เชิญมาพักผ่อน คลายร้อนนั่งเล่น คุยกันเย็นๆ พร้อมเรื่องกีฬา สัพเพเหระ ทัศนะนานา ชีวิตชีวา สุขภาพทั่วไป บันเทิงขำขัน รอบเรื่องเมืองไทย ชวนเที่ยวที่ไหน อยากไปก็นัดมา ...โย่วๆ
-
bsk(มหาชน)
- Verified User
- โพสต์: 3206
- ผู้ติดตาม: 0
|0 คอมเมนต์
สืบเนื่องจากกระทู้
คมมนย.ทั้งหลาย
ขอขึ้นกระทู้ใหม่ซึ่งเป็นลำดับถัดไปดังนี้...
ผนึกกำลังฟ้าดินจากในหลวง-ปวงชนสู่ราชประชาสมาสัย (4)
โดย ปราโมทย์ นาครทรรพ 15 มกราคม 2550
ท่านผู้อ่านที่เคารพ 2 ตอนสุดท้าย เรามาถึงจุดที่สำคัญที่สุด เพราะทุกคนจะต้องตอบคำถามให้กับตัวเองหรือให้สังคมว่า ถ้าท่านไม่เอาในหลวงกับปวงชนแล้วท่านจะเอาใคร
ผมรู้ว่าเรื่องนี้เขียนยากสุดๆ ถ้าท่านอ่านแล้วไม่รู้เรื่อง ก็มิใช่ความผิดของท่าน ผมเองต่างหากที่โง่ไม่สามารถพูดให้มนุษย์เข้าใจ ผมจึงขอใช้อุบายสิบปากว่า -ไม่เท่าตาเห็น ด้วยการเสนอรูป ให้ดูสัก 2 รูป
ขอความกรุณาช่วยกันดูไปก่อน แล้วค่อยๆ คิดไปให้ถึงบางอ้อ ไม่ต้องงงนะครับ ไม่มีอะไรยากเลย ง่ายนิดเดียว
โปรดดูภาพประกอบที่ 1 บันได 8 ขั้นของการมีส่วนร่วม
รูปที่หนึ่ง คือเรื่องบันไดของการมีส่วนร่วมของประชาชน เป็นรูปที่ฝรั่งเขียนไม่กี่วันมานี้ ผมลอกเอามาทั้งดุ้น คือรูปบันได 8 ขั้น และคำนิยามกำกับทั้ง 8 ขั้น 3 ระดับ ระดับต้นมี 2 ขั้นเรียกว่า Nonparticipation แปลว่า (ส่วนร่วมแบบ) ไม่มีส่วนร่วม ผมเลยเรียกเองว่า ส่วนร่วมจอมปลอม ระดับกลาง 3 ขั้น เรียกว่า Tokenism คือ ส่วนร่วมกำมะลอ หรือขอไปทีพอเป็นพิธี ระดับสูง 3 ขั้น เรียกว่า Citizen Power หรืออำนาจของประชาชน
ท่านผู้อ่านโปรดอ่านคำนิยามกำกับแต่ละขั้นเรียงจากต่ำขึ้นไปหาสูงเอาเอง เสร็จแล้วจึงมาดูส่วนแบ่งเป็น 3 ระดับ แล้วลองคิดหาเหตุผลดูว่าทำไมเขาจึงจัดดังนั้น
ตามความเข้าใจของผม ฝรั่งคนนี้หวังจะอธิบายการมีส่วนร่วมของประชาชนในระบอบ Represntative Democracy หรือประชาธิปไตยแบบมีผู้แทนที่ค่อนข้างจะก้าวหน้าเป็นประชาธิปไตยอยู่แล้ว แต่การเปลี่ยนแปลงของโลกทำให้การปกครองแบบเลือกตั้งที่มีอยู่ไม่เพียงพอ เพราะความเติบโตของระบบเศรษฐกิจสังคม การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และโลกาภิวัตน์ มีแนวโน้มทำให้รัฐบาลใช้อำนาจเกินควรอย่างหนึ่ง ราษฎรหมดอาลัยไม่ไปออกสียงเลือกตั้งอย่างหนึ่ง เช่น ในอังกฤษและอเมริกามีเปอร์เซ็นต์ต่ำไม่เห็นฝุ่นประเทศไทยเลย เป็นต้น และราษฎรอีกส่วนหนึ่งเดือดร้อนหรือตื่นตัวเพราะผลกระทบที่เกิดจากการกระทำของรัฐอีกอย่างหนึ่ง จึงเกิดผลให้ราษฎรรวมตัวกันเรียกร้องประท้วงหรือเคลื่อนไหวในรูปต่างๆ ผลที่สุดไต่อันดับขึ้น จากความเคลื่อนไหวเป็นขบวนการ จากขบวนการเป็นองค์การ จากองค์การเป็นสถาบัน ทั้งหมดนี้ถือเป็นการมีส่วนร่วมของประชาชน ซึ่งเป็นสาระสำคัญของการยกระดับประชาธิปไตยให้ก้าวหน้าขึ้นไปอีก เรียกว่า Participatory หรือ Participative Democracy โดยรักษาโครงสร้างและอุดมการณ์เดิมของ Representative Democracy ไว้อย่างเดิมไม่มีการเปลี่ยนแปลง
ผมเขียนภาษาไทยกำกับไว้ช่องข้างบนทุกๆ ขั้นมิใช่คำแปล เพราะมันแปลตรงๆ ไม่ได้และไม่ต้องการจะแปล ทั้งๆ ที่ผมรู้จักคำศัพท์ทุกคำ และมองเห็นภาพที่เกิดในคำศัพท์นั้นๆ ในการเมืองของฝรั่งได้อย่างชัดเจน เพราะผมเคยใช้ชีวิตอยู่ในอเมริกากับอังกฤษ รวมทั้งไปเรียนในฝรั่งเศสแถมอีก ไปๆ มาๆ รวมแล้วเกือบครึ่งชีวิต แต่ภาพนั้นมิใช่ภาพเมืองไทย
ที่ผมเขียนกำกับในภาษาไทยนั้นมิใช่คำนิยาม แต่เป็นพฤติกรรมที่ผมมองเห็นและเคยสัมผัสในการเมืองการปกครองไทย ที่เป็น Representative Democracy แบบชักเข้าชักออก ไปไม่ถึงไหนสักที ผมเลยขอยืมอุบายเอากะไดมาล่อของการุณ ใสงาม มาใช้ด้วยการนำบันได 8 ขั้นของฝรั่งเป็นกล้องส่องกลับมาดูการชักเย่อกันระหว่างรัฐบาลกับประชาชนไทย ซึ่งหากจะไม่เขียนเป็นภาพ จะเขียนเป็นกลอนแทนก็ได้ ดังนี้
1. จัดตั้ง หวังครอบ ชอบปลุกปั่น สัญญาพล่อยๆ เหมือนอ่อยเหยื่อ
