเรื่อย ๆ  แต่หลอดเลือดหัวใจผมก็ไม่เคยตีบตันซะที!  
       เลโอนาโดนอกจากเป็นจิตรกรผู้มีชื่อเสียงที่สุดคนหนึ่งในเรื่องราวของงานศิลปะแล้ว ยังมีความรอบรู้ในศาสตร์หลากหลายแขนงครับ เป็นทั้งนักวิทยาศาสตร์  นักกายวิภาค สถาปนิค นักพฤกษศาสตร์ วิศกร นักขี่ม้า นักประดิษฐ์ นักภูมิสาสตร์ นักธรณีวิทยา นักคณิตศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์การทหาร นักดนตรี จิตกร นักปรัชญา นักฟิสิกส์ และ นักรักร่วมเพศ!
     
     รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ รูปภาพ

    ผมสงสัยตลอดเวลา พระเจ้าจะสร้างบุคลเยี่ยงนี้ขึ้นมาได้อีกไหม?

     หนู้น้อยลีโอนาโดเกิดที่หมู่บ้านวินซี เมื่อ ค.ศ.1452  เป็นบุตรนอกสมรสของ เปียโร ดาวินซี ผู้เป็นทนายของหมู่บ้าน กับเด็กสาวที่ชื่อ คาทาริน่า ซึ่งเขามีภรรยาแล้วและมีบุตร 2คน เนื่องจากมารดาของเลโอนาโดมีเชื้อสายของพวกอีทรัสกัน ซึ่งชาวอิตาเลียนรังเกียจและยังถือว่าเป็นเมียลับ จึงต้องพาลีโอนาโดลบซ่อนตัวอยู่ในกระท่อมเล็กๆบนภูเขาเล็กๆใกล้หมู่บ้าน โดยพ่อของเลโอนาโดไม่ค่อยมีเยื่อใยเท่าใด
         ในวัยเด็กการที่ต้องอาศัยอยู่อย่างโดดเดี่ยวโดยที่ไม่มีอะไรจะเล่น เด็กน้อยผู้มีอารมณ์ร่างเริง แต่แฝงความอยากรู้อยากเห็น ได้เก็บเอาผลไม้ป่า สัตว์เล็กๆจำพวกกิ้งก่ามาพิจารณาผ่าตัดศึกษากายวิภาค ผลไม้แห้งถูกแยกจัดเป็นหมวดหมู่  จนเมื่อเขาโตขึ้นบิดาจึงมารับตัวกลับไป โดยแลกกับการที่มารดาของเขาจะได้รับกรรมสิทธิ์ที่ดินบนเขากับกระท่อมหินหลังนั้น
             
         ไม่รู้ว่าสาเหตุที่แม่เลี้ยงคนเดียวมาตลอดหรือปล่าว ลีโอนาร์โดจึงออกอาการเป็น"สาว" ครับ เขาถูกกล่าวขานว่าเป็นพวก "รักร่วมเพศ"  มีการสันนิษฐานกันว่า ภาพ Mon Lisa สาวน้อยที่มีรอยยิ้มแสนหวานงามปานกลีบกุหลาบและแฝงไว้ด้วยปริศนาอมตะแห่งอิสตรีผู้นี้ไม่ใช่ผู้หญิง แต่เป็นภาพเหมือนจำแลงของ ลีโอนาร์โด ดาวิน เองที่แปลงกาย แต่งตัวเป็นสตรีเพศ  
   
    ยังมีคนตั้งข้อสังเกตุไว้อีกด้วยว่า ลายปักขดเชือกที่รอบคอเสื้อของ โมนา ลิซ่า อาจเป็น "ลายเซ็นลับ" ของ ดาวินซี่เองก็ได้  เพราะในภาษาอิตาเลี่ยนคำว่า "ขดเชือก" จะตรงกับคำว่า "วินชีเร่" (Vincire) ส่วนในภาษา Latin มีความหมายว่า  to bind การปิดบังทำให้มองไม่เห็น  or to twist ที่แปลว่า การเบี่ยงเบน  

