ผู้ส่งออกโวยวายอีกแล้ว
-
- Verified User
- โพสต์: 1301
- ผู้ติดตาม: 0
ผู้ส่งออกโวยวายอีกแล้ว
โพสต์ที่ 31
ถามเป็นความรู้
แล้วทำไมแร้งไม่ไปหากินประเทศอื่นด้วย มีอะไรที่ต่างกัน
แล้วทำไมแร้งไม่ไปหากินประเทศอื่นด้วย มีอะไรที่ต่างกัน
- สามัญชน
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 5162
- ผู้ติดตาม: 0
ผู้ส่งออกโวยวายอีกแล้ว
โพสต์ที่ 32
ประเทศที่เอะอะก็จะลดค่าเงินตัวเอง เพื่อผู้ส่งออก เพื่อดุลการค้าระยะสั้น เพื่ออย่างโน้นอย่างนี้ เพื่อเหตุผลร้อยแปด เพื่อสารพัดความชอบธรรม แล้วแต่จะยกมาอ้างเป็นครั้งๆไป
เพื่ออะไรก็แล้วแต่ ในระยะยาวแล้วประเทศนั้นจะเดินไปสู่จุดอับ เพราะประเทศนั้นจะมีแต่ธุรกิจที่แข่งขันด้านราคาที่เฟื่องฟู แต่จะไม่เฟื่องฟูแบบถาวร จะต้องคอยประคบประหงมไม่มีวันสิ้นสุด เพราะยืนบนขาตัวเองไม่ได้สักที พบได้มากในประเทศด้อยพัฒนา
วิธีที่ดีกว่าคือ แทรกแซงนิดๆ ตึงนิดๆ หรือให้ค่าเงินแข็งกว่านิดๆ ระยะยาวจะดีกว่า เพราะธุรกิจที่แข่งด้านคุณภาพจะเป็นฝ่ายเฟื่องฟู ระยะยาวไม่จำเป็นต้องโด๊ปไม่ต้องกระตุ้น เพราะเขายืนและเดินได้เอง
เพื่ออะไรก็แล้วแต่ ในระยะยาวแล้วประเทศนั้นจะเดินไปสู่จุดอับ เพราะประเทศนั้นจะมีแต่ธุรกิจที่แข่งขันด้านราคาที่เฟื่องฟู แต่จะไม่เฟื่องฟูแบบถาวร จะต้องคอยประคบประหงมไม่มีวันสิ้นสุด เพราะยืนบนขาตัวเองไม่ได้สักที พบได้มากในประเทศด้อยพัฒนา
วิธีที่ดีกว่าคือ แทรกแซงนิดๆ ตึงนิดๆ หรือให้ค่าเงินแข็งกว่านิดๆ ระยะยาวจะดีกว่า เพราะธุรกิจที่แข่งด้านคุณภาพจะเป็นฝ่ายเฟื่องฟู ระยะยาวไม่จำเป็นต้องโด๊ปไม่ต้องกระตุ้น เพราะเขายืนและเดินได้เอง
ทุกความเห็นย่อมเปลี่ยนไปตามความรู้ การเรียนรู้ย่อมไม่มีจุดสิ้นสุด
- สามัญชน
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 5162
- ผู้ติดตาม: 0
ผู้ส่งออกโวยวายอีกแล้ว
โพสต์ที่ 33
ใครพูดไว้เหรอครับว่าวีไอชอบมาร์เก็ตแค็บต่ำๆ คิดเองตั้งเองหรือเปล่าครับscale ครับ
ทำไมพวกวีไอส่วนมากชอบหากินกับพวกมาร์เก็ตแค้ปต่ำๆ
กองทุนอีแร้งเล่นแบบเก็งกำไร
นักเก็งกำไรต่างหากที่ชอบมาร์เก็ตแค็ปต่ำๆ
ทุกความเห็นย่อมเปลี่ยนไปตามความรู้ การเรียนรู้ย่อมไม่มีจุดสิ้นสุด
- สามัญชน
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 5162
- ผู้ติดตาม: 0
ผู้ส่งออกโวยวายอีกแล้ว
โพสต์ที่ 35
เท่าที่เห็น ปีเตอร์ ลินช์ ชอบสภาพคล่องต่ำๆ ไม่ใช่มาร์เก็ตแค็ปต่ำๆ วีไอชอบหุ้นที่เก่งโตและแกร่ง มาร์เก็ตแคปต่ำๆจะไม่ค่อยแกร่ง ก็อาจจะมีบ้าง แต่มีน้อย
ทุกความเห็นย่อมเปลี่ยนไปตามความรู้ การเรียนรู้ย่อมไม่มีจุดสิ้นสุด
-
- Verified User
- โพสต์: 1301
- ผู้ติดตาม: 0
ผู้ส่งออกโวยวายอีกแล้ว
โพสต์ที่ 37
ไม่ get เท่าไหร่ ประเทศที่เป็นคู่แข่งทางการค้ากับไทย ก็มี scale พอๆกัน ถ้าไม่นับจีนEto Demerzel เขียน: scale ครับ
ทำไมพวกวีไอส่วนมากชอบหากินกับพวกมาร์เก็ตแค้ปต่ำๆ
- สามัญชน
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 5162
- ผู้ติดตาม: 0
ผู้ส่งออกโวยวายอีกแล้ว
โพสต์ที่ 39
jody4003 wrote
ถ้าไม่สามารถให้การศึกษาลูกหลานไทยให้มีความรู้ เพื่อการแข่งขันที่ดีในอนาคต มีแต่กลุ่มใช้แรงงาน และเป็นแรงงานด้อยคุณภาพ ครอบครัวแตกแยกติดยาเสพติด เราก็ไม่มีกำลังคนที่มีคุณภาพในปริมาณที่เพียงพอ
และถ้าคนของเราไม่มีจริยธรรมประจำใจ สุดท้ายไม่ว่าจะรวยแค่ไหนก็จะเป็นต้นกำเนิดของการทุจริค คอรัปชั่นและความไม่โปร่งใสอย่างที่คุณjody4003ว่า ก็เจ๊งอยู่ดี ใช่ไหมครับ