2. ส่งข่าว ไม่แจ้ง แหล่งคลุมเครือ ประชุมบ่อย เป็นเบื้อ เชื่อกรรมการหลอกล่อ เอาใจ ให้ตำแหน่ง หวังแบ่ง หวังแยกให้แตกฉาน คือส่วนร่วม แบบคำสั่ง ฟังรัฐบาล มาตรฐานกำมะลอ ขอไปที
3. เมื่อท้องฟ้าสีทองผ่องอำไพ รัฐราษฎร์ ร่วมใจกันเต็มที่ มอบอำนาจ ให้ราษฎร์ด้วยยินดี จึ่งจะมีส่วนร่วมประชาธิปไตย
ผมชื่อว่าท่านผู้อ่านมีตัวอย่างอีกเป็นร้อย เป็นพัน เป็นหมื่น เกี่ยวกับการมีส่วนร่วม หรืออุปสรรคการมีส่วนร่วมของไทย
ผมขอแถมสั้นๆ ว่า ส่วนร่วมของประชาชนก็คือประวัติหรือเนื้อหาหรือบ่อเกิดของประชาธิปไตย หากไม่มีประชาชนร่วมแล้ว ประชาธิปไตยก็เกิดขึ้นไม่ได้ หรือเกิดขึ้นแล้ว หากต่อไป ประชาชนไม่ร่วม ก็อยู่ไม่ได้เหมือนกัน
-
bsk(มหาชน)
- Verified User
- โพสต์: 3206
- ผู้ติดตาม: 0
|0 คอมเมนต์
โปรดดูภาพประกอบที่ 2 หนทางสู่ประชาธิปไตย
รูปที่ 2 ผมเขียนขึ้นมาเอง เป็นเรื่องของเมืองไทย ให้ชื่อว่า หนทางสู่ประชาธิปไตย หรือชื่อรอง หนทางการมีส่วนร่วมของประชาชน อย่างแรกคืออุดมคติหรือความฝัน อย่างหลังคือโลกแห่งความเป็นจริง
ผมเลือกใช้คำว่าหนทางแทนคำนิยามภาษาอังกฤษว่า continuum : ซึ่งผมไม่ทราบว่ามีบัญญัติไว้เป็นภาษาไทยว่าอย่างไร หนทางหรือ continuum หมายถึง การเดินทางผ่านห้วงเวลาจากจุดหนึ่งไปถึงอีกจุดหนึ่ง นานเท่าใดก็ได้ บนหนทางนั้น เวลาใดเวลาหนึ่งหรือที่ใดที่หนึ่ง ก็มีอะไรเหตุการณ์ที่น่าจดจำเกิดขึ้น เช่น น้ำท่วมใหญ่ ข้าวยากหมากแพง เปลี่ยนแปลงการปกครอง ปฏิวัติรัฐประหาร เป็นต้น หนทางในรูปนี้ ผมเลือกเฉพาะการมีส่วนร่วมของประชาชนมาเสนอ โดยขอยืมบันไดทั้ง 8 ขั้นในรูปที่ 1 มาวางไว้บนหนทาง และอธิบายความอ่อนแอหรือความเข้มแข็งของการมีส่วนร่วมเป็นจุดไข่ปลาหรือเส้นทึบโดยลำดับ ตรงกลางเป็นจุดไข่ปลาสลับกับเส้นทึบ เส้นทึบแสดงว่าการมีส่วนร่วมเข้มแข็งหนักแน่นแน่นอนทำนายทายทักได้ เกิดความพร้อมใจในสังคม พากันเดินไปสู่ประชาธิปไตยที่ประชาชนมีส่วนร่วน
ท่านผู้อ่านที่จำสามเหลี่ยม สี่เหลี่ยมและวงกลมการเมืองไทยของผมได้จะเข้าใจว่าเส้นตรงบนหนทางหรือ continuum นี้แท้ที่จริงก็เป็นอย่างเดียวกับเส้นที่อยู่ในวงกลมที่ใช้อธิบายวงจรอุบาทว์ หากบนหนทางเกิดการมีส่วนร่วมจอมปลอม สังคมก็หล่นลงไปสู่วงจรดังกล่าว เป็นต้น ฯลฯ
บัดนี้ ถึงเวลาแล้วที่เราจะตอบคำถาม ขอให้ทุกคนตอบอย่างจริงใจ อย่าโกหกตัวเอง สังคมไทยทั้งสังคมต้องตอบสื่อ และนักวิชาการต้องตอบ ข้าราชการทหารตำรวจต้องตอบ
คมช. ครม. สนช. และ ส.ส.ร. ต้องตอบว่าบัดนี้ เราอยู่ที่ไหน บนหนทางของการมีส่วนร่วม ในอนาคตเราจะตกลงไปสู่วงจรอุบาทว์หรือวัฏจักรน้ำเน่าหรือไม่ เพราะเหตุใด หากหวังว่าเราจะขึ้นไปสู่ความเป็นประชาธิปไตยได้ ทำไมจึงหวังอย่างนั้น มีสัญญาณอะไร
ความสำคัญผิดอย่างฉกรรจ์ของสังคมไทย คือเข้าใจว่า การมีส่วนร่วมคือการเรียกร้องสิทธิ ความจริงมิใช่การมีส่วนร่วมคือการปฏิบัติหน้าที่ที่รับผิดชอบขององค์ประกอบทุก ส่วนในสังคม เรียกรวมๆ กันว่าประชาชน
หากองค์ประกอบใดไม่รับผิดชอบ ปฏิบัติหน้าที่บกพร่อง ไปขัดขวาง หรือแย่งเนื้อที่การมีส่วนร่วมของผู้อื่น อีกร้อยชาติเราก็ไม่มีทางเป็นประชาธิปไตย
-
bsk(มหาชน)
- Verified User
- โพสต์: 3206
- ผู้ติดตาม: 0
|0 คอมเมนต์
ผนึกกำลังฟ้าดินจากในหลวงถึงปวงชนสู่ราชประชาสมาสัย (5)
โดย ปราโมทย์ นาครทรรพ
21 มกราคม 2550
ท่านผู้อ่านที่เคารพ ทำไปทำมา สู่ราชประชาสมาสัย ยังจบไม่ลง คล้ายกับความหวั่นเกรงว่าการเขียนรัฐธรรมนูญจะจบไม่ลง เพราะมีคนคอยทำแท้งอยู่ทุกขั้นตอน แม้แต่ใน คมช. เอง
พลเอกสนธิต้องออกมาปฏิเสธว่าไม่จริง ยังไงๆท่านและคณะก็จะต้องช่วยสร้างประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขให้สำเร็จให้จงได้
ความจริงในทางการเมืองนั้น ไม่เหมือนกับความจริงตามกฎหมายหรือในศาสนา ความจริงในทางการเมืองคือสิ่งที่คนหรือประชาชนเชื่อว่าจริง จะจริงแท้หรือจริงเท็จเป็นอีกเรื่องหนึ่ง เช่น ประชาชนรากหญ้าเชื่อว่าทักษิณเป็นพระมาลัยมาโปรด ใครๆก็เก่งสู้ทักษิณไม่ได้ เป็นต้น
เป็นหน้าที่ของรัฐบาลและ คมช. จะต้องพิสูจน์จนกระทั่งราษฎรเชื่อว่า คมช. เป็นของจริง และทักษิณเป็นของเก๊
ปัญหาที่ผมจะต้องพิสูจน์ก็ยากพอๆ กัน เพราะผมต้องการให้เกิดความเชื่อว่า
1. รัฐธรรมนูญ 2540 ซึ่ง คมช. สื่อ ส.ส.ร. และนักวิชาการ เชื่อว่าเป็นรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตยที่สุด สมควรใช้เป็นแนวทางในการร่างรัฐธรรมนูญใหม่นั้น ไม่จริง เป็นรัฐธรรมนูญเก๊
2. หากใช้รัฐธรรมนูญ 2540 ดังว่าเป็นแนวทางแล้ว เราจะได้ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ก็ไม่จริง ยิ่งกว่าฝันเสียอีก
3. โครงสร้าง องค์ประกอบ (บุคคล) กระบวนการ ในการร่างรัฐธรรมนูญขณะนี้เหมาะสมและดีที่สุด รับรองได้ว่าวงจรอุบาทว์จะไม่กลับมาในชั่วอายุของประธานมีชัย นี่ ก็ไม่จริงอีก
แต่ผมก็ทำหมายเหตุไว้เสมอว่า คมช.ไม่สมควรยกเลิกรัฐธรรมนูญห่วยๆ ฉบับนี้เลย น่าที่จะงดใช้เพียงบางมาตราที่ไม่เหมาะสมกับสถานการณ์ ในทำนองเดียวกัน ผมก็ไม่ขัดข้องที่จะเอารัฐธรรมนูญเก่าๆ ฉบับใดก็ได้มาใช้เป็นต้นร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยมีข้อแม้ว่า ต้องตัดส่วนที่ไม่เป็นประชาธิปไตยออก เพิ่มส่วนที่เป็นประชาธิปไตยเข้า และจัดเรื่องพระราชอำนาจให้ถูกต้องเป็นระบบทั้งในและนอกรัฐธรรมนูญ
ผมรู้ดีว่า ชนชั้นปกครองที่คุมกำลังและผู้มีปัญญาเขามิได้เชื่ออย่างผม ดีไม่ดีเขาจะอ้างเสียงส่วนใหญ่หรือหลักประชาธิปไตย (ผิดๆ)มาปิดปากผมเสียอีก
แล้วเขาก็นำเอาทรัพยากร เช่น งบประมาณและกลไกของรัฐบาลบรรดามี มาทำสงคราม (ความคิด) แย่งประชาชนกับผม น้ำหน้าอย่างผมจะเอาอะไรมาสู้
เขาบอกว่าอย่าห่วงเลย เสียงราษฎรคือเสียงสวรรค์ ตอนนี้กำลังปรึกษานักวิชา การอยู่ว่าเรื่องการมีส่วนร่วมของประชาชนจะเอายังไง กับทั้งประชาพิจารณ์ และการประชาสัมพันธ์ก็จะทุ่มเทกันอย่างมโหฬาร รวมทั้งการให้นิสิตนักศึกษามาช่วยเผย แพร่ประชาธิปไตยและสังเกตการเลือกตั้งด้วย
อภิโธ่เอ๋ย ผมได้แต่นึกในใจ
ผมอดตั้งข้อสังเกตดังต่อไปนี้ไม่ได้ ผมคิดว่าทั้งหมดนี้เป็นคนละเรื่องเดียวกัน
1. ในเดือนมิถุนายน 2516 ก่อนเหตุการณ์ 14 ตุลาคม ผมเขียนบทความเรื่อง อนาคตของประชาธิปไตยในประเทศไทย มีข้อความในตอนจบว่า
วิถีชีวิตแบบอภิสิทธิ์นั้นขัดกับวิถีชีวิตแบบประชาธิปไตย ฯลฯ
อนาคตของเมืองไทยนั้นเวลานี้ยังขึ้นอยู่กับอภิสิทธิชน ในเมื่อผู้มีการศึกษา ข้าราชการ ผู้มีอำนาจ ยังมีวิถีชีวิตอยู่เหนือเหตุผลและกฎหมายยิ่งกว่าคนส่วนใหญ่ ดังนั้น การจะทำนายอนาคตการเมืองแบบประชาธิปไตยของไทยย่อมง่าย
เมื่อผู้ที่มี ความสามารถ (จะเป็นประชาธิปไตย) ไม่เต็มใจ เป็น เมื่อผู้ที่ เต็มใจ (จะเป็นประชาธิปไตย) ไม่สามารถ เป็น
เผด็จการก็เห็นจะจำเริญรุ่งเรืองอยู่ในเมืองไทยอีกหลายสิบปี
ทางที่เมืองไทย จะไม่เป็นประชาธิปไตย นั้นมากกว่า และทางที่เมืองไทยจะเป็นประชาธิปไตยถึงจะพอมี ก็ไม่แน่นอนไปกว่าการเสี่ยงทายลูกเต๋า
2. ผมอยากจะให้พวกเราช่วยกันคิดถึงความเต็มใจและความสามารถในการเป็นประชาธิปไตยของ คมช. และกลุ่มอำนาจในปัจจุบันก่อน ความเต็มใจหมายความถึงความตั้งใจ+กับความจริงใจ และความสามารถอาจรวมถึง ความตั้งใจ+กับความจริงจัง+กับประสบการณ์ เราอาจใช้สมการนี้กับประชาชนที่จะมีส่วนร่วมได้ ผมสรุปว่า กลุ่มอำนาจเดิมของอดีตนายกฯ ทักษิณขาดทั้งความเต็มใจและความสามารถที่จะเป็นประชาธิปไตย
3. ในส่วนที่ความสามารถจะต้อง+ประสบการณ์เข้าไปด้วยนี้ ผมคำนึงถึงคำของรัฐบุรุษอาวุโสปรีดี พนมยงค์ว่า ในเวลาที่ท่านมีอำนาจนั้น ท่านยังขาดประสบการณ์ แต่พอท่านมีประสบการณ์แล้วท่านก็ไม่มีอำนาจ ในปี 2514 นั้น ผมไปหาความรู้เพิ่มเติมเรื่องรัฐธรรมนูญที่ฝรั่งเศส ได้พบกับคุณอิสระ นิติทัณฑ์ประภาส อนาคตประธานศาลรัฐธรรมนูญ ที่กำลังจะจบปริญญาเอก ผมได้แวะเวียนไปหาความรู้จากท่านปรีดีเป็นเวลา 4 เดือนเต็มๆ ผมได้ทราบจุดอ่อนของรัฐธรรมนูญและการเขียนรัฐธรรมนูญแบบฝรั่งเศส และเห็นว่าเมืองไทยไม่น่าจะยึดถือวิธีการฝรั่งเศสเป็นคัมภีร์เลย รัฐธรรมนูญฝรั่งเศสจะเขียนให้วิเศษอย่างไร ก็ตามก็ไม่ทันความจำเป็นและความเปลี่ยนแปลงในทางการเมืองของยุคสมัยและของฝรั่งเศสเลย ผลที่สุดรัฐธรรมนูญก็เป็นเพียงวรรณคดีชิ้นหนึ่ง ซึ่งต้องแก้ไปมาถึง 17 ครั้ง สิ่งที่ผมพลาดไปอย่างฉกรรจ์ก็คือมิได้ศึกษาการมีส่วนร่วมของประชาชนในการเมืองของฝรั่งเศสให้รู้แจ้ง ทั้งๆ ที่รู้ว่าการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองฝรั่งเศสทุกๆ ครั้งเป็นเพราะประชาชน
