อภินิหารพระดิน
-
- Verified User
- โพสต์: 877
- ผู้ติดตาม: 0
อภินิหารพระดิน
โพสต์ที่ 1
^O-O^
คนที่แนะนำให้ผมเจอเรื่องสั้นที่ดีมากๆเรื่องนี้คือ พี่ที่พวกเราหลายท่านในเว็บนี้เคารพนับถืออย่างมาก ผู้ใหญ่ท่านนั้นคือ พี่พอใจ ครับ
..... อภินิหารพระดิน ......?
\ 8) / /:shock:\
por_jai โหน่ง
| | ||
ผมขออนุญาติอาจารย์ประภาสยกมาให้สมาชิกที่ไทวีอ่านกัน เป็นเรื่องที่มีข้อคิดแอบแฝงที่ลึกซึ้ง และเรายังสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับชีวิตเรา อีกทั้งภาษาและการเดินเรื่องของอาจารย์ทั้งสนุกและตื่นเต้น อ่านแล้วต้องกลับมาอ่านอีก ยังเก็บไปนึกก่อนนอนจนคล้อยพล่อยหลับไปกับภาพไอ้แก้ว
อภินิหารพระดิน(คอลัมน์ คุยกับประภาส) 29 ส.ค. 2547
อภินิหารพระดิน
คอลัมน์ คุยกับประภาส มติชน อาทิตย์สุขสรรค์
โดย ประภาส ชลศรานนท์
คืนนั้น ฟ้าแรงเสียจนเหมือนกับว่าโลกจะแตกเป็นเสี่ยงๆ ไปพร้อมกับเสียงฟ้าร้อง แต่ถึงฟ้าจะแรงอย่างนั้น ฝนกลับตกเหยาะแหยะ เดี๋ยวตกเดี๋ยวหยุดไม่สมกับที่ชาวบ้านเฝ้าคอยฝนแรกของฤดู
ชาวบ้านร้านช่องปิดบ้านกันแต่หัวค่ำ ไม่มีใครออกมาเดินเพ่นพ่านข้างนอกสักเท่าไร ค่าที่เสียงฟ้ามันดังจนหูแทบแตก ที่มาพร้อมลำแสงหยักๆ บนท้องฟ้าที่ผ่าไปทางโน้นทีทางนี้ทีอย่างน่าเสียวไส้
เห็นก็แต่เจ้าแก้วขี้เมาประจำบางคนเดียว ที่ยังหนีบขวดเหล้าขาวไว้ใต้รักแร้เดินตุปัดตุเป๋มาตามเส้นทางหลักของหมู่บ้านอย่างไม่อินังขังขอบ
ฝนตกลงมาอีกห่าหนึ่ง ขณะที่เจ้าแก้วหยุดยืนอยู่ตรงหัวโค้งดงกระถิน
มันมองเข้าไปที่เพิงพระที่อยู่ตรงหัวโค้ง
ไม่มีใครรู้ว่าหลวงพ่อดิน ถูกนิมนต์มาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไร เจ้าแก้วเองเกิดมาแต่อ้อนแต่ออก มันก็เห็นแล้วว่ามีพระพุทธรูปที่ปั้นด้วยดินหยาบๆ องค์นี้ตั้งอยู่ตรงหัวโค้ง แล้วมันก็จำได้ว่าพอมันมาเป็นเด็กวัดเดินตามหลวงพ่อได้สักพัก ชาวบ้านก็ช่วยกันเปลี่ยนเพิงหลังคาแฝกให้เป็นเพิงหลังคากระเบื้องอย่างที่เห็นๆ อยู่
กระถางธูปที่อยู่ข้างหน้าหลวงพ่อดิน มีก้านธูปปักอยู่ไม่ถึงสิบก้าน หนำซ้ำยังถูกวางไว้เอียงกระเท่เร่ แสดงให้เห็นถึงความไม่ใส่ใจของผู้คนในหมู่บ้านนี้นัก
"หลวงพ่อทำไมขี้เหร่เหลือเกิน" เจ้าแก้วเดินเข้ามามององค์พระใกล้ๆ " จมูกก็เบี้ยว ตาสองข้างก็ไม่เท่ากัน"
เจ้าแก้ววางขวดเหล้าไว้ข้างๆ แจกันบิ่นๆ ที่มีดอกไม้เหี่ยวๆ ปักอยู่ พอวางเสร็จตัวเจ้าแก้วเองก็เอียงเซไปทางซ้ายทีหนึ่งด้วยความเมา แต่มันก็คว้าเอาขอบโต๊ะเก่าๆ ที่อยู่ข้างหน้าไว้ทัน จากนั้นมันก็ค่อยๆ เกาะขอบโต๊ะเดินเข้าไปหากระถางธูป เพื่อจะจับให้ตั้งตรงตามเดิม
"ขี้เหร่อย่างนี้ใครเขาจะนับถือ" เจ้าแก้วบ่นถึงพระพุทธรูปดินอีกครั้ง
และไม่ทันที่เจ้าแก้วจะพูดอะไรต่อ แสงแปลบก็สว่างโร่ขึ้นแถวๆ ดงกระถิน ตามด้วยเสียงตูมดังลั่นแทบแก้วหูระเบิด
ฟ้าผ่าลงกลางดงกระถินข้างๆ เพิงพระนี่เอง
เจ้าแก้วค่อยๆ คลายมือที่ปิดหูทั้งสองข้างออก พลางหันไปทางที่มาของแสงจ้าและเสียงลั่น ต้นกระถินต้นใหญ่ที่สุดในดงกำลังติดไฟอยู่
ขี้เมาตัวกลั่นหายเมาเป็นปลิดทิ้ง
ไฟค่อยๆ ลามจากกิ่งเล็กๆ จนลุกโชนไปทั้งต้น และไม่ทันที่เจ้าแก้วจะคิดอ่านอะไรออก กิ่งใหญ่ที่ติดไฟอยู่ก็หักหล่นใส่หลังคาของเพิงพระ แล้วก็กลิ้งหลุนๆ เหมือนคบไฟหล่นลงมาที่พื้นข้างเสาไม้
ฝนที่เดี๋ยวตกเดี๋ยวหยุดก็ดันมาหยุดเอาเสียเฉยๆ เจ้าแก้วยืนตัวแข็งมองดูไฟที่ค่อยๆ ลามลุกขึ้นจากโคนเสาติดไปถึงยอดเสาและก็เริ่มลามติดคานไม้
" ชิบหายแล้วสิ" ขี้เมาประจำหมู่บ้านตาสว่างทันทีทันใด มันมองหากระป๋องหรืออะไรสักอย่างแถวๆ นั้นเพื่อจะได้เอาไปตักน้ำที่บ่อน้ำหลังเพิงพระ
ไม่มีอะไรเลย นอกจากเสื่อเก่าๆ ผืนหนึ่งที่ปูไว้ให้ผู้คนกราบพระ
ไฟลามเร็วจนติดจากคานไปยังขื่อ และก็จันทันโครงหลังคา กระเบื้องสามสี่แผ่นเริ่มร่วงลงมา
"กระป๋องสักใบก็ไม่มี ทำไมมันซวยอย่างนี้" สิ้นคำสบถ ฟ้าก็สว่างจ้าพร้อมกับเสียงลั่นครืนใหญ่อีกครั้ง เจ้าแก้วก้มลงหมอบกับพื้น จะว่ากลัวฟ้าก็กลัว จะว่ากลัวไฟไหม้เพิงพระก็กลัว
"แล้วคนมันไปไหนกันหมดโว้ยนี่" หางเสียงฟ้าร้องยังลั่นครืนตามมาอีกระลอก เสาทั้งสี่ต้นติดไฟหมดแล้ว กระเบื้องหลังคาร่วงลงมาอีกสิบกว่าแผ่น เจ้าแก้วเริ่มมือสั่น เสาต้นแรกที่ไฟติดลั่นเปรี๊ยะเกิดสะเก็ดไฟขึ้นมา กระเด็นไปติดโต๊ะไม้ที่วางอยู่หน้าองค์พระ
"กระถางธูป !" ขี้เมาของเราฉลาดไม่ใช่เล่น เจ้าแก้วหันไปเห็นกระถางธูปที่วางเอียงกระเท่เร่อยู่ มันยกกระถางคว่ำปากลงเพื่อให้ดินที่ใช้ปักธูปไหลออกมาจนหมด แล้วเจ้าแก้วก็อุ้มกระถางวิ่งไปที่บ่อน้ำทันที
แม้จะได้น้ำมาไม่มากนัก แต่ด้วยระยะทางที่ไม่ไกลนักของบ่อน้ำทำให้เจ้าแก้ววิ่งตักน้ำมาสาดโต๊ะไม้ที่กำลังติดไฟอยู่ดับลงไปได้
หลังคาติดไฟหมดแล้ว เจ้าแก้วยังไม่สิ้นหวัง มันยังคงอุ้มกระถางธูปใส่น้ำวิ่งไปมาระหว่างบ่อน้ำกับเพิงพระ
น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ หลังคาเพิงพระสว่างโร่ด้วยเปลวเพลิง แปไม้ที่ซ้อนไว้รับกระเบื้องท่อนหนึ่งตกลงที่ข้างๆ องค์พระ ไฟลุกติดที่ฐานพระอย่างรวดเร็วดังกับว่าองค์พระเป็นเชื้อเพลิงเสียอย่างนั้น
"เฮ้ย" เจ้าแก้วร้องลั่น พลันวิ่งไปที่องค์พระเพื่อจะหยิบท่อนไม้นั้นออก
ทันทีที่มือของเจ้าแก้วสัมผัสท่อนไม้ มันต้องชักมือกลับแทบไม่ทัน เพราะท่อนไม้นั้นถูกเผาจนร้อนไม่แพ้ถ่านแดงๆ เลย เจ้าแก้ววิ่งกลับไปที่บ่อน้ำพร้อมด้วยกระถางธูปอีกครั้ง
มันวิ่งไปมาสี่ห้ารอบเพื่อเร่งสาดน้ำเข้าที่องค์พระจนไฟที่องค์พระดับลง
แต่โครงหลังคาที่กำลังลุกโชนนี่สิ กำลังโค่นลงมา
เสาต้นแรกที่ติดไฟหักลงก่อน โครงหลังคาทั้งหมดที่ติดไฟอยู่จึงพังพาบไปด้านเสาต้นที่โค่น เสาอีกสามต้นถูกแรงดึงจึงพังตามลงมาไปยังทิศทางเดียวกับเสาต้นแรก เจ้าแก้วกระโดดหลบไปอีกทางหนึ่ง โชคดีที่หลังคาไม่พังทับองค์พระ
ขึ้เมาคนเก่งของเรานั่งหอบมองดูเพิงพระที่พังพาบติดไฟไหม้จนค่อยๆกลายเป็นขี้เถ้า นี่ถ้าหลวงพ่อดินดันเกิดติดไฟขึ้นมาอีกที มันก็คงไม่มีเรี่ยวมีแรงวิ่งไปตักน้ำดับไฟได้อีก
มันคิดได้แค่นั้น แล้วมันก็วูบหลับไป ไม่รู้จะด้วยความเหนื่อยหรือความเมา
แสงเช้านั้นแยงตาเจ้าแก้วตั้งนานแล้ว แต่เจ้าแก้วมารู้สึกตัวตื่นก็ตอนที่เสียงผู้คนเริ่มดังขึ้น
มันชันตัวขึ้นนั่ง พอสายตาปรับภาพที่มัวๆ จนชัดได้ มันก็หันไปทางเพิงพระทันที
ชาวบ้านเกือบร้อยคนยืนมุงดูองค์พระอยู่ ผู้ใหญ่บ้านกับผู้ช่วยอีกสี่ห้าคนกำลังยกโครงหลังคาที่ดำเป็นถ่านเหวี่ยงไปทางดงกระถิน เสียงวิจารณ์ดังอื้ออึงอยู่ไม่ขาดสาย เจ้าแก้วลุกขึ้นเคียนผ้าขาวม้าให้ถนัดแล้วก็เดินเข้าไปสมทบ
" มันเป็นไปได้อย่างไร ไหม้แต่เพิงพระ
"ศักดิ์สิทธิ์จริงๆ ไหม้หมดทั้งเพิง แต่องค์พระไม่สะดุ้งสะเทือนเลย
"เจ้าประคุ้น หลวงพ่อศักดิ์สิทธิ์อย่างนี้ ต้องคุ้มครองหมู่บ้านเราได้ดีแน่
" หลวงพ่อคงช่วยเป่าลมให้ไหม้แต่เพิง ไม่ลามไปถึงหมู่บ้านเรา
" สาธู...เป็นบุญของหมู่บ้านเราเหลือเกิน
"ดูสิ...องค์หลวงพ่อไม่มีแม้แต่รอยไหม้สักนิด"
เจ้าแก้วเริ่มทำหน้าเหรอหรา มันพยายามแหวกตัวเข้าไปตรงกลางเพื่อจะบอกความจริงแก่คนอื่นๆ
"ฉันเอง... คือเมื่อคืนนี้" วีรบุรุษตัวจริงเอ่ยปากขึ้น
ผู้ใหญ่บ้านหันมาทางเจ้าแก้ว "ไอ้แก้ว กลิ่นเหล้าคลุ้งอย่างนี้ แกออกไปไกลๆ ก่อนได้ไหม คนเขาจะทำความสะอาดกัน"
เจ้าแก้วพูดต่อ "คือเมื่อคืนนี้ ฉันผ่านมาทางนี้พอดี..." ไม่ทันจะพูดจบดี เจ้าไม้ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านก็ผลักอกเจ้าแก้วให้ออกจากวงสนทนาไป
" ออกไปก่อนไอ้แก้ว ถ้าอยากจะช่วยงาน ไปล้างหูล้างตาก่อนไป เนื้อตัวมอมแมมดูไม่ได้เลย"
เจ้าแก้วถูกผลักกระเด็นจนล้มลง สภาพของเจ้าแก้วทำให้ชาวบ้านสี่ห้าคนหัวเราะขัน
"เดี๋ยวฉันจะไปนิมนต์ ท่านเจ้าอาวาสมาดู" ผู้ใหญ่บ้านประกาศ "หมู่บ้านเรามีพระศักดิ์สิทธิ์ขนาดนี้ เราน่าจะสร้างศาลาใหม่ให้ท่าน หรือถ้าท่านศักดิ์สิทธิ์อย่างนี้จะสร้างโบสถ์ไว้ที่นี่เลย ไม่รู้ท่านเจ้าอาวาสท่านจะว่าอย่างไร"
เจ้าแก้วได้แต่นั่งทำตาปริบๆ
ท่านผู้อ่านที่รัก ถึงตอนนี้เจ้าแก้วมันได้เดินทางออกจากหมู่บ้านที่ผมสมมุติไว้ในเรื่องสั้นมาหาผมแล้ว มันถามผมว่า มันควรจะทำอย่างไรต่อไป ท่านผู้อ่านที่รักช่วยผมตอบมันหน่อยเถิด
คนที่แนะนำให้ผมเจอเรื่องสั้นที่ดีมากๆเรื่องนี้คือ พี่ที่พวกเราหลายท่านในเว็บนี้เคารพนับถืออย่างมาก ผู้ใหญ่ท่านนั้นคือ พี่พอใจ ครับ
..... อภินิหารพระดิน ......?
\ 8) / /:shock:\
por_jai โหน่ง
| | ||
ผมขออนุญาติอาจารย์ประภาสยกมาให้สมาชิกที่ไทวีอ่านกัน เป็นเรื่องที่มีข้อคิดแอบแฝงที่ลึกซึ้ง และเรายังสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับชีวิตเรา อีกทั้งภาษาและการเดินเรื่องของอาจารย์ทั้งสนุกและตื่นเต้น อ่านแล้วต้องกลับมาอ่านอีก ยังเก็บไปนึกก่อนนอนจนคล้อยพล่อยหลับไปกับภาพไอ้แก้ว
อภินิหารพระดิน(คอลัมน์ คุยกับประภาส) 29 ส.ค. 2547
อภินิหารพระดิน
คอลัมน์ คุยกับประภาส มติชน อาทิตย์สุขสรรค์
โดย ประภาส ชลศรานนท์
คืนนั้น ฟ้าแรงเสียจนเหมือนกับว่าโลกจะแตกเป็นเสี่ยงๆ ไปพร้อมกับเสียงฟ้าร้อง แต่ถึงฟ้าจะแรงอย่างนั้น ฝนกลับตกเหยาะแหยะ เดี๋ยวตกเดี๋ยวหยุดไม่สมกับที่ชาวบ้านเฝ้าคอยฝนแรกของฤดู
ชาวบ้านร้านช่องปิดบ้านกันแต่หัวค่ำ ไม่มีใครออกมาเดินเพ่นพ่านข้างนอกสักเท่าไร ค่าที่เสียงฟ้ามันดังจนหูแทบแตก ที่มาพร้อมลำแสงหยักๆ บนท้องฟ้าที่ผ่าไปทางโน้นทีทางนี้ทีอย่างน่าเสียวไส้
เห็นก็แต่เจ้าแก้วขี้เมาประจำบางคนเดียว ที่ยังหนีบขวดเหล้าขาวไว้ใต้รักแร้เดินตุปัดตุเป๋มาตามเส้นทางหลักของหมู่บ้านอย่างไม่อินังขังขอบ
ฝนตกลงมาอีกห่าหนึ่ง ขณะที่เจ้าแก้วหยุดยืนอยู่ตรงหัวโค้งดงกระถิน
มันมองเข้าไปที่เพิงพระที่อยู่ตรงหัวโค้ง
ไม่มีใครรู้ว่าหลวงพ่อดิน ถูกนิมนต์มาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไร เจ้าแก้วเองเกิดมาแต่อ้อนแต่ออก มันก็เห็นแล้วว่ามีพระพุทธรูปที่ปั้นด้วยดินหยาบๆ องค์นี้ตั้งอยู่ตรงหัวโค้ง แล้วมันก็จำได้ว่าพอมันมาเป็นเด็กวัดเดินตามหลวงพ่อได้สักพัก ชาวบ้านก็ช่วยกันเปลี่ยนเพิงหลังคาแฝกให้เป็นเพิงหลังคากระเบื้องอย่างที่เห็นๆ อยู่
กระถางธูปที่อยู่ข้างหน้าหลวงพ่อดิน มีก้านธูปปักอยู่ไม่ถึงสิบก้าน หนำซ้ำยังถูกวางไว้เอียงกระเท่เร่ แสดงให้เห็นถึงความไม่ใส่ใจของผู้คนในหมู่บ้านนี้นัก
"หลวงพ่อทำไมขี้เหร่เหลือเกิน" เจ้าแก้วเดินเข้ามามององค์พระใกล้ๆ " จมูกก็เบี้ยว ตาสองข้างก็ไม่เท่ากัน"
เจ้าแก้ววางขวดเหล้าไว้ข้างๆ แจกันบิ่นๆ ที่มีดอกไม้เหี่ยวๆ ปักอยู่ พอวางเสร็จตัวเจ้าแก้วเองก็เอียงเซไปทางซ้ายทีหนึ่งด้วยความเมา แต่มันก็คว้าเอาขอบโต๊ะเก่าๆ ที่อยู่ข้างหน้าไว้ทัน จากนั้นมันก็ค่อยๆ เกาะขอบโต๊ะเดินเข้าไปหากระถางธูป เพื่อจะจับให้ตั้งตรงตามเดิม
"ขี้เหร่อย่างนี้ใครเขาจะนับถือ" เจ้าแก้วบ่นถึงพระพุทธรูปดินอีกครั้ง
และไม่ทันที่เจ้าแก้วจะพูดอะไรต่อ แสงแปลบก็สว่างโร่ขึ้นแถวๆ ดงกระถิน ตามด้วยเสียงตูมดังลั่นแทบแก้วหูระเบิด
ฟ้าผ่าลงกลางดงกระถินข้างๆ เพิงพระนี่เอง
เจ้าแก้วค่อยๆ คลายมือที่ปิดหูทั้งสองข้างออก พลางหันไปทางที่มาของแสงจ้าและเสียงลั่น ต้นกระถินต้นใหญ่ที่สุดในดงกำลังติดไฟอยู่
ขี้เมาตัวกลั่นหายเมาเป็นปลิดทิ้ง
ไฟค่อยๆ ลามจากกิ่งเล็กๆ จนลุกโชนไปทั้งต้น และไม่ทันที่เจ้าแก้วจะคิดอ่านอะไรออก กิ่งใหญ่ที่ติดไฟอยู่ก็หักหล่นใส่หลังคาของเพิงพระ แล้วก็กลิ้งหลุนๆ เหมือนคบไฟหล่นลงมาที่พื้นข้างเสาไม้
ฝนที่เดี๋ยวตกเดี๋ยวหยุดก็ดันมาหยุดเอาเสียเฉยๆ เจ้าแก้วยืนตัวแข็งมองดูไฟที่ค่อยๆ ลามลุกขึ้นจากโคนเสาติดไปถึงยอดเสาและก็เริ่มลามติดคานไม้
" ชิบหายแล้วสิ" ขี้เมาประจำหมู่บ้านตาสว่างทันทีทันใด มันมองหากระป๋องหรืออะไรสักอย่างแถวๆ นั้นเพื่อจะได้เอาไปตักน้ำที่บ่อน้ำหลังเพิงพระ
ไม่มีอะไรเลย นอกจากเสื่อเก่าๆ ผืนหนึ่งที่ปูไว้ให้ผู้คนกราบพระ
ไฟลามเร็วจนติดจากคานไปยังขื่อ และก็จันทันโครงหลังคา กระเบื้องสามสี่แผ่นเริ่มร่วงลงมา
"กระป๋องสักใบก็ไม่มี ทำไมมันซวยอย่างนี้" สิ้นคำสบถ ฟ้าก็สว่างจ้าพร้อมกับเสียงลั่นครืนใหญ่อีกครั้ง เจ้าแก้วก้มลงหมอบกับพื้น จะว่ากลัวฟ้าก็กลัว จะว่ากลัวไฟไหม้เพิงพระก็กลัว
"แล้วคนมันไปไหนกันหมดโว้ยนี่" หางเสียงฟ้าร้องยังลั่นครืนตามมาอีกระลอก เสาทั้งสี่ต้นติดไฟหมดแล้ว กระเบื้องหลังคาร่วงลงมาอีกสิบกว่าแผ่น เจ้าแก้วเริ่มมือสั่น เสาต้นแรกที่ไฟติดลั่นเปรี๊ยะเกิดสะเก็ดไฟขึ้นมา กระเด็นไปติดโต๊ะไม้ที่วางอยู่หน้าองค์พระ
"กระถางธูป !" ขี้เมาของเราฉลาดไม่ใช่เล่น เจ้าแก้วหันไปเห็นกระถางธูปที่วางเอียงกระเท่เร่อยู่ มันยกกระถางคว่ำปากลงเพื่อให้ดินที่ใช้ปักธูปไหลออกมาจนหมด แล้วเจ้าแก้วก็อุ้มกระถางวิ่งไปที่บ่อน้ำทันที
แม้จะได้น้ำมาไม่มากนัก แต่ด้วยระยะทางที่ไม่ไกลนักของบ่อน้ำทำให้เจ้าแก้ววิ่งตักน้ำมาสาดโต๊ะไม้ที่กำลังติดไฟอยู่ดับลงไปได้
หลังคาติดไฟหมดแล้ว เจ้าแก้วยังไม่สิ้นหวัง มันยังคงอุ้มกระถางธูปใส่น้ำวิ่งไปมาระหว่างบ่อน้ำกับเพิงพระ
น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ หลังคาเพิงพระสว่างโร่ด้วยเปลวเพลิง แปไม้ที่ซ้อนไว้รับกระเบื้องท่อนหนึ่งตกลงที่ข้างๆ องค์พระ ไฟลุกติดที่ฐานพระอย่างรวดเร็วดังกับว่าองค์พระเป็นเชื้อเพลิงเสียอย่างนั้น
"เฮ้ย" เจ้าแก้วร้องลั่น พลันวิ่งไปที่องค์พระเพื่อจะหยิบท่อนไม้นั้นออก
ทันทีที่มือของเจ้าแก้วสัมผัสท่อนไม้ มันต้องชักมือกลับแทบไม่ทัน เพราะท่อนไม้นั้นถูกเผาจนร้อนไม่แพ้ถ่านแดงๆ เลย เจ้าแก้ววิ่งกลับไปที่บ่อน้ำพร้อมด้วยกระถางธูปอีกครั้ง
มันวิ่งไปมาสี่ห้ารอบเพื่อเร่งสาดน้ำเข้าที่องค์พระจนไฟที่องค์พระดับลง
แต่โครงหลังคาที่กำลังลุกโชนนี่สิ กำลังโค่นลงมา
เสาต้นแรกที่ติดไฟหักลงก่อน โครงหลังคาทั้งหมดที่ติดไฟอยู่จึงพังพาบไปด้านเสาต้นที่โค่น เสาอีกสามต้นถูกแรงดึงจึงพังตามลงมาไปยังทิศทางเดียวกับเสาต้นแรก เจ้าแก้วกระโดดหลบไปอีกทางหนึ่ง โชคดีที่หลังคาไม่พังทับองค์พระ
ขึ้เมาคนเก่งของเรานั่งหอบมองดูเพิงพระที่พังพาบติดไฟไหม้จนค่อยๆกลายเป็นขี้เถ้า นี่ถ้าหลวงพ่อดินดันเกิดติดไฟขึ้นมาอีกที มันก็คงไม่มีเรี่ยวมีแรงวิ่งไปตักน้ำดับไฟได้อีก
มันคิดได้แค่นั้น แล้วมันก็วูบหลับไป ไม่รู้จะด้วยความเหนื่อยหรือความเมา
แสงเช้านั้นแยงตาเจ้าแก้วตั้งนานแล้ว แต่เจ้าแก้วมารู้สึกตัวตื่นก็ตอนที่เสียงผู้คนเริ่มดังขึ้น
มันชันตัวขึ้นนั่ง พอสายตาปรับภาพที่มัวๆ จนชัดได้ มันก็หันไปทางเพิงพระทันที
ชาวบ้านเกือบร้อยคนยืนมุงดูองค์พระอยู่ ผู้ใหญ่บ้านกับผู้ช่วยอีกสี่ห้าคนกำลังยกโครงหลังคาที่ดำเป็นถ่านเหวี่ยงไปทางดงกระถิน เสียงวิจารณ์ดังอื้ออึงอยู่ไม่ขาดสาย เจ้าแก้วลุกขึ้นเคียนผ้าขาวม้าให้ถนัดแล้วก็เดินเข้าไปสมทบ
" มันเป็นไปได้อย่างไร ไหม้แต่เพิงพระ
"ศักดิ์สิทธิ์จริงๆ ไหม้หมดทั้งเพิง แต่องค์พระไม่สะดุ้งสะเทือนเลย
"เจ้าประคุ้น หลวงพ่อศักดิ์สิทธิ์อย่างนี้ ต้องคุ้มครองหมู่บ้านเราได้ดีแน่
" หลวงพ่อคงช่วยเป่าลมให้ไหม้แต่เพิง ไม่ลามไปถึงหมู่บ้านเรา
" สาธู...เป็นบุญของหมู่บ้านเราเหลือเกิน
"ดูสิ...องค์หลวงพ่อไม่มีแม้แต่รอยไหม้สักนิด"
เจ้าแก้วเริ่มทำหน้าเหรอหรา มันพยายามแหวกตัวเข้าไปตรงกลางเพื่อจะบอกความจริงแก่คนอื่นๆ
"ฉันเอง... คือเมื่อคืนนี้" วีรบุรุษตัวจริงเอ่ยปากขึ้น
ผู้ใหญ่บ้านหันมาทางเจ้าแก้ว "ไอ้แก้ว กลิ่นเหล้าคลุ้งอย่างนี้ แกออกไปไกลๆ ก่อนได้ไหม คนเขาจะทำความสะอาดกัน"
เจ้าแก้วพูดต่อ "คือเมื่อคืนนี้ ฉันผ่านมาทางนี้พอดี..." ไม่ทันจะพูดจบดี เจ้าไม้ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านก็ผลักอกเจ้าแก้วให้ออกจากวงสนทนาไป
" ออกไปก่อนไอ้แก้ว ถ้าอยากจะช่วยงาน ไปล้างหูล้างตาก่อนไป เนื้อตัวมอมแมมดูไม่ได้เลย"
เจ้าแก้วถูกผลักกระเด็นจนล้มลง สภาพของเจ้าแก้วทำให้ชาวบ้านสี่ห้าคนหัวเราะขัน
"เดี๋ยวฉันจะไปนิมนต์ ท่านเจ้าอาวาสมาดู" ผู้ใหญ่บ้านประกาศ "หมู่บ้านเรามีพระศักดิ์สิทธิ์ขนาดนี้ เราน่าจะสร้างศาลาใหม่ให้ท่าน หรือถ้าท่านศักดิ์สิทธิ์อย่างนี้จะสร้างโบสถ์ไว้ที่นี่เลย ไม่รู้ท่านเจ้าอาวาสท่านจะว่าอย่างไร"
เจ้าแก้วได้แต่นั่งทำตาปริบๆ
ท่านผู้อ่านที่รัก ถึงตอนนี้เจ้าแก้วมันได้เดินทางออกจากหมู่บ้านที่ผมสมมุติไว้ในเรื่องสั้นมาหาผมแล้ว มันถามผมว่า มันควรจะทำอย่างไรต่อไป ท่านผู้อ่านที่รักช่วยผมตอบมันหน่อยเถิด
-
- Verified User
- โพสต์: 877
- ผู้ติดตาม: 0
อภินิหารพระดิน
โพสต์ที่ 2
^O-O^
ผมว่ายังมีอีกหลายๆคนที่พยายามจะเป็นคนเสิร์ฟ ความดี ,ความจริง,ความถูกต้อง ให้กับสังคม ?แต่เพราะภาพลักษณ์ ,หน้าตา,ศรัทธา ,บารมีไม่ถึง ? จึงเสิร์ฟได้แย่กว่านายแก้วอีก???
ไม่ใช่แค่นั้นสิ? ยังมีอื่นๆอีกมากมาย เช่น โอกาส , ศรัทธา,วาสนา,บารมีฯลฯ อื่นๆอีกมากมาย ที่เป็นหนึ่งในเหตุปัจจัย ที่เข้าแถวตอนหนึ่ง หรือเข้ามาแบบสหบาทาเป็นด่านอรหันต์สำคัญ ต่อคำว่า "ฮีโร่" ตัวจริง?
แต่เจตนาและผลแบบนั้นของนายแก้ว เป็นฮีโร่ตัวจริงแน่นอน โดยไม่จำเป็นว่าใครจะมาเห็น หรือ เก็บเกี่ยวผลดีนั้นเข้าตัว ? เพราะถ้าหวังผลเข้าตัวเมื่อไหร่? ความบริสุทธิในเจตนาที่ทำหรืออะไร? อาจจะไม่จริงใจบริสุทธิ์แบบนี้ก็ได้?
ดังนั้นคำว่าฮีโร่จึงไม่ยั่งยืนเท่า "กุศลกรรม"?
ด้วยความเคารพ
ต๋อม
ผมว่ายังมีอีกหลายๆคนที่พยายามจะเป็นคนเสิร์ฟ ความดี ,ความจริง,ความถูกต้อง ให้กับสังคม ?แต่เพราะภาพลักษณ์ ,หน้าตา,ศรัทธา ,บารมีไม่ถึง ? จึงเสิร์ฟได้แย่กว่านายแก้วอีก???
ไม่ใช่แค่นั้นสิ? ยังมีอื่นๆอีกมากมาย เช่น โอกาส , ศรัทธา,วาสนา,บารมีฯลฯ อื่นๆอีกมากมาย ที่เป็นหนึ่งในเหตุปัจจัย ที่เข้าแถวตอนหนึ่ง หรือเข้ามาแบบสหบาทาเป็นด่านอรหันต์สำคัญ ต่อคำว่า "ฮีโร่" ตัวจริง?
แต่เจตนาและผลแบบนั้นของนายแก้ว เป็นฮีโร่ตัวจริงแน่นอน โดยไม่จำเป็นว่าใครจะมาเห็น หรือ เก็บเกี่ยวผลดีนั้นเข้าตัว ? เพราะถ้าหวังผลเข้าตัวเมื่อไหร่? ความบริสุทธิในเจตนาที่ทำหรืออะไร? อาจจะไม่จริงใจบริสุทธิ์แบบนี้ก็ได้?
ดังนั้นคำว่าฮีโร่จึงไม่ยั่งยืนเท่า "กุศลกรรม"?
ด้วยความเคารพ
ต๋อม
- por_jai
- Verified User
- โพสต์: 14338
- ผู้ติดตาม: 0
อภินิหารพระดิน
โพสต์ที่ 6
8) ผมไปรื้อไปรื้อมาในเน็ตนี่แหละ
ประภาสนี่ต้องเรียกผมว่าพี่มากกว่า
ตอนนี้รู้สึกว่าแกเพิ่ง46เท่านั้นเอง
ผมหลงนึกว่ารุ่นเดียวกับพี่ตา ปัญญา
ปรากฎว่าเป็นรุ่นเดียวกับดี้ นิติพงษ์
เจี๊ยบ วัชระ แต๋ง ภูษิต ยังน้องผมเยอะ
ฮุ...ฮุ....
ประภาสนี่ต้องเรียกผมว่าพี่มากกว่า
ตอนนี้รู้สึกว่าแกเพิ่ง46เท่านั้นเอง
ผมหลงนึกว่ารุ่นเดียวกับพี่ตา ปัญญา
ปรากฎว่าเป็นรุ่นเดียวกับดี้ นิติพงษ์
เจี๊ยบ วัชระ แต๋ง ภูษิต ยังน้องผมเยอะ
ฮุ...ฮุ....
กรูเก่ง กิเลสเก่งกว่า
-
- Verified User
- โพสต์: 1067
- ผู้ติดตาม: 0
อภินิหารพระดิน
โพสต์ที่ 7
อ่านแล้วนึกถึงการเติมคำในช่องว่างครับ
มนุษย์เราพยายามจะสร้างความเข้าใจ
ต่อวัตถุหรือปรากฎการณ์ใด ๆ ให้ได้โดยสมบูรณ์
แต่ข้อมุลที่ได้มามักจะไม่ครบถ้วน
และที่ได้มาก็ใช่ว่าสมบูรณ์ตามจริง
ด่านแรก
การรับรู้ ต้องมีบทบาทเป็นผู้เติมคำลงในช่องว่าง
ด่านที่สอง
การรับรู้ ก็มักถูกชี้นำโดยอคติ ประสบการณ์ในอดีต
ช่วงก่อน ๆ เห็นข่าวว่ามีวัตถุลึกลับ
ถูกนำไปวางอยู่ตามถนนหนทาง
คนก็จะโทรไปแจ้งตำรวจ
เกรงว่าจะเป็นวัตถุระเบิด
ผมก็ตกใจครับ
ทางหนึ่งกลัวจะเป็นระเบิด
อีกทางหนึ่งก็ตกใจว่า
สภาพแวดล้อมบ้านเรา
มัน Shape การรับรู้
ของคนในสังคมให้เป็นแบบนี้ไปแล้ว
เคยมีฝรั่งทำการทดลองในสองประเทศครับ
ประเทศหนึ่งอยู่ในบรรยากาศของความขัดแย้ง สงคราม
อีกประเทศหนึ่งอยู่ในบรรยากาศของความสงบ เรียบร้อย
โดยเขาเอากล่องเปล่าไปวางริมถนน
นักจิตวิทยาได้สุ่มเด็กที่ได้พบเห็นกล่องใบนั้นขึ้นมา
แล้วถามว่าสิ่งของที่อยู่ในกล่องใบนั้นคืออะไร
เด็ก ๆ ในประเทศที่สงบ ก็จะบอกไปต่าง ๆ นานา
ทั้งตุ๊กตา ทั้งของเล่นสารพัด
แต่เด็ก ๆ ในประเทศที่มีสงคราม
ส่วนใหญ่ต่างบอกว่า มันคือระเบิด
มนุษย์เราพยายามจะสร้างความเข้าใจ
ต่อวัตถุหรือปรากฎการณ์ใด ๆ ให้ได้โดยสมบูรณ์
แต่ข้อมุลที่ได้มามักจะไม่ครบถ้วน
และที่ได้มาก็ใช่ว่าสมบูรณ์ตามจริง
ด่านแรก
การรับรู้ ต้องมีบทบาทเป็นผู้เติมคำลงในช่องว่าง
ด่านที่สอง
การรับรู้ ก็มักถูกชี้นำโดยอคติ ประสบการณ์ในอดีต
ช่วงก่อน ๆ เห็นข่าวว่ามีวัตถุลึกลับ
ถูกนำไปวางอยู่ตามถนนหนทาง
คนก็จะโทรไปแจ้งตำรวจ
เกรงว่าจะเป็นวัตถุระเบิด
ผมก็ตกใจครับ
ทางหนึ่งกลัวจะเป็นระเบิด
อีกทางหนึ่งก็ตกใจว่า
สภาพแวดล้อมบ้านเรา
มัน Shape การรับรู้
ของคนในสังคมให้เป็นแบบนี้ไปแล้ว
เคยมีฝรั่งทำการทดลองในสองประเทศครับ
ประเทศหนึ่งอยู่ในบรรยากาศของความขัดแย้ง สงคราม
อีกประเทศหนึ่งอยู่ในบรรยากาศของความสงบ เรียบร้อย
โดยเขาเอากล่องเปล่าไปวางริมถนน
นักจิตวิทยาได้สุ่มเด็กที่ได้พบเห็นกล่องใบนั้นขึ้นมา
แล้วถามว่าสิ่งของที่อยู่ในกล่องใบนั้นคืออะไร
เด็ก ๆ ในประเทศที่สงบ ก็จะบอกไปต่าง ๆ นานา
ทั้งตุ๊กตา ทั้งของเล่นสารพัด
แต่เด็ก ๆ ในประเทศที่มีสงคราม
ส่วนใหญ่ต่างบอกว่า มันคือระเบิด
... จุดเริ่มต้นของคนเราไม่สำคัญ
มันสำคัญที่ว่าเขาวิ่งได้เร็วแค่ไหนตะหาก ...
มันสำคัญที่ว่าเขาวิ่งได้เร็วแค่ไหนตะหาก ...