อิสระภาพทางการเงิน
- สุมาอี้
- Verified User
- โพสต์: 4576
- ผู้ติดตาม: 0
อิสระภาพทางการเงิน
โพสต์ที่ 1
ครอบครัวหนึ่งมี พ่อ แม่ ลูกสองคน มีบ้านหนึ่งหลัง มีรถหนึ่งคันแล้ว จะต้องมี Wealth เท่าไรถึงจะเรียกว่ามีอิสระภาพทางการเงิน?
(สมมติว่าพ่อใจถึงต้องการเก็บ Wealth ทั้งหมดไว้ในตลาดหุ้นตลอดเวลา)
(สมมติว่าพ่อใจถึงต้องการเก็บ Wealth ทั้งหมดไว้ในตลาดหุ้นตลอดเวลา)
http://dekisugi.net
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 44
- ผู้ติดตาม: 0
อิสระภาพทางการเงิน
โพสต์ที่ 2
ผมคิดเรื่องนี้มาตลอดเลยครับพี่สุมาอี้ และผมก็มีครอบครัวแล้ว โดยส่วนตัวผมคิดว่าถ้ามีบ้านมีรถแล้ว ผมก็อยากจะมีพอร์ตหุ้นสัก 20 ล้านบาทเหมือนกัยที่อ.นิเวศน์เคยเขียนไว้ในบทความในอดีต หวังเงินปันผลปีละ 5% และหุ้นที่เราเลือกไว้ต้องเป็นหุ้นที่สร้างผลกำไรต่อเนื่องอย่างสม่ำเสมอ ยิ่งถ้ามีการเจริญเติบโตของกำไรยิ่งดี ตกเดือนๆ หนึ่งก็จะมีรายได้ประมาณ 70,000-80,000 บาท ก็น่าจะอยู่ได้อย่างสบาย ถ้าไม่ได้สุรุ่ยสุร่ายเกินไปก็น่าจะเหลือเงินไปลงทุนทบต้นลงไปต่อ และผมก็คิดว่าน่าจะทำให้ลูกๆ ของผมได้รับการศึกษาที่ดีที่สุด และผมก็จะถือหุ้นพอร์ตนี้ไปเรื่อยๆ จนถึงช่วงหนึ่งของชีวิต ผมก็จะส่งผ่านไปยังลูกๆ ของผมทั้งหมด เพื่อที่เขาจะได้สบาย และผมก็จะสอนให้เขาทำอย่างที่ผมทำเพื่อลูกของเขาต่อไป ผมคิดว่าถ้าทำอย่างนี้ไปได้เรื่อยๆ พอถึงเจเนอเรชั่นที่ 3,4,5....ต่อจากผม พอร์ตนี้น่าจะใหญ่พอสมควรให้ลูกหลานของผมมีอิสรภาพทางการเงินตั่งแต่ยังหนุ่ม และมีเงินเพื่อนำไปต่อเงินต่อไป ขอบคุณเวปไซด์นี้มากที่ให้สิ่งดีๆกับผมกับการลงทุนแนวนี้
-
- Verified User
- โพสต์: 1822
- ผู้ติดตาม: 0
อิสระภาพทางการเงิน
โพสต์ที่ 3
อยู่ที่ว่ามีค่าใช้จ่ายต่อเดือนมากน้อยแค่ไหน แล้วนี่มีลูกสองก็อยากให้ลูกมีการศึกษาดีๆ คงต้องใช้เงินหลายล้านเลยทีเดียว กว่าจะเรียนจบ
ผมว่าคงต้องมีถึงหลัก 10 ล้านนะ แต่ระหว่างนั้น ปันผลมาลงทุนเพิ่มต่อ แล้วใช้น้อยๆประหยัดๆ ก็น่าจะไปถึงได้อย่างแน่นอน
ผมว่าคงต้องมีถึงหลัก 10 ล้านนะ แต่ระหว่างนั้น ปันผลมาลงทุนเพิ่มต่อ แล้วใช้น้อยๆประหยัดๆ ก็น่าจะไปถึงได้อย่างแน่นอน
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
อิสระภาพทางการเงิน
โพสต์ที่ 4
คำนวณได้จากรายจ่ายต้องจ่ายไปทุกเดือน
และต้องมีมากกว่ารายจ่ายประมาณ20%
ถึงจะมีอิสระภาพทางการเงิน
อิสระภาพทางการเงินหลายคนมีความหมายที่แตกต่างกัน
แต่ในความเป็นจริงมันคือ การที่เรามีปัจจัยที่ทำให้เราอยู่ได้ โดยไม่ต้องพึ่งพาว่าเราต้องไปทำงานนอกบ้าน หรือทำงานในบ้าน ไปไหนสบายๆๆไม่มีภาระในการเงินต่างๆๆ
แค่นี้ได้ก็ดีที่สุดครับ
และต้องมีมากกว่ารายจ่ายประมาณ20%
ถึงจะมีอิสระภาพทางการเงิน
อิสระภาพทางการเงินหลายคนมีความหมายที่แตกต่างกัน
แต่ในความเป็นจริงมันคือ การที่เรามีปัจจัยที่ทำให้เราอยู่ได้ โดยไม่ต้องพึ่งพาว่าเราต้องไปทำงานนอกบ้าน หรือทำงานในบ้าน ไปไหนสบายๆๆไม่มีภาระในการเงินต่างๆๆ
แค่นี้ได้ก็ดีที่สุดครับ
- Doramon007
- Verified User
- โพสต์: 110
- ผู้ติดตาม: 0
อิสระภาพทางการเงิน
โพสต์ที่ 5
สำหรับผมได้ปันผลประมาณ 1.5 - 2 เท่าของค่าใช้จ่ายของครอบครับ น่าจะหมายความว่ามีอิสระภาพทางการเงินครับคุณสุมาอี้ แต่ตอนนี้หนทางยังอีกยาวไกลครับสำหรับผม (อยากจะร้องดัง ๆ อิสระภาพ) :lol:
-
- Verified User
- โพสต์: 208
- ผู้ติดตาม: 0
อิสระภาพทางการเงิน
โพสต์ที่ 6
ผมว่าอย่างน้อยสัก 10 ล้าน ถ้าได้เงินปันผลปีละ 500000-800000 ก็น่าจะพอเพียงแล้ว
แต่เชื่อเถอะครับคนที่ได้ถึง 10 ล้านก็จะต้องหวัง 20 ล้าน
และคนที่ได้ถึง 20 ล้านก็จะหวัง 40 ล้าน ...80....100 ล้าน
ไปเรื่อยๆจนกว่าจะอิ่มตัวเหมือน peter lynch แหละครับ
แต่เชื่อเถอะครับคนที่ได้ถึง 10 ล้านก็จะต้องหวัง 20 ล้าน
และคนที่ได้ถึง 20 ล้านก็จะหวัง 40 ล้าน ...80....100 ล้าน
ไปเรื่อยๆจนกว่าจะอิ่มตัวเหมือน peter lynch แหละครับ
ตลาดหุ้นให้โอกาสกับคนโง่ๆเสมอ
-
- ผู้ติดตาม: 0
อิสระภาพทางการเงิน
โพสต์ที่ 7
ท่านแม่ทัพตั้งโจทย์ Cash flow แต่ให้ตอบเป็น Net Worth ก็แปลกอยู่
เหมือนจะถามผลตอบแทนคาดหวังของนักลงทุนไทยประมาณนั้น
ขอเอาโซลูชั่นครอบครัวตัวอย่างมาตอบว่าเป็น หุ้น WG ซัก 4 แสนหุ้น ก็น่าจะพอไหว
เหมือนจะถามผลตอบแทนคาดหวังของนักลงทุนไทยประมาณนั้น
ขอเอาโซลูชั่นครอบครัวตัวอย่างมาตอบว่าเป็น หุ้น WG ซัก 4 แสนหุ้น ก็น่าจะพอไหว
-
- Verified User
- โพสต์: 2266
- ผู้ติดตาม: 0
อิสระภาพทางการเงิน
โพสต์ที่ 8
ผมฟันธงตอบครับ เพราะคิดมานานมากแล้วครับ :lol:
มีwealth ขนาดที่ไม่ต้องทำงานแล้ว passive income(รายได้ที่ไม่ต้องทำงาน แต่เป็นผลการลงทุน ) พอเพียงสำหรับรายจ่ายที่พอสมควร สำหรับทั้งครอบครับ
ซื่อรายจ่ายพอสมควรแต่ละครอบครัว แตกต่างกันไปตาม พื้นฐานการใช้ชีวิต และ ลักษณะความพอใจในการใช้จ่าย (Utility curve)
เนื่องจากบอกว่ามีบ้านและรถแล้ว ก็เหลือแค่ค่าใช้จ่ายที่เป็น variable cost หรือค่ากินอยู่ ค่าใช้จ่ายสำหรับลูก จำพวก ปัจจัย 4 ค่าเล่าเรียน แล้วก็ค่าน้ำมันเท่านั้นเองครับ
มีwealth ขนาดที่ไม่ต้องทำงานแล้ว passive income(รายได้ที่ไม่ต้องทำงาน แต่เป็นผลการลงทุน ) พอเพียงสำหรับรายจ่ายที่พอสมควร สำหรับทั้งครอบครับ
ซื่อรายจ่ายพอสมควรแต่ละครอบครัว แตกต่างกันไปตาม พื้นฐานการใช้ชีวิต และ ลักษณะความพอใจในการใช้จ่าย (Utility curve)
เนื่องจากบอกว่ามีบ้านและรถแล้ว ก็เหลือแค่ค่าใช้จ่ายที่เป็น variable cost หรือค่ากินอยู่ ค่าใช้จ่ายสำหรับลูก จำพวก ปัจจัย 4 ค่าเล่าเรียน แล้วก็ค่าน้ำมันเท่านั้นเองครับ
การลงทุนคือความเสี่ยง
แต่ความเสี่ยงสูงคือ ไม่รุ้ว่าอะไรคือจุดชี้เป็นชี้ตายของบริษัท
ความเสียงสุงที่สุด คือ ไม่รู้ว่าเลยว่าตัวเองทำอะไรอยู่
แต่ความเสี่ยงสูงคือ ไม่รุ้ว่าอะไรคือจุดชี้เป็นชี้ตายของบริษัท
ความเสียงสุงที่สุด คือ ไม่รู้ว่าเลยว่าตัวเองทำอะไรอยู่
-
- Verified User
- โพสต์: 64
- ผู้ติดตาม: 0
อิสระภาพทางการเงิน
โพสต์ที่ 9
อยากให้คุณ chatchai เข้ามาแสดงความเห็นของคำว่า อิสระภาพทางการเงินเหลือเกิน เพราะจากที่ผมมอง ผมว่าคุณ chatchai น่าจะเข้าใจคำๆ นี้ได้ดี
เพราะผู้ที่มีอิสระภาพทางการเงินแล้วย่อมเข้าใจความหมายได้ดีกว่า ผู้ที่
กำลังเดินทางอย่างแน่นอน
เพราะผู้ที่มีอิสระภาพทางการเงินแล้วย่อมเข้าใจความหมายได้ดีกว่า ผู้ที่
กำลังเดินทางอย่างแน่นอน
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 11443
- ผู้ติดตาม: 0
อิสระภาพทางการเงิน
โพสต์ที่ 11
ทำไมผู้คนที่ร่ำรวยมากมายถึงยังต้องคร่ำเครียดกับการทำงาน
อาจเป็นเพราะท่านเหล่านั้น ต้องการฐานะทางการเงินมากขึ้นอย่างไม่มีจำกัด มีสิบล้าน ก็อยากเพิ่มเป็น ร้อยล้าน พันล้าน หมื่นล้าน หรือแม้กระทั่งแสนล้าน
อาจเป็นเพราะท่านเหล่านั้น ต้องการชื่อเสียงและการยอมรับจากผู้คนต่างๆ ว่าประสบความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจ
อาจเป็นเพราะกิจการเหล่านั้น เป็นกิจการของครอบครัวที่ต้องดำเนินกิจการต่อ
อาจเป็นเพราะ เป็นงานที่ตัวเองรัก มีความสุขในการทำ เป็นงานที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมและคนรอบข้าง
เราจะมีอิสระภาพทางการเงินได้เร็วแค่ไหน ผมว่าขึ้นอยู่กับกิเลสของเรา มากกว่าความสามารถในการหาเงิน
ผมมีความเห็นว่า ผู้ที่มีอิสระภาพทางการเงินที่แท้จริง คือ พระสงฆ์ที่สามารถตัด ตัวกู ของกู ได้ เพราะท่านเหล่านั้นคงไม่เหลือกิเลสอื่นใดแล้ว
อาจเป็นเพราะท่านเหล่านั้น ต้องการฐานะทางการเงินมากขึ้นอย่างไม่มีจำกัด มีสิบล้าน ก็อยากเพิ่มเป็น ร้อยล้าน พันล้าน หมื่นล้าน หรือแม้กระทั่งแสนล้าน
อาจเป็นเพราะท่านเหล่านั้น ต้องการชื่อเสียงและการยอมรับจากผู้คนต่างๆ ว่าประสบความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจ
อาจเป็นเพราะกิจการเหล่านั้น เป็นกิจการของครอบครัวที่ต้องดำเนินกิจการต่อ
อาจเป็นเพราะ เป็นงานที่ตัวเองรัก มีความสุขในการทำ เป็นงานที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมและคนรอบข้าง
เราจะมีอิสระภาพทางการเงินได้เร็วแค่ไหน ผมว่าขึ้นอยู่กับกิเลสของเรา มากกว่าความสามารถในการหาเงิน
ผมมีความเห็นว่า ผู้ที่มีอิสระภาพทางการเงินที่แท้จริง คือ พระสงฆ์ที่สามารถตัด ตัวกู ของกู ได้ เพราะท่านเหล่านั้นคงไม่เหลือกิเลสอื่นใดแล้ว
-
- Verified User
- โพสต์: 36
- ผู้ติดตาม: 0
อิสระภาพทางการเงิน
โพสต์ที่ 13
เห็นด้วยครับผมมีความเห็นว่า ผู้ที่มีอิสระภาพทางการเงินที่แท้จริง คือ พระสงฆ์ที่สามารถตัด ตัวกู ของกู ได้ เพราะท่านเหล่านั้นคงไม่เหลือกิเลสอื่นใดแล้ว
ต้องรู้จักพอครับ
ถ้าไม่รู้จักพอมีเป็นหมื่นล้าน ก็ไม่มีอิสรภาพครับ
คุ้นๆ เหมือนผู้นำบางประเทศเลยแหะ :lol:
-
- Verified User
- โพสต์: 3345
- ผู้ติดตาม: 0
อิสระภาพทางการเงิน
โพสต์ที่ 15
1 ล้านเหรียญสหรัฐ (ไม่ต่ำกว่า 35 ล้านบาท)
น่าจะพอสำหรับครอบครัว 4 คน ที่มี พ่อ แม่ และลูกชาย ลูกสาว
และต้องมีผลตอบแทนจากเงินก้อนดังกล่าว
ไม่น้อยกว่าปีละ 5%
ค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือน จะมาจาก "ผลตอบแทน" เท่านั้น
ไม่ใช่ดึงมาจาก "ทุน" ที่มีอยู่
ผลตอบแทนรายปีที่ได้ เมื่อนำมาหาร 12 เดือนแล้วนั้น
น่าจะอยู่ราวๆ 1.5 แสนบาท / เดือน
เราสามารถให้การศึกษาที่ดีกับลูกๆ ได้อย่างแน่นอน
รวมทั้งมีชีวิตที่สุขสบายในระดับที่น่าพึงพอใจ
บางเดือน เราอาจใช้ "ผลตอบแทน" ดังกล่าวไม่เยอะไปนัก
เราสามารถนำเอาไปทบต้น เอากับหุ้นที่มีอยู่แล้ว และ "น่าประทับใจ" อยู่
อิสรภาพทางการเงินของผม มีคำจำกัดความดังกล่าวข้างต้น ครับ
_____________________________________________
น่าจะพอสำหรับครอบครัว 4 คน ที่มี พ่อ แม่ และลูกชาย ลูกสาว
และต้องมีผลตอบแทนจากเงินก้อนดังกล่าว
ไม่น้อยกว่าปีละ 5%
ค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือน จะมาจาก "ผลตอบแทน" เท่านั้น
ไม่ใช่ดึงมาจาก "ทุน" ที่มีอยู่
ผลตอบแทนรายปีที่ได้ เมื่อนำมาหาร 12 เดือนแล้วนั้น
น่าจะอยู่ราวๆ 1.5 แสนบาท / เดือน
เราสามารถให้การศึกษาที่ดีกับลูกๆ ได้อย่างแน่นอน
รวมทั้งมีชีวิตที่สุขสบายในระดับที่น่าพึงพอใจ
บางเดือน เราอาจใช้ "ผลตอบแทน" ดังกล่าวไม่เยอะไปนัก
เราสามารถนำเอาไปทบต้น เอากับหุ้นที่มีอยู่แล้ว และ "น่าประทับใจ" อยู่
อิสรภาพทางการเงินของผม มีคำจำกัดความดังกล่าวข้างต้น ครับ
_____________________________________________
- chaiyos
- Verified User
- โพสต์: 177
- ผู้ติดตาม: 0
อิสระภาพทางการเงิน
โพสต์ที่ 16
To have financial freedom and live a luxury life you will need Total net asset of US$10 Mill
(Luxury would assume : spending without having to worry about price and your wallet)
PS. I remember this from Fortune mag. If I can find it I will send full list later na krub.
(Luxury would assume : spending without having to worry about price and your wallet)
PS. I remember this from Fortune mag. If I can find it I will send full list later na krub.
^.^
Tick...Tick...Tick...Tick...Tick
Tick...Tick...Tick...Tick...Tick
-
- Verified User
- โพสต์: 412
- ผู้ติดตาม: 0
อิสระภาพทางการเงิน
โพสต์ที่ 17
ผมคิดว่าน่าจะมีซัก 50 ล้านนะครับ สำหรับหุ้นราคาปกติ ต้องมี margin of safety เผื่อไว้ในปีที่ไม่มีการปันผล และต้องการเก็บ Wealth ทั้งหมดไว้ในตลาดหุ้นตลอดเวลาครอบครัวหนึ่งมี พ่อ แม่ ลูกสองคน มีบ้านหนึ่งหลัง มีรถหนึ่งคันแล้ว จะต้องมี Wealth เท่าไรถึงจะเรียกว่ามีอิสระภาพทางการเงิน?
(สมมติว่าพ่อใจถึงต้องการเก็บ Wealth ทั้งหมดไว้ในตลาดหุ้นตลอดเวลา)
ผมว่าหมื่นล้านเรียกว่ามีอิสระภาพแล้วนะครับเห็นด้วยครับ
ต้องรู้จักพอครับ
ถ้าไม่รู้จักพอมีเป็นหมื่นล้าน ก็ไม่มีอิสรภาพครับ
ถึงจะรู้จักพอ แต่ทุกคนก็ต้องทำงานครับ