"โจวจวง" 周庄 The backward cit

เชิญมาพักผ่อน คลายร้อนนั่งเล่น คุยกันเย็นๆ พร้อมเรื่องกีฬา สัพเพเหระ ทัศนะนานา ชีวิตชีวา สุขภาพทั่วไป บันเทิงขำขัน รอบเรื่องเมืองไทย ชวนเที่ยวที่ไหน อยากไปก็นัดมา ...โย่วๆ

โพสต์ โพสต์
ดร.โหน่ง
Verified User
โพสต์: 877
ผู้ติดตาม: 0

"โจวจวง" 周庄 The backward cit

โพสต์ที่ 1

โพสต์

รูปภาพ

                       "โจวจวง"


         โจวจวง เป็นหมู่บ้านเล็กๆ อยู่ไม่ไกลจากเซี่ยงไฮ้ เสน่ห์ของโจวจวงอยู่ที่มีคลองหลายๆสายตัดผ่านหมู่บ้าน วิถีชีวิตแบบดั้งเดิม ธรรมชาติที่งดงามควรแก่การท่องเที่ยวยิ่งนัก

         โจวจวง ได้รับสมญานามว่า "ยอดหมู่บ้านกลางน้ำแห่งเจียงหนาน" ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของมณฑลเจียงซู ในเขตเมืองคุนซาน ห่างจากเมืองซูโจว ประมาณ 30 กว่ากิโลเมตรและอยู่ห่างจากนคร เซี่ยงไฮ้ราว 2 ชั่วโมง
รูปภาพ



          คนที่คุ้นเคยกับการใช้ชีวิตในเมืองใหญ่จินตนาการได้ยากว่า การเดินไปบนถนนหินและสะพานโค้งที่ทอดข้ามลำคลอง เข้าโน่น ออกนี่ เต็มไปด้วยกลิ่นอายที่สะอาดบริสุทธิ์ของชนบท เป็นความสำราญทางสายตาและจิตใจที่ยากจะพบเจอในเมืองใหญ่ คุณโจวอิน นักท่องเที่ยวจากปักกิ่งกล่าวว่า มันเป็นกลิ่นอายที่เย็น สบายและสดชื่น

        โจวจวง เหมือนเป็นมิตรเก่าที่ไม่ได้พบ ตั้งนาน พอเจอกันอีก ก็ยังสนิทเหมือนเดิม ไม่มีความรู้สึกเป็นคนแปลกหน้าเลย อยู่โจวจวง คุณจะลืมความกังวลและความกลุ้มใจทุกอย่างให้หมดสิ้นไปได้ เหลือแต่ความสุข ความสบายใจเท่านั้น
รูปภาพ

         นักท่องเที่ยวที่เคยไปโจวจวงล้วนมีความรู้สึกสงสัยว่า หมู่บ้านเล็กๆแห่งนี้มีเสน่ห์อะไรบ้าง ที่ทำให้นักท่องเที่ยวทั้งหลายเคลิบเคลิ้มไม่ยอมกลับ

                   ตามข้อมูลที่บันทึกไว้ โจวจวง เป็นหมู่บ้านเล็กๆ เดิมมีชื่อว่า เจินเฟิงหลี่ มีพื้นที่เพียง 0.4 ตารางกิโลเมตรเท่านั้น เมื่อย้อนหลังไปถึง ค.ศ. 1086 ในยุคซ่งเหนือ มีพุทธศาสนิกชนผู้หนึ่งนาม โจวตี๋กง ได้บริจาคที่ดินขนาด 13,000 ตารางเมตร เพื่อสร้างวัดเฉวียนฝู ในเวลาต่อมา ด้วยบุญกุศลดังกล่าว แซ่ของ โจวตี๋กง ก็ได้รับการรำลึก และได้รับเกียรติถูกนำมาตั้งเป็นชื่อ โจวจวง ในปัจจุบัน

รูปภาพ

         โจวจวงเป็นหมู่บ้านกลางน้ำ เสมือนหนึ่งดอกบัวลอยอยู่บนผิวน้ำ มีลำคลองสองสายไหลจากตะวันตกถึงตะวันออกและทิศเหนือถึงทิศใต้ตัดแบ่งพื้นที่เป็นหลา่ยแปลง ลำคลองจึงเสมือนหนึ่งโครงกระดูกของโจวจวง ร้านค้าและบ้านเรือนทั่วไปต่างสร้างขึ้นริมน้ำ ใต้หลังคามีลำคลอง และออกจากบ้านก็เห็นน้ำ มีสะพานหินรูปแบบต่างๆเชื่อมร้านค้า ถนนหนทางและบ้านเรือนอย่าง พอเหมาะพอเจาะ สะท้อนภาพเขียนและกลอนของจีนในสมัย โบราณที่ เขียนไว้ว่า สะพานเล็ก ลำคลองและบ้านเรือน แม้ดูเรียบง่าย แต่เต็มไปด้วยลีลาโบราณ

         เล่ากันว่า โจวจวง เคยมีสะพานหินรูปแบบต่างๆ 30 แห่ง ปัจจุบัน มีเหลือเพียง 13 แห่ง บ้านเรือนส่วนใหญ่ในโจวจวงสร้างขึ้นในสมัย ราชวงศ์หมิง และราชวงศ์ชิง แม้กาลเวลาผ่านไป 1,000 ปีแล้ว แต่ยังคงอนุรักษ์ไว้ซึ่งสภาพเดิมเป็นอย่างดีจวบจนปัจจุบัน
รูปภาพ


         เมื่อกล่าวถึงบ้านของชาวจีนตอนใต้ในสมัยหมิงและชิงแห่ง โจวจวง คงต้องกล่าวถึง " เสิ่นทิง"หรือ "บ้านเจ้าสัวเสิ่น" บ้านเจ้าสัวเสิ่นอยู่ใกล้ๆกับ สะพานฟู่อัน ภายในเขตโจวจวง เป็นบ้านที่สร้างขึ้นตั้งแต่ ค.ศ. 1742 ในสมัยราชวงศ์ชิง

รูปภาพ


         เสิ่นทิง ใหญ่โตมาก โดยแบ่งเป็น 7 ส่วน มีห้องน้อยใหญ่ถึง 100 ห้อง โดยมีพื้นที่รวมกันมากกว่า 2,000 ตารางเมตร หน้าบ้านนั้นมีท่าเรือ ส่วนตัวไว้สำหรับเจ้าของบ้านลงเรือหรือขนถ่ายสินค้า

         ในหมู่บ้านกลางน้ำอย่างโจวจวง เรือก็นับเป็นยานพาหนะที่ สะดวกที่สุด คุณจางฝัน มัคคุเทศก์ท้องถิ่นบอกเราว่า เพื่อเทียบเรือ บ้านเรือนเกือบทุกบ้านล้วนมีท่าเทียบเรือของตน

โจวจวงมีฉากทัศนียภาพฉากหนึ่งที่เรียกว่า เรือทะลุบ้าน ซึ่งก็หมายถึง กลางลานบ้านของตระกูลจางมีลำคลองสายหนึ่งไหล ผ่าน จึงได้สร้างสระน้ำที่มีเนื้อที่ 11 ตารางเมตร ในสมัยนั้น บ้านตระกูลจางนี้ก็ขึ้นลงเรือหรือขนถ่ายสินค้าในสระน้ำแห่งนี้

         การนั่งเรือแจวชมวิวเห็นจะเป็นรายการ ที่พลาดไม่ได้ ได้เห็นหญิงสาวชาวบ้านในชุดย้อนยุคแจวเรืออย่างช้าๆ แล้วเข้าถ้ำนี้ออกถ้ำนั้นสนุกครึกครื้นยิ่งนักทุกครั้งที่ทะลุถ้ำสะพานหิน แห่งหนึ่ง ก็จะปรากฏทัศนียภาพฉากหนึ่ง เมื่อเลี้ยวไปโค้งหนึ่ง ภาพโจงจวงที่ท่านเห็นก็จะเปลี่ยนไปภาพแล้วภาพเล่า บ้านกำแพง ขาวปลอดหลังคาสีดำสนิทกับถนนหินเรียบ ลำคลองสายเล็กอันขนัด ไปด้วยเรือแจว ต้นหลิว และสะพานโค้ง ภาพลักษณ์ดังกล่าวเป็นเสน่ห์อันบริสุทธิ์ของโจวจวงที่คงทนอยู่มา นานหลายร้อยปี

รูปภาพ



         โจวจวงไม่เพียงแต่มีสถานที่ให้เราชมเป็นบุญตาเท่านั้น หากยังมีสถานที่ใ้ห้ชิมเป็นลาภปากด้วยนะครับ มีอาหาร อย่างหนึ่งที่พลาดไม่ได้คือ ขาหมูที่ชื่อว่า "ว่านซานถี" เป็นอาหารเลื่องลือของที่นี่ ส่วนรสชาติจะเป็นอย่างไรนั้น ต้องให้ท่านไป ชิมเอง รับรองว่า รสชาติเอร็ดอร่อยจนไม่มีวันลืม

         โจวจวง แม้เป็นหมู่บ้านเล็กๆ แต่อาคารบ้านเรือน หรือ สิ่งแวดล้อม วิถีชีวิตของชาวเรือและพ่อค้าแม่ขายชาวโจวจวงก็เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ เรียบๆของหมู่บ้านเล็กกลางน้ำซึ่งได้ส่องประกายเหนือกว่าเมืองใหญ่ แห่งอื่นๆและจะจารึกในความทรงจำของผู้ที่เคยไปเที่ยวนะครับ

รูปภาพ


        เอามาฝากครับ  :lol:
ดร.โหน่ง
Verified User
โพสต์: 877
ผู้ติดตาม: 0

"โจวจวง" 周庄 The backward cit

โพสต์ที่ 2

โพสต์

^O-O^
  周庄 โจงจวง สมกับเป็น the backward city ตามแบบฉบับที่ผมชอบจริงๆ ปีใหม่ได้ไปแล้วครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
por_jai
Verified User
โพสต์: 14338
ผู้ติดตาม: 0

"โจวจวง" 周庄 The backward cit

โพสต์ที่ 3

โพสต์

8) รูปแรกเหมือนวิวเลียบคลองมหาพฤฒาราม
    เมื่อมองจากสพาน"นี้จงสวัสดี" (หน้าโรงเรียนสตรี มพ.)
    ไปทางหัวลำโพง
    สมัยเมื่อ40ปีที่แล้ว มั่กๆเลยครับ
    คลองนี้เชื่อมตรงกับเจ้าพระยาแล้วอยู่ในระดับต้นๆด้วย
    สมัยก่อนสอาดมากครับ แบบลงเล่นน้ำได้เลย

    สพานนี้จงสวัสดี เมื่อก่อนเขาต้องยกให้สูงนะครับ
    เพื่อให้เรือลอดได้ ไปทางคลองผดุงกรุงเกษม
    ทีนี้เนื่องจากคลองมันเล็กแคบ สพานมันก็เลยชันมาก
    บ้านที่อยู่ตรงกับทางลงของสพานไม่มีใครกล้าอยู่
    ติดโฮ้วกาเกี่ยม กี่แผ่นก็กันไม่อยู่
    วันดีคืนร้าย รถลงจากสพานเลี้ยวไม่ทัน
    ก็พุ่งเข้าไปตรงๆอย่างนั้นเลย
    รถเก๋งก็ยังดี บางทีเป็นรถเมล์สิครับ อูย จะเหลือเหรอครับ
    ทุกวันนี้สพานนี้ถูกกำราบไปแล้วครับ
    มีการทำใหม่ราบติดกับถนนแล้ว
    ไม่เหลือวี่แวว แห่งความน่ากลัวเหมือนในอดีต
   