เขียนมายืดยาวต้องการ
แซวและหยอกล้อจั๊กหน่อยน่ะ........ :lol:
เห็นด้วยครับ แต่ผมแย้งคุณjody4003ว่า ใน quote ที่ยกมานี้ไม่ใช่คำตอบสุดท้ายครับถ้าแทรกแซงนิดๆ ตึงนิดๆ แต่กลไกรัฐยังเต็มไปด้วยความไม่โปร่งใส ไม่สามารถจัดหา infrastructure, กฎหมายที่ชัดเจนและมีเสถียรภาพ, ความยุติธรรมให้แก่ผู้ประกอบการที่มุ่งพัฒนาธุรกิจอย่างแท้จริงแล้ว สุดท้ายก็เจ๊งอยู่ดี
ถ้าไม่สามารถให้การศึกษาลูกหลานไทยให้มีความรู้ เพื่อการแข่งขันที่ดีในอนาคต มีแต่กลุ่มใช้แรงงาน และเป็นแรงงานด้อยคุณภาพ ครอบครัวแตกแยกติดยาเสพติด เราก็ไม่มีกำลังคนที่มีคุณภาพในปริมาณที่เพียงพอ
และถ้าคนของเราไม่มีจริยธรรมประจำใจ สุดท้ายไม่ว่าจะรวยแค่ไหนก็จะเป็นต้นกำเนิดของการทุจริค คอรัปชั่นและความไม่โปร่งใสอย่างที่คุณjody4003ว่า ก็เจ๊งอยู่ดี ใช่ไหมครับ
เขียนมายืดยาวต้องการ
แซวและหยอกล้อจั๊กหน่อยน่ะ........ :lol:
ทุกความเห็นย่อมเปลี่ยนไปตามความรู้ การเรียนรู้ย่อมไม่มีจุดสิ้นสุด
- โอ@
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4244
- ผู้ติดตาม: 0
ผู้ส่งออกโวยวายอีกแล้ว
โพสต์ที่ 41
ก่อนอื่นคงต้องตอบตัวเองกันก่อนแหละครับว่าที่มันแข็งขึ้นมาขนาดเนี่ย
เพราะว่าประเทศเราส่งออกเยอะจนกำไรเยอะจริง หรือว่าเพียงแค่มี Hedge fund
มาเก็งกำไร ถ้าเกิดจากการเก็งกำไร การแทรกแซงก็ต้องทำ
ไม่ว่าจะมีคนโวยวายหรือไม่
แต่สุดท้ายยังไงก็ต้องพึ่งความเป็นกลางและความสามารถของ ธนาคารแห่งประเทศไทย
แหละครับว่าจะมองเกมส์นี้ออกขนาดไหน
เพราะว่าประเทศเราส่งออกเยอะจนกำไรเยอะจริง หรือว่าเพียงแค่มี Hedge fund
มาเก็งกำไร ถ้าเกิดจากการเก็งกำไร การแทรกแซงก็ต้องทำ
ไม่ว่าจะมีคนโวยวายหรือไม่
แต่สุดท้ายยังไงก็ต้องพึ่งความเป็นกลางและความสามารถของ ธนาคารแห่งประเทศไทย
แหละครับว่าจะมองเกมส์นี้ออกขนาดไหน
_________
-
- Verified User
- โพสต์: 1155
- ผู้ติดตาม: 0
ผู้ส่งออกโวยวายอีกแล้ว
โพสต์ที่ 42
เท่าที่อ่านดูจริงๆแล้วทุกคนก็เหมือนจะเห็นตรงกันก็คือไม่อยากให้แทรกแซงค่าเงินให้อ่อนลง อย่างที่ผมแสดงความเห็นไปแล้วครับก็คือไม่เห็นด้วยถ้าจะแทรกแซง ถ้าแทรกแซงเพื่อให้ลดความผันผวนได้ก็ดี แต่ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ควรจะปล่อยให้เป็นไปตามกลไกตลาด
แต่ที่ผมพยายามจะเน้นก็คือ
1. การที่ผู้ส่งออกออกมาโวยวายผมถือเป็นเรื่องปกติ ทุกคนที่ประกอบธุรกิจก็ล้วนแต่มุ่งหวังกำไร ล้วนแต่ทำเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองเป็นหลักก่อนทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น ผู้ส่งออก ผู้นำเข้า พ่อค้า ชาวนา คนขายหมูปิ้ง ฯลฯ ผมยอมรับได้ และไม่เห็นว่าจะต้องถูกประนามแต่อย่างใด (พูดง่ายๆคือมันก็เห็นแก่ตัวกันทั้งนั้นแหละ)
2. ผู้ส่งออกไม่ใช่ทุกคนที่ออกมาโวยวาย อาจจะเป็นเฉพาะบางกลุ่มบางคน การทึ่ถูก generalize ผมว่ามันจะไม่แฟร์ ผู้ส่งออกก็มีทั้งดีทั้งไม่ดี เช่นเดียวกับ ผู้นำเข้า ผู้ผลิต คนขายหมูปิ้ง(ผมเป็นอะไรกับคนขายหมูปิ้งฟะ)
3. กำไรของผู้ส่งออกในขณะนี้(เฉพาะที่ผมสัมผัสมานะครับ) อาจจะไม่ได้มากมายอย่างที่หลายคนในนี้คิดอยู่ ไม่ใช่ว่าค้าขายง่ายเหลือเกินกำไรมากมายอะไรอย่างนั้น
สรุป
ผมเฉยๆทั้งนั้นไม่ว่าจะมีมาตรการใดออกมา เราก็ต้องปรับตัวและแข่งขันกันต่อไป
ผมไม่ได้เรียกร้องให้ใครมาเห็นใจผู้ส่งออก ผมเข้าใจว่านี่คือธุรกิจ เราควรจะต้องสร้างตัวเองให้แข็งแรงโดยไม่พึ่งพาใคร ขึ้นอยู่กับความสามารถในการบริหารของแต่ละบริษัท
แต่ที่ผมไม่ชอบคือการ generalization ในการตั้งกระทู้เท่านั้นเอง ยังไงก็ตามผมเคารพความเห็นของคุณฉัตรชัย และทุกท่าน เพียงแต่อยากให้ปรับถ้อยคำบางคำเพื่อให้อ่อนลงบ้างครับ เช่นกระทู้นี้เปลี่ยนเป็น "ไม่เห็นด้วยที่ธปท จะแทรกแซงค่าเงินบาทเพื่อช่วยผู้ส่งออก" อย่างนี้ผมจะยินดีเป็นอย่างยิ่ง และจะเข้ามาเห็นด้วยโดยไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ
อย่างไรมันก็เป็นแค่ความเห็นของผม ไม่จำเป็นต้องทำตาม ทุกท่านมีสิทธิเต็มที่ที่จะแสดงความเห็น อยากจะตั้งกระทู้ จะตอบกระทู้อย่างไร ก็ขึ้นกับวิจารณญาณ ของแต่ละคน
ขอย้ำอีกครั้งครับว่าความคิดเห็นของผมมีอคติเนื่องจากธุรกิจที่บ้านทำทั้ง นำเข้า และส่งออก
แต่ที่ผมพยายามจะเน้นก็คือ
1. การที่ผู้ส่งออกออกมาโวยวายผมถือเป็นเรื่องปกติ ทุกคนที่ประกอบธุรกิจก็ล้วนแต่มุ่งหวังกำไร ล้วนแต่ทำเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองเป็นหลักก่อนทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็น ผู้ส่งออก ผู้นำเข้า พ่อค้า ชาวนา คนขายหมูปิ้ง ฯลฯ ผมยอมรับได้ และไม่เห็นว่าจะต้องถูกประนามแต่อย่างใด (พูดง่ายๆคือมันก็เห็นแก่ตัวกันทั้งนั้นแหละ)
2. ผู้ส่งออกไม่ใช่ทุกคนที่ออกมาโวยวาย อาจจะเป็นเฉพาะบางกลุ่มบางคน การทึ่ถูก generalize ผมว่ามันจะไม่แฟร์ ผู้ส่งออกก็มีทั้งดีทั้งไม่ดี เช่นเดียวกับ ผู้นำเข้า ผู้ผลิต คนขายหมูปิ้ง(ผมเป็นอะไรกับคนขายหมูปิ้งฟะ)
3. กำไรของผู้ส่งออกในขณะนี้(เฉพาะที่ผมสัมผัสมานะครับ) อาจจะไม่ได้มากมายอย่างที่หลายคนในนี้คิดอยู่ ไม่ใช่ว่าค้าขายง่ายเหลือเกินกำไรมากมายอะไรอย่างนั้น
สรุป
ผมเฉยๆทั้งนั้นไม่ว่าจะมีมาตรการใดออกมา เราก็ต้องปรับตัวและแข่งขันกันต่อไป
ผมไม่ได้เรียกร้องให้ใครมาเห็นใจผู้ส่งออก ผมเข้าใจว่านี่คือธุรกิจ เราควรจะต้องสร้างตัวเองให้แข็งแรงโดยไม่พึ่งพาใคร ขึ้นอยู่กับความสามารถในการบริหารของแต่ละบริษัท
แต่ที่ผมไม่ชอบคือการ generalization ในการตั้งกระทู้เท่านั้นเอง ยังไงก็ตามผมเคารพความเห็นของคุณฉัตรชัย และทุกท่าน เพียงแต่อยากให้ปรับถ้อยคำบางคำเพื่อให้อ่อนลงบ้างครับ เช่นกระทู้นี้เปลี่ยนเป็น "ไม่เห็นด้วยที่ธปท จะแทรกแซงค่าเงินบาทเพื่อช่วยผู้ส่งออก" อย่างนี้ผมจะยินดีเป็นอย่างยิ่ง และจะเข้ามาเห็นด้วยโดยไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ
อย่างไรมันก็เป็นแค่ความเห็นของผม ไม่จำเป็นต้องทำตาม ทุกท่านมีสิทธิเต็มที่ที่จะแสดงความเห็น อยากจะตั้งกระทู้ จะตอบกระทู้อย่างไร ก็ขึ้นกับวิจารณญาณ ของแต่ละคน
ขอย้ำอีกครั้งครับว่าความคิดเห็นของผมมีอคติเนื่องจากธุรกิจที่บ้านทำทั้ง นำเข้า และส่งออก
A Cynic Knows the Price of Everything and the Value of Nothing
-Oscar Wilde, Lady Windemeres Fan
-Oscar Wilde, Lady Windemeres Fan
-
- Verified User
- โพสต์: 5786
- ผู้ติดตาม: 0
ผู้ส่งออกโวยวายอีกแล้ว
โพสต์ที่ 43
เห็นด้วยครับเช่นกระทู้นี้เปลี่ยนเป็น "ไม่เห็นด้วยที่ธปท จะแทรกแซงค่าเงินบาทเพื่อช่วยผู้ส่งออก"
ถ้าเป็นการนำเข้า/ส่งออก ในสกุลเงินเหมือนกันและมีสัดส่วนใกล้เคียงกันขอย้ำอีกครั้งครับว่าความคิดเห็นของผมมีอคติเนื่องจากธุรกิจที่บ้านทำทั้ง นำเข้า และส่งออก
Margin ในการทำธุรกิจใกล้เคียงกัน คงป็นการ Natural Hedge และเกือบๆเป็นการ Perfect Hedge
ค่าเงินคงไม่มีผลต่อการทำธุรกิจมากนัก คงไม่มีอคติหรอกครับ
เข้ามากระทู้นี้แล้วได้ความรู้ดีครับ
"Winners never quit, and quitters never win."
