มาสะสม อริยทรัพย์กัน
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 14783
- ผู้ติดตาม: 0
มาสะสม อริยทรัพย์กัน
โพสต์ที่ 1
อริยะสมบัติหรืออริยะทรัพย์ คือคุณสมบัติซึ่งผู้ปฎิบัติธรรมทุกคนปรารถนาให้เกิดมีในตน เพื่อผลของการบรรลุธรรม ได้แก่
1.ศรัทธา คือความเชื่อมั่น เลื่อมใสในพระปัญญาความสามารถของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เลื่อมใสอยากปฎิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระองค์ท่าน เลื่อมใสในพระอริยสงฆ์สาวกสุปฎิปันโนของพระองค์ท่าน เลื่อมใสในกัลยาณมิตรผู้สั่งสอนอบรมให้มีความรู้ตามที่ได้ศึกษาจนรู้แจ้งมา เช่น พวกเราลูกโยคีเลื่อมใสต่อคุณแม่สิริ กรินชัย เป็นต้น
2.ศีล ผู้ปฎิบัติทุกท่าน ย่อมปรารถนาทำตนให้เป็นผู้บริสุทธิ์เสียก่อนทั้งกาย วาจาและใจ โดยอาชีวัฎฐมกศีลของลูกโยคีซึ่งพาทำโดยคุณแม่ดร.สิริ กรินชัย เรียกว่าบริสุทธิ์ 3 ข้อ
กายบริสุทธิ์ 3 ได้แก่ไมฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ และไม่ประพฤติผิดในประเวณี
วาจาบริสุทธิ์ 4 ได้แก่ ไม่พูเท็จ ไม่พูดยุยงส่อเสียด ไม่พูดคำหยาบและไม่พูดเพ้อเจ้อ
มโนบริสุทธิ์ 3 คือไม่มีอภิชฌา ได้แก่ ความมีจิตมุ่งร้าย อยากได้ของผู้อื่น ไม่พยาบาทปองร้ายผู้อื่น และไม่มีความคิดเห็นที่ไม่ถูกทำนองคลองธรรม เช่น ไม่รู้จักบุญคุณผู้อื่น เห็นว่านรกสวรรค์ไม่มีจริง ฯลฯ บริสุทธิ์สามเรียกได้อีกอย่างว่า กุศลกรรมบถ 10 ซึ่งท่านกล่าวว่าจะช่วยให้เราได้เกิดเป็นมนุษย์อีกในชาติหน้า
ผู้ปฎิบัติธรรมสายสมวิปัสสนากรรมฐาน เช่น พวกเราลูกโยคีมีกิจที่ต้องกระทำในการปฎิบัติตลอดเวลาคือ ที่เรียกว่าอินทรียร์สังวรศีล ซึ่งได้แก่การสำรวม กิริยา วาจา ใจ กำหนดรู้การกระทำของตนเองทุกอย่าง ทุกอิริยาบท เช่น การยืน เดิน นั่ง นอน รับประทาน เคี้ยว ดื่ม กำหนดผัสสะ ทุกชนิด ( ซึ่งเกิดจากอายตนะภายในมี ตา หู จมูก ลิ้น กายและใจ เป็นผู้รับ ผู้ส่งคืออายตนะภายนอก มี รูป รส กลิ่น เสียง โผฎฐัพพะ และความนึกคิดคืออารมณ์เกิดวิญญานรู้ขึ้นที่ใจ และเรากำหนดรู้ทุกครั้ง ) อินทรีย์สังวรศีล ช่วยให้เรารู้ตัวการกระทำทั้งหมดของเราเอง ต่อตัวเราเอง ของเราเองต่อผู้อื่น หรือของผู้อื่นต่อตัวเรา ทำให้เราสามารถป้องกันตัวเองให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งปวงได้ ทำให้กิเลส ตัณหา อุปาทานต่างๆของเราเองลดลงได้ ซึ่งก็คือการบรรลุทางธรรม
การบรรลุทางธรรมจึงเกิดการเป็นผู้มีบริสุทธิ์ศีล เรียกศีลวิสุทธิ์ ซึ่งทำให้เกิดจิตวิสุทธิ ทิฎฐิวสุทธิ กังขาวิตรณวิสุทธิ มรรคามรรคญานทัสสนวิสุทธิจน ได้ปฎิปทาญานทัสสนวิสุทธิ และญาณทัสสนวิสุทธิตามลำดับ ซึ่งเป็นขั้นตอนของการบรรลุทางธรรม
3.หิริ คือความละอายต่อบาป และ
4.โอตตัปปะ คือความเกรงกลัวต่อบาป ก็คือคุณสมบัติทางธรรมของผู้มีศีลบริสุทธิ์ ทำให้มีความละอายและเกรงกลัวที่จะทำบาปเพราะรู้ว่าการทำบาปคือการทำกรรมชั่วย่อมมีผลตอบแทนแก่ผู้กระทำในทางชั่วเช่นกัน
5.สุตะ คือการได้ยินได้ฟังแต่ในสิ่งที่ถูกต้องดีงาม ผู้ปฎิบัติธรรมย่อมมีศีลทางวาจาบริสุทธิ์ ไม่พูดเท็จ ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดเพ้อเจ้อ และไม่พูดคำหยาบ อยู่แล้ว ยังมีการบรรยายธรรม การสนทนาธรรม การโต้ตอบปุจฉาวิสัชนาธรรม ซึ่งก็ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งดีงาม ก่อให้เกิดสุตมยปัญญาและจินตามยปัญญาทั้งสิ้น ซึ่งเมื่อนำไปปฎิบัติ ภาวนามยปัญญาย่อมเกิดตามมา สมประสงค์ของผู้ปฎิบัติธรรม
6.จาคะ คือการให้ทาน คือมีการเสียสละทรัพย์นอกตนและในตนให้ผู้อื่นด้วยจิตเมตตากรุณา จาคะที่สำคัญคือ อภัยทาน ได้แก่การงดโทษ โกรธ พยาบาทต่อผู้อื่น ท่านว่าถ้าสามารถภาวนาจนเกิดอภัยทานได้ ก็จะได้ผลคืออริยมรรค คือบรรลุทางธรรมได้
7.ปัญญา ความรู้วิเศษคือภาวนามยปัญญาขั้นสูง 4 ขั้น ได้แก่ โสดาบัน สกิทาคา อนาคา และอรหันต์
http://www.kondee.com
1.ศรัทธา คือความเชื่อมั่น เลื่อมใสในพระปัญญาความสามารถของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เลื่อมใสอยากปฎิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระองค์ท่าน เลื่อมใสในพระอริยสงฆ์สาวกสุปฎิปันโนของพระองค์ท่าน เลื่อมใสในกัลยาณมิตรผู้สั่งสอนอบรมให้มีความรู้ตามที่ได้ศึกษาจนรู้แจ้งมา เช่น พวกเราลูกโยคีเลื่อมใสต่อคุณแม่สิริ กรินชัย เป็นต้น
2.ศีล ผู้ปฎิบัติทุกท่าน ย่อมปรารถนาทำตนให้เป็นผู้บริสุทธิ์เสียก่อนทั้งกาย วาจาและใจ โดยอาชีวัฎฐมกศีลของลูกโยคีซึ่งพาทำโดยคุณแม่ดร.สิริ กรินชัย เรียกว่าบริสุทธิ์ 3 ข้อ
กายบริสุทธิ์ 3 ได้แก่ไมฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ และไม่ประพฤติผิดในประเวณี
วาจาบริสุทธิ์ 4 ได้แก่ ไม่พูเท็จ ไม่พูดยุยงส่อเสียด ไม่พูดคำหยาบและไม่พูดเพ้อเจ้อ
มโนบริสุทธิ์ 3 คือไม่มีอภิชฌา ได้แก่ ความมีจิตมุ่งร้าย อยากได้ของผู้อื่น ไม่พยาบาทปองร้ายผู้อื่น และไม่มีความคิดเห็นที่ไม่ถูกทำนองคลองธรรม เช่น ไม่รู้จักบุญคุณผู้อื่น เห็นว่านรกสวรรค์ไม่มีจริง ฯลฯ บริสุทธิ์สามเรียกได้อีกอย่างว่า กุศลกรรมบถ 10 ซึ่งท่านกล่าวว่าจะช่วยให้เราได้เกิดเป็นมนุษย์อีกในชาติหน้า
