Happiness not included
ศิริรัตน์ ณ พัทลุง ([email protected])
มองไปรอบตัวของเรา สิ่งที่เห็นคือผู้คนมากมาย เดินกันขวักไขว่หรือแม้แต่วิ่งพล่าน มองหาสิ่งเดียวกัน นั่นก็คือความสุข คงไม่มีใครปฏิเสธว่า สิ่งที่เราทำอยู่ทุกวันนี้ ก็เพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งเดียวนี้ 'ความสุข'
ทั้งที่รู้ว่า ทันทีที่ความสุขมาเยี่ยมเยือน เพียงไม่นานก็จะต้องจากไป แล้วเราก็ต้องวิ่งหาเพิ่ม หาเติมเป็นอย่างนี้มานานตั้งแต่วัยเด็กจนกระทั่งปัจจุบัน เรายังไม่พูดถึงความสุขที่ประณีตและยั่งยืน เราจะพูดถึงความสุขที่เป็นพื้นฐาน ความเป็นอยู่ที่ช่วยหล่อเลี้ยงหัวใจให้เรามีชีวิตอยู่ เพื่อรอว่าวันหนึ่งจะมีความสุขถาวรที่เราต้องการ
Epicurus นักปรัชญาชาวกรีก พูดไว้เมื่อ 2000 กว่าปีก่อนว่า เราทุกคนต้องการหาความสุข แต่เรากลับมองหาความสุขผิดที่ผิดทาง หลายคนติงว่าทำไมเราจึงต้องอาศัยนักปรัชญามาบอกเราว่า ควรจะหาความสุขที่ใด เพราะแค่ออกไปข้างนอก เห็นสิ่งที่เราชอบ ได้ซื้อสิ่งที่เราต้องการ ได้ลิ้มรสสิ่งที่เราอยากทาน แค่นี้ก็มีความสุขแล้ว
Epicurus บอกว่า คนส่วนใหญ่ก็คิดเช่นนั้น แค่ว่าหากเรามีเงินสามารถซื้อสิ่งของที่เราต้องการได้ แล้วเราจะมีความสุข เราคิดว่าเงินเป็นปัจจัยหลักที่จะช่วยให้เรามีความสุข เราเผลอคิดไปว่า 'สิ่งที่เราซื้อ' คือ 'สิ่งที่เราต้องการ' เพราะเราไม่มีโอกาสหันกลับมาดูใจตัวเอง แล้วเห็นว่าจริงๆ แล้วเราต้องการอะไร
ตรงนี้ Epicurus โทษไปที่การโฆษณา เขาบอกว่าการโฆษณา มักทำให้เราเชื่อว่าเราขาดอยู่เสมอ เขาทำให้เราเชื่อว่า หากเรามีสิ่งที่เขาขาย จะทำให้เรามีชีวิตที่สมบูรณ์ขึ้น แล้วเราจะมีความสุข เมื่อคนหนึ่งเชื่อก็จะพยายามทำให้อีกคนหนึ่งเชื่อ จึงออกมาเป็นเทรนด์ (Trend) หรือกระแส ที่เราต่างต้องวิ่งตาม ต้องหามาใช้ เพื่อที่จะเป็นสิ่งที่เราอยากเป็น
เขาบอกว่า การโฆษณามักชักนำเราให้ออกห่างจากความเป็นจริง การโฆษณาใช้ความต้องการในส่วนลึกของเรา มาใช้เป็นเครื่องมือที่จะขายสินค้าของตน โดยวิธีเชื่อมโยงภาพที่เราอยากได้อยากเป็น เพื่อเป็นตัวนำแล้วใส่สินค้าลงไปในภาพนั้น โดยทำให้เราเชื่อว่าถ้าเราใช้สินค้าตัวนั้น เราจะได้สิ่งที่เราขาดดังในภาพที่เขาจัดไว้ สินค้าแพงๆ ที่มีนักการตลาดเก่งๆ จึงขายดีเป็นเทนำเทท่า เพราะเขารู้ว่าเราต้องการอะไร ทำอย่างไรจึงจะหลอกขายภาพฝันให้เราได้
เขาทำให้เราพลาดในการเห็นความจริงว่า เราต้องการอะไร เช่น กาแฟยี่ห้อหนึ่งสร้างภาพให้เราเห็นว่า หากเราดื่มกาแฟชนิดนี้แล้วเราจะได้ 'ความรักความอบอุ่น' ที่เราล้วนไขว่คว้าหามัน หรือเบียร์ยี่ห้อหนึ่งมีภาพของเพื่อนฝูงที่นั่งล้อมวงเฮฮากันอย่างมีความสุข เราก็ตกหลุม เพราะส่วนลึกในใจของเรา เราต้องการ 'เพื่อน'
นักการตลาดบิดเบือนสิ่งที่เราต้องการจริงๆ ทำให้เราต่างหันไปไขว่คว้าสิ่งที่ไม่จำเป็นต่อชีวิต มาใส่ในชีวิตของเรา แล้วเราก็นึกสงสัยว่า เหตุใดเราจึงไม่มีความสุขเสียที เราจึงต้องหาเพิ่มหาเติม เพียงเพื่อสักวันหนึ่งหวังว่า มันคงจะเติมเต็มส่วนที่ขาดหายไปจากใจได้
หากในทางกลับกัน แทนที่จะวิ่งหาสิ่งนอกกาย แต่ลองหันกลับมาดูใจของเราอย่างถ่องแท้ว่า ลึกลงไปเราต้องการสิ่งใด ลองใช้เวลาค้นหาวิเคราะห์จากภายใน มองให้ออกว่า ต้นตอของความอยากที่จะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งนั้นมาจากไหน
แล้วมาทดลองดูว่า หากเราเว้นระยะการซื้อของแบบบ้าคลั่งแบบคนสมัยใหม่ที่ต้องเรียกว่าตะบี้ตะบันซื้อ แล้วไม่รู้ว่าจะได้ใช้เมื่อไรนั้น แล้วหันกลับมาเข้าใจตัวเอง เข้าใจคนใกล้ชิดในชีวิตของเราแทน โดยเฉพาะคู่ชีวิต ลูก รวมไปถึงเพื่อนร่วมงานที่เราต้องใช้เวลาอยู่กับเขาไม่ต่ำกว่า 8 ชั่วโมงต่อวัน ทำบ้านและที่ทำงานในวงเล็กๆ ของเราให้เป็นสถานที่น่าอยู่ แล้วเชื่อเถิดว่า คุณคงจะไม่มีเวลานึกถึงว่าเสาร์-อาทิตย์นี้จะไปชอปปิงที่ไหนดี วันนี้คุณต้องทำอะไรเพื่อจะให้มีความสุขมากขึ้น
การหยุดหันมาดูใจบ่อยๆ ว่า เรากำลังทำอะไร เพื่ออะไรนั้น ก็เพื่อที่จะได้เข้าใจตัวเองอย่างถ่องแท้ โดยไม่มีสิ่งใดมาบิดเบือนความจริงภายในใจของเรา เราจะมองเห็นตัวเองชัดขึ้น เป้าหมายของความสุขในชีวิต ก็จะเด่นชัดขึ้นว่า เราควรจะเดินไปทางใด
โบนัสก็คือ เมื่อเราเข้าใจตัวเองมากขึ้น เราก็จะมีความสุข เพราะทุกอย่างที่เราทำจะมีความหมายมากกว่าเดิม โดยที่เราไม่จำเป็นต้องใช้เงินเป็นตัวหลักในการหาซื้อความสุข ความสุขจะเข้ามาโดยอัตโนมัติเหมือนกับการจะให้อากาศเข้าไปในขวดเราก็แค่เปิดปากขวด อากาศก็จะไหลเข้าไปเองโดยอัตโนมัติ โดยมิต้องผลักดันอากาศเข้าไปให้เหนื่อยแม้แต่น้อย
โบนัสอีกอย่างคือ เมื่อเราสามารถเข้าใจตัวเอง แล้วเราจะสามารถเข้าใจในสิ่งที่ผู้อื่นทำได้อย่างชัดเจน เราจะเห็นในสิ่งที่เราไม่เคยเห็น เราจะได้เห็นต้นตอของความอยากที่เกิดขึ้นกับผู้อื่น ดังเช่นที่เกิดกับตัวเอง ฉะนั้นความเข้าใจในการกระทำของเขา จะทำให้เราสามารถให้อภัยกับสิ่งต่างๆ ที่เขาทำได้อย่างง่ายดาย
เพียงแค่นี้ ชีวิตที่ต้องวิ่งวุ่นหาความสุขจากข้างนอกของเรา ก็จะค่อยๆ เงียบสงบ มีความสุขที่ล้ำลึกกว่าเดิม โดยไม่ต้องใช้ปัจจัยภายนอกมากมายเป็นตัวบ่งบอกความสุขของเราในวันนั้นอีกเลย
*** ตามหาใจตัวเอง
1. ทุกครั้งที่ซื้อของให้รู้ไว้เสมอว่า จะมีคำเตือนเล็กๆ ที่เรามองไม่เห็นอยู่ในป้ายราคาว่า * Happiness not included หรือ ภาษาไทยว่า * ความสุขไม่ได้รวมอยู่ในราคานี้
2. คอยถามตัวเองอยู่เสมอว่า เรากำลังทำอะไรอยู่ คำถามนี้จะช่วยเราได้เสมอในเวลาที่เราใช้เวลาให้หมดไปกับสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์กับตนเอง
3. ให้ความสำคัญกับคนใกล้ตัวที่เรารักมากกว่าสิ่งที่เราคิดว่า เราควรจะทำในขณะนั้น
4. เลือกอ่านหนังสือที่ช่วยให้เรามองกลับมาที่ตนเองมากกว่าหนังสือที่ชวนให้เราออกไปมองคนอื่นหรือสิ่งอื่น
..............................
ข้อมูลบางตอนจาก DVD called Philosophy: A guide to happiness by Alain De Botton