ปริศนาการลงทุน
- สุมาอี้
- Verified User
- โพสต์: 4576
- ผู้ติดตาม: 0
ปริศนาการลงทุน
โพสต์ที่ 61
แล้วตลอดชีวิตคุณ nanakorn กะจะเทรดสักกี่ครั้งล่ะครับ 2-3 ครั้งหรือว่าเป็นร้อยครั้ง ถ้าเป็นอย่างหลัง expected value มีผลอย่าง"แน่นอน"
ที่จริงแล้ว expected return= +25% นี่เป็นโอกาสที่หายได้ยากมากในชีวิตของคนคนหนึ่งครับ การลงทุนในตลาดหุ้นนั้นมี expected return เพียง 10% ต่อปี เท่านั้น
ที่จริงแล้ว expected return= +25% นี่เป็นโอกาสที่หายได้ยากมากในชีวิตของคนคนหนึ่งครับ การลงทุนในตลาดหุ้นนั้นมี expected return เพียง 10% ต่อปี เท่านั้น
http://dekisugi.net
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 1477
- ผู้ติดตาม: 0
ปริศนาการลงทุน
โพสต์ที่ 62
ผมว่าคุณ สุมาอี้ แค่จะแสดงว่าถ้าใช้ Prob จะตัดสินใจยังไงในกรณีหนึ่ง ไม่ได้มีอะไรมากกว่านั้นนะครับ
ขืนเอาวิธี vi มาอธิบายกรณีนี้ ซึ่งอยู่นอกขอบเขตของ Prob แน่ๆ
คงได้ร่ายมนต์กันยาววววว
Prob มีประโยชน์มากตอนเล่นการพนัน การใช้ expected return ทำให้ตัดสินใจได้ว่าจะเสี่ยงหรือไม่
สำหรับผมเอาไว้ใช้ตอนซื้อหวยครับ ผลที่ได้คือว่า เจ้ามือยังไงก็กินรวบ เลยซื้อไปครั้งเดียวในชีวิต (และก็โดนกินจริงๆด้วย T-T)
ขืนเอาวิธี vi มาอธิบายกรณีนี้ ซึ่งอยู่นอกขอบเขตของ Prob แน่ๆ
คงได้ร่ายมนต์กันยาววววว
Prob มีประโยชน์มากตอนเล่นการพนัน การใช้ expected return ทำให้ตัดสินใจได้ว่าจะเสี่ยงหรือไม่
สำหรับผมเอาไว้ใช้ตอนซื้อหวยครับ ผลที่ได้คือว่า เจ้ามือยังไงก็กินรวบ เลยซื้อไปครั้งเดียวในชีวิต (และก็โดนกินจริงๆด้วย T-T)
I do not sleep. I dream.
-
- Verified User
- โพสต์: 133
- ผู้ติดตาม: 0
ปริศนาการลงทุน
โพสต์ที่ 63
ถ้าชอบความน่าจะเป็น ผมให้อย่างงี้ครับ
จากเดิม 10 จะไป 20 เท่ากับ 0.5 และ 10 จะไป 5 เท่ากับ 0.5
=10(0.5)-5(0.5) = 2.5 เป็นบวก แสดงว่าซื้อก่อนใช่มัยครับ
คราวนี้ 10 จะไป 30 เท่ากับ 0.2 และ 10 จะไป 3.3 เท่ากับ 0.8
=20(0.3) - 6.7(0.7) = 1.31
ก็ยังเป็นบวก ซื้อก่อน ตามหลักของคุณสุมาอี้
แม้ว่าข่าวดีจะแค่ 30% ข่าวร้ายตั้ง 70%
ผมยังคงไม่ชอบวิธีนี้ครับ ยังคงขายก่อน เพราะโอกาสเสียเงินตั้ง 70% :)
จากเดิม 10 จะไป 20 เท่ากับ 0.5 และ 10 จะไป 5 เท่ากับ 0.5
=10(0.5)-5(0.5) = 2.5 เป็นบวก แสดงว่าซื้อก่อนใช่มัยครับ
คราวนี้ 10 จะไป 30 เท่ากับ 0.2 และ 10 จะไป 3.3 เท่ากับ 0.8
=20(0.3) - 6.7(0.7) = 1.31
ก็ยังเป็นบวก ซื้อก่อน ตามหลักของคุณสุมาอี้
แม้ว่าข่าวดีจะแค่ 30% ข่าวร้ายตั้ง 70%
ผมยังคงไม่ชอบวิธีนี้ครับ ยังคงขายก่อน เพราะโอกาสเสียเงินตั้ง 70% :)
- nanakorn
- Verified User
- โพสต์: 636
- ผู้ติดตาม: 0
ปริศนาการลงทุน
โพสต์ที่ 65
ผมขอเพิ่มเติมอีกนิดเดียวครับ :) คือเหตุการณ์ที่ว่าต้องมีหลายครั้งคือเหตุการณ์ที่ใช้เป็นตัวคำนวณ Expected Value ครับ ดังนั้นคือเหตุการณ์ข้างล่างนี้แล้วตลอดชีวิตคุณ nanakorn กะจะเทรดสักกี่ครั้งล่ะครับ 2-3 ครั้งหรือว่าเป็นร้อยครั้ง ถ้าเป็นอย่างหลัง expected value มีผลอย่าง"แน่นอน"
ถ้ามีเหตุการณ์ข้างต้นเกิดขึ้นหลายๆครั้ง Expected Value ก็จะมีความหมายครับ (Expected Value เป็นของเหตุการณ์นี้ ดังนั้นจะมีความหมายสำหรับเหตุการณ์นี้เมื่อมีการเกิดซ้ำมากๆ เปรียบเสมือนการโยนเหรียญหลายครั้ง)จะมีการแถลงข่าวสำคัญของหุ้นตัวนี้ (เช่น แถลงผลประกอบการ เป็นต้น) คุณประเมินสถานการณ์แล้วสรุปได้ว่า
1. ความน่าจะเป็นที่ราคาหุ้นตัวนี้จะกลายเป็น 20 บาทหลังข่าวออกมาเป็นข่าวดีเท่ากับ 0.5
2. ความน่าจะเป็นที่ราคาหุ้นตัวนี้จะกลายเป็น 5 บาทหลังข่าวออกมาเป็นข่าวร้ายเท่ากับ 0.5
การซื้อขายต่างครั้ง ที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ต่างๆกัน ในตลอดชีวิต ก็น่าที่จะต้องนำความน่าจะเป็นต่างๆของเหตุการณ์ต่างๆมารวมคำนวณกันใหม่ครับ (เปรียบเสมือนการโยนเหรียญ แล้วไปโยนลูกเต๋า แล้วไปพนันบอล เปลี่ยนไปมาเรื่อยๆ) แต่ผมรู้สึกว่าเหมือนกับทำโจทย์คนละโจทย์กับที่คุณสุมาอี้ตั้งให้คิดกันเล่นๆครับ