- por_jai
- Verified User
- โพสต์: 14338
- ผู้ติดตาม: 0
ผู้ส่งออกโวยวายอีกแล้ว
โพสต์ที่ 44
8) แตกต่างไม่แตกแยกครับ
อ่านแล้วได้ความรู้ครับ
ผมเคยทำงานอยู่โรงกระจกครับ
หลอมกระจกทั้งวันทั้งคืน
ปิดเตาไม่ใช่เรื่องง่ายๆ
เป็นสิบปีจึงจะทำสักครั้ง
ทีนี้มันก็เกิน demand ในประเทศสิครับ
ก็ต้องส่งออกครับ
ขายในประเทศ ได้ฟุตละ30บาท
ส่งออกได้ ฟุตละ6-7บาท
ไม่อยากขายก็ต้องขายครับ
ค่าเงินเท่าไหร่ก็ต้องขายเช่นกันครับ
เมืองไทยนี่ก็แปลกนะครับ
ส่งออกข้าว ไก่แช่ กุ้งแช่
(ตอนผมเด็กๆ ไม้ก็เป็นสินค้าส่งออก ด้วยนาครับ
ตอนตอบข้อสอบ แหม ตอบด้วยความภูมิใจ)
กูรูที่ไหน ก็บอกได้ว่าเหมือนธุรกิจ OEM ธรรมดา
เมื่อไหร่ถูกยึดสิทธิพิเศษทางภาษี
วิ่งกันวุ่นหัวกระแทกกันไปมา
เรามาเน้นที่จุดแข็งของเราดีกว่าครับ
ถ้าเราทำ branding ให้ประเทศไม่ได้ในทางที่เราเด่น
ระยะยาวจีน อินเดีย ตีเราตายหมดครับ
เคยมีกูรูญี่ปุ่นท่านนึงพูดเรื่องทางเลือกของเมืองไทยไว้น่าสนใจ
เขาว่าเราต้องเน้นเรื่องเป็นฮับสุขภาพ ฮับท่องเที่ยว
เขาว่าเฉพาะรับญี่ปุ่นประเทศเดียว
นี่มูลค่าตลาดมากกว่าเป็นสิบๆเท่าของข้าว ของไก่แช่ กุ้งแช่ แล้ว
สังเกตุไหมครับทุกวันนี้
การขายของริมถนนบ้าง แบบเปิดท้ายบ้าง
เกิดขึ้นจนแทบไม่มีช่องว่างแล้วนะครับ
เบียดกันจนหายใจแทบไม่ออก
ระดับล่าง รากหญ้านี่มีชีวิต วันต่อวัน ซะเป็นส่วนใหญ่
โงหัว โงหางไม่ขึ้นเลยครับ
ระดับกลางนี่มองเหมือนสบายนะครับ
มีร้านมีรวงขึ้นมาหน่อย อาจจะมีเงินเก็บมาดาวน์มาผ่อน
แต่ก็ถูกพวกรากหญ้าแย่งชิงทำเลขายที่ใกล้ชิดลูกค้ากว่า
ในกรณีที่ขายสินค้าที่ทดแทนกันได้
เผลอๆแย่กว่าพวกรากหญ้าอีก ในแง่ธุรกิจโดยรวม
ธุรกิจผมอยู่ในตลาดปัฐวิกรณ์ ถนนนวมินทร์
เห็นภาพพวกนี้จนชินตา
พอออกไปเดินย่านอื่น
เอ..มันก็เหมือนกันอย่างกับก๊อปปี้รูปแบบกันมา
ผมว่าเมืองไทยอุตสาหกรรมล่มสลายไปเกือบหมดแล้ว
ที่เหลืออยู่ดังๆเช่นพวกรถยนตร์ รถกระบะ
พอไปอ่านที่ท่านแม่ทัพเขียนไว้ในเวบนี้แล้ว
http://1001ii.wordpress.com/
บอกตรงๆว่า hopeless ครับ ดีทร้อยท์ แห่ง เอเซีย ฮ่า..
บทความนี้ครับ
0009: โรงงานชิ้นส่วนแถวพระราม 2
November 3rd, 2006 by 1001ii
เคยสงสัยมั้ยครับว่าทำไมถนนพระราม 2 (ธนบุรี-ปากท่อ) จึงมีโรงงานประเภทโรงกลึงโรงหล่อชิ้นส่วนอะไหล่ต่างๆ โดยเฉพาะอะไหล่รถยนต์เป็นจำนวนมาก ที่นี่มีโรงงานประเภทนี้มาตั้งอยู่มากจนกลายเป็นย่านคล้ายกับที่ไมเคิล อี.พอร์เตอร์เรียกว่า คลัสเตอร์ เลยทีเดียว
ผมไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่คิดว่าน่าจะเป็นเพราะที่จุดนี้ใช้เวลาเดินทางไปนิคมอุตสาหกรรมที่ชลบุรีกับที่อยุธยาเท่ากันพอดี โรงงานชิ้นส่วนเล็กๆ เหล่านี้รับจ้างผลิตอะไหล่รถยนต์ให้กับโรงงานในนิคมทั้งสองแห่งนี้เป็นจำนวนมาก การตั้งอยู่ที่นี่จะทำให้ส่งของได้เร็วที่สุด บริษัทแรกที่มาตั้งโรงงานแถวนี้ได้เปรียบคู่แข่งเรื่องเวลาในการขนส่ง ทำให้คู่แข่งที่กลัวเสียเปรียบพากันย้ายมาตั้งโรงงานแถวนี้บ้าง สุดท้ายแล้วทุกรายก็ย้ายมาตั้งโรงงานที่นี่กันหมด เลยไม่มีใครเสียเปรียบใครอีกต่อไป แต่ทั้งอุตสาหกรรมก็มีต้นทุนต่ำลงและที่นี่ก็กลายเป็นย่านขึ้นมา
ในการผลิตรถยนต์ เวลาขนส่งเป็นเรื่องสำคัญ เพราะรถยนต์มีส่วนประกอบเป็นหมื่นเป็นแสนชิ้น ถ้า line การผลิตจะต้องมารออะไหล่แค่ชิ้นสองชิ้น จะเสียหายหนัก ระยะทางในการขนส่งจึงเป็นประเด็นสำคัญและทำให้พระราม 2 ซึ่งที่ดินราคาไม่แพงจนเกินไปสำหรับการสร้างโรงงานแต่มีสาธารณปูโภคพร้อมพอสมควรกลายเป็นทำเลที่เหมาะสมสำหรับโรงงานชิ้นส่วนเหล่านี้