     ลีโอนาร์โด "รัก" ภาพนี้มากครับ ไม่ยอมพรากจากภาพเขียนนี้เลย เขาได้นำติดตัวไปตลอดเวลา เมื่อครั้งที่ออกจากกรุงโรมเดินทางมาที่ฝรั่งเศสเพื่อเป็นศิลปิน แห่งราชสำนักของพระเจ้าฟรานซิสที่ เขานำมันติดมาด้วยพร้อมกับทรัพย์สินสินมีค่าอื่นๆ ที่เขารักหวงแหน  ด้วยเหตุนี้เอง ผู้ครอบครองภาพ โมนา ลิซ่า คนแรกก็คือกษัตริย์ฝรั่งเศส ซึ่งตอนหลังโปรดให้นำภาพไปประดับในพระราชวัง แต่เมื่อจักรพรรดินโปเลียนขึ้นครองราชย์ ภาพโมนา ลิซ่า จึงถูกย้ายมาพำนักในห้องพระบรรทมของพระองค์  และเรียกอย่าง สนิทสนมว่า "มาดาม ลิซ่า"
   
   ครั้งหนึ่ง ซิกมันด์ ฟรอยด์ เคยตีความหมาย "โมนา ลิซ่า" ไว้ว่า ภาพนี้

" คือสิ่งที่หลับไหลภายในจิตใจ และความทรงจำในอดีตของเขาที่ผ่านมานานแล้ว รอยยิ้มนี้ถอดแบบพิมพ์ มาจากคาเตรีนาผู้ที่เป็นแม่"    
   
       โมนาลิซ่า โดนอุ้ม!

      ใช่ครับ! เธอเคยโดนอุ้มด้วยครับ!

   ปี ค.ศ. 1911 มีการโจรกรรมภาพ Mona Lisa ออกจากพิพิธภัณฑ์ลูฟร์ ซึ่งกว่าจะค้นพบเธอ และจับกลุมผู้โจรกรรมได้ก็ต้องใช้เวลาถึง 2 ปี ปรากฎว่าคนที่โจรกรรมโมนา ลิซ่าไป ก็คือคนที่ทำความสะอาดในพิพิธภัณฑ์นั่นเอง สถานที่ค้นพบ โมนา ลิซ่า นั้นก็คือเมือง ฟลอเรนซ์บ้านเกิดของเธอนั่นเอง ในปัจจุบันนี้โมนาลิซ่าได้รับการ ทะนุถนอมเป็นอย่างดี ในตู้กระจกปรับอากาศและกันกระสุน ซึ่งไม่มีใครที่จะสามารถลักพาตัวเธอได้อีกต่อไป มีสิ่งที่น่าสังเกตุก็คือ ตั้งแต่การหายลึกลับของ โมนา ลิซ่าเป็นระยะเวลายาวนานในคราวนั้น มีผู้ที่ไปดูโมนา ลิซ่าบางคนบอกว่า รอยยิ้มของเธอนั้น "เปลี่ยนไป" โดยที่ตั้งข้อสงสัยว่า เธออาจไม่ใช่ โมนา ลิซ่า ตัวจริง.....
       
       ดูไม่เป็นครับ ผมไปดูปี 2527 ยังจำได้ว่า รู้แต่ว่าการได้ยืนอยู่ต่อหน้าภาพที่ลีโอนาโดโปรดที่สุด ได้เห็นรูปที่เขาเพ่งดูทุกวี่วัน ผมรู้สึกอิ่มเอิบไปด้วยความยำเกรง ความเคารพ ความสงสัย ความเศร้า และ ความรู้สึกอยากจะบอกว่าขอบคุณที่นอนกับผมทุกคืนตลอดหลายปีที่ผ่านมา!    
     
       ปัจจุบันนี้ ผู้คนรุ่นใหม่ๆ เกือบที่จะไม่ได้แสดงความคิดเห็น ความรู้สึก และทัศนคติต่อ โมนา ลิซ่า เสียแล้ว แต่คนรุ่นใหม่ ๆ สามารถเรียนรู้จากเขาได้ครับ  นักคิดผู้ยิ่งใหญ่ท่านนี้ชอบถาม คำถาม และถามอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต ความช่างสงสัยแบบเด็ก ๆ ความกระหายใคร่รู้อย่างไม่รู้จักพอ ความสนใจในเชิงกว้างและลึกของเขา และ ความมุ่งมั่นที่จะทดสอบความรู้ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันแล้วนั้นไม่เคยลดลงเลย เขาแปรเปลี่ยนความหลงใหลจนเป็นบ่อเกิดแห่งความเป็นอัฉริยะ  
     
     พวกเราจะรักษา ความกระหายใคร่รู้ แบบลีโอนาโดให้คงไว้ในตัวเราได้อย่างไร?
   