-
bsk(มหาชน)
- Verified User
- โพสต์: 3206
- ผู้ติดตาม: 0
|0 คอมเมนต์
4. เมื่อวันที่ 18 มกราคมนี้ พลเอกสนธิ ประธาน คมช. ได้ให้สัมภาษณ์ว่า สาเหตุที่แท้จริงของการยึดอำนาจ ก็คือ ต้องการทำลายระบบเผด็จการทุนนิยม เพื่อสร้างระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ส่วนเหตุผลที่ประกาศ 4 ข้อนั้นเป็นเพียงข้ออ้าง ผมอยากให้ท่านปรับคำพูดเสียใหม่ว่า ข้ออ้างทั้ง 4 นั้น คือตัวอย่างของความเลวร้ายทำลายชาติของระบอบทักษิณ ซึ่งผมได้พูดเสมอว่า ตราบใดที่ระบอบทักษิณยังอยู่ เราจะไม่มีทางเป็นประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือแม้แต่ประชาธิปไตยเฉยๆ ก็ตาม ผมเชื่อคำประกาศและความจริงใจจองพลเอกสนธิ ผมอยากเห็นกลไกของอำนาจทุกส่วน รวมทั้งพลังของปวงชนช่วยกันทำคำประกาศนั้นให้เป็นความจริง แต่ผมอดเป็นห่วงไม่ได้ว่าเราจะล้มเหลว ผมเชื่อว่าครั้งนี้เป็นโอกาสสุดท้าย เราล้มเหลวไม่ได้อีกแล้ว เพราะฉะนั้นเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งประชาชน จะต้องช่วยกันสุดชีวิตจิตใจและเต็มกำลังความสามารถ
5. ผมพบ การุณ ใสงาม อดีต ส.ว.จากบุรีรัมย์ บ้านเดียวกับเนวินที่มีการวางเพลิงเผาไปแล้ว 5-6 โรงเรียน การุณเป็น ส.ส.ร.ด้วย จะเป็นกรรมาธิการร่างหรือไม่ผมจำไม่ได้ แต่เป็นหรือไม่เป็นก็มีค่าเท่ากัน คือไม่มีความหมาย เพราะการุณเองได้ประกาศแล้วทั้งในที่ลับและที่แจ้ง ในบทความและในรายการทีวี สรุปความได้ว่าได้พิจารณาแล้วด้วยปัญญาและสมาธิอันยิ่งยวดของการุณ กระบวนการร่างรัฐธรรมนูญคราวนี้มีโอกาสล่มสูง หรือถ้าหากไม่ล่ม ถึงเวลาก็ถูกคว่ำตอนลงประชามติ เพราะจะร่างรัฐธรรมนูญดีอย่างไร ก็คงตอบปัญหาและความต้องการของรากหญ้าที่ยังหลงใหลใฝ่ฝันถึงทักษิณไม่ได้ คนพวกนี้ไม่ได้ฝันเปล่าๆ ยังเคลื่อนไหวเป็นคลื่นใต้น้ำ คลื่นบนดิน คลื่นในอากาศ ในศาลากลางจังหวัด ในโรงพัก ใน สนช. และแม้กระทั่งใน ส.ส.ร. อีกด้วย รายละเอียดโดยพิสดาร ขอให้ท่านผู้อ่านฟังจากการุณ เอาเอง ผมเชื่อว่าคำทำนายของการุณ เข้าเค้าทีเดียว
6. แม้นผมจะเชื่อพลเอกสนธิจนสุดหัวใจ แต่สำหรับคนอื่นๆ นอกจากพลเอกสุรยุทธ์และพลเอกสนธิ ถ้าหากการกระทำเสียงดังกว่าคำพูดแล้ว ผมยังไม่เห็นการกระทำสักกี่อย่างที่จะนำเราไปสู่ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขได้เลย ยิ่งกว่าเกียร์ว่าง ผมกลับเห็นการถ่วงเวลาและการตีกรรเชียงอย่างสุดๆ ของบรรดาลิ่วล้อทักษิณทั้งในวงตำรวจทหารข้าราชการและนักการเมือง ที่เริ่มจะมั่นใจขึ้นทุกทีๆ ว่า อีกไม่นานนายเราก็จะกลับมา ผมจะยกตัวอย่างก็ได้คือ เรื่องความล่าช้าของคดีความทั้งหลายที่ลิ่วล้อของทักษิณโดยเฉพาะอย่างยิ่งตำรวจและอันธพาลกระทำผิด ในทำนองกลับกันเรื่องที่ทักษิณเป็นโจทก์ทั้งตำรวจและอัยการก็ยังแข็งขันอยู่อย่างเดิมไม่เปลี่ยนแปลง เรื่องคดีทั้ง 3 ที่ผมเป็นจำเลยถูกทักษิณฟ้องติดคุกและชดใช้ค่าเสียหายรวม 2 พันล้านบาทนั้น มิไยที่ศาลจะพยายามไกล่เกลี่ยให้ถอนฟ้อง ทนายของทักษิณก็อ้างว่าไม่มีทางติดต่อนายได้ ผมต้องไปศาลมา 2 ครั้งแล้ว แต่ทนายผมต้องไปบ่อยกว่า 3 เท่า เจอการขอเลื่อนครั้งแล้วครั้งเล่า นัดต่อไปคือวันที่ 6 มิถุนายน 2550 หวังว่าตอนนั้นทักษิณคงกลับมาเถลิงอำนาจแล้ว โปรดสังเกตด้วยว่าฝ่ายตรงกันข้ามกับคุณทองแดงชื่อ ทนาย นพดล ปัทมะติดต่อกับทักษิณและนำมาถ่ายทอดเป็นรายวัน นี่หรือที่บอกศาลว่าติดต่อโจทก์ไม่ได้
7. ความตาถั่ว ความไม่เต็มใจ การเล่นพวก ที่ผมถือว่าเป็นการปฏิเสธราชประชาสมาสัยหรือการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขโดยตรง ก็คือ พฤติกรรมในการปฏิบัติงานของ สนช. และการเลือก ส.ส.ร. ตัวอย่างเช่น การมองไม่เห็นศาสตราจารย์ดร.ชัยอนันต์ สมุทวณิช กับดร.วุฒิพงศ์ เพรียบจริยวัฒน์ ในสายตา