เพราะส่วนประกอบของรถยนต์มีมาก โรงงานประกอบรถยนต์จึงติดต่อกับ suppliers เป็นพันๆ รายไม่ไหว supply chain ของอุตสาหกรรมนี้จึงมีการแบ่ง suppliers ออกเป็น tiers กล่าวคือ โรงงานประกอบรถยนต์จะซื้อส่วนประกอบชิ้นใหญ่จาก tier 1 suppliers แค่ไม่กี่รายเท่านั้น โดย tier 1 suppliers เหล่านี้จะประกอบชิ้นส่วนใหญ่ขึ้นมาจากชิ้นส่วนเล็กที่ซื้อมาจาก tier 2 suppliers อีกที ซึ่ง tier2 suppliers ก็จะซื้ออะไหล่เล็กๆ จาก tier 3 suppliers อีกทอดหนึ่ง โรงงานประกอบรถยนต์จึงไม่ต้องปวดหัวมาก เพราะใช้วิธีไล่บี้ suppliers เพียงไม่กี่รายให้ไปไล่บี้ต่อกันเป็นทอดๆ
โรงงานประกอบรถยนต์ส่วนใหญ่เป็นโรงงานญี่ปุ่น ซึ่งเวลาเขามาตั้งโรงงานในไทย เขาจะหอบเอา tier 1 suppliers ของเขาจากญี่ปุ่นมาด้วยเป็นยวง เพราะเขาทำงานกันมานานรู้ใจกันดีว่าบริษัทพวกนี้ทำงานได้มาตรฐาน ดังนั้น tier 1 ในประเทศไทยจึงเป็นบริษัทจากประเทศญี่ปุ่นเป็นส่วนใหญ่ พวกนี้มักตั้งโรงงานอยู่ในนิคมเดียวกันกับลูกค้าเลยและมักเป็นบริษัทใหญ่
ส่วนพวก Tier 2 ก็จะเป็นญี่ปุ่นบ้าง ไทยบ้าง แต่ถ้าเป็นไทยจะต้องเป็นบริษัทใหญ่ๆ เท่านั้น เพราะส่วนใหญ่แล้วจะต้องเป็นโรงงานที่มีมาตรฐานสูงมากเท่านั้นจึงจะเป็น tier 2 ได้ (ต้องมีพวก ISO ฯลฯ) บริหารจัดการแบบคนไม่มีความรู้ไม่ได้
ที่เหลือคือ Tier 3 และ 4 พวกนี้เป็นโรงงานห้องแถวเล็ก ๆ รับจ้างผลิตชิ้นส่วนที่ไม่สำคัญ ไม่ต้องใช้เทคโนโลยีชั้นสูง เน้นราคาถูกเป็นหลัก เจ้าของเป็นคนไทย การศึกษาไม่สูง เป็นธุรกิจครอบครัว โรงงานพวกนี้ก็คือโรงงานชิ้นส่วนแถวพระราม 2 นั้นเอง
โรงงานเหล่านี้เผชิญการแข่งขันสูงมากเนื่องจากเป็นสินค้า low tech มีคนทำได้มาก อำนาจต่อรองกับลูกค้าก็น้อยเนื่องจากลูกค้าเป็นบริษัทใหญ่กว่า ส่วนใหญ่แล้วชิ้นส่วนเหล่านี้ต้องแข่งราคาอย่างเดียวเพราะเป็นชิ้นส่วนมาตรฐานไม่มีความแตกต่าง โรงงานเหล่านี้จึงต้องดำเนินกลยุทธ์ low cost อย่างเดียว ทำยังไงก็ได้ให้ต้นทุนต่ำที่สุดเท่านั้น สาเหตุที่พวก tier 1-2 ไม่ทำของพวกนี้เองเพราะชิ้นส่วนมาตราฐานไม่มีความสำคัญต่อความสามารถในการแข่งขันของบริษัท ถือเป็น non-strategic activities เก็บเงินไว้ลงทุนในเครื่องจักรที่ต้องใช้ know-how ที่สร้างความแตกต่างให้บริษัทได้จะดีกว่า
ต้นทุนค่าแรงของโรงงานแถวพระราม 2 เหล่านี้ไม่ต่างกัน เพราะจ้างคนระดับเดียวกันในระแวกเดียวกันมาทำ ต้นทุนวัตถุดิบก็ไม่ต่างกันเพราะโลหะเป็นวัตถุดิบที่มีราคาตลาดโลกเป็นเกณฑ์ สุดท้ายแล้วพวกนี้จึงแข่งกันที่ต้นทุนเครื่องจักรอย่างเดียว
โรงงานที่ซื้อเครื่องจักรมือหนึ่งจะเสียเปรียบเรื่องต้นทุนเพราะมีราคาแพง โรงงานที่ได้เปรียบกลายเป็นโรงงานที่ซื้อเครื่องจักรมือสองจากไต้หวันเข้ามา เครื่องจักรพวกนี้ราคาจะต่ำกว่าของใหม่มาก แต่มีข้อเสียคือเครื่องติดบ่อย แต่ถ้าเจ้าของดูแลใกล้ชิดตลอด 24 ชั่วโมงก็ไม่มีปัญหา การแข่งขันระหว่างโรงงานที่ใช้เครื่องจักรมือสองด้วยกันจึงอยู่ที่ใครจะทำให้เครื่องเดินต่อเนื่องได้มากที่สุด เพื่อให้ได้ต้นทุนเฉลี่ยต่ำที่สุด โรงงานเหล่านี้จึงมักต้องทำทั้งวันทั้งคืนเพื่อให้ได้เปรียบเรื่องต้นทุนกับคู่แข่ง จะได้ขายราคาต่ำกว่าคู่แข่งได้ ถ้าไม่เดินเครื่องตลอดเวลา เจอคู่แข่งที่เขาเดินเครื่องตลอดเวลาตัดราคาแย่ง order ไปก็จบเห่ ธุรกิจนี้ลำบากจริงๆ งานหนักและกำไรน้อย
ดูๆ ไป การที่ต่างประเทศมาลงทุนสร้างโรงงานรถยนต์ในไทย เราได้ประโยชน์แค่การจ้างงานเท่านั้น เพราะ tier 1 suppliers ยังเป็นบริษัทต่างประเทศอยู่ดี บริษัทคนไทยมีโอกาสทำได้แค่ของมาตรฐานป้อนโรงงานเหล่านี้เท่านั้น ไม่มี technology transfer และ value-added ก็น้อยมากๆ
หมายเหตุ: เรื่องดูแลค่าเงินที่แบ๊งค์ชาตินี่ถามใครก็ได้
ยกเว้นคุณเริงชัย ที่ถูกฟ้องเป็นแพะ
ร้องๆ แบ๊ร ๆๆอยู่ตอนนี้นะครับ
อ่านแล้วได้ความรู้ครับ
ผมเคยทำงานอยู่โรงกระจกครับ
หลอมกระจกทั้งวันทั้งคืน
ปิดเตาไม่ใช่เรื่องง่ายๆ
เป็นสิบปีจึงจะทำสักครั้ง
ทีนี้มันก็เกิน demand ในประเทศสิครับ
ก็ต้องส่งออกครับ
ขายในประเทศ ได้ฟุตละ30บาท
ส่งออกได้ ฟุตละ6-7บาท
ไม่อยากขายก็ต้องขายครับ
ค่าเงินเท่าไหร่ก็ต้องขายเช่นกันครับ
เมืองไทยนี่ก็แปลกนะครับ
ส่งออกข้าว ไก่แช่ กุ้งแช่
(ตอนผมเด็กๆ ไม้ก็เป็นสินค้าส่งออก ด้วยนาครับ
ตอนตอบข้อสอบ แหม ตอบด้วยความภูมิใจ)
กูรูที่ไหน ก็บอกได้ว่าเหมือนธุรกิจ OEM ธรรมดา
เมื่อไหร่ถูกยึดสิทธิพิเศษทางภาษี
วิ่งกันวุ่นหัวกระแทกกันไปมา
เรามาเน้นที่จุดแข็งของเราดีกว่าครับ
ถ้าเราทำ branding ให้ประเทศไม่ได้ในทางที่เราเด่น
ระยะยาวจีน อินเดีย ตีเราตายหมดครับ
เคยมีกูรูญี่ปุ่นท่านนึงพูดเรื่องทางเลือกของเมืองไทยไว้น่าสนใจ
เขาว่าเราต้องเน้นเรื่องเป็นฮับสุขภาพ ฮับท่องเที่ยว
เขาว่าเฉพาะรับญี่ปุ่นประเทศเดียว
นี่มูลค่าตลาดมากกว่าเป็นสิบๆเท่าของข้าว ของไก่แช่ กุ้งแช่ แล้ว
สังเกตุไหมครับทุกวันนี้
การขายของริมถนนบ้าง แบบเปิดท้ายบ้าง
เกิดขึ้นจนแทบไม่มีช่องว่างแล้วนะครับ
เบียดกันจนหายใจแทบไม่ออก
ระดับล่าง รากหญ้านี่มีชีวิต วันต่อวัน ซะเป็นส่วนใหญ่
โงหัว โงหางไม่ขึ้นเลยครับ
ระดับกลางนี่มองเหมือนสบายนะครับ
มีร้านมีรวงขึ้นมาหน่อย อาจจะมีเงินเก็บมาดาวน์มาผ่อน
แต่ก็ถูกพวกรากหญ้าแย่งชิงทำเลขายที่ใกล้ชิดลูกค้ากว่า
ในกรณีที่ขายสินค้าที่ทดแทนกันได้
เผลอๆแย่กว่าพวกรากหญ้าอีก ในแง่ธุรกิจโดยรวม
ธุรกิจผมอยู่ในตลาดปัฐวิกรณ์ ถนนนวมินทร์
เห็นภาพพวกนี้จนชินตา
พอออกไปเดินย่านอื่น
เอ..มันก็เหมือนกันอย่างกับก๊อปปี้รูปแบบกันมา
ผมว่าเมืองไทยอุตสาหกรรมล่มสลายไปเกือบหมดแล้ว
ที่เหลืออยู่ดังๆเช่นพวกรถยนตร์ รถกระบะ
พอไปอ่านที่ท่านแม่ทัพเขียนไว้ในเวบนี้แล้ว
http://1001ii.wordpress.com/
บอกตรงๆว่า hopeless ครับ ดีทร้อยท์ แห่ง เอเซีย ฮ่า..
บทความนี้ครับ
0009: โรงงานชิ้นส่วนแถวพระราม 2
November 3rd, 2006 by 1001ii
เคยสงสัยมั้ยครับว่าทำไมถนนพระราม 2 (ธนบุรี-ปากท่อ) จึงมีโรงงานประเภทโรงกลึงโรงหล่อชิ้นส่วนอะไหล่ต่างๆ โดยเฉพาะอะไหล่รถยนต์เป็นจำนวนมาก ที่นี่มีโรงงานประเภทนี้มาตั้งอยู่มากจนกลายเป็นย่านคล้ายกับที่ไมเคิล อี.พอร์เตอร์เรียกว่า คลัสเตอร์ เลยทีเดียว
ผมไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่คิดว่าน่าจะเป็นเพราะที่จุดนี้ใช้เวลาเดินทางไปนิคมอุตสาหกรรมที่ชลบุรีกับที่อยุธยาเท่ากันพอดี โรงงานชิ้นส่วนเล็กๆ เหล่านี้รับจ้างผลิตอะไหล่รถยนต์ให้กับโรงงานในนิคมทั้งสองแห่งนี้เป็นจำนวนมาก การตั้งอยู่ที่นี่จะทำให้ส่งของได้เร็วที่สุด บริษัทแรกที่มาตั้งโรงงานแถวนี้ได้เปรียบคู่แข่งเรื่องเวลาในการขนส่ง ทำให้คู่แข่งที่กลัวเสียเปรียบพากันย้ายมาตั้งโรงงานแถวนี้บ้าง สุดท้ายแล้วทุกรายก็ย้ายมาตั้งโรงงานที่นี่กันหมด เลยไม่มีใครเสียเปรียบใครอีกต่อไป แต่ทั้งอุตสาหกรรมก็มีต้นทุนต่ำลงและที่นี่ก็กลายเป็นย่านขึ้นมา
ในการผลิตรถยนต์ เวลาขนส่งเป็นเรื่องสำคัญ เพราะรถยนต์มีส่วนประกอบเป็นหมื่นเป็นแสนชิ้น ถ้า line การผลิตจะต้องมารออะไหล่แค่ชิ้นสองชิ้น จะเสียหายหนัก ระยะทางในการขนส่งจึงเป็นประเด็นสำคัญและทำให้พระราม 2 ซึ่งที่ดินราคาไม่แพงจนเกินไปสำหรับการสร้างโรงงานแต่มีสาธารณปูโภคพร้อมพอสมควรกลายเป็นทำเลที่เหมาะสมสำหรับโรงงานชิ้นส่วนเหล่านี้
เพราะส่วนประกอบของรถยนต์มีมาก โรงงานประกอบรถยนต์จึงติดต่อกับ suppliers เป็นพันๆ รายไม่ไหว supply chain ของอุตสาหกรรมนี้จึงมีการแบ่ง suppliers ออกเป็น tiers กล่าวคือ โรงงานประกอบรถยนต์จะซื้อส่วนประกอบชิ้นใหญ่จาก tier 1 suppliers แค่ไม่กี่รายเท่านั้น โดย tier 1 suppliers เหล่านี้จะประกอบชิ้นส่วนใหญ่ขึ้นมาจากชิ้นส่วนเล็กที่ซื้อมาจาก tier 2 suppliers อีกที ซึ่ง tier2 suppliers ก็จะซื้ออะไหล่เล็กๆ จาก tier 3 suppliers อีกทอดหนึ่ง โรงงานประกอบรถยนต์จึงไม่ต้องปวดหัวมาก เพราะใช้วิธีไล่บี้ suppliers เพียงไม่กี่รายให้ไปไล่บี้ต่อกันเป็นทอดๆ
โรงงานประกอบรถยนต์ส่วนใหญ่เป็นโรงงานญี่ปุ่น ซึ่งเวลาเขามาตั้งโรงงานในไทย เขาจะหอบเอา tier 1 suppliers ของเขาจากญี่ปุ่นมาด้วยเป็นยวง เพราะเขาทำงานกันมานานรู้ใจกันดีว่าบริษัทพวกนี้ทำงานได้มาตรฐาน ดังนั้น tier 1 ในประเทศไทยจึงเป็นบริษัทจากประเทศญี่ปุ่นเป็นส่วนใหญ่ พวกนี้มักตั้งโรงงานอยู่ในนิคมเดียวกันกับลูกค้าเลยและมักเป็นบริษัทใหญ่
ส่วนพวก Tier 2 ก็จะเป็นญี่ปุ่นบ้าง ไทยบ้าง แต่ถ้าเป็นไทยจะต้องเป็นบริษัทใหญ่ๆ เท่านั้น เพราะส่วนใหญ่แล้วจะต้องเป็นโรงงานที่มีมาตรฐานสูงมากเท่านั้นจึงจะเป็น tier 2 ได้ (ต้องมีพวก ISO ฯลฯ) บริหารจัดการแบบคนไม่มีความรู้ไม่ได้
ที่เหลือคือ Tier 3 และ 4 พวกนี้เป็นโรงงานห้องแถวเล็ก ๆ รับจ้างผลิตชิ้นส่วนที่ไม่สำคัญ ไม่ต้องใช้เทคโนโลยีชั้นสูง เน้นราคาถูกเป็นหลัก เจ้าของเป็นคนไทย การศึกษาไม่สูง เป็นธุรกิจครอบครัว โรงงานพวกนี้ก็คือโรงงานชิ้นส่วนแถวพระราม 2 นั้นเอง
โรงงานเหล่านี้เผชิญการแข่งขันสูงมากเนื่องจากเป็นสินค้า low tech มีคนทำได้มาก อำนาจต่อรองกับลูกค้าก็น้อยเนื่องจากลูกค้าเป็นบริษัทใหญ่กว่า ส่วนใหญ่แล้วชิ้นส่วนเหล่านี้ต้องแข่งราคาอย่างเดียวเพราะเป็นชิ้นส่วนมาตรฐานไม่มีความแตกต่าง โรงงานเหล่านี้จึงต้องดำเนินกลยุทธ์ low cost อย่างเดียว ทำยังไงก็ได้ให้ต้นทุนต่ำที่สุดเท่านั้น สาเหตุที่พวก tier 1-2 ไม่ทำของพวกนี้เองเพราะชิ้นส่วนมาตราฐานไม่มีความสำคัญต่อความสามารถในการแข่งขันของบริษัท ถือเป็น non-strategic activities เก็บเงินไว้ลงทุนในเครื่องจักรที่ต้องใช้ know-how ที่สร้างความแตกต่างให้บริษัทได้จะดีกว่า
ต้นทุนค่าแรงของโรงงานแถวพระราม 2 เหล่านี้ไม่ต่างกัน เพราะจ้างคนระดับเดียวกันในระแวกเดียวกันมาทำ ต้นทุนวัตถุดิบก็ไม่ต่างกันเพราะโลหะเป็นวัตถุดิบที่มีราคาตลาดโลกเป็นเกณฑ์ สุดท้ายแล้วพวกนี้จึงแข่งกันที่ต้นทุนเครื่องจักรอย่างเดียว
โรงงานที่ซื้อเครื่องจักรมือหนึ่งจะเสียเปรียบเรื่องต้นทุนเพราะมีราคาแพง โรงงานที่ได้เปรียบกลายเป็นโรงงานที่ซื้อเครื่องจักรมือสองจากไต้หวันเข้ามา เครื่องจักรพวกนี้ราคาจะต่ำกว่าของใหม่มาก แต่มีข้อเสียคือเครื่องติดบ่อย แต่ถ้าเจ้าของดูแลใกล้ชิดตลอด 24 ชั่วโมงก็ไม่มีปัญหา การแข่งขันระหว่างโรงงานที่ใช้เครื่องจักรมือสองด้วยกันจึงอยู่ที่ใครจะทำให้เครื่องเดินต่อเนื่องได้มากที่สุด เพื่อให้ได้ต้นทุนเฉลี่ยต่ำที่สุด โรงงานเหล่านี้จึงมักต้องทำทั้งวันทั้งคืนเพื่อให้ได้เปรียบเรื่องต้นทุนกับคู่แข่ง จะได้ขายราคาต่ำกว่าคู่แข่งได้ ถ้าไม่เดินเครื่องตลอดเวลา เจอคู่แข่งที่เขาเดินเครื่องตลอดเวลาตัดราคาแย่ง order ไปก็จบเห่ ธุรกิจนี้ลำบากจริงๆ งานหนักและกำไรน้อย
ดูๆ ไป การที่ต่างประเทศมาลงทุนสร้างโรงงานรถยนต์ในไทย เราได้ประโยชน์แค่การจ้างงานเท่านั้น เพราะ tier 1 suppliers ยังเป็นบริษัทต่างประเทศอยู่ดี บริษัทคนไทยมีโอกาสทำได้แค่ของมาตรฐานป้อนโรงงานเหล่านี้เท่านั้น ไม่มี technology transfer และ value-added ก็น้อยมากๆ
หมายเหตุ: เรื่องดูแลค่าเงินที่แบ๊งค์ชาตินี่ถามใครก็ได้
ยกเว้นคุณเริงชัย ที่ถูกฟ้องเป็นแพะ
ร้องๆ แบ๊ร ๆๆอยู่ตอนนี้นะครับ
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
-
- Verified User
- โพสต์: 767
- ผู้ติดตาม: 0
ผู้ส่งออกโวยวายอีกแล้ว
โพสต์ที่ 47
ขอ อนุญาติ แสดงความเห็นที่ไม่เกี่ยวกับค่าเงินครับเคยมีกูรูญี่ปุ่นท่านนึงพูดเรื่องทางเลือกของเมืองไทยไว้น่าสนใจ
เขาว่าเราต้องเน้นเรื่องเป็นฮับสุขภาพ ฮับท่องเที่ยว
เขาว่าเฉพาะรับญี่ปุ่นประเทศเดียว
นี่มูลค่าตลาดมากกว่าเป็นสิบๆเท่าของข้าว ของไก่แช่ กุ้งแช่ แล้ว
แต่ กูรู ท่านนั้ แสดงความเห็นได้ถูกต้องครับ ตอนนี้ ประเทศไทย มีธุรกิจเป็นตัวแทน ชาวต่างชาติ เพื่อซื้อที่ดิน ครับ ถามว่าเอาไปทำไม
เอาไป ทำเป็น เมือง สำหรับ ชาวต่างชาติที่ เกษียณ ครับ หากไปทางประจวบ หัวหิน และไล่ ลงไปถึงเกือบชุมพร
ลองขับรถ เข้าไปดู ครับ เต็มเลย หมู่บ้านฝรั่ง สำหรับ ชาวสวีเดน ฟินแลนด์
ญี่ปุ่นก็เข้ามาลงทุนตรงนี้เยอะครับ เห็นว่ากำลังสร้างแถวประจวบอยู่ แต่ ขี้นโครงการเหมือน คนไทยเป็นเจ้าของ แต่เป็นแค่ นอมินี
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 11443
- ผู้ติดตาม: 0
ผู้ส่งออกโวยวายอีกแล้ว
โพสต์ที่ 50
ผมไม่ได้รู้สึกไม่สบายใจอะไรเลยครับ ดังนั้นคงไม่ต้องขอโทษผมมั๊งครับ :lol:adi เขียน:ตรงๆเลยนะครับ
ผมยอมรับครับว่าผมไม่สบายใจ ผมเข้าใจดีครับว่าคุณฉัตรชัยไม่มีเจตนาทำให้ใครไม่สบายใจ ยังไงผมก็ยังชื่นชมคุณฉัตรชัยอยู่นั่นแหละ
ผมขอโทษที่ทำให้คุณฉัตรชัยไม่สบายใจด้วยครับ
อยากจะบอกว่าชื่นชม community นี้จริงๆ ที่เปิดกว้าง และมีเหตุผล
จงอยู่เหนือความดี อย่าหลงความดี
-
- Verified User
- โพสต์: 697
- ผู้ติดตาม: 0
-
- Verified User
- โพสต์: 31
- ผู้ติดตาม: 0
ผู้ส่งออกโวยวายอีกแล้ว
โพสต์ที่ 52
ถ้ากระทู้ของผมทำให้ใครไม่สบายใจ ก็ต้องขอโทษด้วยครับ
ขอโทษด้วยครับ ถ้าผมใช้อารมณ์ไปหน่อย
เป็นความงดงามที่น่าชื่นชมมากของกระทู้เราครับผมขอโทษที่ทำให้คุณฉัตรชัยไม่สบายใจด้วยครับ
ผมว่าคำว่า "ขอโทษ" นี่ไม่ได้คำที่จะพูด(พิมพ์) กันได้ง่ายๆนะครับ
นับถือ นับถือ
"When the seagulls trawler it is because they think sardines will be thron into the sea."
-
- Verified User
- โพสต์: 337
- ผู้ติดตาม: 0
ผู้ส่งออกโวยวายอีกแล้ว
โพสต์ที่ 53
ความเห็นส่วนตัวนะครับ
เห็นใจผู้ส่งออกครับ
เพราะราคาน้ำมันตอนนั้นมันเท่าไหร่
แล้วตอนนี้มันเท่าไหร่
ราคาสินค้าต่าง ๆ ตอนนี้เพิ่มขึ้นเท่าไหร่
คือตอนนี้ต้นทุนต่าง ๆ ของ
ผู้ส่งออกเพิ่มขึ้นมากครับ
สินค้าโภคภัณฑ์ตอนนี้เราคาปรับขึ้นไปมากครับ
ควรจะเห็นใจผู้ส่งออกครับ
เพราะต้นทุนเขาเพิ่มขึ้นมาก
ช่วงที่ผ่านมาก็มีภัยธรรมชาติมาก
มีบางคนสินค้าก็อาจจะได้รับความเสียหายครับ
ส่วนเรื่องผิดพลาดเป็นเรื่องธรรมดาครับ
พี่ฉัตรชัย
ทุกคนผิดพลาดกันได้ครับ
เห็นใจผู้ส่งออกครับ
เพราะราคาน้ำมันตอนนั้นมันเท่าไหร่
แล้วตอนนี้มันเท่าไหร่
ราคาสินค้าต่าง ๆ ตอนนี้เพิ่มขึ้นเท่าไหร่
คือตอนนี้ต้นทุนต่าง ๆ ของ
ผู้ส่งออกเพิ่มขึ้นมากครับ
สินค้าโภคภัณฑ์ตอนนี้เราคาปรับขึ้นไปมากครับ
ควรจะเห็นใจผู้ส่งออกครับ
เพราะต้นทุนเขาเพิ่มขึ้นมาก
ช่วงที่ผ่านมาก็มีภัยธรรมชาติมาก
มีบางคนสินค้าก็อาจจะได้รับความเสียหายครับ
ส่วนเรื่องผิดพลาดเป็นเรื่องธรรมดาครับ
พี่ฉัตรชัย
ทุกคนผิดพลาดกันได้ครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 337
- ผู้ติดตาม: 0
ผู้ส่งออกโวยวายอีกแล้ว
โพสต์ที่ 54
ตอนนี้คงต้องมองดูทั่วโลก
ได้ยินว่าตอนนี้จีน เวียตนาม
ค่าแรงต่ำกว่าเรา
ทรัพยากรในประเทศเราก็ร่อยหลอลงไปไปมากเช่นดีบุก
ผู้ส่งออกคงต้องเหนื่อยหน่อยครับ
คงต้องเลิกเพิ่งบาทแข็ง
คงต้องปรับตัว
ปรับปรุงคุณภาพสินค้า และพัฒนาองกรณ์
ให้แข่งขันกับประเทศอื่น ๆ ให้ได้
เอาใจช่วยครับ
ได้ยินว่าตอนนี้จีน เวียตนาม
ค่าแรงต่ำกว่าเรา
ทรัพยากรในประเทศเราก็ร่อยหลอลงไปไปมากเช่นดีบุก
ผู้ส่งออกคงต้องเหนื่อยหน่อยครับ
คงต้องเลิกเพิ่งบาทแข็ง
คงต้องปรับตัว
ปรับปรุงคุณภาพสินค้า และพัฒนาองกรณ์
ให้แข่งขันกับประเทศอื่น ๆ ให้ได้
เอาใจช่วยครับ