VI หาดใหญ่
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3451
06:03
E-AGM Jubilee 2021
22 Apr 2021 14.06
ผู้มาประชุมด้วยตนเอง 10 คน
ผู้รับมอบฉันทะ 37 คน
รวม 47 คน คิดเป็น 60.06% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด
วาระที่2 รับทราบผลการดำเนินงานประจำปี 2563
คุณอัญรัตน์ พรประกฤต กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร
เกริ่นว่า ตอนนี้หุ้นPE 17.96 เท่า,Market cap 4,792.51 ลบ
บริษัทมีสาขา130สาขาทั่วประเทศแบ่งเป็น
ภาคเหนือ 15 สาขา
ภาคอีสาน 16 สาขา
ภาคกลาง 26 สาขา
กรุงเทพ 51 สาขา
ภาคใต้ 22 สาขา
Jubilee Distribution Channel
1.Jubilee Flagship Store
2.Jubilee shop กระจายตามภูมิภาค ในส่วน กทม มี Flatship store สีลม ,Icon siam, Central World
3.Jubilee counter บน Plaza , Department store,Big C , Lotus
4.Jubilee E-commerce ปีที่แล้วเกิด covid ทำให้ เกิดธุรกิจE-commerceขึ้นมาในQ2
ผ่านช่องทาง Instagram,Facebook,Jubilee’s Website,LINE@
หลังCovid ได้กลุ่มลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้น และ ก็ขายผ่าน E-commerce มากขึ้น ถือว่า Jubilee Online Store เป็นอีกช่องทางในการทำยอดขาย
ได้กลุ่มลูกค้าใหม่ๆ ปกติลูกค้าใหม่ 35-40% เองแต่ Jubilee Online Store มีลูกค้าใหม่ 78-80%
ผ่านทาง Lazada, Shoppee , JD Central , Central Online , Robinson Online.
5.Jubilee Outlet store มีสองสาขา คือ สะพานเหล็ก และ siam premium outlet
คุณอัญอธิบายถึงกิจกรรมในแต่ละไตรมาสดังนี้
Q1. New collection กลุ่มลูกค้าในช่วงตรุษจีน ส่วนใหญ่เป็นสมาชิกของยูบิลลี่
ส่วนปีนี้ ลูกค้าในเทศกาลวาเลนไทน์ เป็นกลุ่มลูกค้าใหม่ ระดับราคา 10,000ต้นๆ
Q2.ช่วงมิยปีที่แล้ว จัดฉลองครบรอบ 90 ปี จัดที่รร อินเตอร์คอน โดยมีเอกอัครทูตเบลเยี่ยมมาร่วมงานด้วย
ปีนี้ 127สาขาถูกปิดจากCovid ทำให้เกิดช่องทางใหม่ คือ online และได้ลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ
กลาง พค จัดกิจกรรมการตลาด ทำให้ เดือน มิย ยอดขายกลับมาใกล้เคียงเดิม Q2 เห็นกำไร
Q3 จัดงาน Jubilee Midyear Grand Sales ซึ่งเลื่อนมาจากQ2
จัดงานเลี้ยงขอบคุณลูกค้า ที่ รร เซนต์รีจีส เปิดcollectionใหม่
เทศกาลวันแม่ จัดcollectionที่บ่งบอกถึงผู้หญิงที่เป็นผู้บริหาร หรือ คนทำงาน
Mon Amour collection ได้เทคโนโลยีของญี่ปุ่นมา
Q4 -The Legendary of CARAT
-เทศกาลThe Best Diamond Gift Festival
-ออกcollectionใหม่ๆ ราคาเริ่ม 10,000ต้นๆ
สี่ไตรมาสที่ผ่านมา เราได้award from Forb asia ซึ่งมีบริษัทที่ได้ 200 บริษัท มีแค่ 14 บริษัทมาจากไทย
และบริษัทเฉพาะเครื่องประดับ มีแค่Jubilee
Target 2021
Revenue โต 10% , Average GP ไม่น้อยกว่า 45%
โดยเอากลยุทธ์ที่ดีในปีที่แล้วมาใช้ต่อ
ฐานสมาชิก 180,000 ราย มีแคมเปญที่จะlaunchได้แล้ว หลังcovidซา
จะมีการขยายสาขาในช่วงครึ่งปีหลัง 3-5 สาขา
โดยมุ่งเน้น Channel ใหม่ คือ Outlet store , E-commerce
วาระที่ 3 พิจารณางบปี2563
1.สินทรัพย์เพิ่มขึ้น จากสัญญาเช่า ตามมาตรฐาน TFRS16
และเงินสด เงินลงทุนเพิ่ม 116 ลบ มาจากรายได้เพิ่มจากการดำเนินงานและมีจ่ายปันผลและค่าเช่า
การลงทุนในFixed asset มีบ้างในสาขาใหม่ รวมถึงระบบprogramต่างๆเพื่อเอาข้อมูลมาวิเคราะห์
2.หนี้สินเพิ่มจาก 429 เป็น 439 ลบ , หนี้สัญญาเช่า 410 ลบ
3.กำไรสะสม เพิ่มจาก 793 เป็น 943 ลบ เพิ่มขึ้น 150 ลบมาจาก กำไรสุทธิ 266 ลบ หักปันผล 116 ลบ
4.รายได้ทั้งปี 1,704 ลบ ลดลงจากปีก่อน 100 ลบ ผลกระทบจากcovid
ปกติรายได้ Q2 ประมาณ 400 กว่าล้านบาทมาจากงาน Mid year แต่dropเพราะย้ายไปจัดQ3
ทำให้ปีที่แล้ว Q3,Q4 new high มากกว่า 500ลบ
5.GP 814 ลบ (47.8%) จากเดิม 842 ลบ แต่พยายามรักษา GP%ไว้ไม่ให้ลดลง
6.NP 266.8 ลบ (15.7%) จากเดิม 262.2 ลบ และ NP %= 15.7% แต่มีผลกระทบจากTFRS16 ทำให้
กำไรหลังปรับปรุงเป็น 279 ลบ
7.Current Ratio 2.75 ลดลงจากเดิม 3.14
8.Inventoryday 266 จากเดิม 232 วัน มีผลจากcovid
9.Supplier payment ปกติ 3-4 เดือน ปีที่แล้วต่อรองเป็น 5 เดือน ประมาณ 155 วัน
10.ลูกหนี้ขายผ่านห้าง ปกติให้ 1 เดือน ปี63 = 28 วัน
Sales analysis
BKK 50.76% , UPC 49.24%
SSS -9.18%, New shop 3.74% , close -0.22% ,
Net change sales growth -5.7%
Q&A
1. สอบถามยอดขาย Q1 เป็นอย่างไร
คุณอัญตอบว่า เดือน มค และ กพ ยังเติบโตขึ้นจากปีก่อน ดังนั้นQ1 น่าจะโต
เป้าหมายปีนี้ การเติบโตทั้งปีที่อย่างต่ำ 10%
2. ยอดขายผ่าน e-commerce Q1ปีนี้เทียบกับปีที่แล้วเป็นอย่างไร
คุณอัญตอบว่า ปีที่แล้ว Q1 ไม่มี e-commerce
ดังนั้นจึงเทียบยอดขายผ่าน e-commercใน Q1 64กับ Q4 63 ซึ่งใกล้เคียงกัน
E-AGM Jubilee 2021
22 Apr 2021 14.06
ผู้มาประชุมด้วยตนเอง 10 คน
ผู้รับมอบฉันทะ 37 คน
รวม 47 คน คิดเป็น 60.06% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด
วาระที่2 รับทราบผลการดำเนินงานประจำปี 2563
คุณอัญรัตน์ พรประกฤต กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร
เกริ่นว่า ตอนนี้หุ้นPE 17.96 เท่า,Market cap 4,792.51 ลบ
บริษัทมีสาขา130สาขาทั่วประเทศแบ่งเป็น
ภาคเหนือ 15 สาขา
ภาคอีสาน 16 สาขา
ภาคกลาง 26 สาขา
กรุงเทพ 51 สาขา
ภาคใต้ 22 สาขา
Jubilee Distribution Channel
1.Jubilee Flagship Store
2.Jubilee shop กระจายตามภูมิภาค ในส่วน กทม มี Flatship store สีลม ,Icon siam, Central World
3.Jubilee counter บน Plaza , Department store,Big C , Lotus
4.Jubilee E-commerce ปีที่แล้วเกิด covid ทำให้ เกิดธุรกิจE-commerceขึ้นมาในQ2
ผ่านช่องทาง Instagram,Facebook,Jubilee’s Website,LINE@
หลังCovid ได้กลุ่มลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้น และ ก็ขายผ่าน E-commerce มากขึ้น ถือว่า Jubilee Online Store เป็นอีกช่องทางในการทำยอดขาย
ได้กลุ่มลูกค้าใหม่ๆ ปกติลูกค้าใหม่ 35-40% เองแต่ Jubilee Online Store มีลูกค้าใหม่ 78-80%
ผ่านทาง Lazada, Shoppee , JD Central , Central Online , Robinson Online.
5.Jubilee Outlet store มีสองสาขา คือ สะพานเหล็ก และ siam premium outlet
คุณอัญอธิบายถึงกิจกรรมในแต่ละไตรมาสดังนี้
Q1. New collection กลุ่มลูกค้าในช่วงตรุษจีน ส่วนใหญ่เป็นสมาชิกของยูบิลลี่
ส่วนปีนี้ ลูกค้าในเทศกาลวาเลนไทน์ เป็นกลุ่มลูกค้าใหม่ ระดับราคา 10,000ต้นๆ
Q2.ช่วงมิยปีที่แล้ว จัดฉลองครบรอบ 90 ปี จัดที่รร อินเตอร์คอน โดยมีเอกอัครทูตเบลเยี่ยมมาร่วมงานด้วย
ปีนี้ 127สาขาถูกปิดจากCovid ทำให้เกิดช่องทางใหม่ คือ online และได้ลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ
กลาง พค จัดกิจกรรมการตลาด ทำให้ เดือน มิย ยอดขายกลับมาใกล้เคียงเดิม Q2 เห็นกำไร
Q3 จัดงาน Jubilee Midyear Grand Sales ซึ่งเลื่อนมาจากQ2
จัดงานเลี้ยงขอบคุณลูกค้า ที่ รร เซนต์รีจีส เปิดcollectionใหม่
เทศกาลวันแม่ จัดcollectionที่บ่งบอกถึงผู้หญิงที่เป็นผู้บริหาร หรือ คนทำงาน
Mon Amour collection ได้เทคโนโลยีของญี่ปุ่นมา
Q4 -The Legendary of CARAT
-เทศกาลThe Best Diamond Gift Festival
-ออกcollectionใหม่ๆ ราคาเริ่ม 10,000ต้นๆ
สี่ไตรมาสที่ผ่านมา เราได้award from Forb asia ซึ่งมีบริษัทที่ได้ 200 บริษัท มีแค่ 14 บริษัทมาจากไทย
และบริษัทเฉพาะเครื่องประดับ มีแค่Jubilee
Target 2021
Revenue โต 10% , Average GP ไม่น้อยกว่า 45%
โดยเอากลยุทธ์ที่ดีในปีที่แล้วมาใช้ต่อ
ฐานสมาชิก 180,000 ราย มีแคมเปญที่จะlaunchได้แล้ว หลังcovidซา
จะมีการขยายสาขาในช่วงครึ่งปีหลัง 3-5 สาขา
โดยมุ่งเน้น Channel ใหม่ คือ Outlet store , E-commerce
วาระที่ 3 พิจารณางบปี2563
1.สินทรัพย์เพิ่มขึ้น จากสัญญาเช่า ตามมาตรฐาน TFRS16
และเงินสด เงินลงทุนเพิ่ม 116 ลบ มาจากรายได้เพิ่มจากการดำเนินงานและมีจ่ายปันผลและค่าเช่า
การลงทุนในFixed asset มีบ้างในสาขาใหม่ รวมถึงระบบprogramต่างๆเพื่อเอาข้อมูลมาวิเคราะห์
2.หนี้สินเพิ่มจาก 429 เป็น 439 ลบ , หนี้สัญญาเช่า 410 ลบ
3.กำไรสะสม เพิ่มจาก 793 เป็น 943 ลบ เพิ่มขึ้น 150 ลบมาจาก กำไรสุทธิ 266 ลบ หักปันผล 116 ลบ
4.รายได้ทั้งปี 1,704 ลบ ลดลงจากปีก่อน 100 ลบ ผลกระทบจากcovid
ปกติรายได้ Q2 ประมาณ 400 กว่าล้านบาทมาจากงาน Mid year แต่dropเพราะย้ายไปจัดQ3
ทำให้ปีที่แล้ว Q3,Q4 new high มากกว่า 500ลบ
5.GP 814 ลบ (47.8%) จากเดิม 842 ลบ แต่พยายามรักษา GP%ไว้ไม่ให้ลดลง
6.NP 266.8 ลบ (15.7%) จากเดิม 262.2 ลบ และ NP %= 15.7% แต่มีผลกระทบจากTFRS16 ทำให้
กำไรหลังปรับปรุงเป็น 279 ลบ
7.Current Ratio 2.75 ลดลงจากเดิม 3.14
8.Inventoryday 266 จากเดิม 232 วัน มีผลจากcovid
9.Supplier payment ปกติ 3-4 เดือน ปีที่แล้วต่อรองเป็น 5 เดือน ประมาณ 155 วัน
10.ลูกหนี้ขายผ่านห้าง ปกติให้ 1 เดือน ปี63 = 28 วัน
Sales analysis
BKK 50.76% , UPC 49.24%
SSS -9.18%, New shop 3.74% , close -0.22% ,
Net change sales growth -5.7%
Q&A
1. สอบถามยอดขาย Q1 เป็นอย่างไร
คุณอัญตอบว่า เดือน มค และ กพ ยังเติบโตขึ้นจากปีก่อน ดังนั้นQ1 น่าจะโต
เป้าหมายปีนี้ การเติบโตทั้งปีที่อย่างต่ำ 10%
2. ยอดขายผ่าน e-commerce Q1ปีนี้เทียบกับปีที่แล้วเป็นอย่างไร
คุณอัญตอบว่า ปีที่แล้ว Q1 ไม่มี e-commerce
ดังนั้นจึงเทียบยอดขายผ่าน e-commercใน Q1 64กับ Q4 63 ซึ่งใกล้เคียงกัน
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3452
AGM บริษัท สหไทย เทอร์มินอล จำกัด (มหาชน) หรือ PORT 22 Apr 2021 14.00
มีผู้เข้าประชุมด้วยตนเอง 65 ราย
ผู้รับมอบฉันทะ 60 ราย
รวม 125 รายคิดเป็นจำนวนหุ้น 70.4613% หรือ 427,840,993 หุ้น
วาระที่1 พิจารณารับรองรายงานการประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ประจำปี 2563 เมื่อวันที่ 27 กค 2563
รับรองรายงานการประชุม
วาระที่2 รับทราบผลการดำเนินงาน
คุณ บัญชัย ครุจิตร เกริ่นนำความเป็นมา
ความเป็นมาของบริษัท
-ปี2008 ก่อตั้งบริษัท ในชื่อ Sahathai Coastal Seaport เพื่อsupport Sathathai steel Pipe for
Terminal handling service.
-ปี2013 rebrand to Sahathai Terminal เพื่อรองรับงานใหม่ที่เพิ่มเข้ามา
-ปี2015 partner กับ Mitsui OSK Shipping Line (MOL) สำหรับsetup new barge terminal คือ
Bangkok Barge Terminal (ถือในสัดส่วน 99.99%)
-ปี2016 partner กับ Mediterranean Shipping Company (MSC) เปิด Bangkok Barge Service (BBS) (ถือในสัดส่วน 40%)
-ปี2017 BCDS (ถือในสัดส่วน 99.99%) เป็นการtransfer container depot operation จาก Sahathai
-ปี2018 BTS transferred in-land transport from Sahathai
, BRT partner กับ บริษัทมิตรผล เพื่อเปิด Bangkok River Terminal (BRT) (ถือในสัดส่วน 55%) เพื่อเป็นNew feeder terminal.
-ปี2019 AMP Terminal sign MOU กับ BRT เพื่อset up new feeder terminal
Partner กับ ไฟรเซอร์ (เดิมคือ ไทคอน และกลุ่มเฟรเซอร์ของคุณเจริญมาtakeไป) มาทำ
Bangkok Logistic Part (BLP) (ถือในสัดส่วน 25%) เพื่อทำwarehouse project.
ในเดือน พค ได้ออกหุ้นเพิ่มทุนให้กับผู้ถือหุ้นเดิมและออก Port-W1
-ปี2020 ได้รับอนุมัติเพิ่มช่องทางการขนถ่ายตู้สินค้าขาเข้าด้วยเส้นทางรถยนต์
จากแหลมฉบัง ไปยังทำเนียบท่าเรือ บริษัท แอคทู-ลั่ม จำกัดแบบ Multimodel Transport
จากกรมศุลกากรท่าเรือแหลมฉบ้ง
และโครงสร้างของบริษัท
บริษัท สหไทย เทอร์มินอล จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ให้บริการท่าเรือเอกชนครบวงจรรายใหญ่ของประเทศไทยโดยให้บริการดังนี้
1. ธุรกิจการให้บริการท่าเทียบเรือเชิงพาณิชย์ครบวงจรสำหรับเรือขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ (Feeder) และเรือขนส่งสินค้าชายฝั่ง (Barge) รวมถึงการให้บริการบรรจุสินค้าเข้าและถ่ายสินค้าออกจากตู้คอนเทนเนอร์ (CFS) และซ่อมแซมทำความสะอาดตู้คอนเทนเนอร์ (Container Depot) รายได้ในช่วงปี2563 ส่วนนี้คิดเป็น 957 ลบ หรือเป็นสัดส่วน 71.03%
1.1 Terminal handling business รายได้ลดลง 25.17% ( Feeder = 153 , Barge = 583 ลบ )
1.2 Container Freight Station รายได้เพิ่มขึ้น จาก 94 ไปที่ 97 ลบ
1.3 Container Depot รายได้ลดลงจาก 139 ไปที่ 124 ลบ
2.ธุรกิจการให้บริการขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ทางบก (In-land transportation) ภายในบริเวณจังหวัดกรุงเทพมหานครและปริมณฑลบริเวณเขตพื้นที่แหลมฉบัง รายได้ในช่วงปี2563 ส่วนนี้คิดเป็น 336.59ลบ หรือ 8.03%
In-land Transportation รายได้เพิ่มจาก 198 เป็น 337 ลบ เพิ่ม 70%
จำนวนcontainer ที่ให้บริการเพิ่มจาก 61,000 เป็น 110,000 serviced containers
3. ธุรกิจการให้บริการพื้นที่จัดเก็บตู้คอนเทนเนอร์และคลังสินค้าโดยให้บริการพื้นที่ลานพักตู้คอนเทนเนอร์ และคลังจัดเก็บสินค้ากับลูกค้า (Warehouse&Yard) ทั้งที่เป็นเขตให้บริการปกติและปลอดภาษีอากร (Free Zone) รายได้ในช่วงปี2563 ส่วนนี้คิดเป็น 36.40 ลบ หรือ 2.70%
General & Freezone Areas
แบ่งเป็น WH&Freezone WH ลดจาก 46 เป็น 22 ลบ
Freezone Yard ลดจาก 36 เป็น 14 ลบ
4.ธุรกิจการให้บริการ เกี่ยวเนื่องอื่นๆ อาทิ การให้บริการ Freight Forwarding เป็นต้น
รายได้ในช่วงปี2563 ส่วนนี้คิดเป็น 17.24 ลบ หรือ 1.28 %
Freight Forward
รายได้ลดจาก 30 เป็น 15 ลบ , อื่นๆ 2 ลบ
ผลประกอบการ ปี2563 ของSahathai
-รายได้ปี2563 เติบโตลดลง 11.87% จาก 1,529 ลบ เป็น 1,347 ลบ
-GP เติบโตลดลง 9.49% จาก 367 ลบ เป็น 333 ลบ
-Net profit เติบโตลดลง 44.26 % จาก 109 ลบ เป็น 61 ลบ
งบการเงินรวม
สินทรัพย์รวมเพิ่มขึ้นจาก 2,924 ลบ มาเป็น 3,834 ลบ
หนี้สินรวมเพิ่มขึ้นจาก 1,438 ลบ มาเป็น 1,329 ลบ
ส่วนของผู้ถือหุ้น เพิ่มขึ้นจาก 1,486 ลบ มาเป็น 1,504 ลบ
งบการเงินรวม
รายได้รวม จาก ปีที่แล้ว 1,558 ลบ ลดลงเหลือ 1,359 ลบ
กำไรสุทธิเบ็ดเสร็จ ลดลงจาก 120.19 ลบ เป็น 58.10 ลบ
กำไรต่อหุ้นขั้นพื้นฐาน จากเดิม 0.19 บาท ลดเหลือ 0.10 บาท
งบการเงินเฉพาะกิจการ
รายได้รวม จาก ปีที่แล้ว 1,072 ลบ ลดลงเหลือ 803 ลบ
กำไรสุทธิเบ็ดเสร็จ ลดลงจาก 81.39 ลบ เป็น 39.52 ลบ
กำไรต่อหุ้นขั้นพื้นฐาน จากเดิม 0.15 บาท ลดเหลือ 0.07 บาท
ผลกระทบจาก Covid ต่อ เศรษฐกิจ
ส่งออก มิย 2020 ติดลบ 23.17% ต่ำสุดรอบ 11 ปี
ส่งออกทั้งปี ลดลง 5.89% , นำเข้า ลดลง 12.90%
Container Shortage
เกิดวิกฤตขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ ขนส่งสินค้าใกล้จะขาดตอน
แต่เรายังมีbufferไว้ ทำให้มีแค่บางรายการที่ส่งให้ลูกค้าไม่ทัน
วาระที่3 พิจารณาอนุมัติงบแสดงฐานะทางการเงินและงบกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จปี 2563
Outlook 2021
1.Organic growth มาจาก
- Cold Chain
-Door to door service
-Bulk cargo
2.Business Expansion
- BRT : Commercial international airport project
- BLP: Warehouses and industrial properties
3.Other Development
-Customer service center
-Port member
-Fast Lane
-Solar Roof top
มีผู้เข้าประชุมด้วยตนเอง 65 ราย
ผู้รับมอบฉันทะ 60 ราย
รวม 125 รายคิดเป็นจำนวนหุ้น 70.4613% หรือ 427,840,993 หุ้น
วาระที่1 พิจารณารับรองรายงานการประชุมสามัญผู้ถือหุ้น ประจำปี 2563 เมื่อวันที่ 27 กค 2563
รับรองรายงานการประชุม
วาระที่2 รับทราบผลการดำเนินงาน
คุณ บัญชัย ครุจิตร เกริ่นนำความเป็นมา
ความเป็นมาของบริษัท
-ปี2008 ก่อตั้งบริษัท ในชื่อ Sahathai Coastal Seaport เพื่อsupport Sathathai steel Pipe for
Terminal handling service.
-ปี2013 rebrand to Sahathai Terminal เพื่อรองรับงานใหม่ที่เพิ่มเข้ามา
-ปี2015 partner กับ Mitsui OSK Shipping Line (MOL) สำหรับsetup new barge terminal คือ
Bangkok Barge Terminal (ถือในสัดส่วน 99.99%)
-ปี2016 partner กับ Mediterranean Shipping Company (MSC) เปิด Bangkok Barge Service (BBS) (ถือในสัดส่วน 40%)
-ปี2017 BCDS (ถือในสัดส่วน 99.99%) เป็นการtransfer container depot operation จาก Sahathai
-ปี2018 BTS transferred in-land transport from Sahathai
, BRT partner กับ บริษัทมิตรผล เพื่อเปิด Bangkok River Terminal (BRT) (ถือในสัดส่วน 55%) เพื่อเป็นNew feeder terminal.
-ปี2019 AMP Terminal sign MOU กับ BRT เพื่อset up new feeder terminal
Partner กับ ไฟรเซอร์ (เดิมคือ ไทคอน และกลุ่มเฟรเซอร์ของคุณเจริญมาtakeไป) มาทำ
Bangkok Logistic Part (BLP) (ถือในสัดส่วน 25%) เพื่อทำwarehouse project.
ในเดือน พค ได้ออกหุ้นเพิ่มทุนให้กับผู้ถือหุ้นเดิมและออก Port-W1
-ปี2020 ได้รับอนุมัติเพิ่มช่องทางการขนถ่ายตู้สินค้าขาเข้าด้วยเส้นทางรถยนต์
จากแหลมฉบัง ไปยังทำเนียบท่าเรือ บริษัท แอคทู-ลั่ม จำกัดแบบ Multimodel Transport
จากกรมศุลกากรท่าเรือแหลมฉบ้ง
และโครงสร้างของบริษัท
บริษัท สหไทย เทอร์มินอล จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ให้บริการท่าเรือเอกชนครบวงจรรายใหญ่ของประเทศไทยโดยให้บริการดังนี้
1. ธุรกิจการให้บริการท่าเทียบเรือเชิงพาณิชย์ครบวงจรสำหรับเรือขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ (Feeder) และเรือขนส่งสินค้าชายฝั่ง (Barge) รวมถึงการให้บริการบรรจุสินค้าเข้าและถ่ายสินค้าออกจากตู้คอนเทนเนอร์ (CFS) และซ่อมแซมทำความสะอาดตู้คอนเทนเนอร์ (Container Depot) รายได้ในช่วงปี2563 ส่วนนี้คิดเป็น 957 ลบ หรือเป็นสัดส่วน 71.03%
1.1 Terminal handling business รายได้ลดลง 25.17% ( Feeder = 153 , Barge = 583 ลบ )
1.2 Container Freight Station รายได้เพิ่มขึ้น จาก 94 ไปที่ 97 ลบ
1.3 Container Depot รายได้ลดลงจาก 139 ไปที่ 124 ลบ
2.ธุรกิจการให้บริการขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ทางบก (In-land transportation) ภายในบริเวณจังหวัดกรุงเทพมหานครและปริมณฑลบริเวณเขตพื้นที่แหลมฉบัง รายได้ในช่วงปี2563 ส่วนนี้คิดเป็น 336.59ลบ หรือ 8.03%
In-land Transportation รายได้เพิ่มจาก 198 เป็น 337 ลบ เพิ่ม 70%
จำนวนcontainer ที่ให้บริการเพิ่มจาก 61,000 เป็น 110,000 serviced containers
3. ธุรกิจการให้บริการพื้นที่จัดเก็บตู้คอนเทนเนอร์และคลังสินค้าโดยให้บริการพื้นที่ลานพักตู้คอนเทนเนอร์ และคลังจัดเก็บสินค้ากับลูกค้า (Warehouse&Yard) ทั้งที่เป็นเขตให้บริการปกติและปลอดภาษีอากร (Free Zone) รายได้ในช่วงปี2563 ส่วนนี้คิดเป็น 36.40 ลบ หรือ 2.70%
General & Freezone Areas
แบ่งเป็น WH&Freezone WH ลดจาก 46 เป็น 22 ลบ
Freezone Yard ลดจาก 36 เป็น 14 ลบ
4.ธุรกิจการให้บริการ เกี่ยวเนื่องอื่นๆ อาทิ การให้บริการ Freight Forwarding เป็นต้น
รายได้ในช่วงปี2563 ส่วนนี้คิดเป็น 17.24 ลบ หรือ 1.28 %
Freight Forward
รายได้ลดจาก 30 เป็น 15 ลบ , อื่นๆ 2 ลบ
ผลประกอบการ ปี2563 ของSahathai
-รายได้ปี2563 เติบโตลดลง 11.87% จาก 1,529 ลบ เป็น 1,347 ลบ
-GP เติบโตลดลง 9.49% จาก 367 ลบ เป็น 333 ลบ
-Net profit เติบโตลดลง 44.26 % จาก 109 ลบ เป็น 61 ลบ
งบการเงินรวม
สินทรัพย์รวมเพิ่มขึ้นจาก 2,924 ลบ มาเป็น 3,834 ลบ
หนี้สินรวมเพิ่มขึ้นจาก 1,438 ลบ มาเป็น 1,329 ลบ
ส่วนของผู้ถือหุ้น เพิ่มขึ้นจาก 1,486 ลบ มาเป็น 1,504 ลบ
งบการเงินรวม
รายได้รวม จาก ปีที่แล้ว 1,558 ลบ ลดลงเหลือ 1,359 ลบ
กำไรสุทธิเบ็ดเสร็จ ลดลงจาก 120.19 ลบ เป็น 58.10 ลบ
กำไรต่อหุ้นขั้นพื้นฐาน จากเดิม 0.19 บาท ลดเหลือ 0.10 บาท
งบการเงินเฉพาะกิจการ
รายได้รวม จาก ปีที่แล้ว 1,072 ลบ ลดลงเหลือ 803 ลบ
กำไรสุทธิเบ็ดเสร็จ ลดลงจาก 81.39 ลบ เป็น 39.52 ลบ
กำไรต่อหุ้นขั้นพื้นฐาน จากเดิม 0.15 บาท ลดเหลือ 0.07 บาท
ผลกระทบจาก Covid ต่อ เศรษฐกิจ
ส่งออก มิย 2020 ติดลบ 23.17% ต่ำสุดรอบ 11 ปี
ส่งออกทั้งปี ลดลง 5.89% , นำเข้า ลดลง 12.90%
Container Shortage
เกิดวิกฤตขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ ขนส่งสินค้าใกล้จะขาดตอน
แต่เรายังมีbufferไว้ ทำให้มีแค่บางรายการที่ส่งให้ลูกค้าไม่ทัน
วาระที่3 พิจารณาอนุมัติงบแสดงฐานะทางการเงินและงบกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จปี 2563
Outlook 2021
1.Organic growth มาจาก
- Cold Chain
-Door to door service
-Bulk cargo
2.Business Expansion
- BRT : Commercial international airport project
- BLP: Warehouses and industrial properties
3.Other Development
-Customer service center
-Port member
-Fast Lane
-Solar Roof top
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3453
AGM SIS 23 April 2021 14.00-16.30
วาระที่2
คุณสมชัย ได้สรุปถึงกลุ่มธุรกิจต่างๆดังนี้
1.สินค้าเชิงพาณิชย์ เช่น PC,NB,Server,Network
ปีที่ผ่านมา ยอดขายลดลง ส่วนนึง มาจากสินค้าขาดตอนปลายปี แต่GP ทำได้ดี อยู่ที่ 5.4% จากปีก่อนหน้า 5.1%
2.สินค้าสำหรับผู้บริโภค ซึ่งใช้ส่วนตัว ยอดขายใกล้เคียงเดิม ประมาณ 8,000 ลบ
ปีที่แล้วมีปัญหาของขาดตลาด แต่กำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นจาก 4.1% เป็น 6.2%
ปกติของที่เราสำรองไว้จะมีค่าเสื่อม แต่ปีที่แล้ว ไม่ต้องขายลดราคา เพราะของขาด
แต่จริงๆไม่มีดีมากแบบนั้น เพราะ ปีที่แล้ว ได้เงินบางส่วนที่ค้างจ่ายจากsupplierเข้ามาพอดี
3.สินค้าโทรศัพท์
ยอดขายปี61 ดีมาก จากการเน้นมือถือราคาประหยัด ยี่ห้อ Wiko ซึ่งราคาขายต่ำกว่า 3,000 บาท
ซึ่งผู้เล่นรายใหญ่ไม่ค่อยลงมาเล่น แต่พอปี62 ผู้เล่นรายใหญ่เริ่มสนใจส่วนนี้ เลยผลิตรุ่นราคาถูกมาแข่ง
ทำให้กระทบต่อยอดขายเราลดลง ปลายปี62 เราเจรจากับXioami และได้รุ่นราคาประมาณ3,000บาทมา
ทำให้ขายดี รวมถึงรุ่นกลางตั้งแต่ 4,000-6,000 บาท ขายดีด้วย แต่GPไม่ค่อยดีเท่าไหร่
4.สินค้ามูลค่าเพิ่ม เป็นสินค้าsolution ระบบITใหม่ๆที่ใช้ไปช่วยในการแข่งขันเฉพาะองค์กรที่ให้ความสำคัญ
ในการเอาITมาช่วยในการแข่งขัน ยอดขายไม่มาก แตกำไรจะดีประมาณ 10%กว่า ยอดขายโตพอสมควร
เช่น Cyber securities
5. สินค้าอื่นๆ มี 4 Business units ค่อยๆโตขึ้น สินค้าเล็กๆ ยอดขายไม่เยอะ แต่กำไรดี
ทำให้ยอดขายดีขึ้น GP % ก็ดีขึ้น
รายได้ปี2020 โตขึ้น 17% , GP โต 19.9% โดย GP เพิ่มจาก 6.7 ไปที่ 6.8%
รายได้รวมจาก งบกำไรขาดทุน 24,019 ลบ
กำไรสุทธิ เพิ่มจาก 423 เป็น 597 ลบ โต 41.1 % ถือเป็นปีที่ดีของบริษัท
Q&A
1.Cloud Service อยู่ในรายได้อื่นๆ กำไรขั้นต้นค่อนข้างดี แต่โดยรวมยังขาดทุนนิดหน่อย
ก็ยังพอใจ
2.Xioami เรายังเป็นผู้จัดจำหน่ายรายหลังๆ มีคนมาทำก่อนเรา แต่ผลตอบรับไม่ดี ก็เลยเปิดรับรายใหม่ช่วยขาย
เรามียอดขายคิดเป็น 60-70%ของเขา ยังมีกลุ่มที่ขายตรง คือ operator ซึ่งเขาซื้อจากตรงจากXioami และเราด้วย
ส่วนลูกค้าonline ก็ให้อีกเจ้าทำตลาด กลุ่มสุดท้ายคือ ผู้ค้าปลีกอิสระ เขาให้เราขาย
วาระที่3 พิจารณาอนุมัติงบการเงินปี 63
งบดุล
ที่มาของเงินทุน แบ่งเป็น3 ส่วนหลัก
1. ผู้ถือหุ้น จากต้นปี 2,401 เป็น 2,809 ลบ ในตอนปลายปี
2. เจ้าหนี้ จากต้นปี 2,447 เป็น 2,922 ลบ ในตอนปลายปี เราซื้อของมากขึ้น
3. สถาบันการเงิน จากต้นปี 2,166 เป็น 1,612 ลบ ในตอนปลายปี
สินทรัพย์ แบ่งเป็น 3 ส่วนหลัก คือ
4. ลูกหนี้การค้าจากต้นปี 3,322 เป็น 3,267 ลบ ในตอนปลายปี
5. สินค้าคงเหลือ จากต้นปี 2,877 เป็น 2,245 ลบ ในตอนปลายปี
6. สินทรัพย์หมุนเวียนอื่น จากต้นปี 473 เป็น 797 ลบ ในตอนปลายปี
งบกำไรขาดทุน
รายได้ เพิ่มจาก 20,471 เป็น 24,019 ลบ
ต้นทุนการขายและบริการ เพิ่มจาก 19,035 เป็น 22,225 ลบ
กำไรก่อนภาษี 737 ลบ
กำไรสุทธิ 597 ลบ หรือ กำไรต่อหุ้น 1.71 บาท
Q&A
3.ลูกหนี้คงค้างเกิน 12 เดือนที่เพิ่มขึ้น
มีอยู่3ราย
3.1.รัฐวิสาหกิจด้านสื่อสาร มูลค่า 62 ลบ สำรองแล้ว 20%
3.2.หน่วยงานราชการ 46 ลบ มีหนังสือค้ำประกัน40 ลบ เลยสำรองเพิ่ม 6 ลบ
3.3.ร้านค้าปลีกต่างจังหวัด 21 ลบ สำรอง 100%
4. การด้อยค่าของสินทรัพย์ทางการเงิน
4.1 สายการบิน 30 ลบ ตั้งสำรอง 50%
4.2 ร้านค้าปลีกต่างจังหวัด 21 ลบ ตั้งสำรอง 100%
4.3 หน่วยงานราชการ 6 ลบ ตั้งเพิ่มจากBG
4.4 รัฐวิสาหกิจ 6 ลบ ลูกค้าจ่ายเงินแล้ว แต่ dealerมีปัญหา ตั้งเฉพาะเคลมไม่ได้
4.5 สายการบิน 5 ลบ สำรองเต็มจากส่วนที่claimไม่ได้
5. ธุรกิจกลุ่ม Cloud service รายได้แตะ 400 ลบ ตอนนี้มีลูกค้า 300 ราย และมี partner 152 ราย กำลังรับเพิ่ม