  บางทีเราอาจต้องคิดว่าเรากลับไปเป็นนักเรียนอีกครั้ง  ให้ลูก ๆ  เป็นแบบอย่างในการฟื้นความคิดที่เปิดกว้างและจิตใจแห่งการแสวงหาให้กลับคืนมาใหม่  เมื่อเราเข้าถึงความบริสุทธิ์ และความกระตือรือร้นอันเป็นวิธีการในการเรียนรู้ของเด็ก บางทีเราอาจจะรักษามันไว้ได้ดีขึ้น
          บางทีการถามคำถามอย่างไม่หยุดหย่อนของลูกๆ  จะช่วยทดสอบความอดทนของเรา  บางทีถ้าใจเราเปิดกว้าง ความอดทนก็จะเกิดขึ้นตามปรารถนา  เราจะกลายเป็นคนที่เรียนรู้   เรียนรู้จากลูก ๆ ที่ใช้ อะไร เมื่อไหร่  ใคร   อย่างไร  และ ที่ไหน เป็นแนวทางในแก้ปัญหาเชิงสร้างสรรค์
          เพื่อกระตุ้นให้ลูก  ๆ ถาม คำถาม และทำเช่นนี้ต่อไปเรื่อย ๆ จนโต  เมื่อลูก ๆ เลิกเรียนกลับถึงบ้านในวันนี้  บางทีผมจะควรจะคิดอะไรแบบสร้างสรรค์แล้วเริ่มถามลูกว่า


                      วันนี้ลูก ถาม อะไรครูที่โรงเรียนมาบ้าง
                         
     
              Cest Moi. Merci Leonado Da Vinci

...................................

     ปัจุบัน Mona Lisa อยู่ที่ Muse du Louvre ค่าเข้าดูประมาณ 800 กว่าบาทครับ ถ้าอายุไม่ถึง 26 รอเข้าวันศุกร์หลังหกโมงเย็นครับ เข้าฟรีตลอดงาน สำหรับประชาชนทั่วไปอายุมากว่า 26 สามารถเข้าฟรีได้ในวันอาทิตย์แรกของเดือน
  http://www.louvre.fr/llv/commun/home_fl ... mLocale=en
humdrum
Verified User
โพสต์: 1961
ผู้ติดตาม: 0

จดหมายเปิดผนึก

โพสต์ที่ 20

โพสต์

8 โมงเช้า วันอังคาร

รูปภาพ


     
      ถึงแม้จะจากกันด้วยรอยยิ้ม แต่เช้านี้ ผมก็อดเศร้าไม่ได้ เสียงแห่งความเงียบ เริ่มเข้าครอบงำอีกครั้ง แล้วผมก็ถูกทิ้งให้เหลือตัวคนเดียวอีกครั้ง

เฮ้อ...

    เรื่องระหว่างผมกับเธอเกิดขึ้นเมื่อคืนครับ..........


           รูปภาพ
       
     
        "น่ารักน่าชังจริง ๆเลย"  

    เอ่ เอ้ เอ่ เอ้ พอเธอหลับสนิทแล้ว ผมก็ค่อยๆ ประคองอย่างระมัดระวังแล้วพาไปส่งกลับบ้าน
   
    บ้านของเธออยู่ไหน จริงๆ แล้วผมไม่เคยไปเยี่ยมมาก่อน รู้แต่ว่า เห็นเธอชอบออกมาจากท่อในห้องน้ำ
    ก็เลยคิดว่า ถ้าเอาเธอส่งลงโถส้วม ก็น่าจะหาทางกลับต่อได้เอง
   ผมปล่อยเธอลอยคอลงในโถส้วม กดน้ำ เธอค่อยๆ หมุนติ้ว ๆๆ ลงคอห่านไป
         ดูตาเธอแดง ใครแกล้งมาหรึอ บอกพี่ได้นะ
                อ้าว ไม่ทันแล้ว
         ผมโบกมืออำลาด้วยใบหน้าเบิกบาน
              "บ๊าย บาย โชคดีน้า !!
วันหลังมาเล่นกันใหม่น้า!!" ถึงแม้จะจากกันด้วยรอยยิ้ม แต่ในใจผมก็อดเศร้าไม่ได้
     
       มีใครเคยเห็นเธอแก่ตายบ้างครับ?

