ขอความคิดเห็นในเรื่อง จะเข้าทำงานในบริษัทที่ตัวเองถือหุ้นอยู

[niyom_value]

สวัสดีครับ พอดีผมได้สมัครทำงานในบ.มหาชนแห่งหนึง (พอดีมีตำแน่งที่ผมสนใจ) ซึ่งเผอิญบริษัทดังกล่าวผมถือหุ้นไว้อยู่ด้วย แล้วผมจะต้องแจ้งทางบริษัทหรือเปล่าถ้าเกิดผมได้เข้าทำงาน อยากทราบว่าจะมีผลอะไรหรือเปล่าครับ ถ้าทางบริษัทรู้ แล้วถ้าสมมุติว่าผมได้เข้าไปทำงาน ผมยังมีโอกาสไปประชุมผู้ถือหุ้นและซักถามกรรมการบริษัทในข้อข้องใจในผลการดำเนินงาน มันจะเหมาะมั๋ยครับเนี่ยะ (ตอนนี้ยังไม่ได้เรียกสัมภาษณ์ แต่คิดเอาไว้ก่อน -_-)

[BHT]

ถ้าถือไม่เยอะ ก็คงไม่มีผลอะไร แต่ถ้าเยอะขนาดติดชื่อผู้ถือหุ้นใหญ่ คงอาจมีบ้างที่ต้องบอก แต่ผมว่าเฉยๆดีกว่า

แล้วถ้าสมัครเป็นตำแหน่งผู้บริหารที่สูงพอให้ต้องรายงาน แบบนี้ผมว่าต้องบอกเลยครับ

[prateepd]

ผมจะไม่ถือหุ้นที่บริษัททำงานอยู่ เพราะเคยถือแล้วมีคนหาว่า Insider เนื่องจากรู้ข้อมูลด้วยและทำงานอยู่ด้วย เลยตั้งใจจะไม่ถือทั้งๆที่เป็นบริษัทที่ดีขนาดไหน หรือถ้าถือ ผมจะบอกคนที่เกี่ยวข้องก่อน และจะเป็นการถือระยะยาวมาก

[MarginofSafety]

ให้ระวังเรื่อง Conflict of Interest
ถ้าเป็นบริษัทมหาชนขนาดใหญ่
จะมีฝ่ายที่ดูแลเรื่องนี้ และถือว่าเป็นจรรยาบรรณ
ในลักษณะไม่ควรใช้ข้อมูลภายในในการซื้อขาย
ยิ่งถ้าอยู่ในธุรกิจการเงิน ข้อบังคับยิ่งเข้มงวดขึ้นครับ

[ต.หยวนเปียว]

ผมก็เคยจะยื่นใบสมัครบริษัทซอสภูผาทอง
ตอนนั้นคิดนิดๆเหมือนกัน

หากมีหุ้นไม่ได้มากขนาดชื่อปรากฏ
คงไม่เป็นไรมั๊งครับ
ทีหุ้นที่เขาขายให้พนักงาน
ดีซะอีกจะได้ตั้งใจทำให้บริษัทเจริญรุ่งเรือง  :lol:

[Jeng]

อย่าคิดมากเลย

คนละเรื่อง

และคนละหน้าที่ คนละบทบาท

[Jeng]

โดยปกติ มีกติกาอยู่แล้ว ว่าใครที่ทำงานอยู่ แล้วมีหุ้นควรแจ้ง เท่าที่ทราบก็คือกรรมการ

ส่วนคนอื่น เช่น ฝ่ายการเงิน ฝ่ายบัญชี ฝ่าย MIS พวกคอมพิวเตอร์ ที่ดูข้อมูลได้หมด

พวกนี้ ถ้าไม่ได้เป็นกรรมการ ก็ไม่ต้องแจ้งอยู่แล้ว

และบริษัทเอง ถามว่า เขาชอบหรือไม่ ถ้าพนักงาน ซื้อหุ้นบริษัท เขาก็ชอบอยู่แล้ว

การใช้ insider ไม่ได้แปลว่าได้กำไร เพราะ insider ก็รู้แต่ insider ของบริษัท

แต่การลงทุนในตลาด ต้องเปรียบเทียบกับ ทุกบริษัท และการลงทุนอื่น เช่น ตราสารหนี้ หรือ พันธบัตรรัฐบาล เป็นต้น

ต่อให้รู้ว่า insider แต่ตลาดไม่รับ เช่น รู้ว่าข่าวดี แต่ หุ้นอาจจะตกก็ได้

ในขณะที่รู้ข่าวร้าย แต่หุ้นอาจจะขึ้นก็ได้

ผมถึงว่าไม่ต้องคิดมาก เพราะกติกา มีอยู่แล้ว

ถ้าไม่อยากติดข้อข้องใจ อะไรเลย

ตอนสมัครงานก็แจ้งไปเลยว่า ผมมีหุ้นบริษัทคุณ อยู่ เท่านี้

แล้วก็รู้เองแหละ ว่า ผลเป็นไง

[krittapon_r]

แล้วมันต่างกับคนที่

- ซื้อหุ้นบริษัทที่เรากำลังทำงานอยู่

- คนที่ได้หุ้นจาก ESOP หรือถือ Warant-ESOP

หรือเปล่า  :?

[Jangster]

เอ่อ... ขอขัดนิดนึงนะครับ...  การที่ไ้ด้ ESOP เนี่ย มันเป็น employee benefit.... แม่ผมเป็นผู้บริหารแบงค์แห่งนึง เขาให้ หุ้น(ต้อง exercise) เป็นส่วนนึงเป็น benefit... หากแม่ผมจะ exercise นั้นก็มี period ที่เค้าบังคับ..... นอกจากนี้แล้วเค้ายังบังคับอีกว่าห้ามขายใน window period ใกล้ๆวันประกาศงบต่างๆ..... พูดง่ายๆว่าเค้าไม่ได้กะให้ speculate ด้วยหุ้น

ส่วนที่บอกว่าห้ามซื้อหุ้นก็จริงๆครับ..... ถ้าถืออยู่แล้วก็บอกเค้าไป แต่เค้าจะให้รายงาน transaction ของหุ้นบริษัทและเครือที่ถืออยู่..... นอกจากนี้แล้ว คนในครอบครัวก็ห้ามซื้อเช่นกัน.... ผมก็ไ่ม่สามารถซื้อหุ้นแบงค์นี้ได้ รวมทั้งหุ้นในกลุ่ม telecom ตัวนึงรวมทั้งบริษัทย่อย (เพราะพ่ีอผมเป็นหนึ่งใน board บ.นั้นเหมือนกัน)

ส่วนลูกน้องเนี่ย ก็มีสิทธิ์ที่จะได้ประโยชน์จาก insider มากมายครับ.... หากคุณรู้ว่า บริษัทคุณทำ deal อะไรที่ใหญ่มากๆ แล้วสามารถซื้อหุ้นก่อนตลาดรู้นี่เป็นผลมากมายครับ หรือถ้ารู้ว่าแบงค์ทำอะไรเสียหาย ก็ทำอะไรได้มาก เช่นขายก่อนร่วงแล้วรอช้อน เพียงแต่ว่าอยุ่ที่ ethic ของคนที่ซื้อหุ้นด้วยล่ะครับ

[Jeng]

โค้ด: เลือกทั้งหมด

ส่วนลูกน้องเนี่ย ก็มีสิทธิ์ที่จะได้ประโยชน์จาก insider มากมายครับ.... หากคุณรู้ว่า บริษัทคุณทำ deal อะไรที่ใหญ่มากๆ แล้วสามารถซื้อหุ้นก่อนตลาดรู้นี่เป็นผลมากมายครับ หรือถ้ารู้ว่าแบงค์ทำอะไรเสียหาย ก็ทำอะไรได้มาก เช่นขายก่อนร่วงแล้วรอช้อน เพียงแต่ว่าอยุ่ที่ ethic ของคนที่ซื้อหุ้นด้วยล่ะครับ

ผมไม่เคยได้ยินว่า ห้ามพนักงาน ซื้อหุ้นบริษัทตัวเอง ถ้าห้ามก็แปลก ถือเป็นข้อมูลใหม่

เพราะไม่มีทางห้ามได้ เนืองจาก ต่อให้รู้ insider และมีการห้าม ก็ใช้ nominee คือ ชื่อพี่น้อง คนละนามสกุล มาซื้อได้อยู่ดี

[Jangster]

ผมไม่เคยได้ยินว่า ห้ามพนักงาน ซื้อหุ้นบริษัทตัวเอง ถ้าห้ามก็แปลก ถือเป็นข้อมูลใหม่

เพราะไม่มีทางห้ามได้ เนืองจาก ต่อให้รู้ insider และมีการห้าม ก็ใช้ nominee คือ ชื่อพี่น้อง คนละนามสกุล มาซื้อได้อยู่ดี

จริงๆ่ไม่ได้ห้ามครับ.... แค่ต้องรายงานทุก transaction ที่เกี่ยวข้องของคนทั้งบ้าน รวมถึง daytrade.... ผมเลยไม่ซื้อหุ้นที่พ่อแม่ทำงานอยู่ เพราะมันเป็น pain in the @ss ทีเดียวสำหรับคนเล่นเงินน้อยๆอย่างผมที่จะมาใช้ insider ให้เป็นประโยชน์เพราะหุ้นมีให้เล่นกันทั่วตลาด..... ลองนึกดูสิครับ หากบังเอิญผมซื้อหุ้นนั้นเข้า แล้วกลายเป็นว่าหุ้นดังกล่าวข่าวดีขึ้นมาแล้วหุ้นวิ่งกระฉูด ก็พิสูจน์ยากอีกว่าใช้ insider รึเปล่า.... แต่ผมไม่รู้ว่าต้อง report เฉพาะผู้บริหารรึเปล่านะครับ

ก็เหมือนกับหม่อมอุ๋ย กับลูกล่ะครับ.... ถ้าบังเอิญวันนั้นหม่อมปลื้มไปซื้อหุ้นนเข้าพอดี แล้วถึงแม้ว่าตัวพ่อไม่รู้ว่าลูกซื้อ แต่ไป reverse แล้วหุ้นขึ้นกระูฉูด คุณก็ไม่มีทางรู้ว่าจริงๆแล้วใช้ insider รึเปล่า..... ถึงบอกว่าไม่ได้ใช้ ก็เหมือนเป็น grey area อยู่ดีแล้วเสียชื่อเสียงด้วย

แต่อย่างไรก็ตาม ก็อย่างที่บอกล่ะครับ... หากซื้อขายด้วยคนที่มีคนละนามสกุล ก็ไม่มีทางจับได้ง่ายๆอยู่ดี ยกเว้นว่าเล่นกันเป็นหลายๆร้อยล้านพันล้านจนตลาดเห็นได้ชัดแล้วสืบสวน.. สุดท้ายก็อยู่ที่ ethics ล่ะครับ..... ผมมีเพื่อนเป็นผู้จัดการกองทุนกองนึงที่เรียนด้วยกันสมัยอยุ่ america เค้ายังไม่กล้าบอกอะไรที่เป็น insider หรือว่าเค้าคิดจะซื้อขายตัวใหนเลยครับ เพราะมันไม่คุ้มกันกับความเสี่ยง

[Jeng]

โค้ด: เลือกทั้งหมด

จริงๆ่ไม่ได้ห้ามครับ.... แค่ต้องรายงานทุก transaction ที่เกี่ยวข้องของคนทั้งบ้าน รวมถึง daytrade.... ผมเลยไม่ซื้อหุ้นที่พ่อแม่ทำงานอยู่ เพราะมันเป็น pain in the @ss ทีเดียวสำหรับคนเล่นเงินน้อยๆอย่างผมที่จะมาใช้ insider ให้เป็นประโยชน์เพราะหุ้นมีให้เล่นกันทั่วตลาด..... ลองนึกดูสิครับ หากบังเอิญผมซื้อหุ้นนั้นเข้า แล้วกลายเป็นว่าหุ้นดังกล่าวข่าวดีขึ้นมาแล้วหุ้นวิ่งกระฉูด ก็พิสูจน์ยากอีกว่าใช้ insider รึเปล่า.... แต่ผมไม่รู้ว่าต้อง report เฉพาะผู้บริหารรึเปล่านะครับ 

กติกามีอยู่แล้ว

เท่าที่ผมทราบ กรรมการเท่านั้นครับที่ต้องรายงาน ส่วนคนอื่น

ไม่มีทางรู้ insider เท่ากรรมการครับ เพราะเรื่องที่รู้ก็แค่เป็นเรื่องที่ผ่านมาแล้วทั้งนั้น ส่วนกรรมการจะรู้เรื่อง อนาคต เช่น การตัดสินใจ โปรเจ็กใหม่ หรือ การออกวอร์ เพิ่มทุน take over merge กิจการ และอื่นๆ ที่มีผลต่อราคาหุ้นจริงๆครับ

ส่วนเรื่องที่ พนักงานรู้ แล้วไปซื้อ คงไม่ผิดอะไร ไม่เช่นนั้น กฎ ระ เบียบ ก็ต้องออกมาว่า ห้ามทุกคนในบริษัทซื้อ หรือ ซื้อแล้วต้องรายงานทุกคนครับ

[BHT]

แบบนี้คงต้องตาม กลต. แล้วล่ะ ว่าขอบเขตอยู่ตรงไหน

แต่ถ้าผมมีหุ้นอยู่ไม่มาก เอาว่าไม่เกินหมื่นหุ้น หรือไม่ถึง 0.5% ที่ว่าเข้าข่ายผู้ถือหุ้นใหญ่ ก็คงไม่บอก แต่อาจมาบอกทีหลัง โดยถามไถ่จากคนในบริษัทตั้งแต่แรกๆที่เริ่มทำงาน

ถ้าผมมีหุ้นอยู่มากจนติดผู้ถือหุ้นใหญ่ คงต้องบอก แต่ไม่รู้ว่าบอกตอนไหนถึงจะถูกต้อง