พวกเราอยู่กลุ่มไหน
- ลุงขวด
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 2431
- ผู้ติดตาม: 0
Re: พวกเราอยู่กลุ่มไหน
โพสต์ที่ 211
โลกกลม..... วงเวียน..... วงจร ....สัจธรรม....ธรรมชาติ
สมัยก่อนหลายปีแล้ว มีคำ ติดปาก คำหนึ่งว่า "CHANGE" ต้องมีการเปลี่ยนแปลง ....วันเวลาเปลี่ยนไปการเปลี่ยนแปลงก็ต้องมี.......ต่อมาก็เกิดคำว่า "DISRUPTION" การหยุดชะงัก........ทุกสิ่งทุกอย่างต้องมีการเปลี่ยนแปลง แก้ไข ปรับรูปแบบให้ทันสมัย .....และล่าสุด ก็มีคำว่า "STARTUP" การริเริ่ม.......มันคล้ายกับวงจรเศรษศาสตร์ที่เคยเรียนมา และคล้ายกับธรรมะ ที่เคยเรียนรู้ การเกิด การดับ.......ถ้ายอมรับในสิ่งที่เกิดและปรับปรุงตนเองให้เข้ากับมันได้ ก็จะได้เห็นสิ่งที่จะเกิดในอนาคตต่อไปได้ ไม่มีใครรู้ว่าอนาคตเป็นอย่างไร ...ใครคือคนกำหนด......สิ่งที่ทำได้และปฏิบัติอยู่ช่วงนี้คือ อยู่กับปัจจุบันและทำปัจจุบันให้ดีที่สุด
ผมมองถึงการลงทุนในหุ้นมันก็เป็นแบบเดียวกัน มีเกิดมีดับ มีการเปลี่ยนแปลง... ในอดีตการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ มันจะช้าและค่อย ๆ เป็น....แต่ปัจจุบันไม่ใช่แล้ว การเปลี่ยนแปลงรวดเร็วเห็นผลได้เร็วกว่าที่คิด สมัยก่อนพูดว่า ปลาใหญ่กินปลาเล็ก .....แต่ตอนนี้สอนกันว่าต้องเป็น ปลาไวจะชนะปลาใหญ่และกินปลาเล็กได้........ผมลงทุนมานานกว่า 30 ปีเห็นหลายสิ่งหลายอย่างมากมาย และไม่เคยคิดว่า การลงทุนจะลำบากและมีการเปลี่ยนแปลงมากแบบนี้มาก่อน....เพื่อน ๆ หลายคนถามถึงการลงทุนกับผมว่า ทำอะไรกับมันบ้าง ......ผมก็ได้แต่บอกว่า ผมลงทุนหวังปันผล และเงินปันผลที่รับต้องมากกว่า รายจ่ายที่จะเกิดขึ้น หรือมีอยู่ในปัจจุบัน......ผมไม่ได้ทำอะไรกับหุ้นเท่าไหร่ เนื่องจากหุ้นที่ลงมากสุดเป็นหุ้นตัวเล็ก สภาพคล่องแทบจะไม่มี ....ส่วนอันดับที่สอง ก็เป็นหุ้นดี มีสภาพคล่องสูง สามารถจะขายได้ทุกเวลา แต่ก็ไม่ได้ขายเพราะถ้าขายในระดับราคาปัจจุบัน ก็จะเกิดการขาดทุน เช่นกัน.....นี่คงเป็นวงจรตามที่เขียนไว้ข้างบน และเป็นรรมชาติที่ต้องเกิดขึ้น และยอมรับกันต่อไป.....สู้กันต่อไปนะครับ
สมัยก่อนหลายปีแล้ว มีคำ ติดปาก คำหนึ่งว่า "CHANGE" ต้องมีการเปลี่ยนแปลง ....วันเวลาเปลี่ยนไปการเปลี่ยนแปลงก็ต้องมี.......ต่อมาก็เกิดคำว่า "DISRUPTION" การหยุดชะงัก........ทุกสิ่งทุกอย่างต้องมีการเปลี่ยนแปลง แก้ไข ปรับรูปแบบให้ทันสมัย .....และล่าสุด ก็มีคำว่า "STARTUP" การริเริ่ม.......มันคล้ายกับวงจรเศรษศาสตร์ที่เคยเรียนมา และคล้ายกับธรรมะ ที่เคยเรียนรู้ การเกิด การดับ.......ถ้ายอมรับในสิ่งที่เกิดและปรับปรุงตนเองให้เข้ากับมันได้ ก็จะได้เห็นสิ่งที่จะเกิดในอนาคตต่อไปได้ ไม่มีใครรู้ว่าอนาคตเป็นอย่างไร ...ใครคือคนกำหนด......สิ่งที่ทำได้และปฏิบัติอยู่ช่วงนี้คือ อยู่กับปัจจุบันและทำปัจจุบันให้ดีที่สุด
ผมมองถึงการลงทุนในหุ้นมันก็เป็นแบบเดียวกัน มีเกิดมีดับ มีการเปลี่ยนแปลง... ในอดีตการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ มันจะช้าและค่อย ๆ เป็น....แต่ปัจจุบันไม่ใช่แล้ว การเปลี่ยนแปลงรวดเร็วเห็นผลได้เร็วกว่าที่คิด สมัยก่อนพูดว่า ปลาใหญ่กินปลาเล็ก .....แต่ตอนนี้สอนกันว่าต้องเป็น ปลาไวจะชนะปลาใหญ่และกินปลาเล็กได้........ผมลงทุนมานานกว่า 30 ปีเห็นหลายสิ่งหลายอย่างมากมาย และไม่เคยคิดว่า การลงทุนจะลำบากและมีการเปลี่ยนแปลงมากแบบนี้มาก่อน....เพื่อน ๆ หลายคนถามถึงการลงทุนกับผมว่า ทำอะไรกับมันบ้าง ......ผมก็ได้แต่บอกว่า ผมลงทุนหวังปันผล และเงินปันผลที่รับต้องมากกว่า รายจ่ายที่จะเกิดขึ้น หรือมีอยู่ในปัจจุบัน......ผมไม่ได้ทำอะไรกับหุ้นเท่าไหร่ เนื่องจากหุ้นที่ลงมากสุดเป็นหุ้นตัวเล็ก สภาพคล่องแทบจะไม่มี ....ส่วนอันดับที่สอง ก็เป็นหุ้นดี มีสภาพคล่องสูง สามารถจะขายได้ทุกเวลา แต่ก็ไม่ได้ขายเพราะถ้าขายในระดับราคาปัจจุบัน ก็จะเกิดการขาดทุน เช่นกัน.....นี่คงเป็นวงจรตามที่เขียนไว้ข้างบน และเป็นรรมชาติที่ต้องเกิดขึ้น และยอมรับกันต่อไป.....สู้กันต่อไปนะครับ
หุ้นจะขึ้นหรือลง อยู่ที่ผลประกอบการ ซึ่งประกอบด้วย ความสามารถของผู้บริหารกับ ธรรมาภิบาล.........ใหญ่ในเล็กย่อม ดีกว่าเล็กในใหญ่
- ลุงขวด
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 2431
- ผู้ติดตาม: 0
Re: พวกเราอยู่กลุ่มไหน
โพสต์ที่ 212
28/12/2561 ปีดบัญชีการลงทุนปี 2561 (คศ2018)
...........
ดัชนีเริ่มจาก 1753.71 ไปจบปลายปีที่ 1563.88 ลดลง 189.83 จุด หรือ 10.82%..หุ้นกลางและเล็กที่ผมลงทุนส่วนใหญ่โดนกระทบลดต่ำกว่าหุ้น set50 เสียอีก....ดูผลงานปี 2561 แล้วคิดว่า รายย่อยแทบทุกคนที่เล่นพื้นฐานขาดทุนถ้วนหน้า ยกเว้นใครเก่งเล่นตามเทคนิคและสามารถใช้เครื่องมือป้องกันที่ตลาดออกให้ ก็อาจจะเอาตัวรอดได้.....ส่วนผมลงทุนตามพื้นฐานและพยายามศึกษาเทคนิค เพื่อหาจังหวะซื้อ-ขายในหุ้นที่มีอยู่ (ทดสอบวิชา) ก็ สนุกไปกับมันได้ แต่ก็เป็นส่วนน้อยประมาณ 5%ของที่ลงทุนได้ ซึ่งผมถือว่าเป็นการทำกำไร ในราคาหุ้น trading หุ้น เพื่อช่วยให้ IC ไม่คัดผมออกจากโบรค 555555 (IC ตามอ่านอยู่)... ด้าน trading ทำกำไรได้ 4.35% (ปีที่แล้ว 10.10) ส่วนเงินปันผลรับปีนี้ได้ 4.34% (ต่ำกว่าปีก่อนที่ได้ 4.79%) รวมทั้งปี 8.69% (ปีที่แล้วได้ 14.89%)......นับว่าตกต่ำมากพอควร นี่คิดเฉพาะผลการดำเนินงานที่ realized แล้ว ...... แต่ถ้าคิดมูลค่าที่เป็นจริงหมายถึง มูลค่าเงินที่ลงทุนไปทั้งหมด จะขาดทุนถึง 19.3% เลย.....ทุกคนบอกไม่ขายไม่ขาดทุน เอา ด้วยคนนะครับ ไม่ขายไม่ขาดทุน 555555 ปรอบใจตนเองว่า ยังไม่ขาดทุนนะ... เพียงแต่ตัวเลขในบัญชีมันลดลงเอง (สงสัยจะไม่ยอมตัดค่าเสื่อมในปีนี้ออกไป 55555)...ผมคิดของผมแบบนี้มานานแล้ว
ผมลงทุนยาวไม่กังวลกับตัวเลขที่เปลี่ยนแปลงทุกปี กังวลแต่ปันผลที่รับและการทำ trading ที่ลดลงนั่นแหละ......เงินซื้อหุ้นก็คือต้นทุนที่ลงไป ขอลงทุนในหุ้นที่กิจการ..มีกำไร มีปันผล มั่นคง มีธรรมาภิบาล ก็ สบายใจมากทีเดียว...ทำไมผมเลือกบริษัทเล็ก เพราะวิเคราะห์ง่าย เข้าใจง่าย โดยเฉพาะตัวพระเอกของผม ถึงแม้จะขาดทุนจากการลงทุนแล้วตอนนี้ แต่ก็ยังไม่กังวล เพราะคิดว่าเขาคงให้ปันผลทุกปี กิจการเขามีเงินสด ไม่ค่อยกู้เท่าไหร่ D/E แต่่ 0.37 ในอดีต 0.17-0.29 เท่านั้นเอง แต่ปีนี้บริษัทต้องใช้เงินสร้างตึกของตนเอง ก็คงเพิ่ม D/E สูงขึ้น ขอเพียงให้เขาปันผลในระดับพอใจ ผมก็คงถือต่อไปเรื่อย ๆ เพราะเชื่อในกิจการของเขาที่จะพัฒนาตามโครงการก่อสร้างที่จะเพิ่มขึ้นในปีหน้า....ส่วนผลประกอบการที่ผ่านมา ลดลงเรื่อย ๆ ทำให้ราคาหุ้นลดต่ำลง จนกระทั้งต่ำกว่าทุนของผมที่มีเสียอีก(ใครซื้อตอนนี้ถูกกว่าผมนะจะบอกให้).... เรื่องนี้คิดว่าเกิดกับนักลงทุนหลายบริษัท ถึงแม้บริษัทมี่มีกำไรโตและเติบโต ราคาหุ้นก็ไม่ไปไหน กลับลงมาเสียอีก ต่ำกว่าอดีต ทำราคาต่ำไปเรื่อย ๆ ซึ่งมีหุ้นอยู่ตัวผมคิดอยู่ และอยากจะเพิ่มการลงทุนในตัวนั้นในปีหน้า คงต้องปรับ portforlio ขายตัวอื่น และ เพิ่มตัวนั้นให้ได้ในเร็วๆนี้
ในปีหน้าเงินปันผลรับ ผมได้คำนวณล่วงหน้าเคร่า ๆ แล้ว ก็ได้พอ ๆ กันในระดับที่4-4.5%...ผมคงไม่เพิ่มเข้าไปในลงทุน เพราะต้องการเอามาใช้จ่ายมีสิ่งที่อยากจะซื้อในปีหน้า ซึ่งเป็นการลงทุนเพื่อความปลอดภัยในการเดินทาง (ซื้อรถดี ดี สักคันหนึ่ง).....ส่วนการทำ trading คงลำบากขึ้นต้องหาทางคิดและเล่นรอบให้เร็วขึ้นเพื่อที่จะได้ส่วนต่างของมัน ซึ่งปีหน้าถ้าได้สัก 2-4% ก็ดี .....รวมหวังว่าปีใหม่นี้ขออยู่ในระดับ 6%คือจากปันผล4%กับซื้อขาย 2% ก็พอใจแล้ว
ปีใหม่จะถึงแล้ว ก็ขออวยพรให้เพื่อน ๆ และผู้ติดตาม ประสบความสุข ความเจริญ สมปรารถนาทุกประการ ด้วย ถ้าประหยัด รักษาสุขภาพ ออกกำลังกายเป็นประจำ ทำจิตใจให้แจ่มใส ก็จะประสบแต่สิ่งดีดี นะครับ. โชคดีปีใหม่
...........
ดัชนีเริ่มจาก 1753.71 ไปจบปลายปีที่ 1563.88 ลดลง 189.83 จุด หรือ 10.82%..หุ้นกลางและเล็กที่ผมลงทุนส่วนใหญ่โดนกระทบลดต่ำกว่าหุ้น set50 เสียอีก....ดูผลงานปี 2561 แล้วคิดว่า รายย่อยแทบทุกคนที่เล่นพื้นฐานขาดทุนถ้วนหน้า ยกเว้นใครเก่งเล่นตามเทคนิคและสามารถใช้เครื่องมือป้องกันที่ตลาดออกให้ ก็อาจจะเอาตัวรอดได้.....ส่วนผมลงทุนตามพื้นฐานและพยายามศึกษาเทคนิค เพื่อหาจังหวะซื้อ-ขายในหุ้นที่มีอยู่ (ทดสอบวิชา) ก็ สนุกไปกับมันได้ แต่ก็เป็นส่วนน้อยประมาณ 5%ของที่ลงทุนได้ ซึ่งผมถือว่าเป็นการทำกำไร ในราคาหุ้น trading หุ้น เพื่อช่วยให้ IC ไม่คัดผมออกจากโบรค 555555 (IC ตามอ่านอยู่)... ด้าน trading ทำกำไรได้ 4.35% (ปีที่แล้ว 10.10) ส่วนเงินปันผลรับปีนี้ได้ 4.34% (ต่ำกว่าปีก่อนที่ได้ 4.79%) รวมทั้งปี 8.69% (ปีที่แล้วได้ 14.89%)......นับว่าตกต่ำมากพอควร นี่คิดเฉพาะผลการดำเนินงานที่ realized แล้ว ...... แต่ถ้าคิดมูลค่าที่เป็นจริงหมายถึง มูลค่าเงินที่ลงทุนไปทั้งหมด จะขาดทุนถึง 19.3% เลย.....ทุกคนบอกไม่ขายไม่ขาดทุน เอา ด้วยคนนะครับ ไม่ขายไม่ขาดทุน 555555 ปรอบใจตนเองว่า ยังไม่ขาดทุนนะ... เพียงแต่ตัวเลขในบัญชีมันลดลงเอง (สงสัยจะไม่ยอมตัดค่าเสื่อมในปีนี้ออกไป 55555)...ผมคิดของผมแบบนี้มานานแล้ว
ผมลงทุนยาวไม่กังวลกับตัวเลขที่เปลี่ยนแปลงทุกปี กังวลแต่ปันผลที่รับและการทำ trading ที่ลดลงนั่นแหละ......เงินซื้อหุ้นก็คือต้นทุนที่ลงไป ขอลงทุนในหุ้นที่กิจการ..มีกำไร มีปันผล มั่นคง มีธรรมาภิบาล ก็ สบายใจมากทีเดียว...ทำไมผมเลือกบริษัทเล็ก เพราะวิเคราะห์ง่าย เข้าใจง่าย โดยเฉพาะตัวพระเอกของผม ถึงแม้จะขาดทุนจากการลงทุนแล้วตอนนี้ แต่ก็ยังไม่กังวล เพราะคิดว่าเขาคงให้ปันผลทุกปี กิจการเขามีเงินสด ไม่ค่อยกู้เท่าไหร่ D/E แต่่ 0.37 ในอดีต 0.17-0.29 เท่านั้นเอง แต่ปีนี้บริษัทต้องใช้เงินสร้างตึกของตนเอง ก็คงเพิ่ม D/E สูงขึ้น ขอเพียงให้เขาปันผลในระดับพอใจ ผมก็คงถือต่อไปเรื่อย ๆ เพราะเชื่อในกิจการของเขาที่จะพัฒนาตามโครงการก่อสร้างที่จะเพิ่มขึ้นในปีหน้า....ส่วนผลประกอบการที่ผ่านมา ลดลงเรื่อย ๆ ทำให้ราคาหุ้นลดต่ำลง จนกระทั้งต่ำกว่าทุนของผมที่มีเสียอีก(ใครซื้อตอนนี้ถูกกว่าผมนะจะบอกให้).... เรื่องนี้คิดว่าเกิดกับนักลงทุนหลายบริษัท ถึงแม้บริษัทมี่มีกำไรโตและเติบโต ราคาหุ้นก็ไม่ไปไหน กลับลงมาเสียอีก ต่ำกว่าอดีต ทำราคาต่ำไปเรื่อย ๆ ซึ่งมีหุ้นอยู่ตัวผมคิดอยู่ และอยากจะเพิ่มการลงทุนในตัวนั้นในปีหน้า คงต้องปรับ portforlio ขายตัวอื่น และ เพิ่มตัวนั้นให้ได้ในเร็วๆนี้
ในปีหน้าเงินปันผลรับ ผมได้คำนวณล่วงหน้าเคร่า ๆ แล้ว ก็ได้พอ ๆ กันในระดับที่4-4.5%...ผมคงไม่เพิ่มเข้าไปในลงทุน เพราะต้องการเอามาใช้จ่ายมีสิ่งที่อยากจะซื้อในปีหน้า ซึ่งเป็นการลงทุนเพื่อความปลอดภัยในการเดินทาง (ซื้อรถดี ดี สักคันหนึ่ง).....ส่วนการทำ trading คงลำบากขึ้นต้องหาทางคิดและเล่นรอบให้เร็วขึ้นเพื่อที่จะได้ส่วนต่างของมัน ซึ่งปีหน้าถ้าได้สัก 2-4% ก็ดี .....รวมหวังว่าปีใหม่นี้ขออยู่ในระดับ 6%คือจากปันผล4%กับซื้อขาย 2% ก็พอใจแล้ว
ปีใหม่จะถึงแล้ว ก็ขออวยพรให้เพื่อน ๆ และผู้ติดตาม ประสบความสุข ความเจริญ สมปรารถนาทุกประการ ด้วย ถ้าประหยัด รักษาสุขภาพ ออกกำลังกายเป็นประจำ ทำจิตใจให้แจ่มใส ก็จะประสบแต่สิ่งดีดี นะครับ. โชคดีปีใหม่
หุ้นจะขึ้นหรือลง อยู่ที่ผลประกอบการ ซึ่งประกอบด้วย ความสามารถของผู้บริหารกับ ธรรมาภิบาล.........ใหญ่ในเล็กย่อม ดีกว่าเล็กในใหญ่
- ลุงขวด
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 2431
- ผู้ติดตาม: 0
Re: พวกเราอยู่กลุ่มไหน
โพสต์ที่ 213
เริ่มปีใหม่แล้ว และได้สรุปการลงทุนของผมไป ซึ่งเข้าตามเป้าหมายที่ต้องการ คือได้ผลตอบแทน 6.93% โดยได้จากเงินปันผลรับ 4.16%และการซื้อขายหุ้น(trading) 2.77% ...(ปี2561ให้ผลตอบแทน 8.69 ปี2562 6.93%).ถ้าดูจากที่ผมขึยนสรุปปีก่อน ผมหวังเพียง 6% แต่ทำได้ 6.93% ก็พอใจแล้วครับ มันสุดความสามารถแล้ว....
.ส่วนปีใหม่นี้ ตั้งเป้าหมาย สัก 5% ที่ลดเป้าหมายลง ก็คิดว่า ภาพใหญ่ของการลงทุนปีใหม่มันไม่ดี กระทบจากเรื่อง สงครามการค้า ระหว่างยักใหญ่ สองประเทศนั่นแหละ และการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรม ทำให้พวกทำอุตสาหกรรมในด้านต่าง ๆ ต้องชะลอตัว หรือ ปรับตัว ถ้าใครไม่ปรับตัวก็จะล้าหลังในที่สุด เหมือนกันคำสอนที่ว่า ถ้าเรายืนอยู่เฉยๆ ในขณะที่คนอื่นก้าวไปเรื่อย ๆ เราก็จะเป็นคนหลังๆในที่สุด ผมเกิดในยุค baby boomer หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 การพัฒนาต่าง ๆ ก็เริ่มขึ้น... คนยุคนี้ขยันทำมาหากิน และคิดว่าส่วนใหญ่ก็มีฐานะอันดีแล้ว ผมคิดว่าบุคนั้นคือยุคหากิน......ส่วนยุคปัจจุบัน เปลี่ยนหลาย gen มาเรื่อย ๆ คนปัจจุบัน (คนทำงาน) ต้องการใช้เวลาน้อย และให้ได้ผลงานมาก มีการคิดนวัตกรรมใหม่ ๆ ตลอด บ้างก็ประสบผลสำเร็จ บางก็ยังไม่ประสบผลสำเร็จ (ใช้เงินของพ่อแม่อยู่) ก็มีให้เห็นมากมาย......ผมดีใจที่ได้เกิดในยุค baby boomer ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง จนปัจจุบัน ก็ยังรักและชอบกับการได้ศึกษาหาความรู้ ซึ่งช่วยให้เวลาว่างหมดไป พึ่งเข้าใจว่าทำไม คนถือหุ้นน้อย ๆ บางทีเป็นเศษหุ้น ก็มี คนพวกนี้มักจะเป็นพวกอายุมากทั้งนั้น สมัยก่อนบ่นว่ามีแต่อาแปะ อาซิ้มมาถือหุ้นเพื่อของชำร่วยหรือขอให้ทางบริษัทลี้ยงอาหารดีดีกัน จนตลาดหลักทรัพย์ต้องประกาศนโยบาย ไม่ให้แจกของชำร่วยกัน มีหุ้นหลายบริษัทที่ผมถือแค่ 100 หุ้น เพื่อศึกษาและหาความรู้ ซึ่งถ้ามีโอกาสไปประชุมวิสามัญหรือสามัญประจำปี ก็จะทราบรายละเอียดของธุรกิจในอุตสาหกกรมต่าง ๆ ได้ ช่วยการตัดสินใจในกลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆ ได้ดีขึ้น...ขอเป็นอาแปะกับเขาคนหนึ่ง แต่ไม่ถึงกับต้องไปแย่งของกับเขานะ
เป้าหมายปีนี้ 5%ก็หวังจากเงินปันผล 4%ซึ่งผมคาดการณ์ว่าคงจะได้แน่ ส่วนการซื้อขายหุ้นลำบากใจมาก อาจต้องขายหุ้นบางตัวที่ทำให้เกิดการขาดทุนก็เป็นได้ แต่คิดว่า หุ้นที่มีอยู่ในขณะนี้ ไม่ใช่เวลาขาย แล้ว ต้องปรับ portfolio ไปถือหุ้นที่มั่นคง และให้ปันผลระดับ 4% และจะถือกองทุนมากขึ้น พวก กอง reit ต่าง ๆ ด้วย แถมเพิ่มลงในหุ้นกู้ระยะสั้นที่ให้ผลตอบแทนมากกว่า 4% นั่นคือทางที่จะไปในปีใหม่นี้
พูดถึงตลาดที่ออกหุ้นและการลงทุนแบบใหม่ ๆ พวก DW ต่าง ๆ นั่นระดับมือโปรฯ หรือระดับพวกบริหารกองทุนทำกัน ผมไม่อยากไปศึกษาหาความรู้กับพวกนั้น คราวที่ออก tfex ใหม่ ๆ ก็ทำลองศึกษาและทดสอบการลงทุนก็ขาดทุนเป็นค่าเรียนไป สามแสนกว่าบาท ไม่ใช่แนวทาง ของผม แต่ผมมาใช้แนวทางเพิ่มในปีที่แล้วและจะใช้ในปีใหม่นี้ ด้วยการศึกษากราฟเทคนิค จาก VI เน้นคุณค่า (Value Investment) เปลี่ยนมาเป็นลงทุน ไวไว ตามเทคนิคกราฟ ก็สนุกไปอีกแบบหนึ่ง แต่ไม่ใช่เป้าหมายการลงทุนระยะยาวของผม ปีใหม่นี้ผมคงไม่เพิ่มการลงทุน คงได้แต่ปรับ portfolio ไปบ้าง เท่านั้นเอง โชคดีในการลงทุนสำหรับเพื่อน ๆ ที่ลงทุนในตลาด ระวังกันหน่อย ก็แล้วกัน
.ส่วนปีใหม่นี้ ตั้งเป้าหมาย สัก 5% ที่ลดเป้าหมายลง ก็คิดว่า ภาพใหญ่ของการลงทุนปีใหม่มันไม่ดี กระทบจากเรื่อง สงครามการค้า ระหว่างยักใหญ่ สองประเทศนั่นแหละ และการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรม ทำให้พวกทำอุตสาหกรรมในด้านต่าง ๆ ต้องชะลอตัว หรือ ปรับตัว ถ้าใครไม่ปรับตัวก็จะล้าหลังในที่สุด เหมือนกันคำสอนที่ว่า ถ้าเรายืนอยู่เฉยๆ ในขณะที่คนอื่นก้าวไปเรื่อย ๆ เราก็จะเป็นคนหลังๆในที่สุด ผมเกิดในยุค baby boomer หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 การพัฒนาต่าง ๆ ก็เริ่มขึ้น... คนยุคนี้ขยันทำมาหากิน และคิดว่าส่วนใหญ่ก็มีฐานะอันดีแล้ว ผมคิดว่าบุคนั้นคือยุคหากิน......ส่วนยุคปัจจุบัน เปลี่ยนหลาย gen มาเรื่อย ๆ คนปัจจุบัน (คนทำงาน) ต้องการใช้เวลาน้อย และให้ได้ผลงานมาก มีการคิดนวัตกรรมใหม่ ๆ ตลอด บ้างก็ประสบผลสำเร็จ บางก็ยังไม่ประสบผลสำเร็จ (ใช้เงินของพ่อแม่อยู่) ก็มีให้เห็นมากมาย......ผมดีใจที่ได้เกิดในยุค baby boomer ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง จนปัจจุบัน ก็ยังรักและชอบกับการได้ศึกษาหาความรู้ ซึ่งช่วยให้เวลาว่างหมดไป พึ่งเข้าใจว่าทำไม คนถือหุ้นน้อย ๆ บางทีเป็นเศษหุ้น ก็มี คนพวกนี้มักจะเป็นพวกอายุมากทั้งนั้น สมัยก่อนบ่นว่ามีแต่อาแปะ อาซิ้มมาถือหุ้นเพื่อของชำร่วยหรือขอให้ทางบริษัทลี้ยงอาหารดีดีกัน จนตลาดหลักทรัพย์ต้องประกาศนโยบาย ไม่ให้แจกของชำร่วยกัน มีหุ้นหลายบริษัทที่ผมถือแค่ 100 หุ้น เพื่อศึกษาและหาความรู้ ซึ่งถ้ามีโอกาสไปประชุมวิสามัญหรือสามัญประจำปี ก็จะทราบรายละเอียดของธุรกิจในอุตสาหกกรมต่าง ๆ ได้ ช่วยการตัดสินใจในกลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆ ได้ดีขึ้น...ขอเป็นอาแปะกับเขาคนหนึ่ง แต่ไม่ถึงกับต้องไปแย่งของกับเขานะ
เป้าหมายปีนี้ 5%ก็หวังจากเงินปันผล 4%ซึ่งผมคาดการณ์ว่าคงจะได้แน่ ส่วนการซื้อขายหุ้นลำบากใจมาก อาจต้องขายหุ้นบางตัวที่ทำให้เกิดการขาดทุนก็เป็นได้ แต่คิดว่า หุ้นที่มีอยู่ในขณะนี้ ไม่ใช่เวลาขาย แล้ว ต้องปรับ portfolio ไปถือหุ้นที่มั่นคง และให้ปันผลระดับ 4% และจะถือกองทุนมากขึ้น พวก กอง reit ต่าง ๆ ด้วย แถมเพิ่มลงในหุ้นกู้ระยะสั้นที่ให้ผลตอบแทนมากกว่า 4% นั่นคือทางที่จะไปในปีใหม่นี้
พูดถึงตลาดที่ออกหุ้นและการลงทุนแบบใหม่ ๆ พวก DW ต่าง ๆ นั่นระดับมือโปรฯ หรือระดับพวกบริหารกองทุนทำกัน ผมไม่อยากไปศึกษาหาความรู้กับพวกนั้น คราวที่ออก tfex ใหม่ ๆ ก็ทำลองศึกษาและทดสอบการลงทุนก็ขาดทุนเป็นค่าเรียนไป สามแสนกว่าบาท ไม่ใช่แนวทาง ของผม แต่ผมมาใช้แนวทางเพิ่มในปีที่แล้วและจะใช้ในปีใหม่นี้ ด้วยการศึกษากราฟเทคนิค จาก VI เน้นคุณค่า (Value Investment) เปลี่ยนมาเป็นลงทุน ไวไว ตามเทคนิคกราฟ ก็สนุกไปอีกแบบหนึ่ง แต่ไม่ใช่เป้าหมายการลงทุนระยะยาวของผม ปีใหม่นี้ผมคงไม่เพิ่มการลงทุน คงได้แต่ปรับ portfolio ไปบ้าง เท่านั้นเอง โชคดีในการลงทุนสำหรับเพื่อน ๆ ที่ลงทุนในตลาด ระวังกันหน่อย ก็แล้วกัน
หุ้นจะขึ้นหรือลง อยู่ที่ผลประกอบการ ซึ่งประกอบด้วย ความสามารถของผู้บริหารกับ ธรรมาภิบาล.........ใหญ่ในเล็กย่อม ดีกว่าเล็กในใหญ่
- ลุงขวด
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 2431
- ผู้ติดตาม: 0
Re: พวกเราอยู่กลุ่มไหน
โพสต์ที่ 214
ที่สุดการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่ของโลกก็ได้เกิดขึ้น เลยคิดว่า... วันหนึ่งขาวจะเป็นดำ และดำจะเป็นขาว สังคมนิยม จะเป็นทุนนิยม และพวกทุนนิยมก็จะเป็นสังคมนิยม......สิ่งตรงข้ามถ้ายึดเอาสุด ๆ โดยไม่คิดถึง คนส่วนใหญ่ ก็ต้องมีการปรับตัว ที่สุดทุกอย่างก็ควรจะเดินสายกลาง อย่าไปสุดๆ ในแต่ละข้าง การเดินสายกลางคือกฏของธรรมชาติ และธรรมชาติ ก็คือหลักของธรรมะ หลักคำสอนของพระพุทธเจ้า ยึดเอาหลักธรรมะ เป็นเส้นเดินทางของชีวิต น่าจะถูกต้องที่สุด จะเขียนถึงตลาดหลักทรัพย์แต่ก็แวะไปทางสายกลางที่เราควรจะยึดเดินไป
การเติบโตของจีนแบบที่มี GDP ที่สูงในโลกมาหลายปีติดต่อกัน ระดับ เลขสองตัว ตอนนี้ตกลงน่าจะได้ ระดับ5- 6% ก็เกิดจากการเติบโตสุด ๆ ของเขา และที่สุดก็ต้องปรับตัวลงเร็ว จาก โรค COVID19 .....สาเหตุจากโรคนี้เกิดได้อยางไรก็ยังค้นหากันอยู่ แต่ที่รู้ ๆ มันประทบถึงโลก ประทบถึงหลายประเทศ ที่ต้องหยุด และ ศึกษาโรคตัวนี้ว่า ทำไมถึงระบาดได้เร็วนัก มันกระทบถึง GDPโลก.....ทำให้ GDP ของประเทศต่างก็ต้องลดลงทุกประเทศ รวมทั้งของไทยด้วยที่ปีที่แล้วที่ระดับ 2.8% ก็ค่อย ๆ ลดลงมา เหลือเป้าหมายปีนี้ระดับที่ 1.5% เลย เพราะหลังๆ นี้ รายได้ส่วนใหญ่หวังการเติบโตจากท่องเที่ยว ซึ่งโดนระงับและลดแบบทันทีทันใด ถ้ามองในด้านนี้จะเห็นว่าทุกธุรกิจลำบากขึ้นแบบที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน แล้วจะทำให้ตลาดหุ้นขึ้นได้อย่างไร .....เคยบอกแล้วว่า่ปีนี้จะลดการลงทุนในหุ้น (ไม่ได้ขายหุ้นที่มี คงถือและปรับเล็กน้อย)....จากเคยประมาณการปันผลที่จะได้รับปีนี้น่าจะระดับ 4% ตัวเลข ณ วันนี้ต้องคำนวณใหม่ จะได้แค่ 3.7% จึงเป็นปีที่ลำบากอีกปีหนึ่ง ดีแต่ว่าได้ย้ายรายได้บางส่วนไปลงใน หุ้นกู้ระยะสั้น (แต่ก็ยังเสี่ยงเพราะลงในหุ้นกู้ระดับเก็งกำไร ซึ่งให้ดอกเบี้ย มากกว่า 5%) และหันไปศึกษากองทุนต่างประเทศโดยเฉพาะกองทุนทอง ที่น่าจะให้ผลดีในอนาคตได้....การได้ศึกษากองทุนต่างประเทศทำให้ต้องไปดูตัวเลขต่าง ๆ ศึกษา Top down ลงมา ...จึงรู้ว่าตลาดหุ้นไทยยังแพงกว่าเขา อยู่ เงินจึงไปลงทุนในต่างประเทศกัน....ปกติเเคยแต่ bottom up และลงทุนในหุ้นตัวเล็กและตัวกลาง....เลยต้องเปลี่ยนนิสัยมาสร้างความมั่นคงในด้านหุ้นกู้และกองทุนต่าง ๆ กันต่อไป เพื่อที่จะได้รักษาผลตอบแทนให้อยู่ในระดับ 5% ให้ได้ในปีนี้ นั่นคือเป้าหมายอันสูงสุดในช่วงนี้ ถึงแม้จะมีโอกาสน้อยมากทีเดียว ชีวิตต้องสู้อย่าหยุดศึกษาและเปลี่ยนแปลงไปกับโลกของเรา
การเติบโตของจีนแบบที่มี GDP ที่สูงในโลกมาหลายปีติดต่อกัน ระดับ เลขสองตัว ตอนนี้ตกลงน่าจะได้ ระดับ5- 6% ก็เกิดจากการเติบโตสุด ๆ ของเขา และที่สุดก็ต้องปรับตัวลงเร็ว จาก โรค COVID19 .....สาเหตุจากโรคนี้เกิดได้อยางไรก็ยังค้นหากันอยู่ แต่ที่รู้ ๆ มันประทบถึงโลก ประทบถึงหลายประเทศ ที่ต้องหยุด และ ศึกษาโรคตัวนี้ว่า ทำไมถึงระบาดได้เร็วนัก มันกระทบถึง GDPโลก.....ทำให้ GDP ของประเทศต่างก็ต้องลดลงทุกประเทศ รวมทั้งของไทยด้วยที่ปีที่แล้วที่ระดับ 2.8% ก็ค่อย ๆ ลดลงมา เหลือเป้าหมายปีนี้ระดับที่ 1.5% เลย เพราะหลังๆ นี้ รายได้ส่วนใหญ่หวังการเติบโตจากท่องเที่ยว ซึ่งโดนระงับและลดแบบทันทีทันใด ถ้ามองในด้านนี้จะเห็นว่าทุกธุรกิจลำบากขึ้นแบบที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน แล้วจะทำให้ตลาดหุ้นขึ้นได้อย่างไร .....เคยบอกแล้วว่า่ปีนี้จะลดการลงทุนในหุ้น (ไม่ได้ขายหุ้นที่มี คงถือและปรับเล็กน้อย)....จากเคยประมาณการปันผลที่จะได้รับปีนี้น่าจะระดับ 4% ตัวเลข ณ วันนี้ต้องคำนวณใหม่ จะได้แค่ 3.7% จึงเป็นปีที่ลำบากอีกปีหนึ่ง ดีแต่ว่าได้ย้ายรายได้บางส่วนไปลงใน หุ้นกู้ระยะสั้น (แต่ก็ยังเสี่ยงเพราะลงในหุ้นกู้ระดับเก็งกำไร ซึ่งให้ดอกเบี้ย มากกว่า 5%) และหันไปศึกษากองทุนต่างประเทศโดยเฉพาะกองทุนทอง ที่น่าจะให้ผลดีในอนาคตได้....การได้ศึกษากองทุนต่างประเทศทำให้ต้องไปดูตัวเลขต่าง ๆ ศึกษา Top down ลงมา ...จึงรู้ว่าตลาดหุ้นไทยยังแพงกว่าเขา อยู่ เงินจึงไปลงทุนในต่างประเทศกัน....ปกติเเคยแต่ bottom up และลงทุนในหุ้นตัวเล็กและตัวกลาง....เลยต้องเปลี่ยนนิสัยมาสร้างความมั่นคงในด้านหุ้นกู้และกองทุนต่าง ๆ กันต่อไป เพื่อที่จะได้รักษาผลตอบแทนให้อยู่ในระดับ 5% ให้ได้ในปีนี้ นั่นคือเป้าหมายอันสูงสุดในช่วงนี้ ถึงแม้จะมีโอกาสน้อยมากทีเดียว ชีวิตต้องสู้อย่าหยุดศึกษาและเปลี่ยนแปลงไปกับโลกของเรา
หุ้นจะขึ้นหรือลง อยู่ที่ผลประกอบการ ซึ่งประกอบด้วย ความสามารถของผู้บริหารกับ ธรรมาภิบาล.........ใหญ่ในเล็กย่อม ดีกว่าเล็กในใหญ่
- ลุงขวด
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 2431
- ผู้ติดตาม: 0
Re: พวกเราอยู่กลุ่มไหน
โพสต์ที่ 216
ดัชนีตลาดปิดอำลาครึ่งปีนี้ ด้วยดัชนีที่ 1339.03 จุด ซึ่งพยุงตลาดโดยสถาบันเป็นฝ่ายซื้อ ต่างชาติและรายย่อยขายเช่นเดิม โวลุ่มซื้อขายเป็นปกติไม่มาก ที่ 58,589 ล้านบาท ดัชนีลงจากต้นปี 15.29% ส่วนใหญ่ก็คงขาดทุนกันถ้วนหน้าเช่นเดิม ..... ผมไม่ค่อยได้ซื้อขายหุ้นเท่าไหร่ มีสนุกบ้างตอนตัวไหนขึ้นแรงก็ขาย และรอซื้อกลับ แต่ก็ไม่ได้ทำมาก เพราะ ต้นทุนที่มีค่อนข้างจะสูง (ติดหุ้นอยู่) มีขาย Warrant ไปบ้างเพราะไม่อยากจะเพิ่มทุนกับเขา เพราะดูอนาคตของการลงทุนลำบากขึ้นเรื่อย ๆ ยิ่งในเดือนครึ่งข้างหน้าจะประกาศผลประกอบการไตรมาส 2 ซึ่งทุกคนก็รู้แล้วว่าจะแย่มากเพราะไม่มีกิจการอะไร บางบริษัทก็ปิด หยุดดำเนินงาน ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่มากที่นักลงทุนต้องเจอกัน...... ในความคิดของผม เนื่องจากดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำมาก มีหุ้นหลายตัวที่ยังคงให้ปันผลระดับสูง (หุ้นตัวกลางเล็ก) ถ้าเป็นหุ้นใหญ่ ก็ระดับ 1-3% ก็ยังดีกว่าเงินฝากที่ให้เพียง 0.5%..........ผมเลยเชื่อว่าดัชนีตลาดไม่น่าจะทำ low ใหม่ (ดัชนีต่ำสุดรอบนี้ที่ 969 จุด) ผมว่า ดัชนีน่าจะได้เห็นลงไปแถว 1156 จุดก็เป็นได้ ก็รอดูกันต่อไปว่าจะเป็นอย่างไรในไม่เกิน 2 เดือนนี้
ส่วนเป้าหมายปีนี้ที่คาดว่าจะทำได้ 5% กับเงินที่ลงทุนไป ก็ต้องปรับเปลี่ยนเป็น แถว 4% แล้ว โอกาสทำตามเป้าหมายรู้สึกจะลำบากขึ้น .... ปันผลที่ได้รับก็ไปเริ่มกับหุ้นกู้ ซึ่งก็มีความเสี่ยง ก็ พยายามคัดเอา ให้มากกว่า 4% ตอนนี้เฉลี่ยอยู่ระดับ 5.2% ระยะเวลา 2-3 ปีเท่านั้น หุ้นกู้ทั้งหมดจ่ายทุกไตรมาส จึงทำให้มีเงินใช้ สร้างสภาพคล่องให้อีกด้านหนึ่ง.......สู้กนต่อไปนะครับ สู้กับ COVID-19 ไม่พอ ยังต้องสู้กับ นายตลาดหุ้น ที่อ่อนแอด้วยซิ....ขอให้โชคดีในการลงทุนด้วยนะครับ
ส่วนเป้าหมายปีนี้ที่คาดว่าจะทำได้ 5% กับเงินที่ลงทุนไป ก็ต้องปรับเปลี่ยนเป็น แถว 4% แล้ว โอกาสทำตามเป้าหมายรู้สึกจะลำบากขึ้น .... ปันผลที่ได้รับก็ไปเริ่มกับหุ้นกู้ ซึ่งก็มีความเสี่ยง ก็ พยายามคัดเอา ให้มากกว่า 4% ตอนนี้เฉลี่ยอยู่ระดับ 5.2% ระยะเวลา 2-3 ปีเท่านั้น หุ้นกู้ทั้งหมดจ่ายทุกไตรมาส จึงทำให้มีเงินใช้ สร้างสภาพคล่องให้อีกด้านหนึ่ง.......สู้กนต่อไปนะครับ สู้กับ COVID-19 ไม่พอ ยังต้องสู้กับ นายตลาดหุ้น ที่อ่อนแอด้วยซิ....ขอให้โชคดีในการลงทุนด้วยนะครับ
หุ้นจะขึ้นหรือลง อยู่ที่ผลประกอบการ ซึ่งประกอบด้วย ความสามารถของผู้บริหารกับ ธรรมาภิบาล.........ใหญ่ในเล็กย่อม ดีกว่าเล็กในใหญ่
- ลุงขวด
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 2431
- ผู้ติดตาม: 0
Re: พวกเราอยู่กลุ่มไหน
โพสต์ที่ 217
เกมพลิกโลก ที่ต้องติดตามให้ทัน
สวัสดีปีใหม่ 2564 ขออวยพรให้เพื่อน ๆ ที่ติดตามกันได้ในหัวข้อนี้.... ถึงแม้จะต้องโดนกักตัว กันส่วนใหญ่ ก็ตาม ขออวยพรให้มีความสุข สมหวัง มีสุขภาพ แข็งแรง ปราศจากโรค COVID-19 ให้ได้ด้วยกัน คล้ายกับการเล่นเกมของโลก ต้องชนะเกมให้ได้ด้วยกันนะครับ เกมของโลกมันเปลี่ยนไปมาก เปลี่ยนจนทำให้ชาวโลกต้อง งง งวย กับมัน ชาวโลกส่วนใหญ่มีปัญหาแทบทุกประเทศ ของไทยเราคิดว่า เก่งที่ควบคุมได้เกือบทั้งปี พอครบปีในช่วงนี้ ก็เกิดปัญหาระบาดกระจายไปแทบทุกจังหวัด ก็ต้องต่อสู้และป้องกันให้มากขึ้น ก็ขอให้การระบาดในระลอกสองนี้ อย่าได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ...ขอให้พวกเราชนะไปด้วยกัน สู้สุดความสามารถด้วยกัน
สำหรับการลงทุนของผมในปี ที่ผ่านมานี้ (2563) ดัชนีเริ่มจาก 1579.84 จุดไปปิดที่ 1449.35 จุด แสดงว่า ยังน้อยกว่าต้นปีอยู่ 8.25% แสดงถึง การลงทุนส่วนใหญ่ยังขาดทุนกันอยู่ นักลงทุนแทบทุกคนขาดทุนกันหมด......รวมทั้งผมด้วย ยังไม่สามารถจะเอาเงินคืนจากตลาดทุนนี้ได้ ผมสรุปการลงทุนของผมขาดทุนในปีนี้ (2563) 6.9% นั่นหมายถึงยังชนะตลาดอยู่ 1.35% ..........ถ้าดูถึงเงินลงทุนทั้งหมดที่ลงไป ก็ยังไม่สามารถที่จะเอากลับมาได้ ยังขาดทุนโดยรวม อยู่ถึง 21.3% ซึ่งยังอยู่สภาพที่แย่เช่นเดิม......แต่ถ้าดูอีกด้านกับเงินที่ลงไปทั้งหมด ได้รับปันผลกลับมาในระดับ 3.4% และมีการซื้อขายหุ้นซึ่งทำได้เพียง 0.41% หมายถึงปีนี้ ทำได้รวม 3.4+0.41 เท่ากับ 3.41% เท่านั้นเอง ซึ่งเป็นปีที่ต่ำที่สุดเท่าที่ลงทุนมา........จากการเก็บข้อมูล วิกฤตต่าง ๆ จะเกิดขึ้น ในรอบประมาณ 10 ปีต่อรอบ แต่ช่วงนี้ เป็น 11 และ 12 ปีต่อรอบ ตามที่ผมเก็บข้อมูลการลงทุนของผมก็เหมือนกันรอบที่เกิดขึ้นของรอบเศรษฐกิจนั่นเอง ....จึงขอยืนยันในความคิดของผมว่า การลงทุนต่อไปจากนี้ จะค่อย ๆ ขยับขึ้นได้แล้ว และผมคาดว่า ใน 3 ปีข้างหน้า เงินลงทุนของผมจะได้กลับมาหมดได้ในที่สุด........ผมลงทุนมายาวและสนุก กับมัน ดูการเคลื่อนไหวของมูลค่า คิดและติดตาม ถึงแม้ระยะหลังๆ นี้ การติดตามจะเปลี่ยนรูปแบบไป ก็ต้องศึกษาและติดตามอยู่กับมัน ทำให้เวลาว่าง ๆ ที่เหลืออยู่ได้หาความรู้ในด้านใหม่ๆ ตามไปด้วย......บางส่วนก็ไปลงทุนในกองทุนต่างประเทศ ซึ่งได้ผลดีกว่าเพราะให้มากกว่า 10% ได้ เสียแต่ว่ายอดลงทุนไม่มากเท่านั้นเอง.......ผมสนุกและสุขกับการลงทุน ให้เงินทำงานแทนเราในยามสูงวัย ....เลยอยากบอกแก่คนรุ่นใหม่ที่อยากสนุกและสุขกับการลงทุน ก็ลงทุนกับมัน แบ่งเงินบางส่วนที่หามาได้ มาลงทุนในหุ้นที่ให้ปันผล ที่ดี มีงบการเงินที่ดี มีกำไรโตทุกปีก็จะเป็นจุดที่ดีด้วย ตามศึกษาและจะสบายในเมื่อเงินที่ลงทุนไปให้ผลตอบแทนพอกับค่าใช้จ่ายที่เขาจะจ่ายในแต่ละวัน......ขอให้โชคดีในการลงทุนในปีใหม่นี้ด้วย
สวัสดีปีใหม่ 2564 ขออวยพรให้เพื่อน ๆ ที่ติดตามกันได้ในหัวข้อนี้.... ถึงแม้จะต้องโดนกักตัว กันส่วนใหญ่ ก็ตาม ขออวยพรให้มีความสุข สมหวัง มีสุขภาพ แข็งแรง ปราศจากโรค COVID-19 ให้ได้ด้วยกัน คล้ายกับการเล่นเกมของโลก ต้องชนะเกมให้ได้ด้วยกันนะครับ เกมของโลกมันเปลี่ยนไปมาก เปลี่ยนจนทำให้ชาวโลกต้อง งง งวย กับมัน ชาวโลกส่วนใหญ่มีปัญหาแทบทุกประเทศ ของไทยเราคิดว่า เก่งที่ควบคุมได้เกือบทั้งปี พอครบปีในช่วงนี้ ก็เกิดปัญหาระบาดกระจายไปแทบทุกจังหวัด ก็ต้องต่อสู้และป้องกันให้มากขึ้น ก็ขอให้การระบาดในระลอกสองนี้ อย่าได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ...ขอให้พวกเราชนะไปด้วยกัน สู้สุดความสามารถด้วยกัน
สำหรับการลงทุนของผมในปี ที่ผ่านมานี้ (2563) ดัชนีเริ่มจาก 1579.84 จุดไปปิดที่ 1449.35 จุด แสดงว่า ยังน้อยกว่าต้นปีอยู่ 8.25% แสดงถึง การลงทุนส่วนใหญ่ยังขาดทุนกันอยู่ นักลงทุนแทบทุกคนขาดทุนกันหมด......รวมทั้งผมด้วย ยังไม่สามารถจะเอาเงินคืนจากตลาดทุนนี้ได้ ผมสรุปการลงทุนของผมขาดทุนในปีนี้ (2563) 6.9% นั่นหมายถึงยังชนะตลาดอยู่ 1.35% ..........ถ้าดูถึงเงินลงทุนทั้งหมดที่ลงไป ก็ยังไม่สามารถที่จะเอากลับมาได้ ยังขาดทุนโดยรวม อยู่ถึง 21.3% ซึ่งยังอยู่สภาพที่แย่เช่นเดิม......แต่ถ้าดูอีกด้านกับเงินที่ลงไปทั้งหมด ได้รับปันผลกลับมาในระดับ 3.4% และมีการซื้อขายหุ้นซึ่งทำได้เพียง 0.41% หมายถึงปีนี้ ทำได้รวม 3.4+0.41 เท่ากับ 3.41% เท่านั้นเอง ซึ่งเป็นปีที่ต่ำที่สุดเท่าที่ลงทุนมา........จากการเก็บข้อมูล วิกฤตต่าง ๆ จะเกิดขึ้น ในรอบประมาณ 10 ปีต่อรอบ แต่ช่วงนี้ เป็น 11 และ 12 ปีต่อรอบ ตามที่ผมเก็บข้อมูลการลงทุนของผมก็เหมือนกันรอบที่เกิดขึ้นของรอบเศรษฐกิจนั่นเอง ....จึงขอยืนยันในความคิดของผมว่า การลงทุนต่อไปจากนี้ จะค่อย ๆ ขยับขึ้นได้แล้ว และผมคาดว่า ใน 3 ปีข้างหน้า เงินลงทุนของผมจะได้กลับมาหมดได้ในที่สุด........ผมลงทุนมายาวและสนุก กับมัน ดูการเคลื่อนไหวของมูลค่า คิดและติดตาม ถึงแม้ระยะหลังๆ นี้ การติดตามจะเปลี่ยนรูปแบบไป ก็ต้องศึกษาและติดตามอยู่กับมัน ทำให้เวลาว่าง ๆ ที่เหลืออยู่ได้หาความรู้ในด้านใหม่ๆ ตามไปด้วย......บางส่วนก็ไปลงทุนในกองทุนต่างประเทศ ซึ่งได้ผลดีกว่าเพราะให้มากกว่า 10% ได้ เสียแต่ว่ายอดลงทุนไม่มากเท่านั้นเอง.......ผมสนุกและสุขกับการลงทุน ให้เงินทำงานแทนเราในยามสูงวัย ....เลยอยากบอกแก่คนรุ่นใหม่ที่อยากสนุกและสุขกับการลงทุน ก็ลงทุนกับมัน แบ่งเงินบางส่วนที่หามาได้ มาลงทุนในหุ้นที่ให้ปันผล ที่ดี มีงบการเงินที่ดี มีกำไรโตทุกปีก็จะเป็นจุดที่ดีด้วย ตามศึกษาและจะสบายในเมื่อเงินที่ลงทุนไปให้ผลตอบแทนพอกับค่าใช้จ่ายที่เขาจะจ่ายในแต่ละวัน......ขอให้โชคดีในการลงทุนในปีใหม่นี้ด้วย
หุ้นจะขึ้นหรือลง อยู่ที่ผลประกอบการ ซึ่งประกอบด้วย ความสามารถของผู้บริหารกับ ธรรมาภิบาล.........ใหญ่ในเล็กย่อม ดีกว่าเล็กในใหญ่
- ลุงขวด
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 2431
- ผู้ติดตาม: 0
Re: พวกเราอยู่กลุ่มไหน
โพสต์ที่ 218
หุ้นน่าติดตามดู หานักลงทุนหน้าใหม่กัน คือ หุ้น OR ดังนี้
1.ต้องการให้ประชาชนทั่วไปมาซื้อร่วมด้วย ให้ซื้ออย่างต่ำ 300 หุ้น เท่ากับ 5.400 บาท
2.์Non-oil มีรายได้เพียง4+5 เท่ากับ 9%ของรายได้ทั้งหมด แต่ มีการขยายตัวที่เติบโตสูงทีเดียว
3.ธุรกิจน้ำมัน บางปั้มเป็นของเอกชนอื่นๆ มีบริการ ต้องแบ่งส่วนนี้ให้เขาด้วย
4.การขยายด้าน OIL เริ่มลำบากเพราะ รถไฟฟ้า EV เริ่มมีการสร้างและเริ่มใช้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ถึงแม้ไทยจะมีแหล่งน้ำมันที่ถูก แต่พลังงานจากธรรมชาติ พลังงานแสงอาทิตย์ และลม ซึ่งแทบไม่มีต้นทุนเลยและเป็นพลังงานบริสุทธิ์ด้วย
5.การจองหุ้นยุ่งยากพอควรสำหรับนักลงทุนเดิม และอัตราส่วนที่ให้ได้สิทธิจองนั้นแทบบอกได้ว่า ไม่มีค่าอะไรเลย ให้สิทธิ์คนมี PTT 95 หุ้นจะได้สทธิ OR เพียง 1 หุ้นเท่านั้น นโยบายเขาต้องการหานักลงทุนใหม่ให้มากขึ้น แต่จะหาได้คงไม่มากเท่าไหร่เป็นแน่
6.ราคาหุ้นผมว่าคงขึ้นไม่มากจากราคา ipo เท่าไหร่ คาดหวังว่าน่าจะได้กำไรสัก 10% กว่า ๆ .....และมีโอกาสลดลงมาแถวใกล้ ๆ กับ ipo ก็เป็นไปได้......ก็ต้องรอดูกันต่อไป......(การลงทุนมีความเสี่ยง นี่คือความคิดของผมในการลงทุนหุ้นตัวนี้ โปรดศึกษาให้รอบครอบ แต่ผมก็เชื่อว่าในอนาคตระยะยาวจะเป็นหุ้นดีตัวหนึ่ง ที่เขาต้องทำอย่างไรให้ non-oil เติบโตอย่างเร็วตามต้องการของนักลงทุน)
1.ต้องการให้ประชาชนทั่วไปมาซื้อร่วมด้วย ให้ซื้ออย่างต่ำ 300 หุ้น เท่ากับ 5.400 บาท
2.์Non-oil มีรายได้เพียง4+5 เท่ากับ 9%ของรายได้ทั้งหมด แต่ มีการขยายตัวที่เติบโตสูงทีเดียว
3.ธุรกิจน้ำมัน บางปั้มเป็นของเอกชนอื่นๆ มีบริการ ต้องแบ่งส่วนนี้ให้เขาด้วย
4.การขยายด้าน OIL เริ่มลำบากเพราะ รถไฟฟ้า EV เริ่มมีการสร้างและเริ่มใช้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ถึงแม้ไทยจะมีแหล่งน้ำมันที่ถูก แต่พลังงานจากธรรมชาติ พลังงานแสงอาทิตย์ และลม ซึ่งแทบไม่มีต้นทุนเลยและเป็นพลังงานบริสุทธิ์ด้วย
5.การจองหุ้นยุ่งยากพอควรสำหรับนักลงทุนเดิม และอัตราส่วนที่ให้ได้สิทธิจองนั้นแทบบอกได้ว่า ไม่มีค่าอะไรเลย ให้สิทธิ์คนมี PTT 95 หุ้นจะได้สทธิ OR เพียง 1 หุ้นเท่านั้น นโยบายเขาต้องการหานักลงทุนใหม่ให้มากขึ้น แต่จะหาได้คงไม่มากเท่าไหร่เป็นแน่
6.ราคาหุ้นผมว่าคงขึ้นไม่มากจากราคา ipo เท่าไหร่ คาดหวังว่าน่าจะได้กำไรสัก 10% กว่า ๆ .....และมีโอกาสลดลงมาแถวใกล้ ๆ กับ ipo ก็เป็นไปได้......ก็ต้องรอดูกันต่อไป......(การลงทุนมีความเสี่ยง นี่คือความคิดของผมในการลงทุนหุ้นตัวนี้ โปรดศึกษาให้รอบครอบ แต่ผมก็เชื่อว่าในอนาคตระยะยาวจะเป็นหุ้นดีตัวหนึ่ง ที่เขาต้องทำอย่างไรให้ non-oil เติบโตอย่างเร็วตามต้องการของนักลงทุน)
หุ้นจะขึ้นหรือลง อยู่ที่ผลประกอบการ ซึ่งประกอบด้วย ความสามารถของผู้บริหารกับ ธรรมาภิบาล.........ใหญ่ในเล็กย่อม ดีกว่าเล็กในใหญ่
- mongkol
- Verified User
- โพสต์: 272
- ผู้ติดตาม: 0
Re: พวกเราอยู่กลุ่มไหน
โพสต์ที่ 219
สวัสดีปีใหม่ครับลุงขวด ขอให้สุขภาพแข็งแรง
แวะมาทักทาย เห็นลุงขวดมาหลายปี ผลตอบแทนของพอรทลุงผมไม่รู้ 555
แต่สิ่งที่สังเกตได้คือลุงขวดดูเป็นนักลงทุนที่มีความสุข และมีเมตตาจิตต่อเพื่อนนักลงทุนเสมอ สาธุครับ
ในยุคโซเชี่ยลที่เว็บบอรดเงียบไปมาก ยังมีคนคอนอัพเดทกระทู้ให้อ่าน
ผมก็รู้สึกดี และขอบคุณมากครับ
แวะมาทักทาย เห็นลุงขวดมาหลายปี ผลตอบแทนของพอรทลุงผมไม่รู้ 555
แต่สิ่งที่สังเกตได้คือลุงขวดดูเป็นนักลงทุนที่มีความสุข และมีเมตตาจิตต่อเพื่อนนักลงทุนเสมอ สาธุครับ
ในยุคโซเชี่ยลที่เว็บบอรดเงียบไปมาก ยังมีคนคอนอัพเดทกระทู้ให้อ่าน
ผมก็รู้สึกดี และขอบคุณมากครับ
แก่นแท้ คือ "ความว่าง" นี่เอง
- ลุงขวด
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 2431
- ผู้ติดตาม: 0
Re: พวกเราอยู่กลุ่มไหน
โพสต์ที่ 220
ขอบคุณครับ ที่ยังมีผู้สนใจ ช่วงนี้ได้หันไปลงทุนในหุ้นกู้ที่มีความเสี่ยงหน่อย แต่ให้ผลตอบแทน 5-7% เพราะคิดว่ากิจการภายในอนาคตอีก 2 ปีพวกนี้ก็ยังสามารถเอาตัวรอดได้ โดยเฉพาะธุรกิจที่โดยกระทบจาก vocid-19 เช่นพวกอสังหาฯ ที่กำลังซื้อลดลง พวกที่ขาดสภาพคล่องต้องการเงินโดยออกหุ้นกู้เหล่านี้ ....และอีกส่วนก็ไปลงทุนในกองทุนต่างประเทศ ลงไปเมื่อกลางปีที่แล้วพวก technology โลก และจึน ก็ได้ผลตอบแทนดีทีเดียว ขณะนี้ก็ทะยอยขายไปบ้างแต่ของจีนยังถืออยู่ เพราะเห็นประเทศที่จะเติบโตต้าน covid-19 ได้ก็มี จีน กับ เวียตนาม เวียตนามควบคุมโรคได้ดีและกิจการก็โตขึ้นได้ หลายบริษัทของไทยเราก็ไปลงทุนในเวียตนามเพิ่มขึ้นด้วย ส่วนหุ้นไทยก็คงไม่ซื้อเพิ่ม เอาหุ้นมาเล่นรอบ สนุกไปทุกวัน ไม่กังวลกับเงินที่ลงทุนไปเพราะ เงินมันทำงานให้แล้ว (ใช้จ่ายน้อยกว่าปันผลที่ได้รับ) รอปันผลเดือน 4-5 ก็ไปเพิ่มในส่วนกองทุนต่างประเทศ มีกองทุนเปิดใหม่ของไทยเราที่ไปลงทุนในธุรกิจแห่งอนาคต เช่น tesla youtube facebook และของฝ่ายจีน ที่ลงในอนาคตเช่นกัน.... ไม่ได้ลงทุนเป็นรายตัวเพราะความสามารถยังไม่ถึง ....คงเอาตัวรอดได้ไปเรื่อยๆ สนุกและสุขกับการลงทุนเพื่อป้องกันโรคสมองเสื่อม เริ่มรู้แล้วว่าเวลามากขึ้นความจำค่อยๆ ลืมไป ก็ต้องต้านกับมัน ใช้ให้มากขึ้น....เสียแต่ว่าโดนกักตัว ไม่สามารถไปเที่ยวในที่ต่างๆ ได้ อยากไปเที่ยวต่างประเทศก็ไม่สามารถไปได้ นี่ก็ 2 ปีแล้วที่ไม่ได้ไปเที่ยว จำต้องเที่ยวทั่วไปก่อน ก็ สนุกไปอีกแบบหนึ่ง เที่ยวไทยนั้นมีปัญหาเรื่องอากาศร้อนเกินไปเท่านั้นเอง ไทยมีแหล่งท่องเที่ยวดีหลายแห่ง หลังสุดไปติดใจ แม่ฮ่องสอน อ.ปาย น่าเที่ยวมาก ลองไปกันนะครับ
หุ้นจะขึ้นหรือลง อยู่ที่ผลประกอบการ ซึ่งประกอบด้วย ความสามารถของผู้บริหารกับ ธรรมาภิบาล.........ใหญ่ในเล็กย่อม ดีกว่าเล็กในใหญ่
- ลุงขวด
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 2431
- ผู้ติดตาม: 0
Re: พวกเราอยู่กลุ่มไหน
โพสต์ที่ 221
OR OR OR ได้ขายไปแล้วในวันที่สองของการซื้อขาย......เหลือไว้แค่ 100 หุ้นเอาไปติดตาม (ได้มา 4400 หุ้น) ผมเชื่อว่า ตัวนี้จะเป็นตัวหนึ่งในการกำหนดดัชนีตลาด รอดูว่า จะ นิ่งแถวไหน คิดว่าโอกาสที่จะมาในระดับ ipo คงไม่น่าจะได้ .......ผมเชื่อมั่นว่า เป็นหุ้นดี เช่นเดียวกับ SCGP นั่นแหละ มี 2 คู่ให้เลือกและหาโอกาสลงทุนยาวกันต่อไป 2 คู่หมายถึง PPP+OR และ SCC+SCGP ควรมีเอาไว้ในการลงทุน รับรองไม่ผิดหวังแน่ ส่วนเหตุผลหาอ่านในบทวิเคราะห์กันดูนะครับ สำคัญที่ราคาว่าจะลงกับเขาที่เท่าไหร่ ผมเชื่อน่าตัวแม่ของทั้งคู ณ ราคาปัจจุบัน น่ามีไว้บ้างแล้วนะครับ
หุ้นจะขึ้นหรือลง อยู่ที่ผลประกอบการ ซึ่งประกอบด้วย ความสามารถของผู้บริหารกับ ธรรมาภิบาล.........ใหญ่ในเล็กย่อม ดีกว่าเล็กในใหญ่
-
- Verified User
- โพสต์: 464
- ผู้ติดตาม: 0
Re: พวกเราอยู่กลุ่มไหน
โพสต์ที่ 222
สวัสดีครับ คุณลุงขวด ผมเป็นแฟนคลับ ติดตามกระทู้พวกเราอยู่กลุ่มไหน มาหลายปีแล้วครับ
ได้มุมมองที่หลากหลาย ขอให้ลุงขวดสุขภาพร่างการแข็งแรงครับ
ไม่ทราบว่าลุงขวด ได้ไปประชุมหุ้น TTL ที่อยู่นอกตลาดหรือเปล่าครับ ผมดีผมติดตัวนี้อยู่หลายปี
แต่ก็ไม่ได้ไปประชุมครับ เห็นผู้บริหารพูดถึงเรื่องกัญชง มาหลายปี ไม่ทราบว่าจะปลูกกับเขาไหมครับ
ได้มุมมองที่หลากหลาย ขอให้ลุงขวดสุขภาพร่างการแข็งแรงครับ
ไม่ทราบว่าลุงขวด ได้ไปประชุมหุ้น TTL ที่อยู่นอกตลาดหรือเปล่าครับ ผมดีผมติดตัวนี้อยู่หลายปี
แต่ก็ไม่ได้ไปประชุมครับ เห็นผู้บริหารพูดถึงเรื่องกัญชง มาหลายปี ไม่ทราบว่าจะปลูกกับเขาไหมครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 464
- ผู้ติดตาม: 0
Re: พวกเราอยู่กลุ่มไหน
โพสต์ที่ 223
พอดีมีหุ้นมาฝาก คุณลุงขวดครับ
หุ้น IMH ครับ ปี 2562 หุ้นตัวนี้มีการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ให้ลูกค้ากว่า 100,000 คนครับ
มีรายได้จากการฉีดวัคซีน ไข้หวัดใหญ่ ไข้เลือดออก มะเร็งปากมดลูก
คิดเป็นประมาณ 15 เปอร์เซ็นต์ของรายได้ทั้งหมดครับ
9 เดือน ของปี 63 ที่ขาดทุน เพราะว่ามีการปิดเมืองในไตรมาส 2 ทำให้ลูกค้าที่
เป็นโรงงานเลื่อนการตรวจสุขภาพ ซึ่งไตรมาส 2 ของทุกปีจะเป็นไตรมาสที่เป็นกำไรดีที่สุด
ซึ่งทำให้ งบขาดทุน ซึ่งเป็น onetime ไม่มีอีกแล้ว
ซึ่งวัคซีนโควิดที่จะได้ฉีดกันปีนี้ ความเป็นส่วนตัวของผมคิดว่า IMH จะเป็นโรงพยาบาลที่ได้ประโยชน์
สูงสุดกว่าหุ้น โรงพยาบาลทุกตัว เพราะ IMH มีฐานลูกค้ากว่า 1 ล้านราย และมีกำลังรองรับลูกค้าได้มากถึง
5000 คนต่อวัน มีรถ mobile เคลื่อนที่ 10 กว่าคัน ฉีดวัคซีนได้ถึงโรงงาน
- ราคา หุ้น 2.32 บาท มูลค่ากิจการแค่ 500 ล้านบาท และ p/bv แค่ 1.2 เท่า
เมื่อเทียบกับหุ้น โรงพยาบาลตัวอื่นที่มูลค่ากิจการสูงหลายพันล้าน p/bv สูงหลายเท่า 3 เท่า 5 เท่า 7-8 เท่าก็มี
-รวมทั้งบริษัทมีสถานะ net cash มีเงินสด 200 ล้านบาท คิดเป็น 1 บาทต่อหุ้น เทียบกับราคาหุ้น 2.32
-ต้นทุนของบริษัทเป็นต้นทุนคงที่ คือบุคลากร ถ้ายิ่งมีการฉีดวัคซีนยิ่งเยอะ กำไรที่ได้ยึ่งขยายตัวแรงครับ
หุ้น IMH ครับ ปี 2562 หุ้นตัวนี้มีการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ให้ลูกค้ากว่า 100,000 คนครับ
มีรายได้จากการฉีดวัคซีน ไข้หวัดใหญ่ ไข้เลือดออก มะเร็งปากมดลูก
คิดเป็นประมาณ 15 เปอร์เซ็นต์ของรายได้ทั้งหมดครับ
9 เดือน ของปี 63 ที่ขาดทุน เพราะว่ามีการปิดเมืองในไตรมาส 2 ทำให้ลูกค้าที่
เป็นโรงงานเลื่อนการตรวจสุขภาพ ซึ่งไตรมาส 2 ของทุกปีจะเป็นไตรมาสที่เป็นกำไรดีที่สุด
ซึ่งทำให้ งบขาดทุน ซึ่งเป็น onetime ไม่มีอีกแล้ว
ซึ่งวัคซีนโควิดที่จะได้ฉีดกันปีนี้ ความเป็นส่วนตัวของผมคิดว่า IMH จะเป็นโรงพยาบาลที่ได้ประโยชน์
สูงสุดกว่าหุ้น โรงพยาบาลทุกตัว เพราะ IMH มีฐานลูกค้ากว่า 1 ล้านราย และมีกำลังรองรับลูกค้าได้มากถึง
5000 คนต่อวัน มีรถ mobile เคลื่อนที่ 10 กว่าคัน ฉีดวัคซีนได้ถึงโรงงาน
- ราคา หุ้น 2.32 บาท มูลค่ากิจการแค่ 500 ล้านบาท และ p/bv แค่ 1.2 เท่า
เมื่อเทียบกับหุ้น โรงพยาบาลตัวอื่นที่มูลค่ากิจการสูงหลายพันล้าน p/bv สูงหลายเท่า 3 เท่า 5 เท่า 7-8 เท่าก็มี
-รวมทั้งบริษัทมีสถานะ net cash มีเงินสด 200 ล้านบาท คิดเป็น 1 บาทต่อหุ้น เทียบกับราคาหุ้น 2.32
-ต้นทุนของบริษัทเป็นต้นทุนคงที่ คือบุคลากร ถ้ายิ่งมีการฉีดวัคซีนยิ่งเยอะ กำไรที่ได้ยึ่งขยายตัวแรงครับ
- ลุงขวด
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 2431
- ผู้ติดตาม: 0
Re: พวกเราอยู่กลุ่มไหน
โพสต์ที่ 224
ศึกษาง่ายครับ รอไปก่อน เพราะ เป็นหุ้นใหม่ ipo 6 บาท วันแรกซื้อขายกัน 5.85-4.72 บาท คนซื้อ ipo ขาดทุนทุกคน กิจการ 5 สาขาอยู่ในแหล่งอุตสาหกรรม ต้องการให้คนมาใช้บริการตรวจสุขภาพเป็นหลัก ช่วงนี้พนักงานคงลดกันหมด งานตรวจสุขภาพคงแย่ตามไปด้วยโดนกระทบเช่นกันทำให้กำไร ปีนี้ ลดลงเป็นขาดทุนไปเลย รอดูแถวราคาต่ำสุดเดิม พร้อมกับดูกิจการว่าจะหาทางพัฒนาทำอะไรให้ได้กำไรกลับมา สู้กันต่อไปนะครับ ขอให้โชคดีในการลงทุน ผมขอรอตามที่บอกนั่นแหละ (กิจการงบดุลการเงินยังดีครับไม่มีปัญหาอะไร รับเงินจากลูกค้า ร้อยกว่าวัน ถ้าจะให้ดีก็ต่อรองสัก 60 วันก็ดี)
หุ้นจะขึ้นหรือลง อยู่ที่ผลประกอบการ ซึ่งประกอบด้วย ความสามารถของผู้บริหารกับ ธรรมาภิบาล.........ใหญ่ในเล็กย่อม ดีกว่าเล็กในใหญ่
- ลุงขวด
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 2431
- ผู้ติดตาม: 0
Re: พวกเราอยู่กลุ่มไหน
โพสต์ที่ 225
บ่นหุ้น 1
หุ้นพื้นฐานดี ทำไมขึ้นช้า แต่หู้นพื้นฐานแย่ ทำไมขึ้นเร็ว.........จะเห็นได้ว่า ที่ผมเขึ่ยนคราวก่อนตอนท้ายๆ บอกว่า ผมมีหุ้นพื็นฐานแย่ กิจการขาดทุุนมาหลายปีแล้ว ก็ยังสนใจถืออยู่ ทำไมถึงถือหุ้นขนิดนี้.......มีการเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ น้อย ๆ ในราคาในวันนี้..........หุ้นใน 2 ปีนี้ได้ปรับขึ้นมากทีเดียว.....ผมอยู่กับหุ้นตัวนี้มานานมาก ติดตามมากว่า 20 ปีแล้ว ใครๆ ที่รู้จักผมก็จะบอกว่า ผมได้กำไรจากหุ้นตัวนี้มากพอควร การลงทุนยาวๆ ก็ทำให้มีกำไรซิเหตุผลง่ายๆ .........ในช่วงแรกๆ ที่ลงทุนหุ้นตัวนี้ เป็นเพราะบริษัทนี้ สามารถทำกำไรได้ดี และ ปันผลให้ทุกปี เริ่มจากกลุ่มไต้หวันที่เข้ามาบริหาร การประหยัด และ สร้างผลกำไรคือหลักการที่ชาวไต้หวันชอบอยู่ ราคาหุ้นได้ขึ้นแรงมาก ระดับกว่าร้อยบาท แต่ฝ่ายบริหารก็มีการแตกพาร์ และเพิ่มทุน ...เขาเก่งและคงใช้เวลาที่เหมาะสมในการเปลี่ยนแปลงราคาหุ้นให้เป็นประโยชน์ ราคาหุ้นก็ลดลงเรื่อย ๆ ทำให้เกิด dilution effects ...ประกอบการทำกำไรไม่สามารถไปช่วยทำให้ราคาหุ้นขึ้นได้ ...และเกิดความคิดจากผู้บริหารว่า ธุรกิจที่ทำอยู่คงเริ่มลำบาก จึงหันเอาเงินสดที่มีอยู่ไปซื้อกิจการเป็นสนามกอล์ฟ ต่างประเทศ....คงเห็นว่าราคาซื้อไม่แพง แต่เมื่อเข้าไปบริหารก็จะเห็นว่าการใช้สนามตีกอล์ผของประเทศนั้นไม่ได้ใช้บริการได้ทั้งปี เพราะเป็นประเทศหนาว บางช่วงไม่สามารถใช้ได้.....ที่สุดก็ต้องขายกิจการนี้ออกไปใน 3-4 ปีต่อมา ดีนะที่ขายแล้วเอาตัวรอดได้ไม่ขาดทุน ได้กำไรเพียงเล็กน้อย ....การลงทุนในสินทรัพย์แบบนี้ ถือยาวๆ ราคาก็ขยับได้ เขาถือมา 3-4 ปี จึงขายได้ ก็คงมีผู้สนใจซื้อต่อไปเพราะเป็นของถูกในความคิดของคนที่ซื้อ....บริษัทเริ่มเอาเงินที่ได้มาพัฒนาบริษัท โดยแบ่งเงินจากธุรกิจเดิมมาเป็นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยสรุปก็ทำให้ภาพรวมแย่ลง เพราะไปสนใจในธุรกิจใหม่ที่มีคู่แข่งที่ใหญ่โตมากกว่าตนเองหลายเท่าตัว และมีหลายรายด้วย จนปัจจุบันธุกิจนี้ก็ยังขาดทุนอยู่ น่าเป็นห่วงกับกิจการของเขาเหมือนกัน
แต่ทำไมจึงทำให้ราคาหุ้นขึ้นได้ คำตอบง่าย ๆ คือ ราคาลงมามากต่ำกว่ามูลค่าทรัพย์สินที่มี หรือต่ำว่า บุค เวลู ถ้าพูดกันง่าย ๆ เมื่อตอนเปลี่ยนธุรกิจ ฝ่ายผู้บริหารไต้หวันก็ขายหุ้นให้กับนายทุนรุ่นต่อไป ที่มาลงทุนในบริษัท นี้ จากอดีตราคาระดับหลายร้อย ลดลงมาตามที่บอก เขาขายหุ้นให้นายทุนใหม่ในราคา 2.16 บาท.....โดยเอาทรัพย์สินที่เป็นอสังสาฯ มาแลกซื้อ ..... จึงทำให้รายได้เดิมกับรายได้ใหม่่ในระดับ 50ต่อ50 ...ตัวหนึ่งพออยู่รอดได้แต่ตัวใหม่อีกตัวขาดทุน ราคาหุ้นจะไปเหลืออะไร .....การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้กิจการขาดทุนมา หลายปี ปีที่แล้วก็ขาดทุน แต่ปีนี้มีผู้บริหารใหม่(น่าจะถือหุ้นอันดับบ2)เข้ามาจัดการ ยังไม่รู้ความสามารถของเขาว่าเก่งขนาดไหน ที่จำทำให้บริษัทมีรายได้เพิ่มในสินค้าเดิมแต่ผลิตภันท์ใหม่..ขอเพียงปีนี้กำไรเล็กน้อย หรือ เท่าทุน ผมก็พอใจแล้ว เพราะจะเห็นได้ว่า มีการพัฒนาเกิดขึ้น...ที่สุดราคาก็จะขึ้นเอง จากการขาดทุนที่ลดลงก็ทำให้ราคาหุ้นขยับได้ ถ้ามีกำไร ก็น่าจะขยับได้ดีกว่า ...ราคาหุ้นชี้นำอนาคตของธุรกิจนี้ได้.......แต่จะขึ้นแบบยั่งยืนหรือกลับไปโดดเด่นเหมือนในอดีตเมื่อ กว่า 20 ปีก่อน ก็ต้องขึ้นอยู่กับผู้บริหารชุดใหม่ ต้องเปลี่ยนการบริหารให้มี ะรรมาภิบาลมากขึ้น โปร่งใส นักลงทุนก็จะมาสนใจกันมากขึ้น....นี่คือสิ่งที่เป็นห่วงว่าเขาจะทำได้หรือไม่ เพราะนายทุนกลุ่มใหม่ดูประวัติแล้วก็ไม่ธรรมาเหมือนกัน....กาลเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ ผมคงถือหุ้นตัวนี้ไปเรื่อยๆ และปรับจำนวนถือครองตามความเหมาะสมและความสามารถของบริษัทฯ กันต่อไป.......ขอให้โชคดีสำหรับผู้ที่ร่วมกันถือหุ้นตัวนี้ และขอหวังว่าผู้บริหารชุดใหม่จะมีความสามารถทำบริษัทให้ได้กำไรด้วยนะครับ ขอให้ความหวัง ความฝันประสบผลสำเร็จด้วย
.
หุ้นพื้นฐานดี ทำไมขึ้นช้า แต่หู้นพื้นฐานแย่ ทำไมขึ้นเร็ว.........จะเห็นได้ว่า ที่ผมเขึ่ยนคราวก่อนตอนท้ายๆ บอกว่า ผมมีหุ้นพื็นฐานแย่ กิจการขาดทุุนมาหลายปีแล้ว ก็ยังสนใจถืออยู่ ทำไมถึงถือหุ้นขนิดนี้.......มีการเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ น้อย ๆ ในราคาในวันนี้..........หุ้นใน 2 ปีนี้ได้ปรับขึ้นมากทีเดียว.....ผมอยู่กับหุ้นตัวนี้มานานมาก ติดตามมากว่า 20 ปีแล้ว ใครๆ ที่รู้จักผมก็จะบอกว่า ผมได้กำไรจากหุ้นตัวนี้มากพอควร การลงทุนยาวๆ ก็ทำให้มีกำไรซิเหตุผลง่ายๆ .........ในช่วงแรกๆ ที่ลงทุนหุ้นตัวนี้ เป็นเพราะบริษัทนี้ สามารถทำกำไรได้ดี และ ปันผลให้ทุกปี เริ่มจากกลุ่มไต้หวันที่เข้ามาบริหาร การประหยัด และ สร้างผลกำไรคือหลักการที่ชาวไต้หวันชอบอยู่ ราคาหุ้นได้ขึ้นแรงมาก ระดับกว่าร้อยบาท แต่ฝ่ายบริหารก็มีการแตกพาร์ และเพิ่มทุน ...เขาเก่งและคงใช้เวลาที่เหมาะสมในการเปลี่ยนแปลงราคาหุ้นให้เป็นประโยชน์ ราคาหุ้นก็ลดลงเรื่อย ๆ ทำให้เกิด dilution effects ...ประกอบการทำกำไรไม่สามารถไปช่วยทำให้ราคาหุ้นขึ้นได้ ...และเกิดความคิดจากผู้บริหารว่า ธุรกิจที่ทำอยู่คงเริ่มลำบาก จึงหันเอาเงินสดที่มีอยู่ไปซื้อกิจการเป็นสนามกอล์ฟ ต่างประเทศ....คงเห็นว่าราคาซื้อไม่แพง แต่เมื่อเข้าไปบริหารก็จะเห็นว่าการใช้สนามตีกอล์ผของประเทศนั้นไม่ได้ใช้บริการได้ทั้งปี เพราะเป็นประเทศหนาว บางช่วงไม่สามารถใช้ได้.....ที่สุดก็ต้องขายกิจการนี้ออกไปใน 3-4 ปีต่อมา ดีนะที่ขายแล้วเอาตัวรอดได้ไม่ขาดทุน ได้กำไรเพียงเล็กน้อย ....การลงทุนในสินทรัพย์แบบนี้ ถือยาวๆ ราคาก็ขยับได้ เขาถือมา 3-4 ปี จึงขายได้ ก็คงมีผู้สนใจซื้อต่อไปเพราะเป็นของถูกในความคิดของคนที่ซื้อ....บริษัทเริ่มเอาเงินที่ได้มาพัฒนาบริษัท โดยแบ่งเงินจากธุรกิจเดิมมาเป็นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยสรุปก็ทำให้ภาพรวมแย่ลง เพราะไปสนใจในธุรกิจใหม่ที่มีคู่แข่งที่ใหญ่โตมากกว่าตนเองหลายเท่าตัว และมีหลายรายด้วย จนปัจจุบันธุกิจนี้ก็ยังขาดทุนอยู่ น่าเป็นห่วงกับกิจการของเขาเหมือนกัน
แต่ทำไมจึงทำให้ราคาหุ้นขึ้นได้ คำตอบง่าย ๆ คือ ราคาลงมามากต่ำกว่ามูลค่าทรัพย์สินที่มี หรือต่ำว่า บุค เวลู ถ้าพูดกันง่าย ๆ เมื่อตอนเปลี่ยนธุรกิจ ฝ่ายผู้บริหารไต้หวันก็ขายหุ้นให้กับนายทุนรุ่นต่อไป ที่มาลงทุนในบริษัท นี้ จากอดีตราคาระดับหลายร้อย ลดลงมาตามที่บอก เขาขายหุ้นให้นายทุนใหม่ในราคา 2.16 บาท.....โดยเอาทรัพย์สินที่เป็นอสังสาฯ มาแลกซื้อ ..... จึงทำให้รายได้เดิมกับรายได้ใหม่่ในระดับ 50ต่อ50 ...ตัวหนึ่งพออยู่รอดได้แต่ตัวใหม่อีกตัวขาดทุน ราคาหุ้นจะไปเหลืออะไร .....การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้กิจการขาดทุนมา หลายปี ปีที่แล้วก็ขาดทุน แต่ปีนี้มีผู้บริหารใหม่(น่าจะถือหุ้นอันดับบ2)เข้ามาจัดการ ยังไม่รู้ความสามารถของเขาว่าเก่งขนาดไหน ที่จำทำให้บริษัทมีรายได้เพิ่มในสินค้าเดิมแต่ผลิตภันท์ใหม่..ขอเพียงปีนี้กำไรเล็กน้อย หรือ เท่าทุน ผมก็พอใจแล้ว เพราะจะเห็นได้ว่า มีการพัฒนาเกิดขึ้น...ที่สุดราคาก็จะขึ้นเอง จากการขาดทุนที่ลดลงก็ทำให้ราคาหุ้นขยับได้ ถ้ามีกำไร ก็น่าจะขยับได้ดีกว่า ...ราคาหุ้นชี้นำอนาคตของธุรกิจนี้ได้.......แต่จะขึ้นแบบยั่งยืนหรือกลับไปโดดเด่นเหมือนในอดีตเมื่อ กว่า 20 ปีก่อน ก็ต้องขึ้นอยู่กับผู้บริหารชุดใหม่ ต้องเปลี่ยนการบริหารให้มี ะรรมาภิบาลมากขึ้น โปร่งใส นักลงทุนก็จะมาสนใจกันมากขึ้น....นี่คือสิ่งที่เป็นห่วงว่าเขาจะทำได้หรือไม่ เพราะนายทุนกลุ่มใหม่ดูประวัติแล้วก็ไม่ธรรมาเหมือนกัน....กาลเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ ผมคงถือหุ้นตัวนี้ไปเรื่อยๆ และปรับจำนวนถือครองตามความเหมาะสมและความสามารถของบริษัทฯ กันต่อไป.......ขอให้โชคดีสำหรับผู้ที่ร่วมกันถือหุ้นตัวนี้ และขอหวังว่าผู้บริหารชุดใหม่จะมีความสามารถทำบริษัทให้ได้กำไรด้วยนะครับ ขอให้ความหวัง ความฝันประสบผลสำเร็จด้วย
.
หุ้นจะขึ้นหรือลง อยู่ที่ผลประกอบการ ซึ่งประกอบด้วย ความสามารถของผู้บริหารกับ ธรรมาภิบาล.........ใหญ่ในเล็กย่อม ดีกว่าเล็กในใหญ่
- ลุงขวด
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 2431
- ผู้ติดตาม: 0
Re: พวกเราอยู่กลุ่มไหน
โพสต์ที่ 226
ก่อนไป บ่นหุ้น 2 ซึ่งคิดว่าจะบ่นหุ้นใหญ่ คือ หุ้น SCC นั่นแหละ เลยขอเขียนเรื่องการแบ่งเงินลงทุน เดิม ๆ ก็ลงทุนในหุ้นไทยเป็นส่วนใหญ่ จะไปลงทุนในหุ้นต่างประเทศ ก็ หมดเวลา สำหรับผมแล้ว เพราะไม่อยากไปคุ้ย สรรหา หุ้นโดยตรง เลยไปอาศัย กองทุนต่างประเทศบ้าง ลงทุนผ่าน โบรค tisco เป็นกองทุนต่างประเทศที่เขาจัดสรรและคิดมาให้ ปีที่แล้วก็ได้กำไรดีเพราะไปลงให้กองเทคโนโลยี่กันส่วนใหญ่ ได้ระดับ กว่า 30% เลย และได้ทำกำไรไปรอบหนึ่งแล้ว เหลือไว้ติดตามนิดหน่อย และเริ่มปรับเป็นกองทุนหุ้นแห่งอนาคตกัน ช่วงนี้เลยทำให้ยอดลงทุนไม่ได้กำไร อยู่ในระดับเสมอทุน และต้นปีที่แล้วไปฟังสัมนา ของ finomena แต่ไม่ได้ลงทุนกับเขา ไปลงกับ tisco ตามที่บอก .... หลังๆ นี้เห็นทาง finomena มีการพัฒนาชวนลงทุนในหลายรูปแบบ ได้พัฒนาระบบดีขึ้นมีข้อมูลมากมายที่จะช่วยตัดสินใจ เลยไปทดสอบเริ่มลงทุนเมื่อเดือนกุมภา..แต่ไม่ถึงระดับสูงพอที่เขาจะมาช่วยดูแลได้ ต้องตัดสินใจเอง หาความรู้เอง ตอนนี้การลงทุน ก็ มี กำไรเพียง 2-3% เท่านั้น สามารถกระจายความเสี่ยงไปหลายประเทศ และหลายประเภท เช่นกัน ก็ สนุกกับการศึกษาไปอีกรูปแบบหนึ่ง
ส่วนที่มั่นคงในผลตอบแทน ที่สุด ก็คือ หุ้นกู้ ก็หันไปเพิ่มการลงทุนในหุ้นกู้บ้าง มีหลายบริษัท ที่ออกในช่วงนี้ ผมสนใจระดับที่มีความเสี่ยงมากหน่อย คือระดับ กว่า 6% ยอมรับ high risk high return ครับ
ส่วนที่มั่นคงในผลตอบแทน ที่สุด ก็คือ หุ้นกู้ ก็หันไปเพิ่มการลงทุนในหุ้นกู้บ้าง มีหลายบริษัท ที่ออกในช่วงนี้ ผมสนใจระดับที่มีความเสี่ยงมากหน่อย คือระดับ กว่า 6% ยอมรับ high risk high return ครับ
หุ้นจะขึ้นหรือลง อยู่ที่ผลประกอบการ ซึ่งประกอบด้วย ความสามารถของผู้บริหารกับ ธรรมาภิบาล.........ใหญ่ในเล็กย่อม ดีกว่าเล็กในใหญ่