   ปกติผมเห็น จะนอนหงายก็ตายเรียบร้อยแล้ว  ผมเคยไปเห็นเพื่อนเธอตอนกำลังจะตายด้วยครับ สงสัยคงลื่นห้องน้ำหัวฝาดพื้นตายมั้ง หรือโดนลอบสังหาร อาจจะโดนวางยาก็เป็นไปได้ คือเธอไม่ค่อยเดินละครับ ผมลองเอาน้ำราดดูครับ เธอก็แทบจะไม่ขยับเลยครับเดินนิดเดียว
      ผมเห็นว่าเธอมี ขอโทษนะครับ ที่ไม่สุภาพ อุจจาระออกมาด้วย
 
   ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรใครพอจะรู้บ้างครับว่าทำไมตอนเธอกำลังจะตายต้องอุจจาระออกมาด้วย อุจาระไม่มีสี สงสัยเป็นตัวผู้ แต่บางตัวสีส้มด้วย สงสัยตัวเมีย ตัวเมียมีแคปซูล แคปซูลมีไข่ ไข่มีวิตามิน A วิตามินเออยู่ในมะเขือเทศเยอะ มะเขือเทศมีสีส้ม  
     
    ตอนเด็กๆ.... ผมเคยเห็นพวกเธอยี่สิบเศษ ๆ จนถึงสี่สิบค่อน ๆ แย่งกันบินออกมาจากตู้เก่า ๆของคุณตา พึ่บพับๆ ในสวนหลังบ้าน

     
    มเคยหลอกเพื่อนที่มาเยี่ยมบ้านผมว่าในตู้มีของเล่น แล้วพาไปยืนหน้าตู้  แล้วผมก็พูด เบา ๆ ด้วยเสียงเย็น ๆ ว่า
                 เปิดตู้ซิเจี๊ยบ
      ประตูตู้เก่า ๆ ทั้งสองบ้านก็เปิดออกจากันอย่างช้า ๆ เสียง ดัง แอ๊ด.....ด......ด
    เพื่อนผมอ้าปากค้าง ขนหัวลุกตังชัน ผลุนผลันหันหลังวิ่งโครมครามออกไปหน้าบ้านอย่างไม่คิดชีวิต โดยไม่เหลียวกลับมามองอีกเลย

        ถ้าเธออ่านเรื่องนี้อยู่ ขอโทษด้วยนะตัวเอง...อุ๊ย ! วันนั้นเค้าลืมบอก
     
  เฮ้อ! เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยเห็นน้อง ๆ เค้าบินเลย ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นครับ   หรือว่าวิชาตัวเบาได้สูญหายไปจากยุทธจักรของพวกเธอแล้ว  สาว ๆ ผมว่าคงไม่ชอบบินนะ คงอยาก อยู่กับเย้าเฝ้ากับเรื่อน อาหารอยู่ตรงไหน เธอคงอยู่ตรงนั้น ไม่ค่อยไปไหนไกล เพราะต้องอุ้มลูกน้อย  กลัวแท้ง ระวังหน่อยนะจ๊ะ   หอม ๆ อย่างเธอ แค่ส่งกลิ่น ให้พวกผู้ชายมาหาก็พอแล้ว  พวกผู้ชายเลยน่าจะบินเก่งกว่า คงวิ่งเก่งกว่าด้วย อัตราเร่งดีซะด้วย 1... วิ 2.... วิ  ก็วิ่งหายไปหมดแล้ว น่าจับมาวิ่งแข็งกันจริงๆ เลย
         
     พวกเธอชอบอบผิวเป็นสีแทนอยู่ในไมโครเวฟครับ ไม่ร้อนด้วยนะ เพราะจะวิ่งหลบด้านข้าง บางทีไมโครเวฟควรจะต้องแก้ไขใหม่ ให้กระจายความร้อนทั่ว ๆ ไม่ได้โฟกัสเพียงจุดเดียวตรงกลาง  เวลาสร้างเสร็จโปรดเขียนข้างกล่องไว้ด้วย
               รุ่นนี้อบผิวแมลงสาบได้
     ผมจะซื้อมาไว้ให้พวกเธอที่บ้านหลาย ๆ เครื่อง  
         
      ถ้าลงมาดึก ๆ  มากินน้ำ  เปิดไฟไว้จะไม่เห็นนะครับ  แต่ถ้ามืดๆแล้วพึ่งไปเปิดไฟจะเห็นจัง จัง  ผมอยากรู้จริง ๆ เธอ เกลียดแสงสีใดมากที่สุด
      เธอมักจะโผล่มาตอนดึกๆ  มาขอเล่นไล่จับด้วยเสมอ ขี้เล่นเหลือเกินนะตัวเอง พอจะจับได้ ก็ชอบบินหนี ดูซิ ทำเอาเหนื่อยนัก  ก็เพราะความซนนี่ละ  น่ารัก น่าเอ็นดูแบบนี้แหละ ผมจึงได้ชอบเธอนัก                                  
     
     บ่อยครั้งผมก็จะอาบน้ำให้เธอด้วย ไม่ต้องกลัวเป็นหวัดครับ เพราะที่ตัวของเธอจะเคลือบสารที่กันน้ำได้เอาไว้ น้ำจึงไม่มีผลกับเธอเลย เธอดำน้ำไม่ค่อยเก่ง ผมเลยต้องช่วยเธอ วิธีเดียวที่ทำให้ดำน้ำได้คือ ล้างตัวเธอด้วยน้ำยาล้างจานหรือสบู่ก่อนเสมอ
   
     เธอชอบสบู่แรงๆ ครับ เพราะรักความสะอาด  ผมก็มักจะใช้ยี่ห้อดี ๆ ขจัดคราบ 11 ชนิด อย่าง วิกซอล พิงค์ อาบให้เป็นประจำ  ตอนอาบ วิกซอล พิงค์แรกๆ เธอจะตื่นเต้นมาก สะบัดแข้งสะบัดขาอ่อน กระพือปีกให้น้ำกระเด็น เลอะเทอะไปหมด ตามประสาเด็กดื้อ  แต่พอไปซักพักนึง เธอก็จะเริ่มง่วงแล้วก็หลับไป ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ล้างสบู่ออกเลย....
 
      ถึงแม้จะจากกันด้วยรอยยิ้ม แต่เช้านี้ ผมก็อดเศร้าไม่ได้ เสียงแห่งความเงียบ เริ่มเข้าครอบงำอีกครั้ง แล้วผมก็ถูกทิ้งให้เหลือตัวคนเดียวอีกครั้ง

เฮ้อ...


แปดโมงเช้าวันอังคาร ถึงจะนานที่ผ่านมา
ตอนนั้นที่เธอร่ำลา พูดว่าเธอจะไป
จ้องมองเข็มนาฬิกา ช่วงเวลาครั้งสุดท้าย
วันนั้นเสียใจเท่าไหร่ ก็ยังคงไม่ลืม

รู้บ้างไหมว่าจะไป มันไม่จบแค่นั้น
เพราะวันแต่ละวัน มีบาดแผลของวันก่อน
เพราะวันนั้นแปดโมงเช้า ใจฉันแทบขาดรอน
รับรู้ทุกคำทุกตอน ที่บั่นทอนหัวใจกัน

เพราะใจฉันแตกสลาย ไปพร้อมกับคำลา
และฉันหมดศรัทธา ที่ว่ารักนั้นนิรันดร์
เพราะชีวิตได้ขาดหาย ไปแล้วจากวันนั้น
และทุกๆวันอังคาร ก็ยังคงไม่ลืมเธอ

ไม่อยากรู้วันเวลา เช้าขึ้นมาไม่อยากเจอ
เพิ่งรู้ว่าไม่มีเธอ รู้ว่าเธอจากไป
แปดโมงเช้าวันอังคาร ฉันไม่เคยจะเปลี่ยนไป
เจ็บช้ำในใจอย่างไร ก็ยังคงไม่ลืม

เพราะใจฉันแตกสลาย ไปพร้อมกับคำลา
และฉันหมดศรัทธา ที่ว่ารักนั้นนิรันดร์
เพราะชีวิตได้ขาดหาย ไปแล้วจากวันนั้น
และทุกๆวันอังคาร ก็ยังคงไม่ลืมเธอ