อย่างไรก็ตามผมเห็นด้วยว่าถ้าทุกครั้งที่ทำการซื้อขายพิจารณา Expected Return ที่เป็นบวกทุกครั้ง โดยแต่ละครั้งอาจเป็นหรือไม่เป็นอิสระต่อกันก็ได้ สุดท้ายก็จะได้ Return ที่เป็นบวกครับ แต่ตอนนี้ยังนึกรายละเอียดไม่ได้ครับ ยังงงๆอยู่
ทั้งหมดนี้ ผมพยายามทำโจทย์ที่คุณสุมาอี้ตั้งขึ้นครับ ไม่ได้เกี่ยวกับการตัดสินใจจริงเท่าไรครับ :D
- nanakorn
- Verified User
- โพสต์: 636
- ผู้ติดตาม: 0
ปริศนาการลงทุน
โพสต์ที่ 66
10 จะไป 30 เท่ากับ 0.3 และ 10 จะไป 3.3 เท่ากับ 0.7 ครับ
อันนี้ตรงกับที่ผมพยายามจะสื่อเลยครับ ถ้าการพนันครั้งนี้มีเพียงครั้งเดียว ก็ต้องดูความน่าจะเป็น ในกรณีนี้มีโอกาสเสีย 70% ไม่ควรพนัน แต่ถ้ามีพนันแบบนี้ 1000 ครั้ง และเราพนันไปทุกครั้ง เราก็จะมีโอกาสได้ Expected Return 1.31 มากกว่าได้ Return เป็นค่าอื่น ถ้าพนันไปอนันต์ครั้ง เราจะได้ 1.3120(0.3) - 6.7(0.7) = 1.31
- สุมาอี้
- Verified User
- โพสต์: 4576
- ผู้ติดตาม: 0
ปริศนาการลงทุน
โพสต์ที่ 69
[quote="สามัญชน"]
อาจจะไม่นะครับ
อาจจะไม่นะครับ
http://dekisugi.net
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 9795
- ผู้ติดตาม: 0
ปริศนาการลงทุน
โพสต์ที่ 70
ครับ
trading systems ในปัจจุบัน
winning trade หรือจำนวนครั้งที่ trade แล้วชนะ
มากกว่า 1/3 ก็ถือว่าหรูมากแล้วครับ
ระบบส่วนใหญ่ จะตั้งโอกาสถูกไว้แค่ 25% ด้วยซ้ำ
จริงๆ แล้ว โอกาสถูกแค่ 10% ก็สามารถทำเงินได้ครับ
ถ้า expectancy เป็นบวก
trading systems ในปัจจุบัน
winning trade หรือจำนวนครั้งที่ trade แล้วชนะ
มากกว่า 1/3 ก็ถือว่าหรูมากแล้วครับ
ระบบส่วนใหญ่ จะตั้งโอกาสถูกไว้แค่ 25% ด้วยซ้ำ
จริงๆ แล้ว โอกาสถูกแค่ 10% ก็สามารถทำเงินได้ครับ
ถ้า expectancy เป็นบวก
- nanakorn
- Verified User
- โพสต์: 636
- ผู้ติดตาม: 0
ปริศนาการลงทุน
โพสต์ที่ 71
ผมมีความเห็นว่าคนจะตัดสินใจทำอะไรก็เมื่อ ความน่าจะเป็นที่จะเกิดสิ่งที่อยากได้ มีค่ามากจนเราพอใจถ้า opportunity จะดีหรือไม่ดีวัดกันที่ prob ที่จะสำเร็จมากกว่าหรือน้อยกว่า 50% แล้วล่ะก็ บริษัทวิจัยยา ก็คงทำ project ไหนมิได้เลย เพราะทุก project มี prob ที่จะผ่าน FDA approval แค่ 1 ใน 100 เท่านั้น
ที่แปลกก็คือบริษัทวิจัยยากลับมี ROE เฉลี่ย 30% สูงกว่าธุรกิจอื่นๆ เป็นอย่างมาก
project ผลิตภาพยนตร์ ก็ทำนองเดียวกัน โอกาสขาดทุนสูงกว่า 50% แต่expected value มากกว่า >0 เพราะเวลาได้มันได้มาก
ถ้าถามว่า prob < 50% แต่ expected value > 0 น่าสนใจมั้ย ผมยืนยันว่าน่าสนใจแน่นอนครับ เพียงแต่ว่าถ้า prob มันน้อยมาก เราไม่ควรใช้เงินหน้าตักทั้งหมดที่เรามีอยู่ในการลอง เท่านั้นแหละ (อันนี้จะเป็นเรื่องของ money management แล้ว)
บริษัทยาตัดสินใจทำบริษัทยา ก็เพราะเขาพบว่า ความน่าจะเป็นที่จะได้ผลตอบแทนที่เขาต้องการ มีค่ามากถึงระดับที่เขาพอใจ ผมคิดว่าการตัดสินใจอยู่ที่ความน่าจะเป็น แต่ต้องมองต่อไปอีกนิดหนึ่งครับ
ถ้าบริษัทยาถูกกำหนดว่าสามารถเสนอยาใหม่ให้ FDA รับรองได้เพียงครั้งเดียว โดยมีความน่าจะเป็นที่จะผ่านเพียง 1/100 คงไม่มีบริษัทยาเกิดขึ้น เพราะความน่าจะเป็นที่จะได้ผลตอบแทนตามที่บริษัทต้องการ มีค่าน้อย แต่ถ้าบริษัทมีโอกาสเสนอยาใหม่ได้เรื่อยๆ โดยมีความน่าจะเป็นที่จะผ่านในแต่ละครั้งเป็น 1/100 เมื่อเสนอมากครั้งขึ้นเรื่อยๆ ความน่าจะเป็นที่จะได้ผลตอบแทนใกล้ Expected Return จะมีค่าสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยถ้าเสนอยาอนันต์ครั้ง ความน่าจะเป็นที่จะได้ Expected Return จะเป็น 1 (คือได้แน่นอน)
ผมยังคิดว่า การตัดสินใจขึ้นอยู่กับความน่าจะเป็นของสิ่งที่เราอยากได้ครับ
- nanakorn
- Verified User
- โพสต์: 636
- ผู้ติดตาม: 0
ปริศนาการลงทุน
โพสต์ที่ 72
ขอต่อจาก Post ข้างบนอีกหน่อยครับ Trading System ที่มี Expected Return เป็นบวก ก็เช่นกันครับ จะได้ผลก็ต่อเมื่อทำการ Trade ด้วย Trading System นั้นๆซ้ำๆไปเรื่อยๆ ถ้าจำนวนครั้งไม่มากพอก็จะไม่มีประโยชน์ คนที่ใช้ Trading System จะบอกว่าเราต้องมีวินัยในการ Trade และทำตาม System ไปให้ตลอดtrading systems ในปัจจุบัน
winning trade หรือจำนวนครั้งที่ trade แล้วชนะ
มากกว่า 1/3 ก็ถือว่าหรูมากแล้วครับ