    บ้านเมืองที่สพานสวยอีกแห่งแต่คนละแนวกับเมืองจีน
    คือแถบยุโรปครับ
    พวกนี้แม่น้ำหลักของเขาไม่กว้างใหญ่เหมือนเจ้าพระยา
    แม่น้ำแคบๆ ฮ่าๆ สร้างสพานให้สวยได้ง่ายครับ
    บางคนไปเที่ยวปารีสมา
    มาบ่นว่าทำไมเมืองไทยเอาชองเอลีเซ่มาทำไมไม่เอา
    สพานสวยๆมาด้วย
    เหตุผลนี้พี่วาณิช จรุงกิจอนันต์เขียนให้อ่านในหนังสือ
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
ภาพประจำตัวสมาชิก
por_jai
Verified User
โพสต์: 14338
ผู้ติดตาม: 0

"โจวจวง" 周庄 The backward cit

โพสต์ที่ 4

โพสต์

8) รูปนี้ครับ ขอโทษที ไม่ใช่รูปแรก
    เหมือนแบบ90กว่า%เลยครับ

รูปภาพ
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
ภาพประจำตัวสมาชิก
por_jai
Verified User
โพสต์: 14338
ผู้ติดตาม: 0

"โจวจวง" 周庄 The backward cit

โพสต์ที่ 5

โพสต์

[quote="ba_2l"]
ไปนั่งรอใครหลังเลิกเรียนครับ
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
Capo
Verified User
โพสต์: 1067
ผู้ติดตาม: 0

"โจวจวง" 周庄 The backward cit

โพสต์ที่ 6

โพสต์

[quote="por_jai"]8) รูปแรกเหมือนวิวเลียบคลองมหาพฤฒาราม
... จุดเริ่มต้นของคนเราไม่สำคัญ

มันสำคัญที่ว่าเขาวิ่งได้เร็วแค่ไหนตะหาก ...
ดร.โหน่ง
Verified User
โพสต์: 877
ผู้ติดตาม: 0

"โจวจวง" 周庄 The backward cit

โพสต์ที่ 7

โพสต์

ที่โบ๊เบ๊ตอนเด็กๆทันเห็นก๋วยเตี่ยวเรือในคลองผดุง เห็นขายผลไม้ ผายเรือในคลองเล่น ว่ายเกาะเรือ เก็บแตงโมลอยน้ำ คิดถึงวัยเด็กริมคลองจริงๆครับ
ดร.โหน่ง
Verified User
โพสต์: 877
ผู้ติดตาม: 0

"โจวจวง" 周庄 The backward cit

โพสต์ที่ 8

โพสต์

ba_2l เขียน:
ผายเรือหรือผายลมเล่นในคลองครับ
ดร.โหน่ง
Verified User
โพสต์: 877
ผู้ติดตาม: 0

"โจวจวง" 周庄 The backward cit

โพสต์ที่ 9

โพสต์

ผมรุ่น 102 ครับ ประสงค์ พันสวัสดิ์ เป็นเพื่อนรุ่นเดียวกับผมครับ ดีใจครับ :lol:
คนเรือ VI
Verified User
โพสต์: 1647
ผู้ติดตาม: 0

"โจวจวง" 周庄 The backward cit

โพสต์ที่ 10

โพสต์

ลูกแม่รำเพยนี่โรงเรียนอะไรครับ
ดร.โหน่ง
Verified User
โพสต์: 877
ผู้ติดตาม: 0

"โจวจวง" 周庄 The backward cit

โพสต์ที่ 11

โพสต์

โรงเรียนเทพศิรินทร์ครับ
ขออนุญาตนำประวัติโรงเรียนมาโพสครับ บางอย่างก็พึ่งทราบเหมือนกันครับ  :lol:

   
รูปภาพ

                   ตึก แม้นนฤมิตร


โรงเรียนเทพศิรินทร์ (ชื่อภาษาอังกฤษ: Debsirin School) เป็นโรงเรียนรัฐบาลสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ ตั้งอยู่เลขที่ 1466 ถนนกรุงเกษม แขวงวัดเทพศิรินทราวาส เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพมหานคร โรงเรียนเทพศิรินทร์เป็นโรงเรียนมัธยมชาย ซึ่งได้ก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2428 ตามพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5. ปัจจุบันนี้ได้เป็นหนี่งในโรงเรียนในเครือจตุรมิตรซึ่งประกอบด้วย โรงเรียนอัสสัมชัญ โรงเรียนเทพศิรินทร์ โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย และกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย

รูปภาพ


ประวัติโรงเรียน
ในปี พ.ศ. 2419 องค์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระชนมายุครบเบญจเพส จึงทรงมีพระราชดำริที่จะสร้างพระอารามเพื่อทรงอุทิศพระราชกุศลถวายสนองพระเดชคุณแด่องค์พระราชชนนี คือ สมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาวัดเทพศิรินทราวาสขึ้น
โรงเรียนเทพศิรินทร์ ได้รับการสถาปนาจาก องค์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2428 ด้วยพระราชปรารภที่จะทำนุบำรุงการศึกษาเล่าเรียนให้เจริญแพร่หลายขึ้นโดยรวดเร็วจึงทรงมีพระบรมราชโองการให้จัดการศึกษาสำหรับราษฎรขึ้น โดยพระเจ้าน้องยาเธอพระองค์เจ้าดิศวรกุมาร(กรมพระยาดำรงราชานุภาพ) ได้จัดตั้งโรงเรียนปริยัติธรรมบาลี ขึ้นภายใน วัดเทพศิรินทราวาส โดย ในช่วงแรกของการจัดตั้งโรงเรียนนั้น โรงเรียนเทพศิรินทร์ได้อาศัยศาลาการเปรียญภายในวัดเทพศิรินทราวาสเป็นที่ทำการเรียนการสอน
ครั้นถึง พ.ศ. 2438 สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ ได้ทรงดำริที่จะสร้างตึกเรียนสำหรับวัดเทพศิรินทราวาสขึ้น เพื่ออุทิศพระกุศล สนองพระเดชพระคุณแห่งองค์สมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี พระชนนี และเพื่ออุทิศพระกุศลแก่ หม่อมแม้น ภาณุพันธุ์ ณ อยุธยา ชายาของพระองค์ ตึกเรียนหลังแรกนี้ได้รับการออกแบบให้มีศิลปะเป็นแบบโกธิคซึ่งถือว่าเป็นอาคารศิลปะโกธิคยุคแรกในประเทศไทยโดยสมเด็จพระเจ้าวรวงศ์เธอเจ้าฟ้านริศรานุวัดติวงศ์เป็นผู้ออกแบบ และในการนี้ พระยาโชฏึกราชเศรษฐี ได้บริจาคทุนทรัพย์เพื่อสร้างตึกเรียนขึ้นด้านข้างของตึกเรียนหลังแรกอีกด้วย


รูปภาพ


ประวัติการสร้างตึกและอาคารเรียน
ปี พ.ศ. 2445 ตึกเรียนหลังแรกของโรงเรียนได้สร้างเสร็จและได้ทำพิธีเปิดการเรียนการสอนในวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2445 ด้วยพระมหากรุณาธิคุณแห่งองค์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานนามตึกเรียนหลังนี้ว่า ตึกแม้นนฤมิตร์ และ ได้พระราชทานนามโรงเรียนว่า "เทพศิรินทร์" อีกทั้งยังทรงมีพระราชดำริให้ย้ายโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย มายังตึกแม้นนฤมิตรอีกด้วย เพื่อรอการก่อสร้างตึกเรียนที่โรงเรียนนั้น
ตึกเรียนหลังที่สามของโรงเรียนเทพศิรินทร์นั้นเกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2453 องค์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชทานทรัพย์ซึ่งเป็นมรดกของสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้าหญิงเยาวมาลย์นฤมล กรมขุนสวรรคโลกลักษณวดี ให้กระทรวงศึกษาธิการทำการจัดสร้างตึกขึ้นด้านตรงกันข้ามของตึกแม้นนฤมิตร โดยตึกเรียนหลังนี้ยังคงศิลปะโกธิค ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของโรงเรียนเทพศิรินทร์ อาคารเรียนหลังนี้สร้างเสร็จในปีถัดมา พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทรงพระราชทานนามว่าเยาวมาลย์อุทิศ สำหรับเครื่องครุภัณฑ์ต่างๆในอาคารนั้น สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ายุคลทิฆัมพร กรมหลวงลพบุรีราเมศวร์ ทรงเป็นผู้ติดต่อให้พระเจ้าน้องนางเธอเจ้าฟ้ามาลินีนพดาราและพระเจ้าน้องนางเธอเจ้าฟ้านิภานภดล ได้ทรงร่วมกันบริจาค


รูปภาพ

ปี พ.ศ. 2474 โรงเรียนเทพศิรินทร์ได้เปิดใช้อาคารเรียนอีกหลังหนึ่งคือตึกปิยราชบพิตรปดิวรัดา ตึกนี้เกิดขึ้นจากที่นายพลเอกสมเด็จพระเจ้าวรวงศ์เธอเจ้าฟ้ายุคลทิฆัมพร กรมหลวงลพบุรีราเมศวร์ ได้ทรงให้สร้างขึ้น เพื่อเป็นการอุทิศพระกุศลถวาย แด่พระอรรคชายาเธอพระองค์เจ้าสายสวลีภิรมย์ พระวิมาดาเธอ กรมพระสุทธาสินีนาฎปิยมหาราชปดิวรัดา พระมารดาของ พระองค์ ตึกเรียนอยู่ติดกันกับตึกเยาวมาลย์อุทิศ โดยตึกหลังนี้ก็ยังคงไว้ซึ่งศิลปะโกธิค ในปี พ.ศ. 2475 โรงเรียนเทพศิรินทร์ ได้รับเกียรติยศอันสูงสุดที่มีพระองค์เจ้าเล็กๆ พระองค์หนึ่งมาทรงเข้ารับการศึกษา หลังจากนั้นอีกเพียง 2 ปี พระองค์เจ้าอานันทมหิดลก็ได้เสด็จเถลิงถวัลย์ครองสิริราชสมบัติ เป็นพระมหากษัตริย์ องค์ที่ 8 แห่งราชวงศ์xxx พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ทรงมีความผูกพันกับ โรงเรียนเทพศิรินทร์มาโดยตลอด ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณล้นเกล้าล้นกระหม่อมแก่ โรงเรียนเทพศิรินทร์ สมาคมนักเรียนเก่าฯ ตลอดจนมวลหมู่ลูกแม่รำเพยทุกคน
ด้วยเหตุที่โรงเรียนเทพศิรินทร์ตั้งอยู่ใกล้สถานีรถไฟนั้น เป็นเหตุให้โรงเรียนไม่สามารถหนีจากหายนะของสงครามนี้ได้ โดยเมื่อวันที่ 10 กรกฏาคม พ.ศ. 2488 ตึกแม้นนฤมิตร์ และ ตึกโชฎึกเลาหเศรษฐี ตึกเรียนสองหลังแรกของโรงเรียนได้รับภัยทางอากาศจากการทิ้งระเบิดทำให้ไม่สามารถใช้ทำการเรียนการสอนได้อีกตลอดทั้งอาคารเรียนอีกหลายๆหลังก็ได้รับความเสียหายพอสมควร จากการที่แหล่งรวมจิตใจของชาวเทพศิรินทร์ได้ถูกภัยสงคราม ทางกระทรวงศึกษาธิการ วัดเทพศิรินทราวาส ตลอดถึงสมาคมนักเรียนเก่าฯ ได้ร่วมกันสร้างอาคารหลังใหม่ขึ้นมาทดแทนโดยคงศิลปะโกธิคอยู่เช่นเดิม อาคารหลังใหม่นี้ได้รับการขนานนามว่า ตึกแม้นศึกษาสถาน
รูปภาพ