ไม่อยากรู้วันเวลา เช้าขึ้นมาไม่อยากเจอ
เพิ่งรู้ว่าไม่มีเธอ รู้ว่าเธอจากไป
แปดโมงเช้าวันอังคาร ฉันไม่เคยจะเปลี่ยนไป
เจ็บช้ำในใจอย่างไร ก็ยังคงไม่ลืม

แปดโมงเช้าวันอังคาร ถึงจะนานที่ผ่านมา
ตอนนั้นที่เธอร่ำลา พูดว่าเธอจะไป
จ้องมองเข็มนาฬิกา ช่วงเวลาครั้งสุดท้าย
วันนั้นเสียใจเท่าไหร่ ก็ยังคงไม่ลืม

รูปภาพ
humdrum
Verified User
โพสต์: 1961
ผู้ติดตาม: 0

จดหมายเปิดผนึก

โพสต์ที่ 21

โพสต์

Map Of Your Mind


รูปภาพ


     ผมมีแบบทดสอบง่ายๆ ลองทำดูนะครับ แค่เลือกว่าคุณมีนิสัยที่คล้ายกลุ่มไหนแค่นั้นเอง        

         กลุ่มแรก
      ถนัดสมองซีกซ้าย  
       ฉันชอบรายละเอียด
      ฉันตรงต่อเวลา
       ฉันชอบเลข
      ฉันชอบตรรกะ
  เพื่อน ๆบอก ความคิดฉันแจ่มแจ้งมาก
  จุดแข็งของฉันคือ การวิเคราะห์  
       ฉันมีระเบียบ
       ฉันชอบบัญชี
  ฉันอ่านจากหน้า 1 ไป ตามลำดับ
  ฉันเป็นนักวางแผนอย่างรอบครอบ
                         
   
                กลุ่มสอง
           ถนัดสมองซีกขวา
       ฉันมีจิ น ต น า ก า ร สูง
    ฉันมักพูดในสิ่งที่ไม่ได้คิดมาก่อน
          ฉันเขียนขยุกขยิก
   ฉันชอบเรขาคณิตมากกว่าพีชคณิต
      ฉันอ่านโดยข้ามไปข้ามมา
  ฉันชอบมองภาพรวมมากกว่ารายละเอียด
      ฉันมาสายบ้าง ไม่เห็นเป็นไร                    
                ฉันขี้เล่น  
         ฉันทำอะไรแบบไม่ยั้งคิด

     ถ้าให้อยู่กลุ่มเดียวกัน มอบหมายงานให้ทำด้วยกัน สักแค่ 1 ชั่วโมง  มีความเป็นไปได้มากที่คนแรกจะทำเสียเป็นส่วนใหญ่ เขาจะส่งงานตรงเวลา จัดระเบียบอย่างสวยงาม แต่รายงานไม่มีอะไรดลใจให้น่าอ่านมากนัก   ส่วนอีกคน จะมัวแต่นั่งคิดเรื่องความหมายของงานที่มอบให้  เขาเต็มไปด้วยความคิดที่ขูดขีดบนเศษกระดาษ ไม่มีระเบียบ และใช้การไม่ได้
         
     เวลาพักทานของว่าง บ่อยครั้งที่มักจะแบ่งเป็นสองฝ่ายตามความถนัดสมองของตน พวกที่ถนัดสมองซีกซ้าย จะรวมตัวกันกลุ่ม ๆ มองดูฝ่ายที่ถนัดสมองซีกขวาและคิดว่า  
พวกนี้เอาแน่ไม่ได้ นั่งฝันลม ๆแล้ง ๆ  ใจไม่อยู่กะร่องกะรอย ทำงานด้วยไม่ได้หรอก
   ในระหว่างนั้น พวกที่ถนัดสมองซีกขวาที่รวมกันเป็นไม่ค่อยได้  ก็เดินไปเดินมา มองกลุ่มแรกที่ถนัดสมองซีกซ้ายและคิดว่า  
พวกนี้มองอะไร แคบ ๆ จุกจิก ไม่มีจินตนาการเอาเสียเลย พวกนี้เห็นในสิ่งที่ฉันไม่เห็นหรอก