ดร.ชัยอนันต์ นอกจากจะเป็นหนึ่งในกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ2517 ที่ประธานมีชัยเป็นอนุกรรมการแล้ว ขณะนี้ยังเป็นผู้บังคับการวชิราวุธวิทยาลัยของในหลวง เป็นประธานราชบัณฑิต เป็นราชบัณฑิตสาขารัฐศาสตร์และการเมือง เป็นนักรัฐศาสตร์มีชื่อเสียงระดับสากล ที่สำคัญยังเป็นต้นตำรับราชประชาสมาสัยคู่กับ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมชอีกด้วย ผมถาม อ.ชัยอนันต์ว่าเคยมีใครมาทาบถาม ขอความเห็น คำแนะนำเรื่องการร่างรัฐธรรมนูญหรือเรื่องราชประชาสมาสัยบ้างไหม อ.ชัยอนันต์ตอบว่า ศูนย์ ไม่มีเลย
ดร.วุฒิพงศ์ นั้น สอบไล่ ม.8 ได้ที่หนึ่งของประเทศไทย สำเร็จการศึกษาจาก 3 มหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในโลกคือ เอ็มไอที สแตนฟอร์ด และชิคาโกตามลำดับ แต่ที่สำคัญกว่าก็คือดร.วุฒิพงศ์ได้ศึกษาเปรียบเทียบพระธรรมของพระพุทธเจ้ากับหลักวิทยาศาสตร์อย่างลึกซึ้งจนเขียนเป็นตำราได้ เป็นผู้เปิดประเด็นเรื่องพระราชอำนาจในการเคลื่อน ไหวต่อต้านทักษิณ เมือได้รับแต่งตั้งเข้าสภานิติบัญญัติ ผมขอร้องมิให้ดร.วุฒิพงศ์ลาออก เพราะคนมีสมองอย่างดร.วุฒิพงศ์ถ้าตามไปช่วยไม่ได้ ก็อาจตามไปดู เพื่อสะสมปัญญาและประสบการณ์ ดร.วุฒิพงศ์บอกว่าขณะนี้พูดอะไรไม่ออก ทำอะไรก็ไม่ได้ เพราะไม่รู้ว่าใครเป็นใครอยู่ฝ่ายไหน ใครเป็นพวก คมช. หรือพวกทักษิณก็ไม่แน่ใจ แน่ใจแต่ว่าประธานมีชัยมีอัจฉริยภาพในการควบคุมสมาชิกและสถานการณ์ให้ดูราวกับว่าเป็นประชาธิปไตยได้อย่างยอดเยี่ยม
8. ทั้งหมดนี้ทำให้ผมจบบทความไม่ลง นอกจากจะสรุปว่า ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขนั้นยังไกลสุดเอื้อม เราจะต้องร่วมกันต่อสู้ จะอยู่เฉยๆ ไม่ได้ และเราต้องเข้าใจให้ถูกต้องเสียทีว่า ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขกับราชประชาสมาสัยนั้นคือสิ่งเดียวกัน เป็นคำนิยามซึ่งกันและกัน และใช้แทนที่กันได้ ไปด้วยกันได้ และจำเป็นต้องไปด้วยกัน เช่นเดียวกับพระมหากษัตริย์ซึ่งเป็นอเนกนิกรสโมสรสมมติจะต้องอยู่และไปด้วยกันกับปวงชน จะอยู่ภายใต้เผด็จการทหารหรือเผด็จการทุนนิยมไม่ได้ทั้งคู่
การต่อสู้ทางการเมืองขณะนี้ อาจสรุปได้จากวาทกรรมของฝ่ายที่ หน่ายเลือกตั้ง-คลั่งกษัตริย์ กับฝ่าย หน่ายกษัตริย์-กำหนัดเลือกตั้ง ซึ่งเป็นศัตรูกับประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขทั้งคู่ ฝ่ายหลังนอกจากจะมีนักวิชาการอรหันต์เป็นกองเชียร์แล้ว ยังมีมหาอำนาจสับปลับหนุนอีกด้วย (เรื่องอะไรของมึง) เราจะเดินทางสายกลางต่างหาก
ก่อนการล่มของรัฐบาลทักษิณ มีบุคคล 2 คนขอร้องให้ผมพยายามใช้ความคิดและอิทธิพล อย่าให้มีการเลือกตั้งในระบบเดิมอีก เพราะการเลือกตั้งดังกล่าวทั้งนักการเมืองและประชาชนต่างก็จะพากันเดินลงเหวของเผด็จการทุนสามานย์ทั้งสิ้น
บุคคลทั้งสองนั้นคืออดีต กกต.ที่เฉียดคุกหวุดหวิด คือพลเอกจารุภัทร์ เรืองสุวรรณ และอดีตประธานวุฒิสภาที่ถูกเปลี่ยนชื่อว่า สุชิน ชาลีเครือ
-
freemindd
- Verified User
- โพสต์: 455
- ผู้ติดตาม: 0
|0 คอมเมนต์
-
freemindd
- Verified User
- โพสต์: 455
- ผู้ติดตาม: 0
|0 คอมเมนต์
http://www.onopen.com/2007/editor-spaces/1424
หลังฉากพันธมิตร หลังวันรัฐประหาร และหลังรัฐบาลสุรยุทธ์ กับ สุริยะใส กตะศิลา
ครึ่งหน้าล่างน่าสนใจมากครับ ตั้งแต่
"จุดเปลี่ยนสำคัญอีกอันหนึ่งในพันธมิตรคือ" ลงไป
-
bsk(มหาชน)
- Verified User
- โพสต์: 3206
- ผู้ติดตาม: 0
|0 คอมเมนต์
ขอบคุณสำหรับบทความดีๆคับ
โอเพ่นออนไลน์ผมติดตามอ่านเป็นระยะ เคยอ่านเมื่อตอนที่เป็นฉบับตีพิมพ์
เป็นนิตยสารรายเดือนในขณะนั้น
ประชาไทก็ไปเยี่ยมเยียนเป็นระยะ มีเรื่องน่าอ่านเยอะเลย
และรวมถึงมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ไฟลามทุ่ง วิทยาลัยวันศุกร์ และ blog ต่างๆ
สารภาพว่าอ่านไม่ทัน..ต้องเลือกที่สนใจ ถูกใจและพอใจจริงๆ
..
