อะไรน่าจะเป็นสินค้าสำหรับคนในยุค babyboom??
- jody4003
- Verified User
- โพสต์: 372
- ผู้ติดตาม: 0
อะไรน่าจะเป็นสินค้าสำหรับคนในยุค babyboom??
โพสต์ที่ 1
อือ ช่วยทีครับ อยากรู้ว่าสินค้าหรือบริการอะไรที่จะเป็นที่ต้องการของคนวัย 45-65 ปีครับ (ไม่แน่ใจว่าวัยนี้ป่าว แต่ยุคคนในยุค babyboom อ่ะ)
ลองช่วยกันคิดหน่อยสิ
วันก่อนอ่านบทความว่า ครีมชะลอริ้วรอยจะขายดีมากเพราะคนยุคbaby boom กะลังจะเริ่มแก่ แต่ผมไม่เห็นด้วยนะ คนยุคbabyboom น่าจะเป็นรุ่นพ่อแม่ผมนี่นาตอนนี้อายุ 60 ก็น่าจะเลยวัยอยากสวยกันหมดแล้ว คนยุคนี้ต่อไปจะเป็นกลุ่มคนส่วนใหญ่ของสังคนไทย ดังนั้นสินค้าสำหรับคนกลุ่มนี้น่าจะเป็นที่ต้องการมากเป็นพิเศษ
พวกวิตามินน่าจะเข้าข่ายมะ
ลองช่วยกันคิดหน่อยสิ
วันก่อนอ่านบทความว่า ครีมชะลอริ้วรอยจะขายดีมากเพราะคนยุคbaby boom กะลังจะเริ่มแก่ แต่ผมไม่เห็นด้วยนะ คนยุคbabyboom น่าจะเป็นรุ่นพ่อแม่ผมนี่นาตอนนี้อายุ 60 ก็น่าจะเลยวัยอยากสวยกันหมดแล้ว คนยุคนี้ต่อไปจะเป็นกลุ่มคนส่วนใหญ่ของสังคนไทย ดังนั้นสินค้าสำหรับคนกลุ่มนี้น่าจะเป็นที่ต้องการมากเป็นพิเศษ
พวกวิตามินน่าจะเข้าข่ายมะ
- สุมาอี้
- Verified User
- โพสต์: 4576
- ผู้ติดตาม: 0
อะไรน่าจะเป็นสินค้าสำหรับคนในยุค babyboom??
โพสต์ที่ 2
Baby boomer คือคนที่เกิดปี 1946-1964 ตอนนี้อายุ 42-60 ปีกันแล้ว ยังไม่เกษียณแต่กำลังจะเกษียณ จะหาหุ้นสำหรับลงทุนอีกสัก 5 ปีข้างหน้าก็มองหาหุ้นสำหรับวัยเกษียณได้พอดี
ส่วนผม Generation X ครับ เหอๆ
ส่วนผม Generation X ครับ เหอๆ
http://dekisugi.net
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
- jody4003
- Verified User
- โพสต์: 372
- ผู้ติดตาม: 0
อะไรน่าจะเป็นสินค้าสำหรับคนในยุค babyboom??
โพสต์ที่ 4
เห คุณสุมาอี้ gen เดียวกะผมเลย แต่ผมนี่เรียกว่าเป็นรุ่นสุดท้ายของ Gen X นะ, 1979 อ่ะ จำได้เลาๆว่าใช่นะ เอ gen ถัดมาเรียกไรนะ cyber หรือ internet อะไรซักอย่างป่ะคับสุมาอี้ เขียน:Baby boomer คือคนที่เกิดปี 1946-1964 ตอนนี้อายุ 42-60 ปีกันแล้ว ยังไม่เกษียณแต่กำลังจะเกษียณ จะหาหุ้นสำหรับลงทุนอีกสัก 5 ปีข้างหน้าก็มองหาหุ้นสำหรับวัยเกษียณได้พอดี
ส่วนผม Generation X ครับ เหอๆ
-
- Verified User
- โพสต์: 3763
- ผู้ติดตาม: 0
อะไรน่าจะเป็นสินค้าสำหรับคนในยุค babyboom??
โพสต์ที่ 5
Y?jody4003 เขียน: เห คุณสุมาอี้ gen เดียวกะผมเลย แต่ผมนี่เรียกว่าเป็นรุ่นสุดท้ายของ Gen X นะ, 1979 อ่ะ จำได้เลาๆว่าใช่นะ เอ gen ถัดมาเรียกไรนะ cyber หรือ internet อะไรซักอย่างป่ะคับ
Impossible is Nothing
- MO101
- Verified User
- โพสต์: 3226
- ผู้ติดตาม: 0
อะไรน่าจะเป็นสินค้าสำหรับคนในยุค babyboom??
โพสต์ที่ 9
ลักษณะของ เบบี้บูม
-- หางานที่มั่นคง
-- ซื่อสัตย์ต่อเจ้านาย
-- มีธรรมเนียมประเภณี
ลักษณะของ Gen X (ผมด้วย)
-- หางานที่ได้เงินมากๆ
-- ถ้าเจ้านายโง่ๆ ก็ออก (เปลี่ยนงานทุก 5 ปี)
-- ไม่สนใจเรื่องประเภณี
ลักษณะของ Gen Y
-- หางานที่ได้ความเป็นอิสระทางความคิด
-- ไม่สนเรื่องอาวุโส ถ้าเราถูกจะเถียงตลอด (มักจะตั้ง บ.เอง)
-- มักจะสร้างประเภณีของตัวเองเช่น ร้อนจะตายชักแต่กลุ่มเราจะใส่หมวกไหมพรม
-- หางานที่มั่นคง
-- ซื่อสัตย์ต่อเจ้านาย
-- มีธรรมเนียมประเภณี
ลักษณะของ Gen X (ผมด้วย)
-- หางานที่ได้เงินมากๆ
-- ถ้าเจ้านายโง่ๆ ก็ออก (เปลี่ยนงานทุก 5 ปี)
-- ไม่สนใจเรื่องประเภณี
ลักษณะของ Gen Y
-- หางานที่ได้ความเป็นอิสระทางความคิด
-- ไม่สนเรื่องอาวุโส ถ้าเราถูกจะเถียงตลอด (มักจะตั้ง บ.เอง)
-- มักจะสร้างประเภณีของตัวเองเช่น ร้อนจะตายชักแต่กลุ่มเราจะใส่หมวกไหมพรม
-
- Verified User
- โพสต์: 877
- ผู้ติดตาม: 0
อะไรน่าจะเป็นสินค้าสำหรับคนในยุค babyboom??
โพสต์ที่ 12
เบบี้บูมเมอร์ในเมืองไทยผมว่าคงไม่อยู่ในช่วงเดียวกันกับที่อเมริกา แล้วลักษณะก้เป็นคนละกลุ่ม คนละประเภท
ปีนี้ผม ซา ซือ ชี้ อาม่ามาจากเมืองจีน 2450 เลยอยากได้ลุกเยอะไว้ช่วยค้าขาย ข้างบ้านเป็นชาวสวนผลไม้มีลูกเยอะ 9 คน ไว้ช่วยทำไร่ทำสวน ถัดไปเป็นนายทหาร
เป้นมีลูกคนเดียว สมัยผมเด็กๆ หาเพื่อนกระเทียมโทนหัวเดียวลูกโทนอยาก ถือว่าแปลก สมัยนี้ก็กลับกัน เคยมีเพื่อนทีเรียนด้วยกันมาเป็นลูกคนเดียว แต่ตอนนี้มีลูก 4 คนแล้ว บอกคนเดียวมันเหงากรูรู้ดี ผมมีแล้วสอง อยากมีอีกหนึ่ง ยังงี้เป็นเบบี้บูมเมอร์มั๊ง
ส่วนที่ว่าขายคุณลุงคุณป้า คุณอา อะไรดี วัยก็เป็นผู้ใหญ่ที่ควรเค่รพนับถือ ทำอะไรที่ท่านมีความสุข สบายอกสบายใจ อย่างจัดทัวรืไปวัด กรุงเทพ ต่างจังหวัด ต่างประเทศ พอเห็นคนแก่ยิ้ม เม่อมองไปไกลๆ เหมือนคิดถึงความหลังดีๆครั้งเก่า เรารุ่นหลานก็พลอยมีความปลื้มใจไปด้วย คนแก่ขี้น้อยใจ เอาใจท่านบ้าง
เวลาเห็นคนแก่ร้องๆห้ด้วยความดีใจ ผมก็กลั้นไม่อยู่เหมือนกันนะ........ :lol:
ปีนี้ผม ซา ซือ ชี้ อาม่ามาจากเมืองจีน 2450 เลยอยากได้ลุกเยอะไว้ช่วยค้าขาย ข้างบ้านเป็นชาวสวนผลไม้มีลูกเยอะ 9 คน ไว้ช่วยทำไร่ทำสวน ถัดไปเป็นนายทหาร
เป้นมีลูกคนเดียว สมัยผมเด็กๆ หาเพื่อนกระเทียมโทนหัวเดียวลูกโทนอยาก ถือว่าแปลก สมัยนี้ก็กลับกัน เคยมีเพื่อนทีเรียนด้วยกันมาเป็นลูกคนเดียว แต่ตอนนี้มีลูก 4 คนแล้ว บอกคนเดียวมันเหงากรูรู้ดี ผมมีแล้วสอง อยากมีอีกหนึ่ง ยังงี้เป็นเบบี้บูมเมอร์มั๊ง
ส่วนที่ว่าขายคุณลุงคุณป้า คุณอา อะไรดี วัยก็เป็นผู้ใหญ่ที่ควรเค่รพนับถือ ทำอะไรที่ท่านมีความสุข สบายอกสบายใจ อย่างจัดทัวรืไปวัด กรุงเทพ ต่างจังหวัด ต่างประเทศ พอเห็นคนแก่ยิ้ม เม่อมองไปไกลๆ เหมือนคิดถึงความหลังดีๆครั้งเก่า เรารุ่นหลานก็พลอยมีความปลื้มใจไปด้วย คนแก่ขี้น้อยใจ เอาใจท่านบ้าง
เวลาเห็นคนแก่ร้องๆห้ด้วยความดีใจ ผมก็กลั้นไม่อยู่เหมือนกันนะ........ :lol:
-
- Verified User
- โพสต์: 260
- ผู้ติดตาม: 0
อะไรน่าจะเป็นสินค้าสำหรับคนในยุค babyboom??