     คนเรามักจะติดกับดักที่ภายในจิตใจของตัวเอง

    แต่ไม่แน่ครับ ถ้าเปิดใจให้กว้างและกระตุ้นซึ่งกันและกันให้ร่วมแบ่งปันโลกทัศน์ของเขากับเธอ พวกเขาจะไปกันได้ดีครับ  งานที่ได้จะเป็นงานที่มีความสมดุลระหว่างการวิเคราะห์ มีระเบียบ เอาจริงเอาจัง สร้างสรรค์ มีจินตนาการ  และ ส่งตรงเวลา    
                     สมองทั้งศาสตร์และศิลป์  
                           สมดุลยภาพ
   
      อนแต่งงาน 3 ปีแรก ผมกับภรรยาทะเลาะกันบ่อยมาก  พูดถึงเรื่องจะหย่ากันนับไม่ถ้วน ผมเหมือนกลุ่มสองเธอเหมือนกลุ่มแรก
    ผ่านมาสิบกว่าปี แถบจะไม่ทะเลาะกันอีกเลย ผมดีใจที่เราหากันเจอ จนมีหัวใจเดียวกัน
        ผมชอบที่เธอมีระเบียบ ซักกางเกงในให้ จัดตู้เสื่อผ้าให้ผม
           เธอชอบที่ผมช่างคิด ชอบแต่งบ้าน แต่งสวน และทำกับข้าวแปลกๆ ให้เธอกิน
              ลูกคนโตของเราถนัดสมองซีกซ้าย  คนเล็กถนัดซีกขวา
         คนโตถนัดสมองซีกซ้าย เจ้าระเบียบ รักความสะอาด อยู่ในกรอบตลอดเวลา เวลาทำการบ้าน เส้นจะออกนิดหนึงก็ไม่ได้ ถ้าเสื้อเปอะหน่อย เป็น ร้องลั่นบ้าน  
     สมัยก่อนผมมีคติต่อลูกมาก จนลูกคนโตไม่เข้าใกล้  
        เดี๋ยวนี้ผมเปลี่ยนไปแล้ว ผมค่อยๆ สอนให้ลูกคนโตเน้นให้วาดรูป เกิดความซาบซึ้งในศิลปะ พาไปดูละครเวทีของทางตลาดหลักทรัพย์  และไปเรียนเปียโน หลัง ๆ เขามีจิตนาการมากขึ้นเยอะ
         เมื่อวานผมพาเขาไปหาหมอ ผมเลี้ยวผิดซอย ออกมารถติดมาก เขาบอกว่า พ่อไม่ต้องกลัว หนูจะติดปีกให้รถ เราจะได้บินไป
                   ผมมีความสุขมาก
     นี่ละครับ ที่ผมอยากเห็นในตัวลูกเจ้าระเบียบคนนี้เยอะ ๆ  
   
     ส่วนคนเล็กส่อแววถนัดสมองซีกขวา  ใช้มือซ้ายเหมือนผม
 เวลาแม่เขาสอนวิชาคณิตศาสตร์ ผมแนะนำภรรยาให้ใช้สีต่างๆ สอนลูก ใช้หนังสือที่มีรูปภาพ   ใช้รูปภาพต่าง ๆ นำในการสอน มากกว่า ตัวหนังสือ  เวลาอ่านหนังสือให้ลูกฟัง  แบ่งดินสอสีต่าง ๆ ขีดเส้นใต้ เป็นสีสันสดใส ดูง่าย ชัดเจนตา อย่าใช้วิธีท่องจำเป็นอันขาด  ผมและลูกจะไม่ชอบเอามาก ๆ          
 
       นถนัดสมองซีกขวา ไม่ถนัดวิเคราะห์ สู้คนถนัดสมองซีกซ้ายไม่ได้  ไม่ชอบตัวเลข ถ้ามาลงทุนแล้วจะจดบันทึกอย่างไร?            

       ผมใช้ Mind Map  เริ่มต้นได้อย่างเร็ว ทำให้สนุก ข้อมูลหุ้นเยอะ ๆ บางทีจะดูเหมือนกันไปหมด แต่ถ้าใช้ Mind Map ในการเก็บข้อมูล จะมีลักษณะเฉพาะตัวและดูง่ายขึ้นเยอะ การฝึกเขียน Mind Map ยังสนุกอีกด้วย ทำให้เราอยากศึกษาหุ้นอยู่ตลอดเวลา  ผมโยงขยุกขยิกไปหมดละครับ มันดูง่ายดี ดูแป๊บเดียวก็จำได้

         ตัวอย่างการจดบันทึก Aprint อย่างคร่าว ๆ

รูปภาพ

 
     คนที่คิดวิธีนี้ ใช้ในการจดบันทึกความคิดของเขาเมื่อ 500 กว่าปีก่อนโน้น
                                                           
                 เขาคือ Leonado Da Vinci ครับ
       



Thanks to Tony Buzan ที่ดัดแปลง Mind Map มาจากสมุดบันทึกของ Leonado
      http://www.buzancentres.com/

Thanks to คุณ ธัญญา ที่ซื้อลิทธ์สิทธิ์ แล้วนำมาเผยแพร่ในประเทศไทย สนใจเรียน  mind map ติดต่อได้ที่

http://www.tanyaph.com/

 
      Thanks to MindManager Software ที่ให้ download มาใช้ฟรีก่อนได้  

http://www.mindjet.com/de/
       
Thanks to หนังสือ MindManger ฉบับภาษาไทย ที่ทำให้ผมเข้าใจอะไรมากขึ้น

Thanks to หนังสือ Mind Map สำหรับ เด็ก ๆ ที่ทำให้ลูก ๆ ห่างจาก ทีวี มากขึ้น

Thanks to ลูกๆ ที่ยอมเป็นนักเรียนให้พ่อสอนเรื่อง Mind Map ไปใช้ในชีวิตประจำวันของลูก ๆ ได้อย่างสนุกสนาน

สุดท้าย Thanks to ภรรยา ที่คอยเปิดใจรับรู้ปัญหาต่าง ๆ และ พยายามแก้ไขอย่างสร้างสรรค์  I always Love You.
humdrum
Verified User
โพสต์: 1961
ผู้ติดตาม: 0

จดหมายเปิดผนึก

โพสต์ที่ 22

โพสต์

ครั้งที่ 22

วิธีที่พี่จ๋อยจดบันทึกเรื่องต่าง ๆ โดยเฉพาะเรื่องข้อมูลหุ้นปลอดผงชูรสร้อยเปอร์เซ็นต์ครับ
                   ผมเคยเห็นกับตามาแล้ว

    หลัง ๆ จดหมายเปิดผนึก เริ่มอ่านยากขึ้นทุกที หน้ามันยาวมากเป็นขบวนรถไฟ
  ผมขอเดาว่า พอมี replies ถึง 31 แล้วมันจะเปลี่ยนหน้าให้โดยอัตโนมัติ
 ตอนนี้ replies อยู่ที่ 22 ครั้ง  แล้ว ผมจะขออนุญาตผู้อ่านมา count up หน้า ด้วยกัน มาดุซิว่าพอโพสครั้งที่ 31 แล้วหน้าจะเปลี่ยนเป็นหน้า 2 หรือปล่าว
                             
          มานับกันเลยนะครับ..........
humdrum
Verified User
โพสต์: 1961
ผู้ติดตาม: 0

จดหมายเปิดผนึก

โพสต์ที่ 23

โพสต์

ครั้งที่ 23
humdrum
Verified User
โพสต์: 1961
ผู้ติดตาม: 0

จดหมายเปิดผนึก

โพสต์ที่ 24

โพสต์

ครั้งที่ 24
humdrum
Verified User
โพสต์: 1961
ผู้ติดตาม: 0

จดหมายเปิดผนึก

โพสต์ที่ 25

โพสต์

25
humdrum
Verified User
โพสต์: 1961
ผู้ติดตาม: 0

จดหมายเปิดผนึก

โพสต์ที่ 26

โพสต์

26
humdrum
Verified User
โพสต์: 1961
ผู้ติดตาม: 0

จดหมายเปิดผนึก

โพสต์ที่ 27

โพสต์

27
humdrum
Verified User
โพสต์: 1961
ผู้ติดตาม: 0

จดหมายเปิดผนึก

โพสต์ที่ 28

โพสต์

28
humdrum
Verified User
โพสต์: 1961
ผู้ติดตาม: 0

จดหมายเปิดผนึก

โพสต์ที่ 29

โพสต์

29
humdrum
Verified User
โพสต์: 1961
ผู้ติดตาม: 0

จดหมายเปิดผนึก

โพสต์ที่ 30

โพสต์

30
โพสต์โพสต์