"ฉลองภพ"สั่งทีมที่ปรึกษาดึงกฎหมายการเงิน 3 ฉบับตรวจอีกรอบ ก่อนส่งสนช.พิจารณา
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : ก.ล.ต.ร้องคลังแก้ไขร่างพ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ แม้ร่างดังกล่าวจะผ่านการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีแล้วก็ตาม หลังมีความเข้มงวดในการบริหารงานตามกรอบธรรมาภิบาลมากขึ้น ระบุอาจส่งผลต่อแรงจูงใจในการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ด้าน"ฉลองภพ"สั่งทีมที่ปรึกษาดึงกฎหมายการเงิน 3 ฉบับ ตรวจสอบรายละเอียดอีกครั้งก่อนส่งให้สภานิติบัญญัติฯพิจารณา
รายงานข่าวจากกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาผู้บริหารสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.)ได้เข้าหารือสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.) เพื่อขอให้กระทรวงการคลังแก้ไขร่างแก้ไขเพิ่มเติมพ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ แม้ร่างแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายฉบับดังกล่าวเพิ่งจะผ่านการอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีได้ไม่นานก็ตาม
ผู้บริหารจากก.ล.ต.ให้เหตุผลในการขอแก้ไขพ.ร.บ.ดังกล่าวว่า บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ได้มาร้องเรียนว่า ข้อกำหนดในร่างแก้ไขกฎหมายฉบับนี้ค่อนข้างจะเข้มงวดในเรื่องธรรมาภิบาลมากเกินไป ทำให้อาจลดแรงจูงใจในการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
"ข้อกำหนดเรื่องของธรรมาภิบาลที่เข้มงวดในร่างแก้ไขเพิ่มเติมในกฎหมายฉบับนี้ ถูกกำหนดขึ้นในช่วงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังคนก่อน มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มระดับธรรมาภิบาลในการบริหารจัดการให้แก่ผู้บริหารบริษัทจดทะเบียน อย่างไรก็ตามสศค.ได้ขอให้ผู้บริหารก.ล.ต.ไปหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อหาข้อสรุปในแนวทางแก้ไข ก่อนที่จะนำมาพิจารณาและนำเสนอในระดับนโยบายอีกครั้ง" แหล่งข่าวกล่าว
แหล่งข่าวกล่าวว่า ในร่างแก้ไขกฎหมายฉบับนี้ อาจมีบางถ้อยคำบางคำที่ทำให้สามารถตีความได้อย่างกว้างขวาง จนทำให้กรรมการหรือผู้บริหารของบริษัทจดทะเบียน เห็นว่า ทำให้การปฏิบัติงานอาจเสี่ยงต่อการกระทำผิดโดยไม่ตั้งใจ เช่น กรณีที่ระบุว่า กรรมการหรือผู้บริหารของบริษัทจดทะเบียนไม่พึงปฏิบัติตามหลักของวิญญูชนก็จะต้องถูกลงโทษ หรือกรณีที่เขียนว่า กรรมการหรือผู้บริหารไม่กระทำโดยสุจริตหรือเพื่อประโยชน์ของบริษัท หรือโดยความเหมาะสมหรือขัดแย้งกับบริษัท จนทำให้บริษัทเสียหายจะต้องถูกปรับไม่เกินความเสียหายที่เกิดขึ้น
"โทษปรับเป็นเงินไม่น้อยว่า 500,000 บาท หรือจำคุกไม่เกิน 5 ปี ที่ระบุไว้ในร่างที่แก้ไข การเขียนถ้อยคำที่มีความหมายกว้างๆ อาจทำให้การตัดสินใจทางธุรกิจที่อยู่ขึ้นอยู่กับภาวะการแข่งขันและกลไกลตลาดของธุรกิจมีความรุนแรง ทำให้กฎหมายกลายเป็นอุปสรรคในการตัดสินใจของคณะกรรมการ กระทรวงการคลังจึงรับคำร้องเรียนของภาคเอกชนดังกล่าวเพื่อนำไปแก้ไขต่อไป" แหล่งข่าวกล่าว
ทั้งนี้หากกระทรวงการคลังพิจารณาแก้ไขตามข้อเสนอของก.ล.ต. ก็จะเสนอไปทางสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อให้พิจารณาแก้ไขในเรื่องดังกล่าว ก่อนที่จะเสนอกลับมายังคณะรัฐมนตรีเพื่ออนุมัติและเสนอเข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรอีกครั้ง
ด้าน ดร.สมชัย จิตสุชน ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ตนได้รับมอบหมายจากดร.ฉลองภพ สุสังกร์กาญจน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ให้นำร่างกฎหมายการเงินหลายฉบับ โดยเฉพาะกฎหมายที่ผ่านการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีในชุดนี้มาพิจารณาในรายละเอียดอีกครั้ง เช่น ร่างแก้ไขกฎหมายธุรกิจสถาบันการเงิน ร่างแก้ไขกฎหมายธนาคารแห่งประเทศไทย และร่างแก้ไขกฎหมายหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ เป็นต้น เพราะแม้ว่า ร่างกฎหมายดังกล่าวจะผ่านการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีแล้ว แต่กระทรวงการคลังโดยรัฐมนตรีว่าการจะต้องเป็นผู้นำเสนอต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ดังนั้นจึงต้องพิจารณาร่างกฎหมายดังกล่าวอย่างรอบคอบ
"ผมได้รับมอบหมายให้เข้าไปช่วยดูเรื่องกฎหมายการเงินในส่วนของกระทรวงการคลัง ซึ่งจะมองว่า เป็นงานประจำหรืองานที่วางรากฐานทางการคลังในระยะยาวก็ว่าได้ เพราะกฎหมายหลายฉบับแม้จะผ่านการพิจารณาอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีแล้วก็ตาม แต่ก็ยังไม่ได้ผ่านออกมาเป็นกฎหมายฉบับสมบูรณ์ เพราะต้องผ่านการพิจารณาในขั้นของคณะกรรมการกฤษฎีกา และสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ตรงนี้ คนที่เสนอคือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ฉะนั้น การพิจารณาหรือแก้ไขในรายละเอียดอีกครั้ง จึงเป็นเรื่องจำเป็นที่ต้องดำเนินการ" ดร.สมชัย กล่าว
สำหรับระยะเวลาของรัฐบาลที่เหลืออยู่ไม่กี่เดือน ทำให้ต้องเร่งดำเนินการในเรื่องดังกล่าว และเชื่อว่าจะสามารถทำได้ เนื่องจากกฎหมายส่วนใหญ่เป็นการแก้ไขร่างเดิม ไม่ได้เป็นกฎหมายที่ร่างขึ้นใหม่
นอกจากนี้ ดร.สมชัย ยังได้รับมอบหมายให้ไปพิจารณาแนวทางการสร้างความโปร่งใสทางการคลัง โดยหนึ่งในแนวทาง คือ การนำข้อมูลการเงินที่เกิดจากนโยบายประชานิยมหลายด้านมาเปิดเผยต่อสาธารณชนให้รับทราบ เพราะที่ผ่านมา มีการปกปิดข้อมูลหลายด้าน ทำให้คนทั่วไปไม่สามารถวิเคราะห์สถานะทางการคลังได้
ขณะเดียวกันที่ผ่านมา ก็ยังมีการส่งสัญญาณจากรัฐบาลด้วยว่า ใครที่ไม่มีเงินสามารถมาขอรัฐบาลได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง สำหรับแนวทางอื่นในการสร้างความโปร่งใสนั้น ยังอยู่ระหว่างดำเนินการ
"คณะกรรมการที่ปรึกษารัฐมนตรีคลังได้มีการหารือร่วมกันแล้ว 2 ครั้ง โดยได้แบ่งการทำงานออกเป็นคณะต่างๆ ซึ่งในส่วนของการเข้าไปดูแลหรือกระตุ้นเศรษฐกิจระดับรากหญ้านั้น ผมได้เคยเสนอในที่ประชุมคณะกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโดยรวมไปแล้วว่า เศรษฐกิจไทยมีความจำเป็นต้องเข้าไปกระตุ้นระดับรากหญ้า เพราะเม็ดเงินหายไปมาก เบื้องต้นคลังคงจะให้แบงก์รัฐเร่งดำเนินการปล่อยสินเชื่อ และเพิ่มเม็ดเงินในโครงการอยู่ดีมีสุขและเศรษฐกิจพอเพียง โดยในแง่เม็ดเงินที่จะนำมาเพิ่มเติมนั้น น่าจะมาจากงบชำระหนี้จำนวน 8.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งการชำระหนี้น่าจะถูกเลื่อนออกไปก่อน" ดร.สมชัยกล่าว
http://www.bangkokbiznews.com/2007/04/0 ... wsid=62223