ระบบส่วนใหญ่ จะตั้งโอกาสถูกไว้แค่ 25% ด้วยซ้ำ
จริงๆ แล้ว โอกาสถูกแค่ 10% ก็สามารถทำเงินได้ครับ
ถ้า expectancy เป็นบวก
-
- Verified User
- โพสต์: 435
- ผู้ติดตาม: 0
ปริศนาการลงทุน
โพสต์ที่ 74
บทความนี้น่าจะช่วยเสริมเติมแต่งปัญญาในเรื่องการลงทุนได้อีกโสดหนึ่งไม่มากก็น้อยครับ
..................................
Survive the Investment Race
By David Meier (TMFHumbleServant)
July 10, 2006
The Indianapolis 500 is touted as "The Greatest Spectacle in Racing." And there's a fascinating quote about what it takes to win the big race at the fabled Brickyard: "To finish first, you must first finish."
To me, that means winning is not just about going fast. It's also about survival, because 500 miles is a long haul.
I think this statement also applies to the stock market. You can have a great short-term run, but if you blow up along the way, you still lose. So what must we do to survive the investment race? I posed some questions to my friend Michael Mauboussin, chief investment strategist at Legg Mason (NYSE: LM) and author of More Than You Know, to find out.
David Meier: The topic is survival of the fittest. I may be making a bit of a stretch here, but I would like to get your opinion on what is more important: to be able to make a better assessment of the odds of success, or to be able to make a more accurate assessment of value?
Michael Mauboussin: Well, I think that they are intimately related to one another. [Author's note: Once again, there is no cut-and-dried answer. As Charlie Munger loves to say, everything is interrelated.] The idea is to always buy things below expected value, and expected value has two components. Component one would be the odds or the probabilities [of occurrence], and component two would be the value [of the outcome]. So recognizing both the odds and the value are very important.
What I think that investors [should] think a lot about are asymmetric situations. [An example will be given below.] These become very difficult psychologically.
There is one example I used in the book that came from Nassim Taleb's wonderful book Fooled by Randomness, where a colleague asked him what he thought the market was going to do. Taleb said he thought the market was going to go up a bit in the next week. His colleague then asked what probability Taleb assigned to this. He said 70%. As it turns out, Taleb was actually short, or betting the market would go down, in his trading book. His colleague asked how that could be. Taleb said [and note -- this is the big lesson] he thought there was a 70% chance the market would go up 1% and a 30% chance the market would go down 10%.
If you work the math on that, it is obviously a high probability that the market will be up, but the expected value is actually negative in that case. Said differently, if you played this over and over again over time, you would actually lose money.
So I don't know if either one of those is more important than the other. I think it is more important to balance both of them, but most important is to consider that asymmetric situations [exist] and recognize that it is not just probability; it is both probabilities and outcomes combined that determine expected value.
Prepare for victory
OK. Michael says that understanding both the odds and the values associated with events are important to surviving and thriving in the stock market. Here are two things he recommends to help us do that.
