ที่มา : http://www.midnightuniv.org/midnight254 ... 99950.htmlThe Midnight University
การเดินทางสู่ความเป็นมนุษย์ที่แท้
การวิจัยด้วยฝ่าเท้า : ประมวล เพ็งจันทร์ ๑
ดร. ประมวล เพ็งจันทร์
นักวิชาการอิสระ มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
หมายเหตุ : บันทึกการประชุมนี้ กองบรรณาธิการได้รับมาจาก อ. ชลนภา อนุกูล
เป็นบันทึกการประชุมจิตวิวัฒน์ ครั้งที่ ๓๔ (๖/๒๕๔๙)
เรื่อง การเดินทางสู่ความเป็นมนุษย์ที่แท้
บรรยายโดย ดร.ประมวล เพ็งจันทร์
วันจันทร์ที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๔๙
เวลา ๐๙.๓๐ - ๑๕.๐๐ น. ณ มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ
[email protected]
(บทความเพื่อประโยชน์ทางการศึกษา)
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน ลำดับที่ 980
เผยแพร่บนเว็บไซต์นี้ครั้งแรกเมื่อวันที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๔๙
(บทความทั้งหมดยาวประมาณ 18.5 หน้ากระดาษ A4)
การวิจัยด้วยฝ่าเท้า : ประมวล เพ็งจันทร์ ๑
ดร. ประมวล เพ็งจันทร์ : นักวิชาการอิสระ มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
บันทึกการประชุมจิตวิวัฒน์ ครั้งที่ ๓๔ (๖/๒๕๔๙) เรื่อง "การเดินทางสู่ความเป็นมนุษย์ที่แท้"
วันจันทร์ที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๔๙ เวลา ๐๙.๓๐ - ๑๕.๐๐ น. ณ มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ
รายชื่อคณะกรรมการผู้เข้าประชุม
๑. ศ.นายแพทย์อารี วัลยะเสวี มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ
๒. ศ.นายแพทย์ประเวศ วะสี แพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล
๓. ดร.เอกวิทย์ ณ ถลาง ผู้ทรงคุณวุฒิ
๔. ศ.สุมน อมรวิวัฒน์ ที่ปรึกษากรรมการนโยบาย สสส.
๕. ศ.นายแพทย์อุดมศิลป์ ศรีแสงนาม กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ สสส.
๖. ผศ.ดร.จุมพล พูลภัทรชีวิน คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
๗. ดร.นายแพทย์โกมาตร จึงเสถียรทรัพย์ สำนักวิจัยสังคมและสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข
๘. คุณศุภชัย พงศ์ภคเธียร โรงเรียนสัตยาไส
๙. นายแพทย์วิธาน ฐานะวุฑฒ์ ผู้ทรงคุณวุฒิ เชียงราย
๑๐. ดร.สรยุทธ รัตนพจนารถ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
๑๑. อาจารย์ชลนภา อนุกูล ม.เทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ
รายชื่อผู้เข้าร่วมประชุม
๑. ดร.ประมวล เพ็งจันทร์ มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
๒. คุณเอกชัย เอื้อธารพิสิฐ นักเขียน
๓. คุณธีระพล เต็มอุดม แผนงานพัฒนาจิตเพื่อสุขภาพ
เอกสารประกอบการประชุม
. บันทึกการประชุมจิตวิวัฒน์ครั้งที่ ๓๓
. บทความเรื่อง "อุดมศึกษาชุมชนธรรมชาติของอินเดีย วิศวภารตี - ศานตินิเกตัน: อุดมศึกษาที่ไร้กำแพง"
. บทสัมภาษณ์เรื่อง "มหาวิทยาลัยในอินเดียเชิงเปรียบเทียบ"
. บทความเรื่อง "อุดมศึกษาทางการแพทย์ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี: อายุรเวท วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีในอุดมศึกษาของอินเดีย"
. บทความทบทวนหนังสือเรื่อง "Collapse"
. บทความทบทวนหนังสือเรื่อง "Intelligence in Nature"
. บทความเรื่อง "อาสาสมัครผู้ปฏิบัติกิจแห่งพระโพธิสัตว์: บทเรียนจากฉือจี้"
. บทความเรื่อง "คุรุและเพื่อนร่วมทาง: สนทนากับเดวิด สปิลเลน"
นายแพทย์โกมาตร: สวัสดีครับ วันนี้เป็นวาระที่เราได้เชิญอาจารย์ประมวล เพ็งจันทร์ มาพูดคุยเรื่อง "การเดินทางสู่ความเป็นมนุษย์ที่แท้ และการศึกษากับความเป็นมนุษย์" ซึ่งเป็นผลจากการหารือกันในคราวที่แล้วว่า ประเด็นที่เราจะให้ความสำคัญนับจากนี้ไปคือเรื่องความเป็นมนุษย์ ทั้งในแง่ของการแพทย์ที่มีหัวใจของความเป็นมนุษย์ รวมทั้งเรื่องอื่นๆ ที่จะเชื่อมโยงไปสู่การพัฒนาความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้น เช่นกระบวนการศึกษาและการพัฒนาอื่นๆ
ก่อนจะเชิญอาจารย์ประมวลให้นำเสนอ ผมขอชี้แจงเกี่ยวกับเอกสารก่อน มีสรุปการประชุมคราวที่แล้วเรื่อง "บทเรียนจากฉือจี้" มีบทความทบทวนหนังสือในโครงการ ๑๐๐ เล่มสู่จิตสำนึกใหม่ ซึ่งทยอยสรุปเนื้อหาของหนังสือที่น่าสนใจออกมา โดยแจกในครั้งนี้สองเล่ม ที่เหลือจะเป็นบทความเรื่อง "หัวใจทางจิตวิญญาณของการแพทย์แผนทิเบต" ซึ่งดร. สรยุทธ ได้มาจากการสรุปในหนังสือเล่มหนึ่งแล้วนำมาเผยแพร่ให้กับพวกเรา นอกนั้นจะเป็นเอกสารการสรุปประเด็น "เหลียวหลัง แลหน้า ๒ ปีจิตวิวัฒน์" ก่อนจะเข้าสู่ปีที่ ๓ ของจิตวิวัฒน์ เป็นประเด็นการพูดคุยและทบทวนให้ทิศทางการทำงานของกลุ่มมีความชัดเจนมากขึ้นพอสมควร
วันนี้เราได้เชิญอาจารย์ประมวล เพ็งจันทร์ ซึ่งท่านศึกษามาทางสายปรัชญาจากอินเดีย ทำให้มุมมองในการเข้าใจปรัชญารวมทั้งการดำเนินชีวิตส่วนตัวของอาจารย์มีทัศนะที่น่าสนใจ วันนี้อาจารย์มีเอกสารมาแจกเรา ๓ ชิ้นนะครับ ชิ้นหนึ่งเป็นเรื่อง "อุดมศึกษาทางการแพทย์และเทคโนโลยี" เป็นเรื่องเกี่ยวกับอายุรเวท ชิ้นที่สองเป็นบทสัมภาษณ์เรื่อง "มหาวิทยาลัยในอินเดียในเชิงเปรียบเทียบ" ชิ้นที่สามพูดถึง รูปแบบการจัดอุดมศึกษาที่น่าสนใจในอินเดีย เป็น "อุดมศึกษาที่ไร้กำแพง"
เชิญเลยครับอาจารย์
อาจารย์ประมวล: ขอบพระคุณทางคณะผู้จัดที่ให้เกียรติครับ เอกสารที่วางแจกอยู่บนโต๊ะ ผมก็เพิ่งเห็นเป็นครั้งแรกเหมือนกัน (เสียงหัวเราะ) คิดว่าทางผู้จัดคงได้มาจากทางมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน วันนี้ผมมาถึงก่อนเวลาก็ได้คุยกับอาจารย์สุมน รู้สึกว่าหัวข้อการพูดคุยในวันนี้ไพเราะมากจนไม่รู้ว่าจะพูดให้ไพเราะเหมือนหัวข้อได้อย่างไร ขอกราบเรียนชี้แจงก่อนว่า สิ่งที่จะพูดต่อไปนี้เป็นประสบการณ์ล่าสุดที่ผมเพิ่งประสบมา ผมจะใช้เวลาพูดประมาณ ๔๕ นาที เนื่องจากทราบว่าเวลาในช่วงต้นคงไม่มากสักเท่าไหร่ เพราะฉะนั้นสิ่งที่ผมพูด อยากจะกราบเรียนทุกๆ ท่านที่เป็นผู้อาวุโสและเป็นผู้ทรงคุณวุฒิมากๆ ว่า ความรู้ของผมคงเป็นเพียงแค่ประสบการณ์เล็กๆ น้อยๆ ของคนตัวเล็กๆ คนหนึ่งเท่านั้นเอง
ผมถือคติอันหนึ่งซึ่งน่าจะได้อิทธิพลจากการศึกษาในอินเดีย คือคิดว่าการเกิดครั้งที่สองของผมน่าจะเป็นไปได้ เพราะฉะนั้นเมื่อวันที่ ๒๓ ตุลาคม ๒๕๔๘ ผมจึงลาออกจากตำแหน่งอาจารย์ประจำคณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ที่เลือกเอาวันนี้เพราะผมเกิดครั้งแรกเมื่อวันที่ ๒๓ ตุลาคม ๒๔๙๗ และตั้งใจว่าเมื่ออายุ ๕๐ ปีจะลาออก แต่เผอิญผมมีเงื่อนไขกับภรรยาว่า ผมจะยังไม่เปลี่ยนแปลงอะไรจนกว่าภรรยาจะมีความสุขกับการเปลี่ยนแปลงของผม เมื่อวันหนึ่งเห็นว่าภรรยามีความสุขกับการที่จะเห็นผมทำในสิ่งที่ตนปรารถนา ผมจึงได้เริ่มต้นการเกิดใหม่ครั้งที่สอง
ผมเริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยการก้าวเดิน ตั้งแต่ตีห้าของวันที่ ๒๓ ตุลาคม ๒๕๔๘ โดยเดินออกจากบ้านเพื่อเป็นการฝึกเดิน เปรียบเหมือนเด็กน้อยๆ ที่เมื่อเกิดออกมาแล้วก็ปรารถนาจะเดิน ผมฝึกเดินอยู่จนกระทั่งถึงวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๔๘ ซึ่งตรงกับวันลอยกระทงของจังหวัดเชียงใหม่พอดี จนคิดว่าเข้มแข็งพอที่จะเดินในระยะไกลๆ ได้แล้ว หลังจากภรรยาผมทดสอบว่าเดินได้จริงๆ วันละเท่าไหร่ สภาพร่างกายเป็นอย่างไร เพราะฉะนั้นวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๔๘ ผมจึงได้เดินออกนอกจังหวัดเชียงใหม่ โดยตอนแรกไม่มีเจตนาว่าจะออกเดินไปไหน
แต่ตอนฝึกเดินผมจะพบปัญหาอย่างหนึ่งคือ ชาวบ้านจะซักถาม แล้วเมื่อผมตอบไม่ได้ ชาวบ้านจะเข้าใจผิด คิดเสมือนประหนึ่งว่าคนๆ นี้วิกลจริต หรือคนบ้าที่ไม่รู้จะไปไหน ผมจึงคิดว่าครั้งนี้ต้องมีเป้าหมายทางกายภาพด้วย จริงๆ การเดินของผมเพื่อต้องการแสวงหาเป้าหมายทางจิตใจ แต่เมื่อไม่มีเป้าหมายทางกายภาพ ทำให้บางคนวิตกกังวลและเป็นห่วงว่าจะสามารถพาชีวิตรอดได้หรือไม่ เลยมีเป้าหมายว่าจะเดินกลับบ้านเกิดที่อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี ผมใช้เวลาเดินจากเชียงใหม่เมื่อวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๔๘ ไปถึงเกาะสมุย เมื่อวันที่ ๒๔ มกราคม ๒๕๔๙ ใช้เวลาทั้งหมด ๖๖ วัน
การเดินในครั้งนี้ผมใช้เงื่อนไข
หนึ่ง คือจะไม่เดินไปหาคนที่รู้จัก หรือถ้าคนรู้จักอยู่ที่ไหนก็จะหลีกไปใช้ทางอื่น
สอง คือจะไม่มีสตางค์ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของอำนาจติดตัวไปด้วย เพราะฉะนั้นในการก้าวเดินจึงรู้สึกว่าตัวเองได้รับโอกาสที่ประเสริฐสุด ที่จะได้ศึกษาความเป็นมนุษย์ที่ตัวเองมีอยู่ โดยไม่มีเสื้อผ้าอาภรณ์ทางสังคมมาประดับประดาตกแต่ง
บทเรียนที่ได้จากการก้าวเดินจึงเป็นบทเรียนที่ผมค่อนข้างจะภูมิใจ ไม่ได้บอกว่าสิ่งนี้ดีนะครับ แต่หมายความว่าเท่าที่ตัวเองตัดสินใจทำไปนั้น คิดว่าครั้งนี้เป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิต
ผมอยากจะเล่าประสบการณ์สั้นๆ เพราะเวลามีจำกัด ว่าในการก้าวเดินแบบนี้ เริ่มต้นจากการที่เราเผชิญสิ่งที่ไม่เคยคิดเลยว่า สิ่งง่ายๆ จะเป็นปัญหากับชีวิตมากขนาดนี้ เช่นกรณีอาหาร เพราะผมตั้งใจไว้ว่าจะไม่ขออาหารจากผู้ใดผู้หนึ่งด้วยการไปบอกว่าผมหิว ผมกระหาย ผมขออาหาร ผมจะไม่ทำ เพราะฉะนั้นในการเดินจึงประสบกับปัญหาที่ค่อนข้างหนักหนาสาหัส เพราะกว่าเขาจะรู้ว่าเราหิวโหยจนแทบจะขาดใจตายอยู่แล้ว ก็ต้องสังเกตเอาเอง และเมื่อมีคนให้อาหารผมทาน เพียงแค่อาหารมื้อแรกที่ได้รับ ผมก็รู้เลยว่าการกินอาหารที่ผ่านมาตลอดชีวิต มันได้แต่กินอาหารอย่างเดียว ได้แต่เสพรสอาหาร แต่ไม่ได้เสพรสชาติชีวิตมนุษย์อย่างแท้จริง
ผมยังจำภาพได้ ตอนผมเดินจากบ้านที่เชียงใหม่ในวันแรก ผมเดินไปจนถึงเวลาบ่ายค่อนจะเย็น ตอนนั้นผมหลีกไปเดินบนถนนสายเลียบคลองชลประทาน ในเขตอำเภอสันป่าตอง ผมเดินไปจนกระทั่งร่างกายมันล้า น้ำในกระบอกน้ำก็หมด เมื่อไม่มีน้ำดื่ม ผมรู้สึกเหมือนกับจะหน้ามืดเป็นลม คอแห้ง น้ำลายขม และรู้สึกว่าหูอื้อไม่ได้ยินเสียงอะไร เมื่อไปเห็นเพิงขายก๋วยเตี๋ยวซึ่งมีม้าหินขัดวางตั้งอยู่ ตอนนั้นไม่มีร่มไม้อยู่เลยเพราะเป็นทุ่งนา ผมเลยขออนุญาตเจ้าของเพิงขายก๋วยเตี๋ยวว่า ขอนั่งตรงนี้สักหน่อยได้ไหม เขาบอกว่าได้ ผมเลยนั่งลง แล้วเขาก็มีน้ำใจเอาน้ำมาให้ผมดื่ม
เมื่อเห็นว่าผมดื่มน้ำด้วยความหิวกระหาย เขาเลยถามว่าไปไหนมายังไง เมื่อเขาทราบความเป็นมาของผมแล้ว ตอนนั้นเขาเก็บของไปเยอะแล้วเพราะว่ามันเย็นแล้ว แต่เขาบอกว่าจะทำก๋วยเตี๋ยวให้ผมทาน จะทานไหม ผมก็ถามว่าจะลำบากไหม เขาบอกว่าเขาทำก๋วยเตี๋ยวขายให้คนอื่นอยู่แล้ว ไม่ลำบากหรอกที่จะทำก๋วยเตี๋ยวให้อีกสักชาม ผมบอกว่าถ้าไม่ลำบากและเต็มใจที่จะทำก๋วยเตี๋ยวให้ ผมก็จะทาน แล้วเขาก็ทำก๋วยเตี๋ยวให้ผม
ผมรู้ว่าก๋วยเตี๋ยวชามนั้นเขาเต็มใจทำจริงๆ เพราะมันเต็มชามเลย ทั้งเส้นก๋วยเตี๋ยว ทั้งลูกชิ้น ทั้งอะไรที่มีอยู่ เขาใส่จนมาเต็ม แล้วผมก็ได้รู้ว่าการได้ทานก๋วยเตี๋ยวชามนั้นมันมหัศจรรย์และวิเศษที่สุด เพราะก่อนหน้านั้นผมรู้สึกว่า เพียงแค่วันแรกชีวิตผมก็กำลังจะมอดดับ จะสลายเสียแล้ว แต่พอได้ทานก๋วยเตี๋ยวเท่านั้นเอง สิ่งที่มันเฉาไป มันก็ค่อยๆ ฟื้นคืนมา
ผมพูดกับพี่คนที่ให้ก๋วยเตี๋ยวผมทานว่า พี่ได้ต่อชีวิตให้ผมอีก ชีวิตผมยังได้มีต่อไป ขอบคุณมากๆ ผมจะจำไว้ว่าการทานก๋วยเตี๋ยวมื้อนี้เป็นสิ่งที่มหัศจรรย์ แกไม่รู้จะคุยอะไรกับผม ผมก็จากลาพี่คนนี้แล้วเดินต่อ ผมอยากเล่าว่าการทานอาหารเพียงแค่มื้อแรกก็สุดแสนจะมหัศจรรย์กับการที่มีชีวิตอยู่ เพราะมันเป็นสิ่งที่ทำให้เราตระหนักรู้ว่าอาหารที่เราทานเข้าไปนั้น มันมีความหมายมากกว่าที่เราเคยทานมาไม่รู้สักเท่าไหร่ และอาหารแต่ละมื้อที่ทานไปมีมิติแห่งความหมายทั้งนั้น จนผมรู้สึกเสียดายว่าตลอดชีวิตที่ผ่านมากินอาหารมาไม่รู้กี่ร้อยกี่พันมื้อแล้ว ทำไมจึงไม่ได้ความรู้สึก ไม่ได้อารมณ์ประเภทนี้เลย
มีอยู่มื้อหนึ่งที่ประทับใจผมมาก ผมเดินไปบนถนนเพชรเกษม ในเขตอำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี เป็นการเดินที่ยากมากเหนื่อยมาก ผมไม่สามารถบำเพ็ญภาวนาตามที่ตั้งใจไว้ได้ เพราะบนถนนมีรถเยอะ แล้วก็ร้อน ผมเดินไปจนกระทั่งเวลาเย็นยังไม่มืด ปกติผมตั้งใจว่าถ้ามืดจะหยุดพัก แต่วันนั้นมันเดินไม่ไหวแล้ว ร่างกายบอบช้ำเต็มที เวลาเดินผมจะกำหนดลมหายใจเข้าออกพร้อมกับก้าวเท้าซ้ายขวาให้สัมพันธ์กัน และพยายามจะไม่คิดเรื่องอื่น แต่ตอนนั้นทำไม่ได้แล้ว หายใจเข้าเร็วออกเร็ว แต่เท้ามันเกร็งก้าวตามไม่ไหว เลยเข้าไปในวัดจันทาราม ไปเจอหลวงพ่อซึ่งไม่รู้ว่าเป็นเจ้าอาวาสหรือพระลูกวัด ก็เข้าไปยกมือไหว้ท่านแล้วขออนุญาตพักในวัด ท่านเลยชี้มือให้ไปพักที่ศาลา
ผมเดินไปเจอพระอีกสามรูปนั่งอยู่ในศาลา ก็เข้าไปกราบท่านว่า ผมได้รับอนุญาตจากหลวงพ่อที่อยู่หน้าวัดให้เข้ามาพักที่ศาลา จะขอเข้าไปได้ไหม ท่านบอกว่าได้ แต่คงเห็นสภาพร่างกายผมแย่ ท่านเลยถามว่าเดินทางมาจากไหน ผมบอกว่าเดินมาจากเชียงใหม่ แล้วกินอยู่ยังไง ผมว่าถ้ามีคนให้กินก็ได้กิน ถ้าไม่มีก็ไม่ได้กิน แล้ววันนี้ได้กินอะไรหรือยัง ผมบอกว่ายังไม่ได้กินอะไรเลย ท่านเลยตะโกนไปที่ศาลา ถามเด็กวัดว่ายังมีอะไรเหลืออยู่ให้โยมคนนี้กินบ้างไหม เสียงทางโน้นตอบมาว่า เทให้หมาหมดแล้ว ท่านก็บอกว่าเดี๋ยวๆ อย่าเพิ่งเท ให้เขาดูก่อนเผื่อจะกินอะไรได้ แล้วพระก็บอกว่าโยมไปดูก่อนเถิด เผื่อว่ายังมีอะไรทานอยู่ได้บ้าง
ผมก็ไปที่ศาลา ตอนนั้นมันมีอาหารที่เทจากปิ่นโตและภาชนะบรรจุลงไปอยู่ในหม้อใบใหญ่ เขาก็บอกว่าเทหมดแล้ว ผมชะเง้อคอดู เทหมดแล้วจริงๆ แต่ว่าส่วนบนสุดมันเป็นข้าวเหนียว ไม่ใช่ข้าวเหนียวทางภาคเหนือที่กินเป็นอาหารคาว แต่เป็นข้าวเหนียวทางภาคกลางที่กินเป็นอาหารหวาน มันอยู่บนสุดและมีสภาพเป็นก้อนยังไม่ละลายไปกับข้าวเจ้าที่ผสมกับน้ำแกง ผมเลยชี้ไปว่าถ้าผมจะขอกินได้ไหม เขาบอกว่าเอาสิ ถ้ากินได้
แล้วผมก็หยิบข้าวเหนียวนั้นมา เขาถามว่าจะเอาอะไรอีกไหม ผมบอกว่าไม่เอาแล้ว เขาเลยเอาข้าวหม้อนั้นทั้งหมดมาคนๆ แล้วเทในกะละมังหรือถาดประมาณสามจุด ให้หมาซึ่งอยู่ริมศาลา ผมคิดว่าสักสิบตัวหรือมากกว่านั้นไม่แน่ใจ ผมนั่งดูหมาทานแล้วผมก็กินข้าวเหนียวที่อยู่ในมือ รู้สึกว่ารสชาติของชีวิตมันอร่อยมากที่ผมกับหมาได้กินอาหารร่วมกัน ได้มีชีวิตยืนยาวและมีความรู้สึกที่ดีๆ กับการได้เป็นเช่นนี้
ขอเล่าย้อนไปนิดนึง อาจจะไม่เป็นระบบแต่เพื่อจะโยงให้เห็นว่า อารมณ์ความรู้สึกแบบนี้มันเกิดขึ้นได้อย่างไร คือจริงๆ ผมมีความรู้สึกประทับใจกับหมามาก่อนหน้านี้แล้ว คือช่วงที่ผมเดินอยู่จังหวัดสุพรรณบุรี ช่วงถนนมาลัยแมน ผมเดินไปตอนมืดและนอนที่วัดศรีเฉลิมเขต อยู่ในอำเภอสองพี่น้อง ผมเข้าไปขออนุญาตเจ้าอาวาสเพื่อจะพักนอนค้างคืน ท่านก็อนุญาต เป็นที่ศาลาเหมือนกัน และตอนนั้นเวลาหัวค่ำแล้ว ปรากฏว่าที่ศาลานั้นมีหมาหลายตัวนอนอยู่ก่อน เมื่อผมเป็นคนแปลกหน้าเข้าไป มันก็เห่าเหมือนกับปฏิเสธการเข้าไปของผม ผมก็นั่งลงที่ริมศาลาแล้วพูดในใจกับหมา บอกว่าผมเดินมาไกล เหนื่อยมาก ขอที่เพียงเล็กน้อยเพื่อพักคืนนี้ ผมไม่เบียดเบียน ไม่เป็นอันตราย เราเป็นมิตรกัน ผมไม่มีอะไรเลย จะขอเป็นมิตรด้วย จะไม่ทำความรบกวน ไม่ทำความเดือนร้อนให้เขา
คิดว่าเขาคงไม่ได้ยินแต่ก็เห่าพอเป็นพิธีเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ แล้วกลับไปนอนต่อ ผมถือว่าเท่ากับเป็นการอนุญาต ผมก็นอนอยู่ริมๆ ศาลานั้นเอง แล้วหลับไปเพราะร่างกายแย่เต็มที มารู้สึกตัวอีกครั้งหนึ่ง ไม่รู้เวลาเท่าไหร่ แต่คงดึกดื่นมากแล้ว ตอนรู้สึกตัวใหม่ๆ ยังสะลึมสะลือว่าผมอยู่ที่ไหน ชีวิตผมมายังไง แต่พอเริ่มจำความได้ว่าผมเดินมา ตอนที่รู้สึกตัวนั้นมีกลิ่นสาบๆ คาวๆ ลอยมาเข้าจมูกผม
สักพักหนึ่งก็รู้สึกว่ามีอะไรมาสะกิดสีข้าง ผมเลยเอื้อมมือไปสัมผัสดู ปรากฏว่าเป็นหมาขี้เรื้อนที่ไม่มีขนแล้ว มีแต่หนังสากๆ ผมลองจับดูปรากฏว่ามีทั้งซ้ายและขวา เลยเกิดความรู้สึกวูบหนึ่งตอนนั้นว่า อ๋อ! ผมนอนที่วัด แล้วหมาเหล่านี้ตอนหัวค่ำมันเห่ารังเกียจ ไม่ต้องการให้ผมมานอนที่ศาลานี้ พอผมรู้สึกได้ขณะนั้น ผมเกิดความรู้สึกที่ดีมากๆ กับการมีชีวิตอยู่ มันเป็นความรู้สึกที่ไม่ได้มีเหตุมีผลอะไร แต่รู้สึกดีที่ว่า หนึ่งหมาต้อนรับผม เป็นมิตรแล้ว สองรู้สึกว่าชีวิตผมยังมีอยู่พอเหลือไออุ่นให้กับหมาขี้เรื้อนได้
ถ้าสมมติว่าเกิดตอนหัวค่ำนี้ผมตายลง ร่างผมคงเย็นชืด แล้วคงไม่มีประโยชน์อะไรที่หมาจะมานอนด้วย เพราะฉะนั้นการที่ผมยังมีชีวิตอยู่แม้ไม่ทำอะไรเลยก็ยังมีคุณค่าให้กับหมาขี้เรื้อนเหล่านี้ ความรู้สึกตรงนั้น ทำให้ผมเกิดความรู้สึกที่ดีกับการมีชีวิตอยู่และกับหมามาก ผมเอื้อมมือทั้งซ้ายทั้งขวาไปลูบมันแล้วมันก็แสดงอาการพึงพอใจ เหมือนช่วยทำให้มันรู้สึกดีขึ้น
ชั่วขณะนั้นผมนึกถึงความหมายของการภาวนาที่เราทำกันอยู่เสมอโดยปกติ แต่อาจจะไม่ได้คิดอะไรมาก คือการแผ่เมตตาที่เราพูดว่า ขอให้สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงผู้เป็นเพื่อนร่วมทุกข์ เกิดแก่เจ็บตายด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น จงมีความสุขความสุขเถิด ชั่วขณะนั้นผมไม่ต้องเอ่ยคำใดๆ เลย แต่ความรู้สึกเป็นเช่นนั้นจริงๆ คือเราเป็นเพื่อนร่วมเกิดแก่เจ็บตายกัน และเราขอให้เขามีความสุข เมื่อผมรู้แล้วว่าเหตุการณ์ที่ทำให้ผมตื่นขึ้นเป็นเพราะหมาขี้เรื้อนมันเกา และเอาขาที่มันเกานั้นมากระทุ้งสีข้างผม ผมก็นอนต่อด้วยความสุข
อารมณ์ความรู้สึกอย่างเมื่อตอนนั่งกินอาหาร ที่เขาก็กินอาหารและมีความสุขด้วยกันเช่นนี้ ทำให้ผมสัมผัสได้ว่า มันมีอะไรมากกว่าการได้กินข้าวเหนียวเล็กๆ ก้อนหนึ่ง ผมจึงมีความรู้สึกว่า แม้เพียงการได้กินอาหารแต่ละมื้อแต่ละคราวในการก้าวเดินไป ก็แสนจะมหัศจรรย์ และทำให้ผมตระหนักว่ามันเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่มาก ผมคงไม่เล่ามากไปกว่านี้ แต่เพียงยกตัวอย่างเท่านั้นว่า การได้ใช้ชีวิตในลักษณะนั้นทุกขณะที่เดิน มันเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์ เพียงแค่ได้กินน้ำกินข้าวสักนิดสักหน่อยก็เป็นสิ่งที่มีความหมายกับการมีชีวิตอยู่ รวมทั้งเรื่องอื่นๆ ด้วย
การได้เดินไป การได้พัก การได้นอน ได้พบปะกับคน โดยเฉพาะเมื่อเราไปในลักษณะนั้น คนที่ได้พบส่วนใหญ่จะเป็นคนที่เราเคยมองข้ามทั้งนั้น เช่นขอทานริมถนน เราไม่เคยคิดเลยว่าเขาจะมีอะไรน่าสนใจ แต่เมื่อผมเดินไปและบางวันหาที่นอนไม่ได้ ผมก็ได้นอนกับขอทานพิการซึ่งทำให้รู้ว่าเขาเป็นคนมีน้ำจิตน้ำใจ หรือบางครั้งคนที่เราคิดว่าเขาปัญญาอ่อน
ผมประทับใจคนๆ หนึ่งมาก ผมเดินไปที่วัดหนึ่ง อยู่อำเภอเดิมบางนางบวชหรือเปล่าไม่แน่ใจ ผมขอไปนอนที่วัดนี้ แล้วพระที่วัดบอกให้ไปกราบขออนุญาตจากหลวงพ่อในกุฏิ ผมก็ไปรอตั้งแต่ไปถึงวัดใหม่ๆ จนกระทั่งมืดแล้ว หลวงพ่อท่านยังไม่ออกมานอกกุฏิ จนผมรู้สึกว่าท่านคงไม่ออกมาแล้ว ผมเลยไปบอกพระ ท่านบอกว่าหลวงพ่อคงจำวัดแล้วล่ะ แล้วผมจะทำยังไงล่ะเพราะมันมืดแล้ว พระท่านเลยบอกว่านอนตรงไหนได้ก็นอน
ช่วงขณะที่ผมรอหลวงพ่ออยู่ มีคนๆ หนึ่ง ผมมารู้ชื่อเขาภายหลังเรียกกันทั่วๆ ไปว่า ไอ้น้อย เป็นชื่อที่เขาถูกเรียกตั้งแต่ยังเล็กๆ เขาเห็นผมก็สงสาร เลยชวนไปนอนใกล้ๆ กับที่ของเขา ใกล้ๆ วิหารพระศรี ถ้าใครอยู่จังหวัดสุพรรณคงได้ยินชื่อพระพุทธรูปองค์นี้ เขามีหน้าที่ดูแลปัดกวาดทำความสะอาดวิหารนี้ เขาพาผมไปบอกว่าไปนอนกับยักษ์ ผมนึกไม่ออกว่าหมายความว่าอะไร พอไปที่วิหารด้านใกล้ๆ กับพระพุทธรูป จะมีรูปพญามาร เล่าความหมายตอนที่พุทธประวัติยังเป็นพระมหาสัตว์เสด็จออกมหาภิเนกษกรม แล้วมีท้าวสุรัสวดีมารมาขัดขวาง จึงสร้างรูปพญามารขึ้น
ไอ้น้อยตีความว่าเป็นรูปยักษ์ ตรงฐานของรูปยักษ์จะมีพื้นที่ว่าง เขาก็บอกว่าให้ขออนุญาตยักษ์ ถ้ายักษ์อนุญาตก็นอนได้ เขาไปเอาธูปมาให้ผมสามดอก ผมก็เอาธูปไปจุดและคุกเข่าลงต่อหน้ารูปยักษ์ กล่าวให้น้อยได้ยินว่า ผมเดินทางมาไกล เหน็ดเหนื่อยแสนสาหัส ร่างกายบอบช้ำเต็มทนแล้ว จะขออาศัยเมตตาท่านยักษ์นอนตรงนี้ พอผมพูดเสร็จ น้อยก็บอกว่าท่านยักษ์อนุญาตแล้ว นอนได้ พอผมทำท่าจะนอน เขาบอกว่ากินอะไรหรือยัง ผมบอกว่ายังไม่ได้กิน เขาก็ไปขอข้าวสาร ปลากระป๋อง น้ำพริกจากพระ แล้วเอาข้าวสารมาหุง เอาปลากระป๋องมายำ เอาน้ำพริกมาละลายกับน้ำร้อน กับเอาผักที่เขาไปเก็บมาให้ผมกิน ผมรู้สึกดีมาก
พอได้คุยกับเขา ปรากฏว่าเขาเป็นคนที่มหัศจรรย์มาก เขาไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใครมาจากไหน ตื่นมาตอนเช้า สิ่งที่ผมทำก่อนจะออกจากวัด คือไปสอบถามให้ได้ว่าคนๆ นี้มาจากไหน และมีคนเล่าให้ฟังว่า เขาไม่รู้ว่าไอ้น้อยมาจากไหน ตอนที่ยังเป็นเด็กตัวเล็กๆ มีคนไปพบเขาถูกทิ้งไว้ที่ตลาดท่าช้าง แล้วมีคนเลี้ยงวัวนำมาเลี้ยงเพื่อให้เขาช่วยเลี้ยงวัวต่ออีกทีหนึ่ง พอเขาโตขึ้นมาหน่อย ผู้ชายที่เอาเขามาเลี้ยงเพื่อเฝ้าวัวเห็นว่าเขาโตไปแล้ว เลยเอามาให้วัด วัดเลยให้เขาอยู่ตั้งแต่ตัวเล็กๆ จึงเรียกไอ้น้อย และโตจนถึงทุกวันนี้ ปัจจุบันไอ้น้อยไม่มีชื่อในสำมะโนประชากรว่าเป็นคนไทยใน ๖๐ ล้านกว่าคน เขาเป็นใครมาจากไหนไม่มีใครรู้ แล้วเขาก็ไม่มีความรู้อะไร จำได้แต่เพียงว่าเขาเป็นคนๆ หนึ่ง และผมเข้าใจว่าถ้าเขาเห็นคนที่อยู่ในสภาพเช่นผม เขาจะเกิดความรู้สึกดีๆ จึงไปขอข้าวสาร ปลากระป๋อง ขอน้ำพริกมาทำอาหารให้ผมกิน
นี่เป็นเรื่องที่ผมประทับใจกับคนนะครับ กับคนมีเยอะมาก ผมเดินไปที่อำเภอทับสะแก จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เดินอยู่บนถนนเพชรเกษมเหมือนกัน มีผู้หญิงผู้ชายคู่หนึ่ง ผมมาทราบภายหลังว่าเขาเป็นสามีภรรยากัน เป็นคนคอยเก็บขยะเก็บพวกขวดน้ำพลาสติกไปขาย ความที่ผมเดินไปในลักษณะที่มีร่างกายบอบช้ำ เขาเลยเข้ามาคุยกับผม พอเขารู้ว่าผมเดินมาไกลและไม่ได้กินอะไร เขาก็มีน้ำใจบอกว่าจะให้อาหารผม เขาถามว่าผมจะไปที่ร้านใกล้ๆ นั้นจะได้ไหม ผมบอกได้ ก็เลยเดินไปด้วยกัน
แต่ผมพยายามจะบอกว่าอาหารนี่ต้องซื้อไม่ใช่หรือ เขายืนยันว่าเขามีตังค์ แล้วก็พาผมไปที่ร้านอาหารตามสั่งริมถนนก่อนจะถึงอำเภอทับสะแก แล้วเขาบอกผมว่าจะทานอะไรก็สั่งเอา ผมบอกว่าก็สั่งเอาถูกที่สุด สุดท้ายเขาเลยสั่งข้าวผัดให้ผม ผมชวนเขาคุยว่าเรากินข้าวผัดชามเดียวกันไหม เขาบอกว่าไม่หรอก วันนี้เป็นวันพระ เขาถือศีลกินเจ กินเนื้อสัตว์ไม่ได้ เพราะข้าวผัดที่สั่งมาเป็นข้าวผัดหมู
ขณะที่ผมนั่งกิน โต๊ะที่เขานั่งอยู่อีกฝั่งหนึ่ง ผู้หญิงที่เป็นภรรยาก็กล่าวกับผู้ชายที่เป็นสามีว่า เขาใช้คำสุภาพมาก ไม่น่าเชื่อเลยว่าคนเก็บขยะจะมีคำที่สุภาพเช่นนี้ ผู้หญิงพูดว่า พ่อ เพราะวันนี้เป็นวันพระ เราถือศีลกินเจ เลยมีบุญได้พบลุงคนนี้ ได้ให้อาหารแก แกน่าสงสาร พอผมได้ยินดังนั้น ผมเลยวางช้อนและพูดว่าเพราะวันนี้ผมเดินมาแล้วไม่มีตังค์ จึงมีบุญอันยิ่งใหญ่ที่ได้พบคุณทั้งสอง เป็นบุญของผมมากที่สุดที่ได้พบกับคุณที่ให้อาหารผม จากนั้นผมก็คุยอะไรเล็กๆ น้อยๆ
แต่ที่ผมประทับใจมากๆ คือก่อนผมจะจากไป ผมได้ขอที่อยู่ ขอชื่อ เขาก็ให้ชื่อมา แต่ปรากฏว่าเขาไม่มีที่อยู่ที่จะส่งทางไปรษณีย์ได้ เขาก็นั่งปรึกษากัน ผู้หญิงก็บอกว่าพ่อเขามีที่อยู่ ผู้ชายก็บอกว่าพ่อเขามีที่อยู่ สุดท้ายผมเลยบอกว่าเขียนที่อยู่ให้สักที่หนึ่ง ผมจะได้ส่งจดหมายให้เขาได้ และผมขำมากเมื่อเขาเขียนที่อยู่ให้ผมสองที่ เขาบอกว่าเผื่อให้มันถึงแน่ๆ เลยให้ที่อยู่ของพ่อผู้หญิงและที่อยู่ของพ่อผู้ชายด้วย ผมขำว่าถ้าเราจ่าหน้าซองทางไปรษณีย์สองที่อยู่ เขาคงส่งให้เราไม่ถูก แต่ที่ผมประทับใจคือ คนที่ไม่มีแม้กระทั่งที่อยู่เป็นหลักแหล่งแน่นอน ก็ยังมีสิ่งที่ทำให้ผมเกิดความรู้สึกประทับใจในความเป็นมนุษย์ที่แสนมหัศจรรย์
ผมได้พบอารมณ์อย่างนี้ตลอดระยะของการก้าวเดินไป รายละเอียดมีเยอะ ผมคงไม่มีเวลาที่จะนั่งคุยตรงนี้ แต่เพียงแค่ต้องการจะสื่อบอกเล่าท่านผู้มีเกียรติทุกท่านว่า ช่วงเวลาแห่งการก้าวเดินไป เป็นช่วงเวลาแห่งความมหัศจรรย์ของชีวิต และผมไม่เสียดายเลยว่าผมได้พยายามจะเกิดใหม่อีกครั้ง การก้าวเดินครั้งนี้มันเหมือนกับผมได้เติบโตขึ้นทางจิตใจ เป้าหมายที่ผมกำหนดไว้และผมไม่กล้าบอกใครเลย คือผมต้องการที่จะก้าวเดินให้ถึงเป้าหมายที่ไม่ใช่แค่เพียงแผ่นดินในทางกายภาพ แต่ความรู้สึกลึกๆ ของผมที่เป็นพุทธบริษัท และปฏิญาณตนว่าเป็นอุบาสกคนหนึ่ง จะคิดผิดคิดถูกยังไงผมไม่แน่ใจ คือผมต้องการจะก้าวไปให้พ้นความรู้สึกเสียดาย อาลัยอาวรณ์ในสิ่งต่างๆ ที่มีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สิน ร่างกายเลือดเนื้อของผม
ผมตั้งใจไว้ว่าผมต้องการก้าวให้พ้นความรู้สึกเกลียดชังรังเกียจ และสำคัญที่สุดคือก้าวให้พ้นความกลัวที่มีอยู่ในใจ ทุกๆ ช่วงขณะแห่งก้าวไป ผมจะพยายามอย่างที่สุดที่จะเจริญสติ ผมใช้สติปัฏฐาน ๔ เป็นเครื่องมือในการก้าวย่างทุกช่วงขณะ ยกเว้นช่วงที่เดินบนถนนที่มีรถพลุกพล่าน ไม่สามารถสำรวมจิตได้ ถ้าเป็นช่วงที่มีบรรยากาศดีๆ ก็จะทำสมาธิภาวนาไปตลอด เพราะฉะนั้นช่วงทั้งหมด เวลาที่ก้าวผ่านไป ๖๐ กว่าวัน เป็นช่วงที่ประเสริฐและผมคิดว่าเป็นช่วงที่ทำให้ผมได้ระลึกถึงที่ดีมากๆ
ผมคงไม่สามารถจะเล่าได้มาก แต่คงจะจบลงเมื่อผมไปถึงเกาะสมุยแล้ว ที่จริงผมรู้ว่าภารกิจของผมยังก้าวไม่ถึงปลายทาง แต่เนื่องจากสภาพเงื่อนไขทางสังคม ประกอบกับผู้ที่ให้ข้าวให้น้ำผมหลายๆ คนมีความรู้สึกว่า เขาอยากจะรู้ว่าผมเดินถึงไหน ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ พอผมกลับมาที่เชียงใหม่ ปรากฏว่ามีโน้ตจากการรับโทรศัพท์เป็นจำนวนมาก เพราะผมจะไม่กล่าวคำเท็จเป็นอันขาด เขาถามอะไรก็จะตอบ และเมื่อเขาขอเบอร์โทรศัพท์ ผมก็ให้เบอร์ ให้ชื่อภรรยาผม ก็มีโทรศัพท์ไปที่บ้านเป็นอันมาก ผมตั้งใจว่ากลับมาถึงจะเขียนจดหมายขอบคุณ พอลงมือเขียนก็ปรากฏว่าต้องเขียนจดหมายเป็นร้อยฉบับ เลยคิดว่าเราน่าจะเขียนจดหมายฉบับเดียวแล้วก๊อบปี้แจกดีกว่า เลยเขียนจดหมายเล่าให้เขาฟังว่าผมเดินไปถึงไหนบ้าง
ขณะที่ผมนั่งเขียนจดหมายหรือบันทึกอยู่ ผมไปพักอยู่ที่วัดอุโมงค์ สวนพุทธธรรม จังหวัดเชียงใหม่ เลยทำให้ผมได้ทบทวนสิ่งที่น่าจะนำมากล่าวในที่นี้ว่าพอจะมีอะไรบ้าง ผมคิดว่ามีสองสิ่งที่ผมประสบพบว่ามันเป็นความมหัศจรรย์ในการเดินครั้งนี้ คือผมพบว่า การที่ผมไม่มีเงินตราติดตัวไปเลย ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงความหมายของชีวิตได้โดยไม่น่าเชื่อ ทันทีที่ผมไม่มีเงิน มันเหมือนกับการที่เราหลุดออกมาอีกโลกๆ หนึ่ง ผมเข้าใจว่าความหมายของชีวิตของคนเราในปัจจุบัน ไปถูกทำให้ติดผูกพันอยู่กับเงินสูงมาก ถึงขนาดที่ว่าถ้าไม่มีเงินมันเหมือนชีวิตนี้ไม่มีความหมาย เพราะฉะนั้นการที่ผมเดินออกไปแล้วไม่มีเงินมันค่อนข้างเป็นสิ่งท้าทาย
มีอยู่ครั้งหนึ่ง เป็นเรื่องที่ผมค่อนข้างสนุก หมายถึงคือเป็นบทเรียนที่ดีมาก ช่วงที่ผมเดินไปหยุดที่อำเภอคลองขลุง จังหวัดกำแพงเพชร มีชายหนุ่มคนหนึ่ง เขาขับรถปิ๊กอัพมา และพอเห็นผมเดิน เขาเลยหยุดรถเพื่อจะถามว่าจะไปไหน เขาอาสาพาผมไปด้วย ผมชี้แจงให้เขาฟังว่าผมมีเจตนาที่จะเดิน ไม่มีเจตนาจะขึ้นรถไป เพราะการเดินเป็นเป้าหมายของผม เมื่อเขาเห็นผมพูดเช่นนั้น เขาคงมีความรู้สึกอยากคุยด้วย เลยปรารภขึ้นมาว่าเขาจะมีส่วนช่วยอะไรได้บ้างไหม ผมบอกว่าเพียงแค่เขาหยุดทักและถามผมก็ช่วยให้ผมมีกำลังใจเดินมากแล้ว แต่เขาไม่ยอม สุดท้ายเขาขอที่จะให้อาหารผมสักมื้อ ตอนนั้นเป็นช่วงก่อนเที่ยง เขาพาผมไปที่ใกล้ๆ แล้วสั่งอาหารให้ ก่อนที่เขาจะขับรถไป ก็เอาสตางค์ ๒๐๐ บาทมาใส่ไว้ในซอกเป้ แล้วขับรถหนีไปเลย
ผมพบว่าสตางค์ ๒๐๐ บาทนี้ มันเข้ามาเป็นตัวแทรกในชีวิตผมที่มหัศจรรย์มาก คือจากคลองขลุง ผมเดินไปขาณุฯ (อำเภอขาณุวรลักษบุรี) จากขาณุฯ ผมจะเดินข้ามถนนตัดเพื่อไปทางอำเภอลาดยาว ถัดมาอีกวัน ผมเดินไปทางอำเภอขาณุฯ ผมเดินจะไปข้ามถนนตรงสลกบาตร (ตำบล สลกบาตร) ประมาณสักเที่ยงค่อนบ่ายโมง ผมดื่มน้ำหมดไปตั้งแต่ตอนก่อนเที่ยงแล้ว ผมหิวน้ำมาก น้ำลายเหนียว ขม แล้วรู้สึกหูอื้อนิดๆ ตอนนั้นผมเดินจะข้ามถนน มันเป็นไฟเขียวสำหรับทางใหญ่ให้รถวิ่งไป ทางผมเป็นไฟแดง ผมยืนอยู่ตรงนั้น ตรงหัวมุมเป็นคิวมอเตอร์ไซค์รับจ้าง มีมอเตอร์ไซค์จอดอยู่สามคัน ตอนแรกเขานึกว่าผมจะไปจ้างเขายังไงไม่ทราบ เลยถามผมว่าจะไปไหน ผมบอกจะเดินไป เขาเลยไม่สนใจ แต่ตรงหัวมุมมีร้านขายของ และมีตู้แช่ขายน้ำทุกชนิด ทั้งน้ำดื่มธรรมดา น้ำอัดลม ผมเกิดความรู้สึกมองดูตู้แช่น้ำนั้นด้วยจิตใจที่แย่มากๆ ว่ามันมีความรู้สึกว่าก็เงิน ๒๐๐ บาทที่อยู่ในเป้นี้ เขาให้เรามา เราก็น่าจะเอามาซื้อน้ำดื่มได้แล้ว
ความรู้สึกตอนนั้นมันเหมือนกับผมจะยอมจำนนต่อความหิวกระหาย แต่เผอิญโชคดี ไฟเขียวฝั่งผมมันขึ้นและไฟแดงฝั่งถนนใหญ่มันขึ้น รถทุกคันต้องหยุด ผมเลยรีบวิ่งออกไปจากตรงนั้น คนขับมอเตอร์ไซค์คงนึกว่าผมรีบวิ่งข้ามถนน แต่ความจริงผมรีบวิ่งหนีอารมณ์ตัวเองที่อ่อนแอมาก เพียงแค่มีเงิน ๒๐๐ บาทอยู่ในกระเป๋า ทำให้ผมเกือบพ่ายแพ้ต่อปฏิญญาที่ตัวเองให้ไว้ เงิน ๒๐๐ บาทนี้ผมไปให้ขอทานที่อำเภอสว่างอารมณ์ เป็นเงินที่มีค่าอยู่ไม่ใช่น้อย เป็นขอทานที่ให้ผมนอนด้วย สุดท้ายผมไม่มีอะไรตอบแทนเขา เลยบอกว่าเงินนี้มีคนให้ผม แต่ผมไม่มีความจำเป็นจะต้องใช้ มันหนักมากจนผมแบกไว้ไม่ไหว ช่วยเอาไว้ใช้ด้วย เขาก็ไม่เข้าใจคำว่าหนักมากของผม คือผมต้องการบอกว่าเงิน ๒๐๐ นี้มันหนักหนาสาหัสบนบ่าบนไหล่บนจิตของผมเสียเหลือเกิน
ผมเข้าใจว่าเรื่องเงินตราเป็นเรื่องที่ละเอียด แต่ผมคงพูดเพียงเท่านี้ว่า ทันทีที่เรามีเงินหรือทันทีที่เราอยากได้เงินหรือกระหายเงิน ความหมายของชีวิตมันจะมีรสชาติที่แปรเปลี่ยนไปเลย เพราะฉะนั้นวันที่ไม่มีเงิน ผมจึงได้สัมผัสรู้ว่าชีวิตมีรสชาติ มีความหมายที่มหัศจรรย์ แต่ตรงนี้ไม่ได้พูดเพื่อจะบอกว่าเงินไม่มีคุณค่าหรือไม่มีความหมาย แต่คุณค่าของเงินเมื่อมาผสมกับความปรารถนาความอยากของเรา ทำให้ชีวิตเราเปลี่ยนเป็นอีกแบบหนึ่งได้
เรื่องที่สองที่อยากจะกล่าวเป็นเชิงสรุปตรงนี้คือ ผมเข้าใจว่าในการเดิน มีปัญหาหนึ่งที่ผมประสบและพบ คือเรื่องเวลา เมื่อเราอยู่ในชีวิตปกติเรามีเรื่องเวลาเข้ามากำกับคุณค่าและความหมายตลอด แต่เมื่อผมก้าวเดินไปแล้ว ผมอธิษฐานขอตั้งมั่นเอาจิตจดจ่ออยู่กับปัจจุบันธรรมเท่านั้น ไม่ตกไปที่อดีตหรือไม่กระสับกระส่ายกลายเป็นการปรุงแต่งเป็นไปเพื่ออนาคต และผมพยายามถือเคร่งเป็นที่สุด ถ้าไม่เกิดสภาพที่ปั่นป่วนข้างนอก เช่น บนถนนมีรถราพลุกพล่าน ผมจะไม่คิดเรื่องอื่น และถ้าสมมติว่ามีอะไรที่ตกหล่นไป ผมก็ใช้วิธีแบบพระ คือปลงอาบัติกับต้นไม้บ้างกับอะไรบ้าง
ถ้าเผลอไผลไปคิดอดีตบ้าง คิดอนาคตบ้าง การกระทำเช่นนี้ยุ่งยากอยู่ในตอนแรกๆ แต่พอทำไปสักระยะหนึ่งก็รู้สึกว่าทำได้ และเกิดความรู้สึกที่มหัศจรรย์ ที่แต่ละวันๆ ผ่านไป เรามีจิตใจเบิกบานอยู่กับการก้าวย่างทุกขณะ ทีละก้าวๆๆ และความเป็นเช่นว่านี้ มันมีความหมายของการมีชีวิตอยู่ที่ผมเข้าใจว่ามหัศจรรย์มาก ผมเพิ่งได้ประจักษ์แจ้งว่า จริงๆ แล้วชีวิตของเราที่มันมีปัญหามากมายสารพัด ส่วนหนึ่งเพราะเราตกอยู่ภายใต้เงื่อนไขของการปรุงแต่งเรื่องเวลา มันทำให้สิ่งที่เป็นปัจจุบันสูญเสียคุณค่าไป เมื่อผมสามารถกลับมาสู่ความเป็นปัจจุบันได้ ทำให้ผมเข้าใจพระพุทธวจนะที่ว่า จะมีชีวิตอยู่สักร้อยปี แต่จิตใจไม่สงบนิ่ง ไม่เย็นเป็นสุข สู้มีชีวิตอยู่นาทีเดียวแต่จิตสงบนิ่งเป็นสุขไม่ได้ ผมประจักษ์แจ้งในขณะที่เดินไปนี่แหละครับ
ผมกราบเรียนท่านผู้มีเกียรติผู้ทรงคุณวุฒิทุกท่านไว้แค่นี้ เวลานี้คงเป็นเรื่องสนทนา ขอบพระคุณมากครับ
นายแพทย์โกมาตร: ขอบคุณมากครับอาจารย์ ผมคิดว่าเป็นบุญของพวกเราอย่างยิ่งที่ได้ฟังอาจารย์มานำเสนอ คงให้พวกเราได้พูดคุย ซักถาม หรือแสดงความเห็นต่างๆ ผมเพิ่งได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่งของอาจารย์สุวรรณา สถาอานันท์ เรื่อง มนุษยทัศน์ในปรัชญาตะวันออก ในบทสุดท้ายที่พูดถึงเรื่องปรัชญาอินเดีย อาจารย์ได้พูดว่าลักษณะความรู้แบบปรัชญาของอินเดียมีลักษณะเด่นประการหนึ่งคือ ไม่มีความรู้ไหนดำรงอยู่ลอยๆ แยกขาดจากสภาวะของการเป็นผู้รู้ วันนี้มานั่งฟังอาจารย์ก็รู้สึกอย่างนั้นว่า ถึงแม้อาจารย์จะเล่าจนเรามีความรู้สึกหลายๆ อย่าง แต่คงจะเทียบไม่ได้กับสิ่งที่อาจารย์ได้ไปเจอกับตัวเอง และได้สัมผัสเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ก็รับฟังด้วยความชื่นชม เชิญครับ
อาจารย์จุมพล: ผมว่าวันนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่น่าสนใจและเป็นประโยชน์มากกับกลุ่มของเรา อาจจะเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของมิติทางด้านสุขภาวะทางจิตวิญญาณ ที่ผมได้สัมผัสโดยตรงผ่านท่านอาจารย์ประมวลนี้ ฟังไปก็มีความรู้สึกอยากจะให้คนอื่นเขาได้มีโอกาสฟังเรื่องนี้บ้าง แล้วอยากให้มีการเผยแพร่ออกไปเยอะๆ อย่างน้อยสุดแวบแรกที่ผมได้ฟังอาจารย์พูด ผมนึกทันทีเลยว่าจะขออนุญาตนำสิ่งที่อาจารย์เล่าให้พวกเราฟัง เอาไปให้คนที่อยู่ใกล้ตัวผมที่สุดคือครอบครัวผมฟัง และผมจะถือโอกาสฟังร่วมกับเขา โดยเฉพาะกับลูกชายวัยรุ่นสองคน น่าจะเป็นประโยชน์มาก และยังคิดไกลไปว่า ถ้าเอาไปเล่าให้ลูกศิษย์ฟังคงจะดี แล้วดูสิว่าเขาจะพูดอะไรออกมาบ้าง หลังจากที่ได้ฟังอาจารย์เล่าประสบการณ์สั้นๆ ที่น่าประทับใจมาก เพราะคือการก้าวเดินสู่ชีวิตใหม่ที่อาจารย์ใฝ่ฝันและปรารถนาจะไปถึง ต้องขอแสดงความเคารพด้วยความจริงใจ
นายแพทย์โกมาตร: อาจารย์ประเวศ เชิญครับ
นายแพทย์ประเวศ: ไม่ทราบว่าอาจารย์บันทึกเรื่องทั้งหมดนี้ไว้หรือยัง ถ้าเขียนเป็นหนังสือจะน่าสนใจ เพราะว่ามันจะตรงข้ามกับกระแสวัตถุนิยม บริโภคนิยม เงินนิยมที่กำลังไหลบ่าท่วมสังคม และก่อความทุกข์ความวิกฤตให้กับคนทั้งโลก ถ้าอาจารย์เขียนเป็นหนังสือ และได้คนอ่านจะน่าสนใจ บางคนอาจนำไปทำเป็นการ์ตูนต่อก็ได้ ว่ามีคนผู้หนึ่งเดินไปตามที่ต่างๆ หรืออาจไปทำเป็นวิดีโอ คนจะได้เข้าใจในการเอาชีวิตไปสัมผัสธรรมชาติ อาจจะคล้ายกับที่หลายแห่งกำลังทำอยู่แต่ว่าเข้มข้นน้อยกว่า เช่น การภาวนา ไปอยู่ในป่า ไปอยู่ในทะเลทรายคนเดียว สัมผัสกับธรรมชาติดูใจของตัวเอง เข้าใจว่าเขาทำกันสองอาทิตย์ แต่อาจารย์ หกสิบกว่าวัน
ผมเรียนถามนิดนึงว่า หลังจากอาจารย์กลับจากการเดินทางแล้ว รู้สึกว่าตัวเองเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร แล้วการเปลี่ยนแปลงนี้ ค่อยๆ เปลี่ยนไปเรื่อยขณะเดินทาง หรือว่ามีจุดที่เปลี่ยนทันทีเลยหรือเปล่า
อาจาย์ประมวล: ขอบพระคุณมากครับ คือส่วนใหญ่ตอนเดินผมจะไม่ได้คิด มีแต่ความรู้สึกกับสภาวธรรมที่ปรากฏ ช่วงที่จะคิดได้คือช่วงหยุดพัก ผมจะมีสมุดโน้ตพร้อมกับมีข้อสัญญากับภรรยาผม ซึ่งตอนนั้นเราไม่แน่ใจว่าผมจะมีชีวิตจบลง ณ ที่ใด ตอนที่ผมกอดภรรยาและจากลา ผมถือว่าเราเดินทางไปด้วยกัน เพราะฉะนั้นผมจะเขียนไปรษณียบัตรอย่างน้อยวันละหนึ่งแผ่น บางวันเขียนสองสามแผ่นถ้ามีที่ให้นั่งเขียนหรือมีแสงไฟ ช่วงนั้นจะได้คิด และขณะที่คิดผมจะพบว่ามันมีความหมาย เพราะในขณะที่เดินผ่านมาแล้วผมไม่รู้เลย
ตัวอย่างเช่น วันที่ผมเดินมาจากแม่แจ่ม คือผมเดินจากเชียงใหม่ เข้าจอมทอง ขึ้นอินทนนท์ จากอินทนนท์ไปแม่แจ่ม มาอำเภอฮอด ช่วงที่ผมมาจากแม่แจ่มไปค้างคืนที่หลวงโป่ง แล้วเดินเข้าฮอด มันเป็นช่วงขาลง ตอนนั้นผมเป็นไข้เนื่องจากตอนขึ้นไปอินทนนท์ อากาศหนาวมาก ทำให้ผมเป็นไข้ เมื่อหายแล้วผมก็เดินต่อ ทีนี้ช่วงที่ผมเดินต่อ ผมเดินได้ดีมากเพราะเป็นช่วงที่ถนนมีรถน้อย ผมทำสมาธิได้ดีมาก เดินได้ ๑๘ กิโลเมตรโดยไม่ได้คิดเลยว่าเป็นระยะทางที่ไกล ทีนี้มีรถคันหนึ่งเป็นรถบรรทุก เขาหยุดถาม เพราะวันก่อนเขาเห็นผมเดินอยู่ที่แม่แจ่ม มาวันนี้เขาเห็นผมเดินอีก เลยเกิดความรู้สึกสงสัย
พอหยุดถามทำให้เขาเกิดความรู้สึกอยากคุย เขาให้ผมไปด้วย แต่ผมบอกว่าจะเดินอย่างนี้แหละ พอคุยกับเขาผมเลยต้องหยุดเดิน ช่วงหลังจากเจอรถคันนั้นแล้ว ผมเพิ่งมารู้ว่าจริงๆ ช่วงไหล่ของผมบ่าของผมมันปวดขนาดที่ว่าเอามือไปแตะยังรู้สึกปวดเลย เพราะผมสะพายเป้มา แล้วเวลาเดินขาลงมันเหมือนเรากระแทกไปตลอด ช่วงที่รู้สึกปวด ผมทรมานมากๆ ไม่รู้จะทำยังไง ผมพยายามสารพัดเพื่อจะกำจัดความปวด สวดมนต์ก็สวด ผมอ่านปรัชญาปารมิตาหฤทัยสูตร แล้วรู้สึกประทับใจในมนต์บทนั้นมาก คือผมไม่ได้ประทับใจเพียงแค่ว่ามนต์นั้นศักดิ์สิทธิ์ ตามความเชื่อของพุทธศาสนิกชนมหายาน แต่ประทับใจความหมายของมนต์นั้นด้วย
เท่าที่ผมจับความมนต์บทนั้นได้ว่า กะเต กะเต พารากะเต พาราสังกะเต โพธิสวาหะ ผมเดินภาวนามนต์บทนี้ นึกไปในใจว่าเราจะก้าวไปให้พ้นความทรมาน ความทุกข์ ความเจ็บปวดนี้ให้ได้ ไปสู่ฟากฝั่งที่เราจะมีจิตผ่องใสเบิกบานให้ได้ ไม่ว่าจะเจ็บปวดสักเพียงใด และความรู้สึกแบบที่ว่ามันเกิดขึ้นได้ท่ามกลางความเจ็บปวด เมื่อผมหยุดพัก ผมจึงรู้ว่าร่างกายทรมานนี้เต็มทีแล้ว แต่ตอนเดินผมกลับไม่รู้สึก
นี่คือตัวอย่างที่ผมมาคิดตอนหลัง และทุกๆ ช่วงก็จะพบความรู้สึกที่ทำให้ผมเปลี่ยนแปลงไปตลอด เช่นบางครั้งผมมีความรู้สึกอ่อนไหวมาก วันหนึ่งผมเดินไปเห็นงูบนถนนถูกรถเหยียบแล้วมันไม่ตายทีเดียว ตรงกลางลำตัวงูถูกล้อรถทับแบน แต่ส่วนหัวกับส่วนหางยังแสดงตนว่ามีชีวิตอยู่ ผมยืนดูแล้วร้องไห้ ผมไม่ได้เสแสร้งแกล้งใจเสาะ แต่เป็นความรู้สึกสลดสังเวชกับชีวิตที่มันเป็นอาการเช่นนั้น ความรู้สึกนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในชีวิตส่วนตัวผมก่อนหน้านี้ ปกติแล้วผมกลัวงูมากๆ แล้วจากความรู้สึกนี้ผมก็ไม่รู้ว่าตัวเองเปลี่ยนไป
จนวันหนึ่งผมไปนั่งอยู่ในวัดอุโมงค์ กุฏิที่ผมอาศัยมันอยู่ในป่า แล้ววันหนึ่งผมได้ยินเสียงเหมือนกับใบไม้มีอะไรมากระทบ ตอนแรกผมคิดว่าเป็นเต่า เพราะเต่าจะเดินผ่านกุฏิเพื่อไปลงสระน้ำอยู่เสมอ แต่ปรากฏว่าพอดังสักพักแล้วมันไม่ผ่านไปสักที ผมเลยหันไปดู ปรากฏว่ามีงูใหญ่ตัวหนึ่ง มันเลื้อยไปเลื้อยมา ตอนแรกผมทำท่าจะตกใจ แต่พอรู้สึกว่างูตัวนี้กับงูที่เคยถูกรถทับก็เป็นงูเหมือนกัน มันน่าสงสาร ผมเลยนั่งดู แล้วมันน่ามหัศจรรย์มาก งูตัวนั้นกำลังจะลอกคราบ แล้วพยายามจะเลื้อยไปเลื้อยมาผ่านซอกหินเพื่อให้คราบหลุดออกมาจากตัว ผมมีความรู้สึกดีกับงูจนไม่เคยคิดเลยว่าชีวิตนี้เราเคยรังเกียจมันเป็นที่สุด แต่มาวันนี้ผมรู้สึกว่าถ้าช่วยอะไรสักอย่างให้งูลอกคราบเสร็จเร็วๆ ได้ผมจะช่วย เมื่องูลอกคราบเสร็จใช้เวลาประมาณ ๒๐ นาที ผมก็ดีใจและรู้สึกเป็นสุขที่สุด
ผมไม่รู้ว่าผมเปลี่ยนแปลงอะไรไปบ้าง เวลามีใครมาถามผม ผมก็บอกว่าไม่รู้ แต่ผมพบอันหนึ่งจากการคุยกับคนใกล้ชิดว่า ผมเป็นคนที่อยู่กับภรรยามีความรักความสุขกันมากๆ จนเป็นแบบอย่างให้เพื่อนฝูงล้อเลียนเสมอ มีนักศึกษาบางคนบอกว่าอยากจะมีชีวิตคู่แบบผมบ้าง ผมก็นึกว่าผมรักภรรยามากแล้ว แต่หลังจากที่ผมกลับมา ผมมีอะไรบางอย่างเปลี่ยนไป คือเมื่อก่อนผมจะรู้สึกอะไรบางอย่างในเชิงตำหนิ เช่นเวลาภรรยาชอบไปทานอะไรที่แปลกๆ ไกลๆ ผมจะรู้สึกว่าทำไมเราต้องสูญเสียเวลากับการเดินทางไปไกลขนาดนั้น ทำไมเราไม่ทานอะไรที่อยู่ใกล้ๆ เส้นทางที่เราจะกลับบ้าน เพราะการทานอาหารมันไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านี้
แต่พอกลับมา ผมพบว่าอะไรที่เป็นความสุขของภรรยา ผมมีความสุขมากเลยที่จะทำ เพราะฉะนั้นเพียงแค่ภรรยาเปรยว่า วันนี้เราจะไปกินอะไรกันดี ผมจะบอกว่าไปกินอะไรที่ไหนก็ได้ ไกลๆ ยิ่งดี (เสียงหัวเราะ) ไม่ใช่ว่าผมอยากกิน แต่ผมมีความรู้สึกว่าผมผิดมากเลยที่เมื่อก่อนให้ความใกล้ไกลมาตัดรอนอะไรบางอย่างที่เป็นความสุข ผมพบว่าการทำอะไรเพื่อคนที่เรารัก ที่เป็นความสุขของเขา มันเป็นอะไรที่ผมอยากทำมาก
แล้วมันเป็นเรื่องตลกมากเลย วันหนึ่งช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมา ภรรยาบอกว่าเขาอยากไปเที่ยว ผมบอกไปเลย ผมจัดกระเป๋าให้เสร็จ ผมไม่เคยขับรถไกลขนาดนี้เลย ผมขับรถไปทั่วประเทศไทยเลย ๒๑ วัน พาภรรยาไปเที่ยว ความจริงจะไปไกลกว่านั้นอีก แต่ผมเป็นไข้ต้องหามส่งโรงหมอ เพราะว่าผมอยู่บนรถ ต้องเปิดแอร์ ผมไม่ชอบแอร์มากๆ แต่ต้องอยู่กับมันทั้งวัน
ผมเล่าตรงนี้ไม่ใช่ต้องการจะบอกว่าผมเป็นสามีที่ดีขึ้น แต่ผมเข้าใจว่าสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นจากการที่ผมเข้าใจความหมายของชีวิต ที่ผมนอนกับหมาขี้เรื้อนแล้วผมมีความสุข เพราะทำให้หมาขี้เรื้อนอุ่น การที่เรามีความสามารถเอามือไปลูบหนังมันได้ เป็นสิ่งที่ทำให้หมามีความสุข แล้วการที่หมามีความสุข มันทำให้การหลับของเราเป็นสุข ผมพบว่าขนาดหมาขี้เรือนเรายังมีความสุขเลย ถ้ามันมีความสุขด้วย แล้วทำไมภรรยาที่เรารักเสียเหลือเกินล่ะ
ผมรู้สึกชีวิตผมจะมีความหมาย มีความสุขมากกับการทำอะไรเล็กๆ น้อยๆ ให้กับคนที่เรารัก ไม่ว่าจะกับภรรยา กับเพื่อนฝูง หรือกับนักศึกษา ผมมีความคิดว่า หลังจากผมเดินมาครั้งนี้แล้ว สิ่งที่ผมจะทำต่อไปคืออยากเดินให้ทั่วประเทศไทย ถ้าสมมติว่าการเดินไปตรงนั้นจะทำให้ใครสักคนมีความสุข เช่นคนแก่ๆ ที่ท่านคิดว่าไม่สามารถจะเดินไปไหนได้แล้ว แล้วอยากฟังเรื่องราวของผม ผมจะไปเล่าให้ท่านฟังด้วยการเดินไป เพื่อจะยืนยันว่าชีวิตเราจะมีความหมายต่อเมื่อเราได้ทำให้มันเกิดสิ่งที่งดงามดีๆ ขึ้นในจิตใจของผู้อื่น ผมไม่ทราบว่าจะตอบอาจารย์หมอประเวศได้หรือเปล่า แต่ความรู้สึกมันเป็นแบบนี้ครับ
นายแพทย์ประเวศ: ผมอยากจะขออธิบาย ผมคิดว่าขณะนี้ทั่วโลก โดยวิธีการที่เราเรียน เราใช้เหตุผลนำ จะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม ทำอะไรต้องมีเหตุผล คิดต้องมีเหตุผล ทีนี้การใช้เหตุผลมันนำไปสู่การสร้างความรู้ทางวิทยาศาสตร์ อะไรต่ออะไรที่มหัศจรรย์ แต่การใช้เหตุผลมันตกไปสู่อำนาจของกิเลสได้ง่าย เกิดการใช้เทคโนโลยีเป็นอำนาจไปเที่ยวทำกับผู้คนต่างๆ การใช้เหตุผลไม่มีพลังอำนาจพอที่จะต่อสู้กับกิเลสในตัว บางทีกลับตกเป็นเหยื่ออีก แล้วโลกก็เป็นอย่างที่ว่านี้
ถึงแม้จะคิดเครื่องบินได้ คิดโน่นคิดนี่ได้ แต่ว่าโลกก็แตกเป็นเสี่ยงๆ เพราะการใช้เหตุผลทำให้แยกส่วน ที่อาจารย์พูดว่ามันเกิดการเปลี่ยนแปลง จากเดิมใช้เหตุผลว่า ภรรยาจะไปกินอะไร ทำไมต้องไปกินอย่างนั้น มันไกล เสียเวลา คุ้มหรือเปล่า นี่คิดด้วยเหตุผล แต่ตอนหลังจะเปลี่ยนไปใช้ใจนำ ผมคิดว่าเท่าที่ดูและสรุป โลกยุ่งเพราะเราใช้เหตุผลนำ ไม่ได้ใช้ใจนำ ที่จริงต้องใช้ใจนำแล้วเหตุผลตาม
ขณะนี้เหตุผลมันนำเพราะเป็นวิทยาศาสตร์ อาจจะมีความดีแต่ต้องไม่ใช่เป็นตัวตั้ง น่าจะต้องใช้ใจเป็นตัวตั้งแล้วเหตุผลตามมา ผมว่าที่อาจารย์เปลี่ยนไปเพราะแต่ก่อนใช้เหตุผลนำ แต่ตอนหลังใช้ใจนำ มีความเมตตา การอยู่ร่วมกัน ผมคิดว่าจุดสำคัญของโลกน่าจะอยู่ตรงนี้ น่าจะต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงขั้นพื้นฐาน อาจจะฟังดูยากและหลายคนคงไม่เห็นด้วย คือไม่ใช้เหตุผลเป็นตัวนำ แต่ใช้ใจนำ
นายแพทย์โกมาตร: ผมฟังอาจารย์ประมวลแล้ว รู้สึกว่ามันเป็นความอ่อนโยนต่อชีวิตที่เกิดขึ้นอย่างมาก ที่ทำให้เราเข้าไปสัมพันธ์กับคนอื่นเปลี่ยนไปจากเดิม จากที่อาจจะไปละเมิดเขาได้ง่ายๆ กลับมีความอ่อนโยนมากขึ้น อย่างหมาขี้เรื้อนหรือกับงูที่กำลังจะตายก็เป็นชีวิต อาจเรียกได้ว่าชีวิตมีความศักดิ์สิทธิ์ที่เราจะไปละเมิดไม่ได้ พอได้ไปสัมผัสเรื่องราวก็ยิ่งทำให้มีความละเอียดอ่อน มีความอ่อนโยนกับชีวิตมากขึ้น ยิ่งกับคนที่อยู่กับเรามา ได้เคยดูแลเรามาจะยิ่งอ่อนโยนขึ้น ภรรยาทั้งหลายได้ยินแล้วคงอยากจะให้สามีไปเดิน (เสียงหัวเราะ)
อาจารย์เอกวิทย์: ผมคิดว่าวันนี้ ทุกๆ ท่านคงจะเห็นด้วยว่าเราได้ฟังอะไรที่พิเศษมากๆ ผมเป็นนักฟังปาฐกถาอภิปรายมามาก แต่วันนี้ผมรู้สึกจับใจในความจริงใจและในสัจธรรมที่อาจารย์ประมวลได้นำมาให้เรา อยากจะขอเรียกเล่นๆ ว่า การเดินทางของอาจารย์ครั้งนี้ เป็นการเดินทางเพื่อค้นพบสัจธรรมทางจิตวิญญาณโดยแท้จริง นำไปสู่ความเป็นมนุษย์ที่แท้ สิ่งปรุงแต่งที่วิเศษวิลิศมาหราทั้งหลายคงไม่มีความหมายเท่าไหร่ แต่ความหมายแท้จริงอยู่ที่เราเห็นคุณค่าของชีวิต สัมผัสชีวิตด้วยความอ่อนโยนจนเข้าถึงความจริงหลายสิ่งหลายอย่าง ที่คนธรรมดาสามัญทั่วไปไม่สามารถเข้าถึงได้
อยากเรียนถามเป็นความรู้จากอาจารย์ว่า ผมคิดว่ากว่าจะมาถึงขั้นที่อาจารย์ตัดสินใจออกเดินทาง แล้วค้นพบอะไรดีๆ ในชีวิตนี้ ผมมีสมมติฐานว่าอาจารย์ได้สั่งสมบารมีในทางธรรมมาพอสมควร ไม่ว่าจะเรียนอะไร ประสบการณ์ที่ไหน จะเก็บสะสมไว้เป็นทุนในจิตของอาจารย์ค่อนข้างมาก ดังนั้นการเดินทางของอาจารย์จึงไม่เหมือนคนอื่น ต้องถือว่าเป็นการเดินประพฤติธรรมและค้นพบทุกสิ่งทุกอย่าง แม้แต่หมาขี้เรื้อน ซึ่งก็มีคุณค่าความหมาย
อีกอย่างหนึ่งที่ผมรู้สึกว่าเป็นการเรียนรู้ที่วิเศษมาก คืออาจารย์ค้นพบความเป็นมนุษย์ที่แท้ แม้แต่กับคนยากไร้หรือหมาขี้เรื้อน ก็สามารถสัมผัสได้ว่าเขามีจิตที่งาม ดูว่าไร้การศึกษา ดูว่าพเนจร ดูว่ายากจนข้นแค้น แต่จริงๆ นั่นคือสมบัติของมนุษย์ที่แท้ที่อาจารย์ไปค้นพบ เพราะฉะนั้นประสบการณ์ของอาจารย์ ผมถือว่ามีคุณค่าสูงมาก ควรที่คนจะได้อ่านได้ฟังมากทีเดียว แต่สิ่งที่ผมวิตกอยู่อย่างหนึ่งคือ ถ้าพิมพ์เป็นเล่มและคนได้อ่าน จะมีคนจำนวนหนึ่งที่เข้าถึง แต่ถ้าอ่านเร็วๆ อ่านผ่านไป อ่านเอาเรื่องจะเข้าไม่ถึง ต้องอ่านอย่างพินิจจึงจะเข้าถึงทุกถ้อยคำ ก็คงจะดีแน่ แต่ดีที่สุดคือได้ฟังจากอาจารย์เอง เพราะว่ามันมีอีกภาษาหนึ่ง คือกิริยาท่าทีและความจริงใจในการแสดงออก เรียบๆ แต่มีค่าสูงกว่าตัวหนังสือ ผมเลยคิดว่าเราต้องทำทั้งสองอย่างประกอบกัน
อย่างเมื่อเร็วๆ นี้เราได้เห็นตัวอย่างที่คุณหมอหลายๆ ท่านไปไต้หวันมา แล้วเอาภาพของธรรมาจารย์เจิ้งเหยียนมาให้ดู ผมดูบุคลิกท่านแล้ว มันมีความหมายที่มากกว่าถ้อยคำ ผมเลยฝากได้ด้วยว่า มันน่าจะไปด้วยกัน จะด้วยวิธีการใดๆ ก็สุดแล้วแต่ เลยทำให้คิดถึงคำของนักปราชญ์ท่านหนึ่ง ผมจำไม่ได้ว่าใครที่กล่าวว่า "The medium is the message." คือท่าที กิริยา ถ้อยคำที่เป็นบุคลิกของแต่ละคนมันสื่อความหมายมากกว่าถ้อยคำ นี่เป็นประเด็นที่ผมได้เรียนรู้ขณะนี้ แล้วอยากให้อาจารย์ช่วยเล่าต่ออีกนิดว่า อาจารย์สั่งสมระบบการเรียนรู้ของอาจารย์ไว้อย่างไรก่อนที่จะตัดสินใจออกเดิน
เรื่องที่สองเป็นความคิดเห็นสั้นๆ คือประสบการณ์การเดินของอาจารย์ ทำให้ผมคิดถึงนักปราชญ์ท่านหนึ่งที่ผมนับถือมาก คือเฮนรี เดวิด ธอโร ท่านผู้นี้อยู่กับธรรมชาติ แต่ที่ผมสนใจเป็นพิเศษคือ ท่านผู้นี้นิยมการเดิน และการเดินของท่านไม่ใช่การเดินทั่วๆ ไป แต่คือการเดินเพื่อศึกษาธรรมชาติรอบตัว เดินเพื่อศึกษาจิตของตัวเอง เดินอย่างมีสติคุมทุกขณะจิต เดินแบบนี้ท่านถือว่าเป็นการเจริญสมาธิที่วิเศษมาก ท่านไม่ได้พูดภาษาชาวพุทธ เพราะท่านไม่ได้เกิดในวัฒนธรรมพุทธ แต่สิ่งที่ท่านสื่อ ผมว่ามันตรงกับที่อาจารย์ได้ปฏิบัติมาแล้วในการเดินทางครั้งนี้
สุดท้ายอยากจะถามอาจารย์เป็นคำถามที่สองว่า นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป อาจารย์คิดและตั้งใจจะทำอะไรอีก ถ้าคิดและทำแล้วจะเผื่อแผ่มาให้พวกเราได้รับรู้ด้วยจะยินดี
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++
อาจารย์ประมวล เพ็งจันทร์ "เดินสู่อิสระภาพ"
-
- Verified User
- โพสต์: 1067
- ผู้ติดตาม: 0
อาจารย์ประมวล เพ็งจันทร์ "เดินสู่อิสระภาพ"
โพสต์ที่ 1
... จุดเริ่มต้นของคนเราไม่สำคัญ
มันสำคัญที่ว่าเขาวิ่งได้เร็วแค่ไหนตะหาก ...
มันสำคัญที่ว่าเขาวิ่งได้เร็วแค่ไหนตะหาก ...
-
- Verified User
- โพสต์: 1067
- ผู้ติดตาม: 0
อาจารย์ประมวล เพ็งจันทร์ "เดินสู่อิสระภาพ"
โพสต์ที่ 2
ที่มา : http://www.midnightuniv.org/midnight254 ... 99949.htmlการวิจัยด้วยฝ่าเท้า : ประมวล เพ็งจันทร์ ๒
ดร. ประมวล เพ็งจันทร์ : นักวิชาการอิสระ มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
บันทึกการประชุมจิตวิวัฒน์ ครั้งที่ ๓๔ (๖/๒๕๔๙) เรื่อง "การเดินทางสู่ความเป็นมนุษย์ที่แท้"
วันจันทร์ที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๔๙ เวลา ๐๙.๓๐ - ๑๕.๐๐ น. ณ มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ
นายแพทย์โกมาตร: ก่อนที่อาจารย์จะตอบ ผมอยากจะขอเพิ่มประเด็นเข้าไปด้วย คือในแง่หนึ่งอาจารย์เรียนมาในด้านของปรัชญา และเท่าที่ผมรู้ บรรดานักปรัชญาทั้งหลายมักจะมีชีวิตที่เดียวดายและเหี่ยวเฉามาก หลายคนที่เรารู้ อย่างเช่น มักซ์ เวเบอร์ ถือเป็นนักปรัชญาสังคมคนสำคัญ ชีวิตจะไม่มีความลุ่มลึกอะไร คือเขาจะโผล่มาที่ตึกสำนักงานเวลาเดียวกันทุกวันจนคนใช้เป็นนาฬิกาได้ เจ็ดโมงเข้ามาทำงานที่ออฟฟิศ เลิกก็กลับออกไป นักปรัชญาอีกจำนวนมากจะคล้ายๆ กัน คือถึงที่สุดแล้วไม่เหลืออะไรไว้ให้ศรัทธา ไปเที่ยววิเคราะห์ หรือว่ารื้อ หรือว่าไปทำความเข้าใจจากมุมมองที่พอไปถึงที่สุดแล้ว ไม่เหลือที่ทางสำหรับศรัทธาอยู่ พอไม่มีเครื่องยึดเหนี่ยว ชีวิตพวกนี้เหมือนกับว่ามันเบี่ยงเบน
มันไร้มิติเชิงลึกไป อยากให้อาจารย์ได้ลองเปรียบเทียบด้วยว่า ในแง่ที่อาจารย์ไปเรียนปรัชญาจากทางอินเดีย อย่างที่ได้พูดไปตอนต้นว่าเน้นความเป็นหนึ่งเดียวระหว่างความรู้กับสภาวะของผู้รู้ เปรียบเทียบความรู้จากแวดวงนักปรัชญากับการไปเดิน ๖๐ วัน จากเชียงใหม่ถึงเกาะสมุย ทำให้อาจารย์ได้มองเห็นเรื่องการศึกษาเชิงปรัชญาที่เป็นอยู่อย่างไรด้วย
อาจารย์ประมวล: ผมกลัวจะลืม ขอตอบคำถามที่สองของอาจารย์เอกวิทย์เสียก่อน เพราะมันเป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นในช่วงขณะสุดท้ายของการเดิน คือผมไปนอนที่สวนโมกขพลาราม ตอนเช้าผมก็เข้าไปกราบลาท่านอาจารย์โพธิ์ ท่านมีความประสงค์จะให้ผมนอนต่อ แต่ผมบอกว่าขอเดินให้ถึงแล้วจะกลับมานอนกับอาจารย์ในช่วงหลัง ท่านบอกก็ได้ ก่อนผมจะจากลาท่านมา ท่านให้คำพูดเหมือนกับเป็นโอวาทกับผมว่า "ชีวิตนี้เป็นสิ่งมีค่าที่หาได้ยาก ขอให้ใช้ชีวิตนี้อย่างปกติเย็นเป็นสุข ให้เกิดประโยชน์"
ช่วงที่ผมเดินจากสวนโมกขพลารามไปถึงท่าเรือที่อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี ระยะทาง ๕๒ กิโลเมตร วันนั้นผมเกือบไม่ได้ทำอะไรเลย เพียงแต่ใคร่ครวญความหมายที่ท่านอาจารย์โพธิ์ได้พูดให้ผมฟัง แล้วผมก็ได้ข้อสรุป คืนนั้นผมนอนในเรือ คิดว่าหลังจากคืนนี้ไปผมจะต้องมีชีวิตอยู่เพื่อรับใช้ผู้อื่น เพราะที่บอกว่าชีวิตนี้เป็นสิ่งมีค่า ผมก็เห็นแล้วว่ามีค่าจริงๆ ชีวิตนี้ลมหายใจเข้าและออกแต่ละขณะมีค่ามาก ปกติเย็นเป็นสุขก็เป็นสิ่งที่เราทำให้ตัวเอง แต่ทำประโยชน์ให้ผู้อื่นด้วยเป็นสิ่งที่ผมต้องทำต่อไป เพราะผมทำน้อยมาก ผมเลยตั้งใจว่าผมจะมีหน้าที่รับใช้
วันแรกที่ผมกลับมาถึงบ้านแล้วกอดภรรยา ผมพูดกับเธอเลยว่าขอบคุณที่สุดที่ให้โอกาสผม ต่อไปนี้ผมจะรับใช้ให้ดีที่สุด ถ้าผมไม่สามารถรับใช้เธอซึ่งเป็นคนที่ผมรักมากแล้ว ผมจะไปรับใช้คนอื่นได้อย่างไร ช่วยให้ผมได้รับใช้เถอะ เพราะฉะนั้นผมจะทำหน้าที่รับใช้เธอก่อนแล้วไปรับใช้คนอื่นต่อๆ ไป
ถ้าผมทำบันทึกเสร็จ ผมจะเขียนไว้ในตอนสุดท้ายว่า ถ้าใครปรารถนาจะพบผม ไม่ต้องมาหา ผมจะเดินไปพบเขา ถ้าเขาอยู่ที่ปัตตานี ผมอาจจะขอเวลาสักปีหนึ่งเพื่อจะเดินไปเรื่อยๆ ถึงเขาจะอยู่ที่อุบลฯ หรือที่ไหน ผมก็จะไป ถ้าไม่ตายระหว่างทางเราคงได้เจอกัน ผมคิดว่าการกระทำเช่นนี้ไม่มีอะไรมากไปกว่าเป็นการยืนยันความมุ่งมั่นปรารถนาที่ผมจะไปพบ และรับใช้เขาให้ได้เท่านั้นเอง
อีกอย่างผมไม่เคยคิดเลยว่าการยืนดูอะไรนิ่งๆ เวลาสงบ ตอนที่ผมเดินอยู่ในอุทยานแห่งชาติแม่ปิง ซึ่งเป็นเขตป่า ผมปรึกษาเจ้าหน้าที่แล้วว่าเดินผ่านอุทยานได้ เพราะว่ามันมีร่องรอยการเดินของหน่วยพิทักษ์ป่า ผมจึงเดินไปในป่า ไม่มีถนน ไม่ได้มีทางอะไรเลย แต่เขาบอกว่ามีแนวพอจะสังเกตได้ ช่วงที่ผมเดินไป ผมพบอะไรที่เล็กมากๆ แต่ไม่น่าเชื่อว่าสิ่งที่เล็กๆ จะสอนใจผมได้ คือไส้เดือนที่ดิ้นแล้วมีมดกัด ผมก็นั่งลงใคร่ครวญ ตอนแรกตั้งใจว่าจะช่วยหรือทำอย่างไรดี มันเกิดความละล้าละลัง ว่าเรากำลังจะช่วยไส้เดือนหรือเรากำลังจะประทุษร้ายมด นี่คือสิ่งที่ท้าทายผมมาก
ผมนั่งลงและจ้องดูกิริยาอาการทั้งหมดที่เกิดขึ้น เพราะถ้าจะช่วยไส้เดือนก็ต้องหาไม้หาอะไรไปทำลายชีวิตมด อย่างที่คุณหมอประเวศพูดถึง ผมใช้เหตุผลมาตลอดว่าเราจะตัดสินความดีกันอย่างไร แต่วันนั้นไม่มีเหตุผลเลยครับ มันมีแต่อารมณ์ความรู้สึก และความรู้สึกหนึ่งที่เกิดขึ้นคือ นี้ไม่ใช่การเบียดเบียนกัน แต่เป็นการเกื้อกูลกันในโลกใบนี้ ผมเข้าใจว่าไส้เดือนขึ้นมาบนผิวดิน เหมือนกับบอกว่าชีวิตนี้พอแล้วล่ะ ขอจบลงชีวิตนี้ลงเพื่อจะต่อชีวิตให้มด และมดนี้พอกินไส้เดือนเสร็จก็ต่อชีวิตไปอีก
คือผมสะท้อนชีวิตในตัวผมเอง เมื่อตระกี้ผมเล่าว่าอาหารมื้อแรกที่ผมกิน ถูกต่อได้ด้วยแม่ค้าขายก๋วยเตี๋ยว แต่จริงๆ แล้วธรรมชาติมากมายที่จบชีวิตลงเพื่อต่อชีวิตให้ผม ผมไม่เคยคิดเลย สัตว์ไม่รู้เท่าไรแล้วที่ตายลงเพื่อให้ผมมีชีวิตอยู่มาจนถึงวันนี้ และที่ผมมานั่งดูไส้เดือนดิ้นและสุดท้ายตกเป็นเหยื่อของมด ผมคิดว่าคงไม่ใช่การเบียดเบียนกัน แต่มันเป็นวงจรของธรรมชาติ ที่ชีวิตหนึ่งเกิดขึ้นและสละชีวิตนั้นเพื่อต่อชีวิตอื่นๆ ในโลกที่เราอาศัยอยู่ มันมีสิ่งต่างๆ ที่เกิดดับอยู่ตลอดเวลา
คำถามคือเราจะเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปในลักษณะที่เป็นห่วงโซ่ต่อชีวิตอื่นให้มีชีวิตต่อไป หรือเราจะมีชีวิตอยู่เพื่อเบียดเบียนชีวิตอื่น ผมเข้าใจว่าตรงนี้อยู่ที่จิตเราแล้วล่ะ ขณะที่คิดได้เช่นนี้ ผมรู้สึกเลยว่าต้องขอบคุณไส้เดือนและมด เพราะเขาต้องเป็นห่วงโซ่ให้สิ่งอื่นๆ ในธรรมชาตินี้ได้มีชีวิตอยู่ และผมรู้สึกเลยว่า มันยิ่งใหญ่จริงๆ ผมมีความรู้สึกในห้วงเวลานั้นว่า เพราะมดและไส้เดือนอย่างนี้เอง จึงทำให้เกิดห่วงโซ่แห่งความเกื้อกูลอิงอาศัยซึ่งกันและกัน อาหาร อากาศ สรรพสิ่งที่เราใช้บริโภคอยู่ในปัจจุบัน ล้วนแต่เป็นชีวิตของชีวิตอื่นๆ ทั้งนั้นที่ต้องจบลง และวันหนึ่งเราก็ต้องจบลงเพื่อต่อชีวิตอื่น ผมเข้าใจว่านี่เป็นอารมณ์ที่ทำให้ผมอยากรับใช้ชีวิตอื่นมาก
ส่วนคำถามของอาจารย์ข้อแรก ผมเข้าใจว่าคงตอบยาก แต่ผมมานั่งทบทวนว่าจริงๆ แล้วชีวิตผมเหมือนกับมีโชค หมายความว่าผมไปเกิดในสภาพแวดล้อมที่ดี ผมเกิดที่เกาะสมุยซึ่งสมัยนั้นงดงามมากๆ ผมยังจำภาพตอนเด็กๆ ที่โรงเรียนอยู่ติดทะเล ได้วิ่งเล่นชายทะเล แล้วมีอากาศสะอาดบริสุทธ์ ผมเจอครูที่ดี ยังจำได้ไม่เคยลืมเลยว่า ครูคนนี้ทำให้ผมใฝ่ฝันอยากเป็นครู ขอเล่าเรื่องนี้นิดนึงเพื่อบูชาครูของผมนะครับ
สมัยที่ผมเป็นเด็กนักเรียนอยู่ ผมเป็นเด็กบ้านนอก ครูบ้านนอกเขาจะมีระเบียบตอนเช้าต้องตรวจแถวนักเรียน เพื่อจะดูว่าตัดเล็บเรียบร้อยไหม เอาเสื้อใส่กางเกงเรียบร้อยไหม แล้วจะมีการลงโทษ เช่นดึงหูบ้าง ดึงจมูกบ้าง เอาไม้บรรทัดตีมือบ้าง พวกเราก็จะถูกทำโทษกันทุกวัน เพราะสอนยังไงไม่เคยจำ วันหนึ่งมีครูคนใหม่คนหนึ่ง ตอนนี้ท่านไปอยู่ที่ไหนผมไม่รู้เลย แต่คิดว่าท่านยังมีชีวิตอยู่ครับ ถ้าท่านรู้ได้โดยวิธีใดวิธีหนึ่ง อยากให้ท่านรู้ว่าผมเป็นศิษย์ของท่านและยังคิดถึงท่าน
คุณครูพิกุล มณีโชติ เพิ่งจบการศึกษาใหม่ๆ แล้ววันนั้นถัดมาไม่กี่วันหลังจากที่ครูบรรจุใหม่ พวกเราจะเห่อครูใหม่ๆ เพราะแต่งตัวสวย ครูพิกุลมาตรวจแถวนักเรียนยามเช้า แล้วพวกเราต้องทำเหมือนเดิมคือยืนตัวตรง ยื่นมือไปข้างหน้าเพื่อให้ครูตรวจว่ามีเล็บดำเล็บยาวหรือเปล่า ถ้าครูตรวจเดินผ่านใครไปแสดงว่าไม่มีปัญหา แต่ถ้าครูตรวจแล้วหยุดยืนอยู่หน้าใครแสดงว่าต้องมีปัญหา พอครูเดินมา ตามประสาเด็กก็ใจสั่นมากว่าจะผ่านไปด้วยดีหรือเปล่า คือครูตีไม่กลัว แต่กลัวเพื่อนล้อหลังจากเลิกเรียนแล้ว เราจะยกพวกตีกันต่อยกันเป็นประจำ เพราะว่าเอาเรื่องที่ผ่านไปแล้วมาล้อเลียนกัน
ครูพิกุลเดินแล้วมาหยุดเดินอยู่หน้าผม ผมรู้สึกเย็นวาบเลย ถ้าใช้ภาษาในปัจจุบันคือกูซวยอีกแล้ว นึกว่ามันต้องมีความผิด พยายามมองไปที่นิ้วตัวเอง เล็บก็ไม่ยาวนี่ ช่วงขณะที่กำลังมองว่าตัวเองผิดอะไร ครูพิกุลก็นั่งลง สมัยนั้นครูนุ่งกระโปรงสุ่มไก่ พอนั่งไปแล้วมันก็คร่อมไปเลย ระดับหน้าของครูมาอยู่ใกล้ๆ หน้าผม และสิ่งที่มหัศจรรย์มากคือครูพิกุลไม่ได้ทำอะไรเลย ผมพบว่าผมรัดเข็มขัดโดยไม่ได้เอาสายเข็มขัดที่เหลือใส่ในสายยูกางเกง ครูพิกุลจึงดึงเข็มขัดที่เหลืออยู่สอดเข้าไปให้แล้วเงยหน้าขึ้นยิ้มให้ผม แล้วเอ่ยว่าต่อไปนี้รัดเข็มขัดแล้วให้ทำอย่างนี้ทุกครั้งนะ ครูรัดเข็มขัดให้ผมแล้วลุกขึ้นไป ตอนเด็กผมไม่ได้คิดอะไรมาก แต่ตอนโตมาผมจึงรู้ว่า ความงดงาม ความรู้สึกทรงจำดีๆ นี้คือชีวิตของผม
ณ ปัจจุบัน ผมอายุ ๕๒ ปี ถ้าคิดซอยย่อยเป็นนาทีเป็นวินาที นับไม่ถ้วนแล้ว แต่เสี้ยววินาทีที่ครูพิกุล มณีโชติ นั่งลงแล้วรัดเข็มขัดให้ผม แล้วกล่าวกับผม ยังคงจดจำตราตรึงไม่เคยลืมเลย ผมมีความรู้สึกว่าผมอยากเป็นครูแบบนี้ แล้วผมก็ได้เป็นครู ตอนผมกลับจากอินเดียใหม่ๆ ผมไปที่กระทรวงศึกษาฯ เพื่อจะสมัครเป็นครู แต่เผอิญผมไม่ได้จบมาทางสายครุศาสตร์ เขาจึงบอกว่าไม่ได้ จากนั้นจะเรียกว่าโชคดีหรือโชคร้ายไม่ทราบ ได้มาเป็นครูที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เพราะเขาไม่ติดประเด็นเรื่องจบครุศาสตร์
สิ่งที่อาจารย์เอกวิทย์ถาม ผมเข้าใจว่านับจากเด็กจนกระทั่งมาเป็นครูในมหาวิทยาลัย สิ่งที่ผมพยายามเสมอมาคือ พยายามเป็นครูให้ดีที่สุด มันทำให้ผมพบว่า วันหนึ่งคำพูดและคำสอนของผม หรือที่อาจารย์หมอประเวศบอกว่า การใช้เหตุผลไม่ค่อยได้ผลเท่าที่ควร และผมคิดว่ามันมีเหตุผลอื่นที่ดีกว่าเหตุผลที่ผมอ้าง เมื่อตระกี้ผมเปิดหนังสือที่เขียนขึ้นมาดู เพราะว่าตรงกับที่คุณหมอประเวศพูดไว้ วันที่ผมปิดห้องเรียนแล้วนักศึกษาขอให้ผมอยู่ต่อ ผมต้องให้เหตุผลว่าอย่าห้ามผมเลย เพราะถ้าคุณห้ามผม ผมก็ไปไม่ได้ พวกคุณต้องอนุญาต ผมก็บีบคั้นพวกเขานะครับ (เสียงหัวเราะ)
แล้วผมก็บอกว่าวิชาที่ผมสอนมันเป็นวิชาที่คิดด้วยเหตุผลมาตลอด และผมพยายามเหลือเกินที่จะยัดเยียดเหตุผลในการตัดสินให้กับพวกคุณมาตลอด ให้มีเหตุผลที่จะแยกความจริงออกมาจากความเท็จ แยกความไม่รู้ออกมาจากความรู้ แยกความชั่วออกมาเสียจากความดี แต่นอกจากผมเป็นครูมานานนับ ๒๐ ปีแล้ว ผมยังเป็นพุทธศาสนิกชนด้วย ผมรู้ว่าโทสะความโกรธเป็นสิ่งไม่ดี ผมรู้ว่าเมตตาเป็นสิ่งที่ดี แต่ผมยังไม่สามารถรักใครให้สุดจิตสุดใจ ผมยังมีคนที่ผมเกลียดชัง และชีวิตผมเหลือสั้นเต็มทีแล้ว ขอให้ผมไปเถอะ ผมจะได้ไปหาสิ่งที่ต้องการ
ผมเรียนมามาก ผมจบปริญญาเอกมาทางปรัชญา ใช้เหตุผลมาตลอด ตอนเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัย เหตุผลเป็นเรื่องสำคัญ ประชุมกันแต่ละครั้งจะเป็นเหตุผลกันทั้งนั้น และเครียดกันทั้งสองฝ่าย ฝ่ายที่ชนะไปก็หยิ่งผยองว่าตัวเองมีเหตุผลดีกว่า ฝ่ายที่แพ้ไปก็คิดหาเหตุผลใหม่ และสุดท้ายผมพบว่าเหตุผลอาจจะเป็นสิ่งที่จำเป็นและสำคัญ แต่ไม่ใช่สำคัญสุด ในพระพุทธศาสนาจึงมีข้อคำกล่าวว่า ปัญญาที่เกิดจากจินตามยปัญญยังไม่ใช่ที่สุด ต้องเป็นภาวนามยปัญญา คือความรู้ที่เกิดจากจิตได้สัมผัสรู้โดยตรงด้วยตัวจิตเอง
เพราะฉะนั้นที่อาจารย์ถามผม จึงอยากจะเรียนว่าผมพยายามใคร่ครวญถามตัวเองเหมือนกัน จริงๆ แล้วมีสองปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิต ตอนที่ผมจะออก ผมตั้งชื่อว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสุดท้ายในชีวิต การเปลี่ยนแปลงสองครั้งแรก ครั้งใหญ่สุดคือผมได้บวชในปีพุทธศักราช ๒๕๑๔ ตอนนั้นผมเป็นกรรมกรรับจ้าง ปีเดียวกับที่ครูโกมล คีมทอง ถูกฆ่าตาย และจุดที่ผมไปทำงานก็อยู่ใกล้ๆ กับที่ครูโกมลถูกฆ่าตาย หลังจากมีการปราบปรามโดยใช้วิธีทิ้งระเบิดปูพรม ผมเป็นหนึ่งในคนที่รอดตายออกมาได้ ความรู้สึกโศกสลดและตื่นตระหนกตกใจกลัวกับสภาพที่ปรากฏ ทำให้ผมตัดสินใจวิ่งหนีสุดชีวิต และผมวิ่งหนีเข้าวัดเพราะไม่มีทางออก
ในฐานะที่ตัวเองเป็นชาวพุทธ เลยคิดว่าการบวชน่าจะเป็นสิ่งที่ดี ก็ไปบวช มันเหมือนกับว่าได้เปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิต เพราะชีวิตที่ผ่านมาผมอยู่ในโลกของการแสวงหาทรัพย์สินเงินทอง ต้องการจะมีรายได้ แต่พอผมไปบวช เหมือนกับเราถูกต้มอยู่ในน้ำเดือดๆ แล้วถูกโยนลงไปในน้ำแข็ง มันเกิดการหดตัวในทันทีทันใด ผมรู้สึกยากลำบากมากกับการบวช เพียงแค่ภาษาที่เคยใช้ปกติ เคยพูดมึงพูดกูกับเพื่อนๆ กับคนรู้จัก พอไปบวชต้องห้ามไม่ให้พูดคำเหล่านี้กับเพื่อนภิกษุสามเณรด้วยกัน ต้องพูดคำว่าใต้เท้า พระคุณ ตัวเองต้องใช้คำว่ากระผม ตอนแรกผมไม่กล้าเรียกตัวเองว่ากระผมเลย รู้สึกมันเขิน แต่สภาพจิตของเราที่ถูกบีบตรงนี้ ค่อยๆ ทำให้ผมเปลี่ยนแปลง และการบวชตอนนั้นมีอานิสงส์มาก เช่น ได้ออกธุดงค์ ออกไปปฏิบัติธรรมอะไรที่ค่อนข้างดี นับเป็นการเปลี่ยนแปลงทางจิตใจครั้งใหญ่ที่อาจดูเหมือนเล็กๆ ในปรากฏการณ์ทางสังคม
การเปลี่ยนแปลงครั้งที่สองคือ การที่ผมได้ไปอินเดีย ผมไปในขณะยังเป็นพระภิกษุ การไปอินเดียทำให้ผมเกิดความรู้สึกอะไรบางอย่าง คือตอนเป็นพระ และมีความสำนึกว่าตัวเองเป็นสมณะ ตอนผมไปด้วยความรู้สึกอะไรไม่ทราบ มันเหมือนกับมีธรรมชาติจัดสรรให้ต้องไปเจอกับสถานการณ์เช่นนี้ เช่นผมมีความรู้อยู่แล้วว่าพระพุทธศาสนาในอินเดียไม่ค่อยมี มันเสื่อมสูญเพราะพวกฮินดูกลืนพุทธ ตอนที่ผมต้องแสดงตัวเป็นนักศึกษาและกรอกแบบฟอร์มเพื่อจะจัดเข้าอยู่ในหอพัก ผมกาคำว่า "ไม่ใช่ฮินดู" เพราะเขามีเพียงคำว่า "ฮินดู" กับ "ไม่ใช่ฮินดู" เพื่อจะยืนยันว่าเราเป็นพุทธ ไม่ใช่ฮินดู ทำให้ผมต้องไปอยู่ในหอพักมุสลิม มันท้าทายสมณภาวะของผมเป็นอย่างยิ่ง เพราะเขาทำเหมือนหัวเราเป็นผ้าเช็ดมือ เห็นหัวเราโล้นๆ รู้สึกว่าเอามือมาลูบเล่นแล้วสนุกดี
ความรู้สึกที่ท้าทาย คือผมรู้สึกว่าอินเดียเป็นพุทธภูมิ และเราเป็นพระภิกษุในพระพุทธศาสนา แต่ตอนนั้นมันท้าทายสมณภาวะของตัวเองเป็นที่สุดว่า มันจะเสื่อม จะเจริญ หรือจะอยู่ต่อไปได้หรือไม่อย่างไร แต่สุดท้ายผมได้เรียนรู้ว่าความเป็นสมณะที่แท้ควรจะอยู่ที่ไหน ผมไม่ได้อยู่เป็นพระภิกษุตลอดช่วงเวลา ๑๑ ปีที่อยู่ในอินเดีย เพราะสุดท้ายผมต้องยอมสละสมณเพศ เพื่อรักษาสมณภาวะในจิตใจไว้ให้ได้
ต่อมาคือการที่ผมได้เป็นอาจารย์ ผมพยายามเป็นที่สุดที่จะเสนอให้นักศึกษาหรือใครก็ตาม ที่สนใจด้านปรัชญาทราบว่า แท้จริงแล้วการเรียนรู้ทางปรัชญาคืออะไร ผมพยายามใช้ตัวเองเป็นสื่อการสอน ผมจึงไม่มีความสามารถใช้สื่อหรือเทคโนโลยีการศึกษาใดๆ เลย ผมเป็นคนที่ไม่อยู่ในโลกเทคโนโลยีและปัจจุบันเป็นบุคคลที่น่ารังเกียจในโลกเทคโนโลยี เพราะผมไม่มีโทรศัพท์ ไม่มีอะไรทั้งหมดทั้งสิ้น แต่สิ่งหนึ่งที่ผมพยายามจะบอกนักศึกษาทุกคน คือชีวิตของผมคือสื่อการเรียน พวกคุณจงใช้เถิด ถ้าใช้ให้มันเป็นประโยชน์ได้
วันหนึ่งเมื่อผมต้องการยุติการเป็นครู ผมบอกว่าชีวิตผมน่าจะเป็นที่เรียนรู้ต่อไปมากกว่าการมานั่งฟังผมพูด ผมพยายามจะบอกเขาคือ ผมเชื่อมั่นว่าความเป็นครูของผมไม่ได้อยู่ที่สอนด้วยการพูดต่อไปแล้ว แต่อยู่ที่ว่าต่อไปนี้ผมจะทำสิ่งที่พวกคุณคิดว่ามันดีก็ทำตามได้ คือผมยืนยันที่จะทำในสิ่งที่เรียกว่าการมีชีวิตอยู่อย่างมีความสุข โดยไม่จำเป็นต้องแสวงหาลาภยศสรรเสริญ หรือวัตถุสิ่งของภายนอก ผมอยากจะยืนยันว่าความสุขที่แท้จริงของการมีชีวิตอยู่ มันคืออะไร
ผมยังจำภาพๆ หนึ่งเมื่อผมกลับไปที่เชียงใหม่ วันหนึ่งผมจำเป็นต้องกลับไปที่ภาควิชาด้วยเรื่องระเบียบราชการ มีนักศึกษาหญิงคนหนึ่งซึ่งเรียนปริญญาโทในวิชาพระพุทธศาสนา เมื่อเขาเห็นผมก็ตกใจ เขาไม่คิดว่าผมจะได้กลับไปที่ภาคอีก เขาร้องไห้ แล้วมากอดผม ผมถามว่าเป็นอะไร เขาตอบด้วยเสียงสั่นๆ ว่า อาจารย์คือคำตอบของหนู เขาว่าอย่างนั้น ผมมีความรู้สึกดีขึ้นมานิดหนึ่งตอนนั้น ว่าคำตอบของเขาไม่ต้องมากหรอก แสดงว่าสิ่งที่ผมทำไปไม่ผิดเท่านั้นเอง เขาจึงสามารถใช้คำว่าอาจารย์คือคำตอบของหนูได้
สิ่งที่ผมพูดตรงนี้ ไม่ใช่ต้องการจะพูดว่าตัวผมดีหรือไม่ดี ผมต้องการเพียงแค่จะบอกเหมือนที่อาจารย์หมอประเวศพูดไว้ว่า ในโลกปัจจุบันเรากำลังหลงเชื่อว่าความหมายของชีวิตที่ดี อยู่ที่การได้ครอบครองทรัพย์สิน หรือมรดกของโลกนี้มาเป็นของเรา แต่ความรู้สึกของผม ความหมายของมนุษย์ที่แท้คงไม่ได้อยู่ที่การครอบครองโลก แต่อยู่ที่จิตของเราสามารถเข้าถึงความรู้แจ้งถึงความเป็นไปของโลก แล้วมีชีวิตอยู่อย่างผ่องใสเบิกบานได้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
ผมได้ความรู้อย่างหนึ่งตอนลงจากอินทนนท์ คือตอนลงมาเป็นช่วงที่สภาพร่างกายมันแย่ เพราะกว่าจะขึ้นถึงยอดอินทนนท์จนเหลือระยะทางสักประมาณกิโลกว่าๆ ผมเกือบจะปลงใจ คือมันหายใจไม่ออก รู้สึกว่ากำลังจะขาดใจตาย ผมเลยนั่งลงแล้วนอนไปเลย แล้วตั้งจิตว่าผมได้ใช้ชีวิตที่พ่อแม่และธรรมชาติให้มาพอสมควรแล้ว และได้ใช้อย่างดีที่สุดและทะนุถนอมที่สุดแล้ว เพราะฉะนั้นขอจบชีวิตเพียงแค่นี้
แต่พอนอนไปสักครู่มันฟื้นขึ้นมาอีก เลยไม่ตาย แล้วมีรถปิ๊กอัพทะเบียนชลบุรีขับมาแล้วหยุดถามว่าจะไปกับผมไหม ตอนนั้นผมกำลังคิดว่าจะขึ้นต่อหรือจะลง เพราะว่าร่างกายไม่ไหวแล้ว สุดท้ายพอเขาถามเหมือนถูกสะกด ผมเลยพยักหน้า แล้วเขาก็พาผมนั่งปิ๊กอัพไปถึงยอดดอย จริงๆ แล้วที่ขึ้นไปยอดดอยไม่ได้ต้องการจะพิชิตอะไรเลย ต้องการเพียงจะทดสอบเท่านั้นเองว่า เราสามารถจะแบกภาระคือขันธ์ของเราขึ้นไปถึงดอยได้ไหม แต่ตอนลงสิครับมันมีอะไรที่มหัศจรรย์ เพราะไม่ต้องแบกน้ำหนักอะไรมาก ผมพบว่าดอยอินทนนท์นี้งดงาม ตอนขึ้นผมคิดแต่จะขึ้นให้ถึง แต่ตอนลงผมมีความรู้สึกว่ามันมีอะไรน่าดูเยอะเลย เดินช้าๆ เพียงแค่พยุงไม่ให้เดินเร็วเกินกว่ากำหนด
ตอนเดินลงผมคิดได้ว่า อ๋อ! ชีวิตเราช่วงขาลงเป็นเช่นนี้เอง ตอนขาขึ้นไม่ได้ดูความงดงามอะไรเลย มุ่งแต่ความสำเร็จ บรรจุแต่ความอยากจะไปให้ถึงเป้าหมาย ลืมไปเลยว่าข้างทางสองฝั่งมีสิ่งงดงามสารพัด ตอนช่วงขาลงผมพบกับสิ่งเหล่านี้และคิดว่าดีมาก เช่นหยุดดูทิวทัศน์ที่แสนกว้างไกล ผมเลยถึงบางอ้อว่า ชีวิตผมช่วงขาลงน่าจะเป็นเช่นนี้ น่าจะเป็นชีวิตช่วงที่เป็นไปอย่างช้าๆ แล้วใช้จิตใคร่ครวญสิ่งต่างๆ ที่เป็นความงดงามที่มนุษย์สามารถพบได้ ถ้าเราเพ่งพินิจพิจารณาเพียงพอ ผมเข้าใจว่าช่วงขณะนั้นผมเบิกบานมากในการที่จะได้เดินลง แล้วความรู้สึกเจ็บไข้ได้ป่วยตอนนั้นเริ่มปรากฏแล้ว ปวดหัวมาก แต่ก็เป็นอะไรที่ดี
ไม่รู้จะเป็นคำตอบหรือเปล่า คืออยากจะเรียนว่ามันมีเหตุปัจจัย ไม่ได้หมายความว่ามีวันนี้เพราะมันมีขึ้นมาเลย แต่มันมีเมื่อวันก่อนเป็นเหตุปัจจัยให้มีวันนี้ของผมครับ
อาจารย์สุมน: ในแง่ความชื่นชม อาจารย์เอกวิทย์ได้พูดไปแล้ว ดิฉันขอยืนยันว่ามีความรู้สึกเช่นนั้นเหมือนกันที่ชื่นชมอาจารย์ประมวล เพ็งจันทร์ มาก แต่คนที่ดิฉันชื่นชมมากกว่าคือภรรยาของอาจารย์ประมวล เพราะว่าการเดินทางของอาจารย์จะเกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าภรรยาของอาจารย์ไม่มีจิตใจที่อยากให้อาจารย์มีความสุข ถึงแม้ว่าดิฉันจะแน่ใจว่าเธอไม่สุขร้อยเปอร์เซนต์ แต่จะต้องห่วงใยกังวล แต่เธอสามารถจะทำให้อาจารย์พ้นจากความห่วงใยนั้นได้ เพราะฉะนั้นดิฉันชื่นชมภรรยาของอาจารย์มาก และคิดว่าอาจารย์คงจะไม่มีลูกใช่ไหมคะ เพราะว่าลูกคือห่วงอันสลัดได้ยาก ดังที่พระพุทธเจ้ามองพระราหุลประสูติก็ตรัสว่าห่วงเกิดขึ้นแล้ว อาจารย์ไม่มีห่วงอันเหนียวหนึบอันนี้ จึงไปได้อย่างค่อนข้างจะปลอดโปร่ง ทีนี้อาจารย์ไม่ได้พูดว่าขากลับอาจารย์กลับอย่างไร อาจารย์เดินกลับหรือว่านั่งเครื่องบินจากสมุยมา คงต้องขอถามว่ากลับอย่างไร ดิฉันเป็นคนชอบสงสัย
ครอบครัวของอาจารย์คงเป็นครอบครัวที่สุขสงบมาแต่เดิม คือไม่ได้ร้าวฉาน ไม่ได้ร้อนรุ่ม ดังนั้นจึงเป็นพื้นฐานที่ดีที่อาจารย์คงไม่ต้องห่วงใยอะไรมาก ต้องชมภรรยามากเลยนะคะ แล้วภรรยาอาจารย์เก็บไปรษณียบัตรที่อาจารย์ส่งไว้ทั้งหมดใช่ไหมคะ ดิฉันคิดว่าไปรษณียบัตรทั้งปึกทั้ง ๖๐ ใบ น่าจะมีคุณค่าอย่างยิ่ง คือจะเป็นข้อความที่ปิ๊งแวบขึ้นในวันสิ้นสุดการเดินทางแต่ละวันนั้น คงไม่ต้องมาเรียบเรียงอะไรใหม่ซึ่งจะเป็นการปรุงแต่ง แต่จะเป็นข้อความเล่าเรื่องแท้ๆ อารมณ์แท้ๆ ที่เกิดขึ้นในขณะนั้น ดิฉันเห็นว่าแค่พิมพ์ไปรษณียบัตรทั้ง ๖๐ ใบนี้ ก็น่าสนใจมาก เสียดายที่อาจารย์ไม่ใช้เทคโนโลยีใดๆ จึงไม่มีกล้องที่จะถ่ายสภาพของตัวเองให้เห็นว่าก่อนและหลังเป็นอย่างไร แต่อย่างน้อยก็ปลอดจากเทคโนโลยีทั้งปวง
นอกจากจะถามว่าขากลับกลับอย่างไรแล้ว ข้อสองคือพฤติกรรมของภรรยาหลังจากที่อาจารย์กลับมาแล้ว เขาเล่าอะไรให้อาจารย์ฟังบ้างไหมว่า ตอนที่คุณไม่อยู่ฉันเป็นอย่างไร เพราะคิดถึงตัวเองว่าถ้าเป็นสามีเรากลับมา เราคงถามว่าเป็นอย่างไร แล้วทำไมเขาจึงมั่นใจว่าอาจารย์จะได้กลับมา เพราะประดุจจะลาจากแล้ว แต่ทำไมภรรยาจึงมั่นใจว่าจะต้องกลับมา ถามในแง่มุมของผู้หญิงทั้งนั้นนะคะ
ดิฉันคิดว่า ตัวละครที่เกิดขึ้นในแต่ละวันที่อาจารย์ไปพบ ไม่ว่าจะเป็นสุนัขขี้เรื้อน ขอทาน แม่ค้าขายข้าวแกง คนขับรถบรรทุก พระสงฆ์ คนขับรถกะบะ งู มด ไส้เดือน อะไรทั้งหลายเหล่านี้เป็นแบบทดสอบทั้งสิ้น คือจะคล้ายๆ กับมาสอบอารมณ์ของอาจารย์ตลอดเวลา ถ้าไปอย่างเราทั้งหลายจะไม่พบสิ่งเหล่านี้เลย แต่การก้าวเดินของอาจารย์เป็นไปอย่างธรรมชาติมาก จึงได้เจอแบบทดสอบดังกล่าว ซึ่งโดยทั่วไปถ้าเราบินปรื๊ดไปถึงสมุยเลย เราจะไม่พบอะไรเลย ดิฉันจึงย้อนกลับว่าอาจารย์บำเพ็ญบารมีประดุจจะออกมหาภิเนกษกรม ดิฉันคิดไปอย่างนั้นเลยว่าเป็นการบำเพ็ญบารมีที่ดีมาก และจะเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าไม่มีศรัทธา ไม่มีความเชื่อมั่น ต้องขออนุโมทนา และขอขอบคุณที่เอาความสุขดีๆ อย่างนี้มาแบ่งปันให้พวกเรา ขอบพระคุณค่ะ
อาจารย์ประมวล: ผมต้องบอกอาจารย์ก่อนว่า ภรรยาที่ดีและน่ารักนี้เขาเป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ครับ เขาจบครุศาสตร์บัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และพูดถึงอาจารย์อยู่เสมอว่าเป็นอาจารย์ที่เขาเคารพมาก ผมอยากจะกราบเรียนว่า จริงๆ ผมรู้ครับว่าเงื่อนไขที่ผมพูดกับภรรยาผมนั้นมันกดดันเธอ คือผมได้บอกว่าจะไม่ทำอะไรที่ทำให้ภรรยาเป็นทุกข์ ถ้ามีอะไรไม่สบายใจขอให้บอก เพราะเราได้ตกลงกันตั้งแต่ก่อนแต่งงานกันแล้วว่า จะไปถึงเป้าหมายของชีวิตคู่ด้วยกัน จะไม่มีใครไปถึงเป้าหมายถึงฟากฝั่งคนเดียว แล้วทิ้งอีกผู้หนึ่งไว้ข้างหลัง เพราะเราเป็นคู่ของชีวิต ถ้าถึงก็ถึงด้วยกัน ถ้าไม่ถึงก็ไม่ถึงด้วยกัน เพราะฉะนั้นสิ่งที่ผมคิดก็จะเล่าให้เธอฟังเป็นระยะๆ ว่าผมมีความรู้สึกว่าชีวิตคู่ที่ดีควรจะเป็นอย่างไร
ผมจะเล่าเสริมเรื่องหนึ่ง ที่ไม่น่าจะเป็นเรื่อง แต่มันเป็นเรื่องและเป็นเหตุที่ทำให้เราได้ตกลงใจได้เร็วขึ้น คือก่อนหน้าที่ภรรยาผมจะอนุญาต เรามีวิถีชีวิตที่ปกติอย่างหนึ่ง คือเราจะออกจากมหาวิทยาลัยกลับบ้าน ทางกลับบ้านจะผ่านศูนย์การค้า เราจะแวะทานอาหารที่ศูนย์อาหารและซื้อของด้วย ทีนี้ก่อนจะมาถึงวันที่เราตกลงกันได้ประมาณสักสิบวัน ผมกับภรรยาไปไหว้พระที่ประเทศพม่า เลยไม่ได้ไปทานอาหารที่ศูนย์อาหารนั้น เมื่อเรามาสู่เชียงใหม่เป็นไปตามปกติแล้ว ก็ไปทานอาหารที่นั่นเป็นมื้อแรก
ภรรยาผมพอทานเสร็จก็ไปซื้อสลัดผักมาทานที่บ้าน ขณะที่ภรรยากำลังเลือกผักมาใส่ถุง น้องผู้หญิงที่เป็นแม่ค้าขายสลัดถามขึ้นมา ทำให้ผมสะดุ้ง เขาถามว่าพี่ทั้งสองไปไหนมาตั้งสิบกว่าวัน ไม่มาทานอาหารที่นี่เลย ผมสะดุ้งเลยเพราะชีวิตเราเป็นเรื่องส่วนตัวของเรา เราจะไปจะมาทำไมแม่ค้าคนหนึ่งจะต้องมารู้ เพราะเราไม่ได้ไปแจ้งให้ใครทราบใช่ไหมครับ
ผมจึงถามเขาว่าแล้วน้องรู้ได้อย่างไร เขาตอบผมและภรรยาว่า น้องยืนดูพี่ทั้งสองทุกวัน ภาพของพี่ที่เดินจับมือกันเข้ามาและเดินจับมือกันออกไป เป็นภาพที่สวยงามมาก น้องรอดูทุกวัน เมื่อพี่ไม่มาน้องเลยนั่งนับว่ากี่วันมาแล้วที่พี่ไม่มา คำตอบของเขามันเป็นประกายสว่างขึ้นมาในใจผมและภรรยาเลย พอเราได้สลัดและจ่ายเงินเขา ๒๐ บาท วันนั้นคิดว่าถ้าให้แบงค์ร้อยไม่อยากได้ทอนด้วยซ้ำไป เพราะคำพูดเขาดีเหลือเกิน (เสียงหัวเราะ)
ผมจับมือภรรยาเดินมาถึงลานจอดรถแล้วบอกว่า นี่ไงสิ่งที่เรียกว่าความรักไม่ใช่เรื่องส่วนตัว ไม่ใช่เรื่องของคนสองคน ถ้าความรักเป็นสิ่งที่ดีที่งดงาม มันเป็นเรื่องของสาธารณะ มันเป็นความงดงามของโลก ของทั้งหมดทั้งสิ้น ผมไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่านั้น แต่หลังจากนั้นเรามาคุยกันต่อว่าจริงๆ แล้วการที่เราแสดงความรักต่อกันในฐานะเป็นคู่สามีภรรยา ถ้าเราทำอะไรที่เป็นสิ่งดีงามได้ มันน่าจะเป็นอะไรที่งดงามให้กับผู้อื่นได้ด้วย
จากจุดนั้นภรรยาผมเริ่มจะคิดถึงความใฝ่ฝันของผมที่ต้องการใช้ชีวิตเพื่อแสวงหาหรือเรียนรู้อะไรบางสิ่งบางอย่าง และผมเชื่อว่าความรู้นี้จะไม่ใช่สมบัติส่วนตัวของผมหรือของใครคนใดคนหนึ่ง แต่มันเป็นสาธารณะ เพราะฉะนั้นความรู้ที่ได้ผมจึงไม่เคยคิดว่ามันเป็นประสบการณ์ส่วนตัว แต่เป็นประสบการณ์ของนักศึกษาทุกคนที่เขามีความห่วงใยผม ก่อนผมจะออกเดินทาง มีนักศึกษาเข้ามากอดผมเพื่อจะบอกว่าหนูจะไปกับอาจารย์ แม้กระทั่งเพื่อนร่วมมหาวิทยาลัยที่สนิทกัน บางคนถึงกับเข้ามากอดว่าขอชื่นชมในการตัดสินใจครั้งนี้
สิ่งเหล่านี้ทำให้รู้ว่า การกระทำของผมไม่ใช่เรื่องส่วนตัวที่จะมาคิดว่าเป็นความสำเร็จของผม เพราะฉะนั้นกับภรรยา เราได้เริ่มคุยและวันสุดท้ายที่ภรรยาบอกผม คือบอกว่ากำหนดฤกษ์ดีได้แล้ว ผมยังล้อเล่นว่าไปหาพระมาหรืออย่างไร เธอบอกว่าไม่หรอก ถ้าจะเกิดใหม่ก็เกิดวันเดิมสิ เลยเลือกเกิดวันที่ ๒๓ ตุลาคม ๒๕๔๘ เราเลยคิดว่าวันนั้นคือวันเริ่มต้น
คำถามของอาจารย์ที่ว่าอยู่ข้างหลังเป็นอย่างไร ผมรู้นะครับว่าสังคมส่วนใหญ่จะมีคำถามว่ามันเกิดอะไรขึ้นในครอบครัวนี้ หรือภาพที่แสดงออกว่าเป็นสามีภรรยาที่รักใคร่กันเหลือเกินเป็นเพียงแค่ภาพแสดง ไม่อย่างนั้นแล้วสามีคงไม่ออกไปนอกบ้าน เดินไปเหมือนประชดชีวิต มันต้องมีอะไร และผมก็รู้ว่าภรรยาต้องเผชิญกับคำถามนี้อีกมากมายจากหลายๆ คนที่ไม่ได้สนิทกันจริงจัง เพราะฉะนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นคือ เมื่อผมกลับมา ผมพยายามทำอย่างหนึ่งเพื่อจะยืนยันว่า สิ่งที่เราทำไปไม่ใช่อย่างที่เขาคิด และอีกสักครู่จะตอบคำถามว่าทำไมถึงกลับอย่างนี้
คือช่วงที่ผมเดินไปได้สักสองสัปดาห์ น้าสาวซึ่งเป็นผู้เลี้ยงดูผมมาแต่เด็กๆ เพราะคุณพ่อคุณแม่ผมเสียชีวิตไปแล้ว โทรศัพท์ไปที่บ้านที่เชียงใหม่ และพยายามจะคุยกับผม ตอนนั้นเราตกลงกันแล้วว่าจะไม่แจ้งข่าวการกระทำของผมให้ทางญาติทราบ ไม่เช่นนั้นเขาจะกังวลและเป็นห่วง เพราะเขาไม่สามารถคาดการณ์สิ่งที่จะเกิดได้ เราสองคนเท่านั้นที่รู้ว่าชีวิตนี้เราสละได้ ถ้าผมเป็นอะไรไประหว่างทาง ภรรยาผมมีความทุกข์แน่ แต่คงมีความภูมิใจที่เราได้ทดลองทำอะไรที่อยากทำ ไม่ใช่เป็นอุบัติเหตุตาย
พอน้าทราบว่าผมไม่ได้อยู่บ้าน ภรรยาพยายามอธิบายว่าไม่ได้มีปัญหาทางชีวิตครอบครัว ไม่ได้มีสิ่งไม่ดีไม่งาม แต่น้าไม่เชื่อเสียแล้ว เมื่อผมกลับไปถึงบ้านเกิด ภาพแรกที่ผมเจอคือน้ามีคำถามมากมายหลายประการ และผมเพิ่งรู้เดี๋ยวนั้นเองว่าน้าอายุ ๘๐ กว่าปีแล้ว แต่มีความทรงจำที่แม่นยำมาก น้าบอกว่ายังจำคำพูดที่ผมพูดในวันแต่งงานได้ อย่างที่บอกไปว่านับแต่นี้ไปชีวิตเราเป็นชีวิตคู่ เป้าหมายเราเป็นหนึ่งเดียวกัน เราจะไม่แยกกันเพื่อไปถึงเป้าหมายของใครก่อนใคร ถ้าเราดีเราจะดีด้วยกัน ถ้าเราชั่วเราจะชั่วด้วยกัน ถ้าเราสุขเราจะสุขด้วยกัน จะไม่มีว่าคนหนึ่งสุขคนหนึ่งทุกข์ คำพูดนี้ถูกน้านำกลับมาย้อนรอยผมว่า ที่พูดไว้หรือจะไม่เป็นจริงเสียแล้ว
ผมต้องอธิบายให้น้าเข้าใจว่าสิ่งที่พูดไว้ยังเป็นจริงทุกประการ ที่ทำไปทั้งหมดทั้งสิ้นก็เพื่อยืนยันสิ่งเหล่านี้ และคำพูดที่น้าบอกกับผมหลังจากคุยกันจนเข้าใจแล้ว แกบอกว่าช่วงตั้งแต่โทรศัพท์ไปจนกระทั่งถึงวันนี้ผ่านมาเดือนกว่าๆ น้านอนไม่หลับ กินข้าวไม่ได้เลย รีบกลับเถอะ รีบกลับไปหาภรรยาที่เขาคงเป็นห่วงและเป็นทุกข์มากกว่าที่น้าเป็นอยู่ไม่รู้สักกี่ร้อยกี่พันเท่า นี่ภาษาของน้าผมนะครับ น้าผมรีบกุลีกุจอไปซื้อตั๋วรถทัวร์ให้ผมกลับเลย ไม่ใช่ไล่ แกบอกอย่างนั้น แต่รู้ว่าภรรยาที่บ้านเป็นห่วงอยากจะพบผมเป็นที่สุด ขากลับจึงกลับโดยรถทัวร์ และการกลับรถทัวร์ทำให้ผมได้รู้ว่าชีวิตที่เร็วและชีวิตที่ช้า มีความหมายที่แตกต่างกันมากมายมหาศาล
ช่วงนั่งรถทัวร์ ผมพยายามจะรำลึกถึงเส้นทางที่เคยเดินผ่าน เส้นทางที่เคยประสบความอ่อนล้า อ่อนระโหย แต่ว่ารถทัวร์มันวิ่งเร็วมาก แม้ตอนผมนั่ง พยายามจะเพ่งมองจุดที่เคยยืนอยู่ตรงสี่แยกสลกบาตร ที่ผมยืนผจญกับตัวเองอยู่ รถทัวร์วิ่งวูบเดียวมองไม่ทันเลย ผมจึงรู้สึกว่าที่เราไม่สามารถหยั่งเห็นอะไรบางสิ่งบางอย่างในจิตใจเราได้ เป็นเพราะเรามีชีวิตที่เร็วและรีบจนเกินไป ผมนึกถึงเวลาเขาเอาภาพแก็งค์ฉกทองในร้านทอง คนขายทองไม่รู้เลยว่าทองหายจนตอนเย็นไปตรวจ และรู้ว่าใครขโมยไปต่อเมื่อมาดูภาพช้า เลยรู้ว่าเป็นผู้หญิงคนหนึ่งเอาทองไป ทำทีเป็นเข้ามาดูทองเส้นนั้น ชอบเส้นนี้ พอแม่ค้าเผลอเลยเอาทองไป
ผมเพิ่งมารู้ว่าอะไรผิดอะไรถูก อะไรดีอะไรงามเมื่อสโลว์ และเมื่อสโลว์จึงรู้ว่าอกุศลธรรมที่อยู่ในใจเรามางอกงามอยู่ได้อย่างไร และเราจะละมันได้อย่างไร ถ้าเราต้องการให้กุศลธรรมงอกงามต้องทำอย่างไร ผมพบว่าทฤษฎีที่ผมเคยอ่านโดยใช้ความคิด โดยใช้เหตุผล มันหยาบมาก หยาบจนกระทั่งไม่อาจจับภาพเหล่านี้ได้เลย สุดท้ายแล้วจิตที่ถูกทำให้ช้า จึงจะทำให้เห็นอะไรที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปได้อย่างถ่องแท้
บางช่วงผมนั่งพิจารณาว่าผมเดินทางเข้าใกล้เป้าหมายที่ตั้งไว้หรือยัง เช่นผมจะไม่เกลียดคนอื่น บางครั้งคิดไปคิดมาผมถึงกับต้องน้ำตาไหลด้วยความรู้สึกโศกสลด ทำไมผมเกลียดคนนั้นมานาน นานเหลือเกิน นานมากเลยกับคนบางคน ทำไมความเกลียดในใจเรามันนานเหลือเกิน เราน่าจะเก็บสิ่งดีๆ งามๆ ไว้ในใจ แต่เราเก็บแต่สิ่งที่ชั่วช้าไว้นานมาก ผมรู้สึกในใจว่าถ้าวันนั้นผมกลับไปหาคนนั้น ผมจะสารภาพว่าคุณเป็นคนดีมากเลย คุณเป็นคนน่ารักที่สุด เพราะคุณถึงทำให้ผมทำอย่างนี้ได้ นี่พูดถึงเพื่อนร่วมงานนะครับ (เสียงหัวเราะ) ผมไม่รู้จะบอกว่าอย่างไร ผมคงตอบคำถามของอาจารย์แล้วนะครับ ขอให้อาจารย์ภูมิใจว่าอาจารย์สอนลูกศิษย์ได้ดีมาก ทำให้ผมมีภรรยาที่ดีครับ
นายแพทย์อุดมศิลป์: ผมเพิ่งมาทีหลังและไม่ได้มาบ่อยด้วย แต่โชคดีที่วันนี้ได้มา ถึงแม้จะไม่ได้ฟังตอนต้น ปกติผมมานั่งฟังที่นี่จะไม่เคยจด แต่วันนี้ถ้าไม่จดจะเสียดายมาก ขออนุญาตไว้ตรงนี้เลยเพราะไหนๆ อาจารย์บอกแล้วว่าความรู้ทั้งหลายเป็นสาธารณะ ตรงกับที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ความรู้สรรพสิ่งทั้งหลายในโลกนี้เป็นสาธารณโภคี ไม่ต้องจดสิทธิบัตรได้ ผมคงต้องระลึกถึงอาจารย์ประมวลไปนานแน่ อย่างน้อยเวลาอาจารย์น้ำตาคลอทีไร ผมคลอตามทุกที
หนึ่งคือไหนๆ อาจารย์บอกแล้วว่าความรู้ทั้งหมดนี้เป็นสาธารณะ ไม่ทราบว่าอาจารย์ตั้งใจเขียนหรือเปล่า ผมคงต้องขอร้องให้เขียน รวมถึงไปรษณียบัตรทั้งหมดด้วย เพราะเห็นชัดเลยครับว่าภาษาอาจารย์ดีมากเลย อาจารย์ถ่ายทอดได้เยี่ยมยุทธ์มาก จริงอยู่ถ้าเป็นภาษาเขียนจะไม่สามารถสัมผัสตาอย่างนี้ได้ แต่มันจะเป็นประโยชน์มาก เพราะนี่คือของจริง เราจะอ่านหนังสือธรรมที่เปรียญ ๙ แต่งออกมาก็เป็นแค่ข้อมูลความรู้ แต่อาจารย์ลงมือทดลองด้วยตัวเอง เหมือนพระพุทธเจ้าออกเสด็จพระราชดำเนินด้วยตัวเอง
และการที่อาจารย์เอกวิทย์ว่า มันเป็นการเดินแสวงหาทางจิตวิญญาณ แม้อาจารย์จะเดินทางไกลมาก จากเชียงใหม่ไปสมุย แต่เป็นการเดินทางเข้าไปในตัวเองจริงๆ แล้วตั้งแต่ในอดีตไม่ว่าจะพระพุทธเจ้า, คานธี, เหมาเจ๋อตุง, เช กูวารา, คนที่พบสัจธรรมชีวิตจริงๆ ล้วนแล้วแต่เดินทาง ตรงกับที่อาจารย์ประเวศพูดคือ เราเกิดมาในปัจจุบันถูกล้อมกรอบความคิด ถูกตีกรอบเยอะมาก ตัวอย่างกรอบที่ชัดเจนคือคุณน้าของอาจารย์เอง
ผมคิดว่าน้าสาวของอาจารย์มีกรอบความคิดว่าสามีภรรยาที่รักกันมากขนาดนี้ ถ้าออกไปจากบ้านแสดงว่าต้องมีอะไร นี่คือวิธีคิดที่เราถูกสังคมตีกรอบ การเดินทางออกนอกกรอบ ออกไปจากสิ่งที่เราจำเจ มีเวลาที่จะย่อย ถ้าขี่เครื่องบินคงไม่เห็น นั่งรถทัวร์ก็ไม่เห็น เพราะอย่างนั้นต้องช้าแล้วเดิน ต้องให้เวลาตัวเองมากๆ มันคล้ายๆ กับเดินจงกรมตลอดระยะทางเป็นพันกิโลเมตร
ผมเคยมีประสบการณ์เล็กๆ น้อยๆ พวกนี้ เพราะว่าเคยพยายาม แต่มันเป็นแค่การทำการตลาดของศิริราช ตอนนั้นจะพานักเรียนแพทย์วิ่งจากเชียงใหม่ลงมากรุงเทพฯ เพื่อจะโปรโมทเรื่องวิ่งลอยฟ้าเฉลิมพระเกียรติล่วงหน้าหนึ่งปี ผมวิ่งทางไกลเยอะ สมัยก่อนที่ฟิตมากๆ วิ่งทางไกลกรุงเทพฯ ไปจันทบุรี ไปหัวหิน เราทำกันแทบจะอาทิตย์เว้นอาทิตย์ วิ่งช้าๆ และเป็นอย่างที่อาจารย์ว่า กายจะทรมาน แต่ใจอิสระจริงๆ ทั้งหมดอยู่กับขาเราสองข้าง อยู่กับตัวเราเองจริงๆ แล้วตลอดทางธรรมะจะจัดสรรให้มีนิมิตต่างๆ เกิดขึ้น ให้เราได้เรียนรู้สัจธรรมความจริงแท้ของชีวิต จนระยะหลัง พวกยัปปี้ทั้งหลายในอเมริกาก็ไปปลีกวิเวก ที่ทำให้พวกเขาไปค้นพบอีกมากมาย
การเดินทางของอาจารย์จึงเป็นการเดินออกนอกกรอบความคิดเดิม แล้วมีสัญลักษณ์ที่อาจารย์เจอเยอะแยะ ไม่ว่าจะเป็นสุนัขขี้เรื้อน ว่าเรารู้สึกมีชีวิตมีความอบอุ่นให้แก่สุนัขได้ งูเป็นสัญลักษณ์ที่อาจารย์เกลียดกลัวนักหนา แต่อาจารย์เมตตามัน หรือแม้แต่ภรรยาที่ชอบไปทานอาหารไกลๆ ทั้งหมดเป็นสัญลักษณ์ที่ทำให้เราขยายกรอบความคิดเรา ทำให้เห็นทั้งตัวตนเราเองและเห็นสรรพสิ่งรอบตัวชัดเจนขึ้น สุดท้ายคือเห็นวงจรชีวิตว่าสรรพสิ่งทั้งหลายมันแค่นี้แหละ
ต้องขอบคุณอาจารย์ และอยากให้อาจารย์รีบเขียนเร็วๆ และขออนุญาตตรงนี้เลยนะครับว่า ผมขอเอาบางส่วนของเรื่องอาจารย์ไปออกอากาศให้ผู้ฟังด้วย คนฟังชอบแบบนี้มาก โดยเฉพาะเรื่องของเศรษฐกิจพอเพียงที่มีแต่ทฤษฎี มีแต่ความคิด แต่คนมองไม่เห็นของจริง อาจารย์มีการทดลองด้วยตัวเองเหมือนกับมหาบุรุษหลายๆ คน แล้วประสบการณ์จริง เรียนรู้จริง คนจะฟังเข้าใจและประทับใจง่าย
บรรดาตัวอย่างที่อาจารย์พูดนั้นผมจดไว้หมด รับรองว่าคนฟังวิทยุจะต้องอ๋อทันที ว่านี่คือชีวิตที่พอเพียงจริงๆ ผมชอบคำที่อาจารย์ใช้มากๆ ว่าอาจารย์พยายามจะก้าวพ้นจากตัวตนเดิมจริงๆ จากกิเลสตัณหา เป็นสิ่งที่คนปัจจุบันจริงๆ ไม่เข้าใจ ถ้าเราสามารถจะขยายวงกรอบนี้ไปได้ ผมเชื่อว่าอาจารย์จะมีคุณูปการกับสังคมไทยและสังคมโลกมาก ขอบคุณอาจารย์อีกครั้งครับ
อาจารย์จุมพล: ผมขอถามสั้นๆ เท่านั้นว่า เคยคิดหรือมีโอกาสที่จะชวนภรรยาออกเดินทางแบบนี้ไหมครับ
อาจารย์ประมวล: ไม่ได้คิดครับ แต่ว่าช่วงที่ภรรยาต้องการจะไปเที่ยว ผมก็ขับรถย้อนรอยกลับไปแล้วพบปะผู้คนเหล่านั้น คือผมมีความรู้สึกอย่างหนึ่งว่า ตอนที่เดินผ่านไป ผมพบว่าผมพยายามจะกำจัดความกลัวจากใจผม แต่เหมือนกับเอาความกลัวไปใส่ไว้ในใจเขา เพราะเขามีความวิตกกังวลว่าคนแก่ๆ คนหนึ่งที่เดินผ่านเขามาเป็นใคร น่ากลัว แล้วเป็นอันตรายหรือเปล่า คือในสังคมไทยเนื้อในมีเมตตาธรรม แต่ความหวาดระแวงกังวลทำให้เขาไม่กล้าแสดงออก ผมเลยถือว่าเอาอย่างนี้ไหม เราขับรถไปขอบคุณเขาด้วย เฉพาะบางจุดที่ขับรถได้ พอเรากลับไปและมีภรรยาไปด้วย บางคนสารภาพเลยว่าวันนั้นกลัวมากที่ผมเดินผ่านมา แต่สงสาร เพราะเห็นเป็นคนแก่
มีแม่ค้าขายกล้วยปิ้งให้กล้วยปิ้งผมสามลูก ให้เหมือนกับว่าเอากล้วยปิ้งแล้วไปๆ เถอะ วันที่ผมกลับไป ผมบอกว่าพี่รู้ไหมว่ากล้วยปิ้งสามลูกนั้นทำให้ผมมีชีวิตกลับมาหาพี่ได้อีก วันนั้นผมไม่ได้กินอะไรเลย ผมกินกล้วยปิ้งของพี่หนึ่งลูก แล้วตอนเย็นผมกินไปอีกหนึ่งลูก ตอนเช้าผมกินอีกลูก สามลูกได้สามมื้อประมาณนั้น แกบอกว่าตอนนั้นถ้าไม่กลัวไม่อะไร ความจริงน่าจะถามมากกว่านี้ ข้าวก็มี แต่ทำไมไม่ถาม แล้วแกบอกว่าเพื่อนบ้านยังมาตำหนิอีกว่าเป็นคนแปลกหน้า ไปช่วยเขา เขาอาจจะหนีตำรวจหนีอะไรมา จะถูกหาว่าช่วยคนผิดคนชั่วอะไรอย่างนี้ แต่แกบอกว่าเขาน่าสงสาร ผมจึงได้พบว่าการกลับไปพบอีกครั้ง ทำให้เขาดีขึ้นและรู้สึกภาคภูมิใจในสิ่งที่เขาทำไป
แต่สิ่งหนึ่งที่ภรรยาผมพบคือ ทุกวันที่เราขับรถไป เพียงแค่นั่งอยู่บนรถ มีแอร์ ยังรู้สึกเหน็ดเหนื่อย ยุ่งยาก ทรมาน เขาบอกว่าสมแล้วที่ให้ผมมาคนเดียวและให้เขารอฟังผลอยู่ที่บ้าน (เสียงหัวเราะ) ผมไม่ได้หมายความว่าเธอไม่ต้องการจะลำบากนะครับ แต่ผมเข้าใจว่าเธอเห็นถึงความหมายที่ยิ่งใหญ่ เพราะว่าทุกๆ ครั้งที่เราคุยอะไรกัน ผมไม่เคยบอกว่าสิ่งนั้นเป็นเรื่องของผม แต่จะบอกว่าเป็นเรื่องของเรา และเราพยายามจะแบ่งปันอารมณ์ความรู้สึกด้วยกัน
แม้กระทั่งช่วงที่ผมเดินไปถึงอำเภอประทิว จังหวัดชุมพร ผมเดินผ่านร้านอาหารร้านหนึ่งริมทะเล เขาเชิญผมหยุดพักและบอกว่าจะทำอาหารให้ผม ผมบอกว่าทานมาแล้วและไม่รู้สึกหิว มื้อเดียวเพียงพอสำหรับผมแล้ว แต่เขาพยายามเสนอ สุดท้ายชงโอวัลตินให้ผมแล้วนั่งคุยกัน เขาเป็นคนสนใจ ผมจึงเล่าให้เขาฟังว่าผมเดินทำไม เพื่ออะไร ผมจำได้ว่าพอกลับมาถึงบ้าน พบว่าเขาได้โทรศัพท์กลับมาถึงภรรยาผมและเล่าว่าพบผม แล้วคำพูดหนึ่งที่ยืนยันกับภรรยาผม เขาบอกว่าเขาพบผู้ชายที่แม้ร่างกายจะทรุดโทรม แต่ผู้ชายคนนี้มีความสุขมาก เขาไม่เคยพบใครที่หน้าตาผ่องใสและมีความสุขมากขนาดนี้
และเมื่อผมกลับไปพบเขาอีกที ทั้งภรรยาผมและคุณคนนี้ชื่ออุทิศ เขาคุยกัน สิ่งที่เขาถามเป็นไปตามประสาผู้หญิงเหมือนที่อาจารย์ถาม ทำให้ทราบว่าภรรยาผมเป็นห่วงมาก เพราะฉะนั้นตอนที่คุณอุทิศโทรไป ข้อความที่ว่าเจอผู้ชายที่มีความสุขมาก ภรรยาผมจึงเขียนไว้ยืนยันเพื่อให้สบายใจ แต่สิ่งหนึ่งที่คุณอุทิศกับภรรยาผมคุยกันและผมได้ฟังด้วยคือ มันเป็นอารมณ์ความรู้สึกที่เป็นห่วง คุณอุทิศเป็นห่วงผม แกบอกว่าคืนนั้นแกหลับไปแล้วตื่นขึ้นมาตีสี่เพื่อทำอาหาร เพราะตอนที่ผมเจอแกเป็นเวลาสักสี่โมงเย็น แล้วผมบอกว่าจะเดินไปอีกประมาณชั่วโมงหรือสองชั่วโมง ข้างหน้านี้มีวัดไหม แกบอกว่ามีวัดบ่ออิฐ ไปที่นั่นเถอะพักได้ ผมก็ไปพักที่วัดนั้น แกตื่นตีสี่ทำอาหารเพื่อมาให้ผมที่วัด เพราะวันที่ผ่านมาแกไม่ได้ให้อาหารผม แต่ว่าผมออกจากวัดไปแล้ว แกเลยเอาอาหารเหล่านั้นไปให้พ่อของสามี พอให้พ่อสามีแล้วก็มีความรู้สึกว่า ถึงแม้จะไม่ได้อาหารผมก็ได้ให้พ่อสามีซึ่งเป็นผู้ชายแก่ๆ คนหนึ่งเหมือนกัน
ความรู้สึกของคุณอุทิศที่คุยกับภรรยาผม ผมเข้าใจครับว่ามันเป็นความรู้สึกเป็นห่วง แต่ในท่ามกลางความเป็นห่วงนั้น ทำให้ได้เกิดการเรียนรู้อะไรบางสิ่งบางอย่างในการมีชีวิตอยู่ ผมบอกภรรยาผมว่า แท้จริงแล้วการเป็นห่วงที่จะพลัดพรากจากกันมันเป็นสิ่งปกติ วันหนึ่งเราต้องพลัดพรากจากกัน ไม่รู้ใครจะตายก่อนตายหลัง ที่สำคัญคือช่วงขณะที่มีชีวิตอยู่ เราต้องใช้ความรู้สึกเป็นห่วงนี้ให้มีพลังพอที่จะไม่ก่อให้เกิดความสูญเสียความรู้สึกผ่องใสเบิกบาน อย่าให้มีความหวาดระแวง อย่าให้มีความกังวล อย่าให้มีอะไรเป็นตัวแทรก เพราะชีวิตที่เรามีอยู่แม้จะยาวจะสั้นไม่สำคัญ สำคัญว่าทุกขณะที่เรามีชีวิตอยู่ร่วมกันควรจะเป็นชีวิตที่ผ่องใสเบิกบานให้แก่กันและกัน และผมคิดว่าผมจะพยายามทำให้เต็มที่ สิ่งเหล่านี้ไม่รู้จะอธิบายอย่างไรดี แต่เป็นการพยายามจะยืนยันสิ่งที่เป็นผลจากการเรียนรู้ครั้งนี้ครับ
อาจารย์เอกวิทย์: ด้วยความเกรงใจเรื่องเวลานะครับ คิดว่าวันนี้เราได้อะไรดีๆ จากอาจารย์ประมวลมากมาย แต่สิ่งที่เห็นภาพชัดมากในใจผม ทั้งมีทุนเดิมที่จะคิดอย่างนั้นอยู่แล้ว คือในเมืองไทยและในโลกนี้ยังมีสิ่งที่ดีงามอีกมากนักที่เราละเลยไม่ได้สัมผัส แต่อาจารย์ได้ให้สติแก่เราว่า ถ้าตั้งหลักดีๆ ใจเย็นๆ มองทุกสิ่งทุกอย่างด้วยความสุขุมรอบคอบและอยู่กับปัจจจุบันขณะ เราจะพบสิ่งที่ดีงามที่จะทำให้มีกำลังใจที่จะสู้ต่อไป อยู่ต่อไปทำอะไรที่ดีตามมาอีกมากมายนัก เพราะว่าฟังข่าวมากๆ อ่านหนังสือพิมพ์ ดูทีวี ดูซีเอ็นเอ็น บีบีซี มันแย่หมดครับ เป็นมายาชนิดหนึ่ง เพราะฉะนั้นประสบการณ์ที่อาจารย์มาถ่ายทอดให้เราฟัง ทำให้เกิดความรู้ ความคิด และเกิดสติว่าสิ่งที่ดีๆ ยังมีอีกมากเหลือเกินถ้าเราสัมผัสได้
ผมอยากเรียนถามอาจารย์ จะตอบสั้นๆ หรือไม่ตอบก็ได้ คือเราได้ดูโลกลึกๆ ในทางจิตมามากแล้ว อยากเรียนถามอาจารย์ในฐานะที่รู้จักอินเดียพอสมควรว่า อินเดียขณะนี้ผมคิดว่าสุดโต่งสองทาง คือสุดโต่งทางเศรษฐกิจ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี ขึ้นมาเป็นมหาอำนาจได้อันดับหนึ่งเหมือนกัน และมีคนที่ตามอีกเป็นร้อยล้าน อีกสุดโต่งหนึ่งคือเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณ ทางการชำระจิตใจให้หมดจด ยังมีอยู่ ผมคิดว่าบ้านเมืองที่มีอารยธรรมพื้นฐานดีอย่างอินเดียไม่น่าจะถึงสุดโต่งได้อย่างนี้ อาจารย์มองวิเคราะห์อย่างไร แล้วอนาคตจะเป็นอย่างไร
อาจารย์ประมวล: เมื่อกลับไปอินเดียทุกครั้ง ผมรู้สึกเหมือนผมเป็นชาวอินเดีย และผมจะมีความรู้สึกเจ็บปวดรู้สึกสงสารเสียใจมากทุกครั้ง คืออินเดียมีคนจนที่ไม่รู้กระทั่งว่า ตัวเองจะได้กินอะไรในมื้อต่อไปประมาณ ๓๐๐ กว่าล้านคน ถ้าอาจารย์เคยไปอินเดีย จะเห็นว่า เวลาสักหก-เจ็ดโมงเช้า เทศบาลนครกัลกัตตาจะเปิดน้ำสาธารณะให้เขาอาบหนึ่งครั้ง เขาอาบน้ำชนิดที่เรียกว่าเอาหัวไปจ่อกับสายน้ำชนกันไปกันมาเหมือนนกเวลาไปจิกกินอะไร
หรือถ้าเราไปบอมเบย์หรือเมืองใหญ่ๆ ริมถนนจะมีคนนอนอยู่เต็มไปหมด ถ้าเป็นไปได้ผมจะไปอินเดียประมาณปีละครั้ง เพื่อจะยืนยันว่านี่คือชีวิตมนุษย์ และชีวิตมนุษย์เหล่านี้ช่วยชำระจิตใจผมให้ดีงามขึ้นมาได้ แต่ในขณะเดียวกัน มีอินเดียที่เต็มไปด้วยความทะเยอทะยานอยากจะเป็นมหาอำนาจโลก อยากจะเป็นประเทศมั่งคั่งร่ำรวย สิ่งเหล่านี้ผสมผสานอยู่ในอินเดียและทำให้เรารู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้ทำให้อินเดียขัดแย้งกันอยู่พอสมควร แต่ผมเชื่อว่าจริงๆ แล้วลึกๆ อินเดียยังมีผู้นำทางด้านจิตใจ และผู้นำทางด้านจิตใจยังมีพลังพอช่วยฉุดช่วยดึง ถ้าไม่มีพลังช่วยฉุดช่วยดึงนี้ อินเดียคงไปไกลกว่านี้
สิ่งหนึ่งที่ผมคิดว่าอินเดียน่าเห็นใจ คือเขาตกอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ต้องถูกกระทำจากอารยธรรมโลกข้างนอกมาเป็นเวลานาน คนอินเดียสูญเสียความเชื่อมั่นในศักยภาพและความดีงามของตัวเอง ถ้าเราไปชนบทที่อินเดียจะรู้ว่าคนอินเดียน่าสงสารมาก เขารู้สึกสูญเสียความเชื่อมั่นในความเป็นอินเดียที่ดีๆ
เมื่อไม่กี่วันมานี้ ผมยังกลับไปคุยกับท่านกงสุลอินเดียประจำเชียงใหม่ บอกว่าผมรู้สึกเสียดายมากที่เรารู้จักอินเดียน้อย ที่สำคัญคือเส้นทางในการรู้จักอินเดียมันไกลมาก ต้องอ้อมไปอเมริกา ไปยุโรปก่อน แล้วค่อยวกกลับมาอินเดีย เราไม่มีถนนหรือสะพานตรงไปสู่อินเดียเลย คือแกมาอยู่เมืองไทยแล้วประทับใจเมืองไทย ผมบอกไปว่าอยู่อินเดียก็ประทับใจอินเดีย ทำไมเราไม่เอาความประทับใจทั้งสองส่วนนี้มาแปะต่อกันให้ได้
เพราะฉะนั้นคำถามอาจารย์เอกวิทย์ผมคงตอบยาก แต่ผมยังมีความเชื่อลึกๆ ว่าอินเดียแม้ว่าจะมีคนเป็นจำนวนหลายร้อยล้านหันไปสู่การแสวงหาโภคทรัพย์ แสวงหาสิ่งที่เป็นวัตถุมากกว่าจิตใจ แต่มีคนเป็นจำนวนเป็นร้อยล้านเหมือนกันที่แสวงหาสิ่งที่เป็นนามธรรมในจิตใจ ผมเชื่อว่าด้วยอะไรบางสิ่งบางอย่างที่มีอยู่ คงมีพลังมากพอที่จะทำให้อินเดียคงทนอยู่ได้ในท่ามกลางสภาพแวดล้อมเช่นนั้น เป็นข้อสันนิษฐานของผมครับ
นายแพทย์ประเวศ: ได้ฟังอาจารย์ประมวลแล้วไม่แปลกใจว่าทำไมพระพุทธเจ้าจึงบรรลุธรรม ท่านทิ้งปราสาทราชวังทั้งหมด เหลือแต่ตัว และออกเดินทางไปตั้ง ๖ ปี เงินไม่มี อะไรก็ไม่มี ท่านไปสัมผัสของจริงจึงบรรลุธรรมได้ ๖ ปีคงเดินทางไกลกว่าเกาะสมุย
พวกเราที่ประชุมกันอยู่ ณ ที่แห่งนี้ เรียกว่า"จิตวิวัฒน์" เรามีความเชื่อร่วมกันว่าโลกนี้ไปไม่ได้ด้วยเรื่องภายนอก เพราะทำกันไปจนเต็มที่แล้วยิ่งยุ่งมากขึ้น วิกฤตมากขึ้น คงต้องอาศัยการเปลี่ยนแปลงภายในที่เราเรียกว่าจิตวิวัฒน์ พวกเราหลายคนในที่นี้มีความทะเยอทะยานที่จะพัฒนาหลักสูตร เรียกว่าจิตตปัญญาศึกษา ไม่ทราบจะเรียกว่าอะไร แต่เป็นเรื่องโลกภายในเกี่ยวกับการเรียนรู้เพื่อการเปลี่ยนแปลง ที่ว่าทะเยอทะยานเพราะคิดว่าจะช่วยกันทำตรงนี้ให้ดีที่สุด คนที่เป็นครูก็เรียนรู้ด้วย ฝึกตัวเองด้วย และต่อไปจะรับนักเรียน อาจจะปริญญาโท ปริญญาเอก หรือไม่มีปริญญา มีหลายแบบ ฝึกคนขึ้นมาให้เกิดมวลวิกฤตแล้วขยายตัวออกไป คิดว่าต่อไปการศึกษาทุกประเภทต้องมีการศึกษาด้านในให้เกิดขึ้นทั่วประเทศ ในขั้นแรกวันพรุ่งนี้ คนที่จะมาร่วมเป็นครู ๓๐ คน จะเรียนรู้ฝึกตัวเองก่อน โดยใช้เวลาเกือบปีจากนี้ไป และจะเปิดหลักสูตรนี้ตามมา
สิ่งที่จะอาราธนาคือ อาราธนาอาจารย์มาสอนในหลักสูตรนี้เป็นครั้งคราว (หัวเราะ) ถ้าเป็นไปได้ เพราะว่าหลักสูตรส่วนหนึ่ง จะมีเรื่องของการภาวนาไปอยู่กับธรรมชาติ ไปอยู่กับตัวเอง ไม่ได้กำหนดว่านานเท่าไหร่ น่าจะเป็นส่วนสำคัญและมีหลายรูปแบบ อยู่ในป่า อยู่คนเดียว หรือไปแบบอาจารย์ เพราะเราจะเรียนเป็นวิชาสักเท่าไหร่คงเข้าใจได้ยาก ต้องเป็นประสบการณ์ตรง และถ้าไม่ระวังเราจะเอาวิชาการเป็นตัวตั้ง เพราะเราโตมาทุกวันนี้โดยเอาวิชาเป็นตัวตั้งเสมอ บางทีเราไม่เข้าใจจะนำไปสู่ความขัดแย้ง
ผมมีประสบการณ์ ลูกผมทะเลาะกับยาย และต่างคนต่างว่าไม่มีเหตุผล ผมมาดูว่าเหตุผลของคนแก่อายุ ๘๐ กับคนหนุ่มคงจะเป็นคนละเหตุผล ผมเลยบอกเขาว่าเราไม่ได้เอาเหตุผลเป็นตัวตั้งนะ แต่เอาการที่อยู่ร่วมกันเป็นตัวตั้งต่างหาก เขาเลยเปลี่ยนไป ถ้าเอาเหตุผลเป็นตัวตั้งจะไม่หยุดทะเลาะกัน แต่เราจะคุ้นเคยกับการเรียนที่เอาเหตุผลเป็นตัวตั้งทุกเรื่องไป
ผมมีเรื่องเล็กๆ เมื่อไม่นานมานี้เอง ผมนั่งเครื่องบิน แอร์โฮสเตสจะมาย้ายผมจากชั้นประหยัดไปชั้นธุรกิจ เถียงกันอยู่นั่นแหละ เขามีเหตุผลว่าทำไมผมควรย้าย ผมเถียงว่าทำไมไม่ควรย้าย ผมบอกว่าผมเป็นคนชั้นต่ำ แต่พอเขาพูดว่าคุณหมออย่าขัดใจหนูเลย (เสียงหัวเราะ) ผมเลยไป ผมรู้ว่าเขาเปลี่ยนวิธีการแล้ว เขาใช้ใจไม่ใช้เหตุผลแล้ว อันนี้เป็นหลักอย่างหนึ่ง ถ้ามีคนชวนไปทำไม่ดี ชวนไปกินเหล้าไปสูบบุหรี่ ถ้าเราไปสู้ด้วยเหตุผล ไม่มีทางชนะ ถ้าเราไปต่อสู้ว่าไม่ดีอย่างไร เขาจะอธิบายกลับมาว่ามันดีอย่างไร ต้องใช้วิธีอื่น เช่นแม่บอกไม่ให้ไป ไม่มีเหตุผล แต่ใช้ใจ หรือเราไปดูฉือจี้จะเห็นชัด เขาเอาใจนำ แต่ความเป็นวิทยาศาสตร์เขาก็มี แต่เป็นเรื่องที่ตามมาเพื่อรับใช้ใจ อาราธนาไปแล้ว ถ้าอาจารย์ไม่ปฏิเสธถือว่าตอบรับ
นายแพทย์โกมาตร: คิดว่าใกล้เที่ยงพอดี ตอนบ่ายเรายังมีเวลาที่จะคุยกันเรื่องการศึกษาโดยเฉพาะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องเกี่ยวกับระบบการศึกษาในอินเดียหรือศานตินิเกตัน ซึ่งเป็นแม่แบบหนึ่งที่ผสมผสานหลายด้านเข้าไว้ด้วยกัน น่าจะเป็นประโยชน์กับพวกเรา อย่างศานตินิเกตัน เมืองไทยมีคนไปเรียนจากที่นั่นจำนวนหนึ่ง เช่นอาจารย์เฟื้อ หริพิทักษ์ หรือพยับแดด นักแปลหนังสือต่างๆ แต่เรายังไม่ได้เชิญผู้มีโอกาสได้ไปเรียนที่นั่นจริงๆ มานั่งคุยกันกับเรา คิดว่าสักวันเราอาจจะได้คุยกัน แต่ตอนบ่ายวันนี้จะคุยกันในเรื่องของการศึกษา ซึ่งคิดว่าที่อินเดียคงมีอะไรหลายอย่างให้เราได้เรียนรู้เหมือนกัน และเป็นประโยชน์โดยตรงกับแผนงานจิตตปัญญาศึกษาด้วย ผมคิดว่าเช้านี้มีเนื้อหาเต็มเปี่ยมเลยนะครับ
อาจารย์สรยุทธ: ไม่มีอะไรมากครับ คงจะเหมือนทุกท่าน อยากจะกราบขอบพระคุณอาจารย์ ผมคิดว่าการเอาตัวเองไปทดลองเจอความจริงมันเป็นส่วนสำคัญ รู้สึกว่าวันนี้เป็นโอกาสดีที่ได้มาฟังอาจารย์ ช่วยปรับมุมมองของผมพอสมควรเกี่ยวกับการเดินทางข้างหน้า ถือเป็นมงคลของชีวิตที่ได้มาฟังธรรมในรูปแบบหนึ่ง อยากจะกราบขอบพระคุณอาจารย์ครับ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++
... จุดเริ่มต้นของคนเราไม่สำคัญ
มันสำคัญที่ว่าเขาวิ่งได้เร็วแค่ไหนตะหาก ...
มันสำคัญที่ว่าเขาวิ่งได้เร็วแค่ไหนตะหาก ...
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 14783
- ผู้ติดตาม: 0
อาจารย์ประมวล เพ็งจันทร์ "เดินสู่อิสระภาพ"
โพสต์ที่ 3
ขอบคุณครับ
อ่านแล้วก็ได้ประโยชน์มาก แต่เข้าใจว่าเป็นวิบากรรมของอาจารย์ ดร.ประมวล เอง ที่ต้องทำแบบนี้
อย่างไรก็ตาม ขอคอมเม้น ว่า ดีนะ ที่แกมีชีวิตรอดมาได้
จริงๆแล้ว ทางสายกลาง เสี่ยงน้อยกว่า และได้ประโยชน์มากกว่า
การเดิน โดยอดอาหาร ไม่มีไม่กินแบบนี้ โอกาส เป็นลมเป็นแล้ง รถเฉี่ยวชน มีโอกาสมาก
หากเป็นแบบนั้น ขึ้นมา คุณภรรยา และอีกหลายๆคนก็ต้องเสียใจ
ทำไม แกไม่บวช แล้วธุดง ไปเลย อย่างน้อย ตลอดสองข้างทาง ใน เวลา เช้า แกยังโปรดสัตว์ได้ด้วย
อ่านแล้วก็ได้ประโยชน์มาก แต่เข้าใจว่าเป็นวิบากรรมของอาจารย์ ดร.ประมวล เอง ที่ต้องทำแบบนี้
อย่างไรก็ตาม ขอคอมเม้น ว่า ดีนะ ที่แกมีชีวิตรอดมาได้
จริงๆแล้ว ทางสายกลาง เสี่ยงน้อยกว่า และได้ประโยชน์มากกว่า
การเดิน โดยอดอาหาร ไม่มีไม่กินแบบนี้ โอกาส เป็นลมเป็นแล้ง รถเฉี่ยวชน มีโอกาสมาก
หากเป็นแบบนั้น ขึ้นมา คุณภรรยา และอีกหลายๆคนก็ต้องเสียใจ
ทำไม แกไม่บวช แล้วธุดง ไปเลย อย่างน้อย ตลอดสองข้างทาง ใน เวลา เช้า แกยังโปรดสัตว์ได้ด้วย
-
- Verified User
- โพสต์: 307
- ผู้ติดตาม: 0
อาจารย์ประมวล เพ็งจันทร์ "เดินสู่อิสระภาพ"
โพสต์ที่ 4
เมื่อคืนนอนไม่ค่อยหลับ เลยเปิดโทรทัศน์ดู ก็เลยได้ดูรายการของคุณดู๋
ที่เชิญอาจารย์แกมาเล่าในรายการให้ฟังพอดีครับ มันประทับใจผมอยู่หลายตอนเลย
ตอนหนึ่ง ที่มีคนแอบยัดเงินใส่ในเป้ 200 บาท แล้วแกเดินมากำลังเหนื่อย กระหายน้ำมาก
พอดีไปเจอร้านขายน้ำ ทำให้แกคิดถึงเงินในเป้ เกิดความอยากจะซื้อน้ำขึ้นมาฉับพลัน
แต่พอตั้งสติคิดอีกที ว่าที่ผ่านมาตอนเราไม่มีเงิน แล้วเดินจนเหนื่อยกระหายน้ำมากอย่างวันนี้เหมือนกัน
แต่ทำไมเราทนได้ ทำให้ฉุกคิดขึ้นได้ว่า
พอคนเรามีเงินอยู่ในมือ มันมีอำนาจสามารถเปลี่ยนแปลงความคิดคนเราได้ นี่แหละพลังของอำนาจเงิน!!!!!!!
และยังมีอีกหลายตอน อย่างตอนนอนที่ศาลาวัดกับหมาขี้เรื้อน มันสอนให้คนเราให้คุณค่าของตนเอง
แม้ว่าจะอยู่ในสภาพอย่างคนจรจัด แต่ก็ยังสามารถให้ไออุ่นต่อหมาขี้เรื้อน สัตว์เพื่อนร่วมโลกได้
ดูจนจบรายการ ยังนึกเสียดายว่ามีรายการนี้ช้าไป
อยากให้เสี่ยท่านที่หนีปัญหา ฆ่ายกครัวได้ดู
โศกนาฏกรรมนี้อาจไม่เกิดขึ้นก็ได้
ที่เชิญอาจารย์แกมาเล่าในรายการให้ฟังพอดีครับ มันประทับใจผมอยู่หลายตอนเลย
ตอนหนึ่ง ที่มีคนแอบยัดเงินใส่ในเป้ 200 บาท แล้วแกเดินมากำลังเหนื่อย กระหายน้ำมาก
พอดีไปเจอร้านขายน้ำ ทำให้แกคิดถึงเงินในเป้ เกิดความอยากจะซื้อน้ำขึ้นมาฉับพลัน
แต่พอตั้งสติคิดอีกที ว่าที่ผ่านมาตอนเราไม่มีเงิน แล้วเดินจนเหนื่อยกระหายน้ำมากอย่างวันนี้เหมือนกัน
แต่ทำไมเราทนได้ ทำให้ฉุกคิดขึ้นได้ว่า
พอคนเรามีเงินอยู่ในมือ มันมีอำนาจสามารถเปลี่ยนแปลงความคิดคนเราได้ นี่แหละพลังของอำนาจเงิน!!!!!!!
และยังมีอีกหลายตอน อย่างตอนนอนที่ศาลาวัดกับหมาขี้เรื้อน มันสอนให้คนเราให้คุณค่าของตนเอง
แม้ว่าจะอยู่ในสภาพอย่างคนจรจัด แต่ก็ยังสามารถให้ไออุ่นต่อหมาขี้เรื้อน สัตว์เพื่อนร่วมโลกได้
ดูจนจบรายการ ยังนึกเสียดายว่ามีรายการนี้ช้าไป
อยากให้เสี่ยท่านที่หนีปัญหา ฆ่ายกครัวได้ดู
โศกนาฏกรรมนี้อาจไม่เกิดขึ้นก็ได้
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 14783
- ผู้ติดตาม: 0
อาจารย์ประมวล เพ็งจันทร์ "เดินสู่อิสระภาพ"
โพสต์ที่ 5
ผมว่า มันสุดโต่งเกินไปครับ
ไปนอนกะหมาขี้เรื่อนแล้วได้คติเตือนใจ
เดินทางไป ไม่ติดเงิน เลย ถ้าไม่มีคนให้กินข้าว ก็ไม่ต้องกิน
เค๊าให้เงินมา 200 บาท หิวน้ำ อยากกิน ไม่ซื้อ
เดินทางมา แล้วเขียนไปรษณีย์บัตรให้เมียทุกวัน แต่ก็รู้ว่า ( คิดไปเอง ) ว่าทำเพื่อตัวเอง และเพื่อเมีย
โอ๊ย หลายเรื่องอ่านแล้ว
สำหรับผมนะ ผมว่า ไม่ไหวครับ ไม่น่ายกย่องอะไรเลย
มีหนทางดีๆ กว่านี้ตั้งเยอะ ไม่เดิน เลือกเดินบนหนทาง ที่ลำบากแสนสาหัส ทั้งๆที่รู้ แต่ก็เลือก
ผมถึงคิดว่า เป็น วิบาก ของ แกครับ วิบาก + กรรม ของแก ก็เลยต้องมาทำแบบนี้
อืม แต่ก็ดังไปอีกแบบ ทั้งๆที่แกก็ไม่ได้อยากดังอะไร
ไปนอนกะหมาขี้เรื่อนแล้วได้คติเตือนใจ
เดินทางไป ไม่ติดเงิน เลย ถ้าไม่มีคนให้กินข้าว ก็ไม่ต้องกิน
เค๊าให้เงินมา 200 บาท หิวน้ำ อยากกิน ไม่ซื้อ
เดินทางมา แล้วเขียนไปรษณีย์บัตรให้เมียทุกวัน แต่ก็รู้ว่า ( คิดไปเอง ) ว่าทำเพื่อตัวเอง และเพื่อเมีย
โอ๊ย หลายเรื่องอ่านแล้ว
สำหรับผมนะ ผมว่า ไม่ไหวครับ ไม่น่ายกย่องอะไรเลย
มีหนทางดีๆ กว่านี้ตั้งเยอะ ไม่เดิน เลือกเดินบนหนทาง ที่ลำบากแสนสาหัส ทั้งๆที่รู้ แต่ก็เลือก
ผมถึงคิดว่า เป็น วิบาก ของ แกครับ วิบาก + กรรม ของแก ก็เลยต้องมาทำแบบนี้
อืม แต่ก็ดังไปอีกแบบ ทั้งๆที่แกก็ไม่ได้อยากดังอะไร
-
- Verified User
- โพสต์: 307
- ผู้ติดตาม: 0
อาจารย์ประมวล เพ็งจันทร์ "เดินสู่อิสระภาพ"
โพสต์ที่ 6
อันนี้ผมก็เห็นด้วยนะกับท่านเจ๋ง ทุกวันนี้สังคมไทยชอบอะไรที่สุดโต่ง ดูอย่างJeng เขียน:ผมว่า มันสุดโต่งเกินไปครับ
ฆ่า ก็ต้อง ฆ่ายกครัว สุดโต่ง
อยากดัง ก็ต้องอย่างน้องเอมี่ สุดโต่ง
รอยร้าวสุวรรณภูมิ ก็เล่นข่าว สุดโต่ง
ตอนทักษิโณมิคส์ ก็สุดโต่ง
พอมา พอเพียง ก็สุดโต่ง ใช้กันซะฟุ่มเฟือย จนไม่รู้ว่า เข้าใจความหมายที่แท้จริงกันหรือเปล่า
ฯลฯ
ส่วนกรณีของอาจารย์ท่านนี้ ถามว่าเป็นผม ผมก็คงไม่คิดทำอย่างแก เพราะผมยังมีภาระ มีห่วง มีกิเลส
แต่ถ้าเรามามองกันอีกมุมหนึ่ง มันก็มีประโยชน์ในความสุดโต่งของมัน คืองี้ครับ
สมัยนี้วัยรุ่นแทบไม่เข้าวัด ฟังเทศน์ฟังทำ เพราะมันน่าเบื่อ
พอถึงวิชาสอนเกี่ยวกับ ศีลธรรม ธรรมะ แทบอยากโดดเรียน บางทีก็โดดเลย ไม่ก็หลับในห้อง
จนเดี๋ยวนี้พระต้องวิ่งจีวรปลิว ออกมาเทศน์กันในโทรทัศน์กันแล้ว แถมยังต้องอินเทรน นำเรื่องใกล้ตัววัยรุ่น
มาประยุกต์รวมเวลาเทศน์สอน รวมทั้งต้องมี vdo ประกอบด้วย
ในกรณีของอาจารย์ท่านนี้ มันก็เหมือนการนำประสบการณ์ตรง มาเล่ามาสอนแทรกด้วยคติธรรม
อย่างมีอรรถรส โน้มน้าวคนดูคนฟังได้จนจบตลอดเรื่อง ไม่มีเบื่อ
ซึ่งจุดมุ่งหมายเดียวกัน คือ สอนให้คนเห็นโทษของ รัก โลภ โกรธ หลง การยึดมั่นถือมั่น
สอนให้ทุกคนทำความดี มีกัลยาณมิตรต่อเพื่อนมนุษย์ ละกิเลส ไม่ยึดติดกับวัตถุนิยม พยายามมองเรื่องรอบตัวไปในแง่ดี
ตามความเข้าใจของผมนะครับ
ปล.จริงๆไม่อยากแลกฯ กับท่านเจ๋งเลย เพราะความรู้ด้านภูมิธรรมของผมมันน้อยนิดมากเมื่อเทียบกับท่านเจ๋ง
แต่ก็คิดว่า อยากรู้อยากเก่ง ก็ต้องกล้าเข้าหาคนที่เก่ง ฉลาด กว่าเรา
อย่าถือสานะครับ:P
-
- Verified User
- โพสต์: 332
- ผู้ติดตาม: 2
อาจารย์ประมวล เพ็งจันทร์ "เดินสู่อิสระภาพ"
โพสต์ที่ 7
อัพเดทนิดหน่อยนะครับ ขณะนี้มีมีหนังสือ
เดินสู่อิสรภาพ ประมวล เพ็งจันทร์ พิมพ์ครั้งที่ 2 แล้ว
เพิ่งได้จากซีเอดมาวันนี้เอง / ท่านใดสนใจลองหาอ่านดูได้
เรื่องของแก ผมเคยอ่านจากเวปไซต์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนแล้วก็ประทับใจดี
เดินสู่อิสรภาพ ประมวล เพ็งจันทร์ พิมพ์ครั้งที่ 2 แล้ว
เพิ่งได้จากซีเอดมาวันนี้เอง / ท่านใดสนใจลองหาอ่านดูได้
เรื่องของแก ผมเคยอ่านจากเวปไซต์มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนแล้วก็ประทับใจดี

-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 14783
- ผู้ติดตาม: 0
อาจารย์ประมวล เพ็งจันทร์ "เดินสู่อิสระภาพ"
โพสต์ที่ 8
โค้ด: เลือกทั้งหมด
ตามความเข้าใจของผมนะครับ
ปล.จริงๆไม่อยากแลกฯ กับท่านเจ๋งเลย เพราะความรู้ด้านภูมิธรรมของผมมันน้อยนิดมากเมื่อเทียบกับท่านเจ๋ง
แต่ก็คิดว่า อยากรู้อยากเก่ง ก็ต้องกล้าเข้าหาคนที่เก่ง ฉลาด กว่าเรา
อย่าถือสานะครับ
พูดถึงประโยชน์ของการสุดโต่ง จนกระทั่งออกมาเป็นหนังสือขายดี พิมพ์ครั้งที่ 2
อิอิ อีกหน่อยพิมพ์ครั้งที่ 100
ผมว่า ไม่มีประโยชน์อะไรเลยครับ ยิ่งขายดี แสดงว่า เป็นเรื่องโลกียะ
คนอาจจะอยากทำอะไรที่พิลึก สุดๆ อยู่แล้ว แต่ยังไมกล้าทำ ก็เลยอ่าน แล้ว หนุกดี เห็นเป็นพระเอกไปเลย
พระพุทธเจ้า อดอาหาร 6 ปี แต่ไม่สามารถแยกสุข แยกทุกข์ออกจากกันได้ ถ้าท่านแยกได้ ท่านจะเลือกเอาแต่สุข ไม่เอาทุกข์ และก็ไม่จำเป็นต้องปรินิพพาน
เมื่อเห็นว่า ทางนี้ไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ ท่านก็เลย เลือกทางใหม่คือทางสายกลาง ทุกอย่าง ต้องพอดี กลางๆ
ซึ่งไม่ใช่วิสัย ของมนุษย์ กิเลสของมนุษย์ ไม่ต้องการสายกลางครับ ต้องอะไรที่สุดๆ ไปเลย
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 14783
- ผู้ติดตาม: 0
อาจารย์ประมวล เพ็งจันทร์ "เดินสู่อิสระภาพ"
โพสต์ที่ 9
ต่ออีกนิดนึง
คือตั้งใจจะเขียนว่า ในตอนที่พระพุทเจ้า อดอาหาร 6 ปี แล้วเจออะไรบ้าง ลำบากแสนสาหัส แค่ไหน นั้น ไม่มีการกล่าวถึง
เพราะอะไร
ถ้าจะพรรณา ว่าอดอาหาร 6 ปี นั่งสมาธิ แล้วเจออะไร สาหัสขนาดไหน
อาจารย์ ประมวล ก็คงชิดซ้ายไปเลย
แต่ทำไม ไม่มีการกล่าว ก็เพราะว่า ไม่มีประโยชน์ อะไร เผลอๆ คนเห็นเป็น ฮีโร่ ก็เลย ไปอดอาหารตามกันอีก
โค้ด: เลือกทั้งหมด
พระพุทธเจ้า อดอาหาร 6 ปี แต่ไม่สามารถแยกสุข แยกทุกข์ออกจากกันได้ ถ้าท่านแยกได้ ท่านจะเลือกเอาแต่สุข ไม่เอาทุกข์ และก็ไม่จำเป็นต้องปรินิพพาน
เพราะอะไร
ถ้าจะพรรณา ว่าอดอาหาร 6 ปี นั่งสมาธิ แล้วเจออะไร สาหัสขนาดไหน
อาจารย์ ประมวล ก็คงชิดซ้ายไปเลย
แต่ทำไม ไม่มีการกล่าว ก็เพราะว่า ไม่มีประโยชน์ อะไร เผลอๆ คนเห็นเป็น ฮีโร่ ก็เลย ไปอดอาหารตามกันอีก