ผู้ปฎิบัติธรรมสายสมวิปัสสนากรรมฐาน เช่น พวกเราลูกโยคีมีกิจที่ต้องกระทำในการปฎิบัติตลอดเวลาคือ ที่เรียกว่าอินทรียร์สังวรศีล ซึ่งได้แก่การสำรวม กิริยา วาจา ใจ กำหนดรู้การกระทำของตนเองทุกอย่าง ทุกอิริยาบท เช่น การยืน เดิน นั่ง นอน รับประทาน เคี้ยว ดื่ม กำหนดผัสสะ ทุกชนิด ( ซึ่งเกิดจากอายตนะภายในมี ตา หู จมูก ลิ้น กายและใจ เป็นผู้รับ ผู้ส่งคืออายตนะภายนอก มี รูป รส กลิ่น เสียง โผฎฐัพพะ และความนึกคิดคืออารมณ์เกิดวิญญานรู้ขึ้นที่ใจ และเรากำหนดรู้ทุกครั้ง ) อินทรีย์สังวรศีล ช่วยให้เรารู้ตัวการกระทำทั้งหมดของเราเอง ต่อตัวเราเอง ของเราเองต่อผู้อื่น หรือของผู้อื่นต่อตัวเรา ทำให้เราสามารถป้องกันตัวเองให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งปวงได้ ทำให้กิเลส ตัณหา อุปาทานต่างๆของเราเองลดลงได้ ซึ่งก็คือการบรรลุทางธรรม
การบรรลุทางธรรมจึงเกิดการเป็นผู้มีบริสุทธิ์ศีล เรียกศีลวิสุทธิ์ ซึ่งทำให้เกิดจิตวิสุทธิ ทิฎฐิวสุทธิ กังขาวิตรณวิสุทธิ มรรคามรรคญานทัสสนวิสุทธิจน ได้ปฎิปทาญานทัสสนวิสุทธิ และญาณทัสสนวิสุทธิตามลำดับ ซึ่งเป็นขั้นตอนของการบรรลุทางธรรม
3.หิริ คือความละอายต่อบาป และ
4.โอตตัปปะ คือความเกรงกลัวต่อบาป ก็คือคุณสมบัติทางธรรมของผู้มีศีลบริสุทธิ์ ทำให้มีความละอายและเกรงกลัวที่จะทำบาปเพราะรู้ว่าการทำบาปคือการทำกรรมชั่วย่อมมีผลตอบแทนแก่ผู้กระทำในทางชั่วเช่นกัน
5.สุตะ คือการได้ยินได้ฟังแต่ในสิ่งที่ถูกต้องดีงาม ผู้ปฎิบัติธรรมย่อมมีศีลทางวาจาบริสุทธิ์ ไม่พูดเท็จ ไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดเพ้อเจ้อ และไม่พูดคำหยาบ อยู่แล้ว ยังมีการบรรยายธรรม การสนทนาธรรม การโต้ตอบปุจฉาวิสัชนาธรรม ซึ่งก็ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งดีงาม ก่อให้เกิดสุตมยปัญญาและจินตามยปัญญาทั้งสิ้น ซึ่งเมื่อนำไปปฎิบัติ ภาวนามยปัญญาย่อมเกิดตามมา สมประสงค์ของผู้ปฎิบัติธรรม
6.จาคะ คือการให้ทาน คือมีการเสียสละทรัพย์นอกตนและในตนให้ผู้อื่นด้วยจิตเมตตากรุณา จาคะที่สำคัญคือ อภัยทาน ได้แก่การงดโทษ โกรธ พยาบาทต่อผู้อื่น ท่านว่าถ้าสามารถภาวนาจนเกิดอภัยทานได้ ก็จะได้ผลคืออริยมรรค คือบรรลุทางธรรมได้
7.ปัญญา ความรู้วิเศษคือภาวนามยปัญญาขั้นสูง 4 ขั้น ได้แก่ โสดาบัน สกิทาคา อนาคา และอรหันต์
http://www.kondee.com
-
- Verified User
- โพสต์: 320
- ผู้ติดตาม: 0
มาสะสม อริยทรัพย์กัน
โพสต์ที่ 2
หิริ + โอตตัปปะ
มักมาเป็นเพื่อนคู่กัน ท่องตั้งแต่ยังเด็ก
ละอาย+เกรงกลัว ต่อบาป
ผลกรรมที่น่าเกรงกลัวจากการทำบาปพอนึกออก
แต่ผมนึกภาพ การละอายต่อบาปไม่ถูกแฮะ
หมายถึง รู้สึกผิดที่ได้ทำลงไปแล้ว รึเปล่าครับ
หรือว่า การทำบาปเป็นเรื่องน่าอับอาย
มักมาเป็นเพื่อนคู่กัน ท่องตั้งแต่ยังเด็ก
ละอาย+เกรงกลัว ต่อบาป
ผลกรรมที่น่าเกรงกลัวจากการทำบาปพอนึกออก
แต่ผมนึกภาพ การละอายต่อบาปไม่ถูกแฮะ
หมายถึง รู้สึกผิดที่ได้ทำลงไปแล้ว รึเปล่าครับ
หรือว่า การทำบาปเป็นเรื่องน่าอับอาย
- por_jai
- Verified User
- โพสต์: 14338
- ผู้ติดตาม: 0
มาสะสม อริยทรัพย์กัน
โพสต์ที่ 4
๋ำืJeng เขียน:ผู้ปฎิบัติธรรมสายวิปัสสนากรรมฐาน มีกิจที่ต้องกระทำในการปฎิบัติตลอดเวลาคือ
่การสำรวม กิริยา วาจา ใจ
กำหนดรู้การกระทำของตนเองทุกอย่าง ทุกอิริยาบท
เช่น การยืน เดิน นั่ง นอน รับประทาน เคี้ยว ดื่ม กำหนดผัสสะ ทุกชนิด (ซึ่งเกิดจากอายตนะภายในมี ตา หู จมูก ลิ้น กายและใจ เป็นผู้รับ ผู้ส่งคืออายตนะภายนอก มี รูป รส กลิ่น เสียง และความนึกคิดคืออารมณ์เกิดวิญญานรู้ขึ้นที่ใจ
และเรากำหนดรู้ทุกครั้ง )
อินทรีย์สังวรศีล ช่วยให้เรารู้ตัวการกระทำทั้งหมดของเราเอง ต่อตัวเราเอง ของเราเองต่อผู้อื่น หรือของผู้อื่นต่อตัวเรา ทำให้เราสามารถป้องกันตัวเองให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งปวงได้
ทำให้กิเลส ตัณหา อุปาทานต่างๆของเราเองลดลงได้ ซึ่งก็คือการบรรลุทางธรรม
8) เรื่องพวกนี้ทำไม่เพิ่งมารู้ มาเรียน
เอาตอนอายุครึ่งร้อยแล้ว ก็ไม่ทราบ
ไม่ใช่เรื่องที่จะปฏิบัติได้ง่ายๆเลยหนอ
กิเลส ตัวตนที่มีอยู่ทั้งหนา ทั้งหนัก
กว่าจะแซะออกไปไ้ด้ แต่ละดอก
แซะไปแล้ว พอย่อหย่อน มันก็กลับมาอีกแล้ว
แต่ก็เชื่อมั่นอยู่เสมอ
ว่าทางนี้แหละถูกต้องแล้ว
เพราะทุกครั้งที่ทำได้ กำหนดได้
ก็ค่อยๆพัฒนาขึ้น
นี่ถ้ารู้มาตั้งกะอายุน้อยๆ
คงปฏิบัติได้ง่ายกว่าทุกวันนี้
เพราะตอนนั้น ไอ้ตัวหนาตัวหนัก มันยังไม่มาจับเท่าไหร่
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
-
- Verified User
- โพสต์: 431
- ผู้ติดตาม: 0
มาสะสม อริยทรัพย์กัน
โพสต์ที่ 5
กลับมา..แวะมาอ่านอีกทีเพื่อซึมซับ.....นึกย้อนกลับไปที่จริงเรื่องพวกนี้สมัยเรียนมัธยม(ยุคผม)ก็มีสอนในโรงเรียน....แต่ก็เรียนกันแบบท่องเป็นนกแก้วนกขุนทอง ผ่านไปนานๆก็ลืม ไม่คอยได้เอามาปฏิบัติ หรือว่าวัยยังไม่ถึง......เอ แล้วทำไมคนเราพออายุมากขึ้นถึงกลับมาสนใจเรื่องพวกนี้มากขึ้น.. 