1. Probabilistic mindset
Michael says, "It is very important to recognize that anytime you make an investment decision, there are a range of outcomes. One error that we see that is made frequently is people become overconfident and believe that they have a good sense of what those outcomes are likely to be, when in reality, the range of possible outcomes is almost always much broader that they perceive. So recognizing that these things happens in important."
Today, I think an excellent example of overconfidence surrounds Google's (Nasdaq: GOOG) online bill-paying service, Checkout. According to most headlines, Google's new product is better and will kill eBay's (Nasdaq: EBAY) PayPal service. I find it very interesting that so many people believe that just because of Google's success, it can unseat the very strong PayPal business. This implies that PayPal will not be able to evolve to deal with the new threat. And that's probably not a good assumption.
2. Think more, act less
It is well documented that portfolio turnover (how quickly fund managers buy and sell stocks) has increased over time as managers are under the gun to produce returns today, not tomorrow. So I asked Michael: Can the individual investor, with the right mindset, benefit more from inactivity? Or is investing evolving to where individual investors are going to have to consider moving in and out of stocks very quickly because opportunities and returns will come and go so quickly?
Michael in response, said he believes "that a longer-term perspective is almost always the most sensible perspective," especially given the substantial transaction and tax costs that go with short-term investing.
He also mentioned the tendency to focus on outcomes more than on process. Here's what he means: "Process is really about being thoughtful, and it's inherent that you take a long-term perspective. And if you get very focused on outcomes, you start to deteriorate, I think in many instances, your decision-making process."
..................................
Survive the Investment Race
By David Meier (TMFHumbleServant)
July 10, 2006
The Indianapolis 500 is touted as "The Greatest Spectacle in Racing." And there's a fascinating quote about what it takes to win the big race at the fabled Brickyard: "To finish first, you must first finish."
To me, that means winning is not just about going fast. It's also about survival, because 500 miles is a long haul.
I think this statement also applies to the stock market. You can have a great short-term run, but if you blow up along the way, you still lose. So what must we do to survive the investment race? I posed some questions to my friend Michael Mauboussin, chief investment strategist at Legg Mason (NYSE: LM) and author of More Than You Know, to find out.
David Meier: The topic is survival of the fittest. I may be making a bit of a stretch here, but I would like to get your opinion on what is more important: to be able to make a better assessment of the odds of success, or to be able to make a more accurate assessment of value?
Michael Mauboussin: Well, I think that they are intimately related to one another. [Author's note: Once again, there is no cut-and-dried answer. As Charlie Munger loves to say, everything is interrelated.] The idea is to always buy things below expected value, and expected value has two components. Component one would be the odds or the probabilities [of occurrence], and component two would be the value [of the outcome]. So recognizing both the odds and the value are very important.
What I think that investors [should] think a lot about are asymmetric situations. [An example will be given below.] These become very difficult psychologically.
There is one example I used in the book that came from Nassim Taleb's wonderful book Fooled by Randomness, where a colleague asked him what he thought the market was going to do. Taleb said he thought the market was going to go up a bit in the next week. His colleague then asked what probability Taleb assigned to this. He said 70%. As it turns out, Taleb was actually short, or betting the market would go down, in his trading book. His colleague asked how that could be. Taleb said [and note -- this is the big lesson] he thought there was a 70% chance the market would go up 1% and a 30% chance the market would go down 10%.
If you work the math on that, it is obviously a high probability that the market will be up, but the expected value is actually negative in that case. Said differently, if you played this over and over again over time, you would actually lose money.
So I don't know if either one of those is more important than the other. I think it is more important to balance both of them, but most important is to consider that asymmetric situations [exist] and recognize that it is not just probability; it is both probabilities and outcomes combined that determine expected value.
Prepare for victory
OK. Michael says that understanding both the odds and the values associated with events are important to surviving and thriving in the stock market. Here are two things he recommends to help us do that.
1. Probabilistic mindset
Michael says, "It is very important to recognize that anytime you make an investment decision, there are a range of outcomes. One error that we see that is made frequently is people become overconfident and believe that they have a good sense of what those outcomes are likely to be, when in reality, the range of possible outcomes is almost always much broader that they perceive. So recognizing that these things happens in important."
Today, I think an excellent example of overconfidence surrounds Google's (Nasdaq: GOOG) online bill-paying service, Checkout. According to most headlines, Google's new product is better and will kill eBay's (Nasdaq: EBAY) PayPal service. I find it very interesting that so many people believe that just because of Google's success, it can unseat the very strong PayPal business. This implies that PayPal will not be able to evolve to deal with the new threat. And that's probably not a good assumption.
2. Think more, act less
It is well documented that portfolio turnover (how quickly fund managers buy and sell stocks) has increased over time as managers are under the gun to produce returns today, not tomorrow. So I asked Michael: Can the individual investor, with the right mindset, benefit more from inactivity? Or is investing evolving to where individual investors are going to have to consider moving in and out of stocks very quickly because opportunities and returns will come and go so quickly?
Michael in response, said he believes "that a longer-term perspective is almost always the most sensible perspective," especially given the substantial transaction and tax costs that go with short-term investing.
He also mentioned the tendency to focus on outcomes more than on process. Here's what he means: "Process is really about being thoughtful, and it's inherent that you take a long-term perspective. And if you get very focused on outcomes, you start to deteriorate, I think in many instances, your decision-making process."
