ข้อเสียของ VI
-
- Verified User
- โพสต์: 421
- ผู้ติดตาม: 0
ข้อเสียของ VI
โพสต์ที่ 1
ว่าที่จริงก็ได้ทราบมานานแล้วในเรื่อง ข้อเสียของ VI
แต่ก็ได้เอามาให้อ่านอีกทีครับ
ข้อเสียของวีไอ
Value Way
โดย วิบูลย์ พึงประเสริฐ
เรามักได้ยินเกี่ยวกับ"ข้อดี"ของการลงทุนแบบเน้นคุณค่า หรือ Value Investing อยู่เสมอๆ เช่น เป็นการลงทุนที่ไม่ต้องเฝ้าหน้าจอ หรือเป็นการลงทุนที่ทำผลตอบแทนได้อย่างต่อเนื่อง แต่ทุกอย่างในโลกนี้ไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ การลงทุนแบบเน้นคุณค่าก็เช่นเดียวกัน ดังนั้นไม่ใช่ว่าการลงทุนแบบนี้จะมีแต่ด้านดีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่มี"ข้อเสีย"ด้วยกันหลายข้อดังต่อไปนี้
1) การลงทุนในรูปแบบที่ถือว่านักลงทุนเป็นเจ้าของบริษัท และถือหุ้นเฉพาะบริษัทที่เข้าใจในราคาไม่แพง โดยถือหุ้นนั้นเป็นระยะเวลานานๆนั้น ยิ่งนักลงทุนมีตระแกรงร่อนในการเลือกหุ้นมากเท่าไหร่ ตัวเลือกในการลงทุนก็น้อยลงไปเท่านั้น เช่น ถ้าเรายึดหลักว่าจะไม่ซื้อหุ้นที่ไม่มีข้อได้เปรียบในการแข่งขัน ไม่ซื้อหุ้นที่มีหนี้มากเกินไป หรือไม่ซื้อหุ้นที่ไม่เข้าใจในธุรกิจนั้น ทำให้นักลงทุนมีข้อจำกัดในการลงทุนในหลายๆบริษัทที่น่าสนใจ รวมทั้งทำให้ตัวเลือกในการลงทุนน้อยลงตามขอบเขตที่กำหนดไว้
2) โอกาสในการลงทุนแนวนี้ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนัก บางครั้งนักลงทุนปล่อยให้โอกาสหลุดลอยไปอย่างน่าเสียดาย เพียงเพราะมีคำถามอะไรบางอย่างในบริษัทนั้น เช่นอาจสงสัยในงบการเงิน ในผู้บริหาร หรือ อะไรก็ตามที่นึกขึ้นได้ แต่แล้วมันก็เป็นแค่เรื่องชั่วคราว เพราะสิ่งที่นักลงทุนสงสัยนั้นไม่ได้เกิดขึ้นจริง เช่น ผู้บริหารบริษัทอาจดูน่าสงสัยในเรื่องของการขายหุ้นบริษัทออกมาในตลาดเป็นจำนวนมาก นักลงทุนอาจคิดว่าบริษัทนั้นกำลังประสบกับปัญหา ทำให้ผู้บริหารที่รู้เรื่องก่อนขายหุ้นออกมา แต่ในความเป็นจริง ผู้บริหารอาจขายหุ้นออกมาเพื่อต้องการนำเงินไปใช้จ่ายตามปกติ นักลงทุนที่สงสัยในประเด็นดังกล่าวอาจพลาดโอกาสในการลงทุนบริษัทนั้นไป เมื่อทุกอย่างคลี่คลายหรือข้อมูลชัดเจนขึ้น ราคาหุ้นก็ขึ้นมาอยู่ในระดับที่สูงเกินไปเสียแล้ว
3) บางทีนักลงทุนแบบเน้นคุณค่าเห็นโอกาสในการลงทุนแต่คว้าไม่ได้เพราะ เงินที่มีนำไปลงทุนในหุ้นอื่นจนหมด บ่อยครั้งที่นักลงทุนแบบเน้นคุณค่าลงทุนในหุ้นทั้งหมด 100% ของเงินลงทุนที่มีอยู่ ทำให้พลาดโอกาสในการลงทุนในหุ้นบริษัทอื่นๆไป การที่จะขายบริษัทที่มีอนาคตดีที่ถืออยู่เพื่อเปลี่ยนไปซื้อบริษัทใหม่ นักลงทุนต้องมีความมั่นใจในบริษัทใหม่มากกว่าบริษัทเดิมที่ถืออยู่หลายเท่า เพราะการเปลี่ยนบริษัทคือความเสี่ยงในการลงทุนอย่างหนึ่ง
4) นักลงทุนต้องมีความอดทนมากกว่าปกติในการที่เราจะถือบริษัทนี้ไปตลอด เพราะนักลงทุนต้องทำใจที่เห็นราคาหุ้นลดลงอย่างรวดเร็วในช่วงที่ตลาดผันผวนอย่างมาก เช่น ในขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นลดลงจากการเทขายของรายใหญ่อย่าง กองทุนเฮดฟันด์ต่างประเทศ ราคาหุ้นที่ถืออยู่อาจลดลงเป็นอย่างมาก โดยที่พื้นฐานของบริษัทไม่ได้เปลี่ยนแปลง นักลงทุนต้องสามารถวิเคาระห์ให้อออกว่าราคาหุ้นที่ลดลงเกิดจากอารมณ์ของตลาดหรือพื้นฐานของบริษัท
5) ข้อสุดท้าย นักลงทุนต้องมีความอดทนมากกว่าปกติ เวลาที่เห็นราคาหุ้นตัวอื่นๆพุ่งแซงหน้าหุ้นของบริษัทที่นักลงทุนถืออยู่
บางครั้งดัชนีตลาดหุ้นเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก แต่หุ้นที่นักลงทุนถืออยู่ ราคากลับนิ่งอยู่กัับที่ไม่กระเตื้องไปไหน นักลงทุนแบบเน้นคุณค่าต้องทำใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะหุ้นบางบริษัทไม่ได้ปรับตัวตามดัชนีตลาดหุ้น
ในกรณีนี้นักลงทุนอาจต้องอาศัยคำพูดของวอร์เรน บัฟเฟตที่บอกว่า ราคาหุ้นระยะสั้นไม่ได้เป็นตัวบอกมูลค่าที่แท้จริงของบริษัท ในระยะยาวราคาหุ้นจะเป็นไปตามผลประกอบการของบริษัท ดังนั้นในระยะสั้นราคาหุ้นอาจลดลง แต่ในระยะยาวถ้าผลประกอบการดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ราคาหุ้นจะสามารถปรับตัวขึ้นได้
ผมก็เลยสงสัยว่าไม่มีใครที่คิดจะปิดจุดอ่อนตรงนี้บ้างเลยหรือครับ
ผมว่าสิ่งหนึ่งที่ วอร์เรนบุฟเฟต์ได้กล่าวไว้นั้น น่าจะบางสิ่งที่ไม่น่าจะใช้ได้ในหุ้นของประเทศไทย ในยุคสมัยนี้ นั่นก็คือการที่อดทนต้องถือหุ้นให้นานเข้าไว้ ผมว่าสิ่งที่เป็นข้อดีก็คือ ทำให้หุ้นไม่หลุดมือออกจากเราไป(ที่เรียกว่าขายหมู) แล้วระยะเวลาจะค่อยๆเพาะให้หุ้นงอกงามดีขึ้นมา
แต่ข้อเสียก็คือทำให้บางครั้งต้องมาทนถือเพื่อให้หุ้นไปรับสถานการณ์ต่างๆที่มากระทบจนบางครั้งก็เป็นภาวะที่ไม่มีความจำเป็น
สิ่งที่ผมเคยประสบคือต้องถือหุ้นในช่วงหลังสงครามอ่าวเปอร์เซียไว้จนราคาตกลงมาประมาณสี่สิบเปอร์เซนต์(เฉลี่ยทั้งพอร์ต) แล้วถึงตัดสินใจขาย ผลก็คือ ถ้าผมมาขายช้าไปอีกประมาณสองปี ผมก็จะต้องขายขาดทุนที่ประมาณ หกสิบห้าเปอร์เซนต์
ผมว่ายุคสมัยนี้ Business environment โดยเฉพาะเรื่อง การเมือง และ เศรษฐกิจของโลก(Relative economics) จะมีผลกระทบต่อหุ้นเมืองไทยอย่างมาก แต่ประเทศสหรัฐอเมริกาค่อนข้างมีเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง วอร์เรน บุฟเฟต์แทบจะไม่มาพูดถึงผลกระทบดังกล่าวเลย
ช่วงก่อนวันที่ 19 กันยา ผมอยากจะบอกว่าเพราะลางสังหรณ์หรือ เพราะได้อ่านกระทู้ของพี่เจ๋งก็ไม่รู้ ผมตัดสินใจขายหุ้นทิ้งไปทั้งพอร์ตเลยครับ
แล้วมาเริ่มต้นซื้อใหม่อีกที
จากที่ติดตามบทความอาจารย์นิเวศน์ อาจารย์ก็จะถือหุ้นไว้ประมาณแค่สามปี แล้วค่อยตัดสินใจขาย
นอกจากนี้ อีกสิ่งที่ผมทำก็คือ มองในเรืองการเก็งกำไรไว้คู่กันกับ VI บ้าง เช่นหุ้นตัวไหนที่ร้อนแรงมากๆ เราก็แบ่งเงินจากในพอร์ท ไปซื้อไว้เพื่อเป็นการเพิ่มเปอร์เซนต์มูลค่าไว้บ้างไม่ดีกว่าหรือ แทนที่จะให้มันคงที่แบบStatic อยู่อย่างนั้น แต่ว่ามาทำให้มันเพิ่มมูลค่าสัก สิบยี่สิบเปอร์เซนต์ในช่วงเดือนสองเดือน
ใครเห็นเป็นไงบ้างครับ
แต่ก็ได้เอามาให้อ่านอีกทีครับ
ข้อเสียของวีไอ
Value Way
โดย วิบูลย์ พึงประเสริฐ
เรามักได้ยินเกี่ยวกับ"ข้อดี"ของการลงทุนแบบเน้นคุณค่า หรือ Value Investing อยู่เสมอๆ เช่น เป็นการลงทุนที่ไม่ต้องเฝ้าหน้าจอ หรือเป็นการลงทุนที่ทำผลตอบแทนได้อย่างต่อเนื่อง แต่ทุกอย่างในโลกนี้ไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ การลงทุนแบบเน้นคุณค่าก็เช่นเดียวกัน ดังนั้นไม่ใช่ว่าการลงทุนแบบนี้จะมีแต่ด้านดีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่มี"ข้อเสีย"ด้วยกันหลายข้อดังต่อไปนี้
1) การลงทุนในรูปแบบที่ถือว่านักลงทุนเป็นเจ้าของบริษัท และถือหุ้นเฉพาะบริษัทที่เข้าใจในราคาไม่แพง โดยถือหุ้นนั้นเป็นระยะเวลานานๆนั้น ยิ่งนักลงทุนมีตระแกรงร่อนในการเลือกหุ้นมากเท่าไหร่ ตัวเลือกในการลงทุนก็น้อยลงไปเท่านั้น เช่น ถ้าเรายึดหลักว่าจะไม่ซื้อหุ้นที่ไม่มีข้อได้เปรียบในการแข่งขัน ไม่ซื้อหุ้นที่มีหนี้มากเกินไป หรือไม่ซื้อหุ้นที่ไม่เข้าใจในธุรกิจนั้น ทำให้นักลงทุนมีข้อจำกัดในการลงทุนในหลายๆบริษัทที่น่าสนใจ รวมทั้งทำให้ตัวเลือกในการลงทุนน้อยลงตามขอบเขตที่กำหนดไว้
2) โอกาสในการลงทุนแนวนี้ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนัก บางครั้งนักลงทุนปล่อยให้โอกาสหลุดลอยไปอย่างน่าเสียดาย เพียงเพราะมีคำถามอะไรบางอย่างในบริษัทนั้น เช่นอาจสงสัยในงบการเงิน ในผู้บริหาร หรือ อะไรก็ตามที่นึกขึ้นได้ แต่แล้วมันก็เป็นแค่เรื่องชั่วคราว เพราะสิ่งที่นักลงทุนสงสัยนั้นไม่ได้เกิดขึ้นจริง เช่น ผู้บริหารบริษัทอาจดูน่าสงสัยในเรื่องของการขายหุ้นบริษัทออกมาในตลาดเป็นจำนวนมาก นักลงทุนอาจคิดว่าบริษัทนั้นกำลังประสบกับปัญหา ทำให้ผู้บริหารที่รู้เรื่องก่อนขายหุ้นออกมา แต่ในความเป็นจริง ผู้บริหารอาจขายหุ้นออกมาเพื่อต้องการนำเงินไปใช้จ่ายตามปกติ นักลงทุนที่สงสัยในประเด็นดังกล่าวอาจพลาดโอกาสในการลงทุนบริษัทนั้นไป เมื่อทุกอย่างคลี่คลายหรือข้อมูลชัดเจนขึ้น ราคาหุ้นก็ขึ้นมาอยู่ในระดับที่สูงเกินไปเสียแล้ว
3) บางทีนักลงทุนแบบเน้นคุณค่าเห็นโอกาสในการลงทุนแต่คว้าไม่ได้เพราะ เงินที่มีนำไปลงทุนในหุ้นอื่นจนหมด บ่อยครั้งที่นักลงทุนแบบเน้นคุณค่าลงทุนในหุ้นทั้งหมด 100% ของเงินลงทุนที่มีอยู่ ทำให้พลาดโอกาสในการลงทุนในหุ้นบริษัทอื่นๆไป การที่จะขายบริษัทที่มีอนาคตดีที่ถืออยู่เพื่อเปลี่ยนไปซื้อบริษัทใหม่ นักลงทุนต้องมีความมั่นใจในบริษัทใหม่มากกว่าบริษัทเดิมที่ถืออยู่หลายเท่า เพราะการเปลี่ยนบริษัทคือความเสี่ยงในการลงทุนอย่างหนึ่ง
4) นักลงทุนต้องมีความอดทนมากกว่าปกติในการที่เราจะถือบริษัทนี้ไปตลอด เพราะนักลงทุนต้องทำใจที่เห็นราคาหุ้นลดลงอย่างรวดเร็วในช่วงที่ตลาดผันผวนอย่างมาก เช่น ในขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นลดลงจากการเทขายของรายใหญ่อย่าง กองทุนเฮดฟันด์ต่างประเทศ ราคาหุ้นที่ถืออยู่อาจลดลงเป็นอย่างมาก โดยที่พื้นฐานของบริษัทไม่ได้เปลี่ยนแปลง นักลงทุนต้องสามารถวิเคาระห์ให้อออกว่าราคาหุ้นที่ลดลงเกิดจากอารมณ์ของตลาดหรือพื้นฐานของบริษัท
5) ข้อสุดท้าย นักลงทุนต้องมีความอดทนมากกว่าปกติ เวลาที่เห็นราคาหุ้นตัวอื่นๆพุ่งแซงหน้าหุ้นของบริษัทที่นักลงทุนถืออยู่
บางครั้งดัชนีตลาดหุ้นเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก แต่หุ้นที่นักลงทุนถืออยู่ ราคากลับนิ่งอยู่กัับที่ไม่กระเตื้องไปไหน นักลงทุนแบบเน้นคุณค่าต้องทำใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะหุ้นบางบริษัทไม่ได้ปรับตัวตามดัชนีตลาดหุ้น
ในกรณีนี้นักลงทุนอาจต้องอาศัยคำพูดของวอร์เรน บัฟเฟตที่บอกว่า ราคาหุ้นระยะสั้นไม่ได้เป็นตัวบอกมูลค่าที่แท้จริงของบริษัท ในระยะยาวราคาหุ้นจะเป็นไปตามผลประกอบการของบริษัท ดังนั้นในระยะสั้นราคาหุ้นอาจลดลง แต่ในระยะยาวถ้าผลประกอบการดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ราคาหุ้นจะสามารถปรับตัวขึ้นได้
ผมก็เลยสงสัยว่าไม่มีใครที่คิดจะปิดจุดอ่อนตรงนี้บ้างเลยหรือครับ
ผมว่าสิ่งหนึ่งที่ วอร์เรนบุฟเฟต์ได้กล่าวไว้นั้น น่าจะบางสิ่งที่ไม่น่าจะใช้ได้ในหุ้นของประเทศไทย ในยุคสมัยนี้ นั่นก็คือการที่อดทนต้องถือหุ้นให้นานเข้าไว้ ผมว่าสิ่งที่เป็นข้อดีก็คือ ทำให้หุ้นไม่หลุดมือออกจากเราไป(ที่เรียกว่าขายหมู) แล้วระยะเวลาจะค่อยๆเพาะให้หุ้นงอกงามดีขึ้นมา
แต่ข้อเสียก็คือทำให้บางครั้งต้องมาทนถือเพื่อให้หุ้นไปรับสถานการณ์ต่างๆที่มากระทบจนบางครั้งก็เป็นภาวะที่ไม่มีความจำเป็น
สิ่งที่ผมเคยประสบคือต้องถือหุ้นในช่วงหลังสงครามอ่าวเปอร์เซียไว้จนราคาตกลงมาประมาณสี่สิบเปอร์เซนต์(เฉลี่ยทั้งพอร์ต) แล้วถึงตัดสินใจขาย ผลก็คือ ถ้าผมมาขายช้าไปอีกประมาณสองปี ผมก็จะต้องขายขาดทุนที่ประมาณ หกสิบห้าเปอร์เซนต์
ผมว่ายุคสมัยนี้ Business environment โดยเฉพาะเรื่อง การเมือง และ เศรษฐกิจของโลก(Relative economics) จะมีผลกระทบต่อหุ้นเมืองไทยอย่างมาก แต่ประเทศสหรัฐอเมริกาค่อนข้างมีเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง วอร์เรน บุฟเฟต์แทบจะไม่มาพูดถึงผลกระทบดังกล่าวเลย
ช่วงก่อนวันที่ 19 กันยา ผมอยากจะบอกว่าเพราะลางสังหรณ์หรือ เพราะได้อ่านกระทู้ของพี่เจ๋งก็ไม่รู้ ผมตัดสินใจขายหุ้นทิ้งไปทั้งพอร์ตเลยครับ
แล้วมาเริ่มต้นซื้อใหม่อีกที
จากที่ติดตามบทความอาจารย์นิเวศน์ อาจารย์ก็จะถือหุ้นไว้ประมาณแค่สามปี แล้วค่อยตัดสินใจขาย
นอกจากนี้ อีกสิ่งที่ผมทำก็คือ มองในเรืองการเก็งกำไรไว้คู่กันกับ VI บ้าง เช่นหุ้นตัวไหนที่ร้อนแรงมากๆ เราก็แบ่งเงินจากในพอร์ท ไปซื้อไว้เพื่อเป็นการเพิ่มเปอร์เซนต์มูลค่าไว้บ้างไม่ดีกว่าหรือ แทนที่จะให้มันคงที่แบบStatic อยู่อย่างนั้น แต่ว่ามาทำให้มันเพิ่มมูลค่าสัก สิบยี่สิบเปอร์เซนต์ในช่วงเดือนสองเดือน
ใครเห็นเป็นไงบ้างครับ
รู้สึกดีๆ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1256
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ข้อเสียของ VI
โพสต์ที่ 3
แล้วจะมั่นใจได้อย่างไรครับ ว่าจะได้กำไร ไม่ใช่ขาดทุนลูกไม่ท้อ เขียน: นอกจากนี้ อีกสิ่งที่ผมทำก็คือ มองในเรืองการเก็งกำไรไว้คู่กันกับ VI บ้าง เช่นหุ้นตัวไหนที่ร้อนแรงมากๆ เราก็แบ่งเงินจากในพอร์ท ไปซื้อไว้เพื่อเป็นการเพิ่มเปอร์เซนต์มูลค่าไว้บ้างไม่ดีกว่าหรือ แทนที่จะให้มันคงที่แบบStatic อยู่อย่างนั้น แต่ว่ามาทำให้มันเพิ่มมูลค่าสัก สิบยี่สิบเปอร์เซนต์ในช่วงเดือนสองเดือน
ใครเห็นเป็นไงบ้างครับ

"Price is what you pay. Value is what you get."
-
- Verified User
- โพสต์: 421
- ผู้ติดตาม: 0
ข้อเสียของ VI
โพสต์ที่ 4
ผมตอบคุณ Kao ไปทาง PM แล้วนะครับผม
ไม่ได้มีเทคนิคพิเศษอะไรที่เป็นความลับนะครับ แต่ว่าไม่อยากให้มองว่าเอาเรื่องส่วนตัวมาพูดให้มากเกินไปครับ อีกอย่าง เรื่องที่ตอบไปก็แสดงถึงความผิดพลาดมากกว่าด้วย ก็เลยไม่อยากเอามาเปิดเผยอ่าครับ
ไม่ได้มีเทคนิคพิเศษอะไรที่เป็นความลับนะครับ แต่ว่าไม่อยากให้มองว่าเอาเรื่องส่วนตัวมาพูดให้มากเกินไปครับ อีกอย่าง เรื่องที่ตอบไปก็แสดงถึงความผิดพลาดมากกว่าด้วย ก็เลยไม่อยากเอามาเปิดเผยอ่าครับ
รู้สึกดีๆ
- Mon money
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 3134
- ผู้ติดตาม: 0
ข้อเสียของ VI
โพสต์ที่ 5
บ้านเราไม่เหมือนบ้านของบัฟเฟตต์ครับ
สิ่งที่เราเอามาใช้ได้นั้นเป็นหลักการและแนวคิดครับ
ส่วนบริษัทไหนเป็นบริษัทที่ดีจริงๆก็ต้องเก็บเอาไว้นานๆครับ
สิ่งที่เราเอามาใช้ได้นั้นเป็นหลักการและแนวคิดครับ
ส่วนบริษัทไหนเป็นบริษัทที่ดีจริงๆก็ต้องเก็บเอาไว้นานๆครับ
เป็นบุญหนักหนาเหลือเกินที่ได้เกิดมาเป็นคนไทย เป็นคนไทยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชฯ
- naris
- Verified User
- โพสต์: 6726
- ผู้ติดตาม: 0
ข้อเสียของ VI
โพสต์ที่ 6
Eto Demerzel เขียน:พูดถึงเรื่องความอดทนนะครับ
ในฐานะที่เล่นทั้งแนวถือยาวพอควร (3 ปี up)
และถือสั้นๆ (ไม่กี่นาที)
การเล่นหุ้นแบบเก็งกำไร (trading)
ให้ได้กำไรจริงๆ และเป็นระบบ
ต้องใช้ความอดทนมากกว่าเล่นหุ้นแนว vi เยอะมากครับ
เยอะมากจริงๆ
เล่นหุ้นแนววีไอ ผมถือได้ยาวโดยไม่ได้รู้สึกว่าต้องทนอะไร
แต่ตอนเล่นเก็งกำไรนี่ ต้องอดทนไม่ซื้อ และไม่ขายอย่างมาก
ผมไม่เคยเล่นยาวเลยครับ
เพราะเล่นหุ้นยังไม่ถึง3ปีเลยครับ
แต่เรื่องนั้นผมอึดนะพี่อิโต้ 555
ราคาระยะสั้นตามข่าว--ราคาระยะยาวตามผลกำไร
-
- Verified User
- โพสต์: 312
- ผู้ติดตาม: 0
ข้อเสียของ VI
โพสต์ที่ 10
คนมีประสพการณ์น้อยอย่างผม ขอเพียงให้รู้ว่ากำไรของกิจการจะเติบโตเมื่อไร จะอิ่มตัวเมือไร และจะตกต่ำเมื่อไร เพราะอะไร ก็พอแล้ว ส่วนเรื่องจะถือยาวต้องหาให้เจอก่อนว่ามีดีกว่าคู่แข่งยังไง ซึ่งรู้สึกว่ายาก เวลายิ่งยาวนานความไม่แน่นอนยิ่งสูง คู่แข่งใหม่ๆเกิดขึ้นเรื่อยๆ(ก็ในเมื่อทำแล้วรวยคนอื่นก็อยากรวยมั่ง) ตอนแพนแอมเจ้งยังงงว่าเป็นไปได้ไง ทัศนคติตอนนั้นอะไรที่ใหญ่ๆนี่มันน่าจะมั่นคง แต่มารู้ทีหลังว่าคนที่ดูว่ารวยบางทีหนี้เยอะแฮะ ต้องดูเนื้อในด้วย
จำได้สมัยหัดลงทุนใหม่ๆ ซื้อกองทุนตราสารควบคู่กับกองทุนหุ้น ผมเอา NAV ของตราสารรายวันมาคำนวณหาผลตอบแทนจากราคาทุนทุกวันเลย เมื่อเริ่มคงที่และต่อมาก็ดรอปลง ผมก็ขายก่อนเศรษฐกิจเจ้งปี40ประมาณสี่ห้าเดือน เลยรอดมาได้
จำได้สมัยหัดลงทุนใหม่ๆ ซื้อกองทุนตราสารควบคู่กับกองทุนหุ้น ผมเอา NAV ของตราสารรายวันมาคำนวณหาผลตอบแทนจากราคาทุนทุกวันเลย เมื่อเริ่มคงที่และต่อมาก็ดรอปลง ผมก็ขายก่อนเศรษฐกิจเจ้งปี40ประมาณสี่ห้าเดือน เลยรอดมาได้
การทำอะไรแบบเดิมๆเป็นเวลานานๆทำให้ชีวิตเสียหาย
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
ข้อเสียของ VI
โพสต์ที่ 12
ขอเถียงข้อนี้หน่อย2) โอกาสในการลงทุนแนวนี้ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยนัก บางครั้งนักลงทุนปล่อยให้โอกาสหลุดลอยไปอย่างน่าเสียดาย เพียงเพราะมีคำถามอะไรบางอย่างในบริษัทนั้น เช่นอาจสงสัยในงบการเงิน ในผู้บริหาร หรือ อะไรก็ตามที่นึกขึ้นได้ แต่แล้วมันก็เป็นแค่เรื่องชั่วคราว เพราะสิ่งที่นักลงทุนสงสัยนั้นไม่ได้เกิดขึ้นจริง เช่น ผู้บริหารบริษัทอาจดูน่าสงสัยในเรื่องของการขายหุ้นบริษัทออกมาในตลาดเป็นจำนวนมาก นักลงทุนอาจคิดว่าบริษัทนั้นกำลังประสบกับปัญหา ทำให้ผู้บริหารที่รู้เรื่องก่อนขายหุ้นออกมา แต่ในความเป็นจริง ผู้บริหารอาจขายหุ้นออกมาเพื่อต้องการนำเงินไปใช้จ่ายตามปกติ นักลงทุนที่สงสัยในประเด็นดังกล่าวอาจพลาดโอกาสในการลงทุนบริษัทนั้นไป เมื่อทุกอย่างคลี่คลายหรือข้อมูลชัดเจนขึ้น ราคาหุ้นก็ขึ้นมาอยู่ในระดับที่สูงเกินไปเสียแล้ว
มันผิดกับภาพของด้านบริหารทรัพยากรบุคคล
เนื่องจากผู้บริหารระดับสูงกับบริษัท มหาชนทั้งหลาย
พวกเขาต้องมีความทะเยอทะยานในการงานพร้อมทั้งการเติบโตของตัวเอง จึงเกิดการให้ซื้อESOPที่ผู้ถือหุ้นส่วนใหญ่ไม่ชอบ แต่เป็นการดีที่ให้พวกผู้บริหารได้ใช้ความทะเยอทะยานได้อย่างถูกต้อง
จุดนี้ถ้าผู้บริหารขายหุ้นไป อาจจะมีมีการเปลี่ยนแปลงในตัวคณะผู้บริหาร หรือ อาจจะมีข้อมูลอะไรบ้างอย่างที่เขามองออกก่อนเราก็เป็นไรได้
ถึงจุดนี้อาจจะมองเป็นในแง่ร้ายไปหน่อย
แต่มองแง่ร้ายไว้ก่อน เพื่อที่ทำanalysisทั้งหมด
จะดีกว่าไหม
แตกต่อไปอีก ถ้ายิ่งเป็นบริษัทแบบข้ามาคนเดียวแล้วขายภาพมันจะยิ่งแย่เข้าไปกันใหญ่หรือเปล่าครับ
caseพวกนี้น่าจะมีคนเก็บสถิติแล้วจะมาเถียงกันดีกว่า
ว่าcaseอะไรเกิดบ่อยกว่ากัน

