Fw: mail เตือนภัยร้าย ......

เชิญมาพักผ่อน คลายร้อนนั่งเล่น คุยกันเย็นๆ พร้อมเรื่องกีฬา สัพเพเหระ ทัศนะนานา ชีวิตชีวา สุขภาพทั่วไป บันเทิงขำขัน รอบเรื่องเมืองไทย ชวนเที่ยวที่ไหน อยากไปก็นัดมา ...โย่วๆ

โพสต์ โพสต์
matrix
Verified User
โพสต์: 1717
ผู้ติดตาม: 0

Fw: mail เตือนภัยร้าย ......

โพสต์ที่ 1

โพสต์

ผมได้รับ Fw: mail ฉบับนี้...ด้วยอารมย์ที่หดหู่...  
รู้สึกสงสารต่อครอบครัวและญาติของผู้เคราะห์ร้าย...

อย่างไรก็ตาม....   ข่าวลักษณะส่งต่อๆกันมา...
แม้จะไม่ทราบที่มาของแหล่งข่าว...
ก็ใช่ว่าเราจะปฏิเสธความจริงโดยการไม่รับรู้...  

ขอให้พวกเราใช้ดุลพินิจ... พิจารณา
เพื่อเป็นอุทธาหรณ์... และ  เตรียมป้องกัน..
หากต้องเผชิญหน้ากับสิ่งเหล่านี้....   Matrix.




Fw:เรื่องจริงที่เกิดกับครอบครัวเรา

       เราอยากจะฝากไว้เป็นอุทาหรณ์ให้กับคนอีกหลาย ๆ คน จะได้ไม่เกิดความสูญเสียเหมือนกับครอบครัว ๆ นี้ และช่วยกันส่งต่อไปเพื่อเป็นบทเรียนให้กับครอบครัวอื่น

เรื่องมีอยู่ว่า คุณแม่ของข้าพเจ้าป่วยและได้เดินทางไปที่ โรงพยาบาลรามาธิบดี ในวันที่ 19 กรกฏาคม 2545 แต่ทางโรงพยาบาลบอกว่าไม่สามารถให้คุณแม่นอนรักษาตัวที่นี่ได้ เนื่องจากห้องไม่มี เตียงไม่ว่าง ถ้าต้องการนอนก็ต้องนอนรออยู่ที่ห้องฉุกเฉิน ญาติก็นั่งตบยุงรออยู่ที่ข้างนอก (นี่เป็นคำพูดของหมอคนหนึ่ง ขนาดเขาทราบว่าน้องชายของข้าพเจ้ารับราชการมีตำแหน่งพอสมควร ยังได้รับคำตอบเช่นนี้ แล้วตาสีตาสาจะเป็นอย่างไร) ซึ่งสภาพในห้องนั้นแม้แต่คนธรรมดายังแย่เลย อย่าว่าแต่คนไข้ที่ป่วยหนักเลย ดังนั้น เราจึงตัดสินใจนำคุณแม่กลับบ้านก่อน ( เนื่องจากไปที่โรงพยาบาลตั้งแต่เวลาประมาณ 10.00 น. กว่าจะเสร็จปาเข้าไปตั้ง 18.00 น.) แล้วตั้งใจว่าพรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่และในวันที่รุ่งขึ้นคือ วันที่ 20 กค. 45 คุณแม่มีอาการชักและปัสสาวะราด สักครู่ก็มีถ่ายออกมา ลักษณะคล้ายยางมะตูม เหมือนมีเลือดปนออกมาด้วย และเริ่มไม่รู้สึกตัว ข้าพเจ้าและคุณพ่อตกใจมาก จึงรีบนำส่งโรงพยาบาลที่ใกล้บ้านที่สุด คือ โรงพยาบาลศรีสยาม ซึ่งเป็น โรงพยาบาลเอกชน อยู่บนถนนสุขาภิบาล 1 เมื่อเข้าไปก็เข้าแบบฉุกเฉิน ทางโรงพยาบาลก็ได้ตรวจเช็คเบื้องต้นแล้ว แจ้งว่าต้องทำการเอ็กซ์เรย์คอมพิวเตอร์สมอง ซึ่งทางเราก็ยินดี เมื่อทำครั้งแรกแจ้งว่าพบก้อนเนื้อแต่มองเห็นไม่ชัดเจน จึงขออนุญาตให้ฉีดสีเข้าไปเพื่อจะได้มองเห็นก้อนเนื้อนั้นชัดยิ่งขึ้น เราก็เซ็นยอมไป แล้วรอหมอถึง 20.30 น เมื่อหมอใหญ่ของโรงพยาบาล(ขอสงวนนาม) มาตรวจ แล้วเรียกญาติเข้าไปเมื่อได้คุยกับหมอจึงทราบว่ามีก้อนเนื้อเกิดขึ้นที่สมองน้อยของแม่ประมาณ 2 ซ.ม . ( แต่ยังไม่ทราบว่าเป็นเนื้อดีหรือเนื้อร้าย ) ก้อนเนื้อนี้ไปเบียดท่อระบายน้ำที่ไปเลี้ยงสมองทำให้ถุงน้ำโปร่งไปดันเส้นประสาทเลยทำให้ไม่สามารถขยับแขน และ ขา ข้างซ้าย ในขณะนั้น แม่ได้หมดสติไป หมอแจ้งว่าถ้าจะให้ช่วยชีวิตในขั้นแรกคือผ่าตัดสมองเพื่อใส่ท่อช่วยระบายน้ำ เพื่อให้ถุงน้ำยุบตัวไม่ไปดันเส้นประสาท พวกลูก ๆ จึงปรึกษากันแล้วมีความเห็นตรงกันคือตกลงให้ผ่าตัด หมอปรับเลือดแม่อยู่ถึงเวลา 22.00 น. จึงได้นำเข้าห้องผ่าตัดเสร็จก็ประมาณ 00.20 น. ของวันใหม่ หลังผ่าตัดแม่มีอาการดีขึ้นแต่ยังไม่ค่อยรู้ตัว จะมีอาการไอ ตอบสนองอยู่ตลอดเวลา เราจึงกลับก่อนเพื่อให้คุณแม่ได้พักผ่อน เนื่องจากต้องอยู่ในห้อง ICU
พอตอนเช้าของ วันที่ 21 กค. 45 พวกเราก็รีบมาเยี่ยมคุณแม่ อาการของคุณแม่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด พูดได้เหมือนปกติ แขนขา ข้างซ้ายสามารถขยับได้ตามปกติ พวกเรารู้สึกดีใจมาก และคิดว่าการตัดสินใจผ่าตัดในครั้งนี้ถูกต้อง และดีที่สุดสำหรับคุณแม่แล้ว และในวันนั้นประมาณเที่ยงวัน คุณหมอก็ได้อนุญาตให้คุณแม่ไปพักอยู่ในห้องปกติได้ คุณแม่ทานข้าวได้ แต่ความจำยังสับสนอยู่
ใน วันที่ 22 กค. 45 คุณแม่ก็ยังมีอาการเหมือนเดิม คือทานข้าวได้ ความจำยังสับสนอยู่ พอคุณหมอมาตรวจเราได้สอบถามคุณหมอเกี่ยวกับอาการของคุณแม่ที่มีถ่ายเป็นเลือด ซึ่งคุณหมอไม่ได้ให้ความสนใจในจุดนี้มากนัก
วันที่ 23 กค. 45 คุณแม่เริ่มทานข้าวได้น้อยลง ซึมลง ไม่ค่อยพูด แต่คุณหมอก็ยังไม่ได้ดำเนินการตรวจสอบอะไรเพิ่มเติม และในตอนกลางคืน คืนนั้นคุณแม่ไม่นอนจนกระทั้งถึงประมาณ ตี 3 พยาบาลจึงมาฉีดยานอนหลับให้ ก็ยังไม่หลับจนถึงเช้า
วันที่ 24 กค. 45 คุณแม่นอนตลอดวัน เรียกก็ไม่ตื่น ลืมตาแล้วก็หลับต่อ ทานข้าวไม่ได้เลย จนกระทั่งบ่ายเราก็เริ่มสงสัย ทำไมคุณแม่ทานข้าวไม่ได้ ไม่ตื่นเลย จนเวลาประมาณ 18.00 น. คุณหมอ มาตรวจ บอกว่าอาการไม่ค่อยดี ขอให้ลงไปอยู่ที่ ICU ดีกว่า พวกเราพยายามสอบถามคุณหมอว่าให้ยานอนหลับแรงไปหรือเปล่า คุณหมอก็บอกว่าให้ขนาดปกติ แต่คนไข้แต่ละคนมีปฏิกริยาตอบรับไม่เท่ากัน เมื่อลงมาจนถึงเวลาประมาณ 20.00 น. คุณหมอก็ออกมาบอกพวกเราว่าอาการไม่ดี เนื่องจากคนไข้ติดเชื้อในกระเพราะอาหาร กระเพราะอาหารทะลุ คนไข้หัวใจเต้นช้าลง คงต้องทำการปั๊มหัวใจ ซึ่งพวกเราก็รออยู่อย่างกะวนกะวายใจ จนถึงเวลาประมา 21.00 น. คุณหมอบอกว่าคนไข้หยุดหายใจไปแล้วประมาณ 15- 20 นาที แต่สามารถปั๊มขึ้นมาได้ พวกเรารีบเข้าไปดูคุณแม่ แต่ท่านไม่มีอาการตอบสนอง ได้แต่นอนนิ่ง ๆ อย่างเดียว สายระโยงระยางเต็มตัวของคุณแม่ พวกเรารู้สึกสงสารคุณแม่มาก แต่ก็ต้องกลับบ้านเพราะโรงพยาบาลไม่ให้เฝ้า (ห้อง ICU)
วันที่ 25 กค. 45 อาการของคุณแม่ก็ยังเหมือนเดิม คือกราฟหัวใจเต้น ความดันเลือดขึ้น ๆ ลง ๆ ไม่มีอาการตอบสนองอื่นๆ เช่นไอ แต่ทางโรงพยาบาลบอกคุณแม่ซีดมาก จำเป็นต้องให้เลือดและเกล็ดเลือด พวกเรามาเยี่ยมคุณแม่เป็นระยะๆ ตามเวลาที่เขาให้เยี่ยมได้ แต่เรามีความรู้สึกว่าคุณแม่ไม่ดีขึ้นเลย สังเกตเห็นว่าขาแม่เย็นมาก มือแม่ก็เย็น ตามลำตัวของแม่เริ่มบวมและเริ่มซีด หมอบอกว่าเป็นปฎิกริยาของยาที่ให้ แล้วก็นำเลือดมาให้แม่อีก 2 ถุง เราเฝ้ากันจนหมดเวลาเยี่ยมจึงกลับบ้าน จึงคิดที่จะย้ายไปโรงพยาบาลรัฐบาล แต่ติดตรงที่เป็นวันหยุดยาว ( 24 กค.วันอาสาฬหบูชา ,25 กค.วันเข้าพรรษา) เราจึงตั้งใจกันไว้ว่าวันที่ 26 กค. 45 ต้องย้ายโรงพยาบาลให้ได้
วันที่ 26 กค. 45 ทุกคนวิ่งเต้นเพื่อหาที่ย้ายโรงพยาบาลให้คุณแม่ ทั้งโรงพยาบาลจุฬา , เลิดสิน , ศิริราช แต่คำตอบคือเป็นวันหยุดยาว หมอไปสัมมนาหมด จะกลับมาในวันที่ 27 กค. 45 เราเริ่มหมดหวัง แต่แล้วที่ โรงพยาบาลจุฬาแจ้งว่าได้เตียงที่ ICU แล้ว แต่ไม่มีหมอเจ้าของไข้ สรุปย้ายไม่ได้ เพราะหาหมอเจ้าของไข้ไม่ได้ แม่เริ่มมีอาการไม่ดี ตัวบวมมากขึ้น พวกเรากังวลมาก
วันที่ 27 กค. 45 เราก็ยังไม่เลิกคิดที่จะย้ายคุณแม่ แต่อาการคุณแม่ไม่ดีขึ้นเลยทางโรงพยาบาลได้เชิญหมอโรคไตมาจากโรงพยาบาลชลประทานเข้ามาตรวจเวลา 11.00 น. เราเข้าไปถามหมอ ๆ บอกว่าปอดติดเชื้อความดันโลหิตต่ำและไตวายเฉียบพลัน ต่อไปคือน้ำท่วมปอด ระบบการไหลเวียนของเลือดล้มเหลว ความดันโลหิตไม่สามารถจะวัดได้ เลือดเริ่มสร้างกรดขึ้นมาต่อต้าน ตัวคุณแม่เย็นมาก ไม่มีการตอบสนองใด ๆ ทั้งสิ้น ให้ลูก ๆ ทำใจได้ไม่น่าเกินคืนนี้เมื่อหมอออกไป คุณหมอที่ โรงพยาบาลศรีสยาม มากลับบอกเราว่าไม่มีปัญหา สามารถที่จะอยู่ต่อไปได้อีกเป็นอาทิตย์ มีความหวัง 20 % พวกเราก็เลยไม่แน่ใจ ตกลงมันยังไง พอดีที่โรงพยาบาลเลิดสิน แจ้งมาว่าได้เตียงที่ ICU แล้ว แต่ยังขาดหมอเจ้าของไข้ ก็พยายามกันจนหาหมอรับเป็นเจ้าของไข้ได้ เราก็ได้ติดต่อกับที่ โรงพยาบาลศรีสยาม ตอนแรกบอกย้ายไม่ได้ พอเราบอกว่าเราไม่มีเงินจ่าย เขาก็รีบเขียนส่งให้ย้ายได้ เราบอกให้รถไปก่อนเลย จะมีคนอยู่คอยเคลียร์เรื่องเงินให้ เขาก็ไม่ให้รถออกไป จนเราเคลียร์เรื่องเงินเสร็จแล้ว เขาโทรฯมาถามที่การเงิน พอดีเราได้ยินเขาบอกให้รถออกได้เลย เวลาตอนนั้นประมาณ 17.00 น พวกเราดีใจมากที่ได้ย้าย เพราะไม่รู้ว่าหมอคนไหนพูดจริงหรือหลอก เมื่อไปถึงที่เลิดสิน คุณหมอที่รับเป็นเจ้าของไข้ ก็บอกคนไข้อาการหนักมาก กระเพราะติดเชื้อแล้ว ไตวาย ความดันเลือดไม่สามารถวัดได้เลย ทำไมให้ย้าย แล้วใบสรุปที่เขียนส่งมาไม่ตรงกับอาการของคนไข้เลย คุณหมอแจ้งว่าปกติคนไข้ที่ปั๊มหัวใจ 15 20 นาที โอกาสรอดน้อยมาก หรือแทบจะไม่มีเลย แล้วทำไมที่ โรงพยาบาลศรีสยาม ถึงให้ยากระตุนหัวใจที่แรงมากเมื่อหมอตรวจอย่างถี่ถ้วนแล้วจึงลงความเห็นว่าที่หัวใจเต้น เพราะว่าหมอที่ศรีสยามใช้ยากระตุ้นหัวใจอย่างแรงและให้ตลอดเวลาเพื่อให้หัวใจเต้นและที่เห็นหายใจเพราะเครื่องช่วยหมอเปิดไว้สุดเพื่อให้เห็นว่ายังหายใจอยู่ หมอแจ้งว่านี่ถ้ายังอยู่ที่เก่าอีก 2 3 วันข้างในก็เน่าแล้วแม่ของคุณเสียตั้งแต่วันที่ 24 ก.ค 45 แล้วตอนนี้หมอไม่สามารถช่วยได้ เลยปรึกษากันแล้วให้หมอตัดสินใจ หมอตัดสินใจเอายากระตุ้นหัวใจออก แล้ว คุณหมออธิบายว่า ถ้าคุณเอาชิ้นเนื้อหมูมาแล้วฉีดยาตัวนี้เข้าไป เนื้อจะเต้นตุบ ๆ ก็แสดงว่าคุณแม่ของพวกเราได้จากพวกเราไปตั้งแต่ วันที่ 24 กค. 45 แล้ว แต่เราถูก โรงพยาบาลศรีสยาม หลอก เพื่อเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวหนึ่ง คุณหมอที่เลิดสิน จึงแจ้งกับพวกเราว่า จะเปลี่ยนยาเป็นตัวปกติที่ใช้กัน พวกเราก็ตกลง ตอนนั้นเวลาประมาณ 20.30 น. แล้วคุณแม่ก็จากเราไปอย่างสงบทั้งร่างกาย วิญญาณ และจิตใจ เมื่อเวลาประมาณ 21.02 น. หลังจากให้ยาปกติ

พวกเรารู้สึกสงสารคุณแม่มาก ท่านเสียแล้วร่างกายของท่านยังถูกโรงพยาบาล เอาร่างกายของท่านมาเป็นเครื่องมือในการหาเงินเข้าโรงพยาบาล โดยไม่ได้นึกถึงคุณธรรม คิดถึงแต่ความอยู่รอดของโรงพยาบาล แล้วคิดถึงลูกหลานคนไข้บ้างหรือเปล่า สภาพจิตใจเป็นอย่างไร เรานำคุณแม่มาสวดอภิธรรมศพที่วัดบางเตย และขอพระราชทานเพลิงศพในวันที่ 3 สิงหาคม 2545 เวลา 16.00 น. พวกเราขอไว้อาลัยกับการจากไปอย่างไม่มีวันกลับของคุณแม่

อ่านแล้วช่วยส่งต่อๆไป เพื่อเป็นอุทาหรณ์ให้กับผู้อื่นด้วย
matrix
Verified User
โพสต์: 1717
ผู้ติดตาม: 0

Fw: mail เตือนภัยร้าย ......

โพสต์ที่ 2

โพสต์

ฟังหู...ไว้หู.. ครับ

Subject: Serious matter- PLEASE READ!

เรื่องอันตรายที่ควรอ่าน....

ได้เกิดเหตุการณ์เศร้าสลดที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซียเมื่อเร็วๆนี้  ซึ่งภายในเวลาเพียง 5วัน ได้มีสตรี 3 คนต้องเสียชีวิตหลังจากที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล โดยที่ทั้งสามคนมีอาการป่วยคล้ายกัน คือ มีไข้สูง หนาวสั่น และอาเจียน หลังจากนั้นกล้ามเนื้อจะเป็นอัมพาต และเสียชีวิตทันที

จากการชันสูตรศพพบว่ามีพิษร้ายแฝงอยู่ภายในระบบโลหิตทั้งสามคน โดยที่ สตรีทั้งสามคนไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่จากการตรวจสอบประวัติปรากฏว่าทั้งสามคนเคยไปทานอาหารที่ร้านอาหารหนึ่งบนถนนจาลัน กูไช ลามา เพียงไม่กี่วันก่อนที่จะเสียชีวิต ซึ่งหน่วยงานสาธารณสุขได้รุดไปตรวจสอบสถานที่นั้นอย่างละเอียดก็ไม่พบสาเหตุที่ผิดปรกติแต่อย่างใด

ในเวลาที่ใกล้เคียงกันต่อมาได้มีสตรีอีกคนหนึ่งถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลด้วยอาการเดียวกัน ซึ่งปรากฏว่าเธอเป็นพนักงานบริกรอยู่ที่ร้านอาหารที่เกิดเหตุนั้น และเธอได้แจ้งว่าก่อนมีอาการป่วยกะทันหัน เธอกำลังอยู่ในระหว่างลาพักร้อน และได้แวะไปเพื่อรับเงินเดือนโดยที่ไม่ได้ทานอาหารที่นั่นแต่อย่างใด แต่บังเอิญเธอได้แจ้งให้ทราบว่าได้เข้าไปใช้ห้องน้ำในร้านอาหารแห่งนั้น และเป็นการบังเอิญ อีกเช่นกันที่มีเจ้าหน้าที่ผู้หนึ่งจำได้ว่าเคยอ่านบทความเกี่ยวกับเรื่องในทำนองเดียวกันนี้ จึงได้เข้าไปยกที่รองนั่งบนโถส้วมดู และนี่คือกุญแจที่นำไปสู่ต้นเหตุของการเสียชีวิต

จากการตรวจสอบในห้องน้ำที่ร้านอาหารแห่งนั้นอย่างละเอียด ได้พบแมงมุมเล็กๆตัวหนึ่งซุกอยู่ใต้ขอบที่รองนั่งบนโถส้วม และเมื่อเจ้าหน้าที่นำไปตรวจสอบจึงทราบว่าเป็นแมงมุมพันธ์ เทลาโมเนีย เนื่องจากลักษณะสีที่เป็นลายแดงบนลำตัวของมัน แมงมุมพันธ์นี้มีพิษที่ร้ายแรงมาก และชอบซุกตัวอยู่ในมุมอับชื้น ซึ่งบริเวณใต้ที่รองนั่งโถส้วมเป็นที่ที่เหมาะต่อการซุกซ่อนของมันเป็นอย่างดี

ในเวลาที่ไล่เลี่ยกันนี้ ยังปรากฏว่าได้มีทนายความอีกผู้หนึ่งถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลด้วยอาการป่วยเฉียบพลันเช่นเดียวกัน โดยมีแผลคล้ายถูกแมลงกัดบริเวณก้น แต่ผู้ป่วยรายนี้ได้ให้ปากคำก่อนจะเสียชีวิตว่าเขาไม่ได้ไปที่ร้านอาหารที่เกิดเหตุมาก่อน แต่ได้เดินทางโดยเครื่องบินมาจากประเทศอินโดนีเซียแล้วเปลี่ยนเครื่องบินที่สิงค์โปรกลับมาเลเซีย และจากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ฝ่ายการบินพบว่าเครื่องบินลำนั้นเริ่มออกเดินทางมาจากอินเดีย จึงมีการประสานงานเพื่อตรวจเครื่องบินอย่างละเอียด และในที่สุดได้พบว่ามีรังของแมงมุมพันธ์ดังกล่าวอยู่ในเครื่องบินถึงสี่ลำ

บัดนี้เป็นที่เชื่อได้ว่ามีแมงมุมพันธ์นี้อยู่ในประเทศมาเลเซีย และอาจพบกับมันได้ในทุกสถานที่ ซึ่งประเทศไทยมีชายแดนที่ติดต่อกับมาเลเซียเช่นนี้ย่อมหมายถึงโอกาสที่จะได้รับอันตรายจากแมงมุมนี้เป็นไปได้มาก ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยต่อชีวิตของท่านเอง จึงขอแนะนำให้ยกที่รองนั่งโถส้วมตรวจสอบดูให้ดีก่อนทุกครั้ง และกรุณาเผยแพร่ข่าวสารนี้ให้ผู้อื่นทราบด้วย
matrix
Verified User
โพสต์: 1717
ผู้ติดตาม: 0

Fw: mail เตือนภัยร้าย ......

โพสต์ที่ 3

โพสต์

Subject: FW: Fw: ??????????????????





>>>>FW: ช็อปปิ้งห้างเฃ็นทรัล
>>>>
>>>>ช็อปปิ้งห้างเฃ็นทรัล ปิ่นเกล้าระวังแก๊งล้วงกระเป๋าข้ามชาติ (ชาวเวียตนาม)
>>>>
>>>>ดิฉันและเพื่อนเพิ่งประสบภัยเจอมาด้วยตัวเอง เมื่อค่ำวันเสาร์ ที่ 24
>>>>มิถุนายน
>>>>ขณะเดินอยู่ที่แผนกรองเท้าในห้างเซ็นทรัลปิ่นเกล้า หลังจาก ซื้อรองเท้าไป
>>>>หนึ่งคู่
>>>>(มือด้านขวาถือถุงรองเท้า ด้านซ้ายสะพายกระเป๋าคล้องใต้รักแร้)
>>>>ก็เดินมาอีกด้านของแผนกรองเท้า ซึ่งคนไม่เยอะเลย เดินแบบหลวมๆ
>>>>ไม่มีการเบียดเสียด
>>>>
>>>>ดิฉันก็มีความรู้สึก ว่ามีคนเดินเฉียดเข้ามาชนเบา ๆ ก็ยังไม่คิดอะไร
>>>>เพราะกำลังดูรองเท้าเพลิน หลังจากนั้นประมาณ 5 นาที
>>>>ฉันก็รู้สึกว่ากระเป๋าสะพายของดิฉันเบาขึ้น ก็รีบเปิดดู
>>>>ปรากฏว่าโดนล้วงกระเป๋าสตางค์
>>>>ไปเรียบร้อยแล้ว ในนั้นมีเงินสดประมาณ ห้าพันกว่าบาท เอทีเอ็ม
>>>>และเครดิตการ์ด
>>>>อีกสัก 10 ใบ
>>>>(มันคงจ้องดิฉันตั้งแต่เปิดกระเป๋าหยิบบัตรมาจ่ายค่ารองเท้าคู่แรกแล้ว)
>>>>
>>>>ดิฉันตกใจก็ ร้องขึ้นมาว่าโดนล้วง กระเป๋า ๆ
>>>>พนักงานบริเวณนั้นก็รีบเข้ามาซักถามว่า
>>>>จำหน้าคนที่ชนได้ไม้ และช่วยเหลือเรียก รปภ. มาทันที รปภ.
>>>>ก็ใช้เครื่องวิทยุสื่อสาร
>>>>แจ้งกันเป็นระยะ ๆ และให้ดิฉันรีบไปติดต่อที่แผนกบริการลูกค้า
>>>>เพื่อทำการแจ้งอายัดบัตรต่าง ๆ ที่มีอยู่
>>>>(ต้องขอบคุณเจ้าหน้าที่ของห้างที่ช่วยเหลือมาก)
>>>>
>>>>ปรากฏ ว่าหลังจากผ่านเหตุการณ์ชุลมุนกันอยู่ เพื่อนดิฉันที่เดินด้วยกัน
>>>>ก็พบว่าตัวเอง
>>>>ก็โดนล้วงโทรศัพท์มือถือไปด้วย ก็เพิ่มความตกใจกันมากขึ้น และสักพัก
>>>>รปภ. ก็แจ้งข่าวว่าขณะนี้ทางห้างฯ ได้จับตัวนักล้วงได้ 1 คนเป็น
>>>>ชาวเวียตนาม (หญิง)
>>>>ขณะกำลังล้วงกระเป๋าลูกค้าอีกราย รปภ.
>>>>แจ้งว่าในกระเ๋ป๋านักล้วงมีมือถืออีกเครื่อง
>>>>รูปพรรณสัณฐานคล้ายของเพื่อนดิฉัน ดิฉันก็ใจชื้นคิดว่าต้องเป็นรายเดียวกัน
>>>>ดิฉันอาจได้กระเป๋าสตางค์คืน
>>>>
>>>> ดิฉันและเพื่อนก็รีบไปที่แผนก รปภ.
>>>>ทันทีโดยมี รปภ. ของห้างฯ พาไป ปรากฏว่า เขาได้ส่งตัวนักล้วงหญิง
>>>>ไปกับสายตรวจของ
>>>>สน. บางยี่ขัน และให้ดิฉัน และเพื่อ ูของกลาง
>>>>และแจ้งความ เมื่อไปถึง สน. ก็ไปพบกับเจ้าทุกข์อีกรายล่าสุดที่โดนล้วง
>>>>ที่ห้างเซ็นทรัลเหมือนกัน  เธอแจ้งว่า กำลังดูเสื้ออยู่
>>>>ก็เห็นผู้หญิง 3 คน ซึ่งนักล้วงที่จับได้ เป็นหนึ่งในนั้น
>>>>แกล้งทำเป็นเลือกเสื้อ
>>>>และถือเสื้อมาบัง ไว้เพื่อล้วงกระเป๋าเธอ เผอิญโดนจับได้เสียก่อน
>>>>
>>>>ตัวดิฉันและเพื่อน ก็แจ้งความจำนง กับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า เรา 2 คน
>>>>ถูกล้วงกระเป๋าที่ห้างเซ็นทรัล ปิ่นเกล้า เหมือนกันขอดูตัวนักล้วง
>>>>และขอดูของกลางด้วย ตำรวจก็นำมือถือของเพื่อนดิฉัน ออกมาให้ดู
>>>>เพื่อนก็จำของเขาได้
>>>>เพราะมีตัวการ์ตูน แขวนอยู่ แต่ที่แย่กว่านั้น ไม่มีซิมการ์ด
>>>>มันคงทิ้งไปเพื่อทำลายหลักฐาน
>>>>ก่อนหน้านี้แล้ว มืออาชีพมาก ๆ เลยนะเนี่ย ตำรวจแจ้งว่า
>>>>ในกระเป๋าของนักล้วงมีแต่พาสปอร์ต ไม่มีกระเป๋าสตางค์ของดิฉัน
>>>>และที่แปลกกว่านั้นในตัวนักล้วงไม่มีเงินแม้แต่บาทเดียว
>>>>ด ที่เขาค้นตัวกัน เห็นตำรวจยื่นให้ดูแต่มือถือสองเครื่่อง เท่านั้น
>>>>
>>>>แต่ดิฉันก็ยังข้องใจว่าคนเราจะมาเดินห้าง
>>>>ถึงแม้จะมาเพื่อล้วงกระเป๋าก็ตามเหอะ
>>>>จะไม่พกแม้แต่เงินค่ารถเลยเหรอ ที่แย่ยิ่งกว่านั้น
>>>>ผู้ต้องหาไม่ยอมปริปากพูดอะไรเลย ทำหน้าซื่อ ๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
>>>>ไม่มีสีหน้ากลัวตำรวจไทย หรือ กลัวความผิดที่ทำไป
>>>>แม้เพื่อนดิฉันจะส่งภาษาจีน และภาษาอังกฤษ
>>>>เพราะคิดว่าคนเวียตนามคงพูดภาษาจีน
>>>>หรืออังกฤษได้ มันก็เฉยลูกเดียว ทำตาปริบปริบ
>>>>จนตำรวจที่สอบสวนอยู่ก็จนปัญญาที่จะสอบสวนต่อไปได้ ต้องนำตัวเข้าห้องขัง
>>>>เพื่อรอล่าม
>>>>สรุปดิฉันแจ้งความไม่ได้ เจ้าหน้าที่ตำรวจให้ไปลงบันทึกประจำวัน
>>>>เรื่องเอกสารหายเท่านั้น
>>>>
>>>>ส่วน รปภ ห้าง ที่ตามมาให้การด้วยนั้น ก็ช่วยเป็นธุระ
>>>>แจ้งให้พวกแม่บ้านห้างให้ช่วยดู
>>>>ตามถังขยะ เผื่อจะเจอกระเป๋า
>>>>ส่วนเพื่อนดิฉันก็ รอให้ปากคำเพื่อเอาของกลางคืน
>>>>ก็ปาเข้าไปเกือบเที่ยงคืน
>>>>บอกตามตรงว่าระบบราชการเรานี้ มันยืดยาดและขั้นตอนเยอะ
>>>>สุดท้าย ที่ดิฉันข้องใจไม่หาย คือ ทำไมในกระเป๋านักล้วง มีแต่พาสปอร์ต
>>>>กับมือถือที่ล้วงมาได้ ทำไมไม่มีเงินเลยแม้แต่
>>>>เงินของสกุลของชาติเขาก็ไม่มี
>>>>เป็นไปได้อย่างไร ดูในพาสปอร์ตก็มีปั้มเข้าออกประเทศไทยหลายหน
>>>>
>>>>ขณะขับรถ กลับบ้าน ความรู้สึกตอนนั้นแย่มาก ๆ เลย คิดถึงแต่เอกสารต่าง ๆ นา
>>>>ๆ
>>>>บัตรประชาชนก็ต้องไปติดต่อเขตอีก เวลาก็ไม่ค่อยจะมี
>>>>ใบขับขี่ต้องไปทำยังไงก็ยังไม่รู้
>>>>โอ๊ย....... ขับรถไม่รู้เรื่องเลย เบลอไปหมด รุ่งเช้า รับลุกไปใส่บาตร
>>>>อุทิศส่วนกุศล
>>>>และภาวนา ขอให้ ได้ เอกสารคืน
>>>>พอตอนบ่ายดิฉันก็แวะไปที่ห้างอีกเพื่อถามความคืบหน้า
>>>>ปรากฏ ว่าพระช่วย ดิฉันได้กระเป๋าคืนพร้อมเอกสารครบ แต่ไม่มีเงินเหลือเลย
>>>>เจ้าหน้าที่ห้างบอกว่า เจอกระเป๋าทิ้งอยู่ตรงแผนกเสื้อผ้าหญิง
>>>>ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากแผนกรองเท้า เรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์ อย่ามัวแต่ซื้อ
>>>>ให้ระมัดระวังมากขึ้น
>>>>ไม่ใช่ให้ระวังนักล้วงไทยอย่างเดียว แต่ให้ระวังแก๊งข้ามชาติ
>>>>มันเแต่งตัวดีนะ เดี๋ยวนี้
>>>>เขาอิมพอร์ตกันมาแล้ว
>>>>
>>>>ขอบคุณที่สละเวลาอ่าน ช่วยส่งต่อให้เพื่อน ๆ ด้วยค่ะ
>>>>
>>>
>>>_________________________________________________________________
โพสต์โพสต์