โพสต์ที่ 13
คิดเหมือนผมเลย พวกจัดทัวร์น่ะครับ
โยงไปถึงธุรกิจโรงแรม รถเช่า
นอกจากนี้ก็บ้านพักตากอากาศ สวนไร่เชียงใหม่
โยงไปถึงธุรกิจโรงแรม รถเช่า
นอกจากนี้ก็บ้านพักตากอากาศ สวนไร่เชียงใหม่
- สุมาอี้
- Verified User
- โพสต์: 4576
- ผู้ติดตาม: 0
อะไรน่าจะเป็นสินค้าสำหรับคนในยุค babyboom??
โพสต์ที่ 14
[quote="ดร.โหน่ง"]เบบี้บูมเมอร์ในเมืองไทยผมว่าคงไม่อยู่ในช่วงเดียวกันกับที่อเมริกา แล้วลักษณะก้เป็นคนละกลุ่ม [quote]
อันนี้จริงครับ เคยอ่านเจอบทความเรื่องการเคลื่อนของประชากรของประเทศไทยรู้สึกจะไม่เหมือนกับของอเมริกา เอาไว้ว่างๆ จะขุดมาให้ดูกันครับ
จำได้ว่า Gen X มีชื่อเช่นนี้เพราะเด็กรุ่นนี้มีความเบลอๆ เรื่องอัตลักษณ์สูง ไม่รู้จะเอาใครเป็นแบบอย่าง ไม่รู้จะยึดมั่นถือมั่นอะไร ทำนองนี้น่ะครับ
ที่จริงแล้วผมสนใจเรื่อง demography เหมือนกัน กะจะเอามาเล็งหุ้น แต่ว่าไม่ได้สนใจบริษัทที่ขายของให้เบบี้บูมเมอร์ ที่ผมสนใจมากกว่าคือ แนวโน้มที่ครอบครัวไทยจะมีลักษณะเป็นครอบครัวเดี่ยวมากขึ้นในอนาคตครับ เหอๆ มีหุ้นในใจแล้วแต่ยังไม่บอกเพราะยังไม่ได้ซื้อครับ :twisted:
อันนี้จริงครับ เคยอ่านเจอบทความเรื่องการเคลื่อนของประชากรของประเทศไทยรู้สึกจะไม่เหมือนกับของอเมริกา เอาไว้ว่างๆ จะขุดมาให้ดูกันครับ
จำได้ว่า Gen X มีชื่อเช่นนี้เพราะเด็กรุ่นนี้มีความเบลอๆ เรื่องอัตลักษณ์สูง ไม่รู้จะเอาใครเป็นแบบอย่าง ไม่รู้จะยึดมั่นถือมั่นอะไร ทำนองนี้น่ะครับ
ที่จริงแล้วผมสนใจเรื่อง demography เหมือนกัน กะจะเอามาเล็งหุ้น แต่ว่าไม่ได้สนใจบริษัทที่ขายของให้เบบี้บูมเมอร์ ที่ผมสนใจมากกว่าคือ แนวโน้มที่ครอบครัวไทยจะมีลักษณะเป็นครอบครัวเดี่ยวมากขึ้นในอนาคตครับ เหอๆ มีหุ้นในใจแล้วแต่ยังไม่บอกเพราะยังไม่ได้ซื้อครับ :twisted:
http://dekisugi.net
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
- Rocker
- Verified User
- โพสต์: 4526
- ผู้ติดตาม: 0
อะไรน่าจะเป็นสินค้าสำหรับคนในยุค babyboom??
โพสต์ที่ 16
Hospital ไทยสามารถเป็นHub ได้ ครับ
ผมเคยเห็นบาง รพ ขาย package แบบให้ผู้ป่วย พักผ่อนที่อื่นได้ในช่วงพักฟื้นแต่packageพวกนี้แพงมากๆๆๆๆๆ
แนวโน้มอาจจะกลายเป็น รพ ผสม ท่องเที่ยว อะ :D
คนยิ่งแก่ลงก็มักจะ ป่วย มีโรค ตรวจ รักษา มากขึ้น
ผมเคยเห็นบาง รพ ขาย package แบบให้ผู้ป่วย พักผ่อนที่อื่นได้ในช่วงพักฟื้นแต่packageพวกนี้แพงมากๆๆๆๆๆ
แนวโน้มอาจจะกลายเป็น รพ ผสม ท่องเที่ยว อะ :D
คนยิ่งแก่ลงก็มักจะ ป่วย มีโรค ตรวจ รักษา มากขึ้น
- สามัญชน
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 5162
- ผู้ติดตาม: 0
อะไรน่าจะเป็นสินค้าสำหรับคนในยุค babyboom??
โพสต์ที่ 17
http://www.bangkokbiznews.com/2006/09/0 ... _id=125929
"วัยทอง" เมืองไทยพุ่ง 20 ล้านคนใน 10 ปี โอกาสทองธุรกิจรับกำลังซื้อกลุ่มใหม่
3 สิงหาคม 2549 15:31 น.
วัยทอง ในประเทศไทยกำลังเป็นขุมทรัพย์ใหม่ของธุรกิจสินค้าและบริการ นักการตลาดระบุว่า วัยทองเป็นกลุ่มกำลังซื้อมหาศาลในอนาคต
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : - ข้อมูลจากหนังสือ "Marketing to the Old : กลเม็ดเจาะเซฟวัยทอง" ระบุว่า โครงสร้างประชากรกำลังเดินเข้าสู่ "สังคมผู้สูงอายุ" (Aging Society) ซึ่งจะฉายภาพความชัดเจนมากขึ้น ในช่วง 5 ปีจากนี้ ตามรายงานสถิติแห่งชาติระบุว่า ประชากรโลกที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จาก 6,070.6 ล้านคนในปี พ.ศ.2543 เป็น 6,453.6 ล้านคนในปี พ.ศ.2548 และเพิ่มเป็น 7,851.4 ล้านคนในปีพ.ศ.2568 หรือในอีก 25 ปีข้างหน้า ประชากรโลกในกลุ่ม "วัยสูงอายุ" (อายุ 60 ปีขึ้นไป) มีอัตราการเพิ่มจาก 10% ในปี 2543 เป็น 15% ในปี 2568
ปรากฏการณ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า โครงสร้างของประชากรกำลังเปลี่ยนจากโครงสร้างประชากรวัยเด็กในอดีตเป็นประชาวัยกรสูงอายุ หรือสังคมผู้สูงอายุในอนาคต...
