จากนี้ไป จะไม่เป้น VI อีกแล้ว
จากนี้ไป จะไม่เป้น VI อีกแล้ว
โพสต์ที่ 1
สวัสดีเพื่อนๆ พี่น้อง ทุกท่านครับ ปกติไม่ค่อยชอบโพสอะไรเท่าไร ขี้เกียจเรียบเรียง ขี้เกียจพิมพ์ แต่ช่วงนี้ว่างๆ เลยขอแชร์อะไรสักนิดครับ
ที่จริงตอนนี้อาจช้าไปนิด ที่จะพูดถึงวิกฤต เพราะ ณ วันนี้ set อยู่ที่เกือบๆ 1600 จุด ซึ่งใกล้ๆ กับปลายปี 2019 (2562) โดยรวมก็คงหมายถึงว่า ช่วงนี้ คนที่ลงทุนหุ้นไทย หลายๆท่าน มูลค่าพอร์ตน่าจะเริ่มกลับมาที่จุดเดิมกันเป็นส่วนใหญ่แล้ว
กลับมาได้เร็ว กลับมาได้ช้า ก็อย่าเปรียบเทียบกับคนอื่นมากครับ กลับมาได้คือดีหมด
บางท่านพอร์ตก็ได้ทะลุจุดเดิม new high ไปไกลแล้ว
ส่วนท่านที่ยังไม่กลับมาถึงจุดเดิม ก็ขอเป็นกำลังใจให้ครับ โดยรวมคิดว่าอย่างน้อยมูลค่าพอร์ตก็คงดีขึ้นกว่าช่วงวิกฤตมากๆแล้ว อีกอย่าง อันที่จริง วิกฤตเกิดขึ้น แล้วตัวเรา รวมถึงครอบครัวเรา ยังแข็งแรงดี ไม่มีใครเป็นอะไรไป อย่างน้อย ก็ถือเป็นโชคดีที่น่าพอใจ ในตัวของมันเองอยู่แล้วครับ ก็ถือโอกาสขอให้ทุกท่านปลอดภัยไปจนกระทั่งปัญหาโควิดจากเราไป
ระหว่างเกิดวิกฤต ตั้งแต่ปีที่แล้ว จนถึงวันนี้ แต่ละท่าน ก็คงมี action หรือแนวทางปฏิบัติที่แตกต่างกัน ก็อยู่ที่ฝีมือ + ดวง ว่าใครจะได้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจมากแค่ไหน
เมื่อไม่นานมานี้ (ช่วงต้นปี) ผมได้เจอนักลงทุนท่านนึง บอกในทำนองว่า “จากนี้ไป จะไม่เป็น VI อีกแล้ว” สิ่งนี้จะไม่ทำให้ผมกลับมานั่งคิดเลย ถ้าคนคนนี้ เป็นคนทั่วๆไป ที่ไม่คุ้นเคยกับตลาดหุ้น แต่บังเอิญว่าท่านนี้เป็นคนนึงที่ผมคิดว่าเก่งมาก แล้วที่ผ่านมา เค้าได้ลงทุนโดยดูปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก ดูความแข็งแกร่งของบริษัท การเติบโต ประเมินมูลค่า รวมถึงทนถือหุ้นตัวนึงได้หลายปี จนได้เป็นเด้งๆ พอร์ตของเขา โตขึ้นมาก ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา นั่นเลยทำให้ผมอดไม่ได้ ที่จะกลับมานั่งคิดทบทวนต่อ หลังจากเค้าบอกแบบนั้น
อะไรที่ทำให้คนที่ลงทุนแนวนี้ แล้วได้ผลดีมาหลายปี จะมีทัศนคติที่เปลี่ยนไปได้ ?
• ผมคิดเอาเองว่า มันน่าจะเกิดจากการไม่ได้เตรียมใจ ว่าจะเจอวิกฤตครับ ท่านนี้อาจไม่เคยเจอ ช่วงต้มยำกุ้ง หรือ ซับไพร์ม ซึ่งเป็นช่วงที่หุ้นลงทุนวัน ลงต่อๆกันไปหลายๆจุดมาก่อน
• ไม่ก็อาจจะทราบอยู่แล้ว ว่าลงทุนไปเรื่อยๆ วันนึง ก็ต้องมีวิกฤต เพียงแต่ไมได้เตรียมใจมาก่อนว่า พอวิกฤตเกิดขึ้น แล้วหุ้นของตัวเองจะลงเยอะๆตามตลาดไปด้วย
การไม่ได้เตรียมใจ ไม่ว่าจะแบบแรกหรือแบบที่สองก็ตาม จึงทำให้เกิดบาดแผลในจิตใจ ในช่วงนั้นตกเย็นเปิดดูราคาปิดแต่ละวัน เห้นแต่มูลค่าพอรตตัวเองค่อยๆลดลง ยิ่งถ้าคิดเป็นเงินหลายล้าน มันยากที่จะหาด้วยวิธีไหนมากลบ ยิ่งเครียดหนัก
เรื่องนี้จึงเหมือนเป็นการทบทวนให้กับนักลงทุน โดยเฉพาะคนที่ประสบการณ์ยังน้อย ให้เตรียมใจว่าวันนึงก็ต้องเจอวิกฤตอีก แต่คงไม่ใช่เร็วๆ หรือในปีสองปีนี้ละ อาจเป็นอีก 5 ปี 10 ปี ข้างหน้า ถึงเวลานั้นอย่าได้คิดว่าหุ้น พฐ ดีของเรา จะไม่ลงตามตลาดไปด้วยครับ เพียงแต่ว่าถ้าของเราดี สุดท้ายมันก็จะดูแลตัวมันเอง แล้วกลับมาได้เองครับ
ในทางกลับกัน ระหว่างเส้นทางของการลงทุน อย่าได้ซื้อๆขายๆ เก็งตลาดตก ให้มากนัก เพราะตลาดมันตกหนักจริงๆ ไม่บ่อย การทำแบบนี้ จะเข้าทำนอง เกิดวิกฤตที่เราส้รางขึ้นเอง (ที่ อ.โจ เคยกล่าวไว้ครับ)
489: แล้วมันก็จะผ่านไป ยังเป็นมนตราที่ใช้การได้อยู่
ที่จริงตอนนี้อาจช้าไปนิด ที่จะพูดถึงวิกฤต เพราะ ณ วันนี้ set อยู่ที่เกือบๆ 1600 จุด ซึ่งใกล้ๆ กับปลายปี 2019 (2562) โดยรวมก็คงหมายถึงว่า ช่วงนี้ คนที่ลงทุนหุ้นไทย หลายๆท่าน มูลค่าพอร์ตน่าจะเริ่มกลับมาที่จุดเดิมกันเป็นส่วนใหญ่แล้ว
กลับมาได้เร็ว กลับมาได้ช้า ก็อย่าเปรียบเทียบกับคนอื่นมากครับ กลับมาได้คือดีหมด
บางท่านพอร์ตก็ได้ทะลุจุดเดิม new high ไปไกลแล้ว
ส่วนท่านที่ยังไม่กลับมาถึงจุดเดิม ก็ขอเป็นกำลังใจให้ครับ โดยรวมคิดว่าอย่างน้อยมูลค่าพอร์ตก็คงดีขึ้นกว่าช่วงวิกฤตมากๆแล้ว อีกอย่าง อันที่จริง วิกฤตเกิดขึ้น แล้วตัวเรา รวมถึงครอบครัวเรา ยังแข็งแรงดี ไม่มีใครเป็นอะไรไป อย่างน้อย ก็ถือเป็นโชคดีที่น่าพอใจ ในตัวของมันเองอยู่แล้วครับ ก็ถือโอกาสขอให้ทุกท่านปลอดภัยไปจนกระทั่งปัญหาโควิดจากเราไป
ระหว่างเกิดวิกฤต ตั้งแต่ปีที่แล้ว จนถึงวันนี้ แต่ละท่าน ก็คงมี action หรือแนวทางปฏิบัติที่แตกต่างกัน ก็อยู่ที่ฝีมือ + ดวง ว่าใครจะได้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจมากแค่ไหน
เมื่อไม่นานมานี้ (ช่วงต้นปี) ผมได้เจอนักลงทุนท่านนึง บอกในทำนองว่า “จากนี้ไป จะไม่เป็น VI อีกแล้ว” สิ่งนี้จะไม่ทำให้ผมกลับมานั่งคิดเลย ถ้าคนคนนี้ เป็นคนทั่วๆไป ที่ไม่คุ้นเคยกับตลาดหุ้น แต่บังเอิญว่าท่านนี้เป็นคนนึงที่ผมคิดว่าเก่งมาก แล้วที่ผ่านมา เค้าได้ลงทุนโดยดูปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก ดูความแข็งแกร่งของบริษัท การเติบโต ประเมินมูลค่า รวมถึงทนถือหุ้นตัวนึงได้หลายปี จนได้เป็นเด้งๆ พอร์ตของเขา โตขึ้นมาก ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา นั่นเลยทำให้ผมอดไม่ได้ ที่จะกลับมานั่งคิดทบทวนต่อ หลังจากเค้าบอกแบบนั้น
อะไรที่ทำให้คนที่ลงทุนแนวนี้ แล้วได้ผลดีมาหลายปี จะมีทัศนคติที่เปลี่ยนไปได้ ?
• ผมคิดเอาเองว่า มันน่าจะเกิดจากการไม่ได้เตรียมใจ ว่าจะเจอวิกฤตครับ ท่านนี้อาจไม่เคยเจอ ช่วงต้มยำกุ้ง หรือ ซับไพร์ม ซึ่งเป็นช่วงที่หุ้นลงทุนวัน ลงต่อๆกันไปหลายๆจุดมาก่อน
• ไม่ก็อาจจะทราบอยู่แล้ว ว่าลงทุนไปเรื่อยๆ วันนึง ก็ต้องมีวิกฤต เพียงแต่ไมได้เตรียมใจมาก่อนว่า พอวิกฤตเกิดขึ้น แล้วหุ้นของตัวเองจะลงเยอะๆตามตลาดไปด้วย
การไม่ได้เตรียมใจ ไม่ว่าจะแบบแรกหรือแบบที่สองก็ตาม จึงทำให้เกิดบาดแผลในจิตใจ ในช่วงนั้นตกเย็นเปิดดูราคาปิดแต่ละวัน เห้นแต่มูลค่าพอรตตัวเองค่อยๆลดลง ยิ่งถ้าคิดเป็นเงินหลายล้าน มันยากที่จะหาด้วยวิธีไหนมากลบ ยิ่งเครียดหนัก
เรื่องนี้จึงเหมือนเป็นการทบทวนให้กับนักลงทุน โดยเฉพาะคนที่ประสบการณ์ยังน้อย ให้เตรียมใจว่าวันนึงก็ต้องเจอวิกฤตอีก แต่คงไม่ใช่เร็วๆ หรือในปีสองปีนี้ละ อาจเป็นอีก 5 ปี 10 ปี ข้างหน้า ถึงเวลานั้นอย่าได้คิดว่าหุ้น พฐ ดีของเรา จะไม่ลงตามตลาดไปด้วยครับ เพียงแต่ว่าถ้าของเราดี สุดท้ายมันก็จะดูแลตัวมันเอง แล้วกลับมาได้เองครับ
ในทางกลับกัน ระหว่างเส้นทางของการลงทุน อย่าได้ซื้อๆขายๆ เก็งตลาดตก ให้มากนัก เพราะตลาดมันตกหนักจริงๆ ไม่บ่อย การทำแบบนี้ จะเข้าทำนอง เกิดวิกฤตที่เราส้รางขึ้นเอง (ที่ อ.โจ เคยกล่าวไว้ครับ)
489: แล้วมันก็จะผ่านไป ยังเป็นมนตราที่ใช้การได้อยู่
- astro345
- Verified User
- โพสต์: 479
- ผู้ติดตาม: 0
Re: จากนี้ไป จะไม่เป้น VI อีกแล้ว
โพสต์ที่ 3
คนที่คิดแบบนี้จริงๆลึกๆแล้วเค้าก็ไม่ได้เป็นวีไอแต่แรกแล้วละครับ. เพียงแต่ตามๆกระแสไปเท่านั้น ก็อย่างที่ อ.ดร.นิเวศน์และพี่ๆ วีไอเก่งๆ ในบอร์ดนี้หลายท่านบอกครับถ้าเราศรัทธาและเชื่อมั่นในหลักการวีไอ หลักของความมีเหตุ-ผล และไม่หยุดเรียนรู้ อดทนรอคอยได้ สุดท้ายเราจะประสบความสำเร็จมีอิสระภาพทางการเงินแน่นอน(ถึงแม้ตอนนี้ยังอยู่ในสนามแข่งหนู)
-
- Verified User
- โพสต์: 184
- ผู้ติดตาม: 0
Re: จากนี้ไป จะไม่เป้น VI อีกแล้ว
โพสต์ที่ 4
อย่ายึดติดครับ
vi เป็นเกมส์ระยะยาว เป็นเกมส์ระดับสูง เทคนิคไม่มีอะไรมาก ซื้อหุ้นต่ำกว่ามูลค่า ถือ รอ แล้วขายเมื่อเกินมูลค่า
กลยุทธ์อื่นก็ให้ผลตอบแทนที่ดีได้เหมือนกัน ไม่แพ้ vi
vi เป็นเกมส์ระยะยาว เป็นเกมส์ระดับสูง เทคนิคไม่มีอะไรมาก ซื้อหุ้นต่ำกว่ามูลค่า ถือ รอ แล้วขายเมื่อเกินมูลค่า
กลยุทธ์อื่นก็ให้ผลตอบแทนที่ดีได้เหมือนกัน ไม่แพ้ vi
“ กำไรเมื่อซื้อ ไม่ใช่เมื่อขาย ”
Cr.Richdad
Cr.Richdad
-
- Verified User
- โพสต์: 201
- ผู้ติดตาม: 0
Re: จากนี้ไป จะไม่เป้น VI อีกแล้ว
โพสต์ที่ 5
ถ้าขยันศึกษาหาข้อมูล ข่าวสาร และแนวทางในการปรับตัว(ให้เข้ากับการลงทุนได้ในทุกสภาวะตลาด) วันละสัก 8- 10 ชม.ขึ้นไป ก็อาจจะได้ผลลัพธ์อีกด้านที่น่าจะได้คำตอบที่ดีขึ้น ก็(อาจจะ)เป็นได้ครับ
เพราะงบกำไรที่แท้จริง(จากเนื้อในของกิจการ) ไม่เคยหลอกใคร
#ด้วยความเคารพ
Liu De Hua (Mr.China)
เพราะงบกำไรที่แท้จริง(จากเนื้อในของกิจการ) ไม่เคยหลอกใคร
#ด้วยความเคารพ
Liu De Hua (Mr.China)
Re: จากนี้ไป จะไม่เป้น VI อีกแล้ว
โพสต์ที่ 6
จับใจความได้ประมาณว่า พอเครียดมากๆ เลยไป ขายบางส่วน ตอน แถวๆ 1000 ครับ
พอลงต่ออีกสักพัก แล้วตลาดมันดีด เลยยิ่งเสียดาย
ตอนนี้น่าจะแนวๆนั้นครับ ไปแนวกราฟแนวเก็งกำไรครับ
อันนี้ตอบท่านอื่น
ปล. ไม่ได้จะสื่อว่าวิธีไหน สายไหนอะไรดีไม่ดีนะครับ ผมสังเกตเห็นคนกลับมาได้เร็วๆ ก็มีหลายแบบครับ
ส่วนที่คิดว่าน่าสนใจสำหรับผมคือ คนที่ประสบความสำเร็จจากแนวทางนี้อย่างมาก กลับมาหมดความมั่นใจในวิธีที่ตัวเองถนัดมากกว่าครับ ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นเหตุผลทางจิตวิทยาครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 55
- ผู้ติดตาม: 0
Re: จากนี้ไป จะไม่เป้น VI อีกแล้ว
โพสต์ที่ 7
-
- Verified User
- โพสต์: 2
- ผู้ติดตาม: 0
Re: จากนี้ไป จะไม่เป้น VI อีกแล้ว
โพสต์ที่ 8
ช่วงหลังๆฟังบทสัมภาษณ์ของนักลงทุนแนว vi ดังๆบางท่าน แนวทางการลงทุนก็ไม่ค่อย vi แล้วนะครับ คือเน้นไปที่คุณภาพของกิจการมากกว่าราคา หรือบางคนยอมซื้อหุ้นที่ราคาแพง P/E สูงๆ แล้วก็ยังบอกว่าตัวเองยังลงทุนแนว VI ทำให้บางครั้งก็ชักจะสับสนว่านิยามคำว่า VI ของแต่ละคนนี่มันยังไงกันแน่
- AnieLee
- Verified User
- โพสต์: 1436
- ผู้ติดตาม: 0
Re: จากนี้ไป จะไม่เป้น VI อีกแล้ว
โพสต์ที่ 9
บางที หุ้นที่ราคาแพงๆ P/E สูงๆ ในปัจจุบัน อาจเป็นหุ้น P/E ถูกในอนาคตก็ได้ครับ ในแง่ Value คิดว่า นักลงทุนแนววีไอดังบางท่าน อาจมองกรอบเวลาที่ไกลออกไป เช่น 3-5 ปี หรืออาจจะ 10 ปีก็ได้ รวมถึงคำนึงเรื่องคุณภาพกิจการที่ช่วยให้กิจการโตไปเรื่อยๆ ด้วยpeerajays เขียน: ↑อาทิตย์ พ.ค. 02, 2021 9:00 pmช่วงหลังๆฟังบทสัมภาษณ์ของนักลงทุนแนว vi ดังๆบางท่าน แนวทางการลงทุนก็ไม่ค่อย vi แล้วนะครับ คือเน้นไปที่คุณภาพของกิจการมากกว่าราคา หรือบางคนยอมซื้อหุ้นที่ราคาแพง P/E สูงๆ แล้วก็ยังบอกว่าตัวเองยังลงทุนแนว VI ทำให้บางครั้งก็ชักจะสับสนว่านิยามคำว่า VI ของแต่ละคนนี่มันยังไงกันแน่
อย่าสับสนคำนิยาย VI เลย จริงๆ มันก็ตรงๆ นั่นล่ะครับ Value Investing เพียงแต่ Value ที่เรามอง กับ Value ที่นักลงทุนบางท่านมอง ไม่ได้มองเช่นเดียวกัน ย่อมได้ Value ที่แตกต่างกัน
สิ่งที่ต้องเราต้องคิดคือ ทำไม นักลงทุนแนววีไอดังบางท่านถึงกล้าซื้อหุ้นที่มี P/E แพงๆ ในขณะที่เราไม่กล้า เพราะเรามองไม่ขาดใช่หรือไม่ สุดท้าย อนาคต มันจะให้คำตอบเองครับ
####################################################
ความสำเร็จจากการลงทุน ไม่ได้เกิดจาก "การซื้อของดี" แต่มาจาก "การซื้อของได้ดี" ต่างหาก
ความสำเร็จจากการลงทุน ไม่ได้เกิดจาก "การซื้อของดี" แต่มาจาก "การซื้อของได้ดี" ต่างหาก
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 3653
- ผู้ติดตาม: 0
Re: จากนี้ไป จะไม่เป้น VI อีกแล้ว
โพสต์ที่ 10
ตัวผมเอง ถึงพอร์ตจะลดหดตดหายยังไง
ก็จะไม่เปลี่ยนแนวทางแน่นวลครับ
สาเหตุก็เพราะ...
ผมดูกราฟไม่เป็น
เส้นอะไรเยอะแยะ
ชีวิตนี้รู้จักแต่เกาเหลา
อยากจะแชร์ไอเดียเรื่องวิกฤติ
ทั้งที่เป็น VI ฝึกหัด
สายป่านก็สั้น
และปอดก็เล็ก
ว่า...
ถ้าหุ้นที่เราทำการบ้านมาอย่างดีแล้ว
ราคามีแต่เตี้ยลงๆ
ให้พักใจสักไว้แป๊บ
จะแป๊บเล็กแป๊บใหญ่ก็ขอให้ได้สักแป๊บ
ว่าหุ้นตัวอื่นๆ ราคามันลงด้วยไหม
ถ้าราคาหุ้นตัวอื่นๆ มันปกติ
ขึ้นๆ ลงๆ
การตัดสินใจของเราครั้งนี้อาจจะผิด
และควรจะกลับไปทำการบ้านเพิ่ม
แต่ถ้าราคาหุ้นตัวอื่นๆ มันก็ลงเหมือนกัน
แบบนั้นแหละ
ถึงจะเรียกว่าวิกฤติ
และเราก็ไม่ได้ผิดอะไรครับ
เป็นภาวะตลาด
สมัยแฮมเบอเกอร์ 2008
ผมตัดสินใจขายหุ้นบริษัทอะไหล่รถยนต์
ชื่อคล้ายๆวันหยุดออกไป
สาเหตุก็เพราะผมเห็นหุ้นดีๆ ตัวอื่นๆ
ราคาตกลงมาด้วยเหมือนกัน
มาทราบภายหลังว่าพี่หมอสามัญชน
ขออนุญาตเอ่ยนามนะครับพี่
กลับเลือกเข้าหุ้นอะไหล่รถยนต์ดังกล่าว
ผลจากการปฏิบัติการครั้งนั้น
คือผมขาดทุนจากหุ้นอะไหล่รถยนต์
ไปร่วมๆ 60%
ในขณะที่พี่หมอน่าจะได้หลายเด้งอยู่
แต่ด้วยหลักการของ vi
สุดท้ายพอร์ตเล็ก ๆของผมก็กลับมาได้แหละ
สุดท้ายนี้
ผมมีข้อคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องของผลตอบแทนอีกเรื่อง
ที่ผมคิดว่าสำคัญเพราะผมเป็น vi ที่ไม่เก่ง
หุ้น 3 เด้งไม่เคยได้
เพราะฉะนั้นหุ้น 10 เด้ง ก็ไม่ต้องพูดถึง
แต่ด้วยความรู้ที่มีเท่าหางอึ่ง
ก็พอหาหุ้นเด้งได้บ้าง
นานๆ ครั้ง
ยกตัวอย่าง...
ถ้าเราหาหุ้น 1 เด้งได้ 4 ครั้ง
ในระยะเวลาที่ต่างกัน
เท่ากับผลตอบแทนรวมคือ
สองยกกำลังสี่ หรือ 16 เด้ง
แต่เนื่องจากการบริหารเป็น portfolio
ผลตอบแทนจริงมันก็จะไม่ถึงนะครับผม
แต่...
ถ้าเราเลือกที่จะโฟกัสให้ดี
ผลตอบแทนก็จะไม่ขี้เหล่อะไร
หลายปีที่ผ่านมาผมมาทบทวนพอร์ตตัวเอง
หุ้นหลายเด้งเราก็ไม่เคยได้
ทำไมพอร์ตเราโตหลายเด้งหว่า ?
เผื่อเป็นกำลังใจให้ vi หน้าใหม่ๆ ได้ลองพิจารณานะครับ
พี่เป็นคนสายตาสั้น มองอะไรสั้นๆ
ไม่ได้สายตายาว มองอะไรได้ไกลๆ
แต่ก็พอลงทุนได้ครับ
กล่าวคือ
ถ้าเราไปข้างหน้าแบบมองไกลๆไม่ได้
เราก็ไถ่ๆ ถูๆ ไปแบบมองทีละป้ายๆ ไปก็ได้...
ก็จะไม่เปลี่ยนแนวทางแน่นวลครับ
สาเหตุก็เพราะ...
ผมดูกราฟไม่เป็น
เส้นอะไรเยอะแยะ
ชีวิตนี้รู้จักแต่เกาเหลา
อยากจะแชร์ไอเดียเรื่องวิกฤติ
ทั้งที่เป็น VI ฝึกหัด
สายป่านก็สั้น
และปอดก็เล็ก
ว่า...
ถ้าหุ้นที่เราทำการบ้านมาอย่างดีแล้ว
ราคามีแต่เตี้ยลงๆ
ให้พักใจสักไว้แป๊บ
จะแป๊บเล็กแป๊บใหญ่ก็ขอให้ได้สักแป๊บ
ว่าหุ้นตัวอื่นๆ ราคามันลงด้วยไหม
ถ้าราคาหุ้นตัวอื่นๆ มันปกติ
ขึ้นๆ ลงๆ
การตัดสินใจของเราครั้งนี้อาจจะผิด
และควรจะกลับไปทำการบ้านเพิ่ม
แต่ถ้าราคาหุ้นตัวอื่นๆ มันก็ลงเหมือนกัน
แบบนั้นแหละ
ถึงจะเรียกว่าวิกฤติ
และเราก็ไม่ได้ผิดอะไรครับ
เป็นภาวะตลาด
สมัยแฮมเบอเกอร์ 2008
ผมตัดสินใจขายหุ้นบริษัทอะไหล่รถยนต์
ชื่อคล้ายๆวันหยุดออกไป
สาเหตุก็เพราะผมเห็นหุ้นดีๆ ตัวอื่นๆ
ราคาตกลงมาด้วยเหมือนกัน
มาทราบภายหลังว่าพี่หมอสามัญชน
ขออนุญาตเอ่ยนามนะครับพี่
กลับเลือกเข้าหุ้นอะไหล่รถยนต์ดังกล่าว
ผลจากการปฏิบัติการครั้งนั้น
คือผมขาดทุนจากหุ้นอะไหล่รถยนต์
ไปร่วมๆ 60%
ในขณะที่พี่หมอน่าจะได้หลายเด้งอยู่
แต่ด้วยหลักการของ vi
สุดท้ายพอร์ตเล็ก ๆของผมก็กลับมาได้แหละ
สุดท้ายนี้
ผมมีข้อคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องของผลตอบแทนอีกเรื่อง
ที่ผมคิดว่าสำคัญเพราะผมเป็น vi ที่ไม่เก่ง
หุ้น 3 เด้งไม่เคยได้
เพราะฉะนั้นหุ้น 10 เด้ง ก็ไม่ต้องพูดถึง
แต่ด้วยความรู้ที่มีเท่าหางอึ่ง
ก็พอหาหุ้นเด้งได้บ้าง
นานๆ ครั้ง
ยกตัวอย่าง...
ถ้าเราหาหุ้น 1 เด้งได้ 4 ครั้ง
ในระยะเวลาที่ต่างกัน
เท่ากับผลตอบแทนรวมคือ
สองยกกำลังสี่ หรือ 16 เด้ง
แต่เนื่องจากการบริหารเป็น portfolio
ผลตอบแทนจริงมันก็จะไม่ถึงนะครับผม
แต่...
ถ้าเราเลือกที่จะโฟกัสให้ดี
ผลตอบแทนก็จะไม่ขี้เหล่อะไร
หลายปีที่ผ่านมาผมมาทบทวนพอร์ตตัวเอง
หุ้นหลายเด้งเราก็ไม่เคยได้
ทำไมพอร์ตเราโตหลายเด้งหว่า ?
เผื่อเป็นกำลังใจให้ vi หน้าใหม่ๆ ได้ลองพิจารณานะครับ
พี่เป็นคนสายตาสั้น มองอะไรสั้นๆ
ไม่ได้สายตายาว มองอะไรได้ไกลๆ
แต่ก็พอลงทุนได้ครับ
กล่าวคือ
ถ้าเราไปข้างหน้าแบบมองไกลๆไม่ได้
เราก็ไถ่ๆ ถูๆ ไปแบบมองทีละป้ายๆ ไปก็ได้...
-
- Verified User
- โพสต์: 96
- ผู้ติดตาม: 0
Re: จากนี้ไป จะไม่เป้น VI อีกแล้ว
โพสต์ที่ 11
หลายๆท่านเองก็เข้าไม่ถึงปรัชญาของคำว่า VI จริงๆครับ เพราะ VI คือ value ไม่ได้แปลว่าพื้นฐานอย่างเดียว นั่นเป็นแค่เสี้ยวนึงของปรัชญา value จริงครับ แต่คำว่าพื้นฐานนั้นนำไปสู่การ valuation ต่างหาก ถ้าการลงทุนด้านพื้นฐานไม่มีการ value ก็จะเรียกว่า Value investment ไม่ได้ ก็อาจจะได้แค่ Fundamental Investment ซึ่งผมว่ามันดูพิการๆ ที่ว่าพิการๆก็เหมือนกันผมขับรถเอาแต่มองกระจกหลัง กับกระจกข้างนี่แหล่ะ ไม่ได้ดูกระจกหน้าเลย
หลายๆท่านอาจจะเข้าใจแค่ว่า หนี้ต่ำ รายได้-กำไรสม่ำเสมอ PE ต่ำ ถือยาว โอเคแล้วนี่แหล่ะลงทุนพื้นฐาน เหมือนขับรถดูแต่กระจกมองหลังอย่างไรอย่างนั้น ไม่มีการดูไปข้างหน้า และไม่มีการ valuation มูลค่าที่ควรจะเป็นเท่าไหร่ เพราะสิ่งที่เราเห็นว่าถูกแล้วตามความรู้สึก มูลค่าที่แท้จริงอาจจะถูกกว่านั้นอีกก็ยังได้
หลายๆท่านอาจจะเข้าใจแค่ว่า หนี้ต่ำ รายได้-กำไรสม่ำเสมอ PE ต่ำ ถือยาว โอเคแล้วนี่แหล่ะลงทุนพื้นฐาน เหมือนขับรถดูแต่กระจกมองหลังอย่างไรอย่างนั้น ไม่มีการดูไปข้างหน้า และไม่มีการ valuation มูลค่าที่ควรจะเป็นเท่าไหร่ เพราะสิ่งที่เราเห็นว่าถูกแล้วตามความรู้สึก มูลค่าที่แท้จริงอาจจะถูกกว่านั้นอีกก็ยังได้
If you don't know what you are doing. It's a jungle out there.
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 82
- ผู้ติดตาม: 0
Re: จากนี้ไป จะไม่เป้น VI อีกแล้ว
โพสต์ที่ 13
ด้วยความเคารพ ผมอ่านดูแล้ววีไอท่านที่คุณว่า ดูมีความขัดแย้งในตัวเองพอสมควร
เช่น “ทนถือหุ้นตัวนึงได้หลายปี จนได้เป็นเด้งๆ” กับ “เครียดมากเลยขายไปบางส่วนตอนแถว1,000จุด แล้วตลาดดีดก็เสียดาย”
คือถ้าประเมินมูลค่ามาดีแล้ว หุ้นลงเยอะๆน่าจะดีใจ และหาเงินมาซื้อเพิ่มนะครับ(หรือขายตัวที่ลงน้อยมาซื้อตัวที่ลงมากๆ) เพราะขนาดทนถือหลายๆปีจนเป็นเด้งๆได้ น่าจะมีความนิ่งและแน่วแน่ในมูลค่าเหมาะสมพอสมควรไม่น่าใจแป้วเอาตอนลงนะครับ
และพอยิ่งบอกว่าเครียดจนขายไป ตลาดดีดกลับก็เสียดาย กลายเป็นนักลงทุนที่จับจังหวะตลาดซะอย่างนั้น ฟังดูไม่ให้เกียรติมูลค่าหุ้นที่อุตส่าห์ทำการบ้านและประเมินมาอย่างดีก่อนซื้อเลย
เช่น “ทนถือหุ้นตัวนึงได้หลายปี จนได้เป็นเด้งๆ” กับ “เครียดมากเลยขายไปบางส่วนตอนแถว1,000จุด แล้วตลาดดีดก็เสียดาย”
คือถ้าประเมินมูลค่ามาดีแล้ว หุ้นลงเยอะๆน่าจะดีใจ และหาเงินมาซื้อเพิ่มนะครับ(หรือขายตัวที่ลงน้อยมาซื้อตัวที่ลงมากๆ) เพราะขนาดทนถือหลายๆปีจนเป็นเด้งๆได้ น่าจะมีความนิ่งและแน่วแน่ในมูลค่าเหมาะสมพอสมควรไม่น่าใจแป้วเอาตอนลงนะครับ
และพอยิ่งบอกว่าเครียดจนขายไป ตลาดดีดกลับก็เสียดาย กลายเป็นนักลงทุนที่จับจังหวะตลาดซะอย่างนั้น ฟังดูไม่ให้เกียรติมูลค่าหุ้นที่อุตส่าห์ทำการบ้านและประเมินมาอย่างดีก่อนซื้อเลย
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 649
- ผู้ติดตาม: 0
Re: จากนี้ไป จะไม่เป้น VI อีกแล้ว
โพสต์ที่ 14
บางทีเราไม่รู้หรอกครับว่าเขาเจออะไรบ้าง
ยกตัวอย่างนะครับ ปีที่แล้วตอนที่มันตกมาก ผมก็มีขายไปบางส่วน ถือเป็นเงินสด ทั้งที่ควรเอาไปซื้อตัวที่เราเล็งไว้แล้วและลงมาเยอะ เหตุผลที่ทำแบบนั้นก็ง่ายๆครับ เมียนอนร้องให้บอกว่าเสียดายเงินที่หายไปเกือบครึ่งนึง ลำพังตัวเราเองไม่เป็นไรหรอกเพราะเราอยู่กับหุ้น เราเข้าใจมันดี แต่ครอบครัวเราไม่ได้เข้าใจแบบนั้น บรรยากาศตอนนั้นคนนอกตลาดก็ดันรู้ด้วยว่าหุ้นตกเยอะ มันเลยเป็นแรงกดดัน
ผมเลยคิดว่าไม่ผิดนะ ถ้ามีคนใช้กราฟมาช่วยบริหารความเสี่ยง บริหารอารมณ์
แต่ส่วนตัวผมก็ใช้กราฟไม่เป็นนะครับ แล้วบังเอิญโชคดี หุ้นที่ถือต่อมันขึ้นมาเยอะ จนภรรยาเราไม่มาสนใจแล้ว ก็เลยยังลงทุนแบบเดิมได้อยู่
ยกตัวอย่างนะครับ ปีที่แล้วตอนที่มันตกมาก ผมก็มีขายไปบางส่วน ถือเป็นเงินสด ทั้งที่ควรเอาไปซื้อตัวที่เราเล็งไว้แล้วและลงมาเยอะ เหตุผลที่ทำแบบนั้นก็ง่ายๆครับ เมียนอนร้องให้บอกว่าเสียดายเงินที่หายไปเกือบครึ่งนึง ลำพังตัวเราเองไม่เป็นไรหรอกเพราะเราอยู่กับหุ้น เราเข้าใจมันดี แต่ครอบครัวเราไม่ได้เข้าใจแบบนั้น บรรยากาศตอนนั้นคนนอกตลาดก็ดันรู้ด้วยว่าหุ้นตกเยอะ มันเลยเป็นแรงกดดัน
ผมเลยคิดว่าไม่ผิดนะ ถ้ามีคนใช้กราฟมาช่วยบริหารความเสี่ยง บริหารอารมณ์
แต่ส่วนตัวผมก็ใช้กราฟไม่เป็นนะครับ แล้วบังเอิญโชคดี หุ้นที่ถือต่อมันขึ้นมาเยอะ จนภรรยาเราไม่มาสนใจแล้ว ก็เลยยังลงทุนแบบเดิมได้อยู่
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 36
- ผู้ติดตาม: 0
Re: จากนี้ไป จะไม่เป้น VI อีกแล้ว
โพสต์ที่ 15
ผมว่าการลงทุนมันเกี่ยวข้องโดยตรงกับนิสัยทางการเงิน ทัศนะคติทางการเงิน
ซึ่งผมคิดว่า Attitude นี้ไม่ได้เปลี่ยนกันง่าย ๆ มันสั่งสมกันมาตั้งแต่เด็ก
บางคนต่อให้พยายามแค่ไหน ก็ไม่เหมาะกับแนวทาง VI หรอกครับ
ถึงแม้อาจจะทำได้ดี ก็อาจจะไม่มีความสุขในการลงทุนอยู่ดี
อย่างคนเป็น VI โดยแท้เค้าก็เข้าใจตัวเอง และยอมรับนะครับ
ว่าเค้าไม่สามารถทำแบบคนอื่นที่มีแนวการลงทุนอื่น ๆ ได้เช่นกัน
เพื่อนของจขกท.ก็แค่เพิ่งค้นพบตัวเองครับว่าไม่เหมาะกับแนวทางนี้
ซึ่งผมคิดว่า Attitude นี้ไม่ได้เปลี่ยนกันง่าย ๆ มันสั่งสมกันมาตั้งแต่เด็ก
บางคนต่อให้พยายามแค่ไหน ก็ไม่เหมาะกับแนวทาง VI หรอกครับ
ถึงแม้อาจจะทำได้ดี ก็อาจจะไม่มีความสุขในการลงทุนอยู่ดี
อย่างคนเป็น VI โดยแท้เค้าก็เข้าใจตัวเอง และยอมรับนะครับ
ว่าเค้าไม่สามารถทำแบบคนอื่นที่มีแนวการลงทุนอื่น ๆ ได้เช่นกัน
เพื่อนของจขกท.ก็แค่เพิ่งค้นพบตัวเองครับว่าไม่เหมาะกับแนวทางนี้
-
- Verified User
- โพสต์: 3
- ผู้ติดตาม: 0
Re: จากนี้ไป จะไม่เป้น VI อีกแล้ว
โพสต์ที่ 16
ผมคิดว่าช่วงนี้มันเป็น late state ของ bubble แล้วครับ
จากที่ Ray dalio ผู้เขียนหนังสือ the principle, changing world order กับ Big debt crisis เคยสรุปไว้ว่า ช่วงนี้เป็น late stage ของ long term debt cycle แล้ว
นอกจากนี้ ถ้าดู Buffet indicator คือ market cap/GDP ก็สูงมาก อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ในประวัติศาสตร์
ซึ่งน่าจะเกิดจากดอกเบี้ยต่ำมานานมาก เท่านั้นยังไม่พอ ยังมีการพิมพ์เงินแบบมโหฬารอีก
เหมือนเศรษฐกิจจะอยู่ได้ด้วยการพิมพ์เงิน และการไม่ขึ้นดอกเบี้ย ทำให้เงินไหลเข้าตลาดหุ้นมากๆโดยใช้ leverage ซื้ออะไรก็ขึ้น แล้วขึ้นแบบแรงๆ เป็นเด้งๆ ในระยะเวลาอันสั้น
ทำให้อารมณ์ ตลาดเหมือนช่วงก่อนต้มยำกุ้ง คือคนแย่งกันเก็งกำไร เพราะ Fear of missing out สมัยนั้น ใบจองขายที่ดินที่ไม่เคยมีใครเห็น ขายได้ราคาสูงมาก ในช่วงนั้นคนก็ euphoria กันไป
ทีนี้เพื่อน จขกท เปลี่ยนใจก็ไม่แปลกครับ มันมีทฤษฎีของ George Soros ที่ชื่อว่า reflection theory กล่าวโดยสรุปคือพอใช้แนวทางใหม่ที่ได้ผล ได้กำไรดี เค้าจะคิดว่ามันเป็นสิ่งที่ถูกต้อง แล้วก็เพิ่มเงินเข้าไป
โดยส่วนตัวผมคิดว่าวิกฤติอีกครั้ง ยังไงก็เกิดแน่ จากการขึ้นดอกเบี้ยเพราะคนที่ leverage สูงมาก จะจ่ายหนี้ไม่ไหว
ถ้าเกิดเร็วยิ่งดี ถ้าเกิดช้าจะยิ่งแย่เพราะฟองสบู่จากการอัดฉีดเงินจะสูงขึ้นเรื่อยๆเราก็ตกลงมาจากฟองสบู่แรงมากขึ้น
ซึ่งหลังวิกฤติใหม่ๆ หลักการVI ยังไงก็ได้กลับมาใช้ครับ เพราะเราจะกลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง ถึงวันนั้น คนที่มีเงินสดไว้น่าจะทำกำไรได้มาก เหมือนคนที่เข้าตลาดช่วง ต้มยำกุ้ง หรือ sub prime crisis
...ดูจากที่ ปู่ Buffet ถือ เงินสดกว่า 30 % อันนี้ก็พอบอกได้กลายๆครับว่า อะไรจะเกิดขึ้นในอนาคต...
จากที่ Ray dalio ผู้เขียนหนังสือ the principle, changing world order กับ Big debt crisis เคยสรุปไว้ว่า ช่วงนี้เป็น late stage ของ long term debt cycle แล้ว
นอกจากนี้ ถ้าดู Buffet indicator คือ market cap/GDP ก็สูงมาก อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ในประวัติศาสตร์
ซึ่งน่าจะเกิดจากดอกเบี้ยต่ำมานานมาก เท่านั้นยังไม่พอ ยังมีการพิมพ์เงินแบบมโหฬารอีก
เหมือนเศรษฐกิจจะอยู่ได้ด้วยการพิมพ์เงิน และการไม่ขึ้นดอกเบี้ย ทำให้เงินไหลเข้าตลาดหุ้นมากๆโดยใช้ leverage ซื้ออะไรก็ขึ้น แล้วขึ้นแบบแรงๆ เป็นเด้งๆ ในระยะเวลาอันสั้น
ทำให้อารมณ์ ตลาดเหมือนช่วงก่อนต้มยำกุ้ง คือคนแย่งกันเก็งกำไร เพราะ Fear of missing out สมัยนั้น ใบจองขายที่ดินที่ไม่เคยมีใครเห็น ขายได้ราคาสูงมาก ในช่วงนั้นคนก็ euphoria กันไป
ทีนี้เพื่อน จขกท เปลี่ยนใจก็ไม่แปลกครับ มันมีทฤษฎีของ George Soros ที่ชื่อว่า reflection theory กล่าวโดยสรุปคือพอใช้แนวทางใหม่ที่ได้ผล ได้กำไรดี เค้าจะคิดว่ามันเป็นสิ่งที่ถูกต้อง แล้วก็เพิ่มเงินเข้าไป
โดยส่วนตัวผมคิดว่าวิกฤติอีกครั้ง ยังไงก็เกิดแน่ จากการขึ้นดอกเบี้ยเพราะคนที่ leverage สูงมาก จะจ่ายหนี้ไม่ไหว
ถ้าเกิดเร็วยิ่งดี ถ้าเกิดช้าจะยิ่งแย่เพราะฟองสบู่จากการอัดฉีดเงินจะสูงขึ้นเรื่อยๆเราก็ตกลงมาจากฟองสบู่แรงมากขึ้น
ซึ่งหลังวิกฤติใหม่ๆ หลักการVI ยังไงก็ได้กลับมาใช้ครับ เพราะเราจะกลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริง ถึงวันนั้น คนที่มีเงินสดไว้น่าจะทำกำไรได้มาก เหมือนคนที่เข้าตลาดช่วง ต้มยำกุ้ง หรือ sub prime crisis
...ดูจากที่ ปู่ Buffet ถือ เงินสดกว่า 30 % อันนี้ก็พอบอกได้กลายๆครับว่า อะไรจะเกิดขึ้นในอนาคต...
-
- Verified User
- โพสต์: 55
- ผู้ติดตาม: 0
Re: จากนี้ไป จะไม่เป้น VI อีกแล้ว
โพสต์ที่ 17
ผมเชื่อใน equilibrium ครับอะไรที่เกิดมากเกินไปจะเสียสมดุล (stability) แล้วกลับไปที่เดิม ส่วน fear of missing out นั้นเป็นความกลัวที่เกิดขึ้นจากความโลภ ตอนนี้ abundance/availability of credit มีมากแค่ไหน?
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 219
- ผู้ติดตาม: 0
Re: จากนี้ไป จะไม่เป้น VI อีกแล้ว
โพสต์ที่ 18
เอาตรงๆ ผมก็ซื่อสัตย์กับการลงทุนในวีไอมานานนะครับ
เมื่อวานก็ยังยืนหยัดการลงทุนแบบพื้นฐาน
แต่พอเจอ การลงทุนแบบ crypto defi farming ที่หลายๆคนไม่ได้ใช้ความรู้อะไรมากเลย
ซื้อเหรียญหมื่นบาท กำไรสิบล้าน หบังจากเปิดเทรดใหม่ๆ(ออกแนวหลักการipo)ของหุ้น
ผมก็เริ่มสั่นคลอนแล้วเหมือนกันครับ
แบบอ่านหนังสือแทบตายกว่าจะได้เด้ง แต่นี่คือรวยเลย
เมื่อวานก็ยังยืนหยัดการลงทุนแบบพื้นฐาน
แต่พอเจอ การลงทุนแบบ crypto defi farming ที่หลายๆคนไม่ได้ใช้ความรู้อะไรมากเลย
ซื้อเหรียญหมื่นบาท กำไรสิบล้าน หบังจากเปิดเทรดใหม่ๆ(ออกแนวหลักการipo)ของหุ้น
ผมก็เริ่มสั่นคลอนแล้วเหมือนกันครับ
แบบอ่านหนังสือแทบตายกว่าจะได้เด้ง แต่นี่คือรวยเลย
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 3653
- ผู้ติดตาม: 0
Re: จากนี้ไป จะไม่เป้น VI อีกแล้ว
โพสต์ที่ 19
สำหรับผม...
การพนันที่มันหวือหวาเร้าใจ
ไม่ต่างอะไรกับการเดินทาง
ไปตามทางท่ามกลางความมืดสนิท
โดยที่เราไม่รู้ว่าข้างหน้าเรามีอะไร
แม้ว่าจะได้เสียงของกลุ่มคนข้างหน้า
รวย..รวย..!!
ก็เข้าใจว่ามันน่าไปซะจริงๆ
แต่ตัวผมตอนนี้ไม่มีไฟฉาย
ไม้ขีดไฟสักก้านก็ไม่มี
ขอเลือกเดินไปบนทางที่มีแสงส่องสว่าง
สบายใจกว่า
แม้ว่าสุ้มเสียงของกลุ่มคนที่อยู่ข้างหน้า
จะเงียบกริบ...
และอย่างน้อย
ตัวผมก็...
ไม่ได้ย่ำอยู่ที่เดิมซะหน่อย
การพนันที่มันหวือหวาเร้าใจ
ไม่ต่างอะไรกับการเดินทาง
ไปตามทางท่ามกลางความมืดสนิท
โดยที่เราไม่รู้ว่าข้างหน้าเรามีอะไร
แม้ว่าจะได้เสียงของกลุ่มคนข้างหน้า
รวย..รวย..!!
ก็เข้าใจว่ามันน่าไปซะจริงๆ
แต่ตัวผมตอนนี้ไม่มีไฟฉาย
ไม้ขีดไฟสักก้านก็ไม่มี
ขอเลือกเดินไปบนทางที่มีแสงส่องสว่าง
สบายใจกว่า
แม้ว่าสุ้มเสียงของกลุ่มคนที่อยู่ข้างหน้า
จะเงียบกริบ...
และอย่างน้อย
ตัวผมก็...
ไม่ได้ย่ำอยู่ที่เดิมซะหน่อย
- Linzhi
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1464
- ผู้ติดตาม: 1
Re: จากนี้ไป จะไม่เป้น VI อีกแล้ว
โพสต์ที่ 20
บนเส้นทาง 17 ปีผมเห็นและได้ยินประโยคนี้มากมายครับ
จำคำ Charlie Munger ไว้ครับ
ทั้งหมดที่ผมอยากรู้คือ ผมจะตายที่ไหน และผมจะไม่ไปที่นั่น
จำคำ Charlie Munger ไว้ครับ
ทั้งหมดที่ผมอยากรู้คือ ผมจะตายที่ไหน และผมจะไม่ไปที่นั่น
ก้าวช้า ๆ และเชื่อในปาฎิหารย์ของหุ้นเปลี่ยนชีวิต
There is no secret ingredient. It's just you.
There is no secret ingredient. It's just you.