โรงเรียนเทพศิรินทร์ ได้มีการพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว จึงเป็นเหตุให้ต้องมีการขยายห้องเรียนขึ้น จนในปี พ.ศ. 2513 ทางโรงเรียนได้ร่วมกับสมาคมนักเรียนเก่าฯ ขออนุญาตทางวัดเทพศิรินทราวาส ใช้อาคารของทางวัดหลังหนึ่งเพื่อเป็นที่ทำการเรียนการสอนอาคารนั้นมีชื่อว่า ตึกนิภานภดล โดยอาคารนี้สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้าหญิงนิภานภดล กรมขุนอู่ทองเขตรขัตติยนารี ได้สร้างขึ้นถวายแก่วัดเทพศิรินทราวาส เพื่อเป็นโรงเรียนพระปริยัติธรรม สำหรับพระภิกษุสามเณร
แต่ด้วยการพัฒนาโรงเรียนไปอย่างรวดเร็วมาก ทำให้จำนวนห้องเรียนไม่เพียงพอ จึงทำให้ต้องมีการสร้างตึกเรียนขึ้นมาใหม่ ทำให้ทางโรงเรียนต้องมีการรื้อถอนตึกเรียนเดิม 2 หลังคือ ตึกเยาวมาลย์อุทิศ และ ตึกปิยราชบพิตรปดิวรัดา สำหรับตึกใหม่ที่สร้างขึ้นทดแทนเป็นอาคารเรียน 6 ชั้น และได้ใช้ชื่อว่า ตึกเยาวมาลย์อุทิศปิยราชบพิตรปดิวรัดา ตามตึกเรียนสองหลังเดิม
โรงเรียนเทพศิรินทร์ ได้เติบโตขึ้นเป็นลำดับจำนวนนักเรียนมากขึ้นทุกปี จึงได้มีการสร้างอาคารเรียนเพิ่มเติมอีกคือ อาคาร ๑๐๐ ปี เทพศิรินทร์ อาคารรัชมังคลาภิเษก 2531 และ อาคารเทิดพระเกียรติ

รูปภาพ
Dech
Verified User
โพสต์: 4596
ผู้ติดตาม: 0

"โจวจวง" 周庄 The backward cit

โพสต์ที่ 12

โพสต์

รู้สึกว่าคนใน web เรา นับไปนับมา รวมนับญาติกันได้หมดนะเนี้ย  :lol:  :lol:

ว่าแต่....โจวจวง...เห็นแล้วอยากไปมากเลยครับ ต้องไปให้ได้สักครั้งก่อนตาย

ในรูปน่าจะเป็นช่วงใบไม้ผลินะครับ แล้วช่วงหนาวๆจะเป็นยังไงครับน่าไปหรือเปล่าครับ
สีลํ พลํ อปฺปฏิมํ สีลํ อาวุธมุตฺตมํ
สีลํ อาภรณํ เสฏฺฐํ สีลํ กวจมพฺภุตํ
ศีลเป็นกำลังไม่มีที่เปรียบ ศีลเป็นอาวุธสูงสุด
ศีลเป็นเครื่องประดับอย่างประเสริฐสุด ศีลเป็นเกราะอย่างอัศจรรย์
ปุย
Verified User
โพสต์: 2032
ผู้ติดตาม: 0

"โจวจวง" 周庄 The backward cit

โพสต์ที่ 13

โพสต์

ที่นี่ ใช่เมือง ในฉากจบ ของ MI-3 หรือเปล่าครับ
โพสต์โพสต์