-
bsk(มหาชน)
- Verified User
- โพสต์: 3206
- ผู้ติดตาม: 0
|0 คอมเมนต์
ได้โปรดเถิด..อย่าลากรัฐธรรมนูญไปลงหลุมอีกเลย
โดย ปราโมทย์ นาครทรรพ 26 กุมภาพันธ์ 2550
ความจริง ผมเตรียมต้นฉบับ ผนึกกำลังฟ้าดินสู่ราชประชาสมาสัย (ตอนจบ) ไว้นานพอสมควรแล้ว
แต่ยิ่งนาน ก็ยิ่งเห็นว่าต้องกล่อมเกลาให้เข้าใจง่ายขึ้น จากปฏิกิริยาของท่านผู้อ่าน ผมตระหนักว่า จะต้องพยายามขึ้นอีกหลายเท่า เพราะพื้นเพฐานความคิดและฐานข้อมูลมีความหลากหลายแตกต่างกัน
ผมจึงตัดสินใจรอเอาไว้ก่อน ทั้งๆ ที่ผมรู้แน่ๆล่วงหน้า ว่ากรอบความคิดเดิม ไม่มีทางร่างรัฐธรรมนูญให้ออกมาพ้นหลุมได้ หลุมต่างๆ ผมเคยพูดถึง ทำนายและท้วงติงมาหลายสิบปีแล้ว และทุกๆ ครั้งที่มีการร่างรัฐธรรมนูญ
ความจริงใน สนช.ก็ดี ใน ส.ส.ร.ก็ดี หรือในกรรมาธิการร่างก็ดี มิใช่จะมีแต่นักกฎหมายสับปะรังเคไปทั้งหมด นักกฎหมายใหม่ๆ ดีๆ ก็มีไม่น้อย ที่ไม่ใช่นักกฎหมายแต่เป็นอดีตข้าราชการสำคัญ นักวิชาการมีชื่อเสียง และผู้ทรงกิตติคุณในสาขาต่างๆ ก็มีอยู่มากเหมือนกัน เป็นผู้ที่ผมรู้จักรักใคร่เคารพทั้งสิ้น
แต่ความเก่งกาจทันสมัยของท่านกลับมิใช่ประเด็น ที่เป็นประเด็นก็ตรงที่ท่านติดกรอบความคิดเก่าหรือถูกต้อนเข้าในในกรอบเก่า อันได้แก่แบบแผนของการร่างรัฐธรรมนูญที่พัฒนาตั้งแต่ปี 2490 เป็นต้นมา
ปี 2490 เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญยิ่งของการเมืองไทย มิใช่แต่เรารัฐประหารสร้างต้นแบบเผด็จการนิยมเท่านั้น แต่เป็นปีที่สังคมเราเริ่มต้นเดินหนีออกจากความเป็นคนไทย ทั้งในด้านความคิดและการปฏิบัติ ทางเศรษฐกิจสังคมวัฒนธรรมและการศึกษา สาเหตุหลักก็เพราะความกลัวและความมักได้ติดยึดในลาภยศของชนชั้นปกครองที่หวังพึ่งอำนาจภายนอกคืออเมริกา
วิกฤตและวิปริตต่างๆ ของสังคมไทย หากสาวลงไปลึกๆ ก็จะพบว่าสืบเนื่องมาจากจิตใจและต้นแบบ 2490 ทั้งสิ้น
ความสั่นสะเทือนของสังคมไทยในปี 2518 เมื่อ 3 ประเทศเพื่อนบ้านพ่ายแพ้คอมมิวนิสต์ทั้งหมด ยังไม่เท่ากับปี 2490 เมื่อเหตุการณ์ใหญ่ในประเทศและโลกมาบรรจบกันถึง 4 อย่างคือ (1) พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลถูกลอบปลงพระชนม์ ในปี 2489 (2) เหมาเซตุงประสบชัยชนะเด็ดขาดสถาปนาระบบคอมมิวนิสต์ในจีนแผ่นดินใหญ่(3) อเมริกาทะยานตัวขึ้นเป็นอภิมหาอำนาจของโลก (4) อเมริกาประกาศตัวเป็นผู้นำสงครามเย็นเพื่อหยุดยั้งสกัดความก้าวหน้าของระบบคอมมิวนิสต์และเปิดฉากการต่อสู้ในภูมิภาคเอเชีย
ปฏิกิริยาและความเปลี่ยนแปลงทีละนิดๆ ที่เกิดขึ้นทำให้คนไทยไม่รู้สึกตัว เราทำลายแนวทางการพัฒนาที่รัชกาลที่ 5 ทรงวางไว้ดีแล้ว ตัวอย่างเช่น (1) เราหยุดพัฒนาการขนส่งทางรถไฟมาสร้างถนนหนทางแทน ก่อนที่อุตสาหกรรมรถยนต์ญี่ปุ่นจะเข้ารูปเราก็มีถนนมิตรภาพเสียแล้ว(2)เราเร่งพัฒนาเขื่อนไฟฟ้าโดยลดอัตราความก้าวหน้าและพื้นที่ของการชลประทานลง (3)เราขยายและตั้งส่วนราชการและสำนักงานของรัฐเพิ่มอย่างรวดเร็วและมหาศาล จนกระทั่งเรากลายเป็นรัฐราชการ (4)เราขยายการศึกษาโดยลอกตัวอย่างผิดๆ มาจากอเมริกา (5)การศึกษาของชนชั้นผู้นำทั้งทหารและพลเรือนทุ่มเทหันไปที่อเมริกาทั้งสิ้น แม้ส่วนที่เป็นทุนของรัฐบาลไทยเองก็ตาม
ทั้งสิ้นทั้งปวงนี้ ยังไม่เท่ากรอบความคิดในด้านการปกครองหรือหลักรัฐธรรมนูญที่ชนชั้นปกครองยัดเยียดให้ประเทศยึดถือเป็นแนวทาง ผมขอเรียกว่า แนวทาง 2490 หรือกรอบความคิดเก่าในการร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีลักษณะสำคัญ 2 ประการดังต่อไปนี้
1. เป็นแนวทางเผด็จการหรืออำนาจนิยม มุ่งเน้นอำนาจคือความเข้มแข็งของฝ่ายบริหารหรือรัฐบาลเป็นหลัก โดยหาคำนึงไม่ว่าหลักรัฐธรรมนูญหรือ Constitutionalism นั้นถือการจำกัดอำนาจรัฐบาลเป็นหัวใจ อำนาจนิยมในรัฐธรรมนูญไทยมีแหล่งที่มาอย่างน้อย 3 แหล่งด้วยกัน คือ (1) ความต้องการของผู้มีอำนาจทางการปกครอง ส่วนใหญ่เป็นทหาร (2) แรงบันดาลใจจากรัฐธรรมนูญเดอโกลของฝรั่งเศส ซึ่งนักวิชาการรุ่นเก่าคือหลวงวิจิตรวาทการและนักวิชาการรุ่นใหม่ที่รับใช้จอมพลสฤษดิ์พยายามลอกเลียนแบบมาเสนอเพื่อให้ถูกใจนาย (3) แรงบันดาลใจจากระบอบประธานาธิบดีของอเมริกัน ซึ่งดูเผินๆ หัวหน้ารัฐบาลและฝ่ายบริหารมีอำนาจและที่มาแยกจากฝ่ายนิติบัญญัติอย่างเด็ดขาด
ผู้นำไทยที่เป็นผลผลิตของการศึกษาดูงานอเมริกานี้ มักจะโอ่ทะนงตน แบบรู้ครึ่งไม่รู้ครึ่ง ส่วนใหญ่จะไม่เข้าใจรัฐธรรมนูญอเมริกัน สักแต่ว่าจบรัฐศาสตร์บ้าง การศึกษาบ้าง นิติศาสตร์บ้าง นึกจะลอกเรื่องวุฒิก็ลอกเอาดื้อๆ หรืออยากลอกการจำกัดประธานาธิบดีไว้ 2 เทอมก็จะลอก โดยไม่เข้าใจที่มาเหตุผลและความเชื่อมโยงของระบบซึ่งไม่เหมือนกับระบบรัฐสภา และไม่เข้าใจพืชฝรั่งกับดินไทย
รัฐธรรมนูญอเมริกันถือเป็นรัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษรที่ดีที่สุดฉบับแรกของโลก ตั้งแต่ประกาศใช้ยังไม่มีการล้มล้างเลย มีแต่การเพิ่มเติมที่เรียกว่าAmendment นานๆ ก็ผนวกเข้าไปที เมื่อทุกฝ่ายเห็นว่ามีความจำเป็น โดยไม่มีการขัดแย้งกันทางการเมืองเป็นมูลเหตุ
จุดเด่นที่สุดของรัฐธรรมนูญอเมริกัน นอกเหนือจาการสร้างระบบที่เรียกว่าเฟเดอรัลลิสม์แล้ว ก็ได้แก่การจำกัดอำนาจรัฐบาล (กลาง) การปกป้องสิทธิเสรีภาพพื้นฐานของประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเสรีภาพของสื่อซึ่งจะออกกฎหมายใดๆ มาจำกัดประการใดมิได้เลย และการเทิดทูนเสรีภาพทางศาสนาโดยห้ามมิให้สภาออกกฎหมายจัดตั้งหรือรับรองศาสนาใดๆทั้งสิ้น
2. ติดยึดกรอบความคิด กระบวนการและวิธีเขียนรัฐธรรมนูญของฝรั่งเศส ต้นตระกูลนักร่างรัฐธรรมนูญไทยเอาแบบและเลียนแบบตัวอย่างมาจากรัฐธรรมนูญฝรั่งเศสมิใช่จากอังกฤษ ซึ่งเป็นแบบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เพราะไม่รู้จะลอกอย่างไร เนื่องจากอังกฤษไม่มีรัฐธรรมนูญ หรือพูดให้ถูกไม่มีรัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษรที่เขียนไว้เป็นตัวหนังสือ
รัฐธรรมนูญฝรั่งเศสเขียนขึ้นหลังรัฐธรรมนูญอเมริกันไม่นาน แต่รัฐธรรมนูญอเมริกันฉบับดั้งเดิมยังอยู่ยงคงกะพัน ในขณะที่รัฐธรรมนูญฝรั่งเศสร่างแล้วฉีก ฉีกแล้วร่าง รวมแล้วยี่สิบกว่าฉบับ ตามความผันแปรและการต่อสู้ทางการเมือง
กรอบความคิดหรือความมุ่งหมายของรัฐธรรมนูญฝรั่งเศสจึงได้แก่ การแก้ปัญหาทางการเมือง หรือพูดให้ตรงขึ้นก็คือ การแก้ลำหรือขวางอำนาจทางการเมืองระหว่างกลุ่มต่างๆ ที่ขัดกันอยู่เป็นประจำ
ผู้สืบตระกูลนักร่างรัฐธรรมนูญไทยได้นำกรอบความคิดนี้มาฝังเข้าไปในกมลสันดาน และเผยแพร่จนเป็นสัจธรรมคู่เมืองไทย ว่าร่างรัฐธรรมนูญทุกครั้งบ้านเมืองจะดีขึ้น เพราะจะได้แก้ปัญหาที่ขัดข้องในอดีต เขียนอย่างไรก็จะต้องได้อย่างนั้น
หัวใจของปัญหาที่กล่าวอ้างทุกครั้ง ยกเว้นหลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม และ 19 กันยายน 2549 จะฟังได้จากคำประกาศของคณะปฏิวัติทุกคณะ และคำประกาศยุบสภาของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช และพลเอกเปรม ติณสูลานนท์
(วายร้ายของการเมืองไทยคือประชาชน และผู้แทนที่ฉ้อฉลซื้อเสียงมา)
การร่างรัฐธรรมนูญสไตล์ฝรั่งเศส นอกจากครั้งสุดท้าย ก็คือการยกพวกมาตะโกนเถียงเอาชนะกันในที่ประชุม
