Equities and FDI now exempted from 30% reserve requirement In a quick reversal, the Minister of Finance announced on television that the 30% unremunerated reserve requirement (URR) will no longer apply to equities and foreign direct investment. It is also possible that property purchases by foreigners would also be exempted since he stated that fixed income and loans will be the main target of the 30% reserve requirement. This is because, according to the Finance Minister, the bulk of short-term inflows were concentrated on these two items. Details are still to be worked out as to which items are exempted. Rebound assured but risk premium has risen Along with others we are relieved and expect a rebound in the Thai stock market although not to the levels prior to the introduction of URR. We believe that investors will price in an increased risk premium on Thai equities since prior confidence that the stock market will be free from restrictions cannot be fully restored. Moreover, data requirements to distinguish between foreign investments that are under URR and those that are not can reduce foreign investment flexibility and be burdensome. Remaining matters The reversal of policy after 30 hours clearly came about because of the historic 15% fall in the stock market in one day and a market cap loss of Bt800bn. The government can expect Thai investors to complain or even file charges for the damages they suffered and politically this is a negative for the government and the Finance Minister who earlier praised the measure. The sense of dissatisfaction has landed mainly on the Bank of Thailand, however. Also, details still need to be worked out between the commercial banks, brokers and custodians to verify that foreign funds were indeed brought in to purchase equities. Reports will have to be sent to the BoT every week.
Investment implications:
The Quick Reversal on Equities will mean the stock market will rebound (e.g. SET Index +9% on
the open), but has left a bad taste in investors mouths
Ouch, equities investors were needlessly scared yesterday, fearing that they might have to be locked up on Thai investments
for at least a year. Due to the negative backlash from the investment community (e.g. 15% fall in the stock market in one day)
on the capital controls, the Thai government has scrapped its capital restrictions on equities. Because of the head-fake,
investors will price in the additional risk of future capital restrictions or government regulations (on top of political risk).
Political [and hence regulatory] risk has always been a risk in Thailand and investors need to understand this
However, if investors are okay with the myriad of risks, then high investment EQ and risk-tolerant investors may
dabble in some of the beaten down shares [with the caveat that investors limit their exposure to this market.
Rebound assured but risk premium has risen.
- david
- Verified User
- โพสต์: 852
- ผู้ติดตาม: 0
Rebound assured but risk premium has risen.
โพสต์ที่ 1
1.My Facebook page, https://www.facebook.com/pages/Kitichai ... 5514051589.
2.U may follow my stock comment via http://twitter.com/value_talk
3.กระทู้ที่โพสท์นี้เป็นความเห็นส่วนตัว การซื้อขายหุ้นขึ้นอยู่กับการใช้วิจารณญาณของแต่ละคน
2.U may follow my stock comment via http://twitter.com/value_talk
3.กระทู้ที่โพสท์นี้เป็นความเห็นส่วนตัว การซื้อขายหุ้นขึ้นอยู่กับการใช้วิจารณญาณของแต่ละคน
- david
- Verified User
- โพสต์: 852
- ผู้ติดตาม: 0
Rebound assured but risk premium has risen.
โพสต์ที่ 2
เอเอฟพี/เอเจนซี - นักวิเคราะห์ต่างชาติ และหนังสือพิมพ์ธุรกิจระหว่างประเทศทรงอิทธิพล ต่างรุมจวกรัฐบาล, "หม่อมอุ๋ย" และผู้ว่าธปท. ที่ทั้งหละหลวมไม่รอบคอบและทั้งเหลาะแหละเอาแน่เอานอนไม่ได้ ในการประกาศใช้มาตรการคุมเงินทุนไหลเข้าอย่างเข้มงวดรุนแรง แล้วผ่านไปแค่วันเดียวก็กลับยอมผ่อนผันถอยหลังกรูด ชี้ความเคลื่อนไหวอย่างผิดพลาดเช่นนี้ สะท้อนถึงการไร้ความสามารถของผู้คุมนโยบายเศรษฐกิจ และทำให้นักลงทุนต่างชาติเกิดความไม่เชื่อมั่นอย่างรุนแรง
หลังจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล และ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ยอมถอยเมื่อคืนวันอังคาร(19) โดยประกาศผ่อนผันไม่นำมาตรการ "อายัดเงินนำเข้า30%" มาใช้กับเงินที่ลงทุนในตลาดหลักทรัพย์แล้ว ทางด้านกองทุนการเงินระหว่างประเทศ(ไอเอ็นเอฟ) ซึ่งพูดถึงมาตรการเข้มงวดคราวนี้ว่า เป็นมาตรการที่ "แรงและส่งผลกว้างไกลเกินไป" ก็ได้แสดงความยินดีต่อการตัดสินใจถอยดังกล่าว
ทว่าสำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า เมื่อถึงเวลานั้นชื่อเสียงของประเทศไทยในสายตาของเหล่านักลงทุนระหว่างประเทศ ก็อยู่ในสภาพแหลกเละไปเรียบร้อยแล้ว
บริษัทวิเคราะห์ ไอเดียโกลบอล ได้ใช้หัวข้อเรื่องในรายงานวิจัยที่ส่งให้แก่ลูกค้าของตน แบบเปรียบเปรยสภาพของประเทศไทยเอาไว้ว่า "สวรรค์ของนักท่องเที่ยว นรกของนักลงทุน" ขณะที่พวกนักวิเคราะห์ต่างพากันแสดงความเห็นดูหมิ่นดูแคลนรัฐมนตรีคลัง ม.ร.ว.ปรีดิยาธร และนางธาริษา วัฒนเกส ผู้ขึ้นเป็นผู้ว่าธปท.ต่อจากเขา โดยทั้งคู่ต่างได้รับแต่งตั้งหลังการรัฐประหารยึดอำนาจในประเทศไทย
"พวกเขากำลังพิสูจน์ตัวพวกเขาเองให้เห็นว่า ไม่ได้มีความเป็นมืออาชีพอย่างยิ่ง พวกเขาสูญเสียความน่าเชื่อถือไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว" นางแคเธอรีน ตัน ผู้อำนวยการฝ่ายตลาดเกิดใหม่ในเอเชียของ ฟอร์แคสต์ ประจำสิงคโปร์ กล่าว
"ดิฉันไม่คิดว่าชาวต่างประเทศจะกลับไปตลาดไทยอีกไม่ว่าเวลาใดในอนาคตอันใกล้นี้ ตลาดต่างๆ เวลานี้ไม่มีความเชื่อมั่นในรัฐบาล(ไทยชุดนี้)เลย"
ขณะที่นายบราติน ซันยัล ผู้อำนวยการฝ่ายการลงทุนหลักทรัพย์เอเชีย ของธนาคารไอเอ็นจี สาขาฮ่องกง พูดเหน็บแนมอย่างแสบสันต์ โดยพุ่งเป้าไปที่ ธปท.ว่า "สิ่งหนึ่งที่เลวร้ายยิ่งเสียกว่าธนาคารกลางที่ไร้ความสามารถ ก็คือธนาคารกลางไร้ความสามารถที่พลิกกลับไปกลับมา"
ทางด้าน เอบีเอ็นแอมโร วาณิชธนกิจใหญ่สัญชาติเนเธอร์แลนด์ ได้ตัดลดเรตติ้งการลงทุนของตนที่ให้แก่ประเทศไทยลงมาเป็น "underweight" (ควรลงทุนให้น้อยลง) พร้อมกับตั้งคำถามแสดงความข้องใจเกี่ยวกับฝีมือการดำเนินเศรษฐกิจของรัฐบาลหลังการรัฐประหารของไทย
"การตัดสินใจทางด้านนโยบาย ดูจะไม่มีความลงรอยกับการดำเนินงานของตลาดทุน" เอบีเอ็มแอมโรระบุ
สำนักข่าวเอเอฟพีก็รายงานความเห็นของนักวิเคราะห์ในทำนองเดียวกันนี้
"มันทำลายความน่าเชื่อถือของรัฐบาลชุดนี้จริงๆ คุณไม่สามารถเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบที่สำคัญๆ กันในชั่วข้ามคืนเดียวแบบนี้ได้หรอก" นายสุขบีร์ การ์นิยอร์ นักวิเคราะห์ตลาดอาวุโสแห่งบริษัทหลักทรัพย์กสิกรให้ความเห็นกับเอเอฟพี
"มันสะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลชุดนี้ไม่ค่อยมีความชำนาญเกี่ยวกับนโยบายรัฐบาลในระยะยาว" เขากล่าวต่อ
ขณะที่นายซองเซงวู นักเศรษฐศาสตร์ประจำภูมิภาคของ ซีไอเอ็มบี-จีเค วาณิชธนกิจในสิงคโปร์ บอกว่า "พวกนักลงทุนเวลานี้กำลังวิตกว่าจะมีอะไรออกมาจากรัฐบาลชุดนี้อีก" พร้อมกับประชดว่า "บางทีพวกเขาจะทำหน้าที่เป็นทหารได้ดีกว่าการบริหารจัดการเศรษฐกิจนะ"
นายซองยังพูดเปรียบเทียบว่า ถ้าเป็นสมัย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี เนื่องจาก พ.ต.ท.ทักษิณเป็นผู้ที่มีความคิดแบบนักธุรกิจ จึงคงจะตระหนักเป็นอย่างดีถึงผลกระทบด้านลบจากมาตรการควบคุมเงินตราอย่างเข้มงวดเช่นนี้
รอยเตอร์รายงานด้วยว่า แม้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยวานนี้ จะกลับกระเตื้องขึ้นมาได้ 11.2% แต่ผู้ซื้อส่วนใหญ่คือคนไทย โดยที่นักลงทุนต่างประเทศยังคงถอยหนีออกจากตลาดต่อไป ด้วยยอดขายสุทธิ 81 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นจากที่กระหน่ำออกมาแล้ว 700 ล้านดอลลาร์ในวันอังคาร(19)
****สื่อเทศอัดไทยยับ
ไฟแนนเชียลไทมส์ หนังสือพิมพ์ธุรกิจทรงอิทธิพลสัญชาติอังกฤษ ขึ้นต้นบทบรรณาธิการฉบับวานนี้ ว่า"ทั้งทหารและนักเศรษฐศาสตร์ ต่างก็เป็นผู้คนสุดท้ายที่คุณต้องการให้มาบริหารประเทศ การที่ประเทศไทยทอดทิ้งมาตรการควบคุมเงินทุน หลังจากประกาศใช้กันเพียงวันเดียว เป็นเรื่องที่ไร้ฝีมือเป็นอย่างยิ่ง มันบ่อนทำลายรัฐบาลของประเทศ ซึ่งก็เป็นรัฐบาลที่ขึ้นสู่อำนาจจากการรัฐประหารเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา ทั้งนี้เหตุผลความชอบธรรมที่นำมาอ้างกันสำหรับการรัฐประหารดังกล่าวคือ การทุจริตคอร์รัปชั่น และการไร้ความสามารถของรัฐบาล อย่างไรก็ตาม รัฐบาลทางเลือกชุดนี้ ดูเหมือนจะเลวร้ายยิ่งกว่าเสียอีก"
"การควบคุมเงินทุนเป็นหนึ่งในบรรดาเครื่องมือทางนโยบายเศรษฐกิจซึ่งมีความงุ่มง่ามมากที่สุด" บทบรรณาธิการนี้บอก แต่ก็แสดงความเห็นใจไทยว่า ในเมื่อเงินบาทมีค่าแข็งกว่าเพื่อนบ้านเกือบ 2 เท่าตัวในปีนี้ ธปท.จึงรู้สึกว่าต้องทำอะไรบางอย่าง
ไฟแนนเชียลไทมส์กล่าวว่า ธปท.จึงได้ลองใช้การควบคุมเงินทุน ทำให้เงินบาทและตลาดหุ้นตกฮวบ และรัฐบาลก็ตื่นตระหนก แต่นี่แหละคือสิ่งที่พึงคาดหมายว่าจะเกิดขึ้นอยู่แล้วจากการใช้มาตรการเช่นนี้
บทบรรณาธิการนี้บอกว่า การผ่อนผันไม่คุมเรื่องการลงทุนในตลาดหุ้น ถือเป็นการปรับปรุงมาตรการให้ดีขึ้น เพราะหุ้นเป็นการลงทุนระยะยาว ทั้งนี้ถ้าวัตถุประสงค์ของ ธปท.คือการป้องกันการเก็งกำไรจากเงินฝากระยะสั้นแล้ว เมื่อปรับแล้วเช่นนี้ ก็ถือเป็นความเคลื่อนไหวที่มีเหตุผลอยู่บ้าง
แต่ ธปท.ดูจะห่วงเรื่องค่าเงินบาทมากกว่า ในตอนนี้นักลงทุนต่างชาติก็ยังสามารถเล่นกับค่าเงินบาทได้อยู่ดี ด้วยการเข้าไปลงทุนในหุ้น และดังนั้นหากแบงก์ชาติไม่ยกเลิกมาตรการควบคุมเงินทุนที่ยังเหลืออยู่แล้ว ผลลัพธ์ที่น่าจะเกิดขึ้นก็คือ ไม่เพียงเงินบาทจะเพิ่มค่า แต่ตลาดหุ้นยังจะเกิดฟองสบู่ ไฟแนนเชียลไทมส์ชี้
ไฟแนนเชียลไทมส์บอกว่า การยอมถอยของไทยอาจทำให้นักลงทุนต่างชาติมองว่าเป็นโอกาสเข้าซื้อหุ้นไทย
"แต่พวกเขาต้องการจะลงทุนในประเทศซึ่งบริหารด้วยวิถีทางเอาแน่เอานอนไม่ได้และหละหลวมลวกๆ เช่นนี้หรือไม่ย่อมเป็นอีกเรื่องหนึ่ง รัฐบาลทหารของไทยนั้นขาดความชอบธรรม เวลานี้พวกเขากระทั่งไม่สามารถอ้างได้ว่ามีความสามารถ ยิ่งมีการเลือกตั้งแบบประชาธิปไตย เพื่อนำรัฐบาลใหม่ขึ้นสู่อำนาจได้เร็วขึ้นเท่าใด ประเทศไทยก็จะสามารถเริ่มต้นการเดินทางไกลอันเหน็ดเหนื่อยเพื่อกลับคืนสู่การได้รับความเคารพนับถือในทางเศรษฐกิจได้เร็วขึ้นเท่านั้น" ไฟแนนเชียลไทมส์ตบท้าย
ทางด้าน วอลล์สตรีทเจอร์นัลเอเชีย หนังสือพิมพ์ธุรกิจทรงอิทธิพลสัญชาติอเมริกัน ก็ออกบทบรรณาธิการเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวของ ธปท.ในฉบับวานนี้เช่นเดียวกัน
วอลล์สตรีทเจอร์นัลเอเชียแสดงจุดยืนคัดค้านการใช้มาตรการควบคุมเงินทุนอย่างเต็มเหนี่ยว พร้อมกับบอกว่า เป็นสิ่งถูกต้องแล้วที่ ธปท.ปรับนโยบายเลิกคุมเงินที่เข้าสู่ตลาดหุ้น อีกทั้งเสนอแนะว่า ปัญหาค่าเงินบาทแข็ง ควรแก้ด้วยการลดดอกเบี้ยมากกว่า
บทบรรณาธิการนี้ทิ้งท้ายว่า "กล่าวโดยทั่วไปแล้ว นักลงทุนจะไม่เปิดฉากโจมตีแบบเก็งกำไรต่อประเทศใดๆ ที่พวกเขาเห็นว่าค่อนข้างไร้ปัญหาคอร์รัปชั่น, โปร่งใส, และมีธรรมาภิบาล การที่ประเทศไทยใช้มาตรการควบคุมอันเข้มงวดรุนแรง แถมตอนนี้ยังพลิกกลับไปกลับมาเสียอีก จึงรังแต่ทำให้ตัวเองถูกโจมตีได้ง่ายขึ้นเท่านั้น"
หลังจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล และ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ยอมถอยเมื่อคืนวันอังคาร(19) โดยประกาศผ่อนผันไม่นำมาตรการ "อายัดเงินนำเข้า30%" มาใช้กับเงินที่ลงทุนในตลาดหลักทรัพย์แล้ว ทางด้านกองทุนการเงินระหว่างประเทศ(ไอเอ็นเอฟ) ซึ่งพูดถึงมาตรการเข้มงวดคราวนี้ว่า เป็นมาตรการที่ "แรงและส่งผลกว้างไกลเกินไป" ก็ได้แสดงความยินดีต่อการตัดสินใจถอยดังกล่าว
ทว่าสำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า เมื่อถึงเวลานั้นชื่อเสียงของประเทศไทยในสายตาของเหล่านักลงทุนระหว่างประเทศ ก็อยู่ในสภาพแหลกเละไปเรียบร้อยแล้ว
บริษัทวิเคราะห์ ไอเดียโกลบอล ได้ใช้หัวข้อเรื่องในรายงานวิจัยที่ส่งให้แก่ลูกค้าของตน แบบเปรียบเปรยสภาพของประเทศไทยเอาไว้ว่า "สวรรค์ของนักท่องเที่ยว นรกของนักลงทุน" ขณะที่พวกนักวิเคราะห์ต่างพากันแสดงความเห็นดูหมิ่นดูแคลนรัฐมนตรีคลัง ม.ร.ว.ปรีดิยาธร และนางธาริษา วัฒนเกส ผู้ขึ้นเป็นผู้ว่าธปท.ต่อจากเขา โดยทั้งคู่ต่างได้รับแต่งตั้งหลังการรัฐประหารยึดอำนาจในประเทศไทย
"พวกเขากำลังพิสูจน์ตัวพวกเขาเองให้เห็นว่า ไม่ได้มีความเป็นมืออาชีพอย่างยิ่ง พวกเขาสูญเสียความน่าเชื่อถือไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว" นางแคเธอรีน ตัน ผู้อำนวยการฝ่ายตลาดเกิดใหม่ในเอเชียของ ฟอร์แคสต์ ประจำสิงคโปร์ กล่าว
"ดิฉันไม่คิดว่าชาวต่างประเทศจะกลับไปตลาดไทยอีกไม่ว่าเวลาใดในอนาคตอันใกล้นี้ ตลาดต่างๆ เวลานี้ไม่มีความเชื่อมั่นในรัฐบาล(ไทยชุดนี้)เลย"
ขณะที่นายบราติน ซันยัล ผู้อำนวยการฝ่ายการลงทุนหลักทรัพย์เอเชีย ของธนาคารไอเอ็นจี สาขาฮ่องกง พูดเหน็บแนมอย่างแสบสันต์ โดยพุ่งเป้าไปที่ ธปท.ว่า "สิ่งหนึ่งที่เลวร้ายยิ่งเสียกว่าธนาคารกลางที่ไร้ความสามารถ ก็คือธนาคารกลางไร้ความสามารถที่พลิกกลับไปกลับมา"
ทางด้าน เอบีเอ็นแอมโร วาณิชธนกิจใหญ่สัญชาติเนเธอร์แลนด์ ได้ตัดลดเรตติ้งการลงทุนของตนที่ให้แก่ประเทศไทยลงมาเป็น "underweight" (ควรลงทุนให้น้อยลง) พร้อมกับตั้งคำถามแสดงความข้องใจเกี่ยวกับฝีมือการดำเนินเศรษฐกิจของรัฐบาลหลังการรัฐประหารของไทย
"การตัดสินใจทางด้านนโยบาย ดูจะไม่มีความลงรอยกับการดำเนินงานของตลาดทุน" เอบีเอ็มแอมโรระบุ
สำนักข่าวเอเอฟพีก็รายงานความเห็นของนักวิเคราะห์ในทำนองเดียวกันนี้
"มันทำลายความน่าเชื่อถือของรัฐบาลชุดนี้จริงๆ คุณไม่สามารถเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบที่สำคัญๆ กันในชั่วข้ามคืนเดียวแบบนี้ได้หรอก" นายสุขบีร์ การ์นิยอร์ นักวิเคราะห์ตลาดอาวุโสแห่งบริษัทหลักทรัพย์กสิกรให้ความเห็นกับเอเอฟพี
"มันสะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลชุดนี้ไม่ค่อยมีความชำนาญเกี่ยวกับนโยบายรัฐบาลในระยะยาว" เขากล่าวต่อ
ขณะที่นายซองเซงวู นักเศรษฐศาสตร์ประจำภูมิภาคของ ซีไอเอ็มบี-จีเค วาณิชธนกิจในสิงคโปร์ บอกว่า "พวกนักลงทุนเวลานี้กำลังวิตกว่าจะมีอะไรออกมาจากรัฐบาลชุดนี้อีก" พร้อมกับประชดว่า "บางทีพวกเขาจะทำหน้าที่เป็นทหารได้ดีกว่าการบริหารจัดการเศรษฐกิจนะ"
นายซองยังพูดเปรียบเทียบว่า ถ้าเป็นสมัย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี เนื่องจาก พ.ต.ท.ทักษิณเป็นผู้ที่มีความคิดแบบนักธุรกิจ จึงคงจะตระหนักเป็นอย่างดีถึงผลกระทบด้านลบจากมาตรการควบคุมเงินตราอย่างเข้มงวดเช่นนี้
รอยเตอร์รายงานด้วยว่า แม้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยวานนี้ จะกลับกระเตื้องขึ้นมาได้ 11.2% แต่ผู้ซื้อส่วนใหญ่คือคนไทย โดยที่นักลงทุนต่างประเทศยังคงถอยหนีออกจากตลาดต่อไป ด้วยยอดขายสุทธิ 81 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นจากที่กระหน่ำออกมาแล้ว 700 ล้านดอลลาร์ในวันอังคาร(19)
****สื่อเทศอัดไทยยับ
ไฟแนนเชียลไทมส์ หนังสือพิมพ์ธุรกิจทรงอิทธิพลสัญชาติอังกฤษ ขึ้นต้นบทบรรณาธิการฉบับวานนี้ ว่า"ทั้งทหารและนักเศรษฐศาสตร์ ต่างก็เป็นผู้คนสุดท้ายที่คุณต้องการให้มาบริหารประเทศ การที่ประเทศไทยทอดทิ้งมาตรการควบคุมเงินทุน หลังจากประกาศใช้กันเพียงวันเดียว เป็นเรื่องที่ไร้ฝีมือเป็นอย่างยิ่ง มันบ่อนทำลายรัฐบาลของประเทศ ซึ่งก็เป็นรัฐบาลที่ขึ้นสู่อำนาจจากการรัฐประหารเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา ทั้งนี้เหตุผลความชอบธรรมที่นำมาอ้างกันสำหรับการรัฐประหารดังกล่าวคือ การทุจริตคอร์รัปชั่น และการไร้ความสามารถของรัฐบาล อย่างไรก็ตาม รัฐบาลทางเลือกชุดนี้ ดูเหมือนจะเลวร้ายยิ่งกว่าเสียอีก"
"การควบคุมเงินทุนเป็นหนึ่งในบรรดาเครื่องมือทางนโยบายเศรษฐกิจซึ่งมีความงุ่มง่ามมากที่สุด" บทบรรณาธิการนี้บอก แต่ก็แสดงความเห็นใจไทยว่า ในเมื่อเงินบาทมีค่าแข็งกว่าเพื่อนบ้านเกือบ 2 เท่าตัวในปีนี้ ธปท.จึงรู้สึกว่าต้องทำอะไรบางอย่าง
ไฟแนนเชียลไทมส์กล่าวว่า ธปท.จึงได้ลองใช้การควบคุมเงินทุน ทำให้เงินบาทและตลาดหุ้นตกฮวบ และรัฐบาลก็ตื่นตระหนก แต่นี่แหละคือสิ่งที่พึงคาดหมายว่าจะเกิดขึ้นอยู่แล้วจากการใช้มาตรการเช่นนี้
บทบรรณาธิการนี้บอกว่า การผ่อนผันไม่คุมเรื่องการลงทุนในตลาดหุ้น ถือเป็นการปรับปรุงมาตรการให้ดีขึ้น เพราะหุ้นเป็นการลงทุนระยะยาว ทั้งนี้ถ้าวัตถุประสงค์ของ ธปท.คือการป้องกันการเก็งกำไรจากเงินฝากระยะสั้นแล้ว เมื่อปรับแล้วเช่นนี้ ก็ถือเป็นความเคลื่อนไหวที่มีเหตุผลอยู่บ้าง
แต่ ธปท.ดูจะห่วงเรื่องค่าเงินบาทมากกว่า ในตอนนี้นักลงทุนต่างชาติก็ยังสามารถเล่นกับค่าเงินบาทได้อยู่ดี ด้วยการเข้าไปลงทุนในหุ้น และดังนั้นหากแบงก์ชาติไม่ยกเลิกมาตรการควบคุมเงินทุนที่ยังเหลืออยู่แล้ว ผลลัพธ์ที่น่าจะเกิดขึ้นก็คือ ไม่เพียงเงินบาทจะเพิ่มค่า แต่ตลาดหุ้นยังจะเกิดฟองสบู่ ไฟแนนเชียลไทมส์ชี้
ไฟแนนเชียลไทมส์บอกว่า การยอมถอยของไทยอาจทำให้นักลงทุนต่างชาติมองว่าเป็นโอกาสเข้าซื้อหุ้นไทย
"แต่พวกเขาต้องการจะลงทุนในประเทศซึ่งบริหารด้วยวิถีทางเอาแน่เอานอนไม่ได้และหละหลวมลวกๆ เช่นนี้หรือไม่ย่อมเป็นอีกเรื่องหนึ่ง รัฐบาลทหารของไทยนั้นขาดความชอบธรรม เวลานี้พวกเขากระทั่งไม่สามารถอ้างได้ว่ามีความสามารถ ยิ่งมีการเลือกตั้งแบบประชาธิปไตย เพื่อนำรัฐบาลใหม่ขึ้นสู่อำนาจได้เร็วขึ้นเท่าใด ประเทศไทยก็จะสามารถเริ่มต้นการเดินทางไกลอันเหน็ดเหนื่อยเพื่อกลับคืนสู่การได้รับความเคารพนับถือในทางเศรษฐกิจได้เร็วขึ้นเท่านั้น" ไฟแนนเชียลไทมส์ตบท้าย
ทางด้าน วอลล์สตรีทเจอร์นัลเอเชีย หนังสือพิมพ์ธุรกิจทรงอิทธิพลสัญชาติอเมริกัน ก็ออกบทบรรณาธิการเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวของ ธปท.ในฉบับวานนี้เช่นเดียวกัน
วอลล์สตรีทเจอร์นัลเอเชียแสดงจุดยืนคัดค้านการใช้มาตรการควบคุมเงินทุนอย่างเต็มเหนี่ยว พร้อมกับบอกว่า เป็นสิ่งถูกต้องแล้วที่ ธปท.ปรับนโยบายเลิกคุมเงินที่เข้าสู่ตลาดหุ้น อีกทั้งเสนอแนะว่า ปัญหาค่าเงินบาทแข็ง ควรแก้ด้วยการลดดอกเบี้ยมากกว่า
บทบรรณาธิการนี้ทิ้งท้ายว่า "กล่าวโดยทั่วไปแล้ว นักลงทุนจะไม่เปิดฉากโจมตีแบบเก็งกำไรต่อประเทศใดๆ ที่พวกเขาเห็นว่าค่อนข้างไร้ปัญหาคอร์รัปชั่น, โปร่งใส, และมีธรรมาภิบาล การที่ประเทศไทยใช้มาตรการควบคุมอันเข้มงวดรุนแรง แถมตอนนี้ยังพลิกกลับไปกลับมาเสียอีก จึงรังแต่ทำให้ตัวเองถูกโจมตีได้ง่ายขึ้นเท่านั้น"
1.My Facebook page, https://www.facebook.com/pages/Kitichai ... 5514051589.
2.U may follow my stock comment via http://twitter.com/value_talk
3.กระทู้ที่โพสท์นี้เป็นความเห็นส่วนตัว การซื้อขายหุ้นขึ้นอยู่กับการใช้วิจารณญาณของแต่ละคน
2.U may follow my stock comment via http://twitter.com/value_talk
3.กระทู้ที่โพสท์นี้เป็นความเห็นส่วนตัว การซื้อขายหุ้นขึ้นอยู่กับการใช้วิจารณญาณของแต่ละคน
- david
- Verified User
- โพสต์: 852
- ผู้ติดตาม: 0
Rebound assured but risk premium has risen.
โพสต์ที่ 3
Foreign investors have been amazingly patient
Foreign investors have put about US$5bn in the Thai market over the last three
years (while locals were selling all along), believing that Thailand is the
cheapest market in the region. Since the start of 2006 foreign investors put
US$2.9bn prior to Tuesday 19 December 2006 when they took out US$628m.
They have been very patient after facing one disappointment after another, for
example:
mega projects that never materialized,
the CTX bribery scandal,
2005 mass resignation of the National Counter Corruption Commission,
imposition of a state of emergency in Southern provinces,
diesel subsidies,
earnings downgrades for 26 months,
street protests,
EGAT listing cancellation,
sale of SHIN shares to Temasek,
parliament dissolution,
an invalidated election,
a coup,
potential dissolution of the two leading political parties,
and now attempts at exchange controls.
Thai long-term returns have been miserable
For those who consider themselves long-term investors looking at returns
(excluding dividends) over long periods of time may make more sense. Below
we show the SET Index performance since when we have data (1982). Sad to
say that if an investor put their money in this booming emerging market 24 years
ago they would have only had a 7.4% annualized geometric return. This
compares to a long-term average return the US market of 9-10%. And of course
the volatility of the SET Index is nearly double the US, so from a risk return trade
off, Thailand was not the place to be.
Figure 8. Long-term returns in Thailand look abysmal
SET Index % Average annual return (Geometric)
24-yr return 124 7.4
20-yr return 208 6.2
15-yr return 703 (0.1)
10-yr return 836 (1.9)
5-yr return 304 17.8
3-yr return 735 (2.2)
The table below shows the same calculation for growth in Thai nominal GDP.
What is interesting is that the 24-year return is higher at 9.5% and much more
stable over different time periods.
Figure 9. But long-term growth in GDP has been relatively strong across time
Thai Nominal GDP (Btbn) Avg annual return (Geometric)
24-yr return 842 9.5
20-yr return 1,133 9.8
15-yr return 2,507 7.5
10-yr return 4,611 4.9
5-yr return 5,134 7.6
3-yr return 5,917 7.8
The chart below highlights the situation graphically. What it shows is of course a
much more stable GDP growth rate over a long period of time. This is to be
expected and is similar to most economies. The interesting point is that the
stock market return was higher only over the last five year period, otherwise it
was always beaten by the overall economy.
This tells us that an investor, if they had the choice, would have been much
better off investing in the broader economy than in the narrow stock market. Of
course most foreign fund managers do not have this choice, but Thai
businessmen and investors do. Hence wealth has been steadily created in
Thailand, but it just hasnt come through to the stock market (minority investors
can invest). Not a pretty long-term picture.
But that patience is likely wearing thin
For the past three years the Thai market is now DOWN 12% (only down 2% if we
use 20 Dec 2006 closing price) vs. Asia ex-Japan index, which is UP 79% over
that period. How much patience will foreign investors display when Thailand
accounts for such a small part of their investable universe? We think it is
running out.
Foreign investors have put about US$5bn in the Thai market over the last three
years (while locals were selling all along), believing that Thailand is the
cheapest market in the region. Since the start of 2006 foreign investors put
US$2.9bn prior to Tuesday 19 December 2006 when they took out US$628m.
They have been very patient after facing one disappointment after another, for
example:
mega projects that never materialized,
the CTX bribery scandal,
2005 mass resignation of the National Counter Corruption Commission,
imposition of a state of emergency in Southern provinces,
diesel subsidies,
earnings downgrades for 26 months,
street protests,
EGAT listing cancellation,
sale of SHIN shares to Temasek,
parliament dissolution,
an invalidated election,
a coup,
potential dissolution of the two leading political parties,
and now attempts at exchange controls.
Thai long-term returns have been miserable
For those who consider themselves long-term investors looking at returns
(excluding dividends) over long periods of time may make more sense. Below
we show the SET Index performance since when we have data (1982). Sad to
say that if an investor put their money in this booming emerging market 24 years
ago they would have only had a 7.4% annualized geometric return. This
compares to a long-term average return the US market of 9-10%. And of course
the volatility of the SET Index is nearly double the US, so from a risk return trade
off, Thailand was not the place to be.
Figure 8. Long-term returns in Thailand look abysmal
SET Index % Average annual return (Geometric)
24-yr return 124 7.4
20-yr return 208 6.2
15-yr return 703 (0.1)
10-yr return 836 (1.9)
5-yr return 304 17.8
3-yr return 735 (2.2)
The table below shows the same calculation for growth in Thai nominal GDP.
What is interesting is that the 24-year return is higher at 9.5% and much more
stable over different time periods.
Figure 9. But long-term growth in GDP has been relatively strong across time
Thai Nominal GDP (Btbn) Avg annual return (Geometric)
24-yr return 842 9.5
20-yr return 1,133 9.8
15-yr return 2,507 7.5
10-yr return 4,611 4.9
5-yr return 5,134 7.6
3-yr return 5,917 7.8
The chart below highlights the situation graphically. What it shows is of course a
much more stable GDP growth rate over a long period of time. This is to be
expected and is similar to most economies. The interesting point is that the
stock market return was higher only over the last five year period, otherwise it
was always beaten by the overall economy.
This tells us that an investor, if they had the choice, would have been much
better off investing in the broader economy than in the narrow stock market. Of
course most foreign fund managers do not have this choice, but Thai
businessmen and investors do. Hence wealth has been steadily created in
Thailand, but it just hasnt come through to the stock market (minority investors
can invest). Not a pretty long-term picture.
But that patience is likely wearing thin
For the past three years the Thai market is now DOWN 12% (only down 2% if we
use 20 Dec 2006 closing price) vs. Asia ex-Japan index, which is UP 79% over
that period. How much patience will foreign investors display when Thailand
accounts for such a small part of their investable universe? We think it is
running out.
1.My Facebook page, https://www.facebook.com/pages/Kitichai ... 5514051589.
2.U may follow my stock comment via http://twitter.com/value_talk
3.กระทู้ที่โพสท์นี้เป็นความเห็นส่วนตัว การซื้อขายหุ้นขึ้นอยู่กับการใช้วิจารณญาณของแต่ละคน
2.U may follow my stock comment via http://twitter.com/value_talk
3.กระทู้ที่โพสท์นี้เป็นความเห็นส่วนตัว การซื้อขายหุ้นขึ้นอยู่กับการใช้วิจารณญาณของแต่ละคน
- david
- Verified User
- โพสต์: 852
- ผู้ติดตาม: 0
Rebound assured but risk premium has risen.
โพสต์ที่ 4
Thailand economics'financial liquidity may b drained out if the foreign outflow is the great number,we may stop thinking the decrease of the interest rate which is just the one coming good news left 4 Thailand.
1.My Facebook page, https://www.facebook.com/pages/Kitichai ... 5514051589.
2.U may follow my stock comment via http://twitter.com/value_talk
3.กระทู้ที่โพสท์นี้เป็นความเห็นส่วนตัว การซื้อขายหุ้นขึ้นอยู่กับการใช้วิจารณญาณของแต่ละคน
2.U may follow my stock comment via http://twitter.com/value_talk
3.กระทู้ที่โพสท์นี้เป็นความเห็นส่วนตัว การซื้อขายหุ้นขึ้นอยู่กับการใช้วิจารณญาณของแต่ละคน