ขณะที่ข้อมูลจาก CIA World Fact Book ระบุว่า เมืองไทยจะมีผู้มีอายุ 65 ปี ขึ้นไปถึง 7.5% ของประชากรปัจจุบันคนอายุระหว่าง 15-59 ปี มีสัดส่วนสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
แนวโน้มดังกล่าว ทำให้ตลาดวัยทอง ที่เคยเป็นตลาดเฉพาะกลุ่ม จะขยับขยายเซ็กเมนท์ ใหญ่ขึ้น และเป็นกลุ่มลูกค้าที่เจ้าของสินค้าและบริการเริ่มจับจ้อง เพราะคนวัยทองคือ ขุมทรัพย์ในอนาคต ที่มีกำลังซื้อมหาศาล หากรู้จักปรับตัว และเตรียมพร้อมที่จะต้องสนองความต้องการของคนกลุ่มดังกล่าว
ข้อมูล "มีเดีย อินเด็กซ์ 2005" เมื่อเดือน เมษายน 2548 ของบริษัท มีเดีย อินเทลลิเจนท์ จำกัด เฉพาะในเขตกรุงเทพฯ พบว่า กลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้ออยู่ในระดับบน รายได้ตั้งแต่ 40,000 บาทต่อครอบครัวขึ้น และมีอายุตั้งแต่ 45 ปีขึ้นไป คาดว่าจะมีจำนวน 6.94 แสนคน โดยรวมทั่วประเทศคาดว่าคนอายุ 45 ปี ซึ่งอยู่ในกลุ่มระดับบน มีมากถึง 2.65 ล้านคน
ตลาดผู้สูงอายุระดับบน เข้าใช้บริการอย่างหนาแน่นในโรงพยาบาลเอกชน ศูนย์การค้า และร้านอาหาร รวมไปถึงสินค้าประเภทสลากออมสิน พันธบัตร ล้วนเป็นกลุ่มคนมีอายุที่เข้าคิวซื้อทั้งสิ้น นอกจากนี้ กลุ่มข้าราชการและเอกชน มีแนวโน้มการทำเออร์ลีรีไทร์มากขึ้น เท่ากับว่า พวกเขามีทางเลือกที่จะได้เงินในอนาคตมาใช้ก่อน และนำเม็ดเงินเหล่านี้ไปลงทุนต่อเนื่อง
กลุ่มตลาดสูงอายุในเมืองไทย โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ ยังมีกลุ่มลูกค้าวัยทองระดับบนที่มีเงิน... มีกำลังซื้ออยู่จำนวนไม่น้อยกว่า 6.94 แสนราย หรือทั่วประเทศจำนวน 2.6 ล้านราย
บริษัทข้ามชาติหลายแห่ง เริ่มวางแผนพัฒนาสินค้าเจาะตลาดคนกลุ่มนี้แล้ว อาทิ พีแอนด์จีเตรียมแยกเซ็กเมนท์ผู้บริโภคกลุ่มอายุ 50 ปีขึ้นไป Anheuser-Busch ผู้ผลิตเบียร์รายใหญ่ของอเมริกา กระโดดลงมาเปิดตัวเบียร์แบรนด์ใหม่ Michelob Ultra เจาะกลุ่มนักดื่มอายุ 50 ปีขึ้นไป ค่ายโซนี่ ออกกล้องดิจิทัล Camcorder ตั้งเป้าหมายเจาะกลุ่มลูกค้าวัย 50 ปีขึ้นไป การเปิดตัวแคมเปญ Megical Gathering ของ วอลท์ ดิสนีย์ เล็งเป้าหมายมายังกลุ่มคนสูงอายุที่ชอบเดินทาง รวมถึงในห้างสรรพสินค้าชื่อดังในญี่ปุ่น ยุโรป อเมริกา เริ่มมีการเพิ่มเซ็กเมนท์ของ สินค้าสำหรับผู้สูงอายุ
ประเทศไทยยังเห็นแนวโน้มการทำตลาดกลุ่มผู้สูงอายุ เช่น บริษัท ไทยประกันชีวิต ที่ได้ออกกรมธรรม์บำนาญ บริษัท ไทยจัดการลองสเตย์ ที่เปลี่ยนเป้าหมายมาจับลูกค้าอายุ 50-60ปี ฯลฯ
โอกาสธุรกิจสำหรับกลุ่มลูกค้าวัยทอง จึงไม่เพียงจะมีแต่โรงพยาบาล อาหารสุขภาพ ผ้าอ้อมใหญ่ ฯลฯ เท่านั้น หากลองเข้าไปเสิร์ชหาเวบไซต์ โดยใช้คำค้นว่า "Senior" จะพบกับเวบไซต์ธุรกิจสินค้าและบริการมากมาย ล้วนทำออกมาเพื่อเจาะกลุ่มลูกค้ารุ่นเดอะ
รศ.ดร.สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ ผู้เชี่ยวชาญทางด้านการตลาดวิเคราะห์ว่า โครงสร้างประชากรที่เปลี่ยนไป ได้ส่งผลให้สินค้าและบริการหลายอย่างได้จับตาดูพฤติกรรมดังกล่าวอย่างใกล้ชิด เพื่อจะออกสินค้าและบริการให้ตรงตามความชอบของประชากรกลุ่มวัยทอง ถือเป็นเทรนด์ทางการตลาดแนวใหม่ ที่ไม่ควรมองข้าม!
ธีรพล แซ่ตั้ง ผู้เชี่ยวชาญเชิงกลยุทธ์การตลาดจาก เทเล มาร์เก็ตติ้ง สแทร็ททีจี คอมมิวนิเคชั่นส์ ผู้เชี่ยวชาญเชิงกลยุทธ์การตลาด กล่าวว่า แนวโน้มที่เกิดขึ้นจะเป็นโอกาสของสินค้าและบริการใน 3 กลุ่มหลักด้วยกัน คือ 1.สุขภาพ 2.ท่องเที่ยว 3.กีฬาและงานอดิเรก
พร้อมกับทิ้งท้ายอย่างน่าสนใจว่า การทำตลาดควรจะให้ความสำคัญกับลูกหลาน หรือผู้ใกล้ชิดของกลุ่มคนวัยทองที่สูงอายุด้วย เพราะจะเป็นผู้จ่ายเงิน หรือ คนตัดสินใจ ในการใช้บริการต่างๆ และสิ่งที่ขาดหายไปขณะนี้คือ ยังไม่มีสินค้าและบริการที่จะบริการแบบ One Stop service ดูแลตั้งแต่ต้นจนจบ"
ทุกความเห็นย่อมเปลี่ยนไปตามความรู้ การเรียนรู้ย่อมไม่มีจุดสิ้นสุด
- สุมาอี้
- Verified User
- โพสต์: 4576
- ผู้ติดตาม: 0
อะไรน่าจะเป็นสินค้าสำหรับคนในยุค babyboom??
โพสต์ที่ 18
ไปค้นมาแล้วครับ ตอนนี้ประชากรกลุ่มใหญ่ที่สุดของไทยกำลังมีอายุ 25-35 ปีครับ และในอนาคตทั้งระยะใกล้ ระยะกลาง และระยะไกล ประเทศไทยไม่มีปัญหาเรื่องคนแก่ล้นประเทศเหมือนกับประเทศอื่นๆ แต่อย่างใดครับ
http://dekisugi.net
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 3763
- ผู้ติดตาม: 0
อะไรน่าจะเป็นสินค้าสำหรับคนในยุค babyboom??
โพสต์ที่ 19
พี่สุมาอี้ครับ เผอิญผมอยากเก็บข้อมูลตัวนี้ไว้ด้วยไม่ทราบว่าพอจะหาจากที่ไหนได้บ้างครับผม รบกวนด้วยนะครับสุมาอี้ เขียน:ไปค้นมาแล้วครับ ตอนนี้ประชากรกลุ่มใหญ่ที่สุดของไทยกำลังมีอายุ 25-35 ปีครับ และในอนาคตทั้งระยะใกล้ ระยะกลาง และระยะไกล ประเทศไทยไม่มีปัญหาเรื่องคนแก่ล้นประเทศเหมือนกับประเทศอื่นๆ แต่อย่างใดครับ
Impossible is Nothing
- สุมาอี้
- Verified User
- โพสต์: 4576
- ผู้ติดตาม: 0
อะไรน่าจะเป็นสินค้าสำหรับคนในยุค babyboom??
โพสต์ที่ 20
ส่งไปให้แล้วครับwoody เขียน: พี่สุมาอี้ครับ เผอิญผมอยากเก็บข้อมูลตัวนี้ไว้ด้วยไม่ทราบว่าพอจะหาจากที่ไหนได้บ้างครับผม รบกวนด้วยนะครับ
http://dekisugi.net
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1717
- ผู้ติดตาม: 0
อะไรน่าจะเป็นสินค้าสำหรับคนในยุค babyboom??
โพสต์ที่ 23
ในความเห็นของผม การกำหนด Generation ในเมืองไทย
ควรกำหนดจากสภาวะทางเศรษฐกิจตามยุคสมัยของไทยเองครับ..
สหรัฐ กำหนดยุค " Baby boom " หลังสิ้นสุดยุคเศรษฐกิจตกต่ำหลังสงครามโลก
จึงเรียกเด็กที่เกิดยุคนั้นว่า " Baby Boom "
ส่วนในเมืองไทยนั้น.. หากจะพิจารณายุคเศรษฐกิจตกต่ำ
ในยุคนายกเปรมลดค่าเงินครั้งแรก..
ยุคของนายกชาติชายเป็นยุคที่เศรษฐกิจฟื้นตัวและรุ่งเรือง..
เป็นยุคที่เศรษฐกิจการค้าขายการส่งออกและตลาดหุ้นบูมสุดๆ..
จึงน่าจะเป็นยุค " Baby boom " ของไทยอย่างแท้จริง..
ส่วนยุคนายกชวลิตที่มีการลดค่าเงินครั้งใหญ่ที่สุด...
เกิดฟองสบู่แตกเศรษฐกิจตกต่ำค่าเงินหดหาย..
ผู้คนยากจนติดหนี้สินล้มละลายเต็มไปหมด..
น่าจะเรียกเด็กที่เกิดยุคนี้ว่า " Baby bubble "
ส่วนเศรษฐกิจยุคที่นายกคนปัจจุบันที่คิดนอกกรอบ..
แจกเงินแจกทอง นำเงินในอนาคตมาใช้เลียนแบบอเมริกานี้..
ควรจะเรียกว่ายุคอะไรดีครับ.. ?
ควรกำหนดจากสภาวะทางเศรษฐกิจตามยุคสมัยของไทยเองครับ..
สหรัฐ กำหนดยุค " Baby boom " หลังสิ้นสุดยุคเศรษฐกิจตกต่ำหลังสงครามโลก
จึงเรียกเด็กที่เกิดยุคนั้นว่า " Baby Boom "
ส่วนในเมืองไทยนั้น.. หากจะพิจารณายุคเศรษฐกิจตกต่ำ
ในยุคนายกเปรมลดค่าเงินครั้งแรก..
ยุคของนายกชาติชายเป็นยุคที่เศรษฐกิจฟื้นตัวและรุ่งเรือง..
เป็นยุคที่เศรษฐกิจการค้าขายการส่งออกและตลาดหุ้นบูมสุดๆ..
จึงน่าจะเป็นยุค " Baby boom " ของไทยอย่างแท้จริง..
ส่วนยุคนายกชวลิตที่มีการลดค่าเงินครั้งใหญ่ที่สุด...
เกิดฟองสบู่แตกเศรษฐกิจตกต่ำค่าเงินหดหาย..
ผู้คนยากจนติดหนี้สินล้มละลายเต็มไปหมด..
น่าจะเรียกเด็กที่เกิดยุคนี้ว่า " Baby bubble "
ส่วนเศรษฐกิจยุคที่นายกคนปัจจุบันที่คิดนอกกรอบ..
แจกเงินแจกทอง นำเงินในอนาคตมาใช้เลียนแบบอเมริกานี้..
ควรจะเรียกว่ายุคอะไรดีครับ.. ?

- สามัญชน
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 5162
- ผู้ติดตาม: 0
อะไรน่าจะเป็นสินค้าสำหรับคนในยุค babyboom??
โพสต์ที่ 25
baby boom ไม่ได้กำหนดตามภาวะเศรษฐกิจนี่ครับ เศรษฐกิจมาเกี่ยวอะไรด้วย งง ?
baby boom แปลว่า มีเด็กเกิดใหม่อย่างมากมาย เลยเรียกว่า baby boom
ของอเมริกาหรือทั่วโลกนั้น มีคนตายเพราะสงครามโลกมากมาย จนประชากรในประเทศลดจำนวนลงอย่างมากซึ่งจะส่งผลกระทบต่อทุกๆด้านสำหรับการพัฒนาประเทศ แต่ละประเทศจึงมีแผนรณรงค์ให้ประชากรมีลูกมากๆเพื่อชดเชยจำนวนที่ตายไปจากสงคราม
มีมาตรการส่งเสริมจากภาครัฐมากมายเพียบแปร้.... และประชากรก็ให้ความร่วมมือ ผลิตเด็กออกมามากเป็นประวัติการณ์ เขาก็เลยเรียกว่าเป็นยุค baby boom .........แม่นบ่.
baby boom แปลว่า มีเด็กเกิดใหม่อย่างมากมาย เลยเรียกว่า baby boom
ของอเมริกาหรือทั่วโลกนั้น มีคนตายเพราะสงครามโลกมากมาย จนประชากรในประเทศลดจำนวนลงอย่างมากซึ่งจะส่งผลกระทบต่อทุกๆด้านสำหรับการพัฒนาประเทศ แต่ละประเทศจึงมีแผนรณรงค์ให้ประชากรมีลูกมากๆเพื่อชดเชยจำนวนที่ตายไปจากสงคราม
มีมาตรการส่งเสริมจากภาครัฐมากมายเพียบแปร้.... และประชากรก็ให้ความร่วมมือ ผลิตเด็กออกมามากเป็นประวัติการณ์ เขาก็เลยเรียกว่าเป็นยุค baby boom .........แม่นบ่.
ทุกความเห็นย่อมเปลี่ยนไปตามความรู้ การเรียนรู้ย่อมไม่มีจุดสิ้นสุด
-
- Verified User
- โพสต์: 1717
- ผู้ติดตาม: 0
อะไรน่าจะเป็นสินค้าสำหรับคนในยุค babyboom??
โพสต์ที่ 26
ตอบคุณหมอศรรามครับ..
ถ้าจะพูดถึงประวัติศาสตร์ เราก็น่าจะพูดให้ครอบคลุมหลายๆด้าน..
ยุค Baby boom ในส่วนที่เป็นเด็กเกิดมากอย่างที่คุณหมอเข้าใจก็ถูกครับ..
แต่ที่ผมพูดถึง " Baby boom " จากการดูพฤติกรรมการบริโภคจับจ่ายใช้สอยด้วย...
ไม่งั้น... แล้วเราพูดถึง Yuppy Generation X ทำไมเหรอครับ..
ถ้าจะพูดถึงประวัติศาสตร์ เราก็น่าจะพูดให้ครอบคลุมหลายๆด้าน..
ยุค Baby boom ในส่วนที่เป็นเด็กเกิดมากอย่างที่คุณหมอเข้าใจก็ถูกครับ..
แต่ที่ผมพูดถึง " Baby boom " จากการดูพฤติกรรมการบริโภคจับจ่ายใช้สอยด้วย...
ไม่งั้น... แล้วเราพูดถึง Yuppy Generation X ทำไมเหรอครับ..
- สามัญชน
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 5162
- ผู้ติดตาม: 0
อะไรน่าจะเป็นสินค้าสำหรับคนในยุค babyboom??
โพสต์ที่ 27
definition นั้นเป็นความหมายสากล เราจะตีความเอาตามใจฉันไม่ได้หรอกครับ
genneration x เป็นการแบ่งในแง่ของ รุ่นหรือยุคสมัย เช่น รุ่นพระเจ้าเหา(รุ่นผมเอง555) รุ่นเด็กฮาร์ท รุ่นเอ็กซ์ รุ่นช่างกลครองเมือง ฯลฯ
ส่วนถ้าแบ่งในแง่การบริโภคหรือแบ่งตามแฟชั่น ก็อาจจะได้ เด็กบู เด็กแนว เด็กเซอร์ เป็นต้น
genneration x เป็นการแบ่งในแง่ของ รุ่นหรือยุคสมัย เช่น รุ่นพระเจ้าเหา(รุ่นผมเอง555) รุ่นเด็กฮาร์ท รุ่นเอ็กซ์ รุ่นช่างกลครองเมือง ฯลฯ
ส่วนถ้าแบ่งในแง่การบริโภคหรือแบ่งตามแฟชั่น ก็อาจจะได้ เด็กบู เด็กแนว เด็กเซอร์ เป็นต้น
ผมแย้งเพราะเห็นว่าตรงนี้ไม่ตรงตาม definition ที่ใช้กันอยู่อย่างแพร่หลายทั่วไปครับ เพราะถ้าจะเรียกว่ายุคนี้เศรษฐกิจฟื้นตัวและรุ่งเรือง เราก็เรียกว่ายุคเศรษฐกิจบูม หรือยุค อีโคโนมิคบูม ซึ่งไม่เกี่ยวกับ babyยุคของนายกชาติชายเป็นยุคที่เศรษฐกิจฟื้นตัวและรุ่งเรือง..
เป็นยุคที่เศรษฐกิจการค้าขายการส่งออกและตลาดหุ้นบูมสุดๆ..
จึงน่าจะเป็นยุค " Baby boom " ของไทยอย่างแท้จริง..
ทุกความเห็นย่อมเปลี่ยนไปตามความรู้ การเรียนรู้ย่อมไม่มีจุดสิ้นสุด
-
- Verified User
- โพสต์: 1717
- ผู้ติดตาม: 0
อะไรน่าจะเป็นสินค้าสำหรับคนในยุค babyboom??
โพสต์ที่ 29
เช่นกันครับ..สามัญชน เขียน:ขออภัยที่ต้องโต้แย้งครับ.......ถือว่าแลกเปลี่ยนความรู้กันนะครับ

-
- Verified User
- โพสต์: 1717
- ผู้ติดตาม: 0
อะไรน่าจะเป็นสินค้าสำหรับคนในยุค babyboom??
โพสต์ที่ 30
เอาบทความที่มีผู้เขียนไว้ตั้งแต่ปี คศ.2000 มาฝากครับ..
วัฒนธรรมย่อยแบ่งตามอายุในอเมริกา
การแบ่งกลุ่มผู้บริโภคแบ่งตามกลุ่มอายุที่สำคัญของนักการตลาดในประเทศสหรัฐอเมริกา แบ่งออกเป็น 4 กลุ่มดังนี้
1. กลุ่มเบบี้บูมเมอร์ (baby boomers)
2. กลุ่มเจเนอเรชั่น เอ็กซ์ (generation X)
3. กลุ่มเจเนอเรชั่น วาย(generation Y)
4. กลุ่มผู้สูงอายุ (the elderly)
1. กลุ่มเบบี้บูมเมอร์ (Baby boomers)
ผู้บริโภคกลุ่มนี้ เป็นกลุ่มคนที่เกิดในช่วงระหว่างปี ค.ศ. 1946 - 1964 หรือระหว่างหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จนถึงจนถึงปี ค.ศ. 1964 เป็นกลุ่มที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกา ประมาณ 80 ล้านคน เป็นกลุ่มที่ได้รับการศึกษาสูง รายได้ดี และมีอาชีพทั้งคู่ในครัวเรือน เบบี้บูมเมอร์ ส่วนใหญ่ในปัจจุบัน ประมาณ 60 เปอร์เซ็นต์ มีฐานะเป็นพ่อแม่ และสำหรับผู้ที่เกิดในระยะต้นๆก็จะเริ่มเข้าสู่ฐานะเป็น ปู่ย่าตายาย แล้ว
ในปี ค.ศ. 2000 กลุ่มคนรุ่นนี้ ก็จะมีอายุย่างเข้าสู่วัยระหว่าง 36 - 54 ปี อันเป็นช่วงของการมีครอบครัวและมีบ้านเป็นของตนเอง และทั้งเป็นวัยที่จะต้องประหยัดเงิน เพื่อการศึกษา และการแต่งงานของลูก รวมทั้งเป็นช่วงที่ตัวเองต้องเริ่มวางแผนเพื่อการปลดเกษียณ หรืออกจากงานอีกด้วย ความเป็นห่วงกังวลในเรื่องน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น ก็จะมีมากขึ้น ในขณะเดียวกัน ความต้องการในผลิตภัณฑ์และบริการของคนกลุ่มนี้ก็จะตามมา เช่น ศัลยกรรมตกแต่ง (Plastic surgery) การปลูกผม การเป็นสมาชิกตามสถานที่บริการ ที่เกี่ยวกับสุขภาพและอนามัย เครื่องสำอางสำหรับผู้ชาย และผู้หญิง การย้อยผม อาหารเพื่อสุขภาพ และผลิตภัณฑ์อื่นๆที่เกี่ยวข้องสำหรับคนที่ช่วงอายุระดับนี้ จะเป็นที่ต้องการ
นอกจากนั้น กลุ่มเบบี้บูมเมอร์ จำนวนไม่น้อยที่ยังคงเลี้ยงดูบุตรจนกระทั่งอายุข้าสู่ตอนปลาย 20 ปี หรือ 30 ปี จำนวนประชากรเด็กที่เพิ่มขึ้นจากเบบี้บูมเมอร์ในส่วนหลัง คือเด็กที่เกิดระหว่างปี ค.ศ. 1976 - 1990 เด็กกลุ่มนี้เรียกว่า Baby boomlet ทำให้เกิดตลาดเป้าหมายที่สำคัญสำหรับนักการตลาด ที่จะผลิตสินค้า และบริการสนองความต้องการของเด็กกลุ่มนี้ และเนื่องจากเบบี้บูมเมอร์ มีครอบครัว ที่ทั้งสามี ภรรยาต่างมีอาชีพด้วยกัน (Dual - career families) ซึ่งต้องออกจากบ้านไปทำงาน ต้องทิ้งเด็กไว้ที่บ้าน ความจำเป็นสำหรับการบริการดูแลเด็กที่บ้าน (Child - care services) จึงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
2. กลุ่มเจเนอเรชั่น เอ็กซ์ (Generation X)
ผู้บริโภคกลุ่มนี้ เป็นกลุ่มคนที่เกิดระหว่างช่วงปี ค.ศ. 1965-1976 หรือมีอายุประมาณ 18-29 ปี มีชื่อเรียกกันอีกหลายชื่อ เช่น Twenty somethings Baby busters Afterboomers และ Flters เป็นต้น คนกลุ่มนี้มีจำนวนน้อยกว่ากลุ่มแรก คือมีประมาณ 46 ล้านคน ลักษณะพิเศษคือ ความรู้สึกที่ไม่พอใจที่หางานทำลำบาก และทั้งความรู้สึกว่าไม่มีความก้าวหน้า เพราะงานดีๆส่วนมากกลุ่มรุ่นพี่ เบบี้ บูม (Baby boom generation) เป็นผู้เข้าครอบครองเสียเป็นส่วนใหญ่ เจเนอเรชั่นเอ้กซ์ หรือ Xers มีความรู้สึกว่า พวกเขา ถูกโกง (cheated) หรือถูกเอารัดเอาเปรียบ โดยระบบที่ไม่อาจจะช่วยอะไรได้ ระดับรายได้จึงค่อนข้างต่ำกว่าที่คาดหวังบางคนมีความรู้สึกว่า พวกเขาจะไม่สามารถประสบความสำเร็จเท่ากับรุ่นพ่อแม่เหนือกว่าได้เลย ยิ่งสร้างความไม่พอใจให้กับพวกเขามากขึ้น และลดความเป็นวัตถุนิยมน้อยลง
ความรู้สึกไม่พอใจดังกล่าว จึงสะท้อนออกมาในรูปแบบการบริโภค ตัวอย่างเช่น การชอบดนตรีที่สะท้อนความโกรธ เช่น เพลงแร็พ (Rap) และฮาร์ดร็อค (hard rock) เป็นต้น แต่กลุ่มนี้ประสบความสำเร็จและเก่งทางด้านการใช้เทคโนโลยีมาก 43 เปอร์เซ็นต์ ของกลุ่มนี้ (Twenty somethings) มีเครื่องคอมพิวเตอร์เป็นของตนเอง 70 เปอร์เซ็นต์จะใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ทุกวัน และเป็นกลุ่มที่ใช้อินเตอร์เน็ตสูงสุด
เนื่องจากกลุ่มเจเนอเรชั่น เอ็กซ์ มักจะมีรายได้ต่ำดังกล่าว ดังนั้นกลุ่มคนรุ่นนี้บางคนจึงใช้วิธีประหยัดเงินเพื่อเพิ่มรายได้ให้กับตนเอง ด้วยการอาศัยอยู่กับพ่อ แม่ จนอายุย่างเข้าสู่วัย 30 ปีหรือจนกระทั่งแต่งงาน เพราะว่าพ่อแม่จะเป็นคนจ่ายเงินในสิ่งที่จำเป็นให้พวกเขา กลุ่มเจนเนอเรชั่น เอ็กซ์พวกนี้เขาเรียกว่า Boomerang kids ซึ่งชอบใช้เงินทางด้านความบันเทิงเพื่อความเพลิดเพลินไม่รีบร้อนในการตั้งหลักฐานเหมือนคนรุ่นแรก การแต่งงานจึงช้า ดังนั้นจึงมีแนวโน้มที่จะซื้อผลิตภัณฑ์ เช่น รถยนต์ใหม่ เครื่องเสียง หรือโทรทัศน์ เป็นต้น ความสัมพันธ์กับพ่อแม่จึงใกล้ชิด บางครั้งเสมือนหนึ่งเป็นเพื่อน หรือเพื่อนร่วมห้อง
ผู้บริโภคกลุ่มเจเนอเรชั่น เอ็กซ์ เป็นส่วนตลาดเป้าหมายสำคัญสำหรับผลิตภัณฑ์ทางด้านดนตรี ภาพยนตร์ การท่องเที่ยว เบียร์ อาหารฟาสต์ฟูด เสื้อผ้า กางเกงยีนส์ รองเท้ากีฬา และเครื่องสำอาง เป็นต้น และเป็นตลาดสำคัญสำหรับผลิตภัณฑ์ PC CD-ROM และวีดีโอเกม เป็นต้น
3. กลุ่มเจเนอเรชั่น วาย (Generation Y)
ผู้บริโภคกลุ่มนี้ คือ กลุ่มทีนเอจหรือกลุ่มวัยรุ่นในปัจจุบันนั่นเอง เป็นกลุ่มเบบี้ บูมเมอร์รุ่นใหม่ ซึ่งรุ่นแรกจะเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ในปี ค.ศ. 2000 กลุ่มรุ่นใหม่นี้จะมีอายุประมาณ 18 ปี หรือต่ำกว่ามีจำนวนประมาณ 72 ล้านคน หรือประมาณ 28 เปอร์เซ็นต์ ของประชากรทั้งหมดในรุ่นปัจจุบัน เทียบกับเบบี้ บูมเมอร์รุ่นแรกซึ่งมีประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์
กลุ่มเจเนอเรชั่น วาย หรือ Yers เป็นกลุ่มคนรุ่นแรกที่เจริญเติบโตในช่วงที่โอกาสการทำงานมีเต็มที่ (Full - employment opportunities) อยู่ในครัวเรือนที่พ่อแม่ต่างมีรายได้ (Dual - income households) ครอบครัวที่มีความหลากหลายทางด้านเชื้อชาติและวัฒนธรรม มีคอมพิวเตอร์ใช้ทั้งที่โรงเรียนและที่บ้าน พร้อมกับอินเทอร์เน็ต และทั้งคนรุ่นนี้ส่วนหนึ่งเจริญเติบโตท่ามกลางครอบครัวที่มีการหย่าร้าง โรคเอดส์ ยาเสพย์ติด ลัทธิก่อการร้าย แก๊งอันพาล พ่อแม่ต้องออกจากงานเพราะว่าบริษัทลดขนาดลง และอำนาจในการซื้อของครอบครัวลดลง
จากการศึกษาพบว่า มากกว่าหนึ่งในสามของคนรุ่นนี้ทำงานเพื่อได้รับค่าจ้าง (Wages) และมากกว่าเด็กครึ่งหนึ่งของเด็กอายุ 15 ปีมีงานทำ พวกเขามีภาพลักษณ์เกี่ยวกับตนเองในทางดี (positive self images) มองตนเองเป็นคนใจดี (kind) เชื่อถือได้ (trustworthy) มีสติปัญญา (intelligent) มีความสุข (happy) มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ (creative) คล่องแคล่ว (active) และอดทน (tolerant) สำหรับเวลาเป็นชั่วโมงที่ใช้ไปในกิจกรรมต่างๆโดยเฉลี่ยใน 1 สัปดาห์ มีดังนี้
นักการตลาดมีความสนใจ ผู้บริโภคกลุ่ม Yers หรือกลุ่มทีนเอจ ด้วยเหตุผลสองประการคือ ประการแรก รสนิยมและความชอบต่อสินค้าและบริการของคนกลุ่มนี้ ซึ่งก่อตัวขึ้นมาในระหว่างที่ยังอยู่ในวัยทีนเอจ มีอิทธิพลต่อการซื้อของเขาตลอดชีวิต ประการที่สอง ค่าใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนตัวในแต่ละปีมีจำนวนตัวเลขสูง ค่าใช้จ่าย 2 ใน 3 ส่วนมากมาจากรายไดของเขาเอง ส่วนอีก 1 ใน 3 ส่วนได้มาจากพ่อแม่ นอกจากนั้นเขายังใช้จ่ายให้กับครัวเรือน รวมทั้งเป็นผู้มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อ รายการผลิตภัณฑ์อื่นๆอีกมาก นักการตลาดที่มุ่งเป้าหมายที่กลุ่มผู้บริโภครุ่นนี้ จำเป็นที่จะต้องรู้จักใช้ภาษาที่เหมาะสมสอดคล้องของวัยของเขา รวมทั้งดนตรี และภาพลักษณ์ที่นำมาใช้ การเลือกใช้สื่อเพื่อโฆษณาทางนิตยสาร โทรทัศน์และวิทยุ ก็ต้องพิจารณาให้เหมาสมกับรูปแบบ สไตล์ การดำเนินชีวิตของเขา และผลิตภัณฑ์ที่นำเสนอก็จะสอดคล้องตามรสนิยมที่หลากหลายของเขาอีกด้วย
4. กลุ่มผู้สูงอายุ (The elderly)
ผู้บริโภคกลุ่มนี้ เป็นกลุ่มนี้ที่ 4 เป็นกลุ่มคนชราของอเมริกา หรือ Graying of America อายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป ในปัจจุบันประชากรในประเทศอเมริกา มากกว่า 43 เปอร์เซ็นต์มีอายุ 50 ปีขึ้นไปหรือแก่กว่า (15% มีอายุมากกว่า 65 ปี) และจำนวนเปอร์เซ็นต์นี้จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกับในยุค เบบี้ บูมเมอร์ และคาดว่าพอถึงปี ค.ศ. 2020 คนอเมริกันอายุมากกว่า 65 ปีจะมากกว่ากลุ่มเด็กวัยทีนเอจในอัตราส่วน 2 ต่อ 1 เลยทีเดียว
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้โครงสร้างของประชากรอเมริกันในอนาคตลักษณะดังกล่าว เกิดจากปัจจัย 3 ประการคือ (1.) อัตราการเกิด (Birth rate) ลดลงอันเป็นผลจากเทคโนโลยีทางด้านการคุมกำเนิด (Contraceptive technology) รวมทั้งค่านิยมทางวัฒนธรรม (Cultural values) และรูปแบบของการดำเนินชีวิต (lifestyle patterns) ที่นิยมมีบุตรมาก (2.) อัตราการตาย (Mortality rates) ลดลงอย่างมากนับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1970 เป็นต้นมา ทำให้ประชากรมีอายุยืนยาวเพิ่มขึ้น และ (3.) อัตราการอพยพเข้ามาจากต่างประเทศ (Immigration rates)
นักการตลาดโดยทั่วไปจะแบ่งตลาดผู้สูงอายุออกเป็น 2 กลุ่ม โดยอาศัยแบบการดำเนินชีวิต และลักษณะที่ต่างกัน ดังนี้คือ
4.1 กลุ่มเป็นหนุ่มสาวใหม่ (Young again) กลุ่มนี้มีอายุระหว่าง 50-65ปี โดยปกติผู้สูงอายุกลุ่มนี้ จะมีความคิดว่าตนเองมีอายุต่ำกว่าอายุที่เป็นจริงประมาณ 15 ปี และมีความคิดเสมือนหนึ่งตนเองยังคงอยู่ในรุ่นเบบี้ บูมเมอร์ ที่มีอายุมากขึ้น มากกว่าที่จะคิดว่าตนเองเป็นผู้สูงอายุ ดังนั้นพวกเขาจึงใช้วิธีดำเนินชีวิตที่ค่อนข้างกระฉับกระเฉงว่องไวต่อไป ไม่ยอมแก่ตามอายุ โดยเฉพาะผู้มีอายุระหว่าง 55-65 ปี ถือว่าเข้าสู่วัยปีทองของชีวิต (Golden years) คนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่มีรายได้เพื่อการจับจ่ายใช้สอยมาก เนื่องจากมีภาระที่ต้องจ่ายลดน้อยลง
4.2 กลุ่มตลาดคนชรา (Gray market) กลุ่มนี้เป็นกลุ่มผู้บริโภคที่มีอายุมากกว่า 65 ปี เนื่องจากคนกลุ่มนี้เคยผ่านชีวิตในช่วงเกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำมาแล้ว จึงมีกรอบความคิด (mind - set) เอนเอียงทางด้านการประหยัดมากกว่าที่จะใช้จ่าย กลุ่มคนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่ แม้ว่าจะมีอายุ 75 ปี หรือมากกว่าสามารถพึ่งตนเองได้ในการดำเนินกิจกรรมต่างๆซึ่งรวมทั้งการเดิน การทำอาหาร การจ่ายตลาด การทำงานบ้าน และการอาบน้ำ พวกเขาไม่ชอบที่อ้างถึงว่าเป็นพวกคนแก่ และลักษณะที่เห็นเด่นชัดอีกอย่างหนึ่งก็คือ คนกลุ่มนี้เป็นผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย เพราะผู้หญิงโดยเฉลี่ยมีอายุยืนกว่า
วัฒนธรรมย่อยแบ่งตามอายุในอเมริกา
การแบ่งกลุ่มผู้บริโภคแบ่งตามกลุ่มอายุที่สำคัญของนักการตลาดในประเทศสหรัฐอเมริกา แบ่งออกเป็น 4 กลุ่มดังนี้
1. กลุ่มเบบี้บูมเมอร์ (baby boomers)
2. กลุ่มเจเนอเรชั่น เอ็กซ์ (generation X)
3. กลุ่มเจเนอเรชั่น วาย(generation Y)
4. กลุ่มผู้สูงอายุ (the elderly)
1. กลุ่มเบบี้บูมเมอร์ (Baby boomers)
ผู้บริโภคกลุ่มนี้ เป็นกลุ่มคนที่เกิดในช่วงระหว่างปี ค.ศ. 1946 - 1964 หรือระหว่างหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จนถึงจนถึงปี ค.ศ. 1964 เป็นกลุ่มที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกา ประมาณ 80 ล้านคน เป็นกลุ่มที่ได้รับการศึกษาสูง รายได้ดี และมีอาชีพทั้งคู่ในครัวเรือน เบบี้บูมเมอร์ ส่วนใหญ่ในปัจจุบัน ประมาณ 60 เปอร์เซ็นต์ มีฐานะเป็นพ่อแม่ และสำหรับผู้ที่เกิดในระยะต้นๆก็จะเริ่มเข้าสู่ฐานะเป็น ปู่ย่าตายาย แล้ว
ในปี ค.ศ. 2000 กลุ่มคนรุ่นนี้ ก็จะมีอายุย่างเข้าสู่วัยระหว่าง 36 - 54 ปี อันเป็นช่วงของการมีครอบครัวและมีบ้านเป็นของตนเอง และทั้งเป็นวัยที่จะต้องประหยัดเงิน เพื่อการศึกษา และการแต่งงานของลูก รวมทั้งเป็นช่วงที่ตัวเองต้องเริ่มวางแผนเพื่อการปลดเกษียณ หรืออกจากงานอีกด้วย ความเป็นห่วงกังวลในเรื่องน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น ก็จะมีมากขึ้น ในขณะเดียวกัน ความต้องการในผลิตภัณฑ์และบริการของคนกลุ่มนี้ก็จะตามมา เช่น ศัลยกรรมตกแต่ง (Plastic surgery) การปลูกผม การเป็นสมาชิกตามสถานที่บริการ ที่เกี่ยวกับสุขภาพและอนามัย เครื่องสำอางสำหรับผู้ชาย และผู้หญิง การย้อยผม อาหารเพื่อสุขภาพ และผลิตภัณฑ์อื่นๆที่เกี่ยวข้องสำหรับคนที่ช่วงอายุระดับนี้ จะเป็นที่ต้องการ
นอกจากนั้น กลุ่มเบบี้บูมเมอร์ จำนวนไม่น้อยที่ยังคงเลี้ยงดูบุตรจนกระทั่งอายุข้าสู่ตอนปลาย 20 ปี หรือ 30 ปี จำนวนประชากรเด็กที่เพิ่มขึ้นจากเบบี้บูมเมอร์ในส่วนหลัง คือเด็กที่เกิดระหว่างปี ค.ศ. 1976 - 1990 เด็กกลุ่มนี้เรียกว่า Baby boomlet ทำให้เกิดตลาดเป้าหมายที่สำคัญสำหรับนักการตลาด ที่จะผลิตสินค้า และบริการสนองความต้องการของเด็กกลุ่มนี้ และเนื่องจากเบบี้บูมเมอร์ มีครอบครัว ที่ทั้งสามี ภรรยาต่างมีอาชีพด้วยกัน (Dual - career families) ซึ่งต้องออกจากบ้านไปทำงาน ต้องทิ้งเด็กไว้ที่บ้าน ความจำเป็นสำหรับการบริการดูแลเด็กที่บ้าน (Child - care services) จึงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
2. กลุ่มเจเนอเรชั่น เอ็กซ์ (Generation X)
ผู้บริโภคกลุ่มนี้ เป็นกลุ่มคนที่เกิดระหว่างช่วงปี ค.ศ. 1965-1976 หรือมีอายุประมาณ 18-29 ปี มีชื่อเรียกกันอีกหลายชื่อ เช่น Twenty somethings Baby busters Afterboomers และ Flters เป็นต้น คนกลุ่มนี้มีจำนวนน้อยกว่ากลุ่มแรก คือมีประมาณ 46 ล้านคน ลักษณะพิเศษคือ ความรู้สึกที่ไม่พอใจที่หางานทำลำบาก และทั้งความรู้สึกว่าไม่มีความก้าวหน้า เพราะงานดีๆส่วนมากกลุ่มรุ่นพี่ เบบี้ บูม (Baby boom generation) เป็นผู้เข้าครอบครองเสียเป็นส่วนใหญ่ เจเนอเรชั่นเอ้กซ์ หรือ Xers มีความรู้สึกว่า พวกเขา ถูกโกง (cheated) หรือถูกเอารัดเอาเปรียบ โดยระบบที่ไม่อาจจะช่วยอะไรได้ ระดับรายได้จึงค่อนข้างต่ำกว่าที่คาดหวังบางคนมีความรู้สึกว่า พวกเขาจะไม่สามารถประสบความสำเร็จเท่ากับรุ่นพ่อแม่เหนือกว่าได้เลย ยิ่งสร้างความไม่พอใจให้กับพวกเขามากขึ้น และลดความเป็นวัตถุนิยมน้อยลง
ความรู้สึกไม่พอใจดังกล่าว จึงสะท้อนออกมาในรูปแบบการบริโภค ตัวอย่างเช่น การชอบดนตรีที่สะท้อนความโกรธ เช่น เพลงแร็พ (Rap) และฮาร์ดร็อค (hard rock) เป็นต้น แต่กลุ่มนี้ประสบความสำเร็จและเก่งทางด้านการใช้เทคโนโลยีมาก 43 เปอร์เซ็นต์ ของกลุ่มนี้ (Twenty somethings) มีเครื่องคอมพิวเตอร์เป็นของตนเอง 70 เปอร์เซ็นต์จะใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ทุกวัน และเป็นกลุ่มที่ใช้อินเตอร์เน็ตสูงสุด
เนื่องจากกลุ่มเจเนอเรชั่น เอ็กซ์ มักจะมีรายได้ต่ำดังกล่าว ดังนั้นกลุ่มคนรุ่นนี้บางคนจึงใช้วิธีประหยัดเงินเพื่อเพิ่มรายได้ให้กับตนเอง ด้วยการอาศัยอยู่กับพ่อ แม่ จนอายุย่างเข้าสู่วัย 30 ปีหรือจนกระทั่งแต่งงาน เพราะว่าพ่อแม่จะเป็นคนจ่ายเงินในสิ่งที่จำเป็นให้พวกเขา กลุ่มเจนเนอเรชั่น เอ็กซ์พวกนี้เขาเรียกว่า Boomerang kids ซึ่งชอบใช้เงินทางด้านความบันเทิงเพื่อความเพลิดเพลินไม่รีบร้อนในการตั้งหลักฐานเหมือนคนรุ่นแรก การแต่งงานจึงช้า ดังนั้นจึงมีแนวโน้มที่จะซื้อผลิตภัณฑ์ เช่น รถยนต์ใหม่ เครื่องเสียง หรือโทรทัศน์ เป็นต้น ความสัมพันธ์กับพ่อแม่จึงใกล้ชิด บางครั้งเสมือนหนึ่งเป็นเพื่อน หรือเพื่อนร่วมห้อง
ผู้บริโภคกลุ่มเจเนอเรชั่น เอ็กซ์ เป็นส่วนตลาดเป้าหมายสำคัญสำหรับผลิตภัณฑ์ทางด้านดนตรี ภาพยนตร์ การท่องเที่ยว เบียร์ อาหารฟาสต์ฟูด เสื้อผ้า กางเกงยีนส์ รองเท้ากีฬา และเครื่องสำอาง เป็นต้น และเป็นตลาดสำคัญสำหรับผลิตภัณฑ์ PC CD-ROM และวีดีโอเกม เป็นต้น
3. กลุ่มเจเนอเรชั่น วาย (Generation Y)
ผู้บริโภคกลุ่มนี้ คือ กลุ่มทีนเอจหรือกลุ่มวัยรุ่นในปัจจุบันนั่นเอง เป็นกลุ่มเบบี้ บูมเมอร์รุ่นใหม่ ซึ่งรุ่นแรกจะเข้าสู่วัยผู้ใหญ่ในปี ค.ศ. 2000 กลุ่มรุ่นใหม่นี้จะมีอายุประมาณ 18 ปี หรือต่ำกว่ามีจำนวนประมาณ 72 ล้านคน หรือประมาณ 28 เปอร์เซ็นต์ ของประชากรทั้งหมดในรุ่นปัจจุบัน เทียบกับเบบี้ บูมเมอร์รุ่นแรกซึ่งมีประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์
กลุ่มเจเนอเรชั่น วาย หรือ Yers เป็นกลุ่มคนรุ่นแรกที่เจริญเติบโตในช่วงที่โอกาสการทำงานมีเต็มที่ (Full - employment opportunities) อยู่ในครัวเรือนที่พ่อแม่ต่างมีรายได้ (Dual - income households) ครอบครัวที่มีความหลากหลายทางด้านเชื้อชาติและวัฒนธรรม มีคอมพิวเตอร์ใช้ทั้งที่โรงเรียนและที่บ้าน พร้อมกับอินเทอร์เน็ต และทั้งคนรุ่นนี้ส่วนหนึ่งเจริญเติบโตท่ามกลางครอบครัวที่มีการหย่าร้าง โรคเอดส์ ยาเสพย์ติด ลัทธิก่อการร้าย แก๊งอันพาล พ่อแม่ต้องออกจากงานเพราะว่าบริษัทลดขนาดลง และอำนาจในการซื้อของครอบครัวลดลง
จากการศึกษาพบว่า มากกว่าหนึ่งในสามของคนรุ่นนี้ทำงานเพื่อได้รับค่าจ้าง (Wages) และมากกว่าเด็กครึ่งหนึ่งของเด็กอายุ 15 ปีมีงานทำ พวกเขามีภาพลักษณ์เกี่ยวกับตนเองในทางดี (positive self images) มองตนเองเป็นคนใจดี (kind) เชื่อถือได้ (trustworthy) มีสติปัญญา (intelligent) มีความสุข (happy) มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ (creative) คล่องแคล่ว (active) และอดทน (tolerant) สำหรับเวลาเป็นชั่วโมงที่ใช้ไปในกิจกรรมต่างๆโดยเฉลี่ยใน 1 สัปดาห์ มีดังนี้
นักการตลาดมีความสนใจ ผู้บริโภคกลุ่ม Yers หรือกลุ่มทีนเอจ ด้วยเหตุผลสองประการคือ ประการแรก รสนิยมและความชอบต่อสินค้าและบริการของคนกลุ่มนี้ ซึ่งก่อตัวขึ้นมาในระหว่างที่ยังอยู่ในวัยทีนเอจ มีอิทธิพลต่อการซื้อของเขาตลอดชีวิต ประการที่สอง ค่าใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนตัวในแต่ละปีมีจำนวนตัวเลขสูง ค่าใช้จ่าย 2 ใน 3 ส่วนมากมาจากรายไดของเขาเอง ส่วนอีก 1 ใน 3 ส่วนได้มาจากพ่อแม่ นอกจากนั้นเขายังใช้จ่ายให้กับครัวเรือน รวมทั้งเป็นผู้มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อ รายการผลิตภัณฑ์อื่นๆอีกมาก นักการตลาดที่มุ่งเป้าหมายที่กลุ่มผู้บริโภครุ่นนี้ จำเป็นที่จะต้องรู้จักใช้ภาษาที่เหมาะสมสอดคล้องของวัยของเขา รวมทั้งดนตรี และภาพลักษณ์ที่นำมาใช้ การเลือกใช้สื่อเพื่อโฆษณาทางนิตยสาร โทรทัศน์และวิทยุ ก็ต้องพิจารณาให้เหมาสมกับรูปแบบ สไตล์ การดำเนินชีวิตของเขา และผลิตภัณฑ์ที่นำเสนอก็จะสอดคล้องตามรสนิยมที่หลากหลายของเขาอีกด้วย
4. กลุ่มผู้สูงอายุ (The elderly)
ผู้บริโภคกลุ่มนี้ เป็นกลุ่มนี้ที่ 4 เป็นกลุ่มคนชราของอเมริกา หรือ Graying of America อายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป ในปัจจุบันประชากรในประเทศอเมริกา มากกว่า 43 เปอร์เซ็นต์มีอายุ 50 ปีขึ้นไปหรือแก่กว่า (15% มีอายุมากกว่า 65 ปี) และจำนวนเปอร์เซ็นต์นี้จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกับในยุค เบบี้ บูมเมอร์ และคาดว่าพอถึงปี ค.ศ. 2020 คนอเมริกันอายุมากกว่า 65 ปีจะมากกว่ากลุ่มเด็กวัยทีนเอจในอัตราส่วน 2 ต่อ 1 เลยทีเดียว
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้โครงสร้างของประชากรอเมริกันในอนาคตลักษณะดังกล่าว เกิดจากปัจจัย 3 ประการคือ (1.) อัตราการเกิด (Birth rate) ลดลงอันเป็นผลจากเทคโนโลยีทางด้านการคุมกำเนิด (Contraceptive technology) รวมทั้งค่านิยมทางวัฒนธรรม (Cultural values) และรูปแบบของการดำเนินชีวิต (lifestyle patterns) ที่นิยมมีบุตรมาก (2.) อัตราการตาย (Mortality rates) ลดลงอย่างมากนับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1970 เป็นต้นมา ทำให้ประชากรมีอายุยืนยาวเพิ่มขึ้น และ (3.) อัตราการอพยพเข้ามาจากต่างประเทศ (Immigration rates)
นักการตลาดโดยทั่วไปจะแบ่งตลาดผู้สูงอายุออกเป็น 2 กลุ่ม โดยอาศัยแบบการดำเนินชีวิต และลักษณะที่ต่างกัน ดังนี้คือ
4.1 กลุ่มเป็นหนุ่มสาวใหม่ (Young again) กลุ่มนี้มีอายุระหว่าง 50-65ปี โดยปกติผู้สูงอายุกลุ่มนี้ จะมีความคิดว่าตนเองมีอายุต่ำกว่าอายุที่เป็นจริงประมาณ 15 ปี และมีความคิดเสมือนหนึ่งตนเองยังคงอยู่ในรุ่นเบบี้ บูมเมอร์ ที่มีอายุมากขึ้น มากกว่าที่จะคิดว่าตนเองเป็นผู้สูงอายุ ดังนั้นพวกเขาจึงใช้วิธีดำเนินชีวิตที่ค่อนข้างกระฉับกระเฉงว่องไวต่อไป ไม่ยอมแก่ตามอายุ โดยเฉพาะผู้มีอายุระหว่าง 55-65 ปี ถือว่าเข้าสู่วัยปีทองของชีวิต (Golden years) คนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่มีรายได้เพื่อการจับจ่ายใช้สอยมาก เนื่องจากมีภาระที่ต้องจ่ายลดน้อยลง
4.2 กลุ่มตลาดคนชรา (Gray market) กลุ่มนี้เป็นกลุ่มผู้บริโภคที่มีอายุมากกว่า 65 ปี เนื่องจากคนกลุ่มนี้เคยผ่านชีวิตในช่วงเกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำมาแล้ว จึงมีกรอบความคิด (mind - set) เอนเอียงทางด้านการประหยัดมากกว่าที่จะใช้จ่าย กลุ่มคนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่ แม้ว่าจะมีอายุ 75 ปี หรือมากกว่าสามารถพึ่งตนเองได้ในการดำเนินกิจกรรมต่างๆซึ่งรวมทั้งการเดิน การทำอาหาร การจ่ายตลาด การทำงานบ้าน และการอาบน้ำ พวกเขาไม่ชอบที่อ้างถึงว่าเป็นพวกคนแก่ และลักษณะที่เห็นเด่นชัดอีกอย่างหนึ่งก็คือ คนกลุ่มนี้เป็นผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย เพราะผู้หญิงโดยเฉลี่ยมีอายุยืนกว่า