ความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นเอเชียนับจากต้นปี 2006 ปัจจุบัน
- david
- Verified User
- โพสต์: 852
- ผู้ติดตาม: 0
ความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นเอเชียนับจากต้นปี 2006 ปัจจุบัน
โพสต์ที่ 1
ความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นเอเชียนับจากต้นปี 2006 ปัจจุบัน
Since January 2006 % of index change
Japan 6.3%
China 225.3%
Taiwan 24.8%
Pakistan 29.4%
Indonesia 73.5%
Malaysia 52.7%
Sri Lanka 43.0%
Philippines 56.7%
Hong Kong 39.5%
S.Korea 12.8%
Singapore 47.1%
India 48.4%
Thailand -1.3%
ที่มา: Bloomberg
ตลาดหุ้นไทยมี valuations ต่ำ
Since January 2006 % of index change
Japan 6.3%
China 225.3%
Taiwan 24.8%
Pakistan 29.4%
Indonesia 73.5%
Malaysia 52.7%
Sri Lanka 43.0%
Philippines 56.7%
Hong Kong 39.5%
S.Korea 12.8%
Singapore 47.1%
India 48.4%
Thailand -1.3%
ที่มา: Bloomberg
ตลาดหุ้นไทยมี valuations ต่ำ
1.My Facebook page, https://www.facebook.com/pages/Kitichai ... 5514051589.
2.U may follow my stock comment via http://twitter.com/value_talk
3.กระทู้ที่โพสท์นี้เป็นความเห็นส่วนตัว การซื้อขายหุ้นขึ้นอยู่กับการใช้วิจารณญาณของแต่ละคน
2.U may follow my stock comment via http://twitter.com/value_talk
3.กระทู้ที่โพสท์นี้เป็นความเห็นส่วนตัว การซื้อขายหุ้นขึ้นอยู่กับการใช้วิจารณญาณของแต่ละคน
- david
- Verified User
- โพสต์: 852
- ผู้ติดตาม: 0
ความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นเอเชียนับจากต้นปี 2006 ปัจจุบัน
โพสต์ที่ 3
Valuations ของตลาดไทย เทียบกับประเทศอื่นในเอเชียwoody เขียน:แล้ว Earning growthระหว่างนั้น มี Compare ด้วยหรือเปล่าครับพี่ david ถ้ามีนี่จะช่วยในเรื่องการตีความได้อีกเยอะเลยนะครับ
2007F P/E (x) EPS growth (%) Div.yield (%)
Thailand 9.5 -2.7 4.6
Korea 12.0 -1.8 2.1
Indonesia 14.3 34.1 3.0
Taiwan 14.5 15.3 4.1
Hongkong 16.4 9.0 3.0
Malaysia 16.9 9.1 3.6
Australia 17.3 -1.9 3.9
Red-Chip 17.6 17.2 2.4
Philippines 18.2 -5.1 2.6
India 18.5 15.5 1.6
Singapore 19.3 -8.1 2.8
H-share 19.4 12.8 2.1
iii) อัตราดอกเบี้ยขาลงของไทยทำให้ไทยแตกต่างจากหลายประเทศในเอเชีย (จีน, อินเดีย ญี่ปุ่น) ที่
อัตราดอกเบี้ยกำลังเป็นขาขึ้น ในภาวะปกติ อัตราดอกเบี้ยขาลงจะส่งผลดีต่อการลงทุนในตลาดหุ้น
iv) ตลาดไทยมี valuations ที่ต่ำ คือมี P/E เพียง 9.5 เท่า และให้ dividend yield >4.5% ทั้งนี้ ความ
เสี่ยงทางการเมือง และผลประกอบการที่คาดว่าจะหดตัว 2.7% y-y ในปีนี้น่าจะสะท้อนอยู่ในราคา
หุ้นแล้วเป็นส่วนใหญ่
v) ความเสี่ยงทางการเมือง และผลประกอบการที่คาดว่าจะหดตัวเล็กน้อยในปีนี้ น่าจะเป็นเหตุการณ์
ชั่วคราว เมื่อสถานการณ์ทางการเมืองคลี่คลาย และความเชื่อมั่นทางธุรกิจกลับคืนมา จะทำให้
เศรษฐกิจในประเทศเริ่มฟื้นตัวในระยะปานกลาง-ยาว และจะสะท้อนในผลประกอบการของบริษัท
จดทะเบียนที่น่าจะเริ่มดีขึ้นในปีหน้า
I think after our coming election,SET should b RERATED.ML Nn Phatra 's SET's target yr.07=780 and yr.08=1,000.I'd like 2 sing the song"Would u believe".
1.My Facebook page, https://www.facebook.com/pages/Kitichai ... 5514051589.
2.U may follow my stock comment via http://twitter.com/value_talk
3.กระทู้ที่โพสท์นี้เป็นความเห็นส่วนตัว การซื้อขายหุ้นขึ้นอยู่กับการใช้วิจารณญาณของแต่ละคน
2.U may follow my stock comment via http://twitter.com/value_talk
3.กระทู้ที่โพสท์นี้เป็นความเห็นส่วนตัว การซื้อขายหุ้นขึ้นอยู่กับการใช้วิจารณญาณของแต่ละคน
-
- Verified User
- โพสต์: 3763
- ผู้ติดตาม: 0
ความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นเอเชียนับจากต้นปี 2006 ปัจจุบัน
โพสต์ที่ 4
Thank your for your info kub p' david. Btw, I hope that we could have election soon without severe protest or fight na kub....still it's Thailand. Who will know what's going to happen...
Caveat Emptor

Impossible is Nothing
-
- Verified User
- โพสต์: 1647
- ผู้ติดตาม: 0
ความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นเอเชียนับจากต้นปี 2006 ปัจจุบัน
โพสต์ที่ 6
yeah we'll have an election and then we have another coup then another election and then a coup an election a coup an election a coup.....so on and so on.........so we stay at this rate.
-
- Verified User
- โพสต์: 1141
- ผู้ติดตาม: 0
ความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นเอเชียนับจากต้นปี 2006 ปัจจุบัน
โพสต์ที่ 8
ที่เวียตนาม ตลาดหุ้นก็ร้อนแรงเช่นกันครับ ล่าสุดได้ประกาศแผนการลงทุนขนาดใหญ่อีกแล้วครับ ซึ่งเป็นสิ่งที่ชี้ให้เห็นว่า ราคาหุ้นมักจะสะท้อนถึงผลการดำเนินงานในอนาคตครับ
ของไทยเราต่ำเพราะ อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจชะลอตัว ในขณะที่การลงทุนและการบริโภคที่คนไม่ค่อยเชื่อมั่น ทำให้หดตัวลง
แต่มองในแง่ดีก็คือ ข่าวร้าย ๆ มันสะท้อนไปหมดหรือยัง และปัจจัยเสี่ยงไม่ว่าจะเป็นเรื่อง การเลือกตั้งปลายปี ความชัดเจนของการยุบพรรคการเมืองในสิ้นเดือนนี้ ร่างรัฐธรรมนูญที่เตรียมประกาศใช้ในการเลือกตั้ง เป็นต้น
สำหรับปัจจัยดี ๆ ที่ผมมีโอกาสไปฟังสัมมนาที่ศูนย์ประชุมฯ ที่มีการจัดงาน Money Expo อยู่นั้น นักวิเคราะห์ได้พูดถึงก็มี คือเงินเฟ้อชะลอลงมาก อัตราดอกเบี้ยก็มีแนวโน้มลดลง เพียงแต่ช่วงนี้คนมองว่าน่าจะลดลงได้อีกประมาณ 0.5% ถึง 1% ทำให้ยังมองว่าอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงนี้ยังไม่ Bottom
เงินต่างประเทศก็ยังไหลเข้าพอสมควร บางฺBroker คาดว่ายังมีจ่ออยู่ในครึ่งหลังและต้นปีหน้าอีกจำนวนมาก ซึ่งหากเป็นเช่นนี้ ก็แสดงให้เห็นว่ามีนักลงทุนต่างชาติบางส่วน ยังมองอนาคตระยะยาวมากของประเทศไทยยังดีอยู่ จึงซื้อสวนทางกับตลาดที่ปรับตัวลงอย่างต่อเนื่อง ส่วนใหญ่จะเป็นพวกกองทุนประเภท Value Investor ที่เข้ามาลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่อย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ ดุลบัญชีเดินสะพัด ดูลการค้าเป็นบวก เงินทุนสำรองของประเทศแข็งแกร่งอย่างมาก อันนี้เป็นพื้นฐานที่ดีของประเทศ
สำหรับเรื่องค่าเงินบาทที่แข็งนั้น เขาให้มองไปที่ตัวธุรกิจด้วย เพราะบาง Sector ที่ส่งออกมาก แต่ก็นำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศเข้ามามากเหมือนกัน เป็นต้น เช่น กลุ่มอิเลคโทรนิกส์ ทำให้กระทบไม่มากนัก และที่ผ่านมา Utilization Rate ของอุตสาหกรรมส่งออกหลาย ๆ ตัวมันก็ขึ้นไปแตะประมาณ 80% แล้วก็มี นอกจากนี้กลุ่มยายยนต์และอุปกรณ์รถยนต์เพื่อการส่งออกก็ยังขยายตัวดี เพราะแม้ปัจจัยในประเทศเราจะแย่ แต่ตลาดโลกหลายแห่งยังเติบโตอยู่ ดังนั้นการส่งออกจึงเข้ามาช่วยเศรษฐกิจของประเทศในขณะนี้ไว้ได้
สิ่งที่เขาชี้ให้เห็นก็คือ ควรจะมองระยะยาวขึ้นไปอีกหน่อยว่าผลการดำเนินงานในครึ่งปีหลังและต้นปีหน้าจะเป็นอย่างไร บางธุรกิจกระทบในครึ่งปีแรก แต่ครึ่งปีหลังจะเริ่มเห็นแนวโน้มที่ดีขึ้นหรือไม่
หรือบางธุรกิจที่มียอดขายเดิมในอดีตประเภท Backlog อยู่และเริ่มมีการรับรู้รายได้ปัจจุบันมากขึ้น กลุ่มนี้ก็อาจไม่กระทบเป็นต้น
หรือบางธุรกิจที่มีการลงทุนในอดีตเป็นจำนวนมาก เมื่อถึงปีนี้ซึ่งไม่ได้ลงทุนมากมาย เริ่มมีการเก็บเกี่ยวผลตอบแทนมากขึ้น ซึ่งเป็นรายได้ที่แน่นอน ทำให้เป็นหุ้น Defensive Stock ในภาวะตลาดที่ไม่ดี มีการจ่ายปันผลในอัตราที่สูงขึ้น ชดเขยกับส่วนต่างที่ไม่ได้ปรับขึ้นมาก แต่บางตัวก็ขึ้นทั้งปันผลและส่วนต่าง เนื่องจากเป็นหุ้นที่ต่างชาติสนใจด้วย
เรื่องรถไฟฟ้าก็เริ่มชัดเจนขึ้น ก็น่าจะมีการก่อสร้างกันต่อไป และ Phase แรกคงใช้เงินทุนจากในประเทศเป็นหลัก เพื่อให้สะดวกในการระดมเงินไปก่อสร้างให้รวดเร็วขึ้น
ก็มาเล่าเสริมครับ
ในขณะที่ประเทศไทยเราประสบปัญหาพอควร แต่เวียตนามเป็นประเทศหนึ่งที่น่าจับตามอง และหลายอุตสาหกรรมที่ขยายก็เป็นอุตสาหกรรมที่ใกล้เคียงกับประเทศไทยด้วยครับ ลองมาดูกันครับ
เวียดนามเปิด 40 โครงการยักษ์ บ.ไทยติดอันดับ
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 26 เมษายน 2550 21:23 น.
สำนักงานใหญ่ของปอสโก (Posco) ในกรุงโซล บริษัทเหล็กยักษ์ใหญ่จากเกาหลี เข้าเวียดนามอย่างเต็มตัว ปัจจุบันกำลังก่อสร้างเมืองบริวารในกรุงฮานอย มูลค่าการลงทุนกว่า 2,500 ล้านดอลลาร์
ผู้จัดการรายวัน--- กระทรวงวางแผนและการลงทุนเวียดนาม หรือ MPI (Ministry of Planning and Investment) ได้เปิดเผยรายชื่อ 40 โครงการขนาดใหญ่ ที่รอรับใบอนุญาตในปีนี้ ส่วนใหญ่เสนอโดยบริษัทจากไต้หวัน เกาหลี จีน และอินเดีย แต่ก็มีบริษัทจากประเทศไทยรวมอยู่ด้วย มูลค่าทั้งหมด 35,000 ล้านดอลลาร์
เพียงแค่ 1 ใน 3 ของโครงการเหล่านี้ได้รับอนุญาตจากรัฐบาลเวียดนาม เป้าหมายการลงทุนจากต่างประเทศที่ตั้งเอาไว้ 12,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯตลอดปีนี้ก็เป็นสิ่งที่ได้มาไม่ยาก ทั้งนี้เป็นรายงานของสำนักข่าวเวียดนามเอ็กซ์เพรส ภาษาเวียดนาม
โครงการลงทุนเหล่านี้นำหน้าโดย โครงการก่อสร้างเขตอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสูงมูลค่า 5,000 ล้านดอลลาร์ เพื่อผลิตสินค้าไฮเทค เสนอโดยบริษัท Foxconn จากไต้หวัน
บริษัทนี้ได้เลือกทำเลที่ตั้งโรงงาน ใน จ.บั๊กนิง (Bac Ninh) กับ จ.บั๊กซ-ยาง (Bac Giang) ในภาคเหนือ และได้จัดตั้งสำนักงานขึ้นในบั๊กนิงเรียบร้อยแล้วเพื่อเร่งการดำเนินโครงการ
รองลงมา เป็นโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนจากถ่านหินที่เวินฟง (Van Phong) ใน จ.แค๊งหว่า (Khan Hoa) ในภาคกลางตอนล่าง โรงงานไฟฟ้าที่มีกำลังติดตั้ง 2,640 เมกะวัตต์นี้ ดำเนินการโดยกลุ่มสึมิโตโม จากญี่ปุ่น ด้วยเงินลงทุน 3,500 ล้านดอลลาร์
นอกจากนั้น ยังมีโครงการโรงไฟฟ้าพลังความร้อนจากถ่านหิน มงเดื่อง 2 (Mong Duong 2) ใน จ.กว๋างนิง (Quang Ninh) ขนาดติดตั้ง 1,200 เมกะวัตต์ เงินลงทุน 1,463 ล้านดอลลาร์ เป็นการร่วมทุนระหว่างกลุ่มบริษัท AES ซึ่งเป็นบริษัทพลังงานขนาดใหญ่จากสหรัฐฯ กับบริษัทอุตสาหกรรมเหมืองและถ่านหินของเวียดนาม
ฟอกซ์คอนน์ มีโรงงานอยู่หลายแห่งในจีน บริษัทไต้หวันแห่งนี้ กำลังติดตามญี่ปุ่นภายใต้สูตร China+1 กระจายความเสี่ยงในการลงทุนเข้าเวียดนาม
รัฐบาลเวียดนามได้ยอมรับรูปแบบการลงทุนแบบ BoT (build-operate-transfer) แล้ว และได้ให้กระทรวงอุตสาหกรรมเจรจากับผู้ลงทุนในรายละเอียดต่างๆ
ยังมีโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนถ่านหินแกแห่งหนึ่งใน จ.บิ่งทวน (Binh Thuan) ติดกับ จ.ด่งนาย (Dong Nai) ในภาคใต้ของประเทศ เงินทุน 1,400 ล้านดอลลาร์ โดยบริษัท CSG จากจีน
ใน จ.บ่าเหรียะ-หวุงเต่า (Ba Ria-Vung Tao) ยังมีโครงการอาคารอุตสาหกรรมในโรงกลั่นน้ำมันแห่งหนึ่งมูลค่า 1,500 ล้านดอลลาร์ โดยกลุ่มบริษัทเคมีภัณฑ์จากประเทศไทยแห่งหนึ่ง ร่วมกับปิโตรเวียดนาม (PetroVietnam) กับโรงกลั่นขีดความสามารถปีละ 1 ล้านตันอีกแห่งหนึ่ง มูลค่า 1,200 ล้านดอลลาร์ โดยบริษัท SP Chemicals จากสิงคโปร์
สำนักข่าวออนไลน์ของทางการไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับโครงการที่มีบริษัทจากประเทศไทยร่วมทุนอยู่ด้วย ในเดือน ม.ค.ปีนี้เวียดนามได้อนุมัติโครงการโรงงานกระดาษของเครือซิเมนต์ไทย มูลค่า 220 ล้านดอลลาร์ และเป็นโครงการลงทุนใหญ่อันดับ 2 ในไตรมาสแรกของปีนี้
โครงการลงทุนที่รออนุญาตในขณะนี้ ส่วนใหญ่เป็นแขนงอุตสาหกรรมและการผลิตเทคโนโลยีสูง รวมทั้งโครงการเหมืองแร่เหล็กกับโรงงานถลุงมูลค่ารวมประมาณ 3,750 ล้านดอลลาร์ กลุ่มปอสโก (POSCO) จากไต้หวัน บริษัท ตาตาสตีล (Ta Ta Steel) และ บริษัท ESSAR Steel จากอินเดีย รวมทั้งบริษัทผลิตเหล็กจากนครอู๋ฮั่น (Wuhan) ของจีน ได้ให้ความสนใจโครงการนี้
บริษัทนี้ผลิตชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ไทยทุกชนิด รวมทั้งแรม เมนบอร์ดและเคสหลากหลายรูปแบบด้วย
นอกจากนั้น แขนงเหมืองแร่ยังมีโครงการเหมืองบอกไซต์ (Bauxite) มูลค่า 1,500 ล้านดอลลาร์ โดยบริษัท Alcao Group จากสหรัฐฯ ร่วมกับบริษัทอุตสาหกรรมถ่านหินและเหมืองแร่เวียดนาม
ตามรายงานของสำนักข่าวแห่งนี้ ยังมีโครงการลงทุนที่ถูกจับตามองอีกมาก รวมทั้งโรงงานผลิตคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก มูลค่า 500 ล้านดอลลาร์ ใน จ.หวิงฟุก (Vinh Phuc) โดยบริษัท เอชพี-คอมแพค (HP Compaq)
ยังมีอู่ต่อเรือ 500 ล้านดอลลาร์ ที่อ่าวเวินฟง (Van Phong) จ.แค๊งหว่า (Khanh Hoa) โดยกลุ่ม STX จากเกาหลี และ โรงงานผลิตเหล็กมูลค่า 570 ล้านดอลลาร์ ของกลุ่ม ESSAR จากอินเดีย บริษัท Vietnam Steel Corp และ บริษัท Vietnam Rubber Corp
การลงทุนพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และการท่องเที่ยวเป็นอีกแขนงหนึ่งที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนต่างชาติ
ที่เกาะฟุก๊วก (Phu Quoc) ในเขตอ่าวไทย ของ จ.เกียนยาง (Kien Giang) มีโครงการ Asian Pearl มูลค่า 2,000 ล้านดอลลาร์ ของ Swiss Trustee Suisses กับ บริษัท Vinaconex กับโครงการสถานบันเทิงหรูบนเนื้อที่ 1,800 เฮกตาร์ (11,000 ไร่เศษ) มูลค่า 2,000 ล้านดอลลาร์ โดยบริษัท Investment Zone จากสหรัฐฯ
การ์ดแสดงผลหรือ VGA การ์ด ของฟอกซ์คอนน์ เป็นที่รู้จักและยอมในหมู่ลูกค้าในตลาดประเทศไทย เพียงแต่ว่าชิ้นต่อไปอาจจะ Made in Vietnam
ที่เกาะอ่าวไทยแห่งนี้ยังมีโครงการด้านการท่องเที่ยวขนาดเล็กลง คือ มูลค่าประมาณ 1,000 ล้านดอลลาร์ โดย Rockingham Asset Management จากอังกฤษ
การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในกรุงฮานอย ก็ได้รับความสนใจ โดย Gamuda Group จากมาเลเซีย ได้รับอนุญาตให้ลงทุนก่อสร้างอพาร์ตเมนต์ที่พักและสำนักงานสำหรับเช่าในย่านเยินสอ (Yen So) มูลค่า 1,000 ล้านดอลลาร์
บริษัท Pacific Land Ltd จากอังกฤษ เสนอโครงการก่อตั้งสวนอุตสาหกรรมชีวะ (Bio-industrial Park) จำนวน 2 แห่ง มูลค่าแห่งละ 1,000 ล้านดอลลาร์
ในบรรดาโครงการลงทุนขนาดใหญ่ที่กระทรวง MPI นำออกเปิดเผยนี้ ยังรวมทั้งโครงการที่มูลค่า 900 ล้านดอลลาร์เศษ อีกหลายโครงการ
การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ หรือ FDI (Foreign Direct Investment) ส่วนใหญ่จะอยู่ตามเมือง และนครต่างๆ เช่น กรุงฮานอย นครโฮจิมินห์ แค๊งหว่า ด่งนาย บ่าเหรียะ-หวังเต่า ในภาคใต้ และ ใน จ.หวิงฟุก บั๊กนิง บั๊กซ-ยาง ในภาคเหนือ
เมื่อปีที่แล้วตัวเลข FDI ในเวียดนามทะลุ 10,000 ล้านดอลลาร์เป็นครั้งแรก เกินความคาดหมายที่ตั้งเอาไว้เพียง 6,500 ล้านดอลลาร์
http://www.manager.co.th/IndoChina/View ... 0000048012
ของไทยเราต่ำเพราะ อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจชะลอตัว ในขณะที่การลงทุนและการบริโภคที่คนไม่ค่อยเชื่อมั่น ทำให้หดตัวลง
แต่มองในแง่ดีก็คือ ข่าวร้าย ๆ มันสะท้อนไปหมดหรือยัง และปัจจัยเสี่ยงไม่ว่าจะเป็นเรื่อง การเลือกตั้งปลายปี ความชัดเจนของการยุบพรรคการเมืองในสิ้นเดือนนี้ ร่างรัฐธรรมนูญที่เตรียมประกาศใช้ในการเลือกตั้ง เป็นต้น
สำหรับปัจจัยดี ๆ ที่ผมมีโอกาสไปฟังสัมมนาที่ศูนย์ประชุมฯ ที่มีการจัดงาน Money Expo อยู่นั้น นักวิเคราะห์ได้พูดถึงก็มี คือเงินเฟ้อชะลอลงมาก อัตราดอกเบี้ยก็มีแนวโน้มลดลง เพียงแต่ช่วงนี้คนมองว่าน่าจะลดลงได้อีกประมาณ 0.5% ถึง 1% ทำให้ยังมองว่าอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงนี้ยังไม่ Bottom
เงินต่างประเทศก็ยังไหลเข้าพอสมควร บางฺBroker คาดว่ายังมีจ่ออยู่ในครึ่งหลังและต้นปีหน้าอีกจำนวนมาก ซึ่งหากเป็นเช่นนี้ ก็แสดงให้เห็นว่ามีนักลงทุนต่างชาติบางส่วน ยังมองอนาคตระยะยาวมากของประเทศไทยยังดีอยู่ จึงซื้อสวนทางกับตลาดที่ปรับตัวลงอย่างต่อเนื่อง ส่วนใหญ่จะเป็นพวกกองทุนประเภท Value Investor ที่เข้ามาลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่อย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ ดุลบัญชีเดินสะพัด ดูลการค้าเป็นบวก เงินทุนสำรองของประเทศแข็งแกร่งอย่างมาก อันนี้เป็นพื้นฐานที่ดีของประเทศ
สำหรับเรื่องค่าเงินบาทที่แข็งนั้น เขาให้มองไปที่ตัวธุรกิจด้วย เพราะบาง Sector ที่ส่งออกมาก แต่ก็นำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศเข้ามามากเหมือนกัน เป็นต้น เช่น กลุ่มอิเลคโทรนิกส์ ทำให้กระทบไม่มากนัก และที่ผ่านมา Utilization Rate ของอุตสาหกรรมส่งออกหลาย ๆ ตัวมันก็ขึ้นไปแตะประมาณ 80% แล้วก็มี นอกจากนี้กลุ่มยายยนต์และอุปกรณ์รถยนต์เพื่อการส่งออกก็ยังขยายตัวดี เพราะแม้ปัจจัยในประเทศเราจะแย่ แต่ตลาดโลกหลายแห่งยังเติบโตอยู่ ดังนั้นการส่งออกจึงเข้ามาช่วยเศรษฐกิจของประเทศในขณะนี้ไว้ได้
สิ่งที่เขาชี้ให้เห็นก็คือ ควรจะมองระยะยาวขึ้นไปอีกหน่อยว่าผลการดำเนินงานในครึ่งปีหลังและต้นปีหน้าจะเป็นอย่างไร บางธุรกิจกระทบในครึ่งปีแรก แต่ครึ่งปีหลังจะเริ่มเห็นแนวโน้มที่ดีขึ้นหรือไม่
หรือบางธุรกิจที่มียอดขายเดิมในอดีตประเภท Backlog อยู่และเริ่มมีการรับรู้รายได้ปัจจุบันมากขึ้น กลุ่มนี้ก็อาจไม่กระทบเป็นต้น
หรือบางธุรกิจที่มีการลงทุนในอดีตเป็นจำนวนมาก เมื่อถึงปีนี้ซึ่งไม่ได้ลงทุนมากมาย เริ่มมีการเก็บเกี่ยวผลตอบแทนมากขึ้น ซึ่งเป็นรายได้ที่แน่นอน ทำให้เป็นหุ้น Defensive Stock ในภาวะตลาดที่ไม่ดี มีการจ่ายปันผลในอัตราที่สูงขึ้น ชดเขยกับส่วนต่างที่ไม่ได้ปรับขึ้นมาก แต่บางตัวก็ขึ้นทั้งปันผลและส่วนต่าง เนื่องจากเป็นหุ้นที่ต่างชาติสนใจด้วย
เรื่องรถไฟฟ้าก็เริ่มชัดเจนขึ้น ก็น่าจะมีการก่อสร้างกันต่อไป และ Phase แรกคงใช้เงินทุนจากในประเทศเป็นหลัก เพื่อให้สะดวกในการระดมเงินไปก่อสร้างให้รวดเร็วขึ้น
ก็มาเล่าเสริมครับ
ในขณะที่ประเทศไทยเราประสบปัญหาพอควร แต่เวียตนามเป็นประเทศหนึ่งที่น่าจับตามอง และหลายอุตสาหกรรมที่ขยายก็เป็นอุตสาหกรรมที่ใกล้เคียงกับประเทศไทยด้วยครับ ลองมาดูกันครับ
เวียดนามเปิด 40 โครงการยักษ์ บ.ไทยติดอันดับ
โดย ผู้จัดการออนไลน์ 26 เมษายน 2550 21:23 น.
สำนักงานใหญ่ของปอสโก (Posco) ในกรุงโซล บริษัทเหล็กยักษ์ใหญ่จากเกาหลี เข้าเวียดนามอย่างเต็มตัว ปัจจุบันกำลังก่อสร้างเมืองบริวารในกรุงฮานอย มูลค่าการลงทุนกว่า 2,500 ล้านดอลลาร์
ผู้จัดการรายวัน--- กระทรวงวางแผนและการลงทุนเวียดนาม หรือ MPI (Ministry of Planning and Investment) ได้เปิดเผยรายชื่อ 40 โครงการขนาดใหญ่ ที่รอรับใบอนุญาตในปีนี้ ส่วนใหญ่เสนอโดยบริษัทจากไต้หวัน เกาหลี จีน และอินเดีย แต่ก็มีบริษัทจากประเทศไทยรวมอยู่ด้วย มูลค่าทั้งหมด 35,000 ล้านดอลลาร์
เพียงแค่ 1 ใน 3 ของโครงการเหล่านี้ได้รับอนุญาตจากรัฐบาลเวียดนาม เป้าหมายการลงทุนจากต่างประเทศที่ตั้งเอาไว้ 12,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯตลอดปีนี้ก็เป็นสิ่งที่ได้มาไม่ยาก ทั้งนี้เป็นรายงานของสำนักข่าวเวียดนามเอ็กซ์เพรส ภาษาเวียดนาม
โครงการลงทุนเหล่านี้นำหน้าโดย โครงการก่อสร้างเขตอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสูงมูลค่า 5,000 ล้านดอลลาร์ เพื่อผลิตสินค้าไฮเทค เสนอโดยบริษัท Foxconn จากไต้หวัน
บริษัทนี้ได้เลือกทำเลที่ตั้งโรงงาน ใน จ.บั๊กนิง (Bac Ninh) กับ จ.บั๊กซ-ยาง (Bac Giang) ในภาคเหนือ และได้จัดตั้งสำนักงานขึ้นในบั๊กนิงเรียบร้อยแล้วเพื่อเร่งการดำเนินโครงการ
รองลงมา เป็นโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนจากถ่านหินที่เวินฟง (Van Phong) ใน จ.แค๊งหว่า (Khan Hoa) ในภาคกลางตอนล่าง โรงงานไฟฟ้าที่มีกำลังติดตั้ง 2,640 เมกะวัตต์นี้ ดำเนินการโดยกลุ่มสึมิโตโม จากญี่ปุ่น ด้วยเงินลงทุน 3,500 ล้านดอลลาร์
นอกจากนั้น ยังมีโครงการโรงไฟฟ้าพลังความร้อนจากถ่านหิน มงเดื่อง 2 (Mong Duong 2) ใน จ.กว๋างนิง (Quang Ninh) ขนาดติดตั้ง 1,200 เมกะวัตต์ เงินลงทุน 1,463 ล้านดอลลาร์ เป็นการร่วมทุนระหว่างกลุ่มบริษัท AES ซึ่งเป็นบริษัทพลังงานขนาดใหญ่จากสหรัฐฯ กับบริษัทอุตสาหกรรมเหมืองและถ่านหินของเวียดนาม
ฟอกซ์คอนน์ มีโรงงานอยู่หลายแห่งในจีน บริษัทไต้หวันแห่งนี้ กำลังติดตามญี่ปุ่นภายใต้สูตร China+1 กระจายความเสี่ยงในการลงทุนเข้าเวียดนาม
รัฐบาลเวียดนามได้ยอมรับรูปแบบการลงทุนแบบ BoT (build-operate-transfer) แล้ว และได้ให้กระทรวงอุตสาหกรรมเจรจากับผู้ลงทุนในรายละเอียดต่างๆ
ยังมีโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนถ่านหินแกแห่งหนึ่งใน จ.บิ่งทวน (Binh Thuan) ติดกับ จ.ด่งนาย (Dong Nai) ในภาคใต้ของประเทศ เงินทุน 1,400 ล้านดอลลาร์ โดยบริษัท CSG จากจีน
ใน จ.บ่าเหรียะ-หวุงเต่า (Ba Ria-Vung Tao) ยังมีโครงการอาคารอุตสาหกรรมในโรงกลั่นน้ำมันแห่งหนึ่งมูลค่า 1,500 ล้านดอลลาร์ โดยกลุ่มบริษัทเคมีภัณฑ์จากประเทศไทยแห่งหนึ่ง ร่วมกับปิโตรเวียดนาม (PetroVietnam) กับโรงกลั่นขีดความสามารถปีละ 1 ล้านตันอีกแห่งหนึ่ง มูลค่า 1,200 ล้านดอลลาร์ โดยบริษัท SP Chemicals จากสิงคโปร์
สำนักข่าวออนไลน์ของทางการไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับโครงการที่มีบริษัทจากประเทศไทยร่วมทุนอยู่ด้วย ในเดือน ม.ค.ปีนี้เวียดนามได้อนุมัติโครงการโรงงานกระดาษของเครือซิเมนต์ไทย มูลค่า 220 ล้านดอลลาร์ และเป็นโครงการลงทุนใหญ่อันดับ 2 ในไตรมาสแรกของปีนี้
โครงการลงทุนที่รออนุญาตในขณะนี้ ส่วนใหญ่เป็นแขนงอุตสาหกรรมและการผลิตเทคโนโลยีสูง รวมทั้งโครงการเหมืองแร่เหล็กกับโรงงานถลุงมูลค่ารวมประมาณ 3,750 ล้านดอลลาร์ กลุ่มปอสโก (POSCO) จากไต้หวัน บริษัท ตาตาสตีล (Ta Ta Steel) และ บริษัท ESSAR Steel จากอินเดีย รวมทั้งบริษัทผลิตเหล็กจากนครอู๋ฮั่น (Wuhan) ของจีน ได้ให้ความสนใจโครงการนี้
บริษัทนี้ผลิตชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ไทยทุกชนิด รวมทั้งแรม เมนบอร์ดและเคสหลากหลายรูปแบบด้วย
นอกจากนั้น แขนงเหมืองแร่ยังมีโครงการเหมืองบอกไซต์ (Bauxite) มูลค่า 1,500 ล้านดอลลาร์ โดยบริษัท Alcao Group จากสหรัฐฯ ร่วมกับบริษัทอุตสาหกรรมถ่านหินและเหมืองแร่เวียดนาม
ตามรายงานของสำนักข่าวแห่งนี้ ยังมีโครงการลงทุนที่ถูกจับตามองอีกมาก รวมทั้งโรงงานผลิตคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก มูลค่า 500 ล้านดอลลาร์ ใน จ.หวิงฟุก (Vinh Phuc) โดยบริษัท เอชพี-คอมแพค (HP Compaq)
ยังมีอู่ต่อเรือ 500 ล้านดอลลาร์ ที่อ่าวเวินฟง (Van Phong) จ.แค๊งหว่า (Khanh Hoa) โดยกลุ่ม STX จากเกาหลี และ โรงงานผลิตเหล็กมูลค่า 570 ล้านดอลลาร์ ของกลุ่ม ESSAR จากอินเดีย บริษัท Vietnam Steel Corp และ บริษัท Vietnam Rubber Corp
การลงทุนพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และการท่องเที่ยวเป็นอีกแขนงหนึ่งที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนต่างชาติ
ที่เกาะฟุก๊วก (Phu Quoc) ในเขตอ่าวไทย ของ จ.เกียนยาง (Kien Giang) มีโครงการ Asian Pearl มูลค่า 2,000 ล้านดอลลาร์ ของ Swiss Trustee Suisses กับ บริษัท Vinaconex กับโครงการสถานบันเทิงหรูบนเนื้อที่ 1,800 เฮกตาร์ (11,000 ไร่เศษ) มูลค่า 2,000 ล้านดอลลาร์ โดยบริษัท Investment Zone จากสหรัฐฯ
การ์ดแสดงผลหรือ VGA การ์ด ของฟอกซ์คอนน์ เป็นที่รู้จักและยอมในหมู่ลูกค้าในตลาดประเทศไทย เพียงแต่ว่าชิ้นต่อไปอาจจะ Made in Vietnam
ที่เกาะอ่าวไทยแห่งนี้ยังมีโครงการด้านการท่องเที่ยวขนาดเล็กลง คือ มูลค่าประมาณ 1,000 ล้านดอลลาร์ โดย Rockingham Asset Management จากอังกฤษ
การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในกรุงฮานอย ก็ได้รับความสนใจ โดย Gamuda Group จากมาเลเซีย ได้รับอนุญาตให้ลงทุนก่อสร้างอพาร์ตเมนต์ที่พักและสำนักงานสำหรับเช่าในย่านเยินสอ (Yen So) มูลค่า 1,000 ล้านดอลลาร์
บริษัท Pacific Land Ltd จากอังกฤษ เสนอโครงการก่อตั้งสวนอุตสาหกรรมชีวะ (Bio-industrial Park) จำนวน 2 แห่ง มูลค่าแห่งละ 1,000 ล้านดอลลาร์
ในบรรดาโครงการลงทุนขนาดใหญ่ที่กระทรวง MPI นำออกเปิดเผยนี้ ยังรวมทั้งโครงการที่มูลค่า 900 ล้านดอลลาร์เศษ อีกหลายโครงการ
การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ หรือ FDI (Foreign Direct Investment) ส่วนใหญ่จะอยู่ตามเมือง และนครต่างๆ เช่น กรุงฮานอย นครโฮจิมินห์ แค๊งหว่า ด่งนาย บ่าเหรียะ-หวังเต่า ในภาคใต้ และ ใน จ.หวิงฟุก บั๊กนิง บั๊กซ-ยาง ในภาคเหนือ
เมื่อปีที่แล้วตัวเลข FDI ในเวียดนามทะลุ 10,000 ล้านดอลลาร์เป็นครั้งแรก เกินความคาดหมายที่ตั้งเอาไว้เพียง 6,500 ล้านดอลลาร์
http://www.manager.co.th/IndoChina/View ... 0000048012
-
- Verified User
- โพสต์: 1141
- ผู้ติดตาม: 0
ความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นเอเชียนับจากต้นปี 2006 ปัจจุบัน
โพสต์ที่ 9
ลืมอีกเรื่องหนึ่งปัจจัยดี ๆ ที่เขามองกันต่อจากนี้ก็คือ
เรื่องอัตราดอกเบี้ยของ กนง.ที่กำลังจะมีการประกาศ ซึ่งคาดหมายว่าน่าจะลดลงอีก 0.25 ถึง 0.5 และถึงสิ้นปีก็น่าจะประมาณอีก 1%
เรื่องมาตรการณ์การกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งกำลังจะมีการดำเนินการของรัฐบาลออกมา
ก็รอดูข่าวเหล่านี้ในเดือนนี้ ผสมโรงกับเรื่องความชัดเจนของการประกาศการยุบพรรคการเมืองที่ต้องจับตามองกันด้วยครับ เพราะจะสร้างความชัดเจนขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง ทำให้ทราบว่าหรือคาดได้ว่าจะมีพรรคการเมืองใดที่ยังอยู่ และมีโอกาสได้รับการเลือกตั้งในครั้งหน้าครับ
เรื่องอัตราดอกเบี้ยของ กนง.ที่กำลังจะมีการประกาศ ซึ่งคาดหมายว่าน่าจะลดลงอีก 0.25 ถึง 0.5 และถึงสิ้นปีก็น่าจะประมาณอีก 1%
เรื่องมาตรการณ์การกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งกำลังจะมีการดำเนินการของรัฐบาลออกมา
ก็รอดูข่าวเหล่านี้ในเดือนนี้ ผสมโรงกับเรื่องความชัดเจนของการประกาศการยุบพรรคการเมืองที่ต้องจับตามองกันด้วยครับ เพราะจะสร้างความชัดเจนขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง ทำให้ทราบว่าหรือคาดได้ว่าจะมีพรรคการเมืองใดที่ยังอยู่ และมีโอกาสได้รับการเลือกตั้งในครั้งหน้าครับ
- Akajon
- Verified User
- โพสต์: 530
- ผู้ติดตาม: 0
ความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นเอเชียนับจากต้นปี 2006 ปัจจุบัน
โพสต์ที่ 10
ถ้าโครงการพวกนี้ซักครึ่งหนึ่ง เข้าประเทศเรา (ทั้งที่จริงๆ หลายโครงการ ทำท่าว่าจะมา) จะทำให้เกิดการจ้างงาน เกิดมูลค่าเพิ่ม สร้างงาน สร้างรายได้ ให้กับประเทศ แถมด้วยแรงงานเรา มีคุณภาพ มีศักยภาพมากขึ้นด้วย
เราควรจะดำเนินนโยบายเสรีการค้าต่อ ต้อนรับนักลงทุนต่างชาติ นำเม็ดเงินพวกนี้ เข้าประเทศ สร้างงาน สร้างรายได้ให้กับประเทศเรา
ประเทศเวียดนาม เรื่องค่าแรงอาจจะถูกกว่าจริง แต่แรงงานเค้ายังพัฒนาได้ไม่เท่าเรา และยังมีปัญหาเรื่องการประท้วงอยู่บ่อยครั้ง ถ้าเราเร่งเครื่องตอนนี้ อาจจะยังพอเรียกคืนมาได้บ้าง
อย่ามัวแต่ทะเลาะกันเลย มาเร่งสร้างความน่าเชื่อถือให้กับประเทศเราดีกว่า
เราควรจะดำเนินนโยบายเสรีการค้าต่อ ต้อนรับนักลงทุนต่างชาติ นำเม็ดเงินพวกนี้ เข้าประเทศ สร้างงาน สร้างรายได้ให้กับประเทศเรา
ประเทศเวียดนาม เรื่องค่าแรงอาจจะถูกกว่าจริง แต่แรงงานเค้ายังพัฒนาได้ไม่เท่าเรา และยังมีปัญหาเรื่องการประท้วงอยู่บ่อยครั้ง ถ้าเราเร่งเครื่องตอนนี้ อาจจะยังพอเรียกคืนมาได้บ้าง
อย่ามัวแต่ทะเลาะกันเลย มาเร่งสร้างความน่าเชื่อถือให้กับประเทศเราดีกว่า