กระบวนการและวิธีร่างที่ไทยลอกเลียนมาก็คือการร่างโดยสภาที่มีกระบวนการ และวิธีการเหมือนการประชุมสภาผู้แทน ซึ่งเป็นวิธีที่กำหนดทิศทางและบริหารตามวัตถุประสงค์ได้ยาก และจะเสียเวลาที่สุดในการถกเถียง อวดอ้างภูมิ ความรักชาติและความเป็นอัจฉริยะของผู้ร่างแต่ละคน
สมัยที่ผมเป็นกรรมการร่างปี 2516 นั้นเราเกือบจะออกจากวงจรอุบาทว์นี้สำเร็จ แต่เมื่อโยนร่างไปให้สภานิติบัญญัติก็เข้าอีหรอบเดิมอีก
รัฐธรรมนูญและการร่างแบบฝรั่งเศสไม่ใช่ตัวอย่างที่ดีที่สุด เป็นตัวอย่างที่ควรหลีกเลี่ยง และครั้งสุดท้ายฝรั่งเศสเองก็หลีกเลี่ยง รัฐธรรมนูญของสาธารณรัฐที่ 5 หรือฉบับปัจจุบัน ประกาศใช้ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1958 ยังไม่มีวี่แววว่าจะถูกฉีกทิ้งแต่แก้ไขเพิ่มเติมมาแล้ว 18 ครั้ง มีชื่อเรียกอย่างไม่เป็นทางการว่ารัฐธรรมนูญเดอโกล ต้นร่างร่างโดยบุคคลคนเดียวคือนายมิเชล เดเบร
รัฐธรรมนูญที่อยู่ยงคงกะพัน เช่น รัฐธรรมนูญอเมริกัน รัฐธรรมนูญญี่ปุ่น รัฐธรรมนูญอินเดีย ตั้งแต่เริ่มร่างหรือเริ่มคิดก่อนจะร่างมีการถกเถียงและกำหนดหลักคิด หลักเทียบ และหลักฐานกันอย่างกว้างขวาง กระบวนการรับฟัง รับรู้และรับรองก็เช่นเดียวกัน
แต่ผู้ร่างแต่ละฉบับมีเพียงคนหรือสองคนเท่านั้น
ที่เป็นหลักในการร่างรัฐธรรมนูญอเมริกันก็คือ เจมส์ เมดิสัน กับโธมัส เจฟเฟอร์สันของอินเดียมีคนเดียว เป็นนักปราชญ์วรรณะจัณฑาลที่กลายมาเป็นผู้นำชาวพุทธชื่อ ดร.อัมเบ็ทกา รัฐธรรมนูญญี่ปุ่นมิได้ร่างด้วยคนญี่ปุ่นเสียซ้ำไป แต่ร่างด้วยสต๊าฟกฎหมายของนายพลแมคอาเธอร์ ผู้ยึดครองญี่ปุ่น ชื่อพันเอกมิโล โรเวล และพันเอกคอร์ตนี่ วิตนีย์
รัฐธรรมนูญที่ดีไม่จำเป็นต้องยาว ใส่อะไรต่ออะไรเข้าไปรุงรังหมด รัฐธรรมนูญไทยยาวกว่ารัฐธรรมนูญฝรั่งเศสหลายเท่า ในกรณีที่บ้านเมืองเป็นสาธารณรัฐ สหพันธรัฐ รัฐเผ่าชน มีดินแดน ศาสนา วัฒนธรรมและภาษาซับซ้อนหลากหลาย หากรัฐธรรมนูญจะยาวสักนิดราวครึ่งหนึ่งของรัฐธรรมนูญไทยปี 2540 ก็อาจจะพอฟังได้
แต่ยิ่งยาวก็ยิ่งขยายขี้เท่อ ยิ่งชวนฝรั่งมังค่ามาดูการเขียนก็ยิ่งตลก
อุทัย พิมพ์ใจชน เคยปรารภกับผมว่า อยากจะร่างรัฐธรรมนูญถาวรให้กับประเทศไทย มีเพียง 7 มาตราจะได้หรือไม่ ผมตอบคุณอุทัยไปว่าทำไมจะไม่ได้ ของอังกฤษไม่เห็นมีเลยสักมาตรา ยังไงๆ 7 มาตรา ก็ให้ยาวทุกมาตราก็แล้วกัน คุณอุทัยยังบอกผมว่าไม่จำเป็น
คุณอุทัยมีความคิดดีๆ ในทางการเมืองเสมอ แต่เมื่อเข้าไปอยู่ในระบบ คุณอุทัยก็ถูกต้อนเข้ากรอบ ความคิดดีๆ ก็เป็นหมัน คุณอุทัยเป็นประธาน ส.ส.ร ปี 2549 ทำอย่างที่เล่าให้ผมฟังไม่ได้สักอย่างเดียว คุณอุทัยหนีออกจากกรอบทั้ง 2 ที่ผมกล่าวมาไม่ได้ เหมือนกับคนเก่งๆ ดีๆ ทั้งหลายที่เป็นเหยื่อของระบบที่เลว
ผมอยากรบกวนสมาธิของส.ส.ร. และกรรมาธิการร่าง ขอให้ท่านไปหาหลักรัฐธรรมนูญที่ดีสัก 2-3 ประเทศที่ผมกล่าวมามาเปรียบเทียบ และเผยแพร่ เอาเฉพาะแต่ที่เป็นหัวใจของรัฐธรรมนูญจริงๆ คือ
1. การจำกัดอำนาจของรัฐบาล เขามีหลักและบัญญัติว่าอย่างไร มีข้อห้ามอะไรบ้าง
2. การค้ำประกันสิทธิเสรีภาพของประชาชน ทำอย่างไรของเขาจึงกะทัดรัดแต่ครอบคลุม และได้ผล มีหลักและข้อห้ามอย่างไร ทำไมจึงไม่ต้องเขียนลงไปสารพัด
3. การกำหนดกลไกของอำนาจอธิปไตยทั้งสามให้มีสมดุลเพื่อเป็นหลักประกันความเป็นจริงของหลักในข้อ 1 และ ข้อ 2
4. ในฐานะที่เรามีมหากษัตริย์ โปรดศึกษาเปรียบเทียบรวบรวมข้อมูลหลักฐานทฤษฎี และคำอธิบายพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยที่มีอยู่ในปัจจุบันทุกประเทศ และนิติราชประเพณีของกษัตริย์ไทย
ถ้าเขียนให้ครบทั้ง 4 ประเด็นนี้ ไม่ต้องเขียนอะไรอีกเลยก็ยังได้
จะให้ผมขอโทษผมก็จะขอโทษ จะให้ผมกราบเท้าผมก็จะกราบเท้า ขออย่างเดียว
ได้โปรดเถิด..อย่าลากรัฐธรรมนูญไปลงหลุมอีกเลย