6.ผลการดำเนินงาน ธุรกิจกล้อง เติบโตดีมากในอดีต แต่ปีที่แล้ว โตไม่เยอะ แต่ Q4 โตเยอะ คิดว่าโตได้ไม่เยอะอีก
แต่อนาคตอยากเอาภาพจากกล้องไปใช้ประโยชน์ให้มากขึ้น
วาระที่2
คุณสมชัย ได้สรุปถึงกลุ่มธุรกิจต่างๆดังนี้
1.สินค้าเชิงพาณิชย์ เช่น PC,NB,Server,Network
ปีที่ผ่านมา ยอดขายลดลง ส่วนนึง มาจากสินค้าขาดตอนปลายปี แต่GP ทำได้ดี อยู่ที่ 5.4% จากปีก่อนหน้า 5.1%
2.สินค้าสำหรับผู้บริโภค ซึ่งใช้ส่วนตัว ยอดขายใกล้เคียงเดิม ประมาณ 8,000 ลบ
ปีที่แล้วมีปัญหาของขาดตลาด แต่กำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นจาก 4.1% เป็น 6.2%
ปกติของที่เราสำรองไว้จะมีค่าเสื่อม แต่ปีที่แล้ว ไม่ต้องขายลดราคา เพราะของขาด
แต่จริงๆไม่มีดีมากแบบนั้น เพราะ ปีที่แล้ว ได้เงินบางส่วนที่ค้างจ่ายจากsupplierเข้ามาพอดี
3.สินค้าโทรศัพท์
ยอดขายปี61 ดีมาก จากการเน้นมือถือราคาประหยัด ยี่ห้อ Wiko ซึ่งราคาขายต่ำกว่า 3,000 บาท
ซึ่งผู้เล่นรายใหญ่ไม่ค่อยลงมาเล่น แต่พอปี62 ผู้เล่นรายใหญ่เริ่มสนใจส่วนนี้ เลยผลิตรุ่นราคาถูกมาแข่ง
ทำให้กระทบต่อยอดขายเราลดลง ปลายปี62 เราเจรจากับXioami และได้รุ่นราคาประมาณ3,000บาทมา
ทำให้ขายดี รวมถึงรุ่นกลางตั้งแต่ 4,000-6,000 บาท ขายดีด้วย แต่GPไม่ค่อยดีเท่าไหร่
4.สินค้ามูลค่าเพิ่ม เป็นสินค้าsolution ระบบITใหม่ๆที่ใช้ไปช่วยในการแข่งขันเฉพาะองค์กรที่ให้ความสำคัญ
ในการเอาITมาช่วยในการแข่งขัน ยอดขายไม่มาก แตกำไรจะดีประมาณ 10%กว่า ยอดขายโตพอสมควร
เช่น Cyber securities
5. สินค้าอื่นๆ มี 4 Business units ค่อยๆโตขึ้น สินค้าเล็กๆ ยอดขายไม่เยอะ แต่กำไรดี
ทำให้ยอดขายดีขึ้น GP % ก็ดีขึ้น
รายได้ปี2020 โตขึ้น 17% , GP โต 19.9% โดย GP เพิ่มจาก 6.7 ไปที่ 6.8%
รายได้รวมจาก งบกำไรขาดทุน 24,019 ลบ
กำไรสุทธิ เพิ่มจาก 423 เป็น 597 ลบ โต 41.1 % ถือเป็นปีที่ดีของบริษัท
Q&A
1.Cloud Service อยู่ในรายได้อื่นๆ กำไรขั้นต้นค่อนข้างดี แต่โดยรวมยังขาดทุนนิดหน่อย
ก็ยังพอใจ
2.Xioami เรายังเป็นผู้จัดจำหน่ายรายหลังๆ มีคนมาทำก่อนเรา แต่ผลตอบรับไม่ดี ก็เลยเปิดรับรายใหม่ช่วยขาย
เรามียอดขายคิดเป็น 60-70%ของเขา ยังมีกลุ่มที่ขายตรง คือ operator ซึ่งเขาซื้อจากตรงจากXioami และเราด้วย
ส่วนลูกค้าonline ก็ให้อีกเจ้าทำตลาด กลุ่มสุดท้ายคือ ผู้ค้าปลีกอิสระ เขาให้เราขาย
วาระที่3 พิจารณาอนุมัติงบการเงินปี 63
งบดุล
ที่มาของเงินทุน แบ่งเป็น3 ส่วนหลัก
1. ผู้ถือหุ้น จากต้นปี 2,401 เป็น 2,809 ลบ ในตอนปลายปี
2. เจ้าหนี้ จากต้นปี 2,447 เป็น 2,922 ลบ ในตอนปลายปี เราซื้อของมากขึ้น
3. สถาบันการเงิน จากต้นปี 2,166 เป็น 1,612 ลบ ในตอนปลายปี
สินทรัพย์ แบ่งเป็น 3 ส่วนหลัก คือ
4. ลูกหนี้การค้าจากต้นปี 3,322 เป็น 3,267 ลบ ในตอนปลายปี
5. สินค้าคงเหลือ จากต้นปี 2,877 เป็น 2,245 ลบ ในตอนปลายปี
6. สินทรัพย์หมุนเวียนอื่น จากต้นปี 473 เป็น 797 ลบ ในตอนปลายปี
งบกำไรขาดทุน
รายได้ เพิ่มจาก 20,471 เป็น 24,019 ลบ
ต้นทุนการขายและบริการ เพิ่มจาก 19,035 เป็น 22,225 ลบ
กำไรก่อนภาษี 737 ลบ
กำไรสุทธิ 597 ลบ หรือ กำไรต่อหุ้น 1.71 บาท
Q&A
3.ลูกหนี้คงค้างเกิน 12 เดือนที่เพิ่มขึ้น
มีอยู่3ราย
3.1.รัฐวิสาหกิจด้านสื่อสาร มูลค่า 62 ลบ สำรองแล้ว 20%
3.2.หน่วยงานราชการ 46 ลบ มีหนังสือค้ำประกัน40 ลบ เลยสำรองเพิ่ม 6 ลบ
3.3.ร้านค้าปลีกต่างจังหวัด 21 ลบ สำรอง 100%
4. การด้อยค่าของสินทรัพย์ทางการเงิน
4.1 สายการบิน 30 ลบ ตั้งสำรอง 50%
4.2 ร้านค้าปลีกต่างจังหวัด 21 ลบ ตั้งสำรอง 100%
4.3 หน่วยงานราชการ 6 ลบ ตั้งเพิ่มจากBG
4.4 รัฐวิสาหกิจ 6 ลบ ลูกค้าจ่ายเงินแล้ว แต่ dealerมีปัญหา ตั้งเฉพาะเคลมไม่ได้
4.5 สายการบิน 5 ลบ สำรองเต็มจากส่วนที่claimไม่ได้
5. ธุรกิจกลุ่ม Cloud service รายได้แตะ 400 ลบ ตอนนี้มีลูกค้า 300 ราย และมี partner 152 ราย กำลังรับเพิ่ม
6.ผลการดำเนินงาน ธุรกิจกล้อง เติบโตดีมากในอดีต แต่ปีที่แล้ว โตไม่เยอะ แต่ Q4 โตเยอะ คิดว่าโตได้ไม่เยอะอีก
แต่อนาคตอยากเอาภาพจากกล้องไปใช้ประโยชน์ให้มากขึ้น
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3454
AGM FSMART 21 Apr 2021 14.00
ผู้มาประชุมด้วยตนเอง 30 คน
ผู้รับมอบฉันทะ 30 คน
รวม 60 คน คิดเป็น 62.52% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด
วาระที่2
ผลประกอบการ
Core Revenue 2,859 ลบ ลดลงจาก 3,147 ลบ
สาเหตุการลดลงของ mobile top upเป็นหลัก เพราะพฤติกรรมผู้บริโภคเริ่มเปลี่ยนไป แต่มีใช้บริการอื่นเสริม
EBITDA 1,073 ลบ
NP 464 ลบ และ กำไร 0.61 บาทต่อหุ้น
Payout ratio 98% ,จ่ายปันผล 0.60 บาทต่อหุ้น
ROE 37.4% , ROA 13.3%
Asset 3,454 ลบ ไม่ค่อยเพิ่ม แต่มีการบริหารจัดการให้มีประสิทธิภาพต่อเนื่อง
DE 2 เท่า มีการซื้อหุ้นคืน ทำให้หุ้นในตลาดลดลง
Q&A
1.ตู้ที่ค่าเสื่อมหมดไปสิ้นปีที่แล้ว 19,000ตู้ ปีนี้ 28,500 ตู้จะประหยัดค่าเสื่อมไป
ส่วนใหญ่จะหมดในปี2023 14,500 ตู้ ประหยัดไป 120 ลบ
2.รายได้บุญเติมลดลงตั้งแต่ปี 2561 ฝ่ายบริหารได้ทำแผนบริหารความเสี่ยงจากเดิม ทำธุรกิจเติมเงินมือถือ
ใน3-4ปีมีการขยายไปธุรกิจใหม่ เช่น
-Banking Agent 3-4ปีทีผ่านมา โตดี
-ทำเพิ่ม เช่น Vending machine ถือเป็นรายได้แหล่งใหม่
วาระที่3
พิจารณาปันผล 0.6 บาทต่อหุ้น จ่ายจากกำไรที่เสียภาษี 20% ในวันที่29 เมษายน 0.3 บาท
โดยจ่ายระหว่างกาลแล้ว0.3บาท
วาระที่7 เรื่องอื่นๆ
ทิศทางการดำเนินงาน
Vision : เราเห็นเทรน ของอุตสาหกรรมที่เปลี่ยนไป เรามุ่งเน้นเติมเงินมือถือก่อนหน้า ปลายปี 62
Visionก็เปลี่ยนไป โดยขยายให้กว้างขึ้น จากจุดรับชำระ และขยายตู้อัตโนมัติ เพิ่มธุรกิจการเงินครบวงจร
เป็นตัวแทนธนาคารในการปล่อยสินเชื่อ
เราเพิ่มอีก2 ธุรกิจ หารายได้แหล่งใหม่ที่มี S-curve , ไม่โดนdisrupt
1.ธุรกิจการเงินครบวงจร โดยใช้ลูกค้าเดิม
1.1 ตัวแทนธนาคาร เราเป็นตัวแทนของ6ธนาคาร ตอนนี้รับฝากเงินอย่างเดียว28 ล้านรายการ(60%)
1.2 ปล่อยสินเชื่อ 100กว่าลบ กำไร 10กว่าลบ โดยเรียนรู้จากการปล่อยสินเชื่อมา1 ปี สร้างทีม ตามหนี้
รวมถึงการวิเคราะห์ลูกค้า
2. ธุรกิจกินอยู่ โดยใช้ความชำนาญจากการทำตู้ , online โดยใช้ลูกค้าเดิมเป็นฐานราก และ ได้ลูกค้ากลุ่มใหม่เข้ามาด้วย ปีนี้เรามี
2.1 ธุรกิจดั้งเดิม เติมเงินมี 20ล้านคน ก็ให้ใช้บริการเพิ่ม เช่น เติมเพลง ,E-wallet
โดยกลุ่มนี้ปกติเติมเงินอย่างเดียว 18 ล้านคน 10%ใช้บริการอื่น
ชวนมาเติมเงิน E-wallet เช่น 3 ล้านคน
2.2 ใส่อุปกรณ์เพิ่มเติม หารายได้มากขึ้น เพิ่มกล้องให้สามารถอ่านQR code ตอนนี้คู่แข่งหายหมด
จะเพิ่มตู้ 4-5,000 ตู้
2.3 ทำรายได้เพิ่มขึ้น โดยให้ลูกค้า เติมเงิน โอนเงิน จ่ายค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า ซื้อประกันผ่านตู้
การซื้อพรบ การต่อทะเบียนรถยนต์ ซึ่งเหมาะกับลูกค้าที่อยู่ไกลมาซื้อที่ตู้ได้
ธุรกิจดาวเด่น ปีนี้ทำสามเรื่อง
1.เพิ่ม BBL,TMB,Thanachart จากเดิมที่มีBanking agent 6 ที่
2.เพิ่มฐานลูกค้าจาก 20 ล้านคน ให้ใช้บริการเพิ่มขึ้น จาก 1 คนใช้ 3.7 ครั้ง เป็น 5 ครั้งต่อเดือน
มีคที่ผ่านมา มีการโอนเงิน เพิ่มขึ้น 8%
3.เพิ่มประเภทของธุรกรรม เช่น เปิดบัญชี ถอนเงิน ซึ่งมีtransactionมากกว่าฝาก8เท่า
รวมถึงให้คนต่างด้าว โอนเงินกลับประเทศได้
ธุรกิจที่สอง
สินเชื่อปีนี้เป็นปีที่2 ปล่อยสินเชื่อจากฐานลูกค้าเดิมมากขึ้น เป้า แสนราย จากปีที่แล้วที่ปล่อยได้ 2,000-3,000ราย
NPL น้อยกว่า 2% ดอกเบี้ยคิด น้อยกว่า 20%
ธุรกิจที่สาม
จาก Vending Machine ปีนี้เราทำ EV Charger
ตู้คาเฟ่ Automatic Café (Tao-Bin) โดย Forth Vending ซึ่งเป็นบริษัทที่ร่วมลงทุนกับ บุญรอด Forth บุญเติม
และSCMC
1.Vending Machine 3,000 ตู้
2.Tao-Bin ซึ่งเป็นตู้รุ่นใหม่ มีจุดเด่น6อย่างคือ
2.1 Beverage 100 กว่าเมนู ในตู้มีเครื่องทำน้ำแข็ง น้ำร้อน ทำโซดาได้
2.2 รสชาติจะเป๊ะทุกแก้ว
2.3 แต่ละบุคคลเลือกรสชาติที่ชอบ ระดับความร้อน ความหวาน เพิ่มช๊อตกาแฟได้
2.4 จ้างบาเร็ตต้า onlineมาให้คำแนะนำเพื่อให้รสชาติที่อร่อย
2.5 การจ่ายเงินหลายรูปแบบ เช่น เงินสด QR code,E-wallet , Burn แต้ม
2.6 ระบบบริหารจัดการตู้ โดยonline , ส่วนผสม รู้ว่าต้องเติมอะไร
3. EV Charge
จากข้อมูลรถ EV จะเพิ่มจากปี2021 200,000คัน เพิ่มเป็น 2ล้านคัน ในปี 2026
ธุรกิจนี้มีรายได้มาจากสองทางคือ
1. กำไรจากการขาย EV Net Charger และการติดตั้ง
2. Recurring income จาก การใช้ EV Net Charger
เรามีทั้งระบบ AC , DC charger
รองรับการชำระ ผ่าน E-payment และ ใช้ระบบ Real-time Billing system
สามารถจองการใช้เงินผ่าน ระบบ Online Reservation
สถานที่จะติดตั้ง
Condo,Hotel, office building , parking Lots
Q&A
1. Q3 บริษัทได้อะไรจาก Forth Vending
ตอบว่า พยายามให้ได้ 5,000ตู้ๆละ 30 แก้ว เป้า3ปี 20,000จุดจะได้วันละ 600,000 แก้วๆละ30บาท
วันละ 8 ลบ ปีละ5,000ลบ กำไรขั้นต้น 60%
มีค่าเสื่อมตู้ละ 200,000กว่าบาท และ ค่าพนักงาน ค่าไฟ ค่าเช่าสถานที่
กำไร บวกลบ 20% ก็จะได้ประมาณ หลักพันลบ
บุญเติม ถือ 19% = 190 ลบ
นอกจากตู้Tao-Binนี้ยังทำได้เหมือนตู้บุญเติม เช่น เติมเงินมือถือ ก็ได้รายได้เพิ่มในlocationคนละที่กับบุญเติม
ได้ค่าบริหารจัดการคิดเป็น % ของยอดขาย
ทดสอบ 10 กว่าตู้ จะได้อย่างต่ำ 30 แก้วต่อตู้ margin 60%
ลองลงที่ รพ ศิริราช ซึ่งขายได้ตลอดเวลา บางวันได้ถึง 100 แก้ว
พยายามจูนเครื่องให้เร็วขึ้น เพื่อจะได้ปริมาณแก้วที่ขายต่อวันเพิ่มขึ้น
ลองที่คอนโด รัชโยธิน สะพานควาย และ office building
จะได้ 50กว่าแก้วต่อวัน
สัดส่วนที่ขายได้แบ่งออกเป็น 6เมนู
1.กาแฟ 35%
2.โซดา 21%
3.ชา 18%
4.นม 17%
5.โปรตีน 6%
6.น้ำผลไม้ 3%
ผู้มาประชุมด้วยตนเอง 30 คน
ผู้รับมอบฉันทะ 30 คน
รวม 60 คน คิดเป็น 62.52% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด
วาระที่2
ผลประกอบการ
Core Revenue 2,859 ลบ ลดลงจาก 3,147 ลบ
สาเหตุการลดลงของ mobile top upเป็นหลัก เพราะพฤติกรรมผู้บริโภคเริ่มเปลี่ยนไป แต่มีใช้บริการอื่นเสริม
EBITDA 1,073 ลบ
NP 464 ลบ และ กำไร 0.61 บาทต่อหุ้น
Payout ratio 98% ,จ่ายปันผล 0.60 บาทต่อหุ้น
ROE 37.4% , ROA 13.3%
Asset 3,454 ลบ ไม่ค่อยเพิ่ม แต่มีการบริหารจัดการให้มีประสิทธิภาพต่อเนื่อง
DE 2 เท่า มีการซื้อหุ้นคืน ทำให้หุ้นในตลาดลดลง
Q&A
1.ตู้ที่ค่าเสื่อมหมดไปสิ้นปีที่แล้ว 19,000ตู้ ปีนี้ 28,500 ตู้จะประหยัดค่าเสื่อมไป
ส่วนใหญ่จะหมดในปี2023 14,500 ตู้ ประหยัดไป 120 ลบ
2.รายได้บุญเติมลดลงตั้งแต่ปี 2561 ฝ่ายบริหารได้ทำแผนบริหารความเสี่ยงจากเดิม ทำธุรกิจเติมเงินมือถือ
ใน3-4ปีมีการขยายไปธุรกิจใหม่ เช่น
-Banking Agent 3-4ปีทีผ่านมา โตดี
-ทำเพิ่ม เช่น Vending machine ถือเป็นรายได้แหล่งใหม่
วาระที่3
พิจารณาปันผล 0.6 บาทต่อหุ้น จ่ายจากกำไรที่เสียภาษี 20% ในวันที่29 เมษายน 0.3 บาท
โดยจ่ายระหว่างกาลแล้ว0.3บาท
วาระที่7 เรื่องอื่นๆ
ทิศทางการดำเนินงาน
Vision : เราเห็นเทรน ของอุตสาหกรรมที่เปลี่ยนไป เรามุ่งเน้นเติมเงินมือถือก่อนหน้า ปลายปี 62
Visionก็เปลี่ยนไป โดยขยายให้กว้างขึ้น จากจุดรับชำระ และขยายตู้อัตโนมัติ เพิ่มธุรกิจการเงินครบวงจร
เป็นตัวแทนธนาคารในการปล่อยสินเชื่อ
เราเพิ่มอีก2 ธุรกิจ หารายได้แหล่งใหม่ที่มี S-curve , ไม่โดนdisrupt
1.ธุรกิจการเงินครบวงจร โดยใช้ลูกค้าเดิม
1.1 ตัวแทนธนาคาร เราเป็นตัวแทนของ6ธนาคาร ตอนนี้รับฝากเงินอย่างเดียว28 ล้านรายการ(60%)
1.2 ปล่อยสินเชื่อ 100กว่าลบ กำไร 10กว่าลบ โดยเรียนรู้จากการปล่อยสินเชื่อมา1 ปี สร้างทีม ตามหนี้
รวมถึงการวิเคราะห์ลูกค้า
2. ธุรกิจกินอยู่ โดยใช้ความชำนาญจากการทำตู้ , online โดยใช้ลูกค้าเดิมเป็นฐานราก และ ได้ลูกค้ากลุ่มใหม่เข้ามาด้วย ปีนี้เรามี
2.1 ธุรกิจดั้งเดิม เติมเงินมี 20ล้านคน ก็ให้ใช้บริการเพิ่ม เช่น เติมเพลง ,E-wallet
โดยกลุ่มนี้ปกติเติมเงินอย่างเดียว 18 ล้านคน 10%ใช้บริการอื่น
ชวนมาเติมเงิน E-wallet เช่น 3 ล้านคน
2.2 ใส่อุปกรณ์เพิ่มเติม หารายได้มากขึ้น เพิ่มกล้องให้สามารถอ่านQR code ตอนนี้คู่แข่งหายหมด
จะเพิ่มตู้ 4-5,000 ตู้
2.3 ทำรายได้เพิ่มขึ้น โดยให้ลูกค้า เติมเงิน โอนเงิน จ่ายค่าน้ำ ค่าไฟฟ้า ซื้อประกันผ่านตู้
การซื้อพรบ การต่อทะเบียนรถยนต์ ซึ่งเหมาะกับลูกค้าที่อยู่ไกลมาซื้อที่ตู้ได้
ธุรกิจดาวเด่น ปีนี้ทำสามเรื่อง
1.เพิ่ม BBL,TMB,Thanachart จากเดิมที่มีBanking agent 6 ที่
2.เพิ่มฐานลูกค้าจาก 20 ล้านคน ให้ใช้บริการเพิ่มขึ้น จาก 1 คนใช้ 3.7 ครั้ง เป็น 5 ครั้งต่อเดือน
มีคที่ผ่านมา มีการโอนเงิน เพิ่มขึ้น 8%
3.เพิ่มประเภทของธุรกรรม เช่น เปิดบัญชี ถอนเงิน ซึ่งมีtransactionมากกว่าฝาก8เท่า
รวมถึงให้คนต่างด้าว โอนเงินกลับประเทศได้
ธุรกิจที่สอง
สินเชื่อปีนี้เป็นปีที่2 ปล่อยสินเชื่อจากฐานลูกค้าเดิมมากขึ้น เป้า แสนราย จากปีที่แล้วที่ปล่อยได้ 2,000-3,000ราย
NPL น้อยกว่า 2% ดอกเบี้ยคิด น้อยกว่า 20%
ธุรกิจที่สาม
จาก Vending Machine ปีนี้เราทำ EV Charger
ตู้คาเฟ่ Automatic Café (Tao-Bin) โดย Forth Vending ซึ่งเป็นบริษัทที่ร่วมลงทุนกับ บุญรอด Forth บุญเติม
และSCMC
1.Vending Machine 3,000 ตู้
2.Tao-Bin ซึ่งเป็นตู้รุ่นใหม่ มีจุดเด่น6อย่างคือ
2.1 Beverage 100 กว่าเมนู ในตู้มีเครื่องทำน้ำแข็ง น้ำร้อน ทำโซดาได้
2.2 รสชาติจะเป๊ะทุกแก้ว
2.3 แต่ละบุคคลเลือกรสชาติที่ชอบ ระดับความร้อน ความหวาน เพิ่มช๊อตกาแฟได้
2.4 จ้างบาเร็ตต้า onlineมาให้คำแนะนำเพื่อให้รสชาติที่อร่อย
2.5 การจ่ายเงินหลายรูปแบบ เช่น เงินสด QR code,E-wallet , Burn แต้ม
2.6 ระบบบริหารจัดการตู้ โดยonline , ส่วนผสม รู้ว่าต้องเติมอะไร
3. EV Charge
จากข้อมูลรถ EV จะเพิ่มจากปี2021 200,000คัน เพิ่มเป็น 2ล้านคัน ในปี 2026
ธุรกิจนี้มีรายได้มาจากสองทางคือ
1. กำไรจากการขาย EV Net Charger และการติดตั้ง
2. Recurring income จาก การใช้ EV Net Charger
เรามีทั้งระบบ AC , DC charger
รองรับการชำระ ผ่าน E-payment และ ใช้ระบบ Real-time Billing system
สามารถจองการใช้เงินผ่าน ระบบ Online Reservation
สถานที่จะติดตั้ง
Condo,Hotel, office building , parking Lots
Q&A
1. Q3 บริษัทได้อะไรจาก Forth Vending
ตอบว่า พยายามให้ได้ 5,000ตู้ๆละ 30 แก้ว เป้า3ปี 20,000จุดจะได้วันละ 600,000 แก้วๆละ30บาท
วันละ 8 ลบ ปีละ5,000ลบ กำไรขั้นต้น 60%
มีค่าเสื่อมตู้ละ 200,000กว่าบาท และ ค่าพนักงาน ค่าไฟ ค่าเช่าสถานที่
กำไร บวกลบ 20% ก็จะได้ประมาณ หลักพันลบ
บุญเติม ถือ 19% = 190 ลบ
นอกจากตู้Tao-Binนี้ยังทำได้เหมือนตู้บุญเติม เช่น เติมเงินมือถือ ก็ได้รายได้เพิ่มในlocationคนละที่กับบุญเติม
ได้ค่าบริหารจัดการคิดเป็น % ของยอดขาย
ทดสอบ 10 กว่าตู้ จะได้อย่างต่ำ 30 แก้วต่อตู้ margin 60%
ลองลงที่ รพ ศิริราช ซึ่งขายได้ตลอดเวลา บางวันได้ถึง 100 แก้ว
พยายามจูนเครื่องให้เร็วขึ้น เพื่อจะได้ปริมาณแก้วที่ขายต่อวันเพิ่มขึ้น
ลองที่คอนโด รัชโยธิน สะพานควาย และ office building
จะได้ 50กว่าแก้วต่อวัน
สัดส่วนที่ขายได้แบ่งออกเป็น 6เมนู
1.กาแฟ 35%
2.โซดา 21%
3.ชา 18%
4.นม 17%
5.โปรตีน 6%
6.น้ำผลไม้ 3%
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3455
AGM BCH 26 Apr 2021 10.30
ผู้มาประชุมด้วยตนเอง 6 ราย
ผู้รับมอบฉันทะ 883 ราย
รวม 889 ราย คิดเป็น 73.3404%
วาระที่ 1
อาจารย์ เฉลิมเปิดการประชุม และ พูดเกี่ยวกับประวัติของ รพ เปิดเมื่อปี 2527 และนำรพ เข้าตลาดหลักทรัพย์ในปี 2547
BCH มีฐานลูกค้าประกันสังคมที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ มีรพ ทั้งหมด 14 แห่ง 2,144 เตียง แบ่งเป็น
1.WMC 1แห่ง , 150 เตียง
2.BCH Inter 2 แห่ง ,184 เตียง
3.BCH 9 แห่ง ,1,505 เตียง
4. การุณเวช 2 แห่ง ,305 เตียง
อัตราการใช้บริการผู้ป่วยนอก ตั้งแต่2 มีนาคม63 ที่covidเริ่มระบาด. ทำให้Q2 63. คนไข้ในลดลง
ได้ทำการset ห้องLAB ทุกสาขาเพื่อตรวจCovid
ได้ตรวจไป250,000คน และเปิดรับคนไข้Covid ที่ อยุธยา บางแค และ ประชาชื่น
ผู้ป่วยนอก เพิ่มขึ้น 10% และ ผู้ป่วยในลดลง 20%
รายได้ของกิจการ เพิ่มขึ้น 0.5%
( WMC -2.1% ตค เริ่มรับคนไข้เบาหวานกลับมารักษาได้)
คนไข้ประกันสังคม เพิ่มขึ้น 4.9%
OPD เพิ่มขึ้น 19.1% คนไข้เงินสด เพิ่มขึ้น 10%. รายได้ต่อบิล เพิ่มขึ้น 8.3%
IPD ลดลง 20.8% คนไข้เงินสดลดลง 27.5%. รายได้ต่อบิลเพิ่มขึ้น 9.3%
ลูกค้าประกันสังคม เพิ่มขึ้น 4.9%. และจำนวนผู้ประกันตนเพิ่มขึ้น2.6%. รายได้โตขึ้น 0.5%
ค่าใช้จ่าย หลังการทำLean process ทำให้ค่าใช้จ่ายลดลง
GP เพิ่มขึ้นจาก 31.9 เป็น 33.1%
กำไรจากการดำเนินงาน เพิ่มขึ้น จาก 19 เป็น 20.3 %
EBITDA เพิ่มจาก 26.4 เป็น 28.9 %
กำไรสุทธิ เพิ่มจาก 1,135 เป็น 1,229 ลบ
ความคืบหน้า
1. รพ BCH ปราจีนบุรี เปิดเมื่อ 1มค 64 มี115เตียง
แบ่งเป็นคนไข้ทั่วไป ญี่ปุ้น ประกันสังคม ซึ่งใช้โควตาของ ฉะเชิงเทรา ปีนี้ได้โควตาของปราจีน 138,000คน
2. รพBCH Inter เวียงจันทน์ จะติดตั้งเครื่องมือเสร็จในกลาง มิย และคาดจะเปิดปลาย q3 หรือ ต้น q4
วาระที่2พิจารณาและอนุมัติงบการเงินปี 63
Asset 16,527,297 MB เพิ่มขึ้น 17.1%
Liability 8,900,986 MB เพิ่มขึ้น 24.7%
Equity. 7,626,311 MB เพิ่มขึ้น 9.3%
รายได้รวม 9,014 mB เพิ่มขึ้น 0.3%
กำไรเบ็ดเสร็จ 1,212,413 MB เพิ่ม 10.7%
กระแสเงินสดเพิ่มขึ้น 151,384,000
วาระที่3 พิจารณาและอนุมัติการจ่ายปันผล
ปันผลครั้งนี้ 0.13 บาท รวมระหว่างกาล 0.10บาท จ่ายทั้งปี 0.23 บาท
ตัวเลขของการจ่ายปันผลเท่ากันมาตั้งแต่ปี61-63
วาะที่8 เรื่องอื่นๆ
ผลการดำเนินงาน ผู้ป่วยใน ช่วงปี63 หาย หรือ ลดลง แต่รายได้ผู้ป่วยนอกเพิ่มขึ้น
แต่ปี64 มีการตรวจCovid ในQ1ค่อนข้างเยอะ เดือนเมษายน รพ ออกinnovation และขยายเตียง
คนไข้ที่ติดcovid เราได้เปิดhospitel ทำให้คนไข้ที่ป่วยหนักมีเตียงเพิ่มขึ้น
ขณะนี้ ยอดเจอแต่ละวันมากกว่า200เคส ต้องรับเข้ารักษาที่ รพ
ปีนี้ต่างจากปีที่แล้วมาก ทำงานกันหนักมาก ขยายเตียง เอาคนไข้สีเขียวไปอยู่hospitel
ผู้มาประชุมด้วยตนเอง 6 ราย
ผู้รับมอบฉันทะ 883 ราย
รวม 889 ราย คิดเป็น 73.3404%
วาระที่ 1
อาจารย์ เฉลิมเปิดการประชุม และ พูดเกี่ยวกับประวัติของ รพ เปิดเมื่อปี 2527 และนำรพ เข้าตลาดหลักทรัพย์ในปี 2547
BCH มีฐานลูกค้าประกันสังคมที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ มีรพ ทั้งหมด 14 แห่ง 2,144 เตียง แบ่งเป็น
1.WMC 1แห่ง , 150 เตียง
2.BCH Inter 2 แห่ง ,184 เตียง
3.BCH 9 แห่ง ,1,505 เตียง
4. การุณเวช 2 แห่ง ,305 เตียง
อัตราการใช้บริการผู้ป่วยนอก ตั้งแต่2 มีนาคม63 ที่covidเริ่มระบาด. ทำให้Q2 63. คนไข้ในลดลง
ได้ทำการset ห้องLAB ทุกสาขาเพื่อตรวจCovid
ได้ตรวจไป250,000คน และเปิดรับคนไข้Covid ที่ อยุธยา บางแค และ ประชาชื่น
ผู้ป่วยนอก เพิ่มขึ้น 10% และ ผู้ป่วยในลดลง 20%
รายได้ของกิจการ เพิ่มขึ้น 0.5%
( WMC -2.1% ตค เริ่มรับคนไข้เบาหวานกลับมารักษาได้)
คนไข้ประกันสังคม เพิ่มขึ้น 4.9%
OPD เพิ่มขึ้น 19.1% คนไข้เงินสด เพิ่มขึ้น 10%. รายได้ต่อบิล เพิ่มขึ้น 8.3%
IPD ลดลง 20.8% คนไข้เงินสดลดลง 27.5%. รายได้ต่อบิลเพิ่มขึ้น 9.3%
ลูกค้าประกันสังคม เพิ่มขึ้น 4.9%. และจำนวนผู้ประกันตนเพิ่มขึ้น2.6%. รายได้โตขึ้น 0.5%
ค่าใช้จ่าย หลังการทำLean process ทำให้ค่าใช้จ่ายลดลง
GP เพิ่มขึ้นจาก 31.9 เป็น 33.1%
กำไรจากการดำเนินงาน เพิ่มขึ้น จาก 19 เป็น 20.3 %
EBITDA เพิ่มจาก 26.4 เป็น 28.9 %
กำไรสุทธิ เพิ่มจาก 1,135 เป็น 1,229 ลบ
ความคืบหน้า
1. รพ BCH ปราจีนบุรี เปิดเมื่อ 1มค 64 มี115เตียง
แบ่งเป็นคนไข้ทั่วไป ญี่ปุ้น ประกันสังคม ซึ่งใช้โควตาของ ฉะเชิงเทรา ปีนี้ได้โควตาของปราจีน 138,000คน
2. รพBCH Inter เวียงจันทน์ จะติดตั้งเครื่องมือเสร็จในกลาง มิย และคาดจะเปิดปลาย q3 หรือ ต้น q4
วาระที่2พิจารณาและอนุมัติงบการเงินปี 63
Asset 16,527,297 MB เพิ่มขึ้น 17.1%
Liability 8,900,986 MB เพิ่มขึ้น 24.7%
Equity. 7,626,311 MB เพิ่มขึ้น 9.3%
รายได้รวม 9,014 mB เพิ่มขึ้น 0.3%
กำไรเบ็ดเสร็จ 1,212,413 MB เพิ่ม 10.7%
กระแสเงินสดเพิ่มขึ้น 151,384,000
วาระที่3 พิจารณาและอนุมัติการจ่ายปันผล
ปันผลครั้งนี้ 0.13 บาท รวมระหว่างกาล 0.10บาท จ่ายทั้งปี 0.23 บาท
ตัวเลขของการจ่ายปันผลเท่ากันมาตั้งแต่ปี61-63
วาะที่8 เรื่องอื่นๆ
ผลการดำเนินงาน ผู้ป่วยใน ช่วงปี63 หาย หรือ ลดลง แต่รายได้ผู้ป่วยนอกเพิ่มขึ้น
แต่ปี64 มีการตรวจCovid ในQ1ค่อนข้างเยอะ เดือนเมษายน รพ ออกinnovation และขยายเตียง
คนไข้ที่ติดcovid เราได้เปิดhospitel ทำให้คนไข้ที่ป่วยหนักมีเตียงเพิ่มขึ้น
ขณะนี้ ยอดเจอแต่ละวันมากกว่า200เคส ต้องรับเข้ารักษาที่ รพ
ปีนี้ต่างจากปีที่แล้วมาก ทำงานกันหนักมาก ขยายเตียง เอาคนไข้สีเขียวไปอยู่hospitel
-
- Verified User
- โพสต์: 1959
- ผู้ติดตาม: 1
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3456
ช่วงที่มีข่าวไม่ดีเกี่ยวกับพระ
ขอเชิญทุกท่านอ่านบทสนทนาของหลวงปู่ชา วัดหนองป่าพง
โยม : หลวงปู่ครับ ผมจะขอนับถือแค่ พระพุทธ กับ พระธรรมนะครับ เพราะพระสงฆ์ทุกวันนี้ มีแต่เรื่องเสื่อมเสีย ผมว่าพระแท้ๆ หมดแล้วจากพุทธศาสนาไปแล้ว !!!
หลวงปู่ : ถ้าเป็นอย่างนั้น แสดงว่า โยมก็ไม่นับถือ อาตมาด้วยสิ
โยม : เปล่าครับๆ หลวงปู่ ผมยังเคารพศรัทธาหลวงปู่เหมือนเดิม
หลวงปู่ : อ้าว ! ไหนว่าไม่นับ ถือพระสงฆ์ไงล่ะ
โยม : เว้นหลวงปู่สิครับ
หลวงปู่ : เว้นหลวงปู่ก็แสดง ว่า หลวงปู่ก็ไม่ใช่พระสงฆ์สิ
โยม : (ทำหน้าเหมือนคิดหนัก)......
หลวงปู่ : โยม ! เวลาเขาหาเอาทองคำนั้น เขาไปหามาจากที่ไหน
โยม : ไปขุดดินแล้วร่อนแยกเอาทองมาครับ
หลวงปู่ : ดินมากหรือทองมาก
โยม : ดินมากครับผม ร่อนจากดินมาก ได้ทองแค่นิดเดียว
หลวงปู่ : มันก็เหมือนพระสงฆ์นั้นแหละ พระสงฆ์ก็ร่อนมาจากลูกชาวบ้าน ลูกสมมติ
พระสงฆ์ไม่ใช่เป็นพระอรหันต์แล้วมาบวชเมื่อไหร่ มันก็มีดีบ้างเสียบ้าง จะให้ดีหมด มันก็ทำไม่ได้ ...จะให้มันเสีย หมดก็ทำไม่ได้ ...
ส่วนที่มันเป็นดินก็ อย่าเอา.....
ให้เอาส่วนที่มันเป็นทองสิ ....
ถ้าเชื่อหลวงปู่ ... ถ้าเคารพหลวงปู่ ก็จงเชื่อว่า ...
พระผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ มีมากมาย อย่าเหมาว่าไม่ดีทั้งหมด
ขนาดคุณ ยังมีข้อเสีย จะให้ดีทั้งหมดทั้งโลกก็ไม่ได้
พระรัตนตรัย เหมือนไม้สามลำค้ำกันไว้
เอาออกอันหนึ่งมันก็ล้ม
จำไว้ ....
พระก็คือนักเรียน
ผู้เป็นอริยะ คือ ผู้สอบผ่าน
ผู้ประพฤติไม่เหมาะสม คือ ผู้สอบตก
ให้สงสารคนสอบตก อย่าไปเกลียดคนสอบตก เพราะไม่มีใครอยากจะสอบตก เข้าใจน๊ะ !
เทศนาธรรม..หลวงปู่ชา วัดหนองป่าพง...
ขอเชิญทุกท่านอ่านบทสนทนาของหลวงปู่ชา วัดหนองป่าพง
โยม : หลวงปู่ครับ ผมจะขอนับถือแค่ พระพุทธ กับ พระธรรมนะครับ เพราะพระสงฆ์ทุกวันนี้ มีแต่เรื่องเสื่อมเสีย ผมว่าพระแท้ๆ หมดแล้วจากพุทธศาสนาไปแล้ว !!!
หลวงปู่ : ถ้าเป็นอย่างนั้น แสดงว่า โยมก็ไม่นับถือ อาตมาด้วยสิ
โยม : เปล่าครับๆ หลวงปู่ ผมยังเคารพศรัทธาหลวงปู่เหมือนเดิม
หลวงปู่ : อ้าว ! ไหนว่าไม่นับ ถือพระสงฆ์ไงล่ะ
โยม : เว้นหลวงปู่สิครับ
หลวงปู่ : เว้นหลวงปู่ก็แสดง ว่า หลวงปู่ก็ไม่ใช่พระสงฆ์สิ
โยม : (ทำหน้าเหมือนคิดหนัก)......
หลวงปู่ : โยม ! เวลาเขาหาเอาทองคำนั้น เขาไปหามาจากที่ไหน
โยม : ไปขุดดินแล้วร่อนแยกเอาทองมาครับ
หลวงปู่ : ดินมากหรือทองมาก
โยม : ดินมากครับผม ร่อนจากดินมาก ได้ทองแค่นิดเดียว
หลวงปู่ : มันก็เหมือนพระสงฆ์นั้นแหละ พระสงฆ์ก็ร่อนมาจากลูกชาวบ้าน ลูกสมมติ
พระสงฆ์ไม่ใช่เป็นพระอรหันต์แล้วมาบวชเมื่อไหร่ มันก็มีดีบ้างเสียบ้าง จะให้ดีหมด มันก็ทำไม่ได้ ...จะให้มันเสีย หมดก็ทำไม่ได้ ...
ส่วนที่มันเป็นดินก็ อย่าเอา.....
ให้เอาส่วนที่มันเป็นทองสิ ....
ถ้าเชื่อหลวงปู่ ... ถ้าเคารพหลวงปู่ ก็จงเชื่อว่า ...
พระผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ มีมากมาย อย่าเหมาว่าไม่ดีทั้งหมด
ขนาดคุณ ยังมีข้อเสีย จะให้ดีทั้งหมดทั้งโลกก็ไม่ได้
พระรัตนตรัย เหมือนไม้สามลำค้ำกันไว้
เอาออกอันหนึ่งมันก็ล้ม
จำไว้ ....
พระก็คือนักเรียน
ผู้เป็นอริยะ คือ ผู้สอบผ่าน
ผู้ประพฤติไม่เหมาะสม คือ ผู้สอบตก
ให้สงสารคนสอบตก อย่าไปเกลียดคนสอบตก เพราะไม่มีใครอยากจะสอบตก เข้าใจน๊ะ !
เทศนาธรรม..หลวงปู่ชา วัดหนองป่าพง...
บางครั้งสิ่งแวดล้อม หรือผู้คนรอบข้าง อาจทำให้เราไขว้ไขว จากเส้นทางหลัก บทความนี้ ช่วยเตือนสติได้ดีเลยครับ
" สพฺเพ ธมฺมา นาลํ อภินิเวสาย "
" Whatever your mind can conceive and believe it can achieve "
" Whatever your mind can conceive and believe it can achieve "
-
- Verified User
- โพสต์: 1959
- ผู้ติดตาม: 1
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3457
Billionaire VI
จากการประชุมถือหุ้น Berkshire Hathaway เมื่อคืน ที่มีทั้งวอร์เรน บัฟเฟตต์และชาร์ลี มังเกอร์ร่วมตอบคำถามนานกว่า 3 ชั่วโมงครึ่ง
ผมคิดว่าเนื้อหาจากการประชุมครั้งนี้น่าจะเป็นประโยชน์ต่อนักลงทุนไทยมากๆ เลยขอสรุปไว้ทั้งหมด 20 หัวข้อดังนี้
เริ่มต้นด้วยผลประกอบการไตรมาสที่ 1 กำไรจากการดำเนินงานทำได้ $7,018 ล้าน เพิ่มขึ้น 20% YoY จากการฟื้นตัวของธุรกิจประกัน ธุรกิจรถไฟขนส่ง และพลังงาน
กำไรทำได้ $7,640 ล้าน โดยมีกำไรจากการลงทุนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง $4,690 ล้าน เมื่อเทียบกับปีที่แล้วที่ขาดทุน $30,700 ล้าน โดยมีการขาดทุนการลงทุนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง $55,600 ล้าน
บัฟเฟตต์ซื้อหุ้นคืนทั้งหมด $6,600 ล้านในไตรมาสที่ผ่านมาหลังจากซื้อหุ้นคืนไป $24,700 ล้านเมื่อปีที่แล้ว
เงินสดเพิ่มขึ้น 5% ในไตรมาสที่ผ่านมา ตอนนี้สูงถึง $145,400 ล้านเลยทีเดียว
คุณปู่โชว์ 20 บริษัทที่มีขนาดตลาดใหญ่ที่สุดในโลกในปัจจุบัน ได้แก่ Apple Aramco Microsoft และบริษัทอื่นๆ คุณปู่ถามว่าใน 30 ปีจะเหลือบริษัทพวกนี้อีกกี่บริษัท
คุณปู่ย้อนกลับไปที่ 20 รายชื่อปี 1989 ซึ่งตอนนั้นเต็มไปด้วยบริษัทยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่นโดยเฉพาะหุ้นธนาคาร โดยมี Bank of Japan มีขนาดตลาดใหญ่ที่สุดที่ $104,000 ล้าน แต่ตอนนี้บริษัททั้งหมดไม่มีรายใดติดอยู่ในการจัดอันดับเลย
คุณปู่บอกว่าทุนนิยมดำเนินไปอย่างยอดเยี่ยม บริษัทใหญ่ที่สุดตอนนี้ใหญ่ถึง $2 ล้านล้าน นอกจากนี้โลกยังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว เพราะฉะนั้นการลงทุนที่ดีที่สุดก็คือลงผ่าน Index Funds
คุณปู่เตือนนักลงทุนรุ่นใหม่ว่าการเลือกบริษัทที่ยอดเยี่ยมมีความซับซ้อนมากกว่าการเลือกอุตสาหกรรมที่มีอนาคต
คุณปู่บอกว่ามีบริษัทรถยนต์มากกว่า 2,000 บริษัทที่เข้ามาในอุตสาหกรรมในช่วงปี 1900 เพราะนักลงทุนและผู้ประกอบการคาดหวังว่ามันจะเป็นอุตสาหกรรมที่ยอดเยี่ยม
แต่เชื่อหรือไม่ในปี 2009 มีแค่บริษัทรถยนต์สามบริษัทเท่านั้นที่หลงเหลืออยู่และอีกสองบริษัทก็ได้ล้มละลายไป
การมองภาพอุตสาหกรรมแล้วลงทุนทั้งหมดเลย อาจจะไม่ใช่คำตอบที่ดีในการลงทุนระยะยาว
ถูกถามว่าทำไมถึงรีบขายหุ้นสายการบินทั้งสี่บริษัท ซึ่งหลังจากนั้นราคาหุ้นก็ได้ปรับตัวขึ้นมาเยอะ
คุณปู่บอกว่าตอนนั้นคิดว่าบริษัทสูญเสียอำนาจในการสร้างกำไรและการเดินทางข้ามต่างประเทศคงไม่กลับมาอย่างรวดเร็ว
นอกจากนี้ยังมองว่าการที่บริษัทขายหุ้นสายการบินทิ้งเป็นสิ่งที่ทำให้รัฐบาลเข้ามาช่วยได้ง่ายขึ้น แถมยังทิ้งท้ายว่าไม่สนใจที่จะกลับมาเป็นเจ้าของธุรกิจสายการบินอีกแล้ว
ถูกถามว่าทำไมไม่ใช้เงินซื้อกิจการในช่วงโควิดปีที่แล้ว คุณปู่บอกว่าในช่วงก่อน FED จะออก QE เขาเกือบจะใช้เงิน $50,000-$70,000 ล้านซื้อธุรกิจ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ซื้อ ลงท้ายด้วยจริงๆแล้วบริษัทมีเงินสด 15% ของมูลค่าบริษัทก็ไม่ได้เยอะอะไร
มีคำถามว่าทำไมบัฟเฟตต์และชาร์ลีถึงมีมุมมองที่ต่างต่างกันในหุ้น Costco และ Wells Fargo
คุณปู่บอกว่าทั้งคู่ไม่จำเป็นต้องคิดเหมือนกันทุกอย่างแต่ก็ไม่เคยที่จะมีปากมีเสียงทะเลาะกันในช่วง 60 ปีที่ทำงานด้วยกัน
เราทั้งคู่ไม่เคยทะเลาะกันเลยในช่วง 62 ปีที่ผ่านมา ไม่ใช่ว่าเราเห็นด้วยในทุกเรื่อง แต่เป็นเพราะว่าเราไม่เคยที่จะโมโหกันมากกว่า
ตัดสินใจขายหุ้น Apple ออกไป 3.7% เมื่อปีที่แล้วอาจจะเป็นความผิดพลาดที่เกิดขึ้น
Apple เป็นหุ้นที่ราคายังถูกมากและเป็นสินค้าและบริการที่ยังไงคนก็ต้องใช้งานตลอด ถ้าถามบางคนว่าจะเลิกใช้ Apple หรือเลิกใช้รถยนต์ที่มีมูลค่า 1 ล้านบาท คำตอบน่าจะเป็นเลิกใช้รถยนต์มากกว่า
คุณปู่อธิบายว่าที่ขายหุ้นแบงค์ไปค่อนข้างเยอะจริงๆแล้วชอบธุรกิจแบงค์ แต่คิดว่าสัดส่วนการถือในแต่ละแบงค์ยังไม่ดีเท่าที่ควร เลยมีการลดสัดส่วนลงและเพิ่มหุ้นไปที่เฉพาะ Bank of American
เมื่อถูกถามว่าธุรกิจโรงไฟฟ้าของ Berkshire จะสู้แบตเตอรี่ของ Elon Musk เพื่อช่วยเสริมการผลิตไฟฟ้าให้ Texas ได้ไหม
Greg Abel ตอบว่าโซลูชั่นของ Berkshire จ่ายไฟได้อย่างต่อเนื่องในเจ็ดวัน แต่ธุรกิจแบตเตอรี่จ่ายไฟได้เพียงเป็นหลักชั่วโมงเท่านั้น
คุณปู่และชาร์ลีเตือนนักลงทุนที่เก็งกำไรกันอย่างหนักในตลาดหุ้นโดยเฉพาะ SPAC มันคือการดึงดูดให้นักลงทุนรุ่นใหม่รีบกระโดดเข้ามาในตลาด
บัฟเฟตต์เตือนว่าไม่มีใครบอกคนเหล่านี้ได้จนกระทั่งความบ้าคลั่งจะถึงจุดจบของมัน
คุณปู่มองว่า SPAC จะไม่คงอยู่ตลอดไป มันทำให้การแข่งขันในการเจรจาธุรกิจเพิ่มขึ้น
ปัจจุบันมี SPAC กว่า 500 แห่งที่ถือเงินกว่า $138,000 ล้านเพื่อรอซื้อธุรกิจ
มันคือ Killer ปรกติ SPAC ต้องใช้เงินในการเข้าซื้อธุรกิจภายในสองปี
คุณปู่ยกตัวอย่างว่าถ้ามีคนเอาปืนมาจ่อหัวผมแล้วบอกว่าต้องซื้อธุรกิจภายในสองปี ผมก็จะแค่ซื้อมันแหละ โดยไม่ได้ไตร่ตรองอย่างเพียงพอ
นอกจากนี้ยังทิ้งท้ายว่า SPAC ยังน่าจะอยู่กับพวกเราไปสักระยะ ถ้าคุณสามารถที่จะมีคนมีชื่อเสียงเข้ามาเป็นคนจัดตั้ง SPAC ได้แล้ว คุณก็เกือบจะสามารถขาย SPAC ได้ทุกรูปแบบเลย การมีคนดังเข้ามาจัดตั้ง SPAC นักลงทุนก็จะแห่เข้าไปลงทุนโดยที่ไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วจะซื้อบริษัทใด
ชาร์ลีมองว่านโยบายการปั๊มเงินของ FED ถ้ายังทำต่อเนื่องไปไม่มีจุดสิ้นสุด มันอาจจะจบด้วยหายนะได้
คุณปู่บอกว่าเคยซื้อหุ้นของบริษัทแต่ไม่ได้รู้จักมากพอ เข้าใจว่าเป็น 5 บริษัทที่ลงทุนในญี่ปุ่น คุณปู่บอกว่ารู้จักแต่ไม่รู้ข้อมูลเชิงลึก (Insight)
ชาร์ลีเชื่อว่าการซื้อหุ้นคืนเป็นสิ่งที่ควรทำเพื่อเป็นประโยชน์ต่อผู้ถือหุ้น แต่ถ้าการซื้อหุ้นคืนเพื่อทำให้ราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็วอย่างที่นักวิเคราะห์หลายคนวิจารณ์มันก็จะเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ไม่ควรทำอย่างยิ่ง
ชาร์ลีคิดว่าการพัฒนาของบิทคอยน์เป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ มองว่าเป็นสินค้าทางด้านการเงินที่ถูกสร้างบนอากาศ ชาร์ลีเกลียดที่บิทคอยน์ประสบความสำเร็จในตอนนี้
ส่วนคุณปู่ไม่ต้องการคอมเม้นท์เพราะไม่อยากให้คนที่ลงทุนในบิทคอยน์รู้สึกไม่ดี
คุณปู่มองว่าการที่ไบเดนจะปรับภาษีขึ้นและจะมีผลกระทบต่อบริษัทในอเมริกา แต่คิดว่าจะปรับตัวกันได้ นักลงทุนอาจจะไม่ชอบ
คุณปู่บอกอัตราภาษีตอนที่เขายังหนุ่มสูงถึง 50% สูงกว่าที่ไบเดนจะขึ้นเยอะ
ทั้งคู่เห็นตรงกันว่ารัฐบาลจีนจะสนับสนุนให้บริษัทจีนเติบโตประสบความสำเร็จ แม้ว่าช่วงนี้จะมีออกกฎหมายมาควบคุมเพื่อลดความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจ ทั้งคู่เชื่อว่าจะมีมากกว่า 3 บริษัทที่เข้ามาอยู่ในรายชื่อบริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลกในอีก 30 ปีข้างหน้า
มันน่าเหลือเชื่อจริงๆที่จีนสามารถพัฒนามาได้ถึงจุดนี้และจะไปได้อีกไกลในอนาคต
แอปซื้อขายหุ้นอย่าง Robinhood มีส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดการเก็งกำไรในตลาดหุ้น
คุณปู่บอกว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของคาสิโนที่เกิดขึ้นในปีที่แล้ว
ส่วนชาร์ลีก็บอกว่า Robinhood เป็นสิ่งที่ผิด คุณไม่ควรขายของไม่ดีให้กับนักลงทุนเพื่อสร้างเงินให้ตัวเอง
คุณปู่ยอมรับว่าจ่ายเงินซื้อ Precision Castparts เมื่อปี 2016 แพงไปจริงๆในแง่ของการประเมินกำไรเฉลี่ยที่จะเกิดขึ้น นอกจากนี้ยังคาดไม่ถึงว่าบริษัทจะมีปัญหาจากการโดนระงับการผลิตเครื่องบินโบว์อิ้ง 737 Max และต่อเนื่องมาโดนกระทบอย่างหนักจากวิกฤตโควิด
คุณปู่เริ่มมองเห็นการเพิ่มขึ้นของเงินเฟ้ออย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะราคาเหล็ก ตอนนี้เศรษฐกิจร้อนแรงมาก โดยเชื่อว่าตอนนี้เงินเฟ้อเพิ่มมากขึ้นกว่าที่คนทั่วไปคิดไว้เมื่อหกเดือนที่แล้วมากเลยทีเดียว
ปิดท้ายคุณปู่หวังว่าจะได้จัดงานอีกครั้งที่ Omaha ในปีหน้า
ในความคิดของผม คุณปู่ทั้งสองสุดยอดมากที่นั่งตอบคำถามนานถึงสามชั่วโมงกว่าๆ สุขภาพร่างกายแข็งแรง สมองยังสามารถจำเรื่องราวต่างๆได้ทั้งหมดโดยเฉพาะตัวเลข ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมทั้งคู่ถึงประสบความสำเร็จมากถึงขนาดนี้ #บัฟเฟตต์ #ชาร์ลี #Berkshire
Happy Investing!!!
https://m.facebook.com/story.php?story_ ... 9063732794
จากการประชุมถือหุ้น Berkshire Hathaway เมื่อคืน ที่มีทั้งวอร์เรน บัฟเฟตต์และชาร์ลี มังเกอร์ร่วมตอบคำถามนานกว่า 3 ชั่วโมงครึ่ง
ผมคิดว่าเนื้อหาจากการประชุมครั้งนี้น่าจะเป็นประโยชน์ต่อนักลงทุนไทยมากๆ เลยขอสรุปไว้ทั้งหมด 20 หัวข้อดังนี้
เริ่มต้นด้วยผลประกอบการไตรมาสที่ 1 กำไรจากการดำเนินงานทำได้ $7,018 ล้าน เพิ่มขึ้น 20% YoY จากการฟื้นตัวของธุรกิจประกัน ธุรกิจรถไฟขนส่ง และพลังงาน
กำไรทำได้ $7,640 ล้าน โดยมีกำไรจากการลงทุนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง $4,690 ล้าน เมื่อเทียบกับปีที่แล้วที่ขาดทุน $30,700 ล้าน โดยมีการขาดทุนการลงทุนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง $55,600 ล้าน
บัฟเฟตต์ซื้อหุ้นคืนทั้งหมด $6,600 ล้านในไตรมาสที่ผ่านมาหลังจากซื้อหุ้นคืนไป $24,700 ล้านเมื่อปีที่แล้ว
เงินสดเพิ่มขึ้น 5% ในไตรมาสที่ผ่านมา ตอนนี้สูงถึง $145,400 ล้านเลยทีเดียว
คุณปู่โชว์ 20 บริษัทที่มีขนาดตลาดใหญ่ที่สุดในโลกในปัจจุบัน ได้แก่ Apple Aramco Microsoft และบริษัทอื่นๆ คุณปู่ถามว่าใน 30 ปีจะเหลือบริษัทพวกนี้อีกกี่บริษัท
คุณปู่ย้อนกลับไปที่ 20 รายชื่อปี 1989 ซึ่งตอนนั้นเต็มไปด้วยบริษัทยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่นโดยเฉพาะหุ้นธนาคาร โดยมี Bank of Japan มีขนาดตลาดใหญ่ที่สุดที่ $104,000 ล้าน แต่ตอนนี้บริษัททั้งหมดไม่มีรายใดติดอยู่ในการจัดอันดับเลย
คุณปู่บอกว่าทุนนิยมดำเนินไปอย่างยอดเยี่ยม บริษัทใหญ่ที่สุดตอนนี้ใหญ่ถึง $2 ล้านล้าน นอกจากนี้โลกยังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว เพราะฉะนั้นการลงทุนที่ดีที่สุดก็คือลงผ่าน Index Funds
คุณปู่เตือนนักลงทุนรุ่นใหม่ว่าการเลือกบริษัทที่ยอดเยี่ยมมีความซับซ้อนมากกว่าการเลือกอุตสาหกรรมที่มีอนาคต
คุณปู่บอกว่ามีบริษัทรถยนต์มากกว่า 2,000 บริษัทที่เข้ามาในอุตสาหกรรมในช่วงปี 1900 เพราะนักลงทุนและผู้ประกอบการคาดหวังว่ามันจะเป็นอุตสาหกรรมที่ยอดเยี่ยม
แต่เชื่อหรือไม่ในปี 2009 มีแค่บริษัทรถยนต์สามบริษัทเท่านั้นที่หลงเหลืออยู่และอีกสองบริษัทก็ได้ล้มละลายไป
การมองภาพอุตสาหกรรมแล้วลงทุนทั้งหมดเลย อาจจะไม่ใช่คำตอบที่ดีในการลงทุนระยะยาว
ถูกถามว่าทำไมถึงรีบขายหุ้นสายการบินทั้งสี่บริษัท ซึ่งหลังจากนั้นราคาหุ้นก็ได้ปรับตัวขึ้นมาเยอะ
คุณปู่บอกว่าตอนนั้นคิดว่าบริษัทสูญเสียอำนาจในการสร้างกำไรและการเดินทางข้ามต่างประเทศคงไม่กลับมาอย่างรวดเร็ว
นอกจากนี้ยังมองว่าการที่บริษัทขายหุ้นสายการบินทิ้งเป็นสิ่งที่ทำให้รัฐบาลเข้ามาช่วยได้ง่ายขึ้น แถมยังทิ้งท้ายว่าไม่สนใจที่จะกลับมาเป็นเจ้าของธุรกิจสายการบินอีกแล้ว
ถูกถามว่าทำไมไม่ใช้เงินซื้อกิจการในช่วงโควิดปีที่แล้ว คุณปู่บอกว่าในช่วงก่อน FED จะออก QE เขาเกือบจะใช้เงิน $50,000-$70,000 ล้านซื้อธุรกิจ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ซื้อ ลงท้ายด้วยจริงๆแล้วบริษัทมีเงินสด 15% ของมูลค่าบริษัทก็ไม่ได้เยอะอะไร
มีคำถามว่าทำไมบัฟเฟตต์และชาร์ลีถึงมีมุมมองที่ต่างต่างกันในหุ้น Costco และ Wells Fargo
คุณปู่บอกว่าทั้งคู่ไม่จำเป็นต้องคิดเหมือนกันทุกอย่างแต่ก็ไม่เคยที่จะมีปากมีเสียงทะเลาะกันในช่วง 60 ปีที่ทำงานด้วยกัน
เราทั้งคู่ไม่เคยทะเลาะกันเลยในช่วง 62 ปีที่ผ่านมา ไม่ใช่ว่าเราเห็นด้วยในทุกเรื่อง แต่เป็นเพราะว่าเราไม่เคยที่จะโมโหกันมากกว่า
ตัดสินใจขายหุ้น Apple ออกไป 3.7% เมื่อปีที่แล้วอาจจะเป็นความผิดพลาดที่เกิดขึ้น
Apple เป็นหุ้นที่ราคายังถูกมากและเป็นสินค้าและบริการที่ยังไงคนก็ต้องใช้งานตลอด ถ้าถามบางคนว่าจะเลิกใช้ Apple หรือเลิกใช้รถยนต์ที่มีมูลค่า 1 ล้านบาท คำตอบน่าจะเป็นเลิกใช้รถยนต์มากกว่า
คุณปู่อธิบายว่าที่ขายหุ้นแบงค์ไปค่อนข้างเยอะจริงๆแล้วชอบธุรกิจแบงค์ แต่คิดว่าสัดส่วนการถือในแต่ละแบงค์ยังไม่ดีเท่าที่ควร เลยมีการลดสัดส่วนลงและเพิ่มหุ้นไปที่เฉพาะ Bank of American
เมื่อถูกถามว่าธุรกิจโรงไฟฟ้าของ Berkshire จะสู้แบตเตอรี่ของ Elon Musk เพื่อช่วยเสริมการผลิตไฟฟ้าให้ Texas ได้ไหม
Greg Abel ตอบว่าโซลูชั่นของ Berkshire จ่ายไฟได้อย่างต่อเนื่องในเจ็ดวัน แต่ธุรกิจแบตเตอรี่จ่ายไฟได้เพียงเป็นหลักชั่วโมงเท่านั้น
คุณปู่และชาร์ลีเตือนนักลงทุนที่เก็งกำไรกันอย่างหนักในตลาดหุ้นโดยเฉพาะ SPAC มันคือการดึงดูดให้นักลงทุนรุ่นใหม่รีบกระโดดเข้ามาในตลาด
บัฟเฟตต์เตือนว่าไม่มีใครบอกคนเหล่านี้ได้จนกระทั่งความบ้าคลั่งจะถึงจุดจบของมัน
คุณปู่มองว่า SPAC จะไม่คงอยู่ตลอดไป มันทำให้การแข่งขันในการเจรจาธุรกิจเพิ่มขึ้น
ปัจจุบันมี SPAC กว่า 500 แห่งที่ถือเงินกว่า $138,000 ล้านเพื่อรอซื้อธุรกิจ
มันคือ Killer ปรกติ SPAC ต้องใช้เงินในการเข้าซื้อธุรกิจภายในสองปี
คุณปู่ยกตัวอย่างว่าถ้ามีคนเอาปืนมาจ่อหัวผมแล้วบอกว่าต้องซื้อธุรกิจภายในสองปี ผมก็จะแค่ซื้อมันแหละ โดยไม่ได้ไตร่ตรองอย่างเพียงพอ
นอกจากนี้ยังทิ้งท้ายว่า SPAC ยังน่าจะอยู่กับพวกเราไปสักระยะ ถ้าคุณสามารถที่จะมีคนมีชื่อเสียงเข้ามาเป็นคนจัดตั้ง SPAC ได้แล้ว คุณก็เกือบจะสามารถขาย SPAC ได้ทุกรูปแบบเลย การมีคนดังเข้ามาจัดตั้ง SPAC นักลงทุนก็จะแห่เข้าไปลงทุนโดยที่ไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วจะซื้อบริษัทใด
ชาร์ลีมองว่านโยบายการปั๊มเงินของ FED ถ้ายังทำต่อเนื่องไปไม่มีจุดสิ้นสุด มันอาจจะจบด้วยหายนะได้
คุณปู่บอกว่าเคยซื้อหุ้นของบริษัทแต่ไม่ได้รู้จักมากพอ เข้าใจว่าเป็น 5 บริษัทที่ลงทุนในญี่ปุ่น คุณปู่บอกว่ารู้จักแต่ไม่รู้ข้อมูลเชิงลึก (Insight)
ชาร์ลีเชื่อว่าการซื้อหุ้นคืนเป็นสิ่งที่ควรทำเพื่อเป็นประโยชน์ต่อผู้ถือหุ้น แต่ถ้าการซื้อหุ้นคืนเพื่อทำให้ราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็วอย่างที่นักวิเคราะห์หลายคนวิจารณ์มันก็จะเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ไม่ควรทำอย่างยิ่ง
ชาร์ลีคิดว่าการพัฒนาของบิทคอยน์เป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ มองว่าเป็นสินค้าทางด้านการเงินที่ถูกสร้างบนอากาศ ชาร์ลีเกลียดที่บิทคอยน์ประสบความสำเร็จในตอนนี้
ส่วนคุณปู่ไม่ต้องการคอมเม้นท์เพราะไม่อยากให้คนที่ลงทุนในบิทคอยน์รู้สึกไม่ดี
คุณปู่มองว่าการที่ไบเดนจะปรับภาษีขึ้นและจะมีผลกระทบต่อบริษัทในอเมริกา แต่คิดว่าจะปรับตัวกันได้ นักลงทุนอาจจะไม่ชอบ
คุณปู่บอกอัตราภาษีตอนที่เขายังหนุ่มสูงถึง 50% สูงกว่าที่ไบเดนจะขึ้นเยอะ
ทั้งคู่เห็นตรงกันว่ารัฐบาลจีนจะสนับสนุนให้บริษัทจีนเติบโตประสบความสำเร็จ แม้ว่าช่วงนี้จะมีออกกฎหมายมาควบคุมเพื่อลดความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจ ทั้งคู่เชื่อว่าจะมีมากกว่า 3 บริษัทที่เข้ามาอยู่ในรายชื่อบริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลกในอีก 30 ปีข้างหน้า
มันน่าเหลือเชื่อจริงๆที่จีนสามารถพัฒนามาได้ถึงจุดนี้และจะไปได้อีกไกลในอนาคต
แอปซื้อขายหุ้นอย่าง Robinhood มีส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดการเก็งกำไรในตลาดหุ้น
คุณปู่บอกว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของคาสิโนที่เกิดขึ้นในปีที่แล้ว
ส่วนชาร์ลีก็บอกว่า Robinhood เป็นสิ่งที่ผิด คุณไม่ควรขายของไม่ดีให้กับนักลงทุนเพื่อสร้างเงินให้ตัวเอง
คุณปู่ยอมรับว่าจ่ายเงินซื้อ Precision Castparts เมื่อปี 2016 แพงไปจริงๆในแง่ของการประเมินกำไรเฉลี่ยที่จะเกิดขึ้น นอกจากนี้ยังคาดไม่ถึงว่าบริษัทจะมีปัญหาจากการโดนระงับการผลิตเครื่องบินโบว์อิ้ง 737 Max และต่อเนื่องมาโดนกระทบอย่างหนักจากวิกฤตโควิด
คุณปู่เริ่มมองเห็นการเพิ่มขึ้นของเงินเฟ้ออย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะราคาเหล็ก ตอนนี้เศรษฐกิจร้อนแรงมาก โดยเชื่อว่าตอนนี้เงินเฟ้อเพิ่มมากขึ้นกว่าที่คนทั่วไปคิดไว้เมื่อหกเดือนที่แล้วมากเลยทีเดียว
ปิดท้ายคุณปู่หวังว่าจะได้จัดงานอีกครั้งที่ Omaha ในปีหน้า
ในความคิดของผม คุณปู่ทั้งสองสุดยอดมากที่นั่งตอบคำถามนานถึงสามชั่วโมงกว่าๆ สุขภาพร่างกายแข็งแรง สมองยังสามารถจำเรื่องราวต่างๆได้ทั้งหมดโดยเฉพาะตัวเลข ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมทั้งคู่ถึงประสบความสำเร็จมากถึงขนาดนี้ #บัฟเฟตต์ #ชาร์ลี #Berkshire
Happy Investing!!!
https://m.facebook.com/story.php?story_ ... 9063732794
" สพฺเพ ธมฺมา นาลํ อภินิเวสาย "
" Whatever your mind can conceive and believe it can achieve "
" Whatever your mind can conceive and believe it can achieve "
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3458
9:28
Strategic Global Asset Allocation โดย ดร วิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล
บันทึกจากรายการ CSISociety
ดร วิศิษฐ์ พูดเมื่อวันที่ 26 เมษายน 2564 ในรายการ CSI Society
ว่า เฟดจะทำการขึ้นดอกเบี้ยก่อนกำหนด
ซึ่งตรงกับคุณเจเนต เยลเลน รัฐมนตรีคลังของสหรัฐ ออกมาบอกเมื่อวันที่4พค2564
ว่าอาจจำเป็นต้องปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นเพื่อสกัดไม่ให้เศรษฐกิจร้อนแรงเกินไป
มาฟังดร วิเคราะห์ภาวะเศรษฐกิจโลกและแต่ละประเทศในช่วงนี้ว่าเป็นอย่างไรกันครับ
ดร เริ่มจากการที่พูดว่า เฟตอาจเริ่ม QE Tapering ก่อนกำหนด
หลังจากที่มองว่าเศรษฐกิจสหรัฐขึ้นร้อนแรงในปีนี้
ดร มองว่า GDP สหรัฐ ปีนี้อาจโตถึง 7-8% มาตรการต่างๆในปีนี้
แต่ตอนหลัง ดร ก็บอกว่าอาจขึ้นดอกเบี้ยช่วงปลายปี2022ถึงต้นปี2023
เศรษฐกิจหลายประเทศหลังCovidที่ฟื้นตัวเป็นรูปตัววี เช่น จีน ฟิลิปินส์ เวียดนาม
ส่วนอินเดียน่าจะเป็นรูปตัววี แต่ยังหาฐานไม่เจอ น่าสนใจ แต่ต้องรอจังหวะ
ไทย ฟื้นตัวเป็นรูปไนกี้ ซึ่งจะพูดถึงรายละเอียดในภายหลัง
มาดูดัชนีหุ้นของแต่ละประเทศกัน เริ่มจากDevelop Market
- s&p500 ตอนนี้แพง Forward PE 23.7
ช่วงที่เจอวิกฤตรอบก่อน Forward PE 30เท่า
แต่ดัชนีก็ทำ New high เพราะ US Equity ETF ไหลเข้าลงทุนเยอะ
ยูโรโซน เนื่องจากเศรษฐกิจฟื้นตัวช้า ทำให้ตลาดหุ้นไม่ค่อยโต
-Eurozone Forward PE 17.7 เท่า
ส่วนประเทศจีนฟื้นจากCovidเร็ว ราคาไม่แพง
-China Forward PE 12.4 เท่า ถูกสุด
-Japan Forward PE 21.5 ถูก ต่ำกว่าช่วงวิกฤตปี2009 ที่ขึ้นไปมากกว่า 40 เท่า
-SET Forward PE 19.5 เท่าถือว่า แพง ไม่สามารถลงทุนแบบTop down
ต้องใช้กลยุทธ์แบบ Bottom up คือSelective buys หุ้นที่ประโยชน์
PE bandของSET 5ปีเฉลี่ย จะสูงกว่าค่าเฉลี่ย
การปรับกำไรของตลาดประมาณ 5%ไม่เยอะ ถ้าเทียบกับ อินเดีย ญี่ปุ่น สิงคโปร์ และ ไต้หวัน
แต่เงินปันผลถ้าเทียบกับในกลุ่มเอเซียด้วยกัน ประมาณ 2%กว่าๆ อยู่กลางๆของกลุ่ม
ดร มองว่าเศรษฐกิจจะโต3%กว่า มากกว่าที่คาดการณ์เพราะมองว่ากลุ่มส่งออก โรงงานจะได้ประโยชน์
จากเศรษฐกิจโลกที่โตมากกว่าที่คาดการณ์ หลักๆก็มาจาก สหรัฐ และ จีน โตกว่าที่คาดการณ์นั่นเอง
หุ้นไทยจะขึ้นเฉพาะกลุ่มที่ได้ประโยชน์ เน้นกลุ่ม
- Logistic
- Hospital
- Sugar export
- Electronic,export
- Alternative Energy
- Some Auto
- Steel
- Manufacturing
Underperform Sector
- Service and Leisure
- Bank sector
- Retail
กลยุทธ์การลงทุน
เราควรลงทุนในประเทศที่เข้าถึงทรัพยากรเช่น commodity ได้มากกว่าไทย
หลายๆกองทุนก็ย้ายจากกลุ่มเทคมาที่ลงทุนกลุ่มEV และcommodityที่ใช้ในEV
Global Manufacturing PMI new high
Semiconductorน่าสนมาก มองที่ประเทศไต้หวัน เพราะทำnew high
Trinity มีกองทุนprivate fund ที่จะออกในพค
เป็น กองทุน ที่ลงทุนใน Asian Private Fund.ปีที่แล้ว performance ดีมาก เพราะเริ่มลงในพค
สรุป
สหรัฐอเมริกา มีแนวโน้ม ปรับฐานในกลางเดือน พค ถึง มิถุนายน
ส่วนไทย หุ้นจะไม่ลงเพราะหุ้นลงไปในเดือนเมษาแล้ว ไม่เกิด Sell in May ,go away
Strategic Global Asset Allocation โดย ดร วิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล
บันทึกจากรายการ CSISociety
ดร วิศิษฐ์ พูดเมื่อวันที่ 26 เมษายน 2564 ในรายการ CSI Society
ว่า เฟดจะทำการขึ้นดอกเบี้ยก่อนกำหนด
ซึ่งตรงกับคุณเจเนต เยลเลน รัฐมนตรีคลังของสหรัฐ ออกมาบอกเมื่อวันที่4พค2564
ว่าอาจจำเป็นต้องปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นเพื่อสกัดไม่ให้เศรษฐกิจร้อนแรงเกินไป
มาฟังดร วิเคราะห์ภาวะเศรษฐกิจโลกและแต่ละประเทศในช่วงนี้ว่าเป็นอย่างไรกันครับ
ดร เริ่มจากการที่พูดว่า เฟตอาจเริ่ม QE Tapering ก่อนกำหนด
หลังจากที่มองว่าเศรษฐกิจสหรัฐขึ้นร้อนแรงในปีนี้
ดร มองว่า GDP สหรัฐ ปีนี้อาจโตถึง 7-8% มาตรการต่างๆในปีนี้
แต่ตอนหลัง ดร ก็บอกว่าอาจขึ้นดอกเบี้ยช่วงปลายปี2022ถึงต้นปี2023
เศรษฐกิจหลายประเทศหลังCovidที่ฟื้นตัวเป็นรูปตัววี เช่น จีน ฟิลิปินส์ เวียดนาม
ส่วนอินเดียน่าจะเป็นรูปตัววี แต่ยังหาฐานไม่เจอ น่าสนใจ แต่ต้องรอจังหวะ
ไทย ฟื้นตัวเป็นรูปไนกี้ ซึ่งจะพูดถึงรายละเอียดในภายหลัง
มาดูดัชนีหุ้นของแต่ละประเทศกัน เริ่มจากDevelop Market
- s&p500 ตอนนี้แพง Forward PE 23.7
ช่วงที่เจอวิกฤตรอบก่อน Forward PE 30เท่า
แต่ดัชนีก็ทำ New high เพราะ US Equity ETF ไหลเข้าลงทุนเยอะ
ยูโรโซน เนื่องจากเศรษฐกิจฟื้นตัวช้า ทำให้ตลาดหุ้นไม่ค่อยโต
-Eurozone Forward PE 17.7 เท่า
ส่วนประเทศจีนฟื้นจากCovidเร็ว ราคาไม่แพง
-China Forward PE 12.4 เท่า ถูกสุด
-Japan Forward PE 21.5 ถูก ต่ำกว่าช่วงวิกฤตปี2009 ที่ขึ้นไปมากกว่า 40 เท่า
-SET Forward PE 19.5 เท่าถือว่า แพง ไม่สามารถลงทุนแบบTop down
ต้องใช้กลยุทธ์แบบ Bottom up คือSelective buys หุ้นที่ประโยชน์
PE bandของSET 5ปีเฉลี่ย จะสูงกว่าค่าเฉลี่ย
การปรับกำไรของตลาดประมาณ 5%ไม่เยอะ ถ้าเทียบกับ อินเดีย ญี่ปุ่น สิงคโปร์ และ ไต้หวัน
แต่เงินปันผลถ้าเทียบกับในกลุ่มเอเซียด้วยกัน ประมาณ 2%กว่าๆ อยู่กลางๆของกลุ่ม
ดร มองว่าเศรษฐกิจจะโต3%กว่า มากกว่าที่คาดการณ์เพราะมองว่ากลุ่มส่งออก โรงงานจะได้ประโยชน์
จากเศรษฐกิจโลกที่โตมากกว่าที่คาดการณ์ หลักๆก็มาจาก สหรัฐ และ จีน โตกว่าที่คาดการณ์นั่นเอง
หุ้นไทยจะขึ้นเฉพาะกลุ่มที่ได้ประโยชน์ เน้นกลุ่ม
- Logistic
- Hospital
- Sugar export
- Electronic,export
- Alternative Energy
- Some Auto
- Steel
- Manufacturing
Underperform Sector
- Service and Leisure
- Bank sector
- Retail
กลยุทธ์การลงทุน
เราควรลงทุนในประเทศที่เข้าถึงทรัพยากรเช่น commodity ได้มากกว่าไทย
หลายๆกองทุนก็ย้ายจากกลุ่มเทคมาที่ลงทุนกลุ่มEV และcommodityที่ใช้ในEV
Global Manufacturing PMI new high
Semiconductorน่าสนมาก มองที่ประเทศไต้หวัน เพราะทำnew high
Trinity มีกองทุนprivate fund ที่จะออกในพค
เป็น กองทุน ที่ลงทุนใน Asian Private Fund.ปีที่แล้ว performance ดีมาก เพราะเริ่มลงในพค
สรุป
สหรัฐอเมริกา มีแนวโน้ม ปรับฐานในกลางเดือน พค ถึง มิถุนายน
ส่วนไทย หุ้นจะไม่ลงเพราะหุ้นลงไปในเดือนเมษาแล้ว ไม่เกิด Sell in May ,go away
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3459
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3460
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3461
-
- Verified User
- โพสต์: 842
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3462
นี่มันสงครามโรคชัดๆเลย I SUS !
น้าค่อมคงอยากสบถแบบนี้มั้งฮะ ดาราตลกญี่ปุ่นอีกท่านนึงที่จากไปเพราะโควิดอีกท่านคงคิดแบบนี้ด้วย
ขอบคุณพี่amorncowa สวัสดีท่านmiracle และก็ขออภัยท่านfirsteeที่ผมจำข้อมูลจากมี้ตติ้งไม่ใด้เลย(อ่านของพี่amorncowaใด้สาระครบถ้วนกว่าจ้ะ)
เว้นแต่เรื่องผมเลียนแบบอ.นิเวศน์ เปลี่ยนจากนอนกระดิกตีนขึ้นมานั่งแทะเล็บอย่างทุลักทุเล จนมานึกใด้ทีหลัง ว่าอ.คงหมายถึงเล็บมือนั่นล่ะฮะ
ช่วงนี้จะเห็นปรากฎการK-shapeเกิดขึ้นในทุกวงการ(ในหลวงร.9ท่านใช้คำว่าdouble standard)นะฮะ
หุ้นเทคพุ่งสูงปรี๊ด หุ้นเก่าดำดิ่ง
คนเล่นหุ้นรุ่นใหม่ไปลงบิตคอยน์ วีไอรุ่นเก่ามองตาปริบๆ
Main streetดำดิ่ง แต่wall street new high
ประเทศเมืองพุทธติดโควิดจากบ่อน คาเฟ่ สนามมวย ประเทศอื่นติดจากโบสถ์
จนน้องๆพรี้ตตี้ เด็กเอนใด้ฉีดวัคซีนก่อนพยาบาล หมอ(ท่านsyjว่าก็สมควรแล้ว น้องๆเค้าทำงานนุ่งผ้าผืนนิดเดียว ไม่มีชุดppeเหมือนพวกหมอ พยาบาลนี่หว่า)
รถพยาบาลไปรับคนไข้ช้ากว่ารถส่งพิซซ่า อยู่บ้านเฉยๆช่วยชาติกว่าออกมาทำมาหากินใช้จ่ายเงิน
ประเทศการแพทย์เจริญมากที่สุด เสรีที่สุด ติดโควิดมากสุด ประเทศเผด็จการควบคุมประชาชนทุกอย่าง การแพทย์ยังน่าสงสัย คุมโควิดอยู่หมัด
ทุกอย่างแหกกันไปคนละทาง ผิดปกติ เหมือนรอวันล่มสลายเปลี่ยนเป็นสิ่งใหม่ที่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
(อ.ประเวศเคยเปรียบเทียบว่า เหมือนลูกไก่กำลังจะฟักตัวออกจากไข่ ต้องออกมาให้ใด้ ไม่ก็ตายอยู่ในนั้น)
เอาเป็นว่า ถ้านึกไม่ออกว่าจะทำไงก็อยู่เฉยๆ เงียบๆ หายใจเบาๆไปก่อนนะฮะ
วัคซีนที่ออกมาก็มีข้อมูลเปลี่ยนแปลงตลอด ถ้าไม่อยากฉีดก็ใส่หน้ากาก อยู่ห่าง ล้างมือ
จนกว่าโควิดจะหายระบาด (คือคนติดกันทั่วถึงทุกคนแล้ว)
วีไอแก่ ปรับsexlife เข้ากับsocial distancing เหลือตั้ง2กิจกรรม(แอบดู กับsexphone) รายงาน
น้าค่อมคงอยากสบถแบบนี้มั้งฮะ ดาราตลกญี่ปุ่นอีกท่านนึงที่จากไปเพราะโควิดอีกท่านคงคิดแบบนี้ด้วย
ขอบคุณพี่amorncowa สวัสดีท่านmiracle และก็ขออภัยท่านfirsteeที่ผมจำข้อมูลจากมี้ตติ้งไม่ใด้เลย(อ่านของพี่amorncowaใด้สาระครบถ้วนกว่าจ้ะ)
เว้นแต่เรื่องผมเลียนแบบอ.นิเวศน์ เปลี่ยนจากนอนกระดิกตีนขึ้นมานั่งแทะเล็บอย่างทุลักทุเล จนมานึกใด้ทีหลัง ว่าอ.คงหมายถึงเล็บมือนั่นล่ะฮะ
ช่วงนี้จะเห็นปรากฎการK-shapeเกิดขึ้นในทุกวงการ(ในหลวงร.9ท่านใช้คำว่าdouble standard)นะฮะ
หุ้นเทคพุ่งสูงปรี๊ด หุ้นเก่าดำดิ่ง
คนเล่นหุ้นรุ่นใหม่ไปลงบิตคอยน์ วีไอรุ่นเก่ามองตาปริบๆ
Main streetดำดิ่ง แต่wall street new high
ประเทศเมืองพุทธติดโควิดจากบ่อน คาเฟ่ สนามมวย ประเทศอื่นติดจากโบสถ์
จนน้องๆพรี้ตตี้ เด็กเอนใด้ฉีดวัคซีนก่อนพยาบาล หมอ(ท่านsyjว่าก็สมควรแล้ว น้องๆเค้าทำงานนุ่งผ้าผืนนิดเดียว ไม่มีชุดppeเหมือนพวกหมอ พยาบาลนี่หว่า)
รถพยาบาลไปรับคนไข้ช้ากว่ารถส่งพิซซ่า อยู่บ้านเฉยๆช่วยชาติกว่าออกมาทำมาหากินใช้จ่ายเงิน
ประเทศการแพทย์เจริญมากที่สุด เสรีที่สุด ติดโควิดมากสุด ประเทศเผด็จการควบคุมประชาชนทุกอย่าง การแพทย์ยังน่าสงสัย คุมโควิดอยู่หมัด
ทุกอย่างแหกกันไปคนละทาง ผิดปกติ เหมือนรอวันล่มสลายเปลี่ยนเป็นสิ่งใหม่ที่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
(อ.ประเวศเคยเปรียบเทียบว่า เหมือนลูกไก่กำลังจะฟักตัวออกจากไข่ ต้องออกมาให้ใด้ ไม่ก็ตายอยู่ในนั้น)
เอาเป็นว่า ถ้านึกไม่ออกว่าจะทำไงก็อยู่เฉยๆ เงียบๆ หายใจเบาๆไปก่อนนะฮะ
วัคซีนที่ออกมาก็มีข้อมูลเปลี่ยนแปลงตลอด ถ้าไม่อยากฉีดก็ใส่หน้ากาก อยู่ห่าง ล้างมือ
จนกว่าโควิดจะหายระบาด (คือคนติดกันทั่วถึงทุกคนแล้ว)
วีไอแก่ ปรับsexlife เข้ากับsocial distancing เหลือตั้ง2กิจกรรม(แอบดู กับsexphone) รายงาน
samatah
-
- Verified User
- โพสต์: 1959
- ผู้ติดตาม: 1
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3463
โปรดใช้พิจารณญาณ ในการตัดสินใจ
วันนี้จะพูดเรื่อง โรคระบาด โควิด
เมื่อหลายคืนก่อน นั่งสมาธิพระกรรมฐานเป็นปกติ ในระหว่างที่นั่ง ก็คิดถึงชาวโลก ที่กำลังพบเจอโรคระบาดที่ยิ่งวันยิ่งรุนแรง นึกแล้วก็สงสารมาก ก็แผ่เมตตาไปเรื่อยๆ แผ่เมตตาไปทุกทิศ
ก็พบเจอ พระอรหันตร์รูปหนึ่ง ขอไม่เอ่ยนาม ว่าท่านมีนามว่าอะไร ปกติเวลา เรื่องราวอะไรที่สนทนาธรรม หากเป็นเรื่องที่ รับรู้ได้เฉพาะบุคคล เขาก็จะไม่เล่าให้ใครฟัง ไม่เล่าให้คนหมู่มากฟัง
แต่เรื่องนี้ กราบขออนุญาตแล้วที่จะเขียนเล่า และคิดว่า น่าจะเป็นประโยชน์มากกว่าโทษ จึงนำมาเล่าสู่กันฟัง
ผม - กราบนมัสการ หลวงปู่ ครับ (กราบ)
ผม - ช่วงนี้หลวงปู่คงทราบว่า โลกมนุษย์กำลัง พบเจอโรคระบาดรุนแรง โค
วิด ผมดูแล้ว สงสารชาวโลก ผู้คนติดเชื้อโควิดมากมายมหาศาล ล้มตายอีกเป็นล้าน
หลวงปู่ - ช่วงนี้มันเป็นช่วง กรรมโรคระบาดกำลังส่ง ให้มนุษย์โลกต้องพบเจอ
ผม - หลวงปู่ พอจะมีวิธีอย่างไร ที่จะสามารถช่วยป้องกัน คนให้ผ่านพ้น โรคโควิด นี้ไปได้
หลวงปู่ - ให้ สวดมนต์ ภาวนา แผ่เมตตา ให้มาก จะรอดพ้น กรรม
ผม - แล้ว กรรม อะไร ครับ ที่เป็นสาเหตุ ที่ทำให้ คนบนโลก กำลังพบเจอ
หลวงปู่ - มันเป็น กรรม ที่เกิดจาก มนุษย์โลกไปเบียดเบียนสัตว์โลกเอาไว้มาก เอามาปรุงอาหาร ก่อนปรุงอาหาร ก็ต้องเลี้ยงสัตว์มันให้โตได้ที่ จับมันให้อยู่ในคอกเลี้ยงสัตว์ กักขังในกรง ในอาณาเขตจำกัด ทำให้มันขาดความเป็นอิสระ อึดอัด และ ฉีดยาวัคซีนต่างๆเข้าไปในตัวมัน บ้างพอเห็นมัน ติดโรคเยอะ ก็ฆ่ามัน ยกฟาร์ม โยนลงทะเลให้น้ำท่วมปอดมัน ทำให้มันขาดอากาศหายใจตาย บ้างก็จับมันฝังดินทั้งเป็น มันเป็น กรรมร่วม ที่ มนุษย์โลก ต้องได้รับผลกระทบเหมือนกันหมด
ผม - แต่ผมไม่ได้เป็นผู้ ฆ่าสัตว์ เอง ที่จะเอามาทำอาหาร ผมเป็นผู้ซื้อ แบบนี้เป็น บาปด้วยหรือครับ
หลวงปู่ - บาป หรือ ไม่บาป อยู่ที่เจตนา แต่หากเรากินเนื้อสัตว์ ก็จะได้รับผลของเศษกรรมร่วมไปด้วย หากไม่มีผู้กินเนื้อสัตว์ สัตว์มันก็จะไม่ถูกฆ่า เพื่อเอามาประกอบเป็นธุรกิจอาหาร เมื่อผลของเศษกรรมส่งร่วมมาถึง ก็ต้องยอมรับ ผลของเศษกรรมไปด้วย
-พวกเธอจะถูก กักบริเวณ (อยู่บ้าน) เหมือนที่สัตว์ถูกกักขัง
-พวกเธอจะต้องถูกบังคับให้ใส่หน้ากาก แล้วรู้สึกอึดอัด เหมือนสัตว์ที่ถูกกักขังนับเป็นแสนๆล้านๆตัว แล้วแย่งอากาศหายใจ
-พวกเธอจะต้องถูก ฉีดวัคซีน เกิดความกลัวตาย เหมือนที่สัตว์ถูกฉีดวัคซีนต่างๆมากมาย
- พวกเธอหลายคน จะต้องตายด้วย ปอด ขาดอากาศหายใจ เหมือนสัตว์ที่ถูกฆ่าโดยโยนทิ้งลงทะเล โดนฝังดิน ทั้งเป็น เมื่อเกิดโรคระบาด
สิ่งเหล่านี้ เมื่อสัตว์เขาตายไป เพราะถูกการกระทำของมนุษย์ เขาก็ไปรวมตัวร้องเรียนในเมือง ยมโลก และเมื่อถึงเวลา ที่โลกอ่อนแอ เพราะมีคนกระทำชั่วมาก กรรมชั่วรวมตัวกันได้ที่ ก็จะส่งผลต่อ มนุษย์ทั้งโลกทันที กรรมจะมากน้อย แตกต่างกันไปในแต่ละคน
หากผู้ใดตอนมีชีวิต ชอบ ฆ่าสัตว์ ตัดชีวิต และกำลังเกิด กรรมโรคระบาดอยู่ จะยิ่งทำให้กรรมไม่ดีที่ชอบฆ่าสัตว์ เข้าง่าย เล่นงานง่าย อาจถึงตาย
สัตว์ทุกชนิด ไม่ว่าจะ สัตว์เล็ก สัตว์ใหญ่ เขามีกรรมเป็นของตัวเอง เขาเกิดมาเพื่อมิใช่ถูกฆ่า มิใช่เพื่อมาเป็นอาหารให้เรา
ผม - ผมเข้าใจแล้วครับ เป็นเหมือนที่หลวงปู่บอกเลยจริงๆ มนุษย์เรา ฆ่าสัตว์มาทำอาหารช้านาน ถึงแม้เราจะไม่ใช่เป็นผู้ลงมือกระทำเอง แต่เราก็ไปซื้อ ไปกินเนื้อของพวกเขา ไปอุดหนุน หากเราไม่ซื้อ ไม่กินพวกเขา เขาก็คงจะไม่ถูกฆ่า แต่ในเมื่อ เรากินเขาแล้ว ก็คงต้องยอมรับสภาพเศษกรรมไป มนุษย์นี้เกิดแต่กรรมจริงๆ ทีนี้เวลา ทานเนื้อสัตว์อะไร คงต้องขอบคุณ ขอขมา และ แผ่เมตตาไปให้เขาทุกครั้ง ที่ได้สละชีวิตให้พวกเราได้กิน
หลวงปู่ - ฝากบอกทุกคนว่า การสวดมนต์ ภาวนา แผ่เมตตา ให้สรรพสัตว์ทั้งหลาย ที่พวกเราได้ไปล่วงเกินเขา จะตั้งใจ หรือไม่ตั้งใจ การแผ่เมตตา จะช่วยให้ทุกอย่างเริ่มดีขึ้น
เมื่อผมสนทนากับหลวงปู่เสร็จ กราบลา ก็มานั่งคิดทบทวน มนุษย์โลก ส่วนใหญ่กินเนื้อสัตว์กันเกือบหมดเลยทั้งโลก หากถึงช่วงเวลาที่ เขาจะเอาคืน ในตามกฎแห่งกรรม ก็คงต้อง สวดมนต์ แผ่เมตตา ไปให้มาก เป็นหนทางในทาง ธรรม ที่น่าจะช่วยได้ดีที่สุด
แต่ถ้าในทางโลก ก็ต้องป้องกันตัวเองกันให้ดี ถ้าจะให้ดี ผมอยากให้ใส่หน้ากากอนามัยที่ได้มาตราฐาน ไม่ว่าจะอยู่ในที่ทำงาน หรือ บ้าน ก็ให้ใส่ตลอด เวลาเข้าห้องนอนแยกตัว ค่อยถอดออก เพราะตอนนี้ผมเห็นเขาเริ่มให้ ทำงานที่บ้านกัน แต่ผมดูแล้ว เหมือนมาตรการยังไม่ค่อยเข็มแข็ง ยังมีคนอีกเป็นจำนวนมาก ทำงานบริษัท ที่มีพนักงานเป็นร้อยๆเป็นพันๆคน เมื่อคนเหล่านี้ กลับบ้าน หากไม่คาดผ้าตลอด ไม่ล้างมือด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ เอาหน้ากากอนามัยออก โอกาสที่จะเอาเชื้อไปปล่อยคนในบ้าน ติดกันยกบ้านมีสูงมาก ทีนี้ก็วุ่นต้องหาที่ ตรวจเชื้อ ที่ รักษา ในแต่ละที่ก็จำกัดคนต่อวัน ยิ่งยากขึ้นไปอีก หากเจอเชื้อเร็ว โอกาสก็หายดี แต่หากระบบไม่ดี ล่าช้า จำกัด หากเจอเชื้อช้าไป โอกาสแย่ก็มีสูง
ในเวลานี้ผมคงจะไม่เขียนโทษใคร เพราะมันไม่มีประโยชน์ที่จะพูด ใครทำกรรมอะไรไว้ ก็ต้องรับผลของกรรมนั้นไป ช้า เร็ว เท่านั้นเอง
รักษาตัวกันด้วยนะครับ บ้านไหนมีคนสูงวัย ก็ดูแลให้ดี ป้องกันให้ดี
ไม่ประมาทในชีวิต และอย่าคิดว่าตัวเองดีพอแล้ว คิดแบบนี้ไม่ได้ ถ้าจะดี ต้องดีให้สุดๆจนไม่มีประมาณ
ส่วนเรื่อง ดาราตลกชื่อดัง ผมรู้สึกเสียดายมากนะ ผมก็ดูท่านบ่อย สร้างความสุขให้ชีวิตมีมาก แต่ไม่ต้องเป็นห่วง เวลานี้ ดวงจิตสีขาวสว่างมาก ทำบุญมาดี เป็นคนคิดดี จิตใจดี จับภาพพระก่อนออกจากร่างได้ แบบนี้ไม่ต้องเป็นห่วงเลย ไปสวรรค์ก่อนแน่นอน แต่ถ้าจะถามว่ากรรมอะไรถึงต้องพบเจอแบบนี้ ผมก็ไม่ได้ทราบอะไรมากนะ ผมก็เห็นมีเจ้ากรรมที่เป็นพวกสัตว์ ยืนเต็มไปหมด อย่างที่เขียนเล่า ช่วงนี้ กรรมโรคระบาดทั่วโลก กรรมเขาปล่อยมา ใครที่เคยฆ่าสัตว์ หากถึงคราวจริงๆ ก็หนีไม่พ้น ก็ต้องรับไป แต่ไม่ต้องเป็นห่วงนะ ตอนนี้ ท่าน ยัง วนๆบนโลก ไปหาคนนั้นทีคนนี้ที เป็นอารมณ์ที่เบาสบาย ใบหน้ายิ้มตลอด คงไปลา พอถึงเวลา สวรรค์ก็ก็เรียกกลับไป ไม่ต้องเป็นห่วง ชุดที่ใส่นี้เป็นเพชรสีขาวระยิบระยับเลย (ผู้ที่จิตใกล้ตาย หากนึกถึงพระพุทธเจ้าได้ เวลาออกจากร่างไป จะใส่ชุด สวยงาม สว่างไสว ทุกคน) เมื่อคืนก็แผ่เมตตาให้ และขอบคุณที่เคยสร้างเสียงหัวเราะให้ผม
หากขอพรได้ ผมอยากขอพรให้ บ้านเรามีคนดี คนเก่งๆมาช่วย ในเวลานี้
เราอยู่บ้านหลังเดียวกัน อย่าปล่อยให้บ้านหลังนี้ ต้องเป็นไปตามยถากรรม
ของคนไม่เก่ง และคนไม่ดี
สู้ๆไปด้วยกันนะครับ คงได้รับผลกระทบกันหมด เพราะเราเกิดในยุคเดียวกัน
เป็นการสนทนาทีผมจับใจความและนำมาเล่าให้ฟังนะครับ
อาจมีตกหล่นไปบ้างเล็กน้อย ต้องขออภัย
อ.จตุพร ฌานสมาบัติ
2/5/2564
" สพฺเพ ธมฺมา นาลํ อภินิเวสาย "
" Whatever your mind can conceive and believe it can achieve "
" Whatever your mind can conceive and believe it can achieve "
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3464
สรุปความรู้งาน meeting VI ภาคใต้ Q1/64 (16 พ.ค.64)
สรุป by earthcu » Mon May 17, 2021 5:31 pm
พอดีเห็นน้องearthcuสรุปไว้ครับเลยนำมาให้อ่านกัน
ขอบคุณนะครับ
เนื่องด้วยมีโอกาสร่วมงาน มีตติ้งวีไอภาคใต้ ไตรมาส 1/2564 ที่ผ่านมา จึงอยากจะสรุปความรู้ที่ได้จากงานครั้งนี้บางส่วนเผื่อเป็นประโยชน์ต่อเพื่อนนักลงทุนท่านอื่นๆที่ไม่ได้มาร่วมงานนี้ครับ
วิทยากร 1.พี่โจ ลูกอีสาน 2.พี่ตี้ 3.พี่วรพงศ์
1.หนังสือแนะนำ by P’โจ ลูกอีสาน
Peter Lynch
1.)เหนือกว่าวอลสตรีท (One Up On Wall Street)
2.)ลงทุนอย่างปีเตอร์ ลินช์ (Beating the Street)
3.)เรียนให้รวย (Learn to Earn)
4.)แก่นการลงทุนแบบเน้นคุณค่า (The most important by Thing Illuminated) by Howard Marks
5.)The Five Rules for Successful Stock Investing by Pat Dorsey
6.)ก้าวเล็กๆในตลาดหุ้น ก้าวที่ยิ่งใหญ่ในชีวิต ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
7.)คัมภีร์การลงทุนแบบเน้นคุณค่า The Intelligent Investor by Benjamin Graham โดยบทที่สำคัญมี 2 บท คือบทที่เกี่ยวข้องกับส่วนเผื่อเพื่อความปลอดภัย Margin Of Safety และบท นายตลาด (Mr.Market) นักลงทุนและความผันผวนของตลาด
-หนังสือแนะนำ by พี่ๆ ท่านอื่น
8.)ตีแตก ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
9.)ศาสตร์แห่งบัฟเฟตต์ Buffettology by Mary Buffett and David Clark
10.)นักลงทุนดันโด The Dhandho Investor by Monish Pabrai
2.สิ่งที่ควรจะลงทุนมากที่สุด คือการลงทุนกับความรู้ก่อน
3.ในตลาดหุ้น โชคอาจจะมีผล แต่คุณไม่สามารถเอาตัวรอดได้ในระยะยาว ถ้าอาศัยแค่โชคเพียงอย่างเดียว
4.เราต้องพยายามหา style การลงทุนของตัวเองให้เจอ โดยพยายามปรับแต่งวิธีการลงทุนให้ดีขึ้นเรื่อยๆ
5.ไม่พยายามไปลงทุนหุ้นวัฏจักรตอนที่ดีเกินจริง โดยส่วนใหญ่คนที่ติดดอยนานหลายปีก็เป็นเพราะไปลงทุนในหุ้นวัฏจักรในช่วงที่ Peak ยกตัวอย่าง เคยมี case ที่ไปลงทุนในบริษัทที่รับทำ Project ซึ่งในปีนั้นได้ไปประมูลงานนึงซึ่งได้ margin ดีสูงเป็นพิเศษ ในขณะที่ต้นทุนวัตถุดิบที่ใช้ในการทำ Project ลดลง ทำให้กำไรของบริษัทในปีนั้นดีมากเป็นพิเศษ ซึ่งต่อมาพอกลับสู่สภาวะปกติก็ทำให้กำไรของบริษัทลดลงเป็นอย่างมาก
6.Question ทัศนคติและมุมมองสำหรับ นักลงทุนมือใหม่
Answer. สำหรับมือใหม่เบื้องต้นแนะนำให้อ่านหนังสือ One Up On Wall Street เหนือกว่า Wallstreet ของ Peter Lynch ก่อนเพื่อให้สามารถแยกแยะประเภทของหุ้นได้ (หุ้นโตช้า,หุ้นแข็งแกร่ง,หุ้นเติบโต,หุ้นวัฏจักร, หุ้นฟื้นตัว, หุ้นสินทรัพย์มาก)
หลักการ 4 ข้อสำหรับแก่นการลงทุนแบบเน้นคุณค่า
1.)ลงทุนในหุ้นเหมือนลงทุนในธุรกิจ
2.)ลงทุนในธุรกิจต้องรู้จักการประเมินมูลค่าหุ้นเพื่อหามูลค่าที่แท้จริงของกิจการ ว่าถูกหรือแพง
3.)เลือกซื้อหุ้นหรือกิจการที่ราคาหุ้นมี Margin of safety เท่านั้น
4.)เราต้องรู้จักนายตลาด และประกาศอิสรภาพ โดยแยกจากกระแสอารมณ์จากนายตลาด มีความมั่นคงทางอารมณ์
7.คลังกระทู้คุณค่า ของพี่โจ ลูกอีสาน
คำแนะนำธรรมดาๆ เพื่อกำไรที่ไม่ธรรมดา
https://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=7&t=27346
ขอถามคุณลูกอีสาน เรื่องเทคนิคการปรับพอร์ตครับ
https://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=35&t=33509
8.ผลตอบแทน 3 อย่างจากการลงทุน
1.)Capital Gain 2.)เงินปันผล 3.)เครดิตเงินปันผล
โดยเฉพาะคนที่มีรายได้ยังไม่สูงมาก แนะนำให้ลองยื่นภาษีเงินได้เพื่อ ขอคืนเครดิตเงินปันผลคืนได้
มองการลงทุนเป็น passive income เราไม่จำเป็นต้องออกแรงทำงาน โดยการให้เงินทำงานแทนแต่จำเป็นต้องใช้แรงสมองและความคิด
9.กับดัก VI พึงระวังบางบริษัทที่อาจจะดูกิจการมั่นคงดี รายได้สม่ำเสมอด้วย เพราะในบางครั้งกิจการนั้นอาจจะเป็นกิจการที่มีอายุสัมปทาน ซึ่งเมื่อหมดอายุสัมปทานก็อาจจะทำให้รายได้และกำไรลดลงอย่างมีนัยยะได้
10.P/E ของกิจการที่เหมาะสม มีความสัมพันธ์กับการเติบโตของกำไรของกิจการ
การเติบโตสูง , P/E อาจจะสูงได้
การเติบโตต่ำ , P/E ต่ำ
นอกจากนี้การลงทุนควรจะมอง Business Model ของกิจการให้ออก โดยเลือกกิจการที่มีความแข็งแกร่ง สามารถเอาชนะได้ในระยะยาว รวมถึงมีความสามารถในการเติบโตของกำไรได้ในระยะยาวได้
พิจารณาบริษัทหรือกิจการในหลายๆด้าน ไม่ว่าจะเป็น งบการเงิน, Business Model, ความสามารถในการแข่งขัน, คู่แข่งของกิจการ, วิสัยทัศน์ของผู้บริหารเป็นต้น เพื่อใช้ในการประเมิน P/E ที่เหมาะสมหรือมูลค่ากิจการ
11.การลงทุนในหุ้นหรือบริษัทต่างประเทศ ถ้าเพิ่งจะเริ่มต้นก็ไม่ควรลงทุนเป็น % ที่สูงนักของ Port โดยสามารถเลือกลงทุนผ่านกองทุน ETF หรือลงทุนในหุ้นโดยตรง ซึ่งกรณีถ้าจะลงทุนหุ้นโดยตรงก็อาจจะเลือกพิจารณาจากกิจการที่พวกเราสามารถสัมผัสได้ โดยจำเป็นที่ต้องพิจารณาทั้งอัตราการเติบโตของกำไรบริษัทในอนาคต เปรียบเทียบกับ P/E ปัจจุบันของบริษัทว่าเหมาะสมหรือไม่ รวมไปถึงปัจจัยอื่นๆอย่างละเอียดก่อนการเลือกซื้อกิจการ
12.พึงระวังในการซื้อหุ้นเพื่อหวังเงินปันผล แต่เสี่ยงต่อการสูญเสียเงินต้น เพราะพื้นฐานทางกิจการค่อยๆแย่ลงหรืออาจจะเกิดจากปันผลพิเศษเนื่องจากมีกำไรพิเศษเป็นต้น
13.Question เลือกหุ้นอย่างไรให้ต่ำกว่ามูลค่า ขอให้ยกตัวอย่าง
Answer 1.)ยกตัวอย่างเราอาจจะไปเจอหุ้นที่การเติบโตของกำไร 20% แต่ปัจจุบัน trade ด้วย P/E 15 เท่า ซึ่งเมื่อคำนวณ PEG Raito = P/E Ratio/Earning Growth = 15/20 =0.75 ซึ่งต่ำกว่า 1 ก็ถือว่าบริษัทนั้นราคาไม่แพง เป็นต้น โดย Growth ของกำไรนั้น เน้นว่าควรจะเป็น Growth ที่ต้องมองไปข้างหน้า 2-3 ปี
14.พยายามอ่าน 56-1 เพื่อมองหาบริษัทที่น่าสนใจ จากนั้นทำการ shortnote ใส่กระดาษ/สมุด จะทำให้เรารู้จักบริษัท/กิจการเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ จากนั้นทำการ update ข่าวสาร/พัฒนาการใหม่ๆของบริษัท เพื่อติดตามบริษัท
15.การเลือกซื้อหุ้นที่มอง Theme ว่าหลังจากวิกฤติ Covid-19 ผ่านไป กิจการจะกลับมาดีนั้น มีจุดที่พึงต้องระวังเพราะในบางบริษัทนั้น ราคาหุ้นในปัจจุบันนั้น ถ้าคิดเทียบกับกำไรของบริษัทในช่วงปรกติก่อนที่จะเกิด Covid-19 แล้วนั้น เปรียบเทียบมูลค่าหุ้นแล้วนั้นราคาปัจจุบันก็ไม่ถือว่าถูก (มี Margin of safety ต่ำ) แถมยังมีในเรื่องของระยะเวลาที่เราต้องรอคอย เพราะบางกิจการนั้นอาจจะใช้เวลาอีกอย่างนัอย 2-3 ปีกว่าที่กำไรของบริษัทจะฟื้นตัวกลับไปสู่สภาวะปรกติ
16.พึงระวังการซื้อหุ้นในช่วงตลาดดีเกินจริง โดยส่วนใหญ่นั้นกำไรที่ยิ่งใหญ่มักเกิดจากช่วงเวลาที่เราไม่ค่อยมั่นในในตอนซื้อหุ้น (ยกตัวอย่างเช่นในบางครั้งเราต้องฝืนใจเอาชนะอารมณ์เพื่อเข้าไปซื้อหุ้นหรือกองทุนในช่วงตอนที่คนอื่นพยายามเทขายอย่างบ้าคลั่ง)
17.หลักเกณฑ์ในการขายหรือswitching หุ้น
1.)พิจารณาขายหุ้นเพื่อไปซื้อหุ้นอื่นที่มี Upside มากกว่าหุ้นที่มีอยู่ในมือ (เช่นขายหุ้นที่มี upside 20% เพื่อไปซื้อหุ้นที่มี upside 50%)
2.)พิจารณาขายหุ้น เมื่อสิ่งที่เราคิดไว้ผิด เช่นเมื่อพื้นฐานกิจการที่เปลี่ยนแปลงในทางแย่ลงอย่างถาวร เป็นต้น
ผมขออนุญาตเรียบเรียงเนื้อหาใหม่ตามที่ผมเข้าใจครับ รวมไปถึงอาจจะอธิบายเพิ่มเติมในบางจุดเพื่อให้เพื่อนๆท่านอื่นๆเข้าใจเนื้อหาได้ง่ายขึ้นครับ ซึ่งลำดับของเนื้อหาอาจจะไม่ตรงกับที่ทางวิทยากรได้พูด ในกรณีที่อาจจะไม่ตรงกับเนื้อหาที่วิทยากรต้องการสื่อสาร ผมขอความกรุณาเพื่อนๆท่านอื่นที่ไปฟังในวันดังกล่าวหรือท่านวิทยากรช่วยแนะนำเพิ่มเติมหรือแก้ไขให้ด้วยครับ
ขอขอบคุณวิทยากรทุกๆท่าน (พี่โจ ลูกอีสาน, พี่ตี้, พี่วรพงศ์) ที่กรุณาให้ความรู้คำแนะนำในด้านการลงทุนแก่ผมและนักลงทุนท่านอื่นๆเป็นอย่างสูงครับ
ขอขอบคุณทีมงานที่จัดงานมีตติ้งวีไอภาคใต้ ทุกท่านครับ
และขอขอบคุณกัลยาณมิตรทุกท่านครับที่ช่วยแนะนำความรู้ในด้านการลงทุนให้ผมอยู่เสมอๆ
ขอขอบคุณทุกท่านเป็นอย่างสูงครับ
earthcu/ 17 May 21
สรุป by earthcu » Mon May 17, 2021 5:31 pm
พอดีเห็นน้องearthcuสรุปไว้ครับเลยนำมาให้อ่านกัน
ขอบคุณนะครับ
เนื่องด้วยมีโอกาสร่วมงาน มีตติ้งวีไอภาคใต้ ไตรมาส 1/2564 ที่ผ่านมา จึงอยากจะสรุปความรู้ที่ได้จากงานครั้งนี้บางส่วนเผื่อเป็นประโยชน์ต่อเพื่อนนักลงทุนท่านอื่นๆที่ไม่ได้มาร่วมงานนี้ครับ
วิทยากร 1.พี่โจ ลูกอีสาน 2.พี่ตี้ 3.พี่วรพงศ์
1.หนังสือแนะนำ by P’โจ ลูกอีสาน
Peter Lynch
1.)เหนือกว่าวอลสตรีท (One Up On Wall Street)
2.)ลงทุนอย่างปีเตอร์ ลินช์ (Beating the Street)
3.)เรียนให้รวย (Learn to Earn)
4.)แก่นการลงทุนแบบเน้นคุณค่า (The most important by Thing Illuminated) by Howard Marks
5.)The Five Rules for Successful Stock Investing by Pat Dorsey
6.)ก้าวเล็กๆในตลาดหุ้น ก้าวที่ยิ่งใหญ่ในชีวิต ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
7.)คัมภีร์การลงทุนแบบเน้นคุณค่า The Intelligent Investor by Benjamin Graham โดยบทที่สำคัญมี 2 บท คือบทที่เกี่ยวข้องกับส่วนเผื่อเพื่อความปลอดภัย Margin Of Safety และบท นายตลาด (Mr.Market) นักลงทุนและความผันผวนของตลาด
-หนังสือแนะนำ by พี่ๆ ท่านอื่น
8.)ตีแตก ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
9.)ศาสตร์แห่งบัฟเฟตต์ Buffettology by Mary Buffett and David Clark
10.)นักลงทุนดันโด The Dhandho Investor by Monish Pabrai
2.สิ่งที่ควรจะลงทุนมากที่สุด คือการลงทุนกับความรู้ก่อน
3.ในตลาดหุ้น โชคอาจจะมีผล แต่คุณไม่สามารถเอาตัวรอดได้ในระยะยาว ถ้าอาศัยแค่โชคเพียงอย่างเดียว
4.เราต้องพยายามหา style การลงทุนของตัวเองให้เจอ โดยพยายามปรับแต่งวิธีการลงทุนให้ดีขึ้นเรื่อยๆ
5.ไม่พยายามไปลงทุนหุ้นวัฏจักรตอนที่ดีเกินจริง โดยส่วนใหญ่คนที่ติดดอยนานหลายปีก็เป็นเพราะไปลงทุนในหุ้นวัฏจักรในช่วงที่ Peak ยกตัวอย่าง เคยมี case ที่ไปลงทุนในบริษัทที่รับทำ Project ซึ่งในปีนั้นได้ไปประมูลงานนึงซึ่งได้ margin ดีสูงเป็นพิเศษ ในขณะที่ต้นทุนวัตถุดิบที่ใช้ในการทำ Project ลดลง ทำให้กำไรของบริษัทในปีนั้นดีมากเป็นพิเศษ ซึ่งต่อมาพอกลับสู่สภาวะปกติก็ทำให้กำไรของบริษัทลดลงเป็นอย่างมาก
6.Question ทัศนคติและมุมมองสำหรับ นักลงทุนมือใหม่
Answer. สำหรับมือใหม่เบื้องต้นแนะนำให้อ่านหนังสือ One Up On Wall Street เหนือกว่า Wallstreet ของ Peter Lynch ก่อนเพื่อให้สามารถแยกแยะประเภทของหุ้นได้ (หุ้นโตช้า,หุ้นแข็งแกร่ง,หุ้นเติบโต,หุ้นวัฏจักร, หุ้นฟื้นตัว, หุ้นสินทรัพย์มาก)
หลักการ 4 ข้อสำหรับแก่นการลงทุนแบบเน้นคุณค่า
1.)ลงทุนในหุ้นเหมือนลงทุนในธุรกิจ
2.)ลงทุนในธุรกิจต้องรู้จักการประเมินมูลค่าหุ้นเพื่อหามูลค่าที่แท้จริงของกิจการ ว่าถูกหรือแพง
3.)เลือกซื้อหุ้นหรือกิจการที่ราคาหุ้นมี Margin of safety เท่านั้น
4.)เราต้องรู้จักนายตลาด และประกาศอิสรภาพ โดยแยกจากกระแสอารมณ์จากนายตลาด มีความมั่นคงทางอารมณ์
7.คลังกระทู้คุณค่า ของพี่โจ ลูกอีสาน
คำแนะนำธรรมดาๆ เพื่อกำไรที่ไม่ธรรมดา
https://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=7&t=27346
ขอถามคุณลูกอีสาน เรื่องเทคนิคการปรับพอร์ตครับ
https://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=35&t=33509
8.ผลตอบแทน 3 อย่างจากการลงทุน
1.)Capital Gain 2.)เงินปันผล 3.)เครดิตเงินปันผล
โดยเฉพาะคนที่มีรายได้ยังไม่สูงมาก แนะนำให้ลองยื่นภาษีเงินได้เพื่อ ขอคืนเครดิตเงินปันผลคืนได้
มองการลงทุนเป็น passive income เราไม่จำเป็นต้องออกแรงทำงาน โดยการให้เงินทำงานแทนแต่จำเป็นต้องใช้แรงสมองและความคิด
9.กับดัก VI พึงระวังบางบริษัทที่อาจจะดูกิจการมั่นคงดี รายได้สม่ำเสมอด้วย เพราะในบางครั้งกิจการนั้นอาจจะเป็นกิจการที่มีอายุสัมปทาน ซึ่งเมื่อหมดอายุสัมปทานก็อาจจะทำให้รายได้และกำไรลดลงอย่างมีนัยยะได้
10.P/E ของกิจการที่เหมาะสม มีความสัมพันธ์กับการเติบโตของกำไรของกิจการ
การเติบโตสูง , P/E อาจจะสูงได้
การเติบโตต่ำ , P/E ต่ำ
นอกจากนี้การลงทุนควรจะมอง Business Model ของกิจการให้ออก โดยเลือกกิจการที่มีความแข็งแกร่ง สามารถเอาชนะได้ในระยะยาว รวมถึงมีความสามารถในการเติบโตของกำไรได้ในระยะยาวได้
พิจารณาบริษัทหรือกิจการในหลายๆด้าน ไม่ว่าจะเป็น งบการเงิน, Business Model, ความสามารถในการแข่งขัน, คู่แข่งของกิจการ, วิสัยทัศน์ของผู้บริหารเป็นต้น เพื่อใช้ในการประเมิน P/E ที่เหมาะสมหรือมูลค่ากิจการ
11.การลงทุนในหุ้นหรือบริษัทต่างประเทศ ถ้าเพิ่งจะเริ่มต้นก็ไม่ควรลงทุนเป็น % ที่สูงนักของ Port โดยสามารถเลือกลงทุนผ่านกองทุน ETF หรือลงทุนในหุ้นโดยตรง ซึ่งกรณีถ้าจะลงทุนหุ้นโดยตรงก็อาจจะเลือกพิจารณาจากกิจการที่พวกเราสามารถสัมผัสได้ โดยจำเป็นที่ต้องพิจารณาทั้งอัตราการเติบโตของกำไรบริษัทในอนาคต เปรียบเทียบกับ P/E ปัจจุบันของบริษัทว่าเหมาะสมหรือไม่ รวมไปถึงปัจจัยอื่นๆอย่างละเอียดก่อนการเลือกซื้อกิจการ
12.พึงระวังในการซื้อหุ้นเพื่อหวังเงินปันผล แต่เสี่ยงต่อการสูญเสียเงินต้น เพราะพื้นฐานทางกิจการค่อยๆแย่ลงหรืออาจจะเกิดจากปันผลพิเศษเนื่องจากมีกำไรพิเศษเป็นต้น
13.Question เลือกหุ้นอย่างไรให้ต่ำกว่ามูลค่า ขอให้ยกตัวอย่าง
Answer 1.)ยกตัวอย่างเราอาจจะไปเจอหุ้นที่การเติบโตของกำไร 20% แต่ปัจจุบัน trade ด้วย P/E 15 เท่า ซึ่งเมื่อคำนวณ PEG Raito = P/E Ratio/Earning Growth = 15/20 =0.75 ซึ่งต่ำกว่า 1 ก็ถือว่าบริษัทนั้นราคาไม่แพง เป็นต้น โดย Growth ของกำไรนั้น เน้นว่าควรจะเป็น Growth ที่ต้องมองไปข้างหน้า 2-3 ปี
14.พยายามอ่าน 56-1 เพื่อมองหาบริษัทที่น่าสนใจ จากนั้นทำการ shortnote ใส่กระดาษ/สมุด จะทำให้เรารู้จักบริษัท/กิจการเพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ จากนั้นทำการ update ข่าวสาร/พัฒนาการใหม่ๆของบริษัท เพื่อติดตามบริษัท
15.การเลือกซื้อหุ้นที่มอง Theme ว่าหลังจากวิกฤติ Covid-19 ผ่านไป กิจการจะกลับมาดีนั้น มีจุดที่พึงต้องระวังเพราะในบางบริษัทนั้น ราคาหุ้นในปัจจุบันนั้น ถ้าคิดเทียบกับกำไรของบริษัทในช่วงปรกติก่อนที่จะเกิด Covid-19 แล้วนั้น เปรียบเทียบมูลค่าหุ้นแล้วนั้นราคาปัจจุบันก็ไม่ถือว่าถูก (มี Margin of safety ต่ำ) แถมยังมีในเรื่องของระยะเวลาที่เราต้องรอคอย เพราะบางกิจการนั้นอาจจะใช้เวลาอีกอย่างนัอย 2-3 ปีกว่าที่กำไรของบริษัทจะฟื้นตัวกลับไปสู่สภาวะปรกติ
16.พึงระวังการซื้อหุ้นในช่วงตลาดดีเกินจริง โดยส่วนใหญ่นั้นกำไรที่ยิ่งใหญ่มักเกิดจากช่วงเวลาที่เราไม่ค่อยมั่นในในตอนซื้อหุ้น (ยกตัวอย่างเช่นในบางครั้งเราต้องฝืนใจเอาชนะอารมณ์เพื่อเข้าไปซื้อหุ้นหรือกองทุนในช่วงตอนที่คนอื่นพยายามเทขายอย่างบ้าคลั่ง)
17.หลักเกณฑ์ในการขายหรือswitching หุ้น
1.)พิจารณาขายหุ้นเพื่อไปซื้อหุ้นอื่นที่มี Upside มากกว่าหุ้นที่มีอยู่ในมือ (เช่นขายหุ้นที่มี upside 20% เพื่อไปซื้อหุ้นที่มี upside 50%)
2.)พิจารณาขายหุ้น เมื่อสิ่งที่เราคิดไว้ผิด เช่นเมื่อพื้นฐานกิจการที่เปลี่ยนแปลงในทางแย่ลงอย่างถาวร เป็นต้น
ผมขออนุญาตเรียบเรียงเนื้อหาใหม่ตามที่ผมเข้าใจครับ รวมไปถึงอาจจะอธิบายเพิ่มเติมในบางจุดเพื่อให้เพื่อนๆท่านอื่นๆเข้าใจเนื้อหาได้ง่ายขึ้นครับ ซึ่งลำดับของเนื้อหาอาจจะไม่ตรงกับที่ทางวิทยากรได้พูด ในกรณีที่อาจจะไม่ตรงกับเนื้อหาที่วิทยากรต้องการสื่อสาร ผมขอความกรุณาเพื่อนๆท่านอื่นที่ไปฟังในวันดังกล่าวหรือท่านวิทยากรช่วยแนะนำเพิ่มเติมหรือแก้ไขให้ด้วยครับ
ขอขอบคุณวิทยากรทุกๆท่าน (พี่โจ ลูกอีสาน, พี่ตี้, พี่วรพงศ์) ที่กรุณาให้ความรู้คำแนะนำในด้านการลงทุนแก่ผมและนักลงทุนท่านอื่นๆเป็นอย่างสูงครับ
ขอขอบคุณทีมงานที่จัดงานมีตติ้งวีไอภาคใต้ ทุกท่านครับ
และขอขอบคุณกัลยาณมิตรทุกท่านครับที่ช่วยแนะนำความรู้ในด้านการลงทุนให้ผมอยู่เสมอๆ
ขอขอบคุณทุกท่านเป็นอย่างสูงครับ
earthcu/ 17 May 21
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3465
MoneyTalk : วีไอกับการลงทุนต่างประเทศ
คุณ ชาย มโนภาศ อดีตนายกสมาคมไทยวีไอ
คุณ วีระพงษ์ ธัม (หลิน) นายกสมาคมไทยวีไอ
สัมภาษณ์ โดย ดร ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา และ ดร นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
Q: ดร ไพบูลย์ถามว่า วีไอต้องไปลงทุนหุ้นต่างประเทศไหม
A: อจ ชาย ตอบว่า ต่างประเทศมีoptionให้เลือกมาก
ถ้าอุตสาหกรรมไหนเป็นอนาคต เช่น AI, Internet , Technology ก็น่าลงทุน
กลุ่มFANG มีผลประกอบการ Q1 ขึ้นอย่างมาก บางบริษัทโต 40-50%
แต่ต้องคำนึงถึงราค่าไหนจะเหมาะสมในการลงทุนด้วย
นักลงทุนระยะยาว เหมาะกับการไปลงทุนในต่างประเทศ
ไทยยังมีอุตสาหกรรมแบบ old economy เรามีแค่บริษัทที่ซื้อเทคโนโลยีมาใช้
ไม่ได้เป็นเจ้าของเอง ไม่ได้เป็นเจ้าของ Patent
อจ หลิน บอกว่า การลงทุนต้องพิจารณาสองปัจจัยคือ ผลตอบแทนและความเสี่ยง
จากบทความวิเคราะห์ของแวงการ์ด พบว่าถ้าเราลงทุนในต่างประเทศ ความเสี่ยงจะลดลง และผลตอบแทนเพิ่มขึ้น
ดร นิเวศน์ สอบถามว่า การลงทุนผ่านกองทุนรวมในต่างประเทศไม่สนุก ไม่ใช่การลงทุนแบบวีไอ
มีประเด็นนี้ไหม
ดร ไพบูลย์ สรุปคำถามอีกที นักลงทุนไปต่างประเทศ ในไทยเลือกหุ้นแบบฺBottom up
พอไปต่างประเทศ จะทำแบบBottom up หรือ ไปซื้อ ETF ดีกว่า
อจ หลิน เห็นด้วยกับดร นิเวศน์ เราอยู่ในไทย ได้เปรียบเรื่องข้อมูลของบริษัท เข้าใจculture
พอไปต่างประเทศ การเลือกอุตสาหกรรมที่ชอบ ต้องอ่านหุ้นทีละตัวในอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นต้นทุนอย่างนึง
ต้องทุ่มเทมาก เพื่อต้องการให้ผลตอบแทนดี แต่ก็ไม่ได้เสมอไป
แต่การลงทุนแบบ ETF ก็เคยทำมาก่อนเมื่อ 6-7 ปีก่อน ผลตอบแทนสู้การลงทุนหุ้นไทยรายตัวไม่ได้
อจ ชาย เสริมว่า ประเด็นหลักคือ
1.ความรู้ในแต่ละอุตสาหกรรมเรามีพอไหม
2.เรามีเวลาเพียงพอไหมในการศึกษา
แต่หลายคนที่ทำงานประจำ ซื้อETFน่าจะดีกว่า โดยคิดว่าปีนี้Theme อะไรมา เช่น มองต้นปี Commodityน่าจะมา
ก็ไปซื้อ ETF commodity ก็จะได้ 20% YTD
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี การแข่งขันไมได้แข่งกันเฉพาะในประเทศ แต่แข่งกับทั้งโลก ซึ่งกินเวลาในการศึกษามาก
รวมถึงTime Zoneต่างกันด้วย
แต่ถ้าเป็นนักลงทุนวีไอ ที่มีเวลา ก็หาเวลาไปศึกษาลงทุน จะได้ความรู้ใหม่ๆมากขึ้น
Domino Pizza ราคาหุ้นขึ้นไปแพง 10 เท่า ไม่แพ้หุ้นเทคโนโลยี
ดร นิเวศน์เสริมว่า Domino Pizza ไม่มีสาขา และ ระบบการส่งที่ดี แต่ในไทยรสชาติอร่อยสู้ที่USไม่ได้
อจ ชายบอกว่า บางบริษัทก็มาเปิดสาขาในไทย
เช่น Domino Pizza เปิดมา10ปี และ Starbuck มาเปิดที่ไทยเมือ 30 ปีก่อน
บางบริษัท เราก็สามารถใช้บริการได้ไม่ช้ากว่า ต่างประเทศ เช่น NetFlix
แต่บางกิจการที่ไม่เคยใช้บริการ ซึ่งเป็นบริษัทที่ดี ซื้อช้าหน่อยก็ยังทำกำไรได้
Q: คนที่ไปลงทุนต่างประเทศ ต้องมีcharacterอย่างไร
หลายคนที่ไม่มีความสามารถเหมือนอจ ชาย จะไหวไหม
A: อจ หลิน ยกตัวอย่างว่า
สมมติเราไม่มีความรู้เรื่องเทคโนโลยี แต่ภรรยามีความรู้เรื่อง กระเป๋า Hermes ดี
รู้ว่ารุ่นไหนขายดี ก่อนที่ราคาหุ้นขึ้น ก่อนสามารถไปซื้อดักก่อน นักวิเคราะห์จะรู้
หรือ ถ้าเราทำงานเป็นเภสัช เราก็สามารถลงทุนในบริษัทยาเพราะมีความเข้าใจในอุตสาหกรรมที่ทำงานดี
มีอีกmodel คือ model China Town หมายถึงย่านที่คนจีนไปอยู่ด้วยกัน ช่วยเหลือกัน
เปรียบการลงทุน ถ้าเราลงทุนคนเดียว ความสำเร็จอาจไม่ดีเหมือนตอนนี้ที่ อจ หลิน
ได้เรียนรู้การลงทุน กับ ดร นิเวศน์ ดร ไพบูลย์ และมีเพื่อนนักลงทุนมาเรียนรู้ด้วยกัน
พอเลือกหุ้นได้ 10-20 บริษัท เราค่อยๆมาดูรายละเอียดแต่ละบริษัทเพื่อตัดสินใจว่าจะลงทุนบริษัทไหน
Q: ดร นิเวศน์ ถามว่า ในThaivi มีคนชำนาญเฉพาะด้านไหม
A: อจ หลินบอกว่า ตอนสมัย อจ ชายเป็นนายกสมาคมThaivi ได้จัด Stock Global และ
สร้างห้อง 100คน100หุ้นต่างประเทศขึ้นมา
Q: ถาม ดร นิเวศน์ ว่า การลงทุนในเวียดนาม ระหว่าง ซื้อหุ้นด้วยตนเอง กับ ซื้อETFที่เวียดนาม อันไหนน่าสนใจมากกว่า
A: คิดว่าได้ทั้งคู่ ทุกsectorยังโตหมด มีหุ้นผู้ชนะ หลายบริษัทมีโอกาสเป็น Superstock
สำหรับการทุ่มเท ศึกษาอย่างลึกซึ้ง สามารถหาsuperstockได้ แต่คนเวียดนามเองไม่สนใจกลุ่มนี้
หุ้นสนามบินที่เวียดนามคล้ายกับในไทย ที่เป็นเจ้าของสนามบินส่วนใหญ่ ตอนที่เปิดประเทศก็มีโอกาสโต ซื้อทิ้งไว้
อีกด้านการซื้อ ETF Diamond มีหุ้นPremium 10กว่าตัวในพอร์ต ดีมากและราคาขึ้นมาเยอะ
ลงทุนเอง ตามไม่ทัน เช่น หุ้นโรงไฟฟ้า ในเวียดนามไม่เหมือนไนไทย ต้องมีการbidแข่งเพื่อขายไฟฟ้าให้การไฟฟ้า
หลังๆก็เลิกซื้อประเภทนี้
ตอนนี้สัดส่วน ETF มากกว่า หุ้นที่ซื้อรายตัว
Q: ถาม อจ ชาย โอกาสลงทุนในต่างประเทศ มีจีน เวียดนาม ยูโร ตลาดเกิดใหม่ และ อเมริกา
แนะนำว่าควรไปประเทศไหน
A: อจ ชาย ยังชอยอเมริกา มีดีหลายอย่างเช่น ภาษา ขนาดธุรกิจ ขนาดของตลาดหุ้นเป็น 50%ของทั้งโลก
อุตสาหกรรมมีหลากหลาย มีหุ้นจีน , Latin America , Brazil ซึ่งเป็นบริษัทที่ดีไปจดทะเบียนที่อเมริกา
ความเสี่ยง
US มีหุ้นมาIPOปีที่แล้ว 80%เป็นบริษัทที่ไม่มีกำไร
แสดงถึง ภาวะบางอย่างที่เอาอะไรก็ได้มาออก IPO
เงินที่แจกจ่าย 1.9 ล้านล้าน$ แบ่งเป็น
25% ไปใช้จ่ายซื้อของ แต่มีอีกส่วนที่นำไปลงทุน ทำให้ความเสี่ยงเพิ่มขึ้น
หลักการของ วอร์เรน บัฟเฟตต์ คือ ซื้อของดี ราคาถูก ยังใช้ได้ตลอดเวลา
สภาวะตอนนี้ ค่อนข้างจะมีฟองสบู่เล็กๆ
อจ หลิน มีของให้เลือกเยอะ แต่ตลาดหุ้นอเมริกาเป็น Market efficient
หุ้นทุกตัวที่ขึ้น มาจาก performanceของธุรกิจ และ ราคาจะขึ้นล่วงหน้า
นักลงทุนไทยส่วนใหญ่ลงทุนตามทีหลัง
ยกตัวอย่างเช่น บริษัททำ Software as a service เราก็ไปลงทีหลัง ดังนั้นราคาหุ้นไม่ค่อยขึ้น
แต่ไอเดีย เรื่องสนามบินของดร นิเวศน์ อจ หลิน Buy ideaมากกว่า
เรามีความรู้วิเคราะห์ AOT ก็เอาความรู้ไปวิเคราะห์สนามบินทั่วโลกว่าที่ไหนน่าสนใจ
Q: ดร ไพบูลย์ถามทั้งสามท่านว่า การลงทุนในหุ้นต่างประเทศคิดเป็นสัดส่วนเท่าไหร่ของพอร์ต
A:
ดร นิเวศน์ ลงตลาดหุ้นเวียดนามคิดเป็น ใกล้ 20%
อจ ชาย ตอบว่า แล้วแต่ช่วง ส่วนใหญ่ 20% หลักๆลงทุนหุ้นไทย ซึ่งถนัดกว่า
ไทยยังมีลักษณะกึ่งผูกขาด อย่างเช่น Operator มือถือในไทยมีน้อยราย แต่ต่างประเทศบางที่มี 10บริษัท
อจ หลิน ลงทุนประมาณ 30% เห็นด้วยกับ อจ ชาย ว่า ที่ไทย ตลาดเป็นแบบ Oligopoly market
แต่ในต่างประเทศ ลงผิดตัว อาจเหลือ 0 เลย แต่หุ้นไทย ถ้าลงผิดตัว ราคาก็สามารถกลับมาที่เก่าได้
Q: เอาเงินไปลงทุนต่างประเทศ อยากฝากอะไรให้ผู้ชม
A: ดร นิเวศน์ บอกว่า อย่าลงทุนต่างประเทศเยอะเกินไป แต่ถ้าอายุน้อยก็อาจลงมากหน่อยได้
แต่หลักการต้องเข้มข้นมาก ไม่งั้นมีโอกาสขาดทุนได้
ดร ไพบูลย์สรุปว่า วิทยากรแต่ละท่าน เฉลี่ยแล้วลงทุนในต่างประเทศ 20%
ไม่เหมือนลงทุนในไทย ที่สามารถหาข้อมูลได้ง่ายกว่า
สุดท้ายขอขอบคุณ ดร ไพบูลย์ ดร นิเวศน์ อจ ชาย และ อจ หลินครับ
คุณ ชาย มโนภาศ อดีตนายกสมาคมไทยวีไอ
คุณ วีระพงษ์ ธัม (หลิน) นายกสมาคมไทยวีไอ
สัมภาษณ์ โดย ดร ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา และ ดร นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
Q: ดร ไพบูลย์ถามว่า วีไอต้องไปลงทุนหุ้นต่างประเทศไหม
A: อจ ชาย ตอบว่า ต่างประเทศมีoptionให้เลือกมาก
ถ้าอุตสาหกรรมไหนเป็นอนาคต เช่น AI, Internet , Technology ก็น่าลงทุน
กลุ่มFANG มีผลประกอบการ Q1 ขึ้นอย่างมาก บางบริษัทโต 40-50%
แต่ต้องคำนึงถึงราค่าไหนจะเหมาะสมในการลงทุนด้วย
นักลงทุนระยะยาว เหมาะกับการไปลงทุนในต่างประเทศ
ไทยยังมีอุตสาหกรรมแบบ old economy เรามีแค่บริษัทที่ซื้อเทคโนโลยีมาใช้
ไม่ได้เป็นเจ้าของเอง ไม่ได้เป็นเจ้าของ Patent
อจ หลิน บอกว่า การลงทุนต้องพิจารณาสองปัจจัยคือ ผลตอบแทนและความเสี่ยง
จากบทความวิเคราะห์ของแวงการ์ด พบว่าถ้าเราลงทุนในต่างประเทศ ความเสี่ยงจะลดลง และผลตอบแทนเพิ่มขึ้น
ดร นิเวศน์ สอบถามว่า การลงทุนผ่านกองทุนรวมในต่างประเทศไม่สนุก ไม่ใช่การลงทุนแบบวีไอ
มีประเด็นนี้ไหม
ดร ไพบูลย์ สรุปคำถามอีกที นักลงทุนไปต่างประเทศ ในไทยเลือกหุ้นแบบฺBottom up
พอไปต่างประเทศ จะทำแบบBottom up หรือ ไปซื้อ ETF ดีกว่า
อจ หลิน เห็นด้วยกับดร นิเวศน์ เราอยู่ในไทย ได้เปรียบเรื่องข้อมูลของบริษัท เข้าใจculture
พอไปต่างประเทศ การเลือกอุตสาหกรรมที่ชอบ ต้องอ่านหุ้นทีละตัวในอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นต้นทุนอย่างนึง
ต้องทุ่มเทมาก เพื่อต้องการให้ผลตอบแทนดี แต่ก็ไม่ได้เสมอไป
แต่การลงทุนแบบ ETF ก็เคยทำมาก่อนเมื่อ 6-7 ปีก่อน ผลตอบแทนสู้การลงทุนหุ้นไทยรายตัวไม่ได้
อจ ชาย เสริมว่า ประเด็นหลักคือ
1.ความรู้ในแต่ละอุตสาหกรรมเรามีพอไหม
2.เรามีเวลาเพียงพอไหมในการศึกษา
แต่หลายคนที่ทำงานประจำ ซื้อETFน่าจะดีกว่า โดยคิดว่าปีนี้Theme อะไรมา เช่น มองต้นปี Commodityน่าจะมา
ก็ไปซื้อ ETF commodity ก็จะได้ 20% YTD
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยี การแข่งขันไมได้แข่งกันเฉพาะในประเทศ แต่แข่งกับทั้งโลก ซึ่งกินเวลาในการศึกษามาก
รวมถึงTime Zoneต่างกันด้วย
แต่ถ้าเป็นนักลงทุนวีไอ ที่มีเวลา ก็หาเวลาไปศึกษาลงทุน จะได้ความรู้ใหม่ๆมากขึ้น
Domino Pizza ราคาหุ้นขึ้นไปแพง 10 เท่า ไม่แพ้หุ้นเทคโนโลยี
ดร นิเวศน์เสริมว่า Domino Pizza ไม่มีสาขา และ ระบบการส่งที่ดี แต่ในไทยรสชาติอร่อยสู้ที่USไม่ได้
อจ ชายบอกว่า บางบริษัทก็มาเปิดสาขาในไทย
เช่น Domino Pizza เปิดมา10ปี และ Starbuck มาเปิดที่ไทยเมือ 30 ปีก่อน
บางบริษัท เราก็สามารถใช้บริการได้ไม่ช้ากว่า ต่างประเทศ เช่น NetFlix
แต่บางกิจการที่ไม่เคยใช้บริการ ซึ่งเป็นบริษัทที่ดี ซื้อช้าหน่อยก็ยังทำกำไรได้
Q: คนที่ไปลงทุนต่างประเทศ ต้องมีcharacterอย่างไร
หลายคนที่ไม่มีความสามารถเหมือนอจ ชาย จะไหวไหม
A: อจ หลิน ยกตัวอย่างว่า
สมมติเราไม่มีความรู้เรื่องเทคโนโลยี แต่ภรรยามีความรู้เรื่อง กระเป๋า Hermes ดี
รู้ว่ารุ่นไหนขายดี ก่อนที่ราคาหุ้นขึ้น ก่อนสามารถไปซื้อดักก่อน นักวิเคราะห์จะรู้
หรือ ถ้าเราทำงานเป็นเภสัช เราก็สามารถลงทุนในบริษัทยาเพราะมีความเข้าใจในอุตสาหกรรมที่ทำงานดี
มีอีกmodel คือ model China Town หมายถึงย่านที่คนจีนไปอยู่ด้วยกัน ช่วยเหลือกัน
เปรียบการลงทุน ถ้าเราลงทุนคนเดียว ความสำเร็จอาจไม่ดีเหมือนตอนนี้ที่ อจ หลิน
ได้เรียนรู้การลงทุน กับ ดร นิเวศน์ ดร ไพบูลย์ และมีเพื่อนนักลงทุนมาเรียนรู้ด้วยกัน
พอเลือกหุ้นได้ 10-20 บริษัท เราค่อยๆมาดูรายละเอียดแต่ละบริษัทเพื่อตัดสินใจว่าจะลงทุนบริษัทไหน
Q: ดร นิเวศน์ ถามว่า ในThaivi มีคนชำนาญเฉพาะด้านไหม
A: อจ หลินบอกว่า ตอนสมัย อจ ชายเป็นนายกสมาคมThaivi ได้จัด Stock Global และ
สร้างห้อง 100คน100หุ้นต่างประเทศขึ้นมา
Q: ถาม ดร นิเวศน์ ว่า การลงทุนในเวียดนาม ระหว่าง ซื้อหุ้นด้วยตนเอง กับ ซื้อETFที่เวียดนาม อันไหนน่าสนใจมากกว่า
A: คิดว่าได้ทั้งคู่ ทุกsectorยังโตหมด มีหุ้นผู้ชนะ หลายบริษัทมีโอกาสเป็น Superstock
สำหรับการทุ่มเท ศึกษาอย่างลึกซึ้ง สามารถหาsuperstockได้ แต่คนเวียดนามเองไม่สนใจกลุ่มนี้
หุ้นสนามบินที่เวียดนามคล้ายกับในไทย ที่เป็นเจ้าของสนามบินส่วนใหญ่ ตอนที่เปิดประเทศก็มีโอกาสโต ซื้อทิ้งไว้
อีกด้านการซื้อ ETF Diamond มีหุ้นPremium 10กว่าตัวในพอร์ต ดีมากและราคาขึ้นมาเยอะ
ลงทุนเอง ตามไม่ทัน เช่น หุ้นโรงไฟฟ้า ในเวียดนามไม่เหมือนไนไทย ต้องมีการbidแข่งเพื่อขายไฟฟ้าให้การไฟฟ้า
หลังๆก็เลิกซื้อประเภทนี้
ตอนนี้สัดส่วน ETF มากกว่า หุ้นที่ซื้อรายตัว
Q: ถาม อจ ชาย โอกาสลงทุนในต่างประเทศ มีจีน เวียดนาม ยูโร ตลาดเกิดใหม่ และ อเมริกา
แนะนำว่าควรไปประเทศไหน
A: อจ ชาย ยังชอยอเมริกา มีดีหลายอย่างเช่น ภาษา ขนาดธุรกิจ ขนาดของตลาดหุ้นเป็น 50%ของทั้งโลก
อุตสาหกรรมมีหลากหลาย มีหุ้นจีน , Latin America , Brazil ซึ่งเป็นบริษัทที่ดีไปจดทะเบียนที่อเมริกา
ความเสี่ยง
US มีหุ้นมาIPOปีที่แล้ว 80%เป็นบริษัทที่ไม่มีกำไร
แสดงถึง ภาวะบางอย่างที่เอาอะไรก็ได้มาออก IPO
เงินที่แจกจ่าย 1.9 ล้านล้าน$ แบ่งเป็น
25% ไปใช้จ่ายซื้อของ แต่มีอีกส่วนที่นำไปลงทุน ทำให้ความเสี่ยงเพิ่มขึ้น
หลักการของ วอร์เรน บัฟเฟตต์ คือ ซื้อของดี ราคาถูก ยังใช้ได้ตลอดเวลา
สภาวะตอนนี้ ค่อนข้างจะมีฟองสบู่เล็กๆ
อจ หลิน มีของให้เลือกเยอะ แต่ตลาดหุ้นอเมริกาเป็น Market efficient
หุ้นทุกตัวที่ขึ้น มาจาก performanceของธุรกิจ และ ราคาจะขึ้นล่วงหน้า
นักลงทุนไทยส่วนใหญ่ลงทุนตามทีหลัง
ยกตัวอย่างเช่น บริษัททำ Software as a service เราก็ไปลงทีหลัง ดังนั้นราคาหุ้นไม่ค่อยขึ้น
แต่ไอเดีย เรื่องสนามบินของดร นิเวศน์ อจ หลิน Buy ideaมากกว่า
เรามีความรู้วิเคราะห์ AOT ก็เอาความรู้ไปวิเคราะห์สนามบินทั่วโลกว่าที่ไหนน่าสนใจ
Q: ดร ไพบูลย์ถามทั้งสามท่านว่า การลงทุนในหุ้นต่างประเทศคิดเป็นสัดส่วนเท่าไหร่ของพอร์ต
A:
ดร นิเวศน์ ลงตลาดหุ้นเวียดนามคิดเป็น ใกล้ 20%
อจ ชาย ตอบว่า แล้วแต่ช่วง ส่วนใหญ่ 20% หลักๆลงทุนหุ้นไทย ซึ่งถนัดกว่า
ไทยยังมีลักษณะกึ่งผูกขาด อย่างเช่น Operator มือถือในไทยมีน้อยราย แต่ต่างประเทศบางที่มี 10บริษัท
อจ หลิน ลงทุนประมาณ 30% เห็นด้วยกับ อจ ชาย ว่า ที่ไทย ตลาดเป็นแบบ Oligopoly market
แต่ในต่างประเทศ ลงผิดตัว อาจเหลือ 0 เลย แต่หุ้นไทย ถ้าลงผิดตัว ราคาก็สามารถกลับมาที่เก่าได้
Q: เอาเงินไปลงทุนต่างประเทศ อยากฝากอะไรให้ผู้ชม
A: ดร นิเวศน์ บอกว่า อย่าลงทุนต่างประเทศเยอะเกินไป แต่ถ้าอายุน้อยก็อาจลงมากหน่อยได้
แต่หลักการต้องเข้มข้นมาก ไม่งั้นมีโอกาสขาดทุนได้
ดร ไพบูลย์สรุปว่า วิทยากรแต่ละท่าน เฉลี่ยแล้วลงทุนในต่างประเทศ 20%
ไม่เหมือนลงทุนในไทย ที่สามารถหาข้อมูลได้ง่ายกว่า
สุดท้ายขอขอบคุณ ดร ไพบูลย์ ดร นิเวศน์ อจ ชาย และ อจ หลินครับ
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
-
- Verified User
- โพสต์: 17
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3466
ขออนุญาติสอบถามเป็นความรู้ครับ พอดีผมไม่เข้าใจท่องแท้เรื่อง dilution effect
หุ้นSUN มีการประกาศงบว่าจะปันผลและแจกหุ้นอัตรา 2:1 (ประกาศวันที่ 22/2)
หลังจากวันนั้น ราคาขึ้นมาเรื่อยๆจนถึงวันก่อน XD (วันที่ 26/4) ที่ราคา 7.73 และเมื่อถึงวัน XD (วันที่ 27/4) ราคาเปิด 8.9 และไป high ที่ 9.4 ก่อนที่จะไถลลงมาเรื่อยๆจนถึงปัจจุบัน เลยขออนุญาติถามผู้รู้ดังนี้
1. การที่ประกาศงบว่าจะจ่ายเป็นหุ้น2:1 แสดงว่าในอนาคตต้องเกิด dilute 33% เหลือ 66% ของราคาหุ้นปัจจุบัน จากราคาณวันนั้น 3.9 ในอนาคตควรเป็น 2.57 (3.9x0.66) แต่ที่ราคายังไปต่อเรื่อยๆก็พอเข้าใจได้ว่ายังไม่ถึงวันXD ใช่หรือไม่
2. ราคาที่ไปต่อจนถึงวันก่อนXD ที่7.85 สมเหตุสมผลหรือไม่ การที่7.85แล้ว dilute33%ได้ 5.18 แต่เมื่อนำมาเทียบกับราคาในข้อแรกที่ 2.57 ราคาต่างกันถึง สองเท่า อยากทราบว่าราคาวันก่อนXDสมเหตุสมผลมั้ยเพราะอะไร
3.ทำไมวันที่ XD ราคาตอนต้นวันพุ่งขึ้นอีก จากที่เข้าใจมาคือน่าจะต้องลงไหมครับเพราะคนที่ซื้อวันนี้ก็ไม่มีสิทธิได้ปันผลเป็นหุ้น
4.วันที่เกิดdiluteจริงๆ คือวันที่ 14/5 ราคาอยู่ที่ 7.15 ซึ่งผิดจากที่เราคาดคะเนทั้งข้อ 1และ2 เหตุเพราะอะไร
พอดีอยากถามความรู้พี่ๆ หรือเสนอความคิดเห็นก็ได้ครับว่าสิ่งที่ผมคิดผิดหรือถูก อย่างไร ขอบคุณครับผมเป็นมือใหม่เพิ่งเริ่มมาปีนิดๆหลังโควิด
ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับพี่ๆ VI hatyai
หุ้นSUN มีการประกาศงบว่าจะปันผลและแจกหุ้นอัตรา 2:1 (ประกาศวันที่ 22/2)
หลังจากวันนั้น ราคาขึ้นมาเรื่อยๆจนถึงวันก่อน XD (วันที่ 26/4) ที่ราคา 7.73 และเมื่อถึงวัน XD (วันที่ 27/4) ราคาเปิด 8.9 และไป high ที่ 9.4 ก่อนที่จะไถลลงมาเรื่อยๆจนถึงปัจจุบัน เลยขออนุญาติถามผู้รู้ดังนี้
1. การที่ประกาศงบว่าจะจ่ายเป็นหุ้น2:1 แสดงว่าในอนาคตต้องเกิด dilute 33% เหลือ 66% ของราคาหุ้นปัจจุบัน จากราคาณวันนั้น 3.9 ในอนาคตควรเป็น 2.57 (3.9x0.66) แต่ที่ราคายังไปต่อเรื่อยๆก็พอเข้าใจได้ว่ายังไม่ถึงวันXD ใช่หรือไม่
2. ราคาที่ไปต่อจนถึงวันก่อนXD ที่7.85 สมเหตุสมผลหรือไม่ การที่7.85แล้ว dilute33%ได้ 5.18 แต่เมื่อนำมาเทียบกับราคาในข้อแรกที่ 2.57 ราคาต่างกันถึง สองเท่า อยากทราบว่าราคาวันก่อนXDสมเหตุสมผลมั้ยเพราะอะไร
3.ทำไมวันที่ XD ราคาตอนต้นวันพุ่งขึ้นอีก จากที่เข้าใจมาคือน่าจะต้องลงไหมครับเพราะคนที่ซื้อวันนี้ก็ไม่มีสิทธิได้ปันผลเป็นหุ้น
4.วันที่เกิดdiluteจริงๆ คือวันที่ 14/5 ราคาอยู่ที่ 7.15 ซึ่งผิดจากที่เราคาดคะเนทั้งข้อ 1และ2 เหตุเพราะอะไร
พอดีอยากถามความรู้พี่ๆ หรือเสนอความคิดเห็นก็ได้ครับว่าสิ่งที่ผมคิดผิดหรือถูก อย่างไร ขอบคุณครับผมเป็นมือใหม่เพิ่งเริ่มมาปีนิดๆหลังโควิด
ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับพี่ๆ VI hatyai
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3467
จากหอเอนถึงวีไอ / คนขายของ
ผมเชื่อว่าเพื่อนๆนักลงทุนคงรู้จัก กาลิเลโอ บ้างไม่มากก็น้อย กาลิเลโอเป็นนักคิด นักวิทยาศาสตร์ นักคณิตศาสตร์ ผู้ได้ชื่อว่าเป็นผู้เปิดโลกการศึกษาวิทยาศาสตร์ยุคใหม่ เขาได้พิสูจน์ว่าความเชื่อหลายๆอย่างที่เคยมีมานั้น ไม่เป็นความจริง ด้วยการพิสูจน์ให้เห็น (Proof) โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการพิสูจน์ให้เป็นที่ประจักษ์ว่า โลกไม่ใช่ศูนย์กลางของจักรวาล การที่กาลิเลโอพัฒนากล้องส่องทางไกลซึ่งมีประสิทธิภาพสูงขนาดดูดวงดาวได้เห็นชัดเจน ทำให้เกิดการปฏิวัติการศึกษาดาราศาสตร์กันขนานใหญ่ กาลิเลโอเป็นผู้ที่สามารถพิสูจน์ทฤษฎีของ Nicolaus Copernicus ที่ว่าระบบสุริยะจักรวาลนั้น มีพระอาทิตย์เป็นศูนย์กลาง ไม่ใช่โลกเป็นศูนย์กลาง ได้เป็นผลสำเร็จ
มีบางคนกล่าวว่า แนวคิดของ Copernicus นั้นตอนถูกเผยแพร่ ทางฝ่ายศาสนจักรยังไม่เห็นว่ามีพิษภัยอะไร แต่พอกาลิเลโอสามารถพิสูจน์ได้ ทำให้ผู้คนบางส่วนเริ่มสงสัยในคำสอนบางอย่างของศาสนจักรในตอนนั้น เรื่องนี้เป็นส่วนหนึ่งทำให้กาลิเลโอ ถูกสั่งจำกัดให้อยู่แต่ในบ้านพักเท่านั้นในช่วงปลายของชีวิต ผลงานการศึกษาของเขาไม่สามารถถูกตีพิมพ์ในอิตาลีได้ ต้องมีการลักลอบนำออกไปพิมพ์ที่เนเธอร์แลนด์ กาลิเลโอเสียชิวิตในปี 1642 ต่อจากนั้นมาอีกถึง 350 ปี พระสันตะปาปา John Paul II ได้กล่าวยอมรับว่า ศาสนจักรได้ผิดพลาดไปที่ได้กล่าวโทษกาลิเลโอเรื่องโลกหมุนรอบดวงอาทิตย์ (source: wikipedia)
เรื่องประวัติของกาลิเลโอนี้ ให้แง่คิดใดกับนักลงทุนบ้าง? เนื่องจากทุกวันนี้ เราอยู่ในยุคที่เทคโนโลยีก้าวหน้าไปเร็วมาก การลงทุนในหุ้น มีเรื่องของเทคโนโลยีมาเกี่ยวข้องมาก ยิ่งถ้าเป็นพวกเหรียญคริปโตด้วยแล้ว เท่าที่ผมมีความรู้อันน้อยนิด แต่ได้ฟังจากผู้ที่ศึกษามาพอสมควร ทำให้ทราบว่า คนที่จะลงทุนควรมีความรู้เรื่อง IT ประกอบด้วย ไม่อย่างนั้นเหรียญที่มีอยู่อาจจะหายวับไปได้ ดังนั้น ผมจึงไม่แปลกใจ ที่พี่ๆน้องๆนักลงทุนหลายท่าน ทุ่มเทในการศึกษาเรื่องเทคโนโลยีกันอย่างจริงจัง โดยส่วนตัวผมคิดว่า คำถามสำคัญในการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีเทคโนโลยีเป็นส่วนประกอบหลักนั้น นอกจาก “What” คือ เทคโนโลยีไหนน่าจะเป็นที่ยอมรับ คำถามอีกอันก็คือ “When” คือเมื่อไหร่ ผู้คนส่วนใหญ่ ทั้งภาครัฐและเอกชนจะยอมรับให้มีการใช้ได้ในวงกว้าง?
อย่างการพิสูจน์ของกาลิเลโอ เรื่องโลกไม่ใช่ศูนย์กลางของจักรวาล กว่าเรื่องนี้จะเป็นที่ยอมรับ ศาสนจักรเปลี่ยนใจผ่อนผัน ยอมให้กลับมาตีพิมพ์ผลงานการศึกษาของกาลิเลโอได้อีกครั้ง ก็เป็นเวลาถึง 76 ปีหลังจากที่เขาเสียชีวิตไปแล้ว แล้วถ้าเรื่องนี้เปลี่ยนเป็น เทคโนโลยีของบริษัทที่เราสนใจลงทุนอยู่ละจะเป็นอย่างไร? ถ้ามีหน่วยงานใดเห็นว่า เทคโนโลยีนี้เป็นอันตรายแล้วออกกฎมาควบคุมละเราจะทำอย่างไร? ในฐานะที่เราเป็นนักลงทุน การศึกษาความเสี่ยงให้รอบด้านเป็นงานที่เราไม่อาจจะมองข้ามไปได้ มีกรณีศึกษาหลายๆกรณีที่แสดงให้เห็นว่า ในโลกของการลงทุนนั้น ก็ไม่ต่างกันกับโลกของวิทยาศาสตร์ ถึงแม้ถูกทุกอย่าง แต่ผิดเวลา ผิดยุค ผิดสมัย การลงทุนนั้นก็สามารถนำอันตรายมาให้ได้เสมอ
ผมเชื่อว่าเพื่อนๆนักลงทุนคงรู้จัก กาลิเลโอ บ้างไม่มากก็น้อย กาลิเลโอเป็นนักคิด นักวิทยาศาสตร์ นักคณิตศาสตร์ ผู้ได้ชื่อว่าเป็นผู้เปิดโลกการศึกษาวิทยาศาสตร์ยุคใหม่ เขาได้พิสูจน์ว่าความเชื่อหลายๆอย่างที่เคยมีมานั้น ไม่เป็นความจริง ด้วยการพิสูจน์ให้เห็น (Proof) โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการพิสูจน์ให้เป็นที่ประจักษ์ว่า โลกไม่ใช่ศูนย์กลางของจักรวาล การที่กาลิเลโอพัฒนากล้องส่องทางไกลซึ่งมีประสิทธิภาพสูงขนาดดูดวงดาวได้เห็นชัดเจน ทำให้เกิดการปฏิวัติการศึกษาดาราศาสตร์กันขนานใหญ่ กาลิเลโอเป็นผู้ที่สามารถพิสูจน์ทฤษฎีของ Nicolaus Copernicus ที่ว่าระบบสุริยะจักรวาลนั้น มีพระอาทิตย์เป็นศูนย์กลาง ไม่ใช่โลกเป็นศูนย์กลาง ได้เป็นผลสำเร็จ
มีบางคนกล่าวว่า แนวคิดของ Copernicus นั้นตอนถูกเผยแพร่ ทางฝ่ายศาสนจักรยังไม่เห็นว่ามีพิษภัยอะไร แต่พอกาลิเลโอสามารถพิสูจน์ได้ ทำให้ผู้คนบางส่วนเริ่มสงสัยในคำสอนบางอย่างของศาสนจักรในตอนนั้น เรื่องนี้เป็นส่วนหนึ่งทำให้กาลิเลโอ ถูกสั่งจำกัดให้อยู่แต่ในบ้านพักเท่านั้นในช่วงปลายของชีวิต ผลงานการศึกษาของเขาไม่สามารถถูกตีพิมพ์ในอิตาลีได้ ต้องมีการลักลอบนำออกไปพิมพ์ที่เนเธอร์แลนด์ กาลิเลโอเสียชิวิตในปี 1642 ต่อจากนั้นมาอีกถึง 350 ปี พระสันตะปาปา John Paul II ได้กล่าวยอมรับว่า ศาสนจักรได้ผิดพลาดไปที่ได้กล่าวโทษกาลิเลโอเรื่องโลกหมุนรอบดวงอาทิตย์ (source: wikipedia)
เรื่องประวัติของกาลิเลโอนี้ ให้แง่คิดใดกับนักลงทุนบ้าง? เนื่องจากทุกวันนี้ เราอยู่ในยุคที่เทคโนโลยีก้าวหน้าไปเร็วมาก การลงทุนในหุ้น มีเรื่องของเทคโนโลยีมาเกี่ยวข้องมาก ยิ่งถ้าเป็นพวกเหรียญคริปโตด้วยแล้ว เท่าที่ผมมีความรู้อันน้อยนิด แต่ได้ฟังจากผู้ที่ศึกษามาพอสมควร ทำให้ทราบว่า คนที่จะลงทุนควรมีความรู้เรื่อง IT ประกอบด้วย ไม่อย่างนั้นเหรียญที่มีอยู่อาจจะหายวับไปได้ ดังนั้น ผมจึงไม่แปลกใจ ที่พี่ๆน้องๆนักลงทุนหลายท่าน ทุ่มเทในการศึกษาเรื่องเทคโนโลยีกันอย่างจริงจัง โดยส่วนตัวผมคิดว่า คำถามสำคัญในการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีเทคโนโลยีเป็นส่วนประกอบหลักนั้น นอกจาก “What” คือ เทคโนโลยีไหนน่าจะเป็นที่ยอมรับ คำถามอีกอันก็คือ “When” คือเมื่อไหร่ ผู้คนส่วนใหญ่ ทั้งภาครัฐและเอกชนจะยอมรับให้มีการใช้ได้ในวงกว้าง?
อย่างการพิสูจน์ของกาลิเลโอ เรื่องโลกไม่ใช่ศูนย์กลางของจักรวาล กว่าเรื่องนี้จะเป็นที่ยอมรับ ศาสนจักรเปลี่ยนใจผ่อนผัน ยอมให้กลับมาตีพิมพ์ผลงานการศึกษาของกาลิเลโอได้อีกครั้ง ก็เป็นเวลาถึง 76 ปีหลังจากที่เขาเสียชีวิตไปแล้ว แล้วถ้าเรื่องนี้เปลี่ยนเป็น เทคโนโลยีของบริษัทที่เราสนใจลงทุนอยู่ละจะเป็นอย่างไร? ถ้ามีหน่วยงานใดเห็นว่า เทคโนโลยีนี้เป็นอันตรายแล้วออกกฎมาควบคุมละเราจะทำอย่างไร? ในฐานะที่เราเป็นนักลงทุน การศึกษาความเสี่ยงให้รอบด้านเป็นงานที่เราไม่อาจจะมองข้ามไปได้ มีกรณีศึกษาหลายๆกรณีที่แสดงให้เห็นว่า ในโลกของการลงทุนนั้น ก็ไม่ต่างกันกับโลกของวิทยาศาสตร์ ถึงแม้ถูกทุกอย่าง แต่ผิดเวลา ผิดยุค ผิดสมัย การลงทุนนั้นก็สามารถนำอันตรายมาให้ได้เสมอ
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3468
#อวสานของโควิด & #อนาคตของประเทศไทย
โลกในมุมมองของ Value Investor 5 มิถุนายน 64
#ดรนิเวศน์ #เหมวชิรวรากร
ในวันเสาร์ที่ 5มิถุนายน 2564
ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด ประเทศไทยก็จะเริ่มมีการ “ระดมฉีด”วัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ให้กับประชาชนทั้งประเทศและจะทำต่อเนื่องจนคนทั้งประเทศมี “ภูมิคุ้มกันหมู่” ที่จะป้องกันการระบาดของไวรัสโคโรน่าที่ทำให้เศรษฐกิจตกต่ำลงจนกลายเป็น “วิกฤติ” ตั้งแต่ต้นปี 2563 ตามแผนการที่กำหนด คาดว่าภายในสิ้นปีนี้หรืออย่างช้าก็น่าจะภายในกลางปีหน้า กิจกรรมทางเศรษฐกิจทั้งหมดเฉพาะอย่างยิ่งการท่องเที่ยวเดินทางจะกลับมาเป็นปกติ และ GDP หรือ ผลผลิตมวลรวมของประเทศก็น่าจะกลับมามีขนาดเท่าเดิมก่อนเกิดโควิดภายใน 1 ปีหลังจากนั้น หรือกล่าวโดยสรุปก็คือ โควิด-19 ทำให้เศรษฐกิจไทย “หายไป” หรือหยุดนิ่งไปประมาณ 3 ปี โดยที่การฟื้นตัวหลัก ๆ จะเกิดขึ้นในปี 2565 โดยในวันสิ้นปี 2565 หรือกลางปี 2566 สภาพหรือโครงสร้างทางเศรษฐกิจของไทยน่าจะใกล้เคียงกับวันสิ้นปี 2562 นั่นคือ
เราจะมีภาคอุตสาหกรรมที่เน้นการส่งออกสินค้า “ยุคเก่า” เช่นรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายในและอุตสาหกรรมที่เป็น “เทคโนโลยีเก่า” ที่เน้นแรงงานเหมือนเดิม มีภาคเกษตรกรรมที่อิงอยู่กับการใช้ที่ดิน เครื่องจักร และแรงงานของคนสูงอายุ ที่อิงอยู่กับเทคโนโลยีดั้งเดิม และเราก็จะยังเป็นแหล่งท่องเที่ยว “ยอดนิยม” ที่ต้อนรับนักท่องเที่ยวทั่วโลกโดยเฉพาะจากจีนจำนวนประมาณ 40 ล้านคนซึ่งจะกลับมาเที่ยวประเทศไทยอีกครั้งหลังจากที่ต้องอยู่แต่ในประเทศของตนเองมานานอย่างน้อย 2-3 ปี การเกิดขึ้นของโควิด-19 ที่ผู้เชี่ยวชาญต่างก็บอกว่าโลกจะ “ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป” นั้น อาจจะไม่ใช่สำหรับประเทศไทยในวันสิ้นปี 2565 สามปีที่ผ่านไปนับจากวันเกิดการระบาดของโควิด-19 นั้น อาจจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลยในประเทศไทยยกเว้นพฤติกรรมบางอย่างเช่น การซื้อสินค้าผ่านทางอินเตอร์เน็ตมากขึ้นและการทำงานบางอย่างผ่านทางเครื่องมือสื่อสารที่จะอยู่กับเราต่อไปหลังจากโควิด-19
อนาคตของประเทศไทยตั้งแต่ปี 2566 จะไปทางไหน? นี่เป็นคำถามสำคัญที่เราจะต้องตอบ เพราะถ้าเราไม่ทำอะไรที่แตกต่างออกไปจากสิ่งที่เราเป็นอยู่ในวันนี้ ผมคิดว่าอนาคตของประเทศจะ “มืดมน” เพราะสิ่งที่เราทำอยู่นั้น กำลัง “ล้าสมัย” อย่างรวดเร็ว เอาแค่รถยนต์ใช้น้ำมันที่ทั่วโลกต่างก็จะเลิกใช้ภายในระยะเวลาไม่กี่ปีข้างหน้านั้นก็อาจจะทำให้ภาคอุตสาหกรรมของเรา “เซ” ไปได้แล้ว ไม่ต้องพูดถึงอุตสาหกรรม “ไฮเท็ค” อย่างเครื่องมือสื่อสารหรืออิเล็คโทรนิคที่เราถูก “ผ่าน” ไปยังประเทศที่เป็นแหล่งลงทุนใหม่ ๆ อย่างเวียตนามเพราะความสามารถในการแข่งขันของไทยที่ดูเหมือนจะถดถอยลงไปเรื่อย ๆ
สินค้าด้านการเกษตรซึ่งเคยเป็น “กระดูกสันหลัง” ของไทยตั้งแต่ช่วงสมัยที่ผมยังเป็นเด็กเองนั้น สิ่งที่เราทำอยู่ในปัจจุบันก็ดูไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากนักยกเว้นการใช้เครื่องทุ่นแรงที่มีการใช้เกือบเต็มเท่าที่ทำได้ อย่างไรก็ตาม เรื่องสำคัญก็คือรูปแบบและแนวคิดในการทำงานดูเหมือนจะไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก คนไทยก็ยังปลูกพืชเลี้ยงสัตว์ด้วยที่ดินส่วนตัวหรือพื้นที่เช่าขนาดเล็กซึ่งก็มักจะไม่มี “Economies of Scale” หรือการประหยัดเนื่องจากขนาดซึ่งจะทำให้มีประสิทธิภาพในการผลิตสูง แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ เกษตรกรขาดความรู้สมัยใหม่ทั้งทางด้านของตัวสินค้าและความรู้ในด้านของการผลิตยุคใหม่ที่เน้นในด้านของเทคโนโลยีโดยเฉพาะด้าน AI หรือปัญญาประดิษฐ์ที่จะสามารถดูแลและควบคุมการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ ถึงวันนี้เราก็ยังเน้นการปลูกพืชที่มีมูลค่าเพิ่มต่ำเช่นข้าวธรรมดาแทนที่จะเป็นแบบออร์แกนนิค หรือเลี้ยงกุ้งในแบบเดิมที่นับวันจะแข่งขันไม่ค่อยได้กับประเทศที่กำลังพัฒนาขึ้นมาใหม่ ๆ
ในด้านของการท่องเที่ยวที่เป็นภาคเศรษฐกิจหลักที่ค่อนข้างใหม่ของไทยนั้น ในช่วงกว่า 10 ปีที่ผ่านมานั้นเราได้อานิสงค์มหาศาลจากประเทศจีนที่คนร่ำรวยขึ้นมากจนมีความสามารถและได้รับอนุญาตจากรัฐให้ออกมาเที่ยวต่างประเทศได้เต็มที่ นั่นประกอบกับการที่ประเทศไทยมีองค์ประกอบในการแข่งขันค่อนข้างดีมากทำให้การท่องเที่ยวก้าวขึ้นมาเป็น “กระดูกสันหลังอันใหม่” ทางเศรษฐกิจของไทยอย่างรวดเร็ว และเมื่อโควิด-19 ผ่านไป ผมคิดว่าการท่องเที่ยวจากต่างชาติจะกลับมาอย่างรวดเร็ว และเราจะต้องทำทุกอย่างให้มั่นใจว่าจะสามารถรับ “คลื่น” ของการท่องเที่ยวที่จะเกิดขึ้นทันทีที่โลกและประเทศไทยพร้อมที่จะเดินทาง อย่างไรก็ตาม หลังจากการพุ่งขึ้นของการท่องเที่ยวที่จะมาอย่างรุนแรงแล้ว ประเทศไทยก็จะต้องคิดถึงความ “ยั่งยืน” ของการท่องเที่ยวโดยเฉพาะจากต่างประเทศเพื่อที่จะใช้การท่องเที่ยวเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยต่อไปอีก อาจจะเป็นสิบ ๆ ปี เพราะนี่คือภาคเศรษฐกิจที่ไทยมีความได้เปรียบในการแข่งขัน
การที่จะเปลี่ยนแปลงภาคเศรษฐกิจของประเทศเพื่อที่จะทำให้ไทยมีการเติบโตของ GDP ต่อไปในอนาคตจนกลายเป็นประเทศพัฒนาแล้วได้นั้น ผมคิดว่าเราไม่สามารถ “ทำแบบเดิม” ได้อีกต่อไปในสถานการณ์โลกปัจจุบัน พูดง่าย ๆ เราไม่สามารถพัฒนาไปได้มากกว่านี้ด้วยเทคโนโลยีและความคิดแบบเก่าแบบเดิมได้ และเราก็ไม่สามารถทำเพิ่มขึ้นได้โดยการเพิ่มกำลังคนเนื่องจากแรงงานของเราไม่เพิ่มแล้วและแถมแก่ตัวลง วิธีที่เราจะทำได้ก็คือการคิดและทำใหม่ ในอดีตนั้น ผมไม่เคยเชื่อว่ารัฐหรือรัฐบาลสามารถผลักดันหรือสนับสนุนให้เกิดขึ้นได้ การพัฒนาตลอดมาตั้งแต่ที่ผมเป็นเด็กนั้นส่วนใหญ่เกิดจากภาคเอกชน ข้อดีของรัฐบาลในขณะนั้นก็คือ ไม่ขวางการพัฒนาและเข้ามาสนับสนุนเอกชนซึ่งรวมถึงต่างชาติให้ทำธุรกิจตามความต้องการของ “ตลาด” รัฐอาจจะบอกว่าเรามี “แผนพัฒนาเศรษฐกิจ” มาตลอดเป็นเวลาหลายสิบปีแล้ว แต่ผมคิดว่าแต่ละแผนก็แค่ต่อเส้นกราฟออกไปจากของเดิม ไม่ได้มียุทธศาสตร์อะไรที่เป็นของใหม่จริง ๆ
แต่สำหรับครั้งนี้- หลังวิกฤติโควิด-19 ผมคิดว่าถ้าจะให้ประเทศไทยเดินหน้าต่อไปได้ เราจะต้องมาคิดกันอย่างจริงจังถึงยุทธศาสตร์ของประเทศไทยว่าจะไปทางไหน อย่าบอกว่าจะไปทุกทางเพราะนั่นเหมาะเฉพาะสำหรับประเทศที่ยังจนอยู่ ทุกอย่างยังเล็ก หลายภาคส่วนเพิ่งจะเริ่มต้นพัฒนาหรือเริ่มโต และนั่นก็คงคล้าย ๆ กับสถานการณ์ที่เวียตนามที่คนมักถามว่าจะลงทุนในหุ้นกลุ่มไหนดี ซึ่งผมก็มักจะบอกไปทุกครั้งว่าทุกเซคเตอร์ก็ยังโตหมด ไม่มีกลุ่มไหนที่อิ่มตัว แต่สำหรับประเทศไทยแล้ว เซคเตอร์ใหญ่ ๆ ทั้งหมดดูเหมือนว่าจะอิ่มตัวแล้วในรูปแบบ “เศรษฐกิจเก่า” การที่จะสร้างการเติบโตต่อไปได้ เราจะต้องรุกเข้าไปในบางจุด ไม่ใช่ทุกจุด เพราะถ้าเราทำทุกจุดเท่า ๆ กัน ทรัพยากรจะไม่พอ เราต้องเลือก และเมื่อเลือกแล้ว ก็ต้องทุ่มความคิดและทรัพยากรเข้าไป การที่จะเดินหน้ารอบนี้ไม่ง่ายและผมคิดว่าจำเป็นที่จะต้องมีนักคิด มีผู้นำ มีการจัดเป็น “วาระแห่งชาติ” โดยคนที่เข้ามาร่วมต้องมาจากทุกภาคส่วน และแน่นอนต้องมีรัฐเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างลึกซึ้ง ต้องมีพรรคและนักการเมืองที่จะทำ
ตัวอย่างของสิงคโปร์เป็นโมเดลที่น่าสนใจมากในแง่ที่ว่าเขาสามารถเปลี่ยนจาก “เศรษฐกิจเมืองท่า” ซึ่งจะเติบโตได้จำกัด กลายเป็น “Financial Hub” หรือศูนย์กลางทางการเงินโลก เปลี่ยนเป็นเมือง “ไฮเท็ค” ซึ่งจะเป็นแหล่ง Startup ที่สำคัญสำหรับคนย่านนี้ และสิ่งที่เป็นปัจจัยสนับสนุนที่สำคัญสำหรับกิจกรรมต่าง ๆ ดังกล่าวก็คือ คุณภาพของคนหรือการศึกษาที่จะมารองรับ และนั่นก็ทำให้สิงคโปร์สร้างมหาวิทยาลัยชันนำของประเทศให้กลายเป็นมหาวิทยาลัย “ระดับโลก” ได้สำเร็จภายในเวลาไม่กี่สิบปี สำหรับรัฐบาลสิงคโปร์แล้ว แม้แต่การพูดภาษาอังกฤษให้ได้สำเนียงที่ดีก็ถือเป็นยุทธศาสตร์ที่สำคัญในการสร้างประเทศให้เป็น Hub หรือศูนย์กลางของหลาย ๆ สิ่งที่สำคัญของโลก
ถึงนาทีนี้ ผมเองก็ไม่ได้หวังว่าประเทศไทยจะสามารถทำอย่างที่กล่าวได้ยกเว้นว่าจะมี “ปาฏิหาริย์” ดูเหมือนว่าสังคมไทยยังไม่พร้อมในหลาย ๆ ด้านโดยเฉพาะทางการเมือง เอาแค่เรื่องของงบประมาณที่ใช้ในแต่ละปีนั้นก็ไม่ตอบโจทย์อะไรเลย ดูเหมือนว่างบประมาณที่ได้ของแต่ละหน่วยงานจะขึ้นอยู่กับอำนาจของเจ้ากระทรวงหรือพรรคการเมืองเป็นหลักและก็ทำแบบ “เทียบกับงบปีที่แล้ว” มากกว่าที่จะดูว่างบนั้นจะสนับสนุนนโยบายหรือยุทธศาสตร์อะไรที่จะนำพาประเทศให้ก้าวหน้าไปในอนาคต ดังนั้น ผมเองต้องตั้งสมมุติฐานว่าอนาคตของประเทศไทยนั้น จนถึงสิ้นปี 2565 หรือกลางปี 2566 เราคงกลับมาที่เก่าได้ แต่หลังจากนั้นแล้วก็ไม่รู้ว่าจะไปทางไหน เวลาลงทุนผมก็จะคิดว่าตลาดหุ้นคงจะถึงจุดสูงสุดในวันใดวันหนึ่งก่อนหน้านั้น คือดัชนีตลาดหลักทรัพย์อาจจะไปถึง 1,800 หรือ 2,000 จุด แต่นั่นก็อาจจะเป็น “ก๊อกสุดท้าย” ถ้าไทยไม่สามารถปรับตัวเพื่อต่อสู้ใน “โลกยุคใหม่” ได้
โลกในมุมมองของ Value Investor 5 มิถุนายน 64
#ดรนิเวศน์ #เหมวชิรวรากร
ในวันเสาร์ที่ 5มิถุนายน 2564
ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด ประเทศไทยก็จะเริ่มมีการ “ระดมฉีด”วัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ให้กับประชาชนทั้งประเทศและจะทำต่อเนื่องจนคนทั้งประเทศมี “ภูมิคุ้มกันหมู่” ที่จะป้องกันการระบาดของไวรัสโคโรน่าที่ทำให้เศรษฐกิจตกต่ำลงจนกลายเป็น “วิกฤติ” ตั้งแต่ต้นปี 2563 ตามแผนการที่กำหนด คาดว่าภายในสิ้นปีนี้หรืออย่างช้าก็น่าจะภายในกลางปีหน้า กิจกรรมทางเศรษฐกิจทั้งหมดเฉพาะอย่างยิ่งการท่องเที่ยวเดินทางจะกลับมาเป็นปกติ และ GDP หรือ ผลผลิตมวลรวมของประเทศก็น่าจะกลับมามีขนาดเท่าเดิมก่อนเกิดโควิดภายใน 1 ปีหลังจากนั้น หรือกล่าวโดยสรุปก็คือ โควิด-19 ทำให้เศรษฐกิจไทย “หายไป” หรือหยุดนิ่งไปประมาณ 3 ปี โดยที่การฟื้นตัวหลัก ๆ จะเกิดขึ้นในปี 2565 โดยในวันสิ้นปี 2565 หรือกลางปี 2566 สภาพหรือโครงสร้างทางเศรษฐกิจของไทยน่าจะใกล้เคียงกับวันสิ้นปี 2562 นั่นคือ
เราจะมีภาคอุตสาหกรรมที่เน้นการส่งออกสินค้า “ยุคเก่า” เช่นรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายในและอุตสาหกรรมที่เป็น “เทคโนโลยีเก่า” ที่เน้นแรงงานเหมือนเดิม มีภาคเกษตรกรรมที่อิงอยู่กับการใช้ที่ดิน เครื่องจักร และแรงงานของคนสูงอายุ ที่อิงอยู่กับเทคโนโลยีดั้งเดิม และเราก็จะยังเป็นแหล่งท่องเที่ยว “ยอดนิยม” ที่ต้อนรับนักท่องเที่ยวทั่วโลกโดยเฉพาะจากจีนจำนวนประมาณ 40 ล้านคนซึ่งจะกลับมาเที่ยวประเทศไทยอีกครั้งหลังจากที่ต้องอยู่แต่ในประเทศของตนเองมานานอย่างน้อย 2-3 ปี การเกิดขึ้นของโควิด-19 ที่ผู้เชี่ยวชาญต่างก็บอกว่าโลกจะ “ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป” นั้น อาจจะไม่ใช่สำหรับประเทศไทยในวันสิ้นปี 2565 สามปีที่ผ่านไปนับจากวันเกิดการระบาดของโควิด-19 นั้น อาจจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลยในประเทศไทยยกเว้นพฤติกรรมบางอย่างเช่น การซื้อสินค้าผ่านทางอินเตอร์เน็ตมากขึ้นและการทำงานบางอย่างผ่านทางเครื่องมือสื่อสารที่จะอยู่กับเราต่อไปหลังจากโควิด-19
อนาคตของประเทศไทยตั้งแต่ปี 2566 จะไปทางไหน? นี่เป็นคำถามสำคัญที่เราจะต้องตอบ เพราะถ้าเราไม่ทำอะไรที่แตกต่างออกไปจากสิ่งที่เราเป็นอยู่ในวันนี้ ผมคิดว่าอนาคตของประเทศจะ “มืดมน” เพราะสิ่งที่เราทำอยู่นั้น กำลัง “ล้าสมัย” อย่างรวดเร็ว เอาแค่รถยนต์ใช้น้ำมันที่ทั่วโลกต่างก็จะเลิกใช้ภายในระยะเวลาไม่กี่ปีข้างหน้านั้นก็อาจจะทำให้ภาคอุตสาหกรรมของเรา “เซ” ไปได้แล้ว ไม่ต้องพูดถึงอุตสาหกรรม “ไฮเท็ค” อย่างเครื่องมือสื่อสารหรืออิเล็คโทรนิคที่เราถูก “ผ่าน” ไปยังประเทศที่เป็นแหล่งลงทุนใหม่ ๆ อย่างเวียตนามเพราะความสามารถในการแข่งขันของไทยที่ดูเหมือนจะถดถอยลงไปเรื่อย ๆ
สินค้าด้านการเกษตรซึ่งเคยเป็น “กระดูกสันหลัง” ของไทยตั้งแต่ช่วงสมัยที่ผมยังเป็นเด็กเองนั้น สิ่งที่เราทำอยู่ในปัจจุบันก็ดูไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากนักยกเว้นการใช้เครื่องทุ่นแรงที่มีการใช้เกือบเต็มเท่าที่ทำได้ อย่างไรก็ตาม เรื่องสำคัญก็คือรูปแบบและแนวคิดในการทำงานดูเหมือนจะไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก คนไทยก็ยังปลูกพืชเลี้ยงสัตว์ด้วยที่ดินส่วนตัวหรือพื้นที่เช่าขนาดเล็กซึ่งก็มักจะไม่มี “Economies of Scale” หรือการประหยัดเนื่องจากขนาดซึ่งจะทำให้มีประสิทธิภาพในการผลิตสูง แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ เกษตรกรขาดความรู้สมัยใหม่ทั้งทางด้านของตัวสินค้าและความรู้ในด้านของการผลิตยุคใหม่ที่เน้นในด้านของเทคโนโลยีโดยเฉพาะด้าน AI หรือปัญญาประดิษฐ์ที่จะสามารถดูแลและควบคุมการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ ถึงวันนี้เราก็ยังเน้นการปลูกพืชที่มีมูลค่าเพิ่มต่ำเช่นข้าวธรรมดาแทนที่จะเป็นแบบออร์แกนนิค หรือเลี้ยงกุ้งในแบบเดิมที่นับวันจะแข่งขันไม่ค่อยได้กับประเทศที่กำลังพัฒนาขึ้นมาใหม่ ๆ
ในด้านของการท่องเที่ยวที่เป็นภาคเศรษฐกิจหลักที่ค่อนข้างใหม่ของไทยนั้น ในช่วงกว่า 10 ปีที่ผ่านมานั้นเราได้อานิสงค์มหาศาลจากประเทศจีนที่คนร่ำรวยขึ้นมากจนมีความสามารถและได้รับอนุญาตจากรัฐให้ออกมาเที่ยวต่างประเทศได้เต็มที่ นั่นประกอบกับการที่ประเทศไทยมีองค์ประกอบในการแข่งขันค่อนข้างดีมากทำให้การท่องเที่ยวก้าวขึ้นมาเป็น “กระดูกสันหลังอันใหม่” ทางเศรษฐกิจของไทยอย่างรวดเร็ว และเมื่อโควิด-19 ผ่านไป ผมคิดว่าการท่องเที่ยวจากต่างชาติจะกลับมาอย่างรวดเร็ว และเราจะต้องทำทุกอย่างให้มั่นใจว่าจะสามารถรับ “คลื่น” ของการท่องเที่ยวที่จะเกิดขึ้นทันทีที่โลกและประเทศไทยพร้อมที่จะเดินทาง อย่างไรก็ตาม หลังจากการพุ่งขึ้นของการท่องเที่ยวที่จะมาอย่างรุนแรงแล้ว ประเทศไทยก็จะต้องคิดถึงความ “ยั่งยืน” ของการท่องเที่ยวโดยเฉพาะจากต่างประเทศเพื่อที่จะใช้การท่องเที่ยวเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยต่อไปอีก อาจจะเป็นสิบ ๆ ปี เพราะนี่คือภาคเศรษฐกิจที่ไทยมีความได้เปรียบในการแข่งขัน
การที่จะเปลี่ยนแปลงภาคเศรษฐกิจของประเทศเพื่อที่จะทำให้ไทยมีการเติบโตของ GDP ต่อไปในอนาคตจนกลายเป็นประเทศพัฒนาแล้วได้นั้น ผมคิดว่าเราไม่สามารถ “ทำแบบเดิม” ได้อีกต่อไปในสถานการณ์โลกปัจจุบัน พูดง่าย ๆ เราไม่สามารถพัฒนาไปได้มากกว่านี้ด้วยเทคโนโลยีและความคิดแบบเก่าแบบเดิมได้ และเราก็ไม่สามารถทำเพิ่มขึ้นได้โดยการเพิ่มกำลังคนเนื่องจากแรงงานของเราไม่เพิ่มแล้วและแถมแก่ตัวลง วิธีที่เราจะทำได้ก็คือการคิดและทำใหม่ ในอดีตนั้น ผมไม่เคยเชื่อว่ารัฐหรือรัฐบาลสามารถผลักดันหรือสนับสนุนให้เกิดขึ้นได้ การพัฒนาตลอดมาตั้งแต่ที่ผมเป็นเด็กนั้นส่วนใหญ่เกิดจากภาคเอกชน ข้อดีของรัฐบาลในขณะนั้นก็คือ ไม่ขวางการพัฒนาและเข้ามาสนับสนุนเอกชนซึ่งรวมถึงต่างชาติให้ทำธุรกิจตามความต้องการของ “ตลาด” รัฐอาจจะบอกว่าเรามี “แผนพัฒนาเศรษฐกิจ” มาตลอดเป็นเวลาหลายสิบปีแล้ว แต่ผมคิดว่าแต่ละแผนก็แค่ต่อเส้นกราฟออกไปจากของเดิม ไม่ได้มียุทธศาสตร์อะไรที่เป็นของใหม่จริง ๆ
แต่สำหรับครั้งนี้- หลังวิกฤติโควิด-19 ผมคิดว่าถ้าจะให้ประเทศไทยเดินหน้าต่อไปได้ เราจะต้องมาคิดกันอย่างจริงจังถึงยุทธศาสตร์ของประเทศไทยว่าจะไปทางไหน อย่าบอกว่าจะไปทุกทางเพราะนั่นเหมาะเฉพาะสำหรับประเทศที่ยังจนอยู่ ทุกอย่างยังเล็ก หลายภาคส่วนเพิ่งจะเริ่มต้นพัฒนาหรือเริ่มโต และนั่นก็คงคล้าย ๆ กับสถานการณ์ที่เวียตนามที่คนมักถามว่าจะลงทุนในหุ้นกลุ่มไหนดี ซึ่งผมก็มักจะบอกไปทุกครั้งว่าทุกเซคเตอร์ก็ยังโตหมด ไม่มีกลุ่มไหนที่อิ่มตัว แต่สำหรับประเทศไทยแล้ว เซคเตอร์ใหญ่ ๆ ทั้งหมดดูเหมือนว่าจะอิ่มตัวแล้วในรูปแบบ “เศรษฐกิจเก่า” การที่จะสร้างการเติบโตต่อไปได้ เราจะต้องรุกเข้าไปในบางจุด ไม่ใช่ทุกจุด เพราะถ้าเราทำทุกจุดเท่า ๆ กัน ทรัพยากรจะไม่พอ เราต้องเลือก และเมื่อเลือกแล้ว ก็ต้องทุ่มความคิดและทรัพยากรเข้าไป การที่จะเดินหน้ารอบนี้ไม่ง่ายและผมคิดว่าจำเป็นที่จะต้องมีนักคิด มีผู้นำ มีการจัดเป็น “วาระแห่งชาติ” โดยคนที่เข้ามาร่วมต้องมาจากทุกภาคส่วน และแน่นอนต้องมีรัฐเข้ามาเกี่ยวข้องอย่างลึกซึ้ง ต้องมีพรรคและนักการเมืองที่จะทำ
ตัวอย่างของสิงคโปร์เป็นโมเดลที่น่าสนใจมากในแง่ที่ว่าเขาสามารถเปลี่ยนจาก “เศรษฐกิจเมืองท่า” ซึ่งจะเติบโตได้จำกัด กลายเป็น “Financial Hub” หรือศูนย์กลางทางการเงินโลก เปลี่ยนเป็นเมือง “ไฮเท็ค” ซึ่งจะเป็นแหล่ง Startup ที่สำคัญสำหรับคนย่านนี้ และสิ่งที่เป็นปัจจัยสนับสนุนที่สำคัญสำหรับกิจกรรมต่าง ๆ ดังกล่าวก็คือ คุณภาพของคนหรือการศึกษาที่จะมารองรับ และนั่นก็ทำให้สิงคโปร์สร้างมหาวิทยาลัยชันนำของประเทศให้กลายเป็นมหาวิทยาลัย “ระดับโลก” ได้สำเร็จภายในเวลาไม่กี่สิบปี สำหรับรัฐบาลสิงคโปร์แล้ว แม้แต่การพูดภาษาอังกฤษให้ได้สำเนียงที่ดีก็ถือเป็นยุทธศาสตร์ที่สำคัญในการสร้างประเทศให้เป็น Hub หรือศูนย์กลางของหลาย ๆ สิ่งที่สำคัญของโลก
ถึงนาทีนี้ ผมเองก็ไม่ได้หวังว่าประเทศไทยจะสามารถทำอย่างที่กล่าวได้ยกเว้นว่าจะมี “ปาฏิหาริย์” ดูเหมือนว่าสังคมไทยยังไม่พร้อมในหลาย ๆ ด้านโดยเฉพาะทางการเมือง เอาแค่เรื่องของงบประมาณที่ใช้ในแต่ละปีนั้นก็ไม่ตอบโจทย์อะไรเลย ดูเหมือนว่างบประมาณที่ได้ของแต่ละหน่วยงานจะขึ้นอยู่กับอำนาจของเจ้ากระทรวงหรือพรรคการเมืองเป็นหลักและก็ทำแบบ “เทียบกับงบปีที่แล้ว” มากกว่าที่จะดูว่างบนั้นจะสนับสนุนนโยบายหรือยุทธศาสตร์อะไรที่จะนำพาประเทศให้ก้าวหน้าไปในอนาคต ดังนั้น ผมเองต้องตั้งสมมุติฐานว่าอนาคตของประเทศไทยนั้น จนถึงสิ้นปี 2565 หรือกลางปี 2566 เราคงกลับมาที่เก่าได้ แต่หลังจากนั้นแล้วก็ไม่รู้ว่าจะไปทางไหน เวลาลงทุนผมก็จะคิดว่าตลาดหุ้นคงจะถึงจุดสูงสุดในวันใดวันหนึ่งก่อนหน้านั้น คือดัชนีตลาดหลักทรัพย์อาจจะไปถึง 1,800 หรือ 2,000 จุด แต่นั่นก็อาจจะเป็น “ก๊อกสุดท้าย” ถ้าไทยไม่สามารถปรับตัวเพื่อต่อสู้ใน “โลกยุคใหม่” ได้
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3470
ถามอิกกับอิก 8 June 2021 20.30
วันนี้มาฟังมุมมองของ ดร นิเวศน์ ว่ามองหุ้นเวียดนามร่วงหนักหลังเพิ่งทำจุดสูงสุดใหม่อย่างไร
อจ นิเวศน์ บอกว่า อยากย้อนไปที่ตลาดหุ้นเวียดนาม ซึ่งเปิดตลาดหุ้นในปี 2000
จากดัชนี 100 จุดขึ้นไป 1,319 จุด ผลตอบแทนทบต้นเกือบ 15% ภายใน20ปี
ถ้ารวมปันผลก็เป็น 17% ขึ้นมา 13 เท่า
รอบนี้ขึ้นไปแตะ 1,400 จุด และลงมาแรง
เปรียบเทียบตลาดหุ้นไทย
ปี2518 เป็นปีแรกที่เปิดให้ซื้อขายหุ้นในไทย
SET ขึ้นไป20ปีแรก เท่ากับตลาดหุ้นเวียดนาม ประมาณ 1,200 จุด
แต่พอช่วงที่สอง ตลาดหุ้นไทยขึ้นจาก 1,320 ไปที่ 1,600จุด ใน 24 ปีหลัง
หุ้นขึ้นแค่ 320 จุด คิดเป็น 2-3 % ต่อปี
ถามว่า ตลาดหุ้นเวียดนามจะเหมือนตลาดหุ้นไทยในช่วงที่สองหรือไม่
ดร นิเวศน์ ไม่คิดว่า ตลาดหุ้นเวียดนามจะเหมือนกับตลาดหุ้นไทย
ตลาดหุ้นไทย ในช่วง20ปีที่สอง ไม่ค่อยผันผวน แกว่งตัวช้าๆ
แต่ก็มีหุ้นเล็กที่ผันผวนแรง ซึ่งนักลงทุนไทยเล่นอยู่
ตลาดหุ้นเวียดนาม หุ้นใหญ่มีคนเล่น โดยเฉพาะกลุ่มธนาคาร
ต้นปีจาก 1,100 จุดมาอยู่ที่ 1,300 แล้ว
ต่อจากนี้น่าคิด ตลาดหุ้นไทย ล้อไปกับ ศก ไทย ซึ่งโตช้า อีก1-2ปี ก็จะโต 3-4%
ศก ไทย หายไป 3 ปี แต่ ศก เวียดนาม ก็โตต่อใน3 ปีนี้ ปีนี้น่าจะโตไม่ต่ำกว่า 7%
เวียดนาม ศก ไม่อิงกับการท่องเที่ยวเหมือน ไทย แต่อิงกับการส่งออก
ศก ไทย อีก3ปี จะไปต่อไหม ก็เป็นคำถามที่น่าคิด
ส่วน ตลาดหุ้นเวียดนาม ไม่ห่วงว่าตอนนี้ดัชนีอยู่ระดับสูง ถ้าเทียบในอาเซียนจะต่ำที่สุด
ETF Diamond โตเร็วมาก บริษัทที่อยู่ในกองETF เป็น หุ้นTop ที่ต่างชาติที่ถือ เป็นหุ้นSuperstock
ปีนี้ ETF Diamond ขึ้นมาไม่น้อยกว่า 30-40% อจ นิเวศน์ก็พึ่งไปซื้อมา
ก่อนหน้านี้หุ้นไม่ขึ้น แต่ตอนนี้ นักลงทุนรายย่อยที่เวียดนาม 3 ล้านคนแล้ว
เล่นกันvolumn 30,000ลบต่อวัน แต่ต่างชาติขายหุ้นตลอดในช่วงนี้
รายย่อยเปิดบัญชีเดือนละแสนคน เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนาม
เวลารายย่อยมาเล่น ก็เหมือนสมัยก่อนของไทย เล่นหุ้นแบงค์
ซึ่งแต่ละแบงค์ ต่างคนก็ไม่ได้แข่งขันกันเหมือนเมืองไทย
แบงค์ก็โตเร็ว เพราะคนยังกู้แบงค์น้อย มีโอกาสเติบโตได้อีกเยอะ
รายย่อยที่เวียดนาม สนใจแต่หุ้นที่วิ่งเร็วๆ บริษัทเล็กๆมีเยอะ
อจ ลงทุนธนาคาร ที่ทำ consumer finance ลงทุนไม่นาน ราคาก็ขึ้นมา100%
แต่ไม่สามารถซื้อหุ้นได้เยอะ(น่าจะติดFL)
หลังๆ ถ้าจะซื้อหุ้นที่มีpremium ก็ซื้อผ่าน ETF Diamond
ดัชนีหุ้นเวียดนาม ถ้าเป็นทั้งตลาด คือ ดัชนี VN ตอนนี้1319 จุด,
VN30 1438 จุด(คล้ายSET50) ซึ่งเป็นดัชนีที่รวมหุ้นขนาดใหญ่ 30ตัวแรก ในนั้นจะมีหุ้นแบงค์เยอะ
อจ บอกว่า ขาขึ้นของตลาดหุ้นเวียดนามรอบนี้ ขึ้นอย่างเดียวเลย
อจ บอกว่า หุ้นขึ้นเร็ว มาจากรายย่อยเป็นแรงผลักดัน แต่ก็มีอิงกับfundamental
แต่หุ้นที่เล่นไม่ใช่หุ้นกลุ่มนี้หมายถึงหุ้นพื้นฐาน แต่รายย่อยไปเล่นกลุ่มเหล็ก ยาง เป็นต้น
ดังนั้นหุ้นพื้นฐาน เช่น ACV ซึ่งเป็นหุ้นสนามบินคล้ายกับ AOT ในเมืองไทย
สนามบินเวียดนามในอนาคตจะโตมากกว่านี้ คนเวียดนามต้องเดินทางโดยเครื่องบิน
เพราะระยะจากเหนือไปใต้(Hojimin to Hanoi)ต่างกัน 2,000 กม
ส่วนถนน ที่อยู่นอกเมือง สถาพไม่ดี ใช้เวลาเยอะในการเดินทาง ต้องใช้เครื่องบินอย่างเดียว
การมองหุ้นเวียดนาม ให้เปรียบกับหุ้นในเมืองไทย เช่น
ธุรกิจห้างสรรพสินค้า Vincom เทียบกับ CPN
ธุรกิจสนามบิน ACV เทียบกับ AOT
ดูแล้วที่เวียดนาม มีmarket cap เล็กกว่าของไทยเยอะ
เพราะคนเวียดนามยังไม่รู้จักหุ้น Superstock เลยไม่เล่นกลุ่มนี้
ดังนั้นในตลาดหุ้นเวียดนาม โอกาสไม่ใช่แค่ดัชนีหุ้นขึ้นอย่างเดียว
แต่จะได้ประโยชน์จากการถือหุ้นsuperstockที่เวียดนาม
ตอนหุ้นไทย สมัยก่อนขึ้นเฉลี่ย 6%ต่อปี จากใน40กว่าปี
แต่คนที่ลงทุนแบบวีไอ จะได้กำไรมากกว่านี้เยอะ
กลุ่มProperty ก็น่าสนใจ กลุ่ม Vinhome ที่มีmarket capแสนล้าน
ตลาดหุ้นไทยสมัยก่อน กลุ่มproperty จะมาช่วงแรกๆ เช่น กลุ่มบางกอกแลนด์
เวียดนามก็คงคล้ายๆกัน จะมีผู้ชนะรายใหม่ๆของกลุ่มproperty หมุนเวียนกันไป
เป็นโอกาสของนักลงทุนแนววีไอที่ลงทุนหุ้นเวียดนาม
อจ ไม่มีเวลาในศึกษาหุ้นรายตัว
แต่เข้าใจตลาดหุ้นดีจากประสบการณ์การลงทุนที่ผ่านมาในตลาดหุ้นไทย
เลยเลือกหุ้นจากกลุ่มที่เคยขึ้นของเมืองไทย
หุ้นพลังงานที่ลงทุนไป เมืองไทยโตมาก แต่หุ้นที่เวียดนามไม่โต กลับจ่ายปันผลดี
อจ บอกว่า สู้ลงทุนในกลุ่มแบงค์ไม่ได้ มาเร็วกว่าเยอะ
เราไม่มีเวลา และไม่รู้จักหุ้นมากพอ ไม่ได้ไปเวียดนามหลายปี เลยไปลงทุนในETF Diamond
ตัวTopในport ก็เป็นตัวที่สนใจอยู่แล้ว เลยซื้อได้เยอะเลย
มุมมองของความเสี่ยงของตลาดหุ้นเวียดนาม
ตอนปี2018 คุณอิกบอกว่า ดัชนีก็เคยขึ้นสูงและตกลงมา ถามว่า ตอนนี้จะเหมือนกันไหม
อจ บอกว่า ปี2008 ตลาดหุ้นเวียดนามมีการreform ปฏิรูป เมื่อก่อน ไปซื้อหุ้น เอาเงินอัดกระเป๋าไปซื้อ
เพราะเงินเฟ้อสูง ยังมีกลิ่นอายของคอมมิวนิสต์
หลังปี2008 reform ค่าเงินเคยลด30% และค่าเงินเริ่มนิ่ง
รัฐต้องการส่งเสริมการลงทุน นโยบายเริ่มมีมาตรฐาน เงินเฟ้อ อยู่ 2-3% คล้ายเมืองไทยแล้ว
ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นเวียดนามขึ้นมาเยอะเลย ค่าเงินเริ่มstableมากขึ้น
จีนเมื่อก่อน ศก โตแบบ miracle รอบนี้ เวียดนามถือว่าเป็นstarเลย
การส่งออกของเวียดนามปีนึงมากกว่า 20,000 ล้าน มากกว่าเมืองไทยแล้ว
ภาคconsumerโตมาก หุ้น VRE โตไว (อจ ยังไม่ได้ซื้อ)
คนแน่นห้างเทียบกับ4ปีก่อน ไม่มีคนเดินเยอะ
หุ้นทุกSector มีโอกาสเติบโตสูง
Q&A
1.กังวลว่าเทคโนโลยีกำลังมา ทำให้หุ้นเวียดนามหมดเสน่ห์ในการลงทุนไหม
ตอบ เวียดนามสามารถอยู่กับold economyได้ ค่าแรงถูก
ยังไม่มีห้างสรรพสินค้าใหญ่ๆเลย ห้างยังเติบโตอีกเยอะ
ตลาดเสื้อผ้า ก็ยังเติบโตได้ ยังไม่มีธุรกิจไหนที่อิ่มตัว
ตอนอจ ออกไปตจว ไอศครีมยังเป็นยี่ห้อlocalเลย
ธุรกิจยังไม่ถึงระดับstandardระดับโลกเลย
2.ระหว่างหุ้นธนาคารเล็กที่ยังมีroomในการลงทุนกับธนาคารขนาดใหญ่ที่มีRoomอาจเต็ม
อจ เลือกกลุ่มไหนดีครับ
ตอบ เลือกหุ้นธนาคารขนาดใหญ่ ที่มีmanagementดีๆ
เมืองไทยมีตัวอย่างเรื่องนี้ ถ้าบริหารไม่ดี ก็เจ๊งได้
แต่ต้องระวังว่า ให้ซื้อไว้ในพอร์ตระดับนึง แนะให้กระจายความเสี่ยง เช่น ลง VN30
เพราะธนาคารจะดีมากจนถึงวันนึงแล้วเจ๊งเลย ต้องระวัง
3. ETF Diamond มีเงินเข้ามาลงทุนเยอะจะเหมือน กองเทคโนโลยีที่สหรัฐซึ่งนิยมมากในช่วงต้นปี
และหลังจากนั้นราคาร่วงลงมาแรงไหม
ตอบ กองนี้มีหุ้นดีๆ 12ตัวเช่น หุ้นขายเครื่องใช้ไฟฟ้า
ตอนที่คนเข้ามาลงทุน ทำให้ราคาหุ้นในกองนี้ก็ขึ้นตามไปด้วย
แต่หุ้น12ตัวนี้ ก็ยังไม่แพง PE เฉลี่ยก็ยังไม่สูง
หุ้นเวียดนามมีความผันผวนสูง แต่ถ้าถือหุ้นในระยะยาวจะได้ผลตอบแทนดี
ถ้าต่างชาติเข้ามาเมื่อไหร่ หุ้นเวียดนามก็สามารถขึ้นได้อีก
4.ผู้ฟังถามว่า ถ้าเราคิดสวน เรื่องคนแห่ไปลงทุนในต่างประเทศกันเยอะ ลงทุนหุ้นไทยดีไหม
ตอบว่า ขนาดจำนวนเงินที่ไปลงทุนต่างประเทศ ก็ยังไม่เยอะ
และหุ้นไทย ก็มีการลงทุนต่อวันแสนล้านบาท
นาทีนี้ ถ้าบอกว่าลงทุนหุ้นเวียดนามเสี่ยง ตลาดหุ้นต่างประเทศและไทยเสี่ยงกว่า
ดังนั้นให้ดูภาพใหญ่ของบริษัท เช่น ถึงแม้เป็นold economy ก็ยังมีคนใช้บริการ
ให้ลงทุนและถือยาวไป
สุดท้ายขอขอบคุณ อจ นิเวศน์ และคุณอิก นะครับที่มาให้ความรู้และข้อคิดเห็นสำหรับ
ตลาดหุ้นเวียดนาม
วันนี้มาฟังมุมมองของ ดร นิเวศน์ ว่ามองหุ้นเวียดนามร่วงหนักหลังเพิ่งทำจุดสูงสุดใหม่อย่างไร
อจ นิเวศน์ บอกว่า อยากย้อนไปที่ตลาดหุ้นเวียดนาม ซึ่งเปิดตลาดหุ้นในปี 2000
จากดัชนี 100 จุดขึ้นไป 1,319 จุด ผลตอบแทนทบต้นเกือบ 15% ภายใน20ปี
ถ้ารวมปันผลก็เป็น 17% ขึ้นมา 13 เท่า
รอบนี้ขึ้นไปแตะ 1,400 จุด และลงมาแรง
เปรียบเทียบตลาดหุ้นไทย
ปี2518 เป็นปีแรกที่เปิดให้ซื้อขายหุ้นในไทย
SET ขึ้นไป20ปีแรก เท่ากับตลาดหุ้นเวียดนาม ประมาณ 1,200 จุด
แต่พอช่วงที่สอง ตลาดหุ้นไทยขึ้นจาก 1,320 ไปที่ 1,600จุด ใน 24 ปีหลัง
หุ้นขึ้นแค่ 320 จุด คิดเป็น 2-3 % ต่อปี
ถามว่า ตลาดหุ้นเวียดนามจะเหมือนตลาดหุ้นไทยในช่วงที่สองหรือไม่
ดร นิเวศน์ ไม่คิดว่า ตลาดหุ้นเวียดนามจะเหมือนกับตลาดหุ้นไทย
ตลาดหุ้นไทย ในช่วง20ปีที่สอง ไม่ค่อยผันผวน แกว่งตัวช้าๆ
แต่ก็มีหุ้นเล็กที่ผันผวนแรง ซึ่งนักลงทุนไทยเล่นอยู่
ตลาดหุ้นเวียดนาม หุ้นใหญ่มีคนเล่น โดยเฉพาะกลุ่มธนาคาร
ต้นปีจาก 1,100 จุดมาอยู่ที่ 1,300 แล้ว
ต่อจากนี้น่าคิด ตลาดหุ้นไทย ล้อไปกับ ศก ไทย ซึ่งโตช้า อีก1-2ปี ก็จะโต 3-4%
ศก ไทย หายไป 3 ปี แต่ ศก เวียดนาม ก็โตต่อใน3 ปีนี้ ปีนี้น่าจะโตไม่ต่ำกว่า 7%
เวียดนาม ศก ไม่อิงกับการท่องเที่ยวเหมือน ไทย แต่อิงกับการส่งออก
ศก ไทย อีก3ปี จะไปต่อไหม ก็เป็นคำถามที่น่าคิด
ส่วน ตลาดหุ้นเวียดนาม ไม่ห่วงว่าตอนนี้ดัชนีอยู่ระดับสูง ถ้าเทียบในอาเซียนจะต่ำที่สุด
ETF Diamond โตเร็วมาก บริษัทที่อยู่ในกองETF เป็น หุ้นTop ที่ต่างชาติที่ถือ เป็นหุ้นSuperstock
ปีนี้ ETF Diamond ขึ้นมาไม่น้อยกว่า 30-40% อจ นิเวศน์ก็พึ่งไปซื้อมา
ก่อนหน้านี้หุ้นไม่ขึ้น แต่ตอนนี้ นักลงทุนรายย่อยที่เวียดนาม 3 ล้านคนแล้ว
เล่นกันvolumn 30,000ลบต่อวัน แต่ต่างชาติขายหุ้นตลอดในช่วงนี้
รายย่อยเปิดบัญชีเดือนละแสนคน เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนาม
เวลารายย่อยมาเล่น ก็เหมือนสมัยก่อนของไทย เล่นหุ้นแบงค์
ซึ่งแต่ละแบงค์ ต่างคนก็ไม่ได้แข่งขันกันเหมือนเมืองไทย
แบงค์ก็โตเร็ว เพราะคนยังกู้แบงค์น้อย มีโอกาสเติบโตได้อีกเยอะ
รายย่อยที่เวียดนาม สนใจแต่หุ้นที่วิ่งเร็วๆ บริษัทเล็กๆมีเยอะ
อจ ลงทุนธนาคาร ที่ทำ consumer finance ลงทุนไม่นาน ราคาก็ขึ้นมา100%
แต่ไม่สามารถซื้อหุ้นได้เยอะ(น่าจะติดFL)
หลังๆ ถ้าจะซื้อหุ้นที่มีpremium ก็ซื้อผ่าน ETF Diamond
ดัชนีหุ้นเวียดนาม ถ้าเป็นทั้งตลาด คือ ดัชนี VN ตอนนี้1319 จุด,
VN30 1438 จุด(คล้ายSET50) ซึ่งเป็นดัชนีที่รวมหุ้นขนาดใหญ่ 30ตัวแรก ในนั้นจะมีหุ้นแบงค์เยอะ
อจ บอกว่า ขาขึ้นของตลาดหุ้นเวียดนามรอบนี้ ขึ้นอย่างเดียวเลย
อจ บอกว่า หุ้นขึ้นเร็ว มาจากรายย่อยเป็นแรงผลักดัน แต่ก็มีอิงกับfundamental
แต่หุ้นที่เล่นไม่ใช่หุ้นกลุ่มนี้หมายถึงหุ้นพื้นฐาน แต่รายย่อยไปเล่นกลุ่มเหล็ก ยาง เป็นต้น
ดังนั้นหุ้นพื้นฐาน เช่น ACV ซึ่งเป็นหุ้นสนามบินคล้ายกับ AOT ในเมืองไทย
สนามบินเวียดนามในอนาคตจะโตมากกว่านี้ คนเวียดนามต้องเดินทางโดยเครื่องบิน
เพราะระยะจากเหนือไปใต้(Hojimin to Hanoi)ต่างกัน 2,000 กม
ส่วนถนน ที่อยู่นอกเมือง สถาพไม่ดี ใช้เวลาเยอะในการเดินทาง ต้องใช้เครื่องบินอย่างเดียว
การมองหุ้นเวียดนาม ให้เปรียบกับหุ้นในเมืองไทย เช่น
ธุรกิจห้างสรรพสินค้า Vincom เทียบกับ CPN
ธุรกิจสนามบิน ACV เทียบกับ AOT
ดูแล้วที่เวียดนาม มีmarket cap เล็กกว่าของไทยเยอะ
เพราะคนเวียดนามยังไม่รู้จักหุ้น Superstock เลยไม่เล่นกลุ่มนี้
ดังนั้นในตลาดหุ้นเวียดนาม โอกาสไม่ใช่แค่ดัชนีหุ้นขึ้นอย่างเดียว
แต่จะได้ประโยชน์จากการถือหุ้นsuperstockที่เวียดนาม
ตอนหุ้นไทย สมัยก่อนขึ้นเฉลี่ย 6%ต่อปี จากใน40กว่าปี
แต่คนที่ลงทุนแบบวีไอ จะได้กำไรมากกว่านี้เยอะ
กลุ่มProperty ก็น่าสนใจ กลุ่ม Vinhome ที่มีmarket capแสนล้าน
ตลาดหุ้นไทยสมัยก่อน กลุ่มproperty จะมาช่วงแรกๆ เช่น กลุ่มบางกอกแลนด์
เวียดนามก็คงคล้ายๆกัน จะมีผู้ชนะรายใหม่ๆของกลุ่มproperty หมุนเวียนกันไป
เป็นโอกาสของนักลงทุนแนววีไอที่ลงทุนหุ้นเวียดนาม
อจ ไม่มีเวลาในศึกษาหุ้นรายตัว
แต่เข้าใจตลาดหุ้นดีจากประสบการณ์การลงทุนที่ผ่านมาในตลาดหุ้นไทย
เลยเลือกหุ้นจากกลุ่มที่เคยขึ้นของเมืองไทย
หุ้นพลังงานที่ลงทุนไป เมืองไทยโตมาก แต่หุ้นที่เวียดนามไม่โต กลับจ่ายปันผลดี
อจ บอกว่า สู้ลงทุนในกลุ่มแบงค์ไม่ได้ มาเร็วกว่าเยอะ
เราไม่มีเวลา และไม่รู้จักหุ้นมากพอ ไม่ได้ไปเวียดนามหลายปี เลยไปลงทุนในETF Diamond
ตัวTopในport ก็เป็นตัวที่สนใจอยู่แล้ว เลยซื้อได้เยอะเลย
มุมมองของความเสี่ยงของตลาดหุ้นเวียดนาม
ตอนปี2018 คุณอิกบอกว่า ดัชนีก็เคยขึ้นสูงและตกลงมา ถามว่า ตอนนี้จะเหมือนกันไหม
อจ บอกว่า ปี2008 ตลาดหุ้นเวียดนามมีการreform ปฏิรูป เมื่อก่อน ไปซื้อหุ้น เอาเงินอัดกระเป๋าไปซื้อ
เพราะเงินเฟ้อสูง ยังมีกลิ่นอายของคอมมิวนิสต์
หลังปี2008 reform ค่าเงินเคยลด30% และค่าเงินเริ่มนิ่ง
รัฐต้องการส่งเสริมการลงทุน นโยบายเริ่มมีมาตรฐาน เงินเฟ้อ อยู่ 2-3% คล้ายเมืองไทยแล้ว
ทำให้ดัชนีตลาดหุ้นเวียดนามขึ้นมาเยอะเลย ค่าเงินเริ่มstableมากขึ้น
จีนเมื่อก่อน ศก โตแบบ miracle รอบนี้ เวียดนามถือว่าเป็นstarเลย
การส่งออกของเวียดนามปีนึงมากกว่า 20,000 ล้าน มากกว่าเมืองไทยแล้ว
ภาคconsumerโตมาก หุ้น VRE โตไว (อจ ยังไม่ได้ซื้อ)
คนแน่นห้างเทียบกับ4ปีก่อน ไม่มีคนเดินเยอะ
หุ้นทุกSector มีโอกาสเติบโตสูง
Q&A
1.กังวลว่าเทคโนโลยีกำลังมา ทำให้หุ้นเวียดนามหมดเสน่ห์ในการลงทุนไหม
ตอบ เวียดนามสามารถอยู่กับold economyได้ ค่าแรงถูก
ยังไม่มีห้างสรรพสินค้าใหญ่ๆเลย ห้างยังเติบโตอีกเยอะ
ตลาดเสื้อผ้า ก็ยังเติบโตได้ ยังไม่มีธุรกิจไหนที่อิ่มตัว
ตอนอจ ออกไปตจว ไอศครีมยังเป็นยี่ห้อlocalเลย
ธุรกิจยังไม่ถึงระดับstandardระดับโลกเลย
2.ระหว่างหุ้นธนาคารเล็กที่ยังมีroomในการลงทุนกับธนาคารขนาดใหญ่ที่มีRoomอาจเต็ม
อจ เลือกกลุ่มไหนดีครับ
ตอบ เลือกหุ้นธนาคารขนาดใหญ่ ที่มีmanagementดีๆ
เมืองไทยมีตัวอย่างเรื่องนี้ ถ้าบริหารไม่ดี ก็เจ๊งได้
แต่ต้องระวังว่า ให้ซื้อไว้ในพอร์ตระดับนึง แนะให้กระจายความเสี่ยง เช่น ลง VN30
เพราะธนาคารจะดีมากจนถึงวันนึงแล้วเจ๊งเลย ต้องระวัง
3. ETF Diamond มีเงินเข้ามาลงทุนเยอะจะเหมือน กองเทคโนโลยีที่สหรัฐซึ่งนิยมมากในช่วงต้นปี
และหลังจากนั้นราคาร่วงลงมาแรงไหม
ตอบ กองนี้มีหุ้นดีๆ 12ตัวเช่น หุ้นขายเครื่องใช้ไฟฟ้า
ตอนที่คนเข้ามาลงทุน ทำให้ราคาหุ้นในกองนี้ก็ขึ้นตามไปด้วย
แต่หุ้น12ตัวนี้ ก็ยังไม่แพง PE เฉลี่ยก็ยังไม่สูง
หุ้นเวียดนามมีความผันผวนสูง แต่ถ้าถือหุ้นในระยะยาวจะได้ผลตอบแทนดี
ถ้าต่างชาติเข้ามาเมื่อไหร่ หุ้นเวียดนามก็สามารถขึ้นได้อีก
4.ผู้ฟังถามว่า ถ้าเราคิดสวน เรื่องคนแห่ไปลงทุนในต่างประเทศกันเยอะ ลงทุนหุ้นไทยดีไหม
ตอบว่า ขนาดจำนวนเงินที่ไปลงทุนต่างประเทศ ก็ยังไม่เยอะ
และหุ้นไทย ก็มีการลงทุนต่อวันแสนล้านบาท
นาทีนี้ ถ้าบอกว่าลงทุนหุ้นเวียดนามเสี่ยง ตลาดหุ้นต่างประเทศและไทยเสี่ยงกว่า
ดังนั้นให้ดูภาพใหญ่ของบริษัท เช่น ถึงแม้เป็นold economy ก็ยังมีคนใช้บริการ
ให้ลงทุนและถือยาวไป
สุดท้ายขอขอบคุณ อจ นิเวศน์ และคุณอิก นะครับที่มาให้ความรู้และข้อคิดเห็นสำหรับ
ตลาดหุ้นเวียดนาม
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3471
หุ้นเวียดนามปรับฐาน ถึงเวลาเข้าซื้อแล้ว?
By Rangsan Pangsoon
Chatree M Head of Equities บลจ พรินซิเพิล
การปรับฐานของตลาดหุ้นเวียดนาม เป็นสิ่งที่ควรเกิดขึ้น
เพื่อจะได้มีเงินใหม่เข้ามาลงทุน เหตุผลที่ปรับฐานในต้นสัปดาห์ไม่น่าจะมา
จากCovid-19เพียงอย่างเดียว ร้านอาหาร ห้างสรรพสินค้าก็เงียบเหงาไปบ้าง
แต่ภาคการผลิตก็ยังดำเนินต่อไป
ระบบการเทรดหุ้น ช่วงมกราคมที่ผ่านมา volumnการซื้อขายเข้ามามาก ทำให้
ระบบการซื้อขายหุ้นรวน ทำให้ราคาปรับตัวลงมา10%
แต่ก็กลับขึ้นไปอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นมีการupgradeระบบ เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว
เดือน พฤษภาคมที่ผ่านมา มีนักลงทุนรายย่อยเข้ามาเปิดบัญชีใหม่ 100,000 ราย
ถือเป็นเรื่องใหม่ของตลาดหุ้นเวียดนาม ที่มีรายย่อยเข้ามาลงทุนเยอะ อาจมาจากดอกเบี้ยต่ำมาก
รวมถึงราคาที่ดินที่ร้อนแรง เลยเป็นแรงผลักดันให้เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามเยอะ
HOSE handleการเทรดไม่ไหว ทำให้ Price Board เจ๊งในช่วงที่ระบบรวน ทำให้Keyคำสั่งซื้อแล้ว
ไม่รู้ว่าจะได้ราคาอะไร ระบบต้องการแก้ไข ก็เลยlockไม่ให้แก้ไขราคาหลังจากส่งคำสั่งซื้อเข้าระบบไป
ยิ่งทำให้วุ่นขึ้นไปอีก หลายคนไม่อยากเทรด และขายออกไป ทำให้ตลาดเกิดการปรับฐาน
จากนักลงทุนupset ไม่มั่นใจในระบบซื้อขาย ไม่รู้ว่าจะขายได้ที่ราคาไหน ทำให้ดัชนีลงจากPeak 4-5%
ส่วนตัวอยากให้ปรับฐาน 8% (1,300จุด) ปรากฏว่า ศุกร์ที่11 มิย ดัชนีดีดกลับ
สัปดาห์หน้า ก็ยังมีโอกาสที่ดัชนีลงไปทดสอบที่ 1,300 จุด แต่ก็ต้องขึ้นกับ การซื้อขายของรายย่อย
ด้วย เพราะต่างชาติขายมาตลอดทาง
ดังนั้น กลยุทธ์ในการซื้อหุ้น สำหรับคนที่อยากซื้อ คือ แบ่งเป็น3ไม้ เข้าไม้แรกก่อน แล้วค่อยสังเกต
สถานการณ์อีกที
ส่วนที่เกาหลีซึ่งจะมาทำระบบ ก็ยังไม่คืบหน้า ตอนนี้เลยจ้างบริษัทในประเทศแก้ไขให้เสร็จภายใน มิย
ส่วนตัว รับได้กับตลาดที่เจอdisconnect แต่รับไม่ได้กับ Price Boardเจ๊ง
เวียดนามมีอัตราการฉีดวัคซีนต่ำ เพียง 2-3% ของประชากรทั้งหมด ซึ่งส่งผลต่อ
การเปิดประเทศ ได้ล่าช้ากว่าเพื่อนบ้าน
เวียดนาม concern budget เพราะได้ลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเยอะ และ เจอปัญหา
สายส่งไฟฟ้า bottom neck บ่อยๆ ดังนั้นจึงไม่ค่อยมีเงินมาซื้อวัคซีน
ตอนนี้พยายามหาเงิน 1,000 ล้าน$ มาซื้อวัคซีน ทางภาคเอกชนจากต่างประเทศ
ก็มาช่วยเหลือ 200 ล้าน$ เช่น ซัมซุงจากเกาหลี ,Foxcon จากจีน รวมถึง CP จากไทย และ ญี่ปุ่น
ดังนั้น lotแรก 600ล้าน$ น่าจะได้มาเพื่อซื้อวัคซีน ซึ่งอาจได้ถึง 170ล้านโดส คิดเป็น
60-70%ของประชากรทั้งหมด
ปัญหาคือ จะได้ฉีดวัคซีนตอนไหน อาจจะเป็น key risk
กค น่าจะมีการฉีดวัคซีนอย่างจริงจัง และปลายปี หรือ ต้นปีหน้า ก็จะเกิดภูมิคุ้มกันหมู่ขึ้น
Q&A
1.อยากรู้ว่า ตั้งแต่ตลาดหุ้นเวียดนามก่อตั้งมา เกิดเหตุPrice Boardเจ๊งมากไหม
ตอบ พึ่งเจอ Price Boardเจ๊งเป็นครั้งแรก แต่ที่เจอบ่อยคือ disconnect
ตั้งแต่มกราคมที่ผ่านมา ถือเป็นเรื่องใหม่กับตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งไม่คิดว่าตลาดจะบูม
ขนาดนี้
ทางแก้ คือ สำหรับนักลงทุน พยายามส่งorderภายในครึ่งเช้า เพื่อป้องกันไม่ให้เจอปัญหา
2.PE ตอนนี้แพง หรือไปต่อได้อีก
ตอบ PE ตอนนี้ 13 เท่า ถ้าเริ่มรู้สึกว่าตึงๆ เมื่อPE ขยับไปที่ 18 เท่า
แต่gap ระหว่าง PE 13 ไป 18 เท่า กว้างมาก
3. ผู้ฟังท่านนึง พูดว่า ได้ลงทุนหุ้นเวียดนามมา 3-4 ปี สิ่งที่เจอต่างกับSET
PE ใช้valuationไม่ได้ แต่ขึ้นกับ demand&supply
ตอนนี้demandมาจากคนเวียดนามแห่มาลงทุนเยอะ รวมถึงคนไทยด้วย
ถามว่าควรยึดพื้นฐานจริงๆหรือเปล่า
ถึงแม้ถูก แต่ราคาก่อนหน้าไม่ไปไหนเลย ถ้าตลาดหุ้นจะถูกขายถล่มมาไหม
ตอนนี้กำลังหาจุดขายอยู่
ตอบ PE debateกันไม่จบ เป็นทั้งด้านวิทยาศาสตร์ และ ด้านศิลป
PE ตัวเลขดูจะถูก แต่ไม่ควรนำไปเปรียบเทียบกับ ตลาดหุ้นของไทยและสิงคโปร์
มีปัจจัยกดดันPEอยู่ เช่น หุ้นแบงค์ ซึ่งเป็นหุ้นหลักซึ่งติดFL ทำให้ฝรั่งไม่สามารถเข้าไปซื้อ
ทำให้ราคาหุ้นถูกกด แต่ ETFเกิดใหม่ เช่น Diamond ทำให้ข้อจำกัดหายไป
ทำให้หุ้นแบงค์เกิด unlock value ได้
เรื่องความถูกของPE ในช่วงปี 2018-2019 สะท้อนถึงเศรษฐกิจไม่ดีเหมือนตอนนี้
รวมถึงค่าเงินยังไม่นิ่ง และตอนนี้ต่างชาติเช่น Foxcon เริ่มเข้ามาลงทุน
PE ยังจับต้องได้ แต่คำว่าถูก ไม่สามารถนำมาเทียบกับSETได้
ต้องมีการdiscount ลง ทำให้ ถ้าเจอ PE 17-18 เท่าก็ถือว่าสูงแล้ว
ทางตลาดหลักทรัพย์เวียดนาม ต้องแก้ไขเรื่อง FL เพื่อให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนได้
4. ผู้ฟังอ้างว่า คราวที่แล้ว บอกว่า กลุ่มBank , Construction Material อย่างละ40%
ถามว่ามีอุตสาหกรรมไหนที่ปรับตัวขึ้นได้อีก จะมีการปรับพอร์ตในกองทุนหรือไม่
ตอบว่า Bankเป็นอันดับหนึ่ง ตามด้วย Property เป็นอันดับสอง มองว่ายังlaggardในช่วง6เดือนแรก
เพราะ Flow ของ developer จะมาเน้นในช่วงครึ่งปีหลัง
กลุ่มBankยังดี แต่ที่โดดเด่นคือ property ในช่วงครึ่งปีหลัง
Propertyทางภาคใต้มีการทุจริต ทำให้มีการชะลอwork permit
เราต้องจับตาดูก่อน และ รอดูสัญญาณจากรัฐบาล
ซึ่งจะทำให้ตลาดหุ้นเวียดนามไปต่อได้
สุดท้ายขอขอบคุณ คุณ Rangsan และ คุณ Chatree มากๆนะครับ
By Rangsan Pangsoon
Chatree M Head of Equities บลจ พรินซิเพิล
การปรับฐานของตลาดหุ้นเวียดนาม เป็นสิ่งที่ควรเกิดขึ้น
เพื่อจะได้มีเงินใหม่เข้ามาลงทุน เหตุผลที่ปรับฐานในต้นสัปดาห์ไม่น่าจะมา
จากCovid-19เพียงอย่างเดียว ร้านอาหาร ห้างสรรพสินค้าก็เงียบเหงาไปบ้าง
แต่ภาคการผลิตก็ยังดำเนินต่อไป
ระบบการเทรดหุ้น ช่วงมกราคมที่ผ่านมา volumnการซื้อขายเข้ามามาก ทำให้
ระบบการซื้อขายหุ้นรวน ทำให้ราคาปรับตัวลงมา10%
แต่ก็กลับขึ้นไปอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นมีการupgradeระบบ เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว
เดือน พฤษภาคมที่ผ่านมา มีนักลงทุนรายย่อยเข้ามาเปิดบัญชีใหม่ 100,000 ราย
ถือเป็นเรื่องใหม่ของตลาดหุ้นเวียดนาม ที่มีรายย่อยเข้ามาลงทุนเยอะ อาจมาจากดอกเบี้ยต่ำมาก
รวมถึงราคาที่ดินที่ร้อนแรง เลยเป็นแรงผลักดันให้เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนามเยอะ
HOSE handleการเทรดไม่ไหว ทำให้ Price Board เจ๊งในช่วงที่ระบบรวน ทำให้Keyคำสั่งซื้อแล้ว
ไม่รู้ว่าจะได้ราคาอะไร ระบบต้องการแก้ไข ก็เลยlockไม่ให้แก้ไขราคาหลังจากส่งคำสั่งซื้อเข้าระบบไป
ยิ่งทำให้วุ่นขึ้นไปอีก หลายคนไม่อยากเทรด และขายออกไป ทำให้ตลาดเกิดการปรับฐาน
จากนักลงทุนupset ไม่มั่นใจในระบบซื้อขาย ไม่รู้ว่าจะขายได้ที่ราคาไหน ทำให้ดัชนีลงจากPeak 4-5%
ส่วนตัวอยากให้ปรับฐาน 8% (1,300จุด) ปรากฏว่า ศุกร์ที่11 มิย ดัชนีดีดกลับ
สัปดาห์หน้า ก็ยังมีโอกาสที่ดัชนีลงไปทดสอบที่ 1,300 จุด แต่ก็ต้องขึ้นกับ การซื้อขายของรายย่อย
ด้วย เพราะต่างชาติขายมาตลอดทาง
ดังนั้น กลยุทธ์ในการซื้อหุ้น สำหรับคนที่อยากซื้อ คือ แบ่งเป็น3ไม้ เข้าไม้แรกก่อน แล้วค่อยสังเกต
สถานการณ์อีกที
ส่วนที่เกาหลีซึ่งจะมาทำระบบ ก็ยังไม่คืบหน้า ตอนนี้เลยจ้างบริษัทในประเทศแก้ไขให้เสร็จภายใน มิย
ส่วนตัว รับได้กับตลาดที่เจอdisconnect แต่รับไม่ได้กับ Price Boardเจ๊ง
เวียดนามมีอัตราการฉีดวัคซีนต่ำ เพียง 2-3% ของประชากรทั้งหมด ซึ่งส่งผลต่อ
การเปิดประเทศ ได้ล่าช้ากว่าเพื่อนบ้าน
เวียดนาม concern budget เพราะได้ลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเยอะ และ เจอปัญหา
สายส่งไฟฟ้า bottom neck บ่อยๆ ดังนั้นจึงไม่ค่อยมีเงินมาซื้อวัคซีน
ตอนนี้พยายามหาเงิน 1,000 ล้าน$ มาซื้อวัคซีน ทางภาคเอกชนจากต่างประเทศ
ก็มาช่วยเหลือ 200 ล้าน$ เช่น ซัมซุงจากเกาหลี ,Foxcon จากจีน รวมถึง CP จากไทย และ ญี่ปุ่น
ดังนั้น lotแรก 600ล้าน$ น่าจะได้มาเพื่อซื้อวัคซีน ซึ่งอาจได้ถึง 170ล้านโดส คิดเป็น
60-70%ของประชากรทั้งหมด
ปัญหาคือ จะได้ฉีดวัคซีนตอนไหน อาจจะเป็น key risk
กค น่าจะมีการฉีดวัคซีนอย่างจริงจัง และปลายปี หรือ ต้นปีหน้า ก็จะเกิดภูมิคุ้มกันหมู่ขึ้น
Q&A
1.อยากรู้ว่า ตั้งแต่ตลาดหุ้นเวียดนามก่อตั้งมา เกิดเหตุPrice Boardเจ๊งมากไหม
ตอบ พึ่งเจอ Price Boardเจ๊งเป็นครั้งแรก แต่ที่เจอบ่อยคือ disconnect
ตั้งแต่มกราคมที่ผ่านมา ถือเป็นเรื่องใหม่กับตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งไม่คิดว่าตลาดจะบูม
ขนาดนี้
ทางแก้ คือ สำหรับนักลงทุน พยายามส่งorderภายในครึ่งเช้า เพื่อป้องกันไม่ให้เจอปัญหา
2.PE ตอนนี้แพง หรือไปต่อได้อีก
ตอบ PE ตอนนี้ 13 เท่า ถ้าเริ่มรู้สึกว่าตึงๆ เมื่อPE ขยับไปที่ 18 เท่า
แต่gap ระหว่าง PE 13 ไป 18 เท่า กว้างมาก
3. ผู้ฟังท่านนึง พูดว่า ได้ลงทุนหุ้นเวียดนามมา 3-4 ปี สิ่งที่เจอต่างกับSET
PE ใช้valuationไม่ได้ แต่ขึ้นกับ demand&supply
ตอนนี้demandมาจากคนเวียดนามแห่มาลงทุนเยอะ รวมถึงคนไทยด้วย
ถามว่าควรยึดพื้นฐานจริงๆหรือเปล่า
ถึงแม้ถูก แต่ราคาก่อนหน้าไม่ไปไหนเลย ถ้าตลาดหุ้นจะถูกขายถล่มมาไหม
ตอนนี้กำลังหาจุดขายอยู่
ตอบ PE debateกันไม่จบ เป็นทั้งด้านวิทยาศาสตร์ และ ด้านศิลป
PE ตัวเลขดูจะถูก แต่ไม่ควรนำไปเปรียบเทียบกับ ตลาดหุ้นของไทยและสิงคโปร์
มีปัจจัยกดดันPEอยู่ เช่น หุ้นแบงค์ ซึ่งเป็นหุ้นหลักซึ่งติดFL ทำให้ฝรั่งไม่สามารถเข้าไปซื้อ
ทำให้ราคาหุ้นถูกกด แต่ ETFเกิดใหม่ เช่น Diamond ทำให้ข้อจำกัดหายไป
ทำให้หุ้นแบงค์เกิด unlock value ได้
เรื่องความถูกของPE ในช่วงปี 2018-2019 สะท้อนถึงเศรษฐกิจไม่ดีเหมือนตอนนี้
รวมถึงค่าเงินยังไม่นิ่ง และตอนนี้ต่างชาติเช่น Foxcon เริ่มเข้ามาลงทุน
PE ยังจับต้องได้ แต่คำว่าถูก ไม่สามารถนำมาเทียบกับSETได้
ต้องมีการdiscount ลง ทำให้ ถ้าเจอ PE 17-18 เท่าก็ถือว่าสูงแล้ว
ทางตลาดหลักทรัพย์เวียดนาม ต้องแก้ไขเรื่อง FL เพื่อให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนได้
4. ผู้ฟังอ้างว่า คราวที่แล้ว บอกว่า กลุ่มBank , Construction Material อย่างละ40%
ถามว่ามีอุตสาหกรรมไหนที่ปรับตัวขึ้นได้อีก จะมีการปรับพอร์ตในกองทุนหรือไม่
ตอบว่า Bankเป็นอันดับหนึ่ง ตามด้วย Property เป็นอันดับสอง มองว่ายังlaggardในช่วง6เดือนแรก
เพราะ Flow ของ developer จะมาเน้นในช่วงครึ่งปีหลัง
กลุ่มBankยังดี แต่ที่โดดเด่นคือ property ในช่วงครึ่งปีหลัง
Propertyทางภาคใต้มีการทุจริต ทำให้มีการชะลอwork permit
เราต้องจับตาดูก่อน และ รอดูสัญญาณจากรัฐบาล
ซึ่งจะทำให้ตลาดหุ้นเวียดนามไปต่อได้
สุดท้ายขอขอบคุณ คุณ Rangsan และ คุณ Chatree มากๆนะครับ
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3472
ทางเลือกการลงทุนใหม่ของ อาจารย์ โจ ลูกอีสาน
ตลาดหุ้นไทยในช่วง1เดือนที่ผ่านมา ขึ้นมาจาก 1,572 เมื่อ 12 พค จนถึงวันที่ 11 มิย 2564 ขึ้นมา 64.71 จุด
หรือ ขึ้น 4.12% แต่ พบว่า หุ้นขนาดใหญ่ขึ้นน้อยมาก ยกเว้นมีหุ้นขนาดใหญ่ตัวนึงที่ดันตลาดไว้
ส่วนใหญ่ที่ขึ้นเยอะ จะเป็นหุ้นขนาดเล็กที่ขึ้นมาแรง
ดัชนีตลาดMAI ซึ่งเป็นตัวแทนของหุ้นขนาดเล็ก ขึ้นมากว่า 50% ถ้านับจากต้นปี ซึ่งการหาหุ้นที่จะลงทุนจะยากขึ้น
เมื่อกลางเดือน พค ได้พูดคุยกับ อาจารย์ ยังไม่มีการลงทุนในหุ้นกลุ่มใหม่เลย แต่หลังจากให้สัมภาษณ์กับ
รายการทันหุ้น พบว่า อาจารย์มีแนวทางการลงทุนใหม่แล้ว เรามาติดตามกันครับ
อาจารย์เล่าให้ฟังว่า ช่วงก่อนหน้า หาหุ้นที่จะลงทุนในไทยยากขึ้นกว่าเดิม ตอนนี้ลงทุนหุ้นไทยอยู่ 30ตัว
ในช่วง1เดือนที่ผ่านมา ได้อ่านบทความจากน้องสมาชิกของ Thaivi ได้โพสลงว่า หุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
ฮ่องกง หรือ H-share บางตัวที่จดใน A-share (ในจีนแผ่นดินใหญ่) แต่ราคาที่A-share มีpremiumมากกว่าที่ H-share
100% ทำให้เป็นจุดสนใจเริ่มลงทุนหุ้นรายตัว
แหล่งข้อมูลในการค้นหาหุ้น
1.Website AA Stock
2.Website ตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง
3.บทวิเคราะห์ฟรี จาก Broker ที่ฮ่องกง
ผู้ฟังบางท่านแย้งว่า ลงทุนกองทุนหุ้นจีน H-share ยังขาดทุนอยู่
อาจารย์บอกว่า ส่วนใหญ่กองทุนรวมจะออกกองตอนที่
Performanceดี เช่น ขึ้นไป 40-50% ทำให้ราคาที่ซื้อกองทุนไม่ถูก
และอีกเหตุผลคือ อาจารย์เคยลงทุนในETF หุ้นจีน ปรากฏว่า ETF ก็ขึ้นน้อยกว่า การขึ้นของหุ้นรายตัวมาก
สอดคล้องกับ อาจารย์ หลิน นายกสมาคมThaivi เคยบอกว่าลงทุนETF ในตลาดกำลังพัฒนา อาจสู้หุ้นรายตัวไม่ได้
เคยสอบถามอาจารย์โจว่า ถ้าลงทุนETFที่ไหนจึงจะได้ผลตอบแทนดี อาจารย์บอกว่า ตลาดที่พัฒนาแล้ว เช่น US
หุ้นรายตัว ที่อาจารย์สนใจลงทุนในH-share มีจุดเด่นคือ
1. ราคาถูกกว่าหุ้นไทย เช่นหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า พลังงานทดแทน PE 10 เท่าเอง
2. ปันผลดีกว่าหุ้นไทย ซึ่งตอนนี้อัตราปันผล 5.5% เทียบกับไทย เกือบ 3%
3. มีหุ้นใน new technologyให้เลือกลงทุน เช่น หุ้นinternet
หุ้นกลุ่ม EV อาจารย์ยังไม่สนใจลงทุน เพราะตอนนี้ยังหาผู้ชนะที่แท้จริงไม่ได้
คุณวอร์เรน บัฟเฟตต์ เคยกล่าวไว้ว่า ตอนรถยนต์จะเกิดขึ้นทดแทนรถม้า
เมื่อ100ปีก่อน มีบริษัทเข้ามาลงทุน 2,000 บริษัท แต่เหลือรอดมาถึงตอนนี้2 บริษัทคือ Ford,GM
ดังนั้นการลงทุนช่วงนี้ มีความเสี่ยงสูงเกินไป ไม่น่าสนใจ
เอาไว้รอรู้ว่า มีผู้ชนะ ค่อยเข้าไปลงทุน แต่อาจได้ผลตอบแทนไม่สูง
ซึ่งต้องลงก่อนที่จะรู้ว่าใครชนะ จึงจะได้ผลตอบแทนสูง
แต่ถ้าสนใจลงทุน ควรลงทุนในบริษัทในจีน ซึ่งมี 4-5 บริษัท และได้สิทธิประโยชน์ภาษีมาขายในไทย เสียภาษีน้อยมาก จะน่าลงทุนกว่า บริษัทในไทย ที่ลงEV แค่บางส่วน
กลยุทธ์ในการลงทุนและพอร์ตการลงทุนปัจจุบัน
ให้กระจายความเสียงในการลงทุน ตัวอาจารย์เองได้กระจายไปลงในหลายประเทศ
และหลายอุตสาหกรรมเกือบ 80บริษัท แบ่งเป็น
1.หุ้นไทย ประมาณ 30 ตัว ตอนนี้นอกจากหุ้นเล็กแล้ว ยังมีหุ้นขนาดกลางและใหญ่ที่สถาบันลงทุนด้วย
2.หุ้นUS 2 บริษัท ที่อยู่ในกลุ่ม FAANG (FB,Amazon,Apple,Netflix,Geogle) น่าจะเดาไม่ยากเพราะมีใช้บริการในไทยด้วย อาจารย์เลือกจากที่ใช้บริการบ่อยๆ
3.หุ้นเวียดนาม ประมาณ 15 ตัว
4.หุ้นในตลาดหุ้นฮ่องกง 20 ตัว
สำหรับหุ้นที่ได้ประโยชน์ในTheme เปิดเมืองนั้น พบว่า
อาจารย์บอกว่า ตอนนี้Covidเริ่มคลี่คลายหลังจากเริ่มฉีดวัคซีนไปแล้ว (ตอนนี้มากกว่า 5 ล้านโดส)
ตอนนี้ตลาดหุ้นไม่ค่อยสนใจเรื่องCovidแล้ว ดังนั้นจะมาเล่นหุ้นในTheme เปิดเมืองจะช้าไป
Q&A
1. หุ้นสนามบิน และ โรงแรมบางบริษัทตอนนี้ market cap มากกว่าตอนก่อนcovidแล้ว
2. กลุ่มก่อสร้าง จะมีรอบวัฐจักรของกลุ่มนี้ ไม่ค่อยเกี่ยวกับCovid ปีนี้มีโครงการภาครัฐมา
อาจเป็นรอบใหม่ของcycleก็ได้
3. กลุ่มธนาคาร ยังไม่ดี เพราะ เศรษฐกิจยังไม่ฟื้น ถ้าสนใจลงทุน ก็เลือกธนาคารที่ไม่มีพอร์ต
ในโรงแรง ท่องเที่ยว และ SMEมากนัก เน้นในสินเชื่อที่มีหลักประกันจะปลอดภัยกว่า
ข้อแนะนำสำหรับนักลงทุน
1. เน้นลงทุนหุ้นที่มีการเติบโตในระยะยาว
2. สำหรับคนที่เงินลงทุนน้อย ให้กระจายการลงทุนไปในหุ้นหลายตัว และ ห้ามซื้อหุ้นที่ไม่เติบโต
ตลาดหุ้นไทยในช่วง1เดือนที่ผ่านมา ขึ้นมาจาก 1,572 เมื่อ 12 พค จนถึงวันที่ 11 มิย 2564 ขึ้นมา 64.71 จุด
หรือ ขึ้น 4.12% แต่ พบว่า หุ้นขนาดใหญ่ขึ้นน้อยมาก ยกเว้นมีหุ้นขนาดใหญ่ตัวนึงที่ดันตลาดไว้
ส่วนใหญ่ที่ขึ้นเยอะ จะเป็นหุ้นขนาดเล็กที่ขึ้นมาแรง
ดัชนีตลาดMAI ซึ่งเป็นตัวแทนของหุ้นขนาดเล็ก ขึ้นมากว่า 50% ถ้านับจากต้นปี ซึ่งการหาหุ้นที่จะลงทุนจะยากขึ้น
เมื่อกลางเดือน พค ได้พูดคุยกับ อาจารย์ ยังไม่มีการลงทุนในหุ้นกลุ่มใหม่เลย แต่หลังจากให้สัมภาษณ์กับ
รายการทันหุ้น พบว่า อาจารย์มีแนวทางการลงทุนใหม่แล้ว เรามาติดตามกันครับ
อาจารย์เล่าให้ฟังว่า ช่วงก่อนหน้า หาหุ้นที่จะลงทุนในไทยยากขึ้นกว่าเดิม ตอนนี้ลงทุนหุ้นไทยอยู่ 30ตัว
ในช่วง1เดือนที่ผ่านมา ได้อ่านบทความจากน้องสมาชิกของ Thaivi ได้โพสลงว่า หุ้นที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
ฮ่องกง หรือ H-share บางตัวที่จดใน A-share (ในจีนแผ่นดินใหญ่) แต่ราคาที่A-share มีpremiumมากกว่าที่ H-share
100% ทำให้เป็นจุดสนใจเริ่มลงทุนหุ้นรายตัว
แหล่งข้อมูลในการค้นหาหุ้น
1.Website AA Stock
2.Website ตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง
3.บทวิเคราะห์ฟรี จาก Broker ที่ฮ่องกง
ผู้ฟังบางท่านแย้งว่า ลงทุนกองทุนหุ้นจีน H-share ยังขาดทุนอยู่
อาจารย์บอกว่า ส่วนใหญ่กองทุนรวมจะออกกองตอนที่
Performanceดี เช่น ขึ้นไป 40-50% ทำให้ราคาที่ซื้อกองทุนไม่ถูก
และอีกเหตุผลคือ อาจารย์เคยลงทุนในETF หุ้นจีน ปรากฏว่า ETF ก็ขึ้นน้อยกว่า การขึ้นของหุ้นรายตัวมาก
สอดคล้องกับ อาจารย์ หลิน นายกสมาคมThaivi เคยบอกว่าลงทุนETF ในตลาดกำลังพัฒนา อาจสู้หุ้นรายตัวไม่ได้
เคยสอบถามอาจารย์โจว่า ถ้าลงทุนETFที่ไหนจึงจะได้ผลตอบแทนดี อาจารย์บอกว่า ตลาดที่พัฒนาแล้ว เช่น US
หุ้นรายตัว ที่อาจารย์สนใจลงทุนในH-share มีจุดเด่นคือ
1. ราคาถูกกว่าหุ้นไทย เช่นหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า พลังงานทดแทน PE 10 เท่าเอง
2. ปันผลดีกว่าหุ้นไทย ซึ่งตอนนี้อัตราปันผล 5.5% เทียบกับไทย เกือบ 3%
3. มีหุ้นใน new technologyให้เลือกลงทุน เช่น หุ้นinternet
หุ้นกลุ่ม EV อาจารย์ยังไม่สนใจลงทุน เพราะตอนนี้ยังหาผู้ชนะที่แท้จริงไม่ได้
คุณวอร์เรน บัฟเฟตต์ เคยกล่าวไว้ว่า ตอนรถยนต์จะเกิดขึ้นทดแทนรถม้า
เมื่อ100ปีก่อน มีบริษัทเข้ามาลงทุน 2,000 บริษัท แต่เหลือรอดมาถึงตอนนี้2 บริษัทคือ Ford,GM
ดังนั้นการลงทุนช่วงนี้ มีความเสี่ยงสูงเกินไป ไม่น่าสนใจ
เอาไว้รอรู้ว่า มีผู้ชนะ ค่อยเข้าไปลงทุน แต่อาจได้ผลตอบแทนไม่สูง
ซึ่งต้องลงก่อนที่จะรู้ว่าใครชนะ จึงจะได้ผลตอบแทนสูง
แต่ถ้าสนใจลงทุน ควรลงทุนในบริษัทในจีน ซึ่งมี 4-5 บริษัท และได้สิทธิประโยชน์ภาษีมาขายในไทย เสียภาษีน้อยมาก จะน่าลงทุนกว่า บริษัทในไทย ที่ลงEV แค่บางส่วน
กลยุทธ์ในการลงทุนและพอร์ตการลงทุนปัจจุบัน
ให้กระจายความเสียงในการลงทุน ตัวอาจารย์เองได้กระจายไปลงในหลายประเทศ
และหลายอุตสาหกรรมเกือบ 80บริษัท แบ่งเป็น
1.หุ้นไทย ประมาณ 30 ตัว ตอนนี้นอกจากหุ้นเล็กแล้ว ยังมีหุ้นขนาดกลางและใหญ่ที่สถาบันลงทุนด้วย
2.หุ้นUS 2 บริษัท ที่อยู่ในกลุ่ม FAANG (FB,Amazon,Apple,Netflix,Geogle) น่าจะเดาไม่ยากเพราะมีใช้บริการในไทยด้วย อาจารย์เลือกจากที่ใช้บริการบ่อยๆ
3.หุ้นเวียดนาม ประมาณ 15 ตัว
4.หุ้นในตลาดหุ้นฮ่องกง 20 ตัว
สำหรับหุ้นที่ได้ประโยชน์ในTheme เปิดเมืองนั้น พบว่า
อาจารย์บอกว่า ตอนนี้Covidเริ่มคลี่คลายหลังจากเริ่มฉีดวัคซีนไปแล้ว (ตอนนี้มากกว่า 5 ล้านโดส)
ตอนนี้ตลาดหุ้นไม่ค่อยสนใจเรื่องCovidแล้ว ดังนั้นจะมาเล่นหุ้นในTheme เปิดเมืองจะช้าไป
Q&A
1. หุ้นสนามบิน และ โรงแรมบางบริษัทตอนนี้ market cap มากกว่าตอนก่อนcovidแล้ว
2. กลุ่มก่อสร้าง จะมีรอบวัฐจักรของกลุ่มนี้ ไม่ค่อยเกี่ยวกับCovid ปีนี้มีโครงการภาครัฐมา
อาจเป็นรอบใหม่ของcycleก็ได้
3. กลุ่มธนาคาร ยังไม่ดี เพราะ เศรษฐกิจยังไม่ฟื้น ถ้าสนใจลงทุน ก็เลือกธนาคารที่ไม่มีพอร์ต
ในโรงแรง ท่องเที่ยว และ SMEมากนัก เน้นในสินเชื่อที่มีหลักประกันจะปลอดภัยกว่า
ข้อแนะนำสำหรับนักลงทุน
1. เน้นลงทุนหุ้นที่มีการเติบโตในระยะยาว
2. สำหรับคนที่เงินลงทุนน้อย ให้กระจายการลงทุนไปในหุ้นหลายตัว และ ห้ามซื้อหุ้นที่ไม่เติบโต
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
-
- Verified User
- โพสต์: 1959
- ผู้ติดตาม: 1
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3473
ล้ำไปอีก ! "Zydus Cadila" วัคซีน DNA ตัวแรกของโลกไม่ต้องใช้เข็มฉีด
16 Jun 2021
ล้ำไปอีก ! "Zydus Cadila" วัคซีน DNA ตัวแรกของโลกไม่ต้องใช้เข็มฉีด
หมอเฉลิมชัยเผยข้อมูลวัคซีน DNA ตัวแรกของโลก บริษัท Zydus Cadila ของอินเดีย ระบุไม่ต้องใช้เข็มฉีด
รายงานข่าวระบุว่า น.พ.เฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ (หมอเฉลิมชัย) รองประธานกรรมาธิการการสาธารณสุข วุฒิสภา โพสต์ blockdit ส่วนตัว "ร้อยแปดพันเก้ากับหมอเฉลิมชัย" โดยระบุข้อความว่า
วัคซีน DNA ตัวแรกของโลก เป็นวัคซีนโควิดของบริษัท Zydus Cadila ประเทศอินเดีย ถ้าได้รับการอนุมัติในสถานการณ์ฉุกเฉิน และจะไม่ต้องใช้วิธีการฉีดอีกด้วย
มีรายงานข่าวจากบริษัท Zydus Cadila ของอินเดีย ซึ่งได้เร่งทำการวิจัยวัคซีนป้องกันโรคโควิด โดยใช้เทคโนโลยี DNA-plasmid ได้เริ่มทำการวิจัยเฟสหนึ่งมาตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2563 เฟสสอง เริ่มในเดือนสิงหาคม และเสร็จสมบูรณ์เดือนธันวาคม 2563 และได้เริ่มทดลองเฟสสาม ตั้งแต่มกราคม 2564 ในอาสาสมัครจำนวน 30,000 คน กำลังจะเสร็จสิ้นการวิจัยเฟสสามในหนึ่งสัปดาห์นี้
ทางบริษัทจะยื่นขออนุมัติใช้ในสถานการณ์ฉุกเฉิน (EUA) ต่อองค์กรควบคุมวัคซีนของอินเดียในสัปดาห์หน้า
วัคซีนนี้ เป็นเทคโนโลยี DNA ซึ่งมีบริษัท Inovio ของสหรัฐอเมริกาที่ทำการวิจัยตามมาติดๆ อยู่ในเฟสสอง
จุดเด่นของวัคซีนนี้คือ
1.จะสามารถฉีดในเด็กตั้งแต่อายุ 12 ปีขึ้นไป
2.สามารถเก็บที่อุณหภูมิห้อง 25 องศาเซลเซียส ได้ถึงสามเดือน ถ้าเก็บในตู้เย็นที่อุณหภูมิ 2-8 องศาเซลเซียส จะเก็บได้นานนับปี
3.ไม่จำเป็นจะต้องใช้เข็มฉีดยา (Needle Free Injection Syst : NFIS)แต่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง ใช้ความเร็วสูงผลักวัคซีนขนาดเล็กเข้าสู่ผิวหนังโดยตรง จะทำให้เด็กหรือคนที่กลัวเข็มฉีดยายอมรับการใช้วัคซีนชนิดนี้ได้ง่ายขึ้น
วัคซีน DNA ตัวแรกของโลก
วัคซีน DNA ตัวแรกของโลก
วัคซีนนี้เป็นลำดับที่สี่ ที่จะได้รับการจดทะเบียนในอินเดีย ตามหลัง
1.วัคซีน Covaxin ของบริษัท Bharat ซึ่งเป็นชนิดเชื้อตาย
2.วัคซีน Covishield ของ SII ซึ่งเป็นชนิดไวรัสเป็นพาหะ
3.วัคซีน Sputnik V ของรัสเซีย ซึ่งเป็นชนิดไวรัสเป็นพาหะเช่นกัน
กำลังการผลิตจะอยู่ที่ปีละ 120 ล้านเข็ม สามารถขยายเป็น 200 ล้านเข็มได้ด้วย
วัคซีนนี้ก็จะเป็นเทคโนโลยีเด่น เป็นลำดับที่ 5 ถัดจาก
1.mRNA
2.Inactivated
3.Protein based
4.Viral vector
แต่จะเป็นลำดับแรกของโลกในเทคโนโลยี DNA-plasmid
สำหรับวิธีการนำวัคซีนโควิด-19 (Covid-19) เข้าสู่ร่างกายในปัจจุบันนั้น นอกจากวิธีการฉีดด้วยเข็มฉีดยาตามรูปแบบดั้งเดิมแล้ว ยังมีด้วยกันอีกหลากหลายวิธีที่กำลังอยู่ในขั้นของการวิจัยและทดลองประสิทธิภาพ
"ฐานเศษฐกิจ" จึงได้รวบรวมข้อมูลให้เห็นว่า โลกยุคใหม่ได้มีการพัฒนานวัตกรรมไปแล้วขนาดไหน
1.วัคซีนชนิดสูดดม โดยปัจจุบันบริษัท CanSinoBio ของจีน ได้ยื่นขอจดทะเบียนวัคซีนชนิดสูดดมตัวแรกของประเทศจีนแล้ว เพื่อใช้ในสถานการณ์ฉุกเฉิน
วัคซีนนี้จะใช้วิธีการพ่นเป็นฝอยละออง (Nebulized Inhalation) เหมือนกับการพ่นยาขยายหลอดลมให้กับผู้ป่วยโรคหอบหืด (Asthma) วัคซีนดังกล่าว ซึ่งใช้ปริมาณเพียงหนึ่งในห้าของวัคซีนชนิดฉีด เป็นฝอยละอองขนาดเล็ก จะเข้าไปกระตุ้นให้เกิดภูมิต้านทานตลอดเยื่อบุของทางเดินหายใจ (Mucosal immunity) เพื่อป้องกันสกัดกั้นไม่ให้ไวรัสสามารถบุกเข้าไปในร่างกายได้
วัคซีนโควิดชนิดสูดดมตัวแรก "CanSinoBio" ยื่นจดทะเบียนในจีน "หมอเฉลิมชัย" เผยจุดเด่น 3 ข้อ
ปัจจุบันเป็นการวิจัยเฟสสอง ซึ่งโดยปกติจะต้องวิจัยเฟสสามต่อไป แต่ในสถานการณ์ฉุกเฉิน ก็จะมีวัคซีนหลายชนิด ได้รับการจดทะเบียนให้ใช้ในระหว่างการวิจัยพัฒนาเฟสสามไปด้วย (EUA : Emergency Use Authorization)
นอกจากนี้ บริษัทแอสตร้าเซเนก้า และบริษัทในอินเดียก็กำลังทำการศึกษาวัคซีนชนิดสูดเข้าปอดเช่นกัน
2.วัคซีนชนิดรับประทาน
วัคซีนชนิดรับประทานที่ทำเป็นเม็ดหรือแคปซูล ก็ได้มีความก้าวหน้าในการวิจัยพัฒนาในประเทศสหรัฐอเมริกาด้วยเช่นกัน
Oramed Phamaceuticals Inc. ได้จัดตั้งบริษัทลูก ร่วมกับบริษัท Premas Biotech ของอินเดีย ทำการวิจัยวัคซีนชนิดรับประทาน โดยได้มีการทดลองในสัตว์ทดลอง(Preclinical trial) เรียบร้อยแล้ว พบว่ากระตุ้นภูมิต้านทานทั้ง IgG และ IgA ได้ดี โดยเป็นลักษณะ VLP (Virus like Particle)
ล้ำอีกขั้น!วัคซีนโควิดชนิดรับประทานใกล้สำเร็จ "หมอเฉลิมชัย" ชี้สหรัฐอยู่ระหว่างวิจัยพัฒนา
ส่วนวัคซีนชนิดรับประทานอีกชนิดหนึ่งเป็นของ Vaxart’s ซึ่งก็ได้มีการพัฒนาจนพบว่า มีการกระตุ้นภูมิต้านทานต่อโควิด ในกลุ่มของ T-cell เป็นอย่างมาก
https://www.thansettakij.com/content/co ... 484177?as=
[/quote]
16 Jun 2021
ล้ำไปอีก ! "Zydus Cadila" วัคซีน DNA ตัวแรกของโลกไม่ต้องใช้เข็มฉีด
หมอเฉลิมชัยเผยข้อมูลวัคซีน DNA ตัวแรกของโลก บริษัท Zydus Cadila ของอินเดีย ระบุไม่ต้องใช้เข็มฉีด
รายงานข่าวระบุว่า น.พ.เฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ (หมอเฉลิมชัย) รองประธานกรรมาธิการการสาธารณสุข วุฒิสภา โพสต์ blockdit ส่วนตัว "ร้อยแปดพันเก้ากับหมอเฉลิมชัย" โดยระบุข้อความว่า
วัคซีน DNA ตัวแรกของโลก เป็นวัคซีนโควิดของบริษัท Zydus Cadila ประเทศอินเดีย ถ้าได้รับการอนุมัติในสถานการณ์ฉุกเฉิน และจะไม่ต้องใช้วิธีการฉีดอีกด้วย
มีรายงานข่าวจากบริษัท Zydus Cadila ของอินเดีย ซึ่งได้เร่งทำการวิจัยวัคซีนป้องกันโรคโควิด โดยใช้เทคโนโลยี DNA-plasmid ได้เริ่มทำการวิจัยเฟสหนึ่งมาตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2563 เฟสสอง เริ่มในเดือนสิงหาคม และเสร็จสมบูรณ์เดือนธันวาคม 2563 และได้เริ่มทดลองเฟสสาม ตั้งแต่มกราคม 2564 ในอาสาสมัครจำนวน 30,000 คน กำลังจะเสร็จสิ้นการวิจัยเฟสสามในหนึ่งสัปดาห์นี้
ทางบริษัทจะยื่นขออนุมัติใช้ในสถานการณ์ฉุกเฉิน (EUA) ต่อองค์กรควบคุมวัคซีนของอินเดียในสัปดาห์หน้า
วัคซีนนี้ เป็นเทคโนโลยี DNA ซึ่งมีบริษัท Inovio ของสหรัฐอเมริกาที่ทำการวิจัยตามมาติดๆ อยู่ในเฟสสอง
จุดเด่นของวัคซีนนี้คือ
1.จะสามารถฉีดในเด็กตั้งแต่อายุ 12 ปีขึ้นไป
2.สามารถเก็บที่อุณหภูมิห้อง 25 องศาเซลเซียส ได้ถึงสามเดือน ถ้าเก็บในตู้เย็นที่อุณหภูมิ 2-8 องศาเซลเซียส จะเก็บได้นานนับปี
3.ไม่จำเป็นจะต้องใช้เข็มฉีดยา (Needle Free Injection Syst : NFIS)แต่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง ใช้ความเร็วสูงผลักวัคซีนขนาดเล็กเข้าสู่ผิวหนังโดยตรง จะทำให้เด็กหรือคนที่กลัวเข็มฉีดยายอมรับการใช้วัคซีนชนิดนี้ได้ง่ายขึ้น
วัคซีน DNA ตัวแรกของโลก
วัคซีน DNA ตัวแรกของโลก
วัคซีนนี้เป็นลำดับที่สี่ ที่จะได้รับการจดทะเบียนในอินเดีย ตามหลัง
1.วัคซีน Covaxin ของบริษัท Bharat ซึ่งเป็นชนิดเชื้อตาย
2.วัคซีน Covishield ของ SII ซึ่งเป็นชนิดไวรัสเป็นพาหะ
3.วัคซีน Sputnik V ของรัสเซีย ซึ่งเป็นชนิดไวรัสเป็นพาหะเช่นกัน
กำลังการผลิตจะอยู่ที่ปีละ 120 ล้านเข็ม สามารถขยายเป็น 200 ล้านเข็มได้ด้วย
วัคซีนนี้ก็จะเป็นเทคโนโลยีเด่น เป็นลำดับที่ 5 ถัดจาก
1.mRNA
2.Inactivated
3.Protein based
4.Viral vector
แต่จะเป็นลำดับแรกของโลกในเทคโนโลยี DNA-plasmid
สำหรับวิธีการนำวัคซีนโควิด-19 (Covid-19) เข้าสู่ร่างกายในปัจจุบันนั้น นอกจากวิธีการฉีดด้วยเข็มฉีดยาตามรูปแบบดั้งเดิมแล้ว ยังมีด้วยกันอีกหลากหลายวิธีที่กำลังอยู่ในขั้นของการวิจัยและทดลองประสิทธิภาพ
"ฐานเศษฐกิจ" จึงได้รวบรวมข้อมูลให้เห็นว่า โลกยุคใหม่ได้มีการพัฒนานวัตกรรมไปแล้วขนาดไหน
1.วัคซีนชนิดสูดดม โดยปัจจุบันบริษัท CanSinoBio ของจีน ได้ยื่นขอจดทะเบียนวัคซีนชนิดสูดดมตัวแรกของประเทศจีนแล้ว เพื่อใช้ในสถานการณ์ฉุกเฉิน
วัคซีนนี้จะใช้วิธีการพ่นเป็นฝอยละออง (Nebulized Inhalation) เหมือนกับการพ่นยาขยายหลอดลมให้กับผู้ป่วยโรคหอบหืด (Asthma) วัคซีนดังกล่าว ซึ่งใช้ปริมาณเพียงหนึ่งในห้าของวัคซีนชนิดฉีด เป็นฝอยละอองขนาดเล็ก จะเข้าไปกระตุ้นให้เกิดภูมิต้านทานตลอดเยื่อบุของทางเดินหายใจ (Mucosal immunity) เพื่อป้องกันสกัดกั้นไม่ให้ไวรัสสามารถบุกเข้าไปในร่างกายได้
วัคซีนโควิดชนิดสูดดมตัวแรก "CanSinoBio" ยื่นจดทะเบียนในจีน "หมอเฉลิมชัย" เผยจุดเด่น 3 ข้อ
ปัจจุบันเป็นการวิจัยเฟสสอง ซึ่งโดยปกติจะต้องวิจัยเฟสสามต่อไป แต่ในสถานการณ์ฉุกเฉิน ก็จะมีวัคซีนหลายชนิด ได้รับการจดทะเบียนให้ใช้ในระหว่างการวิจัยพัฒนาเฟสสามไปด้วย (EUA : Emergency Use Authorization)
นอกจากนี้ บริษัทแอสตร้าเซเนก้า และบริษัทในอินเดียก็กำลังทำการศึกษาวัคซีนชนิดสูดเข้าปอดเช่นกัน
2.วัคซีนชนิดรับประทาน
วัคซีนชนิดรับประทานที่ทำเป็นเม็ดหรือแคปซูล ก็ได้มีความก้าวหน้าในการวิจัยพัฒนาในประเทศสหรัฐอเมริกาด้วยเช่นกัน
Oramed Phamaceuticals Inc. ได้จัดตั้งบริษัทลูก ร่วมกับบริษัท Premas Biotech ของอินเดีย ทำการวิจัยวัคซีนชนิดรับประทาน โดยได้มีการทดลองในสัตว์ทดลอง(Preclinical trial) เรียบร้อยแล้ว พบว่ากระตุ้นภูมิต้านทานทั้ง IgG และ IgA ได้ดี โดยเป็นลักษณะ VLP (Virus like Particle)
ล้ำอีกขั้น!วัคซีนโควิดชนิดรับประทานใกล้สำเร็จ "หมอเฉลิมชัย" ชี้สหรัฐอยู่ระหว่างวิจัยพัฒนา
ส่วนวัคซีนชนิดรับประทานอีกชนิดหนึ่งเป็นของ Vaxart’s ซึ่งก็ได้มีการพัฒนาจนพบว่า มีการกระตุ้นภูมิต้านทานต่อโควิด ในกลุ่มของ T-cell เป็นอย่างมาก
https://www.thansettakij.com/content/co ... 484177?as=
[/quote]
" สพฺเพ ธมฺมา นาลํ อภินิเวสาย "
" Whatever your mind can conceive and believe it can achieve "
" Whatever your mind can conceive and believe it can achieve "
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3474
อดีต VS อนาคตที่คนรุ่นใหม่อาจ ไม่ต้องมีหุ้นไทย ในมุมมองของ ดร นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
พูดคุย เจาะลึก โดย เฟิร์น ศิรัถยา อิศรภักดี
สรุปจากความเข้าใจของ แอดมิน เพจ Seminar Knowledge
ตลาดหลักทรัพย์ไทย เปิดทำการวันแรก 30 เมษายน 2518
อายุตลาดหลักทรัพย์ไทย ครบ 46 ปีแล้ว
ตลาดหลักทรัพย์ไทยช่วงที่1 พศ. 2518-2538
ถือว่าเป็นยุคเก็งกำไรอย่างแท้จริง ช่วงนี้ คนทำงานยังไม่เข้ามาลงทุน
มีแต่เศรษฐีมีเงิน ก็เข้ามาเก็งกำไร
เหมือนปลาใหญ่ไล่กินเหยื่อ พอเหยื่อหมด ก็มาไล่กินปลาเล็ก
(ประกอบกับไทย เริ่มมีEastern Seaboard ทำให้เกิดการจ้างแรงงาน
มีเงินทุนไหลจากต่างประเทศ จาก BIBF การกู้เงินจากต่างประเทศก็ง่าย
ดอกเบี้ยถูกกว่าไทยเยอะ
ทำให้หุ้นไทย หลังจากเกิดพฤษภา ทมิฬ เพิ่มอย่างรวดเร็ว
ประกอบ กองทุนรวม เริ่มขยับขยาย จาก เมื่อก่อนมีแค่ บลจ เอ็มเอฟซี เพียงแห่งเดียว
ก็เริ่มอนุญาตให้เปิดบลจ เพิ่มขึ้น ทำให้ระดมเงินทุนจากประชาชนเข้ามาลงทุนหุ้นได้
จำได้ว่า ตอน ipo ถ้าไม่ได้จอง หรือไม่มีเงินฝากอยู่เยอะ ก็จองไม่ได้ )
ตอนนั้นบรรยากาศคึกคักมาก คนมีเงินที่ชอบเสี่ยงดวง ก็เข้ามาเล่นหุ้นในตลาดหลักทรัพย์
โดย จะเข้าไปนั่งในห้องค้าหลักทรัพย์ ซึ่งตอนนั้น ถือเป็นสังคมการลงทุนอีกแบบนึง
(มีการหาข้อมูลจากห้องค้า ซึ่งส่วนใหญ่เป็นข่าวลือบ้างจริงบ้าง นำข้อมูลมาเก็งกำไร
แต่เดี๋ยวนี้ เนื่องจากสามารถซื้อขาย ผ่านมือถือได้ ห้องค้าต่างๆก็ยุบหายไป)
หลังจากดัชนีพุ่งทำ new highในวันที่ 4มค 2537 ที่ 1789 จุด
ก็ปรับตัวลดลงมาตลอด สร้างความเสียหายให้กับนักลงทุนรายย่อยมากมาย
จนกระทั่ง นักลงทุนกลุ่มนี้ที่ขาดทุนหนัก และ หายจากตลาดหุ้นไป
ตลาดหลักทรัพย์ไทย ช่วงที่2 พศ. 2540
ซึ่งเปลี่ยนจาก การเก็งกำไร มาเป็นยุควีไอ ช่วงแรกๆ
(ดร นิเวศน์ เริ่มก่อนลงทุนก่อนนั้น ตอนดัชนีประมาณ 800 จุด แต่เลือกลงทุนหุ้นที่
มีปันผล 10% ดังนั้นตอนดัชนีตกต่ำสุด 204 จุด ปรากฏว่า หุ้นที่ถือไม่ขาดทุนแถมได้ปันผลด้วย
ตอนนั้น พอร์ตเริ่มต้น 10 ล้านบาท ปันผล 1ล้านบาท ก็สามารถอยู่ได้แล้ว
ถือว่า อาจารย์มีอิสรภาพทางการเงินแล้วตั้งแต่ช่วงนั้น อาจารย์ก็ออกหนังสือ ตีแตก ซึ่งถือเป็นหนังสือที่
คนลงทุนแนววีไอ จะอ่านเป็นเล่มแรก จะพูดถึงกลยุทธ์การลงทุนหุ้นที่ผ่านมาของอาจารย์)
หลักการ คือ หาหุ้นที่ราคาถูก ปันผลดี ซึ่งตอนนั้น หุ้นดีๆ ปันผลสูง PE แค่5 เท่าเอง และ ถือหุ้นยาวๆไป
อาจารย์ถือหุ้นบางตัวถึง 20 ปี
ช่วงนั้นก็มีก่อตั้ง สมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า(ประเทศไทย) ขึ้นมา
นักลงทุนวีไอที่ลงทุนช่วงแรก ก็มี พี่ พีรนารถ และ ไก่ ธันวา อดีต CEO IBM และ อดีตนายกสมาคมThaiviคนแรก
ที่ลงทุนในแนววีไอ จนถึงตอนนี้
(ช่วงหลังวิกฤตต้มยำกุ้ง ทางการอยากส่งเสริมตลาดหุ้นไทย เลยมีการริเริ่ม
กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองประหยัดภาษี RMF,LTF ทำให้มีเงินสถาบันเข้ามาลงทุนในหุ้นเยอะขึ้น)
นักลงทุนที่เข้ามาลงทุน มีการศึกษาดีขึ้น จนถึง เคยเป็นที่1ในการสอบข้าวของประเทศไทย
มีทั้ง วิศวกร หมอ เข้ามาลงทุนแทน ส่วนนักลงทุนที่ลงทุนก่อนหน้านั้นช่วงต้มยำกุ้ง ขาดทุน
ก็สาปแช่ง และ ห้ามลูกหลานเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย
ตลาดหลักทรัพย์ไทย ช่วงที่ 3 เปลี่ยนจาก หุ้นvalue มาเป็น value growth
หลังจากเกิด วิกฤต Subprime ทำให้ดัชนีหุ้นไทยตกจาก 900 จุด มาที่ 380 จุด
แนวทางการลงทุนของนักลงทุนวีไอรุ่นใหม่ตอนนั้น เปลี่ยนจาก การลงทุนแบบ value
มาเป็น Value growth ถือเป็น วีไอยุคที่สอง เพราะว่า หุ้นราคาถูกๆแบบช่วงที่2 หายาก
และระยะเวลาในการถือหุ้น ก็สั้นลง ไม่ได้ถือยาวเหมือน ยุควีไอตอนแรก
ดัชนีก็ปรับจาก 380 จุดมาที่ 1,650 จุด ในปี พศ 2556
สร้างวีไอมากมายในช่วงนั้น ถือเป็นยุคทองของวีไออีกยุคนึง
ตลาดหลักทรัพย์ไทย ช่วงที่4 ปี พศ 2559
เปลี่ยนจาก Value growth เป็น growth อย่างเดียว
ช่วงนี้ อาจารย์บอกว่า การลงทุนแนววีไอ ช่วงนี้ไม่ค่อยworkแล้ว (อาจมาจาก หุ้นมีราคาแพงมาก
หาหุ้นแนววีไอยากขึ้น ) คนก็เลยไปหาหุ้นgrowth ลงทุน
ซึ่งอาจารย์เคยเตือนว่า หุ้นgrowth จริงๆอาจไม่growthจริง เช่นหุ้นที่ขยายตลาดไปต่างประเทศ
อาจไม่โตจริง ซึ่งหลังจากนั้นปีเดียว คนก็เริ่มเห็นจริง ทำให้ราคาหุ้นกลุ่มนางฟ้าตกสวรรค์กันหมด
ตอนนี้อาจารย์ เริ่มมีย้ายเงินลงทุนส่วนนึงไปลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนาม ซึ่งสามารถอ่านรายละเอียด
ได้จากบทความที่สรุปก่อนหน้านี้
ดังนั้น พอร์ต อาจารย์ แบ่งเป็น ไทย 80% และ เวีดยนาม 20%
อาจารย์บอกว่า ต่อไป เราอาศัยอยู่ประเทศนึง แต่ไปลงทุนในอีกประเทศนึงได้
ตลาดหลักทรัพย์ไทยยังไม่ได้ถึง ยุคที่5คือ ยุคลงทุนใน passive fund ซึ่งเหมาะกับประเทศที่พัฒนาแล้ว
สำหรับคนที่พึ่งเริ่มเข้ามาลงทุน ก็สามารถลงทุนใน ETF ได้โดย น้องเฟิร์น สรุปจากที่อาจารย์เคยพูดดังนี้
แบ่งเป็น4 ส่วน โดยลงใน เวียดนาม , จีน , US , อินเดีย
อาจารย์บอกว่า อินเดีย น่าสนใจ แต่ยังไม่ได้ลงทุน
พูดคุย เจาะลึก โดย เฟิร์น ศิรัถยา อิศรภักดี
สรุปจากความเข้าใจของ แอดมิน เพจ Seminar Knowledge
ตลาดหลักทรัพย์ไทย เปิดทำการวันแรก 30 เมษายน 2518
อายุตลาดหลักทรัพย์ไทย ครบ 46 ปีแล้ว
ตลาดหลักทรัพย์ไทยช่วงที่1 พศ. 2518-2538
ถือว่าเป็นยุคเก็งกำไรอย่างแท้จริง ช่วงนี้ คนทำงานยังไม่เข้ามาลงทุน
มีแต่เศรษฐีมีเงิน ก็เข้ามาเก็งกำไร
เหมือนปลาใหญ่ไล่กินเหยื่อ พอเหยื่อหมด ก็มาไล่กินปลาเล็ก
(ประกอบกับไทย เริ่มมีEastern Seaboard ทำให้เกิดการจ้างแรงงาน
มีเงินทุนไหลจากต่างประเทศ จาก BIBF การกู้เงินจากต่างประเทศก็ง่าย
ดอกเบี้ยถูกกว่าไทยเยอะ
ทำให้หุ้นไทย หลังจากเกิดพฤษภา ทมิฬ เพิ่มอย่างรวดเร็ว
ประกอบ กองทุนรวม เริ่มขยับขยาย จาก เมื่อก่อนมีแค่ บลจ เอ็มเอฟซี เพียงแห่งเดียว
ก็เริ่มอนุญาตให้เปิดบลจ เพิ่มขึ้น ทำให้ระดมเงินทุนจากประชาชนเข้ามาลงทุนหุ้นได้
จำได้ว่า ตอน ipo ถ้าไม่ได้จอง หรือไม่มีเงินฝากอยู่เยอะ ก็จองไม่ได้ )
ตอนนั้นบรรยากาศคึกคักมาก คนมีเงินที่ชอบเสี่ยงดวง ก็เข้ามาเล่นหุ้นในตลาดหลักทรัพย์
โดย จะเข้าไปนั่งในห้องค้าหลักทรัพย์ ซึ่งตอนนั้น ถือเป็นสังคมการลงทุนอีกแบบนึง
(มีการหาข้อมูลจากห้องค้า ซึ่งส่วนใหญ่เป็นข่าวลือบ้างจริงบ้าง นำข้อมูลมาเก็งกำไร
แต่เดี๋ยวนี้ เนื่องจากสามารถซื้อขาย ผ่านมือถือได้ ห้องค้าต่างๆก็ยุบหายไป)
หลังจากดัชนีพุ่งทำ new highในวันที่ 4มค 2537 ที่ 1789 จุด
ก็ปรับตัวลดลงมาตลอด สร้างความเสียหายให้กับนักลงทุนรายย่อยมากมาย
จนกระทั่ง นักลงทุนกลุ่มนี้ที่ขาดทุนหนัก และ หายจากตลาดหุ้นไป
ตลาดหลักทรัพย์ไทย ช่วงที่2 พศ. 2540
ซึ่งเปลี่ยนจาก การเก็งกำไร มาเป็นยุควีไอ ช่วงแรกๆ
(ดร นิเวศน์ เริ่มก่อนลงทุนก่อนนั้น ตอนดัชนีประมาณ 800 จุด แต่เลือกลงทุนหุ้นที่
มีปันผล 10% ดังนั้นตอนดัชนีตกต่ำสุด 204 จุด ปรากฏว่า หุ้นที่ถือไม่ขาดทุนแถมได้ปันผลด้วย
ตอนนั้น พอร์ตเริ่มต้น 10 ล้านบาท ปันผล 1ล้านบาท ก็สามารถอยู่ได้แล้ว
ถือว่า อาจารย์มีอิสรภาพทางการเงินแล้วตั้งแต่ช่วงนั้น อาจารย์ก็ออกหนังสือ ตีแตก ซึ่งถือเป็นหนังสือที่
คนลงทุนแนววีไอ จะอ่านเป็นเล่มแรก จะพูดถึงกลยุทธ์การลงทุนหุ้นที่ผ่านมาของอาจารย์)
หลักการ คือ หาหุ้นที่ราคาถูก ปันผลดี ซึ่งตอนนั้น หุ้นดีๆ ปันผลสูง PE แค่5 เท่าเอง และ ถือหุ้นยาวๆไป
อาจารย์ถือหุ้นบางตัวถึง 20 ปี
ช่วงนั้นก็มีก่อตั้ง สมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า(ประเทศไทย) ขึ้นมา
นักลงทุนวีไอที่ลงทุนช่วงแรก ก็มี พี่ พีรนารถ และ ไก่ ธันวา อดีต CEO IBM และ อดีตนายกสมาคมThaiviคนแรก
ที่ลงทุนในแนววีไอ จนถึงตอนนี้
(ช่วงหลังวิกฤตต้มยำกุ้ง ทางการอยากส่งเสริมตลาดหุ้นไทย เลยมีการริเริ่ม
กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองประหยัดภาษี RMF,LTF ทำให้มีเงินสถาบันเข้ามาลงทุนในหุ้นเยอะขึ้น)
นักลงทุนที่เข้ามาลงทุน มีการศึกษาดีขึ้น จนถึง เคยเป็นที่1ในการสอบข้าวของประเทศไทย
มีทั้ง วิศวกร หมอ เข้ามาลงทุนแทน ส่วนนักลงทุนที่ลงทุนก่อนหน้านั้นช่วงต้มยำกุ้ง ขาดทุน
ก็สาปแช่ง และ ห้ามลูกหลานเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย
ตลาดหลักทรัพย์ไทย ช่วงที่ 3 เปลี่ยนจาก หุ้นvalue มาเป็น value growth
หลังจากเกิด วิกฤต Subprime ทำให้ดัชนีหุ้นไทยตกจาก 900 จุด มาที่ 380 จุด
แนวทางการลงทุนของนักลงทุนวีไอรุ่นใหม่ตอนนั้น เปลี่ยนจาก การลงทุนแบบ value
มาเป็น Value growth ถือเป็น วีไอยุคที่สอง เพราะว่า หุ้นราคาถูกๆแบบช่วงที่2 หายาก
และระยะเวลาในการถือหุ้น ก็สั้นลง ไม่ได้ถือยาวเหมือน ยุควีไอตอนแรก
ดัชนีก็ปรับจาก 380 จุดมาที่ 1,650 จุด ในปี พศ 2556
สร้างวีไอมากมายในช่วงนั้น ถือเป็นยุคทองของวีไออีกยุคนึง
ตลาดหลักทรัพย์ไทย ช่วงที่4 ปี พศ 2559
เปลี่ยนจาก Value growth เป็น growth อย่างเดียว
ช่วงนี้ อาจารย์บอกว่า การลงทุนแนววีไอ ช่วงนี้ไม่ค่อยworkแล้ว (อาจมาจาก หุ้นมีราคาแพงมาก
หาหุ้นแนววีไอยากขึ้น ) คนก็เลยไปหาหุ้นgrowth ลงทุน
ซึ่งอาจารย์เคยเตือนว่า หุ้นgrowth จริงๆอาจไม่growthจริง เช่นหุ้นที่ขยายตลาดไปต่างประเทศ
อาจไม่โตจริง ซึ่งหลังจากนั้นปีเดียว คนก็เริ่มเห็นจริง ทำให้ราคาหุ้นกลุ่มนางฟ้าตกสวรรค์กันหมด
ตอนนี้อาจารย์ เริ่มมีย้ายเงินลงทุนส่วนนึงไปลงทุนในตลาดหุ้นเวียดนาม ซึ่งสามารถอ่านรายละเอียด
ได้จากบทความที่สรุปก่อนหน้านี้
ดังนั้น พอร์ต อาจารย์ แบ่งเป็น ไทย 80% และ เวีดยนาม 20%
อาจารย์บอกว่า ต่อไป เราอาศัยอยู่ประเทศนึง แต่ไปลงทุนในอีกประเทศนึงได้
ตลาดหลักทรัพย์ไทยยังไม่ได้ถึง ยุคที่5คือ ยุคลงทุนใน passive fund ซึ่งเหมาะกับประเทศที่พัฒนาแล้ว
สำหรับคนที่พึ่งเริ่มเข้ามาลงทุน ก็สามารถลงทุนใน ETF ได้โดย น้องเฟิร์น สรุปจากที่อาจารย์เคยพูดดังนี้
แบ่งเป็น4 ส่วน โดยลงใน เวียดนาม , จีน , US , อินเดีย
อาจารย์บอกว่า อินเดีย น่าสนใจ แต่ยังไม่ได้ลงทุน
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้