"The man who doesn't read has no advantage over the man who cannot read." Mark Twain
-
- Verified User
- โพสต์: 2938
- ผู้ติดตาม: 0
ปริศนาการลงทุน
โพสต์ที่ 75
ผมว่านะ
ถ้าคิดว่าหุ้นจะขึ้นจาก10 ไป20จริงหละก็
ซื้อหลังข่าวก็ทันครับ
มาเฝ้ารอข่าวออกเลยนะ
ยังไงวันนั้น ถ้าข่าวดีออกมาจริงๆ
คนก็ยังไม่กล้าซื้อหรอก
คุณสุมาอี้ ก็ใช้จังหวะที่คนยังลังเลอยู่ซื้อไม่ดีกว่าหรือ
ผมรับรองว่าเปิดโดด ยังไงก็ไม่น่าเกินสามบาท
ตั้งแต่เล่นหุ้นมา ยังไม่เคยเห็นหุ้นเปิดลิ่งเลย
ถ้าคิดว่าหุ้นจะขึ้นจาก10 ไป20จริงหละก็
ซื้อหลังข่าวก็ทันครับ
มาเฝ้ารอข่าวออกเลยนะ
ยังไงวันนั้น ถ้าข่าวดีออกมาจริงๆ
คนก็ยังไม่กล้าซื้อหรอก
คุณสุมาอี้ ก็ใช้จังหวะที่คนยังลังเลอยู่ซื้อไม่ดีกว่าหรือ
ผมรับรองว่าเปิดโดด ยังไงก็ไม่น่าเกินสามบาท
ตั้งแต่เล่นหุ้นมา ยังไม่เคยเห็นหุ้นเปิดลิ่งเลย
เฝ้าดูไป โดยใจที่เป็นกลาง
-
- Verified User
- โพสต์: 133
- ผู้ติดตาม: 0
ปริศนาการลงทุน
โพสต์ที่ 76
อืม...
ตามโจทย์ของคุณสุมาอี้ ทำได้ครั้งเดียวนะครับ ต่างจากการทำ project ยาเสนอ ที่ทำเพราะมันจำเป็น ต้องทำอยู่แล้วครับ เหมือนนักวิจัยก็ต้องวิจัยไปเรื่อยๆ โอกาสสำเร็จอาจจะน้อยกว่าหนึงเปอร์เซ็นต์ด้วยซ้ำ ประกอบกับผลตอบแทนของบริษัทยานั้นมันมากมหาศาลจริงๆ เพราะมูลค่าการรักษาชีวิตของมนุษย์นั้นมากจริงๆ...
ต่างจากโจทย์นี้โดยสิ้นเชิง ในความเห็นผมคือ คนละกรณีและคงไม่นำมาเทียบกันครับ
ตามโจทย์ของคุณสุมาอี้ ทำได้ครั้งเดียวนะครับ ต่างจากการทำ project ยาเสนอ ที่ทำเพราะมันจำเป็น ต้องทำอยู่แล้วครับ เหมือนนักวิจัยก็ต้องวิจัยไปเรื่อยๆ โอกาสสำเร็จอาจจะน้อยกว่าหนึงเปอร์เซ็นต์ด้วยซ้ำ ประกอบกับผลตอบแทนของบริษัทยานั้นมันมากมหาศาลจริงๆ เพราะมูลค่าการรักษาชีวิตของมนุษย์นั้นมากจริงๆ...
ต่างจากโจทย์นี้โดยสิ้นเชิง ในความเห็นผมคือ คนละกรณีและคงไม่นำมาเทียบกันครับ
- สามัญชน
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 5162
- ผู้ติดตาม: 0
ปริศนาการลงทุน
โพสต์ที่ 77
นักเบสบอลระดับโลก ตีเฉเพาะลูกที่ขว้างมาในตำแหน่งที่เขาชอบเท่านั้น ตีแล้วต้องมีโอกาสโฮมรันสูงมาก โอกาสผิดน้อยยิ่งกว่าน้อย ถ้าเขาตีทุกลูกที่ขว้างมาและมีโอกาสตีผิดถึงครึ่งหนึ่ง เขาจะยังเป็นนักเบสบอลระดับโลกอยู่หรือ
ผู้ชนะออกรบเพื่อไปเอาชัยชนะ
ผู้แพ้ออกรบเพื่อหวังชัยชนะ
ถ้าซุนวูออกรบทุกครั้งที่มีโอกาสแพ้ถึงครึ่งหนึ่ง เขาจะยังเป็นซุนวูอยู่หรือ
บัฟเฟตต์ซื้อหุ้นโดยยึดกฏ ไม่ขาดทุน ถ้าเขาซื้อหุ้นที่มีโอกาสขาดทุนถึงครึ่งหนึ่ง บัฟเฟตต์จะยังเป็นบัฟเฟตต์อยู่หรือ
บริษัทยาลงทุนทำวิจัยยาร้อยแปดแม้จะสำเร็จแค่ตัวเดียวก็คุ้มค่าก็จริงอยู่ แต่ต้องมองให้ดีว่าเขาใช้กุ้งฝอยตกปลากะพงหรือไม่
บริษัทยาเสียแค่ค่าวิจัยสำหรับยาแต่ละตัว ถ้าไม่สำเร็จเขาก็เสียแค่ค่าวิจัยเท่านั้นเอง เขาไม่เคยทุ่มทุนขนาดใหญ่เพื่อผลิตยาที่ยังวิจัยไม่สำเร็จไม่ใช่หรือ
เขาไม่ได้ผลิตยาเป็นหมื่นล้านเม็ดสำหรับยาทุกๆตัวที่ยังอยู่ในขั้นวิจัย.........
การวิจัยใช้ยาแค่หมื่นเม็ดก็เหลือเฟือแล้ว......
เงินก้อนใหญ่ที่จะทุ่มลงไปในการผลิตเขาเก็บไว้สำหรับ ยาที่เขาตีแตกแล้ว ได้ผลแล้ว ผ่านการรับรองแล้ว เป็นกลยุทธกุ้งฝอยตกปลากะพงชัดๆ เผลอๆไม่ได้ใช้กุ้งทั้งตัวแต่ใช้แค่หนวดกุ้งเท่านั้นเอง ......
ไม่อย่างนั้นบริษัทยาระดับโลกจะยังป็นระดับโลกอยู่หรือ.......
เช่นเดียวกับนักเบสบอลระดับโลก ..........
เช่นเดียวกับซุนวู ..........
และเช่นเดียวกับบัฟเฟตต์ ...........
ผู้ชนะออกรบเพื่อไปเอาชัยชนะ
ผู้แพ้ออกรบเพื่อหวังชัยชนะ
ถ้าซุนวูออกรบทุกครั้งที่มีโอกาสแพ้ถึงครึ่งหนึ่ง เขาจะยังเป็นซุนวูอยู่หรือ
บัฟเฟตต์ซื้อหุ้นโดยยึดกฏ ไม่ขาดทุน ถ้าเขาซื้อหุ้นที่มีโอกาสขาดทุนถึงครึ่งหนึ่ง บัฟเฟตต์จะยังเป็นบัฟเฟตต์อยู่หรือ
บริษัทยาลงทุนทำวิจัยยาร้อยแปดแม้จะสำเร็จแค่ตัวเดียวก็คุ้มค่าก็จริงอยู่ แต่ต้องมองให้ดีว่าเขาใช้กุ้งฝอยตกปลากะพงหรือไม่
บริษัทยาเสียแค่ค่าวิจัยสำหรับยาแต่ละตัว ถ้าไม่สำเร็จเขาก็เสียแค่ค่าวิจัยเท่านั้นเอง เขาไม่เคยทุ่มทุนขนาดใหญ่เพื่อผลิตยาที่ยังวิจัยไม่สำเร็จไม่ใช่หรือ
เขาไม่ได้ผลิตยาเป็นหมื่นล้านเม็ดสำหรับยาทุกๆตัวที่ยังอยู่ในขั้นวิจัย.........
การวิจัยใช้ยาแค่หมื่นเม็ดก็เหลือเฟือแล้ว......
เงินก้อนใหญ่ที่จะทุ่มลงไปในการผลิตเขาเก็บไว้สำหรับ ยาที่เขาตีแตกแล้ว ได้ผลแล้ว ผ่านการรับรองแล้ว เป็นกลยุทธกุ้งฝอยตกปลากะพงชัดๆ เผลอๆไม่ได้ใช้กุ้งทั้งตัวแต่ใช้แค่หนวดกุ้งเท่านั้นเอง ......
ไม่อย่างนั้นบริษัทยาระดับโลกจะยังป็นระดับโลกอยู่หรือ.......
เช่นเดียวกับนักเบสบอลระดับโลก ..........
เช่นเดียวกับซุนวู ..........
และเช่นเดียวกับบัฟเฟตต์ ...........
ทุกความเห็นย่อมเปลี่ยนไปตามความรู้ การเรียนรู้ย่อมไม่มีจุดสิ้นสุด
- nanakorn
- Verified User
- โพสต์: 636
- ผู้ติดตาม: 0
ปริศนาการลงทุน
โพสต์ที่ 81
ถ้ายังไม่เป็นลูกสุดท้าย ถึงลูกที่ถูกขว้างมาอยู่ใน Strike Zone ถ้าตำแหน่งไม่ดีก็ไม่ตีดีกว่าครับ เพราะถ้าตีไม่โดนเลยก็แล้วไป แต่ถ้าดันตีโดนแล้วเป็นลูกหมูๆ วิ่งไปเบสแรกไม่ทันก็ออกเลยครับ ไม่ต้องรอ 3 Strikes ครับ นี่คือสาเหตุที่ Batter ควรเลือกตีแต่ลูกที่น่าจะตีได้ดีครับ (ตีได้อย่างเดียวไม่พอ ต้องตีได้ดีด้วย)นักเบสบอลระดับโลก ตีเฉพาะลูกที่ขว้างมาในตำแหน่งที่เขาชอบเท่านั้น ตีแล้วต้องมีโอกาสโฮมรันสูงมาก โอกาสผิดน้อยยิ่งกว่าน้อย ถ้าเขาตีทุกลูกที่ขว้างมาและมีโอกาสตีผิดถึงครึ่งหนึ่ง เขาจะยังเป็นนักเบสบอลระดับโลกอยู่หรือ
- path2544
- Verified User
- โพสต์: 543
- ผู้ติดตาม: 0
ขอแสดงความเห็นในแง่มือใหม่ครับ
โพสต์ที่ 83
ออกตัวก่อนนะครับผมไม่ใช่ VI เพราะผมมีวิธีการลงทุนของผมเอง
ก่อนอื่นผมจะถามตนเองก่อนว่า
หุ้นตัวนั้น พื้นฐานเป็นอย่างไรล่ะ ถ้าเป็น RRC กับ SINGHA (สมมุตินะ)
ผมเลือกซื้อก่อนสำหรับตัวแรก แต่ถ้าเป็นตัวหลังผมขายก่อน
เพราะผมให้น้ำนักที่ แนวโน้มอุตสาหกรรมมากกว่า (มันระยะยาวกว่า) ยกเว้นข่าวนั้นจะกระทบความสามารถในการแข่งขันระยะยาวเท่านั้น อันนั้นก็ขายเหมือนกัน
ก่อนอื่นผมจะถามตนเองก่อนว่า
หุ้นตัวนั้น พื้นฐานเป็นอย่างไรล่ะ ถ้าเป็น RRC กับ SINGHA (สมมุตินะ)
ผมเลือกซื้อก่อนสำหรับตัวแรก แต่ถ้าเป็นตัวหลังผมขายก่อน
เพราะผมให้น้ำนักที่ แนวโน้มอุตสาหกรรมมากกว่า (มันระยะยาวกว่า) ยกเว้นข่าวนั้นจะกระทบความสามารถในการแข่งขันระยะยาวเท่านั้น อันนั้นก็ขายเหมือนกัน
ไม่เก่งทั้งวิเคราะห์เทคนิค ปัจจัยพื้นฐาน แต่เราก็ยังรั้นที่จะรวยเพราะหุ้น
- รวย เก่ง เฮง
- Verified User
- โพสต์: 14
- ผู้ติดตาม: 0
ปริศนาการลงทุน
โพสต์ที่ 85
[color=red]ถ้าเป็นหุ้นที่ดูแล้วพื้นฐานดี กิจการมั่นคง กำไรสม่ำเสมอ ผู้บริหารโปร่งใสและมีความสามารถ ฯลฯ[/color]ราคาที่เราถืออยู่ตอนนี้ ก็เป็นราคา ณ ปัจจุบัน หมายความว่า P/B , P/E น่าจะต่ำ
ก็น่าจะเข้าข่ายว่าซื้อก่อน เพราะเราย่อมไม่มีโอกาสที่จะรู้ว่าพรุ่งนี้มันจะต่ำกว่าหรือไม่ รู้แต่ว่า ณ ตอนนี้ ราคามันก็น่าซื้อ มองระยะยาวเฟื้อย น่าจะโอกาสทำกำไรได้มากกว่า
ทีนี้ ถ้าเราไม่รู้ว่าพรุ่งนี้ จะเป็นข่าวร้ายหรือดี เท่าๆ กัน อันนี้ งงแฮะ เพราะในความเป็นจริง ถ้าเป็นหุ้นที่เราสนใจมันจริงๆ น่าจะพอคาดเดาผลประกอบการได้บ้าง ว่ามันจะกำไร หรือขาดทุน แม้จะไม่ทราบตัวเลขแน่นอน
และถ้ามันเป็นหุ้นดี แนว vi ก็น่าจะกำไรมากกว่า ดังนั้น [color=red]น่าจะซื้อก่อน[/color]
แต่ถ้าท่านสุมาอี้ บอกว่า ไม่ได้บอกว่าเป็นหุ้นดีหรือไม่ เพราะไม่มีในโจทย์ เอาแต่ความน่าจะเป็นของข่าวมาคำนวณ ก็ต้องขอตอบว่า[color=blue]ขาย[/color]ดีกว่าค่ะ ไม่อยากเสี่ยงขาดทุน
ก็น่าจะเข้าข่ายว่าซื้อก่อน เพราะเราย่อมไม่มีโอกาสที่จะรู้ว่าพรุ่งนี้มันจะต่ำกว่าหรือไม่ รู้แต่ว่า ณ ตอนนี้ ราคามันก็น่าซื้อ มองระยะยาวเฟื้อย น่าจะโอกาสทำกำไรได้มากกว่า
ทีนี้ ถ้าเราไม่รู้ว่าพรุ่งนี้ จะเป็นข่าวร้ายหรือดี เท่าๆ กัน อันนี้ งงแฮะ เพราะในความเป็นจริง ถ้าเป็นหุ้นที่เราสนใจมันจริงๆ น่าจะพอคาดเดาผลประกอบการได้บ้าง ว่ามันจะกำไร หรือขาดทุน แม้จะไม่ทราบตัวเลขแน่นอน
และถ้ามันเป็นหุ้นดี แนว vi ก็น่าจะกำไรมากกว่า ดังนั้น [color=red]น่าจะซื้อก่อน[/color]
แต่ถ้าท่านสุมาอี้ บอกว่า ไม่ได้บอกว่าเป็นหุ้นดีหรือไม่ เพราะไม่มีในโจทย์ เอาแต่ความน่าจะเป็นของข่าวมาคำนวณ ก็ต้องขอตอบว่า[color=blue]ขาย[/color]ดีกว่าค่ะ ไม่อยากเสี่ยงขาดทุน
-
- Verified User
- โพสต์: 1155
- ผู้ติดตาม: 0
ปริศนาการลงทุน
โพสต์ที่ 86
กระทู้นี้เป็นตัวอย่างที่ดีเรื่องความเสี่ยง และไม่มีคำตอบที่ถูกต้องหรอกครับ
ผมเลือกที่จะซื้อก่อนเพราะผมเป็นพวกชอบวัดดวง(อยากรวย) ประมาณว่า เป็น risk neutral
หลายคนในนี้เป็น risk averse ดังนั้นมันแล้วแต่ความพอใจของแต่ละคน ถ้าอยากให้เค้าลงมา take risk ด้วย ก็ต้องให้ risk premium ในระดับที่พอใจ ซึ่งก็แล้วแต่ที่ใครจะพอใจที่ระดับเท่าไหร่ ซึ่งอาจต้องเทียบกับผลตอบแทนจากทางเลือกอื่นๆของเค้าด้วย
ดังนั้นผมถึงคิดว่าการคิด expected value ก็สามารถนำมาใช้ในทางปฏิบัติได้ ขึ้นอยู่กับว่าเราจะเอามาคิดต่อยังงัย ขอยืนยันว่ามันมีประโยชน์ถ้าคุณรู้จักนำมาใช้
แต่ถ้าจะบอกว่าจะต้องได้กำไรแน่ๆร้อยเปอร์เซนต์ ไม่มีโอกาสเสียเงินเลย ผมว่าอย่าซื้อหุ้นดีกว่าครับ
ผมเลือกที่จะซื้อก่อนเพราะผมเป็นพวกชอบวัดดวง(อยากรวย) ประมาณว่า เป็น risk neutral
หลายคนในนี้เป็น risk averse ดังนั้นมันแล้วแต่ความพอใจของแต่ละคน ถ้าอยากให้เค้าลงมา take risk ด้วย ก็ต้องให้ risk premium ในระดับที่พอใจ ซึ่งก็แล้วแต่ที่ใครจะพอใจที่ระดับเท่าไหร่ ซึ่งอาจต้องเทียบกับผลตอบแทนจากทางเลือกอื่นๆของเค้าด้วย
ดังนั้นผมถึงคิดว่าการคิด expected value ก็สามารถนำมาใช้ในทางปฏิบัติได้ ขึ้นอยู่กับว่าเราจะเอามาคิดต่อยังงัย ขอยืนยันว่ามันมีประโยชน์ถ้าคุณรู้จักนำมาใช้
แต่ถ้าจะบอกว่าจะต้องได้กำไรแน่ๆร้อยเปอร์เซนต์ ไม่มีโอกาสเสียเงินเลย ผมว่าอย่าซื้อหุ้นดีกว่าครับ
A Cynic Knows the Price of Everything and the Value of Nothing
-Oscar Wilde, Lady Windemeres Fan
-Oscar Wilde, Lady Windemeres Fan
- สามัญชน
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 5162
- ผู้ติดตาม: 0
ปริศนาการลงทุน
โพสต์ที่ 88
nanchan wrote
ถ้าซื้อ หลังข่าวออก ที่13 บาท แทนที่จะเป็นอันนี้
expected value = 7*1.0 - 0*0= +7
ถ้าเป็นอย่างคุณนันว่า ผมว่ายิ่งไปกันใหญ่เลยครับผมว่านะ
ถ้าคิดว่าหุ้นจะขึ้นจาก10 ไป20จริงหละก็
ซื้อหลังข่าวก็ทันครับ
มาเฝ้ารอข่าวออกเลยนะ
ยังไงวันนั้น ถ้าข่าวดีออกมาจริงๆ
คนก็ยังไม่กล้าซื้อหรอก
คุณสุมาอี้ ก็ใช้จังหวะที่คนยังลังเลอยู่ซื้อไม่ดีกว่าหรือ
ผมรับรองว่าเปิดโดด ยังไงก็ไม่น่าเกินสามบาท
ตั้งแต่เล่นหุ้นมา ยังไม่เคยเห็นหุ้นเปิดลิ่งเลย
ถ้าซื้อ หลังข่าวออก ที่13 บาท แทนที่จะเป็นอันนี้
จะกลายเป็นอันนี้expected value เป็นบวก 10*0.5-5*0.5= +2.5
expected value = 7*1.0 - 0*0= +7
ทุกความเห็นย่อมเปลี่ยนไปตามความรู้ การเรียนรู้ย่อมไม่มีจุดสิ้นสุด
- สุมาอี้
- Verified User
- โพสต์: 4576
- ผู้ติดตาม: 0
ปริศนาการลงทุน
โพสต์ที่ 89
ต้นทุนยานั้นเป็นต้นทุนเม็ดยาประมาณ 1% อีก 99% เป็นทุนวิจัย
บริษัทต้องลงทุนทำ Clinical Trial Phase I, II, III เป็นเงินประมาณ 12000 ล้านบาท เพื่อพิสูจน์ให้ FDA เห็นว่ายาไม่มีอันตราย ค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่ที่ใช้หมดไปกับค่าตอบแทนมนุษย์ที่มาทดลอง
เฉพาะยาที่ผ่าน Phase III ได้เท่านั้นที่จะเริ่มผลิตเม็ดยา ซึ่งมีแค่ 1% ของยาทั้งหมดที่ทดสอบ
ตอนแรกผมนึกว่า Amgen บริษัทด้าน biotech ที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกาคงมี products หลายตัว อาจจะสัก 100 ตัวมั้ง แต่ที่จริงแล้ว Amgen ทั้งบริษัทมี products ที่สร้างรายได้ให้บริษัทอยู่แค่ 5 ตัวเท่านั้น (แต่ละตัวยอดขายไตรมาสเดียวก็มากกว่า 12000 ล้านบาทแล้ว)
แต่ ณ ขณะหนึ่งๆ Amgen มียาที่รอผล Clinical Trial อยู่เป็นผูงๆ แต่ในจำนวนนี้จะมีแค่ไม่กี่ตัวเท่านั้นที่รอดจนผ่าน Phase III ได้
ธุรกิจอย่างนี้น่าลงทุนหรือเปล่า?
บริษัทต้องลงทุนทำ Clinical Trial Phase I, II, III เป็นเงินประมาณ 12000 ล้านบาท เพื่อพิสูจน์ให้ FDA เห็นว่ายาไม่มีอันตราย ค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่ที่ใช้หมดไปกับค่าตอบแทนมนุษย์ที่มาทดลอง
เฉพาะยาที่ผ่าน Phase III ได้เท่านั้นที่จะเริ่มผลิตเม็ดยา ซึ่งมีแค่ 1% ของยาทั้งหมดที่ทดสอบ
ตอนแรกผมนึกว่า Amgen บริษัทด้าน biotech ที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกาคงมี products หลายตัว อาจจะสัก 100 ตัวมั้ง แต่ที่จริงแล้ว Amgen ทั้งบริษัทมี products ที่สร้างรายได้ให้บริษัทอยู่แค่ 5 ตัวเท่านั้น (แต่ละตัวยอดขายไตรมาสเดียวก็มากกว่า 12000 ล้านบาทแล้ว)
แต่ ณ ขณะหนึ่งๆ Amgen มียาที่รอผล Clinical Trial อยู่เป็นผูงๆ แต่ในจำนