+เผื่อ Margin of Safety กันไว้เท่าไรบ้าง+
-
- Verified User
- โพสต์: 3345
- ผู้ติดตาม: 0
+เผื่อ Margin of Safety กันไว้เท่าไรบ้าง+
โพสต์ที่ 1
ของผม 30% หรือมากกว่า จากมูลค่าพื้นฐานกิจการที่คำนวณได้ ครับ 8) ...
เฉพาะกิจการที่ดีๆ และเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมนั้นๆ เท่านั้น ครับ
ถ้าบริษัทใด มีปัญหาเรื่องธรรมาภิบาล
หรือดูรายชื่อผู้ถือหุ้นใหญ่ และกรรมการ แล้วมีพวกแปลกๆ ปนเข้ามา
อันนี้ไม่ต้องเผื่อเลยครับ เลิกดู!
ตัวอย่างเช่น Fair Value ที่ผม "คำนวณได้เอง" อยู่ที่ 10 บาท
ถ้าหุ้นนั้น ไม่ลงมาถึง 7 บาท ก้อไม่ซื้อ รอต่อไป
รอเป็นลิงเลยครับ ไม่ลงมาซักที
อิอิ
เพื่อนๆ เผื่อกันไว้เท่าไรบ้าง ครับ ...
เฉพาะกิจการที่ดีๆ และเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมนั้นๆ เท่านั้น ครับ
ถ้าบริษัทใด มีปัญหาเรื่องธรรมาภิบาล
หรือดูรายชื่อผู้ถือหุ้นใหญ่ และกรรมการ แล้วมีพวกแปลกๆ ปนเข้ามา
อันนี้ไม่ต้องเผื่อเลยครับ เลิกดู!
ตัวอย่างเช่น Fair Value ที่ผม "คำนวณได้เอง" อยู่ที่ 10 บาท
ถ้าหุ้นนั้น ไม่ลงมาถึง 7 บาท ก้อไม่ซื้อ รอต่อไป
รอเป็นลิงเลยครับ ไม่ลงมาซักที
อิอิ
เพื่อนๆ เผื่อกันไว้เท่าไรบ้าง ครับ ...
- naris
- Verified User
- โพสต์: 6726
- ผู้ติดตาม: 0
+เผื่อ Margin of Safety กันไว้เท่าไรบ้าง+
โพสต์ที่ 2
สำหรับผมคงไม่มีมาตรฐานที่ชัดเจนครับ เพราะขึ้นกับองค์ประกอบหลายอย่างเข้ามาเกี่ยวข้องเช่น
1time ว่าจะถือสั้นระดับรายไตรมาทหรือยาวระดับราย5ปีเป็นต้น แต่ขอแนะนำว่าที่ผ่านมาตั้งแต่ต้นปีผมเจอหมีตะปบเพราะการเก็งระยะสั้น กลยุทธ์ปีนี้ก็เลยจะเน้นระยะยาวมากขึ้น(เอาไว้มีเวลาจะเขียนประสบการณ์การผิดศิลVIในการเก็งกำไรระยะสั้นเมื่อต้นปีให้ฟังครับ)
2down side ที่กำไรของบ.จะลดลงในระยะเวลาที่เกี่ยวกับข้อที่1
3up side ที่กำไรของบ. จะเพิ่มในระยะเวลาที่เกี่ยวกับข้อที่1
4popของความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นที่ทำให้เกิดข้อ2และ3ในระยะเวลาที่1
1time ว่าจะถือสั้นระดับรายไตรมาทหรือยาวระดับราย5ปีเป็นต้น แต่ขอแนะนำว่าที่ผ่านมาตั้งแต่ต้นปีผมเจอหมีตะปบเพราะการเก็งระยะสั้น กลยุทธ์ปีนี้ก็เลยจะเน้นระยะยาวมากขึ้น(เอาไว้มีเวลาจะเขียนประสบการณ์การผิดศิลVIในการเก็งกำไรระยะสั้นเมื่อต้นปีให้ฟังครับ)
2down side ที่กำไรของบ.จะลดลงในระยะเวลาที่เกี่ยวกับข้อที่1
3up side ที่กำไรของบ. จะเพิ่มในระยะเวลาที่เกี่ยวกับข้อที่1
4popของความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นที่ทำให้เกิดข้อ2และ3ในระยะเวลาที่1
ราคาระยะสั้นตามข่าว--ราคาระยะยาวตามผลกำไร
-
- Verified User
- โพสต์: 1141
- ผู้ติดตาม: 0
+เผื่อ Margin of Safety กันไว้เท่าไรบ้าง+
โพสต์ที่ 4
มีนิทานของต่างประเทศเรื่องหนึ่งนะครับน่าสนใจมาก
มีกลุ่มเม่นกลุ่มหนึ่งอาศัยอยู่ที่สถานที่ ที่อากาศหนาวเย็นมาก
ตอนกลางคืน กลุ่มเม่นเหล่านี้เวลานอนร่วมกัน ก็ต้องเข้าหากันเพื่อให้ความร้อนของเพื่อนเม่นด้วยกันมาช่วยทำให้เกิดความอุ่น
เมื่อเข้ามาใกล้กันมากเกินไป ขนของเม่นแต่ละตัวก็แทงเข้ากับเนื้อของเม่นที่เข้ามาใกล้ ต่างคนต่างก็เจ็บปวดจากขนเม่นที่ต่างทิ่มแทงซึ่งกันและกัน
แล้วฝูงเม่นก็แก้ปัญหาด้วยการทิ้งความห่างกันให้มากขึ้นเรื่อย ๆ ความห่างกันดังกล่าว ก็ทำให้เกิดปัญหาใหม่ว่า อากาศหนาวจากภายนอกได้ส่งผลกระทบกับฝูงเม่นดังกล่าว ทำให้ทนความหนาวไม่ค่อยได้
ตรงนี้จึงทำให้ฝูงเม่นเกิดพฤติกรรมการเรียนรู้ขึ้นมาว่า
หากใกล้ชิดมากไป ก็อาจบาดเจ็บจากขนเม่นของเพื่อนที่ทิ่มแทง
หากห่างกันเกินไป ก็จะทำให้ทนกับอากาศหนาวไม่ได้
สุดท้ายก็เลยห่างกันอย่างพอประมาณ ทำให้ทนอากาศหนาวได้ และทำให้ขนเม่นของเพื่อนในกลุ่มไม่ทิ่มแทงโดนตนเองด้วย และทำให้ตนเองและเพื่อนในกลุ่มก็ทนความหนาวได้อีกด้วย
ผมคิดว่า ความห่างของขนเม่น ก็เหมือน Margin of safety
มี Margin of Safety น้อยเกินไป โอกาสที่จะโดนทิ่มแทงก็มาก เพราะใกล้กับราคาที่ควรจะเป็น ถ้าพลาดก็เจ็บตัวมากได้ง่าย
คิดจะได้หุ้นที่มี Margin of Safety มาก ๆ แต่มากเกินควร ก็อาจจะรอแล้วรอเล่า รอจนหนาวแล้วหนาวหน้าอีก และราคาก็ปรับตัวไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งไม่ได้ซื้อซักที บางครั้งรอจนราคาที่สูงไปมากจนท้อ และก็ไม่เห็นหุ้นดีดังกล่าวลงมาให้สอยได้ซักที ก็เลยพลาดโอกาสที่ดี แม้จะวิเคราะห์ได้ถูกต้องแล้ว แต่พลาดจังหวะการซื้อที่เหมาะสมครับ จนโอกาสก็ลอยผ่านไปเรื่อย ๆ
ตรงนี้จึงเป็นศิลปเหมือนกัน ที่ต้องเรียนรุ้ศิลปการซื้อ ที่ต้องรอก็ต้องรอ ที่จังหวะที่ควรต้องซื้อ ก็ต้องกล้าตัดสินใจซื้อ
การอดทนรอคอยในเวลาที่เหมาะสม การมีวินัยในการซื้อเมื่อราคาลงมาถึงจุดที่ควรต้องซื้อ ใจเป็นเรื่องสำคัญครับ ซึ่งก็คงต้องค่อย ๆ เรียนรู้กันไป โดยการพัฒนากลยุทธ์และกลวิธีของตนเองขึ้นมา
เช่น บางครั้งก็อาจใช้วิธีการทะยอยซื้อ แทนที่จะซื้อ Lot เดียวทีเดียวไปเลย บางครั้งอาจซื้อ Lot นิดหน่อยเพื่อติดตามผลงานไปซักระยะหนึ่งจนมั่นใจจริงๆ บางครั้งต้องอดทนไม่ซื้อถ้าราคาแพงมาก แต่ก็หาทางลดความเสี่ยงโดยการหาความรู้ ความเข้าใจในธุรกิจไปก่อน อดทนรอคอยแบบเหยี่ยวที่มองเหยี่อโดยไม่กระพริบ แต่เมื่อถึงเวลา ก็พร้อมตัดสินใจโฉบล่าเหยื่อโดยไม่ลังเลใจ (บัฟเฟทใช้บ่อย บางครั้งราคายังไม่สมควรซื้อก็รอคอยได้ แต่เมื่อได้จังหวะ ก็ตัดสินใจซื้อได้ทันทีไม่ลังเลใจ อันนี้เกิดจากการที่บัฟเฟทมีการเรียนรู้มาก่อนตั้งนานแล้วครับ ไม่ใช่ ณ เวลาที่ซื้อครับ)
การมี Margin of Safety ที่เผื่อเหลือเผื่อขาดนั้นคงไม่มีสูตรตายตัวนะครับ แต่เราสามารถใช้การเรียนรู้ และพัฒนาวิธีการ ค่อย ๆ ปรับใช้ จนได้ Margin of Safety ของหุ้นที่มันดูเหมาะสมที่สุดสำหรับเฉพาะตัวของเราขึ้นมา
ซึ่งวิธีการดังกล่าว สุดท้ายเราก็จะได้วิธีการที่เป็นทางสายกลางที่เหมาะสม และสามารถอยู่ร่วมกับหุ้นที่เราคิดว่าเป็นหุ้นที่ดี มี Margin of Safety พอประมาณลองรับกับความเสี่ยง ไม่เจ็บตัวมากไป และไม่ต้องทนรอเกินควรทำให้เสียโอกาสครับ
ไม่รู้ว่าเกี่ยวกันรึเปล่านะครับ แต่ผมคิดแบบนี้ครับอิ อิ :lol:
มีกลุ่มเม่นกลุ่มหนึ่งอาศัยอยู่ที่สถานที่ ที่อากาศหนาวเย็นมาก
ตอนกลางคืน กลุ่มเม่นเหล่านี้เวลานอนร่วมกัน ก็ต้องเข้าหากันเพื่อให้ความร้อนของเพื่อนเม่นด้วยกันมาช่วยทำให้เกิดความอุ่น
เมื่อเข้ามาใกล้กันมากเกินไป ขนของเม่นแต่ละตัวก็แทงเข้ากับเนื้อของเม่นที่เข้ามาใกล้ ต่างคนต่างก็เจ็บปวดจากขนเม่นที่ต่างทิ่มแทงซึ่งกันและกัน
แล้วฝูงเม่นก็แก้ปัญหาด้วยการทิ้งความห่างกันให้มากขึ้นเรื่อย ๆ ความห่างกันดังกล่าว ก็ทำให้เกิดปัญหาใหม่ว่า อากาศหนาวจากภายนอกได้ส่งผลกระทบกับฝูงเม่นดังกล่าว ทำให้ทนความหนาวไม่ค่อยได้
ตรงนี้จึงทำให้ฝูงเม่นเกิดพฤติกรรมการเรียนรู้ขึ้นมาว่า
หากใกล้ชิดมากไป ก็อาจบาดเจ็บจากขนเม่นของเพื่อนที่ทิ่มแทง
หากห่างกันเกินไป ก็จะทำให้ทนกับอากาศหนาวไม่ได้
สุดท้ายก็เลยห่างกันอย่างพอประมาณ ทำให้ทนอากาศหนาวได้ และทำให้ขนเม่นของเพื่อนในกลุ่มไม่ทิ่มแทงโดนตนเองด้วย และทำให้ตนเองและเพื่อนในกลุ่มก็ทนความหนาวได้อีกด้วย
ผมคิดว่า ความห่างของขนเม่น ก็เหมือน Margin of safety
มี Margin of Safety น้อยเกินไป โอกาสที่จะโดนทิ่มแทงก็มาก เพราะใกล้กับราคาที่ควรจะเป็น ถ้าพลาดก็เจ็บตัวมากได้ง่าย
คิดจะได้หุ้นที่มี Margin of Safety มาก ๆ แต่มากเกินควร ก็อาจจะรอแล้วรอเล่า รอจนหนาวแล้วหนาวหน้าอีก และราคาก็ปรับตัวไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งไม่ได้ซื้อซักที บางครั้งรอจนราคาที่สูงไปมากจนท้อ และก็ไม่เห็นหุ้นดีดังกล่าวลงมาให้สอยได้ซักที ก็เลยพลาดโอกาสที่ดี แม้จะวิเคราะห์ได้ถูกต้องแล้ว แต่พลาดจังหวะการซื้อที่เหมาะสมครับ จนโอกาสก็ลอยผ่านไปเรื่อย ๆ
ตรงนี้จึงเป็นศิลปเหมือนกัน ที่ต้องเรียนรุ้ศิลปการซื้อ ที่ต้องรอก็ต้องรอ ที่จังหวะที่ควรต้องซื้อ ก็ต้องกล้าตัดสินใจซื้อ
การอดทนรอคอยในเวลาที่เหมาะสม การมีวินัยในการซื้อเมื่อราคาลงมาถึงจุดที่ควรต้องซื้อ ใจเป็นเรื่องสำคัญครับ ซึ่งก็คงต้องค่อย ๆ เรียนรู้กันไป โดยการพัฒนากลยุทธ์และกลวิธีของตนเองขึ้นมา
เช่น บางครั้งก็อาจใช้วิธีการทะยอยซื้อ แทนที่จะซื้อ Lot เดียวทีเดียวไปเลย บางครั้งอาจซื้อ Lot นิดหน่อยเพื่อติดตามผลงานไปซักระยะหนึ่งจนมั่นใจจริงๆ บางครั้งต้องอดทนไม่ซื้อถ้าราคาแพงมาก แต่ก็หาทางลดความเสี่ยงโดยการหาความรู้ ความเข้าใจในธุรกิจไปก่อน อดทนรอคอยแบบเหยี่ยวที่มองเหยี่อโดยไม่กระพริบ แต่เมื่อถึงเวลา ก็พร้อมตัดสินใจโฉบล่าเหยื่อโดยไม่ลังเลใจ (บัฟเฟทใช้บ่อย บางครั้งราคายังไม่สมควรซื้อก็รอคอยได้ แต่เมื่อได้จังหวะ ก็ตัดสินใจซื้อได้ทันทีไม่ลังเลใจ อันนี้เกิดจากการที่บัฟเฟทมีการเรียนรู้มาก่อนตั้งนานแล้วครับ ไม่ใช่ ณ เวลาที่ซื้อครับ)
การมี Margin of Safety ที่เผื่อเหลือเผื่อขาดนั้นคงไม่มีสูตรตายตัวนะครับ แต่เราสามารถใช้การเรียนรู้ และพัฒนาวิธีการ ค่อย ๆ ปรับใช้ จนได้ Margin of Safety ของหุ้นที่มันดูเหมาะสมที่สุดสำหรับเฉพาะตัวของเราขึ้นมา
ซึ่งวิธีการดังกล่าว สุดท้ายเราก็จะได้วิธีการที่เป็นทางสายกลางที่เหมาะสม และสามารถอยู่ร่วมกับหุ้นที่เราคิดว่าเป็นหุ้นที่ดี มี Margin of Safety พอประมาณลองรับกับความเสี่ยง ไม่เจ็บตัวมากไป และไม่ต้องทนรอเกินควรทำให้เสียโอกาสครับ
ไม่รู้ว่าเกี่ยวกันรึเปล่านะครับ แต่ผมคิดแบบนี้ครับอิ อิ :lol:
- birdflu
- Verified User
- โพสต์: 628
- ผู้ติดตาม: 0
+เผื่อ Margin of Safety กันไว้เท่าไรบ้าง+
โพสต์ที่ 6
[quote="thawattt"]มีนิทานของต่างประเทศเรื่องหนึ่งนะครับน่าสนใจมาก
มีกลุ่มเม่นกลุ่มหนึ่งอาศัยอยู่ที่สถานที่ ที่อากาศหนาวเย็นมาก
ตอนกลางคืน กลุ่มเม่นเหล่านี้เวลานอนร่วมกัน ก็ต้องเข้าหากันเพื่อให้ความร้อนของเพื่อนเม่นด้วยกันมาช่วยทำให้เกิดความอุ่น
เมื่อเข้ามาใกล้กันมากเกินไป ขนของเม่นแต่ละตัวก็แทงเข้ากับเนื้อของเม่นที่เข้ามาใกล้ ต่างคนต่างก็เจ็บปวดจากขนเม่นที่ต่างทิ่มแทงซึ่งกันและกัน
แล้วฝูงเม่นก็แก้ปัญหาด้วยการทิ้งความห่างกันให้มากขึ้นเรื่อย ๆ
มีกลุ่มเม่นกลุ่มหนึ่งอาศัยอยู่ที่สถานที่ ที่อากาศหนาวเย็นมาก
ตอนกลางคืน กลุ่มเม่นเหล่านี้เวลานอนร่วมกัน ก็ต้องเข้าหากันเพื่อให้ความร้อนของเพื่อนเม่นด้วยกันมาช่วยทำให้เกิดความอุ่น
เมื่อเข้ามาใกล้กันมากเกินไป ขนของเม่นแต่ละตัวก็แทงเข้ากับเนื้อของเม่นที่เข้ามาใกล้ ต่างคนต่างก็เจ็บปวดจากขนเม่นที่ต่างทิ่มแทงซึ่งกันและกัน
แล้วฝูงเม่นก็แก้ปัญหาด้วยการทิ้งความห่างกันให้มากขึ้นเรื่อย ๆ
Keep Calm And Chive On
- naris
- Verified User
- โพสต์: 6726
- ผู้ติดตาม: 0
+เผื่อ Margin of Safety กันไว้เท่าไรบ้าง+
โพสต์ที่ 7
เอาไว้พรุ่งนี้แล้วกันนะครับ(ถ้าว่าง)เพราะวันนี้คุณthawatttเล่นถามคำถามในTNHเอาซะผมต้องไปพลิกตำรารื้อฟื้นความจำกันตอนซื้อTNHใหม่ๆเลยครับ(ใช้เวลาตอบเป็นชม.เลย)kok2029 เขียน:
มารอฟัง ครับผม :lol:
แต่ผมว่าการเล่าประสบการณ์คงมีประโยชน์ให้กับคนที่อยากเก็งกำไรแน่นอนครับ
ราคาระยะสั้นตามข่าว--ราคาระยะยาวตามผลกำไร
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 3645
- ผู้ติดตาม: 0
+เผื่อ Margin of Safety กันไว้เท่าไรบ้าง+
โพสต์ที่ 10
เวลาหาหุ้นแต่ละครั้งผมจะหวังผลไม่ต่ำกว่า 50% ภายในระยะเวลาหนึ่งปี ดังนั้นผมชอบตัวเลข 30% ครับ เพราะเมื่อรวมปันผลแล้วอัตราหวังผลจะประมาณ 50% พอดีเลย
ส่วนจะทำได้จริงเท่าไหร่ก็ขึ้นกับปัจจัยอื่นๆและการวิเคราะห์ว่าจะถูกต้องมากแค่ไหนครับ
ส่วนจะทำได้จริงเท่าไหร่ก็ขึ้นกับปัจจัยอื่นๆและการวิเคราะห์ว่าจะถูกต้องมากแค่ไหนครับ
It's earnings that count
-
- Verified User
- โพสต์: 5786
- ผู้ติดตาม: 0
+เผื่อ Margin of Safety กันไว้เท่าไรบ้าง+
โพสต์ที่ 11
หุ้นดีจริงๆ ยอมซื้อที่ Fair Price ครับ
ถ้าลงมาก็ซื้อต่อ
ลงทุนแบบเฉลี่ยโอกาส ... :lol:
ถ้าลงมาก็ซื้อต่อ
ลงทุนแบบเฉลี่ยโอกาส ... :lol:
"Winners never quit, and quitters never win."
-
- Verified User
- โพสต์: 1155
- ผู้ติดตาม: 0
+เผื่อ Margin of Safety กันไว้เท่าไรบ้าง+
โพสต์ที่ 13
ไม่เคยใช้ margin of safety ในลักษณะเป็นเปอร์เซนต์แบบนี้ แต่จะใส่ assumption แบบ pessimistic เพื่อหาจุดซื้อมากกว่า
A Cynic Knows the Price of Everything and the Value of Nothing
-Oscar Wilde, Lady Windemeres Fan
-Oscar Wilde, Lady Windemeres Fan
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 9795
- ผู้ติดตาม: 0
+เผื่อ Margin of Safety กันไว้เท่าไรบ้าง+
โพสต์ที่ 15
หุ้นดีๆ ก็เหมือนกับสาวๆ สวยๆ ระดับดาวคณะ
ถ้ามัวแต่รีรอให้ดอกฟ้าโน้มลงมาหาเอง ไม่ลงทุนเลย
จะพาลโดนหนุ่มอื่นๆ เก็บไปซะหมด ได้แต่แห้วไปกิน
ส่วนหุ้นไม่ดี ก็เหมือนสาวประเภทสอง ดูเหมือนสาวสวย
ถ้าไม่ใช้เวลาพินิจพิเคราะห์ ผลีผลามเข้าไปจีบ
เผลอได้ติดมือมา พบความจริงทีหลัง จะช้ำใจ
จะบอกเลิกกลับยากกว่าตอนจีบเสียอีก :lol:
สรุปว่า ขึ้นกับหุ้นครับ ไม่ได้ขึ้นกับ "ตัวเลข"
ถ้ามัวแต่รีรอให้ดอกฟ้าโน้มลงมาหาเอง ไม่ลงทุนเลย
จะพาลโดนหนุ่มอื่นๆ เก็บไปซะหมด ได้แต่แห้วไปกิน
ส่วนหุ้นไม่ดี ก็เหมือนสาวประเภทสอง ดูเหมือนสาวสวย
ถ้าไม่ใช้เวลาพินิจพิเคราะห์ ผลีผลามเข้าไปจีบ
เผลอได้ติดมือมา พบความจริงทีหลัง จะช้ำใจ
จะบอกเลิกกลับยากกว่าตอนจีบเสียอีก :lol:
สรุปว่า ขึ้นกับหุ้นครับ ไม่ได้ขึ้นกับ "ตัวเลข"
- naris
- Verified User
- โพสต์: 6726
- ผู้ติดตาม: 0
+เผื่อ Margin of Safety กันไว้เท่าไรบ้าง+
โพสต์ที่ 16
ชัดเจนมากๆครับพี่ หยั่งงี้เวลาจีบๆบ.ไหนแล้วชอบมากๆอยากจะรวบรัดอย่างรวดเร็ว ก็ต้องถามตรงๆเลยซิครับว่า
"เธอ พี่ขออะไรซักหน่อยได้ไหมจ๊ะ พี่ขอจับxxดูหน่อยซิว่า เธอติดแต๊ปไว้หรือเปล่า" :lol: (ถูกแบนไหมเนี่ย)
"เธอ พี่ขออะไรซักหน่อยได้ไหมจ๊ะ พี่ขอจับxxดูหน่อยซิว่า เธอติดแต๊ปไว้หรือเปล่า" :lol: (ถูกแบนไหมเนี่ย)
ราคาระยะสั้นตามข่าว--ราคาระยะยาวตามผลกำไร
-
- Verified User
- โพสต์: 1155
- ผู้ติดตาม: 0
+เผื่อ Margin of Safety กันไว้เท่าไรบ้าง+
โพสต์ที่ 18
คือใส่สมมุติฐานตอนคำนวณมูลค่าให้เซฟๆเข้าไว้ เช่น sales growth, operating margin, chg WC, inc. capex etc....javoel เขียน: คืออะไรเอ่ย ช่วยชี้เเนะด้วยครับ
เช่น ปกติคาดว่า ยอดขายเติบโตปีละ 15% แต่ถ้าเลวร้ายที่สุดน่าจะประมาณ 5% ก็ใส่ไป 5%
A Cynic Knows the Price of Everything and the Value of Nothing
-Oscar Wilde, Lady Windemeres Fan
-Oscar Wilde, Lady Windemeres Fan
-
- Verified User
- โพสต์: 1141
- ผู้ติดตาม: 0
+เผื่อ Margin of Safety กันไว้เท่าไรบ้าง+
โพสต์ที่ 19
คุณนริศ
ผมว่าต้องใช้ต้องสติ ปัญญา ของเรานี่แหละครับ และทำการบ้านเชิงลึกแบบที่คุณนริศทำนั่นแหละครับ ถึงจะสามารถเข้าถึงข้อมูลลึก ๆ เด็ด ๆ ได้ครับ แล้วเราถึงจะสามารถจำแนกบริษัทที่ดีได้ครับ
สัมผัสผิวเผินในยุคนี้ค่อนข้างเสี่ยงมาก ๆ ทีเดียวครับ รุ่นพี่ ๆ ทั้งหลายเขาถึงได้ย้ำนักย้ำหนาว่า ถ้าคิดจะเป็น VI แท้ต้องให้เวลาและหัดทำการบ้านอย่างเป็นจริงเป็นจังให้มาก ๆ และหาประสบการณ์เรียนรู้จนทำให้เรามั่นใจจริง ๆ เท่านั้นครับ ต้องรู้ขนาดที่ว่า มีใครถามคำถามเกี่ยวกับธุรกิจที่เราลงทุนนั้น เราต้องสามารถตอบได้ทุกคำถามด้วย เพราะผ่านการกลั่นกรองข้อมูลที่สำคัญอย่างรอบคอบเป็นอย่างดีครับ ถึงเรียกว่าเราลงทุนให้เหมือนเป็นเจ้าของกิจการจริง ๆ ครับ
ดูชาว VI เห็นลงทนแล้วไม่ต้อง Trade บ่อย ๆ นึกว่าง่ายดีครับ แต่กว่าจะถึงขั้นตอนตรงนั้นครับ ต้องผ่านการพิจารณาและทำการบ้านมาไม่ใช่น้อยเลยครับ ผมอ่านหลาย ๆ ท่านที่เขียนให้ความเห็นไว้ทำให้เห็นภาพเลยว่า นักลงทุนแบบมืออาชีพเขาต้องระมัดระวังและเลือกลงทุนให้รอบคอบอย่างไรครับ
หุ้นธรรมดามีมาก แต่หุ้น Superstock และราคาไม่แพงนั้น ต้องอาศัยเวลาค้นหากันหน่อยครับ ขนาด ฟิชเชอร์ ยังต้องให้เวลากับหุ้นที่เลือก แถมเลือกได้แล้วยังให้เวลากับบริษัทนั้น ๆ ถึง 3 ปี เพื่อให้แสดงผลงานตามศักยภาพที่เขามองเห็นได้อีกหุ หุ ของเราแค่ไตรมาสเดียว ปีเดียว ก็แย่แล้ว นั้นมองทะลุไป 3 ปี บัฟเฟทมองทะลุเป็น 10 ปีครับ
แล้วไปถามตรง ๆ แบบคุณนริศ สงสัยจะยากจะได้คำตอบมั้งครับ สาวคนนั้นคงไม่ยอมบอกความจริงแน่ ๆ 5555555 :lol:
ระวังนะครับ เดี๋ยวนี้ เทคโนโลยี สามารถเปลี่ยนแปลงได้ทุกอย่างนะครับ ขนาดเห็นด้วยตาก็แล้ว สัมผัสก็แล้ว ยังเป็นของปลอมได้เลยครับชัดเจนมากๆครับพี่ หยั่งงี้เวลาจีบๆบ.ไหนแล้วชอบมากๆอยากจะรวบรัดอย่างรวดเร็ว ก็ต้องถามตรงๆเลยซิครับว่า
"เธอ พี่ขออะไรซักหน่อยได้ไหมจ๊ะ พี่ขอจับxxดูหน่อยซิว่า เธอติดแต๊ปไว้หรือเปล่า"
ผมว่าต้องใช้ต้องสติ ปัญญา ของเรานี่แหละครับ และทำการบ้านเชิงลึกแบบที่คุณนริศทำนั่นแหละครับ ถึงจะสามารถเข้าถึงข้อมูลลึก ๆ เด็ด ๆ ได้ครับ แล้วเราถึงจะสามารถจำแนกบริษัทที่ดีได้ครับ
สัมผัสผิวเผินในยุคนี้ค่อนข้างเสี่ยงมาก ๆ ทีเดียวครับ รุ่นพี่ ๆ ทั้งหลายเขาถึงได้ย้ำนักย้ำหนาว่า ถ้าคิดจะเป็น VI แท้ต้องให้เวลาและหัดทำการบ้านอย่างเป็นจริงเป็นจังให้มาก ๆ และหาประสบการณ์เรียนรู้จนทำให้เรามั่นใจจริง ๆ เท่านั้นครับ ต้องรู้ขนาดที่ว่า มีใครถามคำถามเกี่ยวกับธุรกิจที่เราลงทุนนั้น เราต้องสามารถตอบได้ทุกคำถามด้วย เพราะผ่านการกลั่นกรองข้อมูลที่สำคัญอย่างรอบคอบเป็นอย่างดีครับ ถึงเรียกว่าเราลงทุนให้เหมือนเป็นเจ้าของกิจการจริง ๆ ครับ
ดูชาว VI เห็นลงทนแล้วไม่ต้อง Trade บ่อย ๆ นึกว่าง่ายดีครับ แต่กว่าจะถึงขั้นตอนตรงนั้นครับ ต้องผ่านการพิจารณาและทำการบ้านมาไม่ใช่น้อยเลยครับ ผมอ่านหลาย ๆ ท่านที่เขียนให้ความเห็นไว้ทำให้เห็นภาพเลยว่า นักลงทุนแบบมืออาชีพเขาต้องระมัดระวังและเลือกลงทุนให้รอบคอบอย่างไรครับ
หุ้นธรรมดามีมาก แต่หุ้น Superstock และราคาไม่แพงนั้น ต้องอาศัยเวลาค้นหากันหน่อยครับ ขนาด ฟิชเชอร์ ยังต้องให้เวลากับหุ้นที่เลือก แถมเลือกได้แล้วยังให้เวลากับบริษัทนั้น ๆ ถึง 3 ปี เพื่อให้แสดงผลงานตามศักยภาพที่เขามองเห็นได้อีกหุ หุ ของเราแค่ไตรมาสเดียว ปีเดียว ก็แย่แล้ว นั้นมองทะลุไป 3 ปี บัฟเฟทมองทะลุเป็น 10 ปีครับ
แล้วไปถามตรง ๆ แบบคุณนริศ สงสัยจะยากจะได้คำตอบมั้งครับ สาวคนนั้นคงไม่ยอมบอกความจริงแน่ ๆ 5555555 :lol: