GNH ความสุขประชาชาติ หาได้ที่ไหน

เชิญมาพักผ่อน คลายร้อนนั่งเล่น คุยกันเย็นๆ พร้อมเรื่องกีฬา สัพเพเหระ ทัศนะนานา ชีวิตชีวา สุขภาพทั่วไป บันเทิงขำขัน รอบเรื่องเมืองไทย ชวนเที่ยวที่ไหน อยากไปก็นัดมา ...โย่วๆ

โพสต์ โพสต์
Boring Stock Lover
Verified User
โพสต์: 1301
ผู้ติดตาม: 0

GNH ความสุขประชาชาติ หาได้ที่ไหน

โพสต์ที่ 1

โพสต์

จำได้ว่า การจัดทำ GNH จะดำเนินการภายในสามเดือน ตอนนี้ลองเริ่มหาจากเวบต่างๆแต่ไม่เจอเลย ใครรู้แหล่งหรือมี ช่วยบอกกล่าวเล่าสู่กันหน่อย
ภาพประจำตัวสมาชิก
bsk(มหาชน)
Verified User
โพสต์: 3206
ผู้ติดตาม: 0

GNH ความสุขประชาชาติ หาได้ที่ไหน

โพสต์ที่ 2

โพสต์

มีแต่บทความเกี่ยวเนื่องคับ..
"อยู่เย็นเป็นสุข อยู่ร้อนนอนทุกข์" ดัชนีวัดความสุข และนโยบายสาธารณะ ตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง

โดย ดิเรก ปัทมสิริวัฒน์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์  
มติชนรายวัน  วันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2550 ปีที่ 30 ฉบับที่ 10548


สำนวนโบราณว่า "อยู่เย็นเป็นสุข อยู่ร้อนนอนทุกข์" ได้กลายมาเป็นหลักการ และเป็นแนวนโยบาย ที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติ (สศช) ประสงค์จะให้คนไทยยึดถือ ควบคู่กับการนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นแนวทางดำรงชีวิต แต่คำว่า "อยู่เย็นเป็นสุข" นั้นหมายความอย่างไร? ในระดับปัจเจก-แต่ละคนบุคคลต้องตีความหมายของความพอเพียงไปประพฤติปฏิบัติในชีวิตประจำวันเอาเอง ใครจะไปรู้ดีเท่ากับเจ้าตัว แต่สำหรับนโยบายระดับชาตินั้น-แตกตางกัน เพราะว่าเป็นเรื่องของ "ส่วนรวม" (collective action) ไม่สามารถจะแบ่งแยกย่อยได้ ตัวอย่างเช่น การตัดสินสร้างสนามบินสุวรรณภูมิ-ถ้าหากพิสูจน์แล้วว่าเป็นเรื่องดี ผลประโยชน์ก็ตกกับคนไทยทั้งมวล แต่ถ้าหากประเมินว่าผิดพลาด-ขาดทุน-ไม่คุ้มค่า ก็เป็นต้นทุนของรัฐและคนไทยทั้งหมดเป็นภาระภาษีของผู้เสียภาษีทั้งคนในรุ่นและรุ่นลูกหลาน

มีการประชุมสัมมนาวิชาเมื่อราวสองเดือนที่ผ่านมา โดยหลายหน่วยงานร่วมกัน ในที่ประชุมได้แจกหนังสือเล่มกะทัดรัดชื่อว่า กรอบแนวคิด การพัฒนาดัชนีชี้วัดความอยู่เย็นเป็นสุขร่วมกันในสังคมไทย พิมพ์ครั้งที่ 1 ตุลาคม 2549 โดยสำนักประเมินผลและเผยแพร่การพัฒนา สศช.เสนอกระบวนทรรศน์ใหม่ที่มุ่งไปสู่ "สังคมอยู่เย็นเป็นสุข" ร่วมกัน ตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และการพัฒนาแบบองค์รวมที่ยึด "คนเป็นศูนย์กลางของการพัฒนา" (ดูเอกสารหน้า 19) พร้อมกับหลักการและแนวทางดังนี้

หนึ่ง ยึด "ความพอเพียง" อันประกอบด้วย ความมีเหตุผล ความพอประมาณ และระบบภูมิคุ้มกัน

สอง กระบวนการพัฒนายึดคุณธรรม ความเพียร ความรอบรู้

สาม ยึดคนเป็นศูนย์กลางของการพัฒนา

สี่ หลัก "ภูมิสังคม" คือ ความแตกต่างและหลากหลายทางธรรมชาติสิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรม

ห้า ปรับกระบวนการทำงานจาก "บนลงล่าง" เป็น "ล่างขึ้นบน"

เป็นหลักการที่ดี เชื่อว่าแนวความคิดนี้กำลังได้รับการเผยแพร่ต่อๆ ไปในทุกภาคส่วน รวมถึงเด็กนักเรียนนับล้านคน ที่จะต้องจดจำ นำไปตอบข้อสอบของครูบาอาจารย์อย่างแน่นอน แต่จะดีกว่า...ถ้าหากว่าแต่ละบุคคล ได้ไตร่ตรองหลักการนี้อย่างรอบคอบ ตีความหมายและได้แปลงออกไปเป็นสูตรการปฏิบัติในชีวิตประจำวันได้ เช่น จะอดออมเงินเดือนละกี่เปอร์เซ็นต์ และพยายามทำให้ได้ตามที่ตั้งใจ ซึ่งถ้าหากเป็นเช่นนั้นจริง สังคมไทยก็จะมีการออมเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน (ตามหลักภูมิคุ้มกัน) การลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น (หลักการบริโภคพอประมาณ) คนไทยทำงานหนักขยันขันแข็ง และมีความสมดุลในด้านต่างๆ เช่น ดุลการค้า และดุลการคลังของรัฐบาล (ชักน่าเป็นห่วงเนื่องจากงบประมาณแผ่นดินปี 2550 จะมีรายจ่ายกว่า 1.5 ล้านล้านบาท ในขณะที่รายรับ 1.4 ล้านล้านบาท ขาดดุลมากกว่าหนึ่งแสนกว่าล้านบาท แต่ก็หวังว่าปีงบประมาณ 2551 เราจะกลับมาทำงบฯ การคลังแบบสมดุล หรือเกินดุลได้นะครับ) การวัดความสุขของประชาชนเป็นมิติที่นักวิชาการหลายสาขากำลังสนใจอย่างมาก รวมทั้งนักเศรษฐศาสตร์ เพราะว่าผู้คนรู้สึกหงุดหงิด กับเครื่องชี้วัดตามแบบเศรษฐศาสตร์ดั้งเดิมคือ วัดอัตราการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ (Gross National Products = GNP และ Gross Domestic Products =GDP ซึ่งเป็นดัชนีวัดมูลค่าการผลิตของประเทศ) ในแต่ละปีหลายสถาบันให้ความสำคัญกับ GNP พยากรณ์ว่าอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจไทย จะเป็นเท่าใดก็จากเลขดัชนี..ซึ่งต้องยอมรับว่ามีข้อจำกัดและจุดอ่อน

ก) ไม่ได้วัดความสึกหรอของทุนสิ่งแวดล้อม

ข) ไม่ได้สะท้อนการกระจายรายได้ว่าเท่าเทียมหรือเหลื่อมล้ำ จะต้องไปดูข้อมูลเพิ่มเติมว่า รายได้ประชาชาตินั้นกระจายอย่างไรในกลุ่มคนต่างๆ

ค) ผลผลิตอาจจะเกิดในเมืองไทยจริง- แต่ว่ารายได้ถูกโอนไปต่างประเทศในรูปของกำไร-เงินปันผล-ดอกเบี้ย-และค่าลิขสิทธิ์ เป็นต้น

เป็นเรื่องที่ดีที่หน่วยงานวิชาการ และสื่อมวลชนจะทำให้คนไทยมีความเข้าใจ ข้อจำกัดของเครื่องชี้วัดแบบดั้งเดิม เช่น GDP,GNP และดัชนีเศรษฐกิจมหาภาค ควรจะจะพัฒนาดัชนีแบบใหม่ขึ้นมา เช่น ดัชนีคุณภาพชีวิต ดัชนีคุณภาพสิ่งแวดล้อม ดัชนีวัดความเป็นธรรมและการกระจายรายได้ ดัชนีธรรมาภิบาลของรัฐบาลและองค์กรปกครองท้องถิ่น

เพื่อสนับสนุนให้มีเลขดัชนีเหล่านี้ ผู้เขียนเห็นพ้องด้วยว่าสถาบันวิชาการต่างๆ ควรจะเร่งทำงานจัดเก็บข้อมูล และส่งเสริมการวิจัย สนับสนุนด้านงบประมาณ และให้กำลังใจนักวิชาการรุ่นใหม่ๆ ที่กำลังมีไฟ เพราะว่าเลขดัชนีไม่ได้เกิดขึ้นมาเอง ต้องเริ่มจากการมีข้อมูล ถ้าปราศจากข้อมูลก็ไม่มีเลขดัชนี มีข้อมูลแต่ว่าไม่มีคนวิเคราะห์วิจัยก็ไม่มีเลขดัชนี และเมื่อวิจัยแล้ว ก็ต้องช่วยกันวิพากษ์เพราะว่างานวิจัยอาจจะมีทั้งดีและไม่ดี

ต้องช่วยกันกำจัดจุดอ่อนของงานวิจัย เช่น ไม่ส่งเสริมวิจัยแบบสำรวจทัศนคติแบบห่วยแบบเร่งรีบ หรือตั้งคำถามแบบเอาใจผู้มีอำนาจ (ซึ่งผมมีความเห็นโดยส่วนตัวว่ามันเยอะเกินไปแล้ว)

ในโอกาสนี้ขอนำเนื้อหาจากหนังสือประมวลงานวิจัยเล่มหนึ่ง ชื่อว่า Happiness Quantified:A Satisfaction Calculus Approach มาเล่าสู่กันฟัง เป็นหนังสือที่ตีพิมพ์ปี ค.ศ.2004 โดยนักเศรษฐศาสตร์ชาวเนเธอร์แลนด์สองท่านชื่อว่า Bernard Van Pragg และ Ada Ferrer-I-Carbonell เขานิยามความพึงพอใจของคนทั่วไปออกเป็น 8 มิติ ครอบคลุมเรื่องการทำงาน ฐานะการเงิน สภาพที่อยู่อาศัย สุขภาพ การพักผ่อนหย่อนใจที่พอเพียงและได้ใช้เวลาพักผ่อนอย่างไร ชีวิตสมรสและครอบครัว และสถานะทางสังคม แล้วนำมาทำดัชนีรวม พร้อมกันนี้ได้เก็บตัวอย่างบุคคลในประเทศเนเธอร์แลนด์ และอังกฤษหลายพันครอบครัว ในอังกฤษได้เก็บตัวอย่างจาก 3,281 คู่สมรส (ในจำนวนนี้มี 12 คู่ ที่สมรสกับเพศเดียวกัน) สำรวจในปี 1998 โดยให้คะแนนระหว่าง 0-10 (คะแนนเต็ม 10 หมายถึงพึงพอใจมากที่สุด) เนื่องจากมี 8 มิติ และแยกเพศหญิง-ชาย การคำนวณของเขาจึงมี 16 สมการ เขาพบข้อสรุปว่า ฝ่ายหญิงมีความพึงพอใจโดยรวม สูงกว่าชายเล็กน้อยโดยส่วนรวม นอกจากนี้รายงานว่ามิติที่ฝ่ายหญิงพึงพอใจมากกว่าฝ่ายชาย ได้แก่ ด้านการทำงาน ด้านการเงิน ด้านที่อยู่อาศัย ส่วนมิติที่ฝ่ายชายพอใจสูงกว่าฝ่ายหญิง คือ ด้านสุขภาพด้านชีวิตสมรส และสถานะทางสังคม สำหรับมิติการพักผ่อนหย่อนใจนั้น (มีเวลาพักผ่อนและใช้เวลาอย่างไร)--พบว่าพอๆ กัน

น่าสนใจดีครับ สำหรับนักวิจัย-อ่านแล้วคงจะได้ข้อคิดดีๆ ไปสร้างงานวิจัยต่อไป

ในเอกสารเล่มเล็กของ สศช. ที่แจกในงานประชุมดังอ้างถึงข้างต้น ได้ทบทวนว่ามีความพยายามของหน่วยงานและสถาบันต่างๆ ที่จะวัดคุณภาพชีวิตและความพึงพอใจของประชาชน แต่เมื่อสอบถามต่อไปว่าได้จัดเก็บข้อมูลกันจริงจังและต่อเนื่องหรือไม่ พบว่าส่วนใหญ่ยังไม่ได้ทำหรือทำไปบ้างเพียงเล็กน้อยเก็บข้อมูลปีใดปีหนึ่งแล้วก็หายไปเฉยๆ บางกรณีเป็นการจัดทำตามคำขอ ของหน่วยงานวิชาต่างประเทศ เช่น สหประชาชาติ (UNDP) ให้เงินมาทำ แต่ทำเสร็จแล้วครั้งเดียวก็เลิกไป เพราะว่าหน่วยงานไม่ได้ทำต่อจะเป็นเพราะว่า ไม่มีงบประมาณสนับสนุน หรือผู้บริหารไม่ได้ให้ความสำคัญก็ไม่ทราบ

แต่ข่าวสารสนเทศและข้อมูลเป็นเรื่องสำคัญ ถือว่าเป็น "พื้นฐาน" หรือเบสิคสำหรับการสืบหาความรู้ ซึ่งในประเทศที่เจริญแล้ว ให้ความสำคัญเรื่องนี้สูงมาก ว่าไปทำไมมี การค้บพบที่ยิ่งใหญ่หลายต่อหลายกรณีเกิดจากการเก็บข้อมูล การที่นักคิดผู้ยิ่งใหญ่ถูกข้อมูล "สะกิด" และนำไปคิดต่อจนสร้างสรรค์กลายเป็นทฤษฎีและเป็นนวัตกรรมอันยิ่งใหญ่ เช่น เซอร์ไอแซคนิวตัน หรือชาร์ลส์ ดาร์วิน เป็นต้นเมืองไทยของเราจะเจริญก้าวหน้าได้ ไม่ใช่แค่เพิ่ม GDP หรือ GNP เท่านั้น แต่จะต้องช่วยกันส่งเสริมให้ทุกภาคส่วนเก็บข้อมูล ทำบัญชีครัวเรือน ทบทวนและวิจัยกันในทุกระดับทั้งชาวบ้าน อบต.เทศบาล ก็ควรจะจดบันทึกข้อมูลเป็นหลักเป็นฐาน และเปิดเผยให้คนอื่นได้รับรู้ บัญชีประชาชาติของ สศช.ก็ต้องปรับปรุงด้วยเช่นกัน

การเผยแพร่ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงให้ประชาชนสังเกตว่าได้มีความก้าวหน้าไปมาก ...แต่นโยบายสาธารณะในแนวทางเศรษฐกิจพอเพียง สังเกตว่ายังมีน้อยเกินไป จึงขอฝากให้หน่วยงานมหภาค เช่น กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ ธนาคารแห่งประเทศไทย สภาพัฒน์ รวมถึงกระทรวง/กรมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องเร่งทำงาน ซึ่งมีหลายประเด็น ขอยกตัวอย่างนโยบายสาธารณะที่ผู้เขียนมีความเห็นโดยส่วนตัวว่าน่าจะยกมาเป็นข้อพิจารณา และควรจะบรรจุในนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ ในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่

นโยบายความเป็นธรรมและกระจายรายได้ให้ทั่วถึง...และกำหนดเป้าหมายชัดเจน มากกว่าคำกล่าวกว้างๆ เพียงว่ารัฐบาลจะลดอัตราความยากจน แต่ควรจะระบุเครื่องมือและนโยบายการเงินการคลังที่จะนำมาใช้ เช่น การหลักประกันทางสังคมให้กับกลุ่มเกษตรกรและแรงงานที่ไม่เป็นทางการ การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายของรัฐด้านสังคม ไม่น้อยกว่าร้อยละ 30 มาตรการขับเคลื่อนการถ่ายโอนรายได้ จากคนรวยช่วยคนจน... ที่กล่าวเช่นนี้ผมก็เข้าใจดีว่า ได้มีความพยายามในเวลาที่ผ่านมา และความก้าวหน้าระดับหนึ่ง เช่น หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า การกระจายอำนาจให้ท้องถิ่น แต่ยังมีเรื่องใหญ่อื่นๆ ด้านสวัสดิการของภาครัฐที่ยังไม่ได้ดำเนินการ หรือดำเนินการอย่างกระท่อนกระแท่น

การทบทวนยุทธศาสตร์ของไทยต่อกระแสโลกาภิวัตน์ เช่น การทำสัญญาเอฟทีเอ เป็นเรื่องที่สังคมไทยทั้งมวลได้โอกาสรับรู้ มากกว่าการตัดสินใจโดยหน่วยราชการหรือผู้ทรงคุณวุฒิจำนวนไม่กี่คน...จริงอยู่ครับ เรายอมรับว่าในความสามารถของหน่วยราชการ และผู้ทรงคุณวุฒิ เราเข้าใจว่าท่านเสียสละทำงานหนัก ในเวทีเจรจาการค้าต่างประเทศเพื่อคนไทย. .แต่เมื่อถึงขั้นการตัดสินใจ-อย่าตัดสินใจแทน ควรจะเป็นวาระการพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติและจะให้ดีควรทำประชามติ

ความจริงยังมีประเด็นอื่นๆ ที่จะฝาก แต่ว่าในขั้นนี้สองเรื่องก็เกินพอ จะได้มีพื้นที่สำหรับผู้อ่านท่านอื่นๆ ฝากข้อเสนอและความคิดดีๆ ไปให้หน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง สภานิติบัญญัติแห่งชาติ และสภาความมั่นคงแห่งชาติ

ท่านทำดี-ประชาชนเชียร์อย่างแน่นอน (ผมด้วย) ถ้าทำไม่ดีไม่ถูกใจก็ต้องบ่น นินทา หรือท้ายที่สุดจะต้องออกมาส่งเสียงตามท้องถนนตามลำดับ

หน้า 7
โพสต์โพสต์