ท่าทางหม่อมอุ๋ยคงไม่เปลี่ยนทัศนคติต่อตลาดหุ้นแน่ๆ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 3645
- ผู้ติดตาม: 0
ท่าทางหม่อมอุ๋ยคงไม่เปลี่ยนทัศนคติต่อตลาดหุ้นแน่ๆ
โพสต์ที่ 1
อ่านๆดูชักเป็นห่วงซะแล้ว ...
Update/ 'หม่อมอุ๋ย' ไฟเขียว ขยายเวลาลดภาษีบจ.ใหม่ เฉพาะที่ยื่นปีนี้ ออกไปอีก 3 ปี
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิด
เผยว่า กระทรวงการคลังได้เซ็นอนุมัติการขยายเวลาการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีกับบริษัทที่จะ
เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เฉพาะในปี2550 ออกไปอีก 3 ปี แล้วโดยต่อไปจะเสนอเรื่อง
ให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) พิจารณาในเร็วๆ นี้
ทั้งนี้สาเหตุที่อนุมัติให้มีการขยายเวลาสิทธิประโยชน์ดังกล่าว เป็นเพราะเห็นว่า
จำนวน บจ.ที่อยู่ในตลาดฯ มีเพียง 500 บริษัทเท่านั้นเพราะฉะนั้นจึงควรจะยังมีสิทธิทางภาษีเข้า
เพื่อดึงดูดให้บจ.เข้ามาจดทะเบียนในตลาดมากขึ้นอีก
'ที่เราให้ขยายเพิ่มอีกแค่ 3 ปี เพราะความตั้งใจเดิมที่มีอยู่คือ อยากที่จะลดระยะเวลา
ในการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีให้ลดลง ซึ่งเราก็ต้องดูความเหมาะสมต่อไป'ม.ร.ว.ปรีดิยาธร
กล่าว
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าวว่า กระทรวงการคลังไม่ได้ตั้งเป้าหมายการเติบโตของตลาดหุ้น
แต่อย่างใดถึงแม้ว่าจะมีการขยายเวลาการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีกับบจ.ออกไปอีก 3 ปี ก็ตาม
เพราะการขยายตัวของตลาดฯจะต้องปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ ซึ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับพื้นฐาน
ทางเศรษฐกิจ เพราะฉะนั้นจึงไม่ต้องตั้งเป้าอะไร
'ตลาดหุ้นในเรื่องของดัชนีฯ ไม่ใช่สิ่งสำคัญเพราะสิ่งสำคัญอยู่ที่การส่งออกและพื้น
ฐานตัวอื่นๆ มากกว่าเรื่องตลาดหุ้นเป็นเพียงกลุ่มคนที่ได้ผลประโยชน์จากการเล่นหุ้นเท่านั้น'ม.
ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าว
ทั้งนี้ที่ผ่านมาการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีกับบริษัทที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลัก
ทรัพย์นั้นได้ให้สิทธิกับบจ.ที่จะเข้าตลาดก่อนสิ้นปี 2549 โดยตลาดหลักทรัพย์ได้สิทธิ์ลดภาษีจาก
30% เป็น 25% และตลาดMAI จาก 25% เป็น 20% ซึ่งมาตรการดังกล่าวเป็นมาตรการจูงใจ
ให้บจ.หันมาระดมทุนในตลาดฯ มากขึ้น เพื่อพัฒนาตลาดฯได้เติบโตมากขึ้นด้วย
Update/ 'หม่อมอุ๋ย' ไฟเขียว ขยายเวลาลดภาษีบจ.ใหม่ เฉพาะที่ยื่นปีนี้ ออกไปอีก 3 ปี
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิด
เผยว่า กระทรวงการคลังได้เซ็นอนุมัติการขยายเวลาการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีกับบริษัทที่จะ
เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เฉพาะในปี2550 ออกไปอีก 3 ปี แล้วโดยต่อไปจะเสนอเรื่อง
ให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) พิจารณาในเร็วๆ นี้
ทั้งนี้สาเหตุที่อนุมัติให้มีการขยายเวลาสิทธิประโยชน์ดังกล่าว เป็นเพราะเห็นว่า
จำนวน บจ.ที่อยู่ในตลาดฯ มีเพียง 500 บริษัทเท่านั้นเพราะฉะนั้นจึงควรจะยังมีสิทธิทางภาษีเข้า
เพื่อดึงดูดให้บจ.เข้ามาจดทะเบียนในตลาดมากขึ้นอีก
'ที่เราให้ขยายเพิ่มอีกแค่ 3 ปี เพราะความตั้งใจเดิมที่มีอยู่คือ อยากที่จะลดระยะเวลา
ในการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีให้ลดลง ซึ่งเราก็ต้องดูความเหมาะสมต่อไป'ม.ร.ว.ปรีดิยาธร
กล่าว
ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าวว่า กระทรวงการคลังไม่ได้ตั้งเป้าหมายการเติบโตของตลาดหุ้น
แต่อย่างใดถึงแม้ว่าจะมีการขยายเวลาการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีกับบจ.ออกไปอีก 3 ปี ก็ตาม
เพราะการขยายตัวของตลาดฯจะต้องปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ ซึ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับพื้นฐาน
ทางเศรษฐกิจ เพราะฉะนั้นจึงไม่ต้องตั้งเป้าอะไร
'ตลาดหุ้นในเรื่องของดัชนีฯ ไม่ใช่สิ่งสำคัญเพราะสิ่งสำคัญอยู่ที่การส่งออกและพื้น
ฐานตัวอื่นๆ มากกว่าเรื่องตลาดหุ้นเป็นเพียงกลุ่มคนที่ได้ผลประโยชน์จากการเล่นหุ้นเท่านั้น'ม.
ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าว
ทั้งนี้ที่ผ่านมาการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีกับบริษัทที่จะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลัก
ทรัพย์นั้นได้ให้สิทธิกับบจ.ที่จะเข้าตลาดก่อนสิ้นปี 2549 โดยตลาดหลักทรัพย์ได้สิทธิ์ลดภาษีจาก
30% เป็น 25% และตลาดMAI จาก 25% เป็น 20% ซึ่งมาตรการดังกล่าวเป็นมาตรการจูงใจ
ให้บจ.หันมาระดมทุนในตลาดฯ มากขึ้น เพื่อพัฒนาตลาดฯได้เติบโตมากขึ้นด้วย
It's earnings that count
-
- Verified User
- โพสต์: 18
- ผู้ติดตาม: 0
giv2000
โพสต์ที่ 2
ผมว่าเค้าไม่มีความรู้ทางด้านตลาดทุนน่ะครับ เพราะ พื้นฐานตัวอื่นๆที่เค้าพูดถึงก็คือการลงทุนภาคเอกชนและอื่นๆ การลงทุนภาคเอกชนก็มาจากบริษัทต่างๆ แล้วคิดดูว่าบริษัท300กว่าบริษัทในตลาดทุนเวลาขยายการลงทุนก็อาจจะมีการเพิ่มทุน จะทำให้ต้นทุนถูกลงกว่าไปกู้ทั้งหมด ซึ่งก็เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจโดยรวม ...ไม่ใช่แค่เฉพาะการซื้อขายของนักลงทุนอย่างเดียวเท่านัน้
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 14783
- ผู้ติดตาม: 0
ท่าทางหม่อมอุ๋ยคงไม่เปลี่ยนทัศนคติต่อตลาดหุ้นแน่ๆ
โพสต์ที่ 3
วอเรนบอกว่า ถ้าจะเลือกใครมาบริหารงานในฐานะผู้บริหารสูงสุด ต้อง
1. รักงาน
2. ฉลาด
3. ซื่อสัตย์
4. มีพลังมาก
ไม่แน่ใจหม่อมอุ๋ย สอบผ่านข้อไหนบ้าง
ในขณะที่กรรมการ cp7-11 บอกว่า เมื่อเราให้ใครทำงานให้เราแล้ว
1. เชื่อเขา
2. จริงใจต่อเขา
3. ให้เกียรติ
4. ให้โอกาส
5. สนับสนุน
ไม่รู้เหมือนกัน ว่าพวกนักลงทุน จะให้ 5 ข้อนี้กับหม่อมอุ๋ยได้หรือไม่
4.
1. รักงาน
2. ฉลาด
3. ซื่อสัตย์
4. มีพลังมาก
ไม่แน่ใจหม่อมอุ๋ย สอบผ่านข้อไหนบ้าง
ในขณะที่กรรมการ cp7-11 บอกว่า เมื่อเราให้ใครทำงานให้เราแล้ว
1. เชื่อเขา
2. จริงใจต่อเขา
3. ให้เกียรติ
4. ให้โอกาส
5. สนับสนุน
ไม่รู้เหมือนกัน ว่าพวกนักลงทุน จะให้ 5 ข้อนี้กับหม่อมอุ๋ยได้หรือไม่
4.
- สุมาอี้
- Verified User
- โพสต์: 4576
- ผู้ติดตาม: 0
ท่าทางหม่อมอุ๋ยคงไม่เปลี่ยนทัศนคติต่อตลาดหุ้นแน่ๆ
โพสต์ที่ 6
ดูจากทัศนคติแล้ว ผมคิดว่า กิจการที่เกี่ยวกับ credit market, ขายสินค้าฟุ่มเฟือย, ขายสินค้าที่เป็น capital goods ทั้งหลาย อาจมีความเสี่ยงได้ในอนาคต
http://dekisugi.net
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1104
- ผู้ติดตาม: 0
ท่าทางหม่อมอุ๋ยคงไม่เปลี่ยนทัศนคติต่อตลาดหุ้นแน่ๆ
โพสต์ที่ 7
:?สุมาอี้ เขียน:ดูจากทัศนคติแล้ว ผมคิดว่า กิจการที่เกี่ยวกับ credit market, ขายสินค้าฟุ่มเฟือย, ขายสินค้าที่เป็น capital goods ทั้งหลาย อาจมีความเสี่ยงได้ในอนาคต
อาจารย์ ช่วยยกตัวอย่างหน่อยได้ไหมครับ
- สุมาอี้
- Verified User
- โพสต์: 4576
- ผู้ติดตาม: 0
ท่าทางหม่อมอุ๋ยคงไม่เปลี่ยนทัศนคติต่อตลาดหุ้นแน่ๆ
โพสต์ที่ 9
ไม่ต้องกังวลมาก แค่มีโอกาสโดนแต่ไม่มาก เดายากด้วยว่าใครจะโดนบ้าง เวลาจะลงทุนอะไรก็อย่าเทใจหมดก็ละกัน
http://dekisugi.net
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
- WhiskeySierra
- Verified User
- โพสต์: 19
- ผู้ติดตาม: 0
ท่าทางหม่อมอุ๋ยคงไม่เปลี่ยนทัศนคติต่อตลาดหุ้นแน่ๆ
โพสต์ที่ 10
พูดได้ถูกต้องมาก'ตลาดหุ้นในเรื่องของดัชนีฯ ไม่ใช่สิ่งสำคัญเพราะสิ่งสำคัญอยู่ที่การส่งออกและพื้น
ฐานตัวอื่นๆ มากกว่าเรื่องตลาดหุ้นเป็นเพียงกลุ่มคนที่ได้ผลประโยชน์จากการเล่นหุ้นเท่านั้น'ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าว
เหมือนกับบอกว่าราคาหุ้นในตลาดไม่สำคัญ แต่ยอดขาย กำไร และพื้นฐานอื่นๆสำคัญกว่า ถ้าพื้นฐานทางเศรษฐกิจและผลประกอบการบริษัทดี ราคาหุ้นก็ย่อมดีตาม ในที่สุด
อ่านมานาน แปลกใจว่าทำไม value investor คนไทย ถึงใส่ใจราคาตลาดกันนัก
-
- Verified User
- โพสต์: 1822
- ผู้ติดตาม: 0
ท่าทางหม่อมอุ๋ยคงไม่เปลี่ยนทัศนคติต่อตลาดหุ้นแน่ๆ
โพสต์ที่ 11
ไหนผอ.ตลาดฯ เข้าพบหม่อมหลังตลาดหุ้นตกกระจายเลือดสาดนี่ครับ
ไม่ได้อธิบายเหรอ ว่าตลาดหุ้นมีประโยชน์กับเศรษฐกิจอย่างไร เมกามีมาเป็นร้อยปีแล้ว วิชาด้านเศรษฐศาสตร์ไม่ได้สอนเหรอครับ
ว่าหม่อมแกจบด้านไรมาอ่ะ จบปริญญาเอกเลยป่ะ
ไม่ได้อธิบายเหรอ ว่าตลาดหุ้นมีประโยชน์กับเศรษฐกิจอย่างไร เมกามีมาเป็นร้อยปีแล้ว วิชาด้านเศรษฐศาสตร์ไม่ได้สอนเหรอครับ
ว่าหม่อมแกจบด้านไรมาอ่ะ จบปริญญาเอกเลยป่ะ
-
- Verified User
- โพสต์: 1477
- ผู้ติดตาม: 0
ท่าทางหม่อมอุ๋ยคงไม่เปลี่ยนทัศนคติต่อตลาดหุ้นแน่ๆ
โพสต์ที่ 12
ไม่จริงทั้งหมดนะครับ ถ้า PE ตลาดต่ำ หุ้นใหม่ หรือ หุ้น PO ก็ขายได้ราคาถูก เพราะ ต้นทุนเงินทุน สูง บริษัทก็ขยายงานได้ยาก จะกู้ Bank ก็มีความเสี่ยงแบบอื่นอีก และถ้า D/E สูงถึงจุด ก็อดกู้ ขยายงานไม่ได้พูดได้ถูกต้องมาก
เหมือนกับบอกว่าราคาหุ้นในตลาดไม่สำคัญ แต่ยอดขาย กำไร และพื้นฐานอื่นๆสำคัญกว่า ถ้าพื้นฐานทางเศรษฐกิจและผลประกอบการบริษัทดี ราคาหุ้นก็ย่อมดีตาม ในที่สุด
อ่านมานาน แปลกใจว่าทำไม value investor คนไทย ถึงใส่ใจราคาตลาดกันนัก
ผมว่า ถ้าคนมีอำนาจมองแค่ด้านเดียว ก็แปลว่าคนๆนั้นไม่สามารถดูแล Stakeholder ทั้งหมดได้ ไว้ใจไม่ได้ ในตลาดทุนไม่ได้มีแค่ Bank เท่านั้น ออกนโยบาย Win/Lose มาเรื่อยๆ คงอยู่ได้ไม่นาน
ว่าแต่ คุณ WhiskeySierra เป็นคนชาติไหนหรือครับ? อ่านดูเหมือนไม่ใช่คนไทย แต่พิมพ์ไทยได้ ถามเฉยๆไม่ได้ประชดนะครับ -_-'
I do not sleep. I dream.
- WhiskeySierra
- Verified User
- โพสต์: 19
- ผู้ติดตาม: 0
ท่าทางหม่อมอุ๋ยคงไม่เปลี่ยนทัศนคติต่อตลาดหุ้นแน่ๆ
โพสต์ที่ 13
ต้นทุนเงินทุนที่ต่ำที่สุด คือ 0% ได้มาจากกำไรสะสม และเงินล่วงหน้าทั้งหลายบริษัทคุณภาพดี สามารถออกหุ้นกู้ได้ไม่ต้องออก PO อย่างปูนใหญ่
ดังนั้นแม้จะขายหุ้นเพิ่มทุนด้วย P/E ต่ำ แต่ไม่ปันผลเพื่อปั่นราคา เก็บเงินกำไรไว้ขยายกิจการ และจ่ายคืนเงินกู้ ทำให้ลดความเสี่ยงลง
ดังนั้นแม้จะขายหุ้นเพิ่มทุนด้วย P/E ต่ำ แต่ไม่ปันผลเพื่อปั่นราคา เก็บเงินกำไรไว้ขยายกิจการ และจ่ายคืนเงินกู้ ทำให้ลดความเสี่ยงลง
- WhiskeySierra
- Verified User
- โพสต์: 19
- ผู้ติดตาม: 0
ท่าทางหม่อมอุ๋ยคงไม่เปลี่ยนทัศนคติต่อตลาดหุ้นแน่ๆ
โพสต์ที่ 14
กรณี IPO เข้าตลาดด้วย P/E สูงเกินจริง สุดท้ายนักลงทุนก็ขาดทุนทำไมViewtiful Investor ยังคิดอย่างนั้น มันทำลายตัวเอง คนไทยพังเพราะ IPO ไม่พอหรือ แล้วพวกที่กู้เงินไม่เป็นเป็นแต่ขอเงินเพิ่มทุนสุดท้ายพังไปกี่แห่ง
อ่านดูเหมือนท่านรู้ว่าวิชาเศรษฐศาสตร์บอกว่าตลาดหุ้นมีประโยชน์ต่อเศรษฐกิจอย่างไร ช่วยบอกด้วย แต่ไม่ถูกทั้งหมด อยากจะอ่านจากผู้มีความรู้BHT เขียน:ไหนผอ.ตลาดฯ เข้าพบหม่อมหลังตลาดหุ้นตกกระจายเลือดสาดนี่ครับ
ไม่ได้อธิบายเหรอ ว่าตลาดหุ้นมีประโยชน์กับเศรษฐกิจอย่างไร เมกามีมาเป็นร้อยปีแล้ว วิชาด้านเศรษฐศาสตร์ไม่ได้สอนเหรอครับ
ว่าหม่อมแกจบด้านไรมาอ่ะ จบปริญญาเอกเลยป่ะ
- Golden Stock
- Verified User
- โพสต์: 615
- ผู้ติดตาม: 0
ท่าทางหม่อมอุ๋ยคงไม่เปลี่ยนทัศนคติต่อตลาดหุ้นแน่ๆ
โพสต์ที่ 15
ผมว่าคุณตีความหม่อนอุ๋ยผิดไปนะครับQuote:
'ตลาดหุ้นในเรื่องของดัชนีฯ ไม่ใช่สิ่งสำคัญเพราะสิ่งสำคัญอยู่ที่การส่งออกและพื้น
ฐานตัวอื่นๆ มากกว่าเรื่องตลาดหุ้นเป็นเพียงกลุ่มคนที่ได้ผลประโยชน์จากการเล่นหุ้นเท่านั้น'ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าว
พูดได้ถูกต้องมาก
เหมือนกับบอกว่าราคาหุ้นในตลาดไม่สำคัญ แต่ยอดขาย กำไร และพื้นฐานอื่นๆสำคัญกว่า ถ้าพื้นฐานทางเศรษฐกิจและผลประกอบการบริษัทดี ราคาหุ้นก็ย่อมดีตาม ในที่สุด
อ่านมานาน แปลกใจว่าทำไม value investor คนไทย ถึงใส่ใจราคาตลาดกันนัก
จากประโยคนี้ก็ทำให้เห็นอะไรได้กระจ่างมากขึ้นครับตลาดหุ้นเป็นเพียงกลุ่มคนที่ได้ผลประโยชน์จากการเล่นหุ้นเท่านั้น
ประเทศพัฒนาแล้ว ก่อนจะมาถึงจุดนี้ก็ให้ความสำคัญกับการพัฒนาตลาดทุน และตลาดเงินมากครับ เอาง่ายไปดูประเทศเพื่อนบ้านทางใต้ของไทย...
คงไม่มีบริษัทยักษ์ใหญ่ที่ไหนที่สามารถเติบโตมาได้ด้วยเงินของคนในครอบครัว หรือคนใกล้ชิดหรอกนะครับ ผมว่าว่างๆ คุณน่าจะหาหนังสือเกี่ยวกับวิวัฒนาการขององค์การมาอ่านบ้างนะครับ
แล้วที่เห็นหลายคนเข้าห่วงนั้น ไม่ใช่ห่วงราคาหุ้นครับ แต่ห่วงมูลค่าของหุ้น ซึ่งมันมีความสัมพันธ์โดยตรงกับพื้นฐานของบริษัท แล้วพื้นฐานของบริษัทมันก็มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับสภาพแวดล้อมภายนอกด้วยครับ ได้แก่ เศรษฐกิจ เช่น อัตราดอกเบี้ย อัตราเงินเฟ้อ ฯลฯ เทคโนโลยี การเมืองและกฎหมาย และสังคม
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 11443
- ผู้ติดตาม: 0
ท่าทางหม่อมอุ๋ยคงไม่เปลี่ยนทัศนคติต่อตลาดหุ้นแน่ๆ
โพสต์ที่ 17
อะไรๆก็ส่งออก
ทำไมถึงพึงแต่ส่งออก
GDP ของเรายังมีสัดส่วนจากการส่งออกไม่มากพอหรือครับ
ถ้าธุรกิจส่งออกเอกชนไทยมีศักยภาพก็คงไม่ว่ากัน
แต่การสนับสนุนโดยการลดราคาสินทรัพย์ของทั้งประเทศเพื่อผลประโยชน์ระยะสั้นของคนบางกลุ่ม ผมเบื่อจัง
เราต้องใช้ราคาน้ำมันแพง ค่าไฟแพง เพื่อให้ผู้ส่งออกค้าขายง่ายๆมีกำไรมากๆ
ทำไมถึงพึงแต่ส่งออก
GDP ของเรายังมีสัดส่วนจากการส่งออกไม่มากพอหรือครับ
ถ้าธุรกิจส่งออกเอกชนไทยมีศักยภาพก็คงไม่ว่ากัน
แต่การสนับสนุนโดยการลดราคาสินทรัพย์ของทั้งประเทศเพื่อผลประโยชน์ระยะสั้นของคนบางกลุ่ม ผมเบื่อจัง
เราต้องใช้ราคาน้ำมันแพง ค่าไฟแพง เพื่อให้ผู้ส่งออกค้าขายง่ายๆมีกำไรมากๆ
จงอยู่เหนือความดี อย่าหลงความดี
-
- ผู้ติดตาม: 0
ท่าทางหม่อมอุ๋ยคงไม่เปลี่ยนทัศนคติต่อตลาดหุ้นแน่ๆ
โพสต์ที่ 18
[quote="pawiga"]แกก็มอง ด้านเดียว บ่อย ไป
-
- Verified User
- โพสต์: 3763
- ผู้ติดตาม: 0
ท่าทางหม่อมอุ๋ยคงไม่เปลี่ยนทัศนคติต่อตลาดหุ้นแน่ๆ
โพสต์ที่ 19
กำไรสะสมไม่มีต้นทุนทางการเงินจริงหรือครับ ถ้าหมายถึงแค่ว่าไม่ต้องเสียดอกเบี้ยก็โอเคนะผมว่าWhiskeySierra เขียน:ต้นทุนเงินทุนที่ต่ำที่สุด คือ 0% ได้มาจากกำไรสะสม และเงินล่วงหน้าทั้งหลายบริษัทคุณภาพดี สามารถออกหุ้นกู้ได้ไม่ต้องออก PO อย่างปูนใหญ่
ดังนั้นแม้จะขายหุ้นเพิ่มทุนด้วย P/E ต่ำ แต่ไม่ปันผลเพื่อปั่นราคา เก็บเงินกำไรไว้ขยายกิจการ และจ่ายคืนเงินกู้ ทำให้ลดความเสี่ยงลง
Impossible is Nothing
-
- Verified User
- โพสต์: 2938
- ผู้ติดตาม: 0
ท่าทางหม่อมอุ๋ยคงไม่เปลี่ยนทัศนคติต่อตลาดหุ้นแน่ๆ
โพสต์ที่ 21
ไม่มีอะไรที่เลวร้ายซะทั้งหมด
ถ้าจะมีบริษัทหนึ่งที่ต้องการระดมทุนจริงๆ
และมีศักยภาพจริง ผมว่านักลงทุนคงกล้าให้ราคาที่Peสูงขึ้น เราอาจจะได้บริษัทที่ดีๆเข้ามามากขึ้น เพราะบริษัทที่จะเข้ามาตลาดก็เพราะต้องการเงินทุนจริงๆไม่ใช่เข้ามาเพื่อจะขายหุ้น
ดีกว่าเอาบริษัทเน่าๆมานะ
เมื่อตลาดมีPeต่ำๆ เราเองก็ได้ซื้อหุ้นราคาถูก
เมื่อเทียบเป็นปันผลต่อปีก็อาจได้เกิน10%ด้วยซ้ำ
สำหรับหุ้นบางตัว น่าจะทำให้คนนำเงินมาลงทุนในตลาดมากขึ้น
ผมเองก็ไม่ได้เป็นปลื้มอะไรกับนโยบายนะครับ
ผมแค่มองเป็นกลางๆและก็ไม่คิดว่าตลาดpeต่ำ
มันจะทำให้ประเทศชาติเดือดร้อนอะไร
ถ้าจะมีบริษัทหนึ่งที่ต้องการระดมทุนจริงๆ
และมีศักยภาพจริง ผมว่านักลงทุนคงกล้าให้ราคาที่Peสูงขึ้น เราอาจจะได้บริษัทที่ดีๆเข้ามามากขึ้น เพราะบริษัทที่จะเข้ามาตลาดก็เพราะต้องการเงินทุนจริงๆไม่ใช่เข้ามาเพื่อจะขายหุ้น
ดีกว่าเอาบริษัทเน่าๆมานะ
เมื่อตลาดมีPeต่ำๆ เราเองก็ได้ซื้อหุ้นราคาถูก
เมื่อเทียบเป็นปันผลต่อปีก็อาจได้เกิน10%ด้วยซ้ำ
สำหรับหุ้นบางตัว น่าจะทำให้คนนำเงินมาลงทุนในตลาดมากขึ้น
ผมเองก็ไม่ได้เป็นปลื้มอะไรกับนโยบายนะครับ
ผมแค่มองเป็นกลางๆและก็ไม่คิดว่าตลาดpeต่ำ
มันจะทำให้ประเทศชาติเดือดร้อนอะไร
เฝ้าดูไป โดยใจที่เป็นกลาง
- tachikoma
- Verified User
- โพสต์: 140
- ผู้ติดตาม: 0
ท่าทางหม่อมอุ๋ยคงไม่เปลี่ยนทัศนคติต่อตลาดหุ้นแน่ๆ
โพสต์ที่ 22
ทำอย่างนี้เป็นการฝืนตลาดรึเปล่าครับ?
เงินบาทแข็ง ก็จะไปทำให้อ่อน กลัวส่งออกไม่ได้
เกิดประเทศคู่ค้าเรา ค่าเงินเขาอ่อน จะเอาเงินบาทเราไปซื้อเงินเขามาเก็บไว้ในคลัง ให้ประเทศขาดทุน เพื่อต่างชาติเขาจะได้ซื้อของจากประเทศเราได้ในราคาถูกรึเปล่าเนี่ย?
สภาพตอนนี้อยากจะให้คนมายื่นจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เพิ่ม
อาจจะมีคนกล้าจด แต่จะระดมทุนสำเร็จหรือเปล่านี่ ผมว่าเป็นอีกเรื่อง ขนาดหุ้นพื้นฐานดีมีกำไรสะสม ยังร่วง บริษัทน้องใหม่ ยังไม่รู้ว่าจะเป็นดาวรุ่ง หรือ ดาวร่วง ไผมันจะไปกล้าลงทุนอะครับ ยิ่งท่านรองนายกเห็นว่าดัชนีหุ้นมีใช่เรื่องสำคัญ ลงทุน 100 บาทวันนี้ พรุ่งนี้หายไป 3% มะรืนหายอีก 1.5% วันดีึคืนดี ท่านออกมาแถลงการณ์หายไปอีก 20%
พื้นฐานเศรษฐกิจดี แต่ไม่มีใครกล้ามาลงทุน มันก็ไม่โตแหละครับ
เล่นตบหัวแล้วลูบหลัง แถมลูบแบบไม่ค่อยจะดีด้วย เป็นใครก็ต้องเสียความรู้สึกอ่ะครับ
P.S.
ขอเล่าประสบการณ์เกี่ยวกับแบงค์ให้ฟังหน่อยนะครับ
แห่งแรก
ผมเดินเข้าไปเปิดบริการ e-banking กับแบงค์ที่หนึ่ง
ผมบอกว่าต้องการจะเปิดบริการ ชื่อแบงค์-Easy แล้วต้องการสั่งซื้อกองทุนผ่านอินเตอร์เน็ต พนักงานที่รับเรื่องก็ทำหน้างงๆ แล้วบอกให้รอสักครู่ สักพักก็มีพนักงานผู้ชาย เดินมาตะคอกใส่ผมว่า
ที่นี่สั่งซื้อกองทุนผ่านอินเตอร์เน็ตไม่ได้นะครับ เข้าผิดแบงค์หรือเปล่า?
ซักพักก็มีพนักงานหญิงอีกคนเดินมาสะกิดผู้ชายคนนั้นแล้วบอกว่า
ซื้อได้ๆ
ผมจึงได้ฤกษ์เปิดบัญชีกองทุน ชื่อแบงค์-SFF
ระหว่างที่รอบุค พนักงานผู้หญิงถามว่า พี่ค่ะ เคยซื้อกองทุนนี้แล้วขาดทุนหรือเปล่าค่ะ?
ผมก็อึ้งไปซักพัก แล้วตอบไปอย่างสุภาพว่า
เอ่อ SFF มันกองทุนที่ลงทุนในตราสารหนี้กับพวกตั๋วแลกเงินระยะสั้นไม่ใช่เหรอครับ มีขาดทุนด้วยเหรอครับ?
พนักงานคนนั้นฟังผมตอบแล้วก็เงียบไป
พอผมทำเรื่องทุกอย่างเสร็จ ตอนจะกลับพนักงานเขาให้กระเป๋าของธนาคารที่เป็นของสมมนาคุณมาใบนึง แล้วพูดว่า
ถ้ามีคนโทรมาสอบถาม คุณ... ถึงคุณภาพการบริการ กรุณาให้ 5 หมดทุกข้อนะค่ะ เพราะ 5 เป็นคะแนนสูงสุดค่ะ
แห่งที่สอง
มีผู้จัดการแบงค์สาขานึง (เป็นธนาคารเก่าแก่ เต็มไปด้วยเด็กฝากของลูกท่านหลานเทอ) มาเยี่ยมบริษัทที่ผมทำงานอยู่ พอดีผมได้มีโอกาสได้อยู่ร่วมวงสนธนาร่วมกับเจ้าของบริษัท และได้พูดคุยกันเรื่องตลาดทุน(หุ้น) ซึ่งท่านมีทัศนคติที่ไม่ดีอย่างมากกับกองทุนแบบ Hedge (ทั้งๆ ที่แบงค์เป็น Arbitrager แท้ๆ ขี้โกงกว่า Hedger ตั้งเยอะ) ท่านผู้จัดการเล่าให้ฟังว่า ธนาคารได้ส่งท่านไปเรียนรู้เรื่องตลาดทุน ท่านบอกว่า
เรียนแล้วปวดหัว เรียนเสร็จกลับมาบอกลูกหลานว่าอย่าไปเล่นเลยน่ะหุ้น การพนันทั้งนั้น
ผมเลยถามท่านว่า
แล้ว TFEX ล่ะ พนันไหมครับ?
ท่านตอบว่า
โห... นั่น ยิ่งแย่เลยหมดตัวกันเร็ว
ผมเลยถามท่านต่อไปว่า
ถ้าผมซื้อหุ้นใน SET50 เน้นเอาปันผล มูลค่าหุ้นทั้ง port ณ ขณะวันที่ซื้อ 500,000 บาท แล้วตลาดในช่วงนั้นทำท่าจะร่วง แต่ไม่อยากขายหุ้นเพราะกลัวไม่ได้ปัีนผล ผมเลยเอาเงินไป Short TFEX ไว้ อย่างนี้ผมพนันไหมครับ?
แล้วท่านก็ไม่ตอบอะไร
แต่ก็ทำให้ผมได้ข้อสรุปว่า
อย่าคาดหวังว่าคนแบงค์จะรู้เรื่องการลงทุนเลยครับ
เงินบาทแข็ง ก็จะไปทำให้อ่อน กลัวส่งออกไม่ได้
เกิดประเทศคู่ค้าเรา ค่าเงินเขาอ่อน จะเอาเงินบาทเราไปซื้อเงินเขามาเก็บไว้ในคลัง ให้ประเทศขาดทุน เพื่อต่างชาติเขาจะได้ซื้อของจากประเทศเราได้ในราคาถูกรึเปล่าเนี่ย?
สภาพตอนนี้อยากจะให้คนมายื่นจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เพิ่ม
อาจจะมีคนกล้าจด แต่จะระดมทุนสำเร็จหรือเปล่านี่ ผมว่าเป็นอีกเรื่อง ขนาดหุ้นพื้นฐานดีมีกำไรสะสม ยังร่วง บริษัทน้องใหม่ ยังไม่รู้ว่าจะเป็นดาวรุ่ง หรือ ดาวร่วง ไผมันจะไปกล้าลงทุนอะครับ ยิ่งท่านรองนายกเห็นว่าดัชนีหุ้นมีใช่เรื่องสำคัญ ลงทุน 100 บาทวันนี้ พรุ่งนี้หายไป 3% มะรืนหายอีก 1.5% วันดีึคืนดี ท่านออกมาแถลงการณ์หายไปอีก 20%
พื้นฐานเศรษฐกิจดี แต่ไม่มีใครกล้ามาลงทุน มันก็ไม่โตแหละครับ
เล่นตบหัวแล้วลูบหลัง แถมลูบแบบไม่ค่อยจะดีด้วย เป็นใครก็ต้องเสียความรู้สึกอ่ะครับ
P.S.
ขอเล่าประสบการณ์เกี่ยวกับแบงค์ให้ฟังหน่อยนะครับ
แห่งแรก
ผมเดินเข้าไปเปิดบริการ e-banking กับแบงค์ที่หนึ่ง
ผมบอกว่าต้องการจะเปิดบริการ ชื่อแบงค์-Easy แล้วต้องการสั่งซื้อกองทุนผ่านอินเตอร์เน็ต พนักงานที่รับเรื่องก็ทำหน้างงๆ แล้วบอกให้รอสักครู่ สักพักก็มีพนักงานผู้ชาย เดินมาตะคอกใส่ผมว่า
ที่นี่สั่งซื้อกองทุนผ่านอินเตอร์เน็ตไม่ได้นะครับ เข้าผิดแบงค์หรือเปล่า?
ซักพักก็มีพนักงานหญิงอีกคนเดินมาสะกิดผู้ชายคนนั้นแล้วบอกว่า
ซื้อได้ๆ
ผมจึงได้ฤกษ์เปิดบัญชีกองทุน ชื่อแบงค์-SFF
ระหว่างที่รอบุค พนักงานผู้หญิงถามว่า พี่ค่ะ เคยซื้อกองทุนนี้แล้วขาดทุนหรือเปล่าค่ะ?
ผมก็อึ้งไปซักพัก แล้วตอบไปอย่างสุภาพว่า
เอ่อ SFF มันกองทุนที่ลงทุนในตราสารหนี้กับพวกตั๋วแลกเงินระยะสั้นไม่ใช่เหรอครับ มีขาดทุนด้วยเหรอครับ?
พนักงานคนนั้นฟังผมตอบแล้วก็เงียบไป
พอผมทำเรื่องทุกอย่างเสร็จ ตอนจะกลับพนักงานเขาให้กระเป๋าของธนาคารที่เป็นของสมมนาคุณมาใบนึง แล้วพูดว่า
ถ้ามีคนโทรมาสอบถาม คุณ... ถึงคุณภาพการบริการ กรุณาให้ 5 หมดทุกข้อนะค่ะ เพราะ 5 เป็นคะแนนสูงสุดค่ะ
แห่งที่สอง
มีผู้จัดการแบงค์สาขานึง (เป็นธนาคารเก่าแก่ เต็มไปด้วยเด็กฝากของลูกท่านหลานเทอ) มาเยี่ยมบริษัทที่ผมทำงานอยู่ พอดีผมได้มีโอกาสได้อยู่ร่วมวงสนธนาร่วมกับเจ้าของบริษัท และได้พูดคุยกันเรื่องตลาดทุน(หุ้น) ซึ่งท่านมีทัศนคติที่ไม่ดีอย่างมากกับกองทุนแบบ Hedge (ทั้งๆ ที่แบงค์เป็น Arbitrager แท้ๆ ขี้โกงกว่า Hedger ตั้งเยอะ) ท่านผู้จัดการเล่าให้ฟังว่า ธนาคารได้ส่งท่านไปเรียนรู้เรื่องตลาดทุน ท่านบอกว่า
เรียนแล้วปวดหัว เรียนเสร็จกลับมาบอกลูกหลานว่าอย่าไปเล่นเลยน่ะหุ้น การพนันทั้งนั้น
ผมเลยถามท่านว่า
แล้ว TFEX ล่ะ พนันไหมครับ?
ท่านตอบว่า
โห... นั่น ยิ่งแย่เลยหมดตัวกันเร็ว
ผมเลยถามท่านต่อไปว่า
ถ้าผมซื้อหุ้นใน SET50 เน้นเอาปันผล มูลค่าหุ้นทั้ง port ณ ขณะวันที่ซื้อ 500,000 บาท แล้วตลาดในช่วงนั้นทำท่าจะร่วง แต่ไม่อยากขายหุ้นเพราะกลัวไม่ได้ปัีนผล ผมเลยเอาเงินไป Short TFEX ไว้ อย่างนี้ผมพนันไหมครับ?
แล้วท่านก็ไม่ตอบอะไร
แต่ก็ทำให้ผมได้ข้อสรุปว่า
อย่าคาดหวังว่าคนแบงค์จะรู้เรื่องการลงทุนเลยครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 337
- ผู้ติดตาม: 0
ท่าทางหม่อมอุ๋ยคงไม่เปลี่ยนทัศนคติต่อตลาดหุ้นแน่ๆ
โพสต์ที่ 23
4/01/2007 ต่างชาติขายสุทธิ -620.94
http://api.settrade.com/actions/customi ... bboard/boa
rd.jsp?content=qa.jsp&tid=7452
http://api.settrade.com/actions/customi ... bboard/boa
rd.jsp?content=qa.jsp&tid=7452
-
- Verified User
- โพสต์: 337
- ผู้ติดตาม: 0
ท่าทางหม่อมอุ๋ยคงไม่เปลี่ยนทัศนคติต่อตลาดหุ้นแน่ๆ
โพสต์ที่ 24
หม่อมอุ๋ยท่านน่าจะฟังคนอื่นบ้าง
การปั่นหุ้นลงย่อมนำไปสู่หายนะทางเศรษฐกิจของประเทศ
http://www.bbznet.com/scripts3/view.php ... r=numtopic
การปั่นหุ้นลงย่อมนำไปสู่หายนะทางเศรษฐกิจของประเทศ
http://www.bbznet.com/scripts3/view.php ... r=numtopic
-
- Verified User
- โพสต์: 4596
- ผู้ติดตาม: 0
ท่าทางหม่อมอุ๋ยคงไม่เปลี่ยนทัศนคติต่อตลาดหุ้นแน่ๆ
โพสต์ที่ 26
[quote="ลุงทีม"]รอตั้งรัฐบาลใหม่เร็วๆ...เผื่อจะทำให้อะไรมันดีขึ้นบ้าง...
...ปลายปี...
...ปลายปี...
สีลํ พลํ อปฺปฏิมํ สีลํ อาวุธมุตฺตมํ
สีลํ อาภรณํ เสฏฺฐํ สีลํ กวจมพฺภุตํ
ศีลเป็นกำลังไม่มีที่เปรียบ ศีลเป็นอาวุธสูงสุด
ศีลเป็นเครื่องประดับอย่างประเสริฐสุด ศีลเป็นเกราะอย่างอัศจรรย์
สีลํ อาภรณํ เสฏฺฐํ สีลํ กวจมพฺภุตํ
ศีลเป็นกำลังไม่มีที่เปรียบ ศีลเป็นอาวุธสูงสุด
ศีลเป็นเครื่องประดับอย่างประเสริฐสุด ศีลเป็นเกราะอย่างอัศจรรย์
- Tongue
- Verified User
- โพสต์: 725
- ผู้ติดตาม: 0
ท่าทางหม่อมอุ๋ยคงไม่เปลี่ยนทัศนคติต่อตลาดหุ้นแน่ๆ
โพสต์ที่ 27
เอามาให้อ่านครับ
ผู้เขียนเห็นด้วยกับหม่อม และ ให้ประเด็นว่า
"ไม่ได้กีดกัน แต่ขอมีสิทธิเลือกทุนที่มีคุณภาพ"
ก็น่าสนใจดี อ่านแล้วอยากให้ตลท. ออกกฎบ้าง
"ค่าคอมซื้อ 0.10 ค่าคอมขาย 0.40
ไปกลับ 0.50 เหมือนเดิม แต่ลักษณะเงินลงทุนอาจจะเปลี่ยนไป"
ตลาดหุ้นคือ "มายา" ข้าวปลา (ส่งออก) คือของจริง
โดย นงนุช สิงหเดชะ มติชนรายวัน วันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2549 ปีที่ 29 ฉบับที่ 10519
"เว่อร์" เกินไปหน่อยสำหรับผู้บริหารบริษัทโบรกเกอร์รายหนึ่ง ที่ออกมาเต้นแร้งเต้นกาดีดดิ้นเกินเหตุ โดยเปรียบเทียบว่า มาตรการของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ออกมา เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม เพื่อจัดการปัญหาเงินทุนต่างประเทศ เข้ามาเก็งกำไรค่าเงินบาท มีความรุนแรงเหมือน "สงครามโลก" หลังจากตลาดหุ้นในวันอังคารที่ 19 ธันวาคม ได้ตกลง 108 จุด ที่ว่ากันว่าทำให้มูลค่าตลาดหุ้น (มาร์เก็ต แคป) หายไป 8 แสนล้านบาท
มูลค่าตลาดหุ้นหายไป 8 แสนล้านบาท (ซึ่งหายไปแค่ตัวเลข) ก็จริงแต่คน 99%ยังอยู่สุขสบายดี สินค้า-อาหารไม่ได้ขาดแคลน เงินเฟ้อไม่ได้สูงวันละ 200% แล้วมันจะเป็นสงครามโลกไปได้อย่างไร
ภาวะตลาดหุ้นวันที่ 19 ธันวาคม สะท้อน "คุณภาพ" ตลาดหุ้นไทยอีกครั้งหนึ่ง สะท้อนสภาพที่ถูกเปรียบเปรยว่า เป็นบ่อนการพนัน เป็นวงไฮโล น้ำเต้า ปูปลา ห่างไกลจากการ "พัฒนา" และ "มืออาชีพ" เพราะ "นักลงทุน" จริงๆ มีน้อย ส่วนใหญ่มีแต่ "นักปั่น-นักเก็ง-นักเล่นหุ้น" ประเภทซื้อเช้าขายเช้าและขายวันละหลายรอบ ซึ่งแสดงว่าไม่ใช่การ "ลงทุน" ทำให้ตลาดผันผวนเปราะบาง
เพราะผู้เล่นหุ้นในตลาดบ้านเรา 80% เป็นรายย่อย (แมลงเม่า) ที่เหลือเป็นผู้ลงทุนประเภทสถาบันการเงิน ซึ่งตลาดหุ้นที่มีคุณภาพและมั่นคงต้องมีสัดส่วนนักลงทุนประเภทสถาบันค่อนข้างสูง
รองผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยท่านหนึ่งสะท้อนตลาดหุ้นบ้านเราได้ดี ท่านบอกว่า "แค่หมาเห่าก็ขายกันแล้ว" ซึ่งอยากจะเพิ่มเติมอีกว่า "แค่กระแอมกระไอ" ก็ขายกันแล้ว ซึ่งหมายความว่าการตัดสินใจซื้อหรือขาย ไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของการวิเคราะห์ข้อมูล
ผู้บริหารตลาดหุ้น และเจ้าหน้าที่คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ลองกลับไปถามตัวเองด้วยว่า ได้พัฒนา ได้โชว์ฝีมือในการสร้างความโปร่งใสในตลาดหุ้นไทย จนสามารถดึงดูด "ทุนที่มีคุณภาพ" เข้ามาอยู่ในตลาดหุ้นได้หรือไม่ ไม่ใช่ปล่อยให้ตลาดหุ้นกลายเป็น "ขุมทรัพย์" ของนักการเมือง ญาติพี่น้องและวงศ์วานว่านเครือ ของนักการเมืองไม่กี่ตระกูล มาเอาเปรียบนักลงทุนรายอื่นด้วยการใช้ข้อมูล "ภายใน" (อินไซด์ เทรดดิ้ง)
เพราะยังไม่เห็น ก.ล.ต.โชว์ฝีมือเอาคนเหล่านี้มาลงโทษได้เลย โดยเฉพาะญาตินักการเมืองในรัฐบาลที่แล้ว ที่มีพฤติกรรมเข้าข่ายใช้ "ข้อมูลภายใน" เทขายหุ้น
โบรกเกอร์หรือใครหน้าไหน ที่เอาแต่เรียกร้องความรับผิดชอบจากธนาคารแห่งประเทศไทย ก็ควรกลับไปกวาดบ้านตัวเองให้สะอาด ให้มีธรรมาภิบาล อย่าสุมหัวกับพวกนักเก็งกำไรขาใหญ่ทำลายตลาดหุ้น ใช้ความฉ้อฉลทุกรูปแบบเพื่อเอากำไรเข้ากระเป๋าตัวเอง
มาตรการของแบงก์ชาติเมื่อวันอังคารที่ 18 ธันวาคม ว่าไปแล้วคือการผ่าตัดใหญ่ เพื่อส่งสัญญาณว่า เราต้องการเงินทุนระยะยาวเป็นหลัก ไม่ใช่ "เงินร้อน" ที่เข้ามาเก็งกำไรที่จะเป็นอันตรายต่อระบบเศรษฐกิจ
"เงินร้อน" หรือเงินทุนระยะสั้นเพื่อเก็งกำไร สร้างความพินาศให้กับเศรษฐกิจไทยมาแล้วเมื่อปี 2540 ที่เราแพร่เชื้อต้มยำกุ้งไปทั่วโลก กระทั่งทำให้นานาชาติและองค์กรระหว่างประเทศถือเป็น "วาระสำคัญ" ในการถกเถียงเพื่อแก้ปัญหาในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา
นายจอร์จ โซรอส พ่อมดการเงิน เจ้าของกองทุนเก็งกำไร (เฮดจ์ฟันด์) ตัวเอ้ ที่เคยถูกกล่าวหาว่า เป็นผู้ถล่มค่าเงินบาทของไทย เมื่อปี 2540 ได้ไปกล่าวต่อที่ประชุมนักธุรกิจอินเดีย เมื่อวันที่ 19 ธันวาคมว่า ประเทศต่างๆ ที่ประสบปัญหา "วิกฤต" ควรใช้วิธีควบคุมเงินทุนต่างชาติ ซึ่งสร้างความประหลาดใจให้กับใครต่อใคร เพราะปกติโซรอสเป็นผู้สนับสนุนเศรษฐกิจเสรี การเงินเสรี
ในการประชุมประเทศอุตสาหกรรม 8 ประเทศหรือจี 8 ที่เยอรมนีจะเป็นเจ้าภาพในวันที่ 1 มกราคมที่จะถึงนี้ สมาชิกโดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา และอังกฤษ ยินยอมตามข้อเรียกร้องของเยอรมนีที่จะให้มีการพิจารณาหาแนวทาง ทำให้เฮดจ์ฟันด์มีความ "โปร่งใส" มากยิ่งขึ้น เพื่อป้องกันการสร้างปัญหาต่อระบบการเงินโลก
นับเป็นครั้งแรกที่สหรัฐอเมริกาและอังกฤษ ซึ่งเป็นประเทศที่มีเฮดจ์ฟันด์ ตั้งอยู่มากที่สุด ยินยอมให้มีการหยิบยกเรื่องนี้ ขึ้นมาพิจารณา จากที่เคยปฏิเสธมาโดยตลอด
คนไทยคนไหนที่ดีดดิ้นเกินเหตุ ต่อเหตุการณ์ตลาดหุ้นของไทยเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม น่าจะกลับไปทบทวนลดความ "เว่อร์" ลงบ้าง อย่าไปกังวลเลยว่าเงินทุนจะไม่ไหลเข้า หรือความมั่นใจของต่างชาติจะหายไป เพราะ "นักลงทุน" กับ "กำไร" ก็เหมือนกับ "ผึ้งกับเกสรดอกไม้" ไปไหนก็ไปด้วยกัน และนักลงทุนย่อมรู้ดีว่าประเทศไทยไม่ใช่ประเทศสุดโต่งที่จะกลับไปสู่การปิดประเทศ
จริงอยู่เราต้องการเงินลงทุนจากต่างประเทศ แต่ไม่มากจนกระทั่งเราต้องสูญเสียอธิปไตยในการบริหารจัดการ จัดระเบียบและดูแลการลงทุน แต่เราควรมีสิทธิที่จะ "คัดเลือก" แต่ทุนที่มีคุณภาพ ไม่ใช่แต่มุ่งจะสร้างแรงจูงใจเพื่อเอาใจต่างชาติแต่เพียงอย่างเดียว
จากการที่ค่าเงินบาทแข็งขึ้นมาโดยตลอดนั้น และใช้วิธีใดก็ไม่ได้ผลนั้น ผู้รู้บางคนเคยทำนายไว้ล่วงหน้าว่า เมื่อถึงที่สุดแบงก์ชาติอาจจะเลือกใช้แนวทางใด แนวทางหนึ่ง ระหว่าง "ทิ้ง" ภาคส่งออก ด้วยการให้ค่าเงินบาท เป็นไปตามสภาพตลาด นั่นคือแข็งค่าขึ้นเรื่อยๆ กับอีกวิธีหนึ่งก็คือใช้มาตรการทางการเงินที่ "รุนแรง" เพื่อสกัดและไล่เงินทุนต่างชาติ ที่ไหลเข้ามาเก็งกำไรค่าเงินบาทมหาศาลกว่า 2 แสนล้านบาท เพราะแทรกแซงไม่ไหวอีกต่อไป
มาตรการวันที่ 18 ธันวาคม ที่ใช้ยาแรงด้วยการกักเงินต่างชาติไว้ 30% แสดงให้เห็นชัดว่าแบงก์ชาติเลือกที่จะ "อุ้ม" ภาคส่งออกเนื่องจากเป็นภาคที่สร้างรายได้เข้าประเทศมากที่สุดคิดเป็น 60% ของจีดีพี
หากปล่อยให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นเรื่อยๆ เราจะมีรายได้จากการส่งออกน้อยลง จะทำให้เราขาดดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัด ซึ่งในที่สุดเงินทุนต่างชาติก็จะไหลออกไปอยู่ดีเพราะขาดความมั่นใจ แต่เป็นการไหลออกไป พร้อมกับที่เศรษฐกิจของประเทศพังพอดี และภาคที่ได้รับผลกระทบหนักคือเกษตรในฐานะที่เป็นสินค้าส่งออกหลัก
ฟังจากข้อมูลของคุณธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการแบงก์ชาติที่บอกว่านักเก็งกำไรมีเป้าหมายจะโจมตีค่าเงินบาทให้แข็งไปถึง 29 บาทต่อดอลลาร์แล้วน่ากลัวมาก หากถึงจุดนั้นส่งออกคงตายกันหมดแน่ เพราะระดับราคาที่ผู้ส่งออกอยู่ได้ก็คือ 37-38 บาทต่อดอลลาร์ มากสุดก็ไม่ควรต่ำกว่า 36 บาท
ดังนั้น เป็นเรื่องถูกต้องที่แบงก์ชาติจะเลือกใช้มาตรการดังกล่าวเพื่อ "รักษา" ภาคส่งออก ซึ่งเป็นภาค "เศรษฐกิจแท้จริง" ของประเทศ แทนภาคธุรกิจที่ใช้ "เงินต่อเงิน" อย่างตลาดหุ้น
ในยุคเศรษฐกิจพอเพียง น่าจะจำกันไว้อย่างหนึ่งว่า "ตลาดหุ้นคือมายา ข้าวปลาสิของจริง"
หน้า 6
ผู้เขียนเห็นด้วยกับหม่อม และ ให้ประเด็นว่า
"ไม่ได้กีดกัน แต่ขอมีสิทธิเลือกทุนที่มีคุณภาพ"
ก็น่าสนใจดี อ่านแล้วอยากให้ตลท. ออกกฎบ้าง
"ค่าคอมซื้อ 0.10 ค่าคอมขาย 0.40
ไปกลับ 0.50 เหมือนเดิม แต่ลักษณะเงินลงทุนอาจจะเปลี่ยนไป"
ตลาดหุ้นคือ "มายา" ข้าวปลา (ส่งออก) คือของจริง
โดย นงนุช สิงหเดชะ มติชนรายวัน วันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2549 ปีที่ 29 ฉบับที่ 10519
"เว่อร์" เกินไปหน่อยสำหรับผู้บริหารบริษัทโบรกเกอร์รายหนึ่ง ที่ออกมาเต้นแร้งเต้นกาดีดดิ้นเกินเหตุ โดยเปรียบเทียบว่า มาตรการของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ออกมา เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม เพื่อจัดการปัญหาเงินทุนต่างประเทศ เข้ามาเก็งกำไรค่าเงินบาท มีความรุนแรงเหมือน "สงครามโลก" หลังจากตลาดหุ้นในวันอังคารที่ 19 ธันวาคม ได้ตกลง 108 จุด ที่ว่ากันว่าทำให้มูลค่าตลาดหุ้น (มาร์เก็ต แคป) หายไป 8 แสนล้านบาท
มูลค่าตลาดหุ้นหายไป 8 แสนล้านบาท (ซึ่งหายไปแค่ตัวเลข) ก็จริงแต่คน 99%ยังอยู่สุขสบายดี สินค้า-อาหารไม่ได้ขาดแคลน เงินเฟ้อไม่ได้สูงวันละ 200% แล้วมันจะเป็นสงครามโลกไปได้อย่างไร
ภาวะตลาดหุ้นวันที่ 19 ธันวาคม สะท้อน "คุณภาพ" ตลาดหุ้นไทยอีกครั้งหนึ่ง สะท้อนสภาพที่ถูกเปรียบเปรยว่า เป็นบ่อนการพนัน เป็นวงไฮโล น้ำเต้า ปูปลา ห่างไกลจากการ "พัฒนา" และ "มืออาชีพ" เพราะ "นักลงทุน" จริงๆ มีน้อย ส่วนใหญ่มีแต่ "นักปั่น-นักเก็ง-นักเล่นหุ้น" ประเภทซื้อเช้าขายเช้าและขายวันละหลายรอบ ซึ่งแสดงว่าไม่ใช่การ "ลงทุน" ทำให้ตลาดผันผวนเปราะบาง
เพราะผู้เล่นหุ้นในตลาดบ้านเรา 80% เป็นรายย่อย (แมลงเม่า) ที่เหลือเป็นผู้ลงทุนประเภทสถาบันการเงิน ซึ่งตลาดหุ้นที่มีคุณภาพและมั่นคงต้องมีสัดส่วนนักลงทุนประเภทสถาบันค่อนข้างสูง
รองผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยท่านหนึ่งสะท้อนตลาดหุ้นบ้านเราได้ดี ท่านบอกว่า "แค่หมาเห่าก็ขายกันแล้ว" ซึ่งอยากจะเพิ่มเติมอีกว่า "แค่กระแอมกระไอ" ก็ขายกันแล้ว ซึ่งหมายความว่าการตัดสินใจซื้อหรือขาย ไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของการวิเคราะห์ข้อมูล
ผู้บริหารตลาดหุ้น และเจ้าหน้าที่คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ลองกลับไปถามตัวเองด้วยว่า ได้พัฒนา ได้โชว์ฝีมือในการสร้างความโปร่งใสในตลาดหุ้นไทย จนสามารถดึงดูด "ทุนที่มีคุณภาพ" เข้ามาอยู่ในตลาดหุ้นได้หรือไม่ ไม่ใช่ปล่อยให้ตลาดหุ้นกลายเป็น "ขุมทรัพย์" ของนักการเมือง ญาติพี่น้องและวงศ์วานว่านเครือ ของนักการเมืองไม่กี่ตระกูล มาเอาเปรียบนักลงทุนรายอื่นด้วยการใช้ข้อมูล "ภายใน" (อินไซด์ เทรดดิ้ง)
เพราะยังไม่เห็น ก.ล.ต.โชว์ฝีมือเอาคนเหล่านี้มาลงโทษได้เลย โดยเฉพาะญาตินักการเมืองในรัฐบาลที่แล้ว ที่มีพฤติกรรมเข้าข่ายใช้ "ข้อมูลภายใน" เทขายหุ้น
โบรกเกอร์หรือใครหน้าไหน ที่เอาแต่เรียกร้องความรับผิดชอบจากธนาคารแห่งประเทศไทย ก็ควรกลับไปกวาดบ้านตัวเองให้สะอาด ให้มีธรรมาภิบาล อย่าสุมหัวกับพวกนักเก็งกำไรขาใหญ่ทำลายตลาดหุ้น ใช้ความฉ้อฉลทุกรูปแบบเพื่อเอากำไรเข้ากระเป๋าตัวเอง
มาตรการของแบงก์ชาติเมื่อวันอังคารที่ 18 ธันวาคม ว่าไปแล้วคือการผ่าตัดใหญ่ เพื่อส่งสัญญาณว่า เราต้องการเงินทุนระยะยาวเป็นหลัก ไม่ใช่ "เงินร้อน" ที่เข้ามาเก็งกำไรที่จะเป็นอันตรายต่อระบบเศรษฐกิจ
"เงินร้อน" หรือเงินทุนระยะสั้นเพื่อเก็งกำไร สร้างความพินาศให้กับเศรษฐกิจไทยมาแล้วเมื่อปี 2540 ที่เราแพร่เชื้อต้มยำกุ้งไปทั่วโลก กระทั่งทำให้นานาชาติและองค์กรระหว่างประเทศถือเป็น "วาระสำคัญ" ในการถกเถียงเพื่อแก้ปัญหาในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา
นายจอร์จ โซรอส พ่อมดการเงิน เจ้าของกองทุนเก็งกำไร (เฮดจ์ฟันด์) ตัวเอ้ ที่เคยถูกกล่าวหาว่า เป็นผู้ถล่มค่าเงินบาทของไทย เมื่อปี 2540 ได้ไปกล่าวต่อที่ประชุมนักธุรกิจอินเดีย เมื่อวันที่ 19 ธันวาคมว่า ประเทศต่างๆ ที่ประสบปัญหา "วิกฤต" ควรใช้วิธีควบคุมเงินทุนต่างชาติ ซึ่งสร้างความประหลาดใจให้กับใครต่อใคร เพราะปกติโซรอสเป็นผู้สนับสนุนเศรษฐกิจเสรี การเงินเสรี
ในการประชุมประเทศอุตสาหกรรม 8 ประเทศหรือจี 8 ที่เยอรมนีจะเป็นเจ้าภาพในวันที่ 1 มกราคมที่จะถึงนี้ สมาชิกโดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา และอังกฤษ ยินยอมตามข้อเรียกร้องของเยอรมนีที่จะให้มีการพิจารณาหาแนวทาง ทำให้เฮดจ์ฟันด์มีความ "โปร่งใส" มากยิ่งขึ้น เพื่อป้องกันการสร้างปัญหาต่อระบบการเงินโลก
นับเป็นครั้งแรกที่สหรัฐอเมริกาและอังกฤษ ซึ่งเป็นประเทศที่มีเฮดจ์ฟันด์ ตั้งอยู่มากที่สุด ยินยอมให้มีการหยิบยกเรื่องนี้ ขึ้นมาพิจารณา จากที่เคยปฏิเสธมาโดยตลอด
คนไทยคนไหนที่ดีดดิ้นเกินเหตุ ต่อเหตุการณ์ตลาดหุ้นของไทยเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม น่าจะกลับไปทบทวนลดความ "เว่อร์" ลงบ้าง อย่าไปกังวลเลยว่าเงินทุนจะไม่ไหลเข้า หรือความมั่นใจของต่างชาติจะหายไป เพราะ "นักลงทุน" กับ "กำไร" ก็เหมือนกับ "ผึ้งกับเกสรดอกไม้" ไปไหนก็ไปด้วยกัน และนักลงทุนย่อมรู้ดีว่าประเทศไทยไม่ใช่ประเทศสุดโต่งที่จะกลับไปสู่การปิดประเทศ
จริงอยู่เราต้องการเงินลงทุนจากต่างประเทศ แต่ไม่มากจนกระทั่งเราต้องสูญเสียอธิปไตยในการบริหารจัดการ จัดระเบียบและดูแลการลงทุน แต่เราควรมีสิทธิที่จะ "คัดเลือก" แต่ทุนที่มีคุณภาพ ไม่ใช่แต่มุ่งจะสร้างแรงจูงใจเพื่อเอาใจต่างชาติแต่เพียงอย่างเดียว
จากการที่ค่าเงินบาทแข็งขึ้นมาโดยตลอดนั้น และใช้วิธีใดก็ไม่ได้ผลนั้น ผู้รู้บางคนเคยทำนายไว้ล่วงหน้าว่า เมื่อถึงที่สุดแบงก์ชาติอาจจะเลือกใช้แนวทางใด แนวทางหนึ่ง ระหว่าง "ทิ้ง" ภาคส่งออก ด้วยการให้ค่าเงินบาท เป็นไปตามสภาพตลาด นั่นคือแข็งค่าขึ้นเรื่อยๆ กับอีกวิธีหนึ่งก็คือใช้มาตรการทางการเงินที่ "รุนแรง" เพื่อสกัดและไล่เงินทุนต่างชาติ ที่ไหลเข้ามาเก็งกำไรค่าเงินบาทมหาศาลกว่า 2 แสนล้านบาท เพราะแทรกแซงไม่ไหวอีกต่อไป
มาตรการวันที่ 18 ธันวาคม ที่ใช้ยาแรงด้วยการกักเงินต่างชาติไว้ 30% แสดงให้เห็นชัดว่าแบงก์ชาติเลือกที่จะ "อุ้ม" ภาคส่งออกเนื่องจากเป็นภาคที่สร้างรายได้เข้าประเทศมากที่สุดคิดเป็น 60% ของจีดีพี
หากปล่อยให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นเรื่อยๆ เราจะมีรายได้จากการส่งออกน้อยลง จะทำให้เราขาดดุลการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัด ซึ่งในที่สุดเงินทุนต่างชาติก็จะไหลออกไปอยู่ดีเพราะขาดความมั่นใจ แต่เป็นการไหลออกไป พร้อมกับที่เศรษฐกิจของประเทศพังพอดี และภาคที่ได้รับผลกระทบหนักคือเกษตรในฐานะที่เป็นสินค้าส่งออกหลัก
ฟังจากข้อมูลของคุณธาริษา วัฒนเกส ผู้ว่าการแบงก์ชาติที่บอกว่านักเก็งกำไรมีเป้าหมายจะโจมตีค่าเงินบาทให้แข็งไปถึง 29 บาทต่อดอลลาร์แล้วน่ากลัวมาก หากถึงจุดนั้นส่งออกคงตายกันหมดแน่ เพราะระดับราคาที่ผู้ส่งออกอยู่ได้ก็คือ 37-38 บาทต่อดอลลาร์ มากสุดก็ไม่ควรต่ำกว่า 36 บาท
ดังนั้น เป็นเรื่องถูกต้องที่แบงก์ชาติจะเลือกใช้มาตรการดังกล่าวเพื่อ "รักษา" ภาคส่งออก ซึ่งเป็นภาค "เศรษฐกิจแท้จริง" ของประเทศ แทนภาคธุรกิจที่ใช้ "เงินต่อเงิน" อย่างตลาดหุ้น
ในยุคเศรษฐกิจพอเพียง น่าจะจำกันไว้อย่างหนึ่งว่า "ตลาดหุ้นคือมายา ข้าวปลาสิของจริง"
หน้า 6
- tachikoma
- Verified User
- โพสต์: 140
- ผู้ติดตาม: 0
ท่าทางหม่อมอุ๋ยคงไม่เปลี่ยนทัศนคติต่อตลาดหุ้นแน่ๆ
โพสต์ที่ 28
ไม่ขาดแคลนหรอกครับ เพราะมันขายไม่ออกTongue เขียน:เอามาให้อ่านครับ
มูลค่าตลาดหุ้นหายไป 8 แสนล้านบาท (ซึ่งหายไปแค่ตัวเลข) ก็จริงแต่คน 99%ยังอยู่สุขสบายดี สินค้า-อาหารไม่ได้ขาดแคลน เงินเฟ้อไม่ได้สูงวันละ 200% แล้วมันจะเป็นสงครามโลกไปได้อย่างไร
บริษัทที่ผมทำอยู่ยอดขายตกลงไป 20% กว่าๆ ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีที่แล้ว เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา
เพื่อนผมทำงานอยู่บริษัทนำเข้าอุปกรณ์คอมพิวเตอร์แห่งนึง (หนึ่งใน DCOM, Com7, Synnex, Ingram) ไตรมาสสุดท้ายก็ยอดตกไป 20% กว่าๆ เหมือนกัน
ตอนนี้อยู่ได้ก็เพราะประหยัด ไม่รับความเสี่ยง ลูกค้าใหม่ๆ เข้ามาแทบไม่ให้เครดิต เก็บเงินสดอย่างเดียวแล้วครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 337
- ผู้ติดตาม: 0
ท่าทางหม่อมอุ๋ยคงไม่เปลี่ยนทัศนคติต่อตลาดหุ้นแน่ๆ
โพสต์ที่ 29
[quote="Tongue"]เอามาให้อ่านครับ
ผู้เขียนเห็นด้วยกับหม่อม และ ให้ประเด็นว่า
"ไม่ได้กีดกัน แต่ขอมีสิทธิเลือกทุนที่มีคุณภาพ"
ก็น่าสนใจดี อ่านแล้วอยากให้ตลท. ออกกฎบ้าง
"ค่าคอมซื้อ 0.10 ค่าคอมขาย 0.40
ไปกลับ 0.50 เหมือนเดิม แต่ลักษณะเงินลงทุนอาจจะเปลี่ยนไป"
ตลาดหุ้นคือ "มายา" ข้าวปลา (ส่งออก) คือของจริง
โดย นงนุช สิงหเดชะ
ผู้เขียนเห็นด้วยกับหม่อม และ ให้ประเด็นว่า
"ไม่ได้กีดกัน แต่ขอมีสิทธิเลือกทุนที่มีคุณภาพ"
ก็น่าสนใจดี อ่านแล้วอยากให้ตลท. ออกกฎบ้าง
"ค่าคอมซื้อ 0.10 ค่าคอมขาย 0.40
ไปกลับ 0.50 เหมือนเดิม แต่ลักษณะเงินลงทุนอาจจะเปลี่ยนไป"
ตลาดหุ้นคือ "มายา" ข้าวปลา (ส่งออก) คือของจริง
โดย นงนุช สิงหเดชะ
- Mon money
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 3134
- ผู้ติดตาม: 0
ท่าทางหม่อมอุ๋ยคงไม่เปลี่ยนทัศนคติต่อตลาดหุ้นแน่ๆ
โพสต์ที่ 30
เออ...ผมเห็นด้วยกับคุณ WSในหลายประเด็นนะครับ โดยเฉพาะเรื่องหม่อมอุ๋ยออกมาให้ความเห็น... ผมลงทุนแบบทำธุรกิจ ธุรกิจดีผมก็ดีด้วย อิ อิ ออกตัวก่อน...woody เขียน: กำไรสะสมไม่มีต้นทุนทางการเงินจริงหรือครับ ถ้าหมายถึงแค่ว่าไม่ต้องเสียดอกเบี้ยก็โอเคนะผมว่า
ว่าแต่ว่าคุณมีเงินออมฝากเอาไว้เฉยๆไหมละครับ ...ถ้าไม่รังเกรียจ...ผมขอยืมโดยไม่จ่ายค่าเสียโอกาสอะไรให้คุณเลยสักห้าปีจะได้ไหมครับ? ผมจะเอาไปฝากกินดอกเบี้ยแล้วจะเอาเงินต้นมาคืนให้ครบทุกบาทเลย ...อะ..อะ อย่าบอกนะว่ากลัวเงินจะเสี่อมค่าลงเพราะเงินเฟ้อ หรือ เอาไปทำอย่างอื่นดีกว่า...ก็ต้นทุนเงินเงินออมของคุณมันมีค่าต่ำสุด0%นี่ครับ ....แซวเล่นนา อย่าโกรธ 8)
เป็นบุญหนักหนาเหลือเกินที่ได้เกิดมาเป็นคนไทย เป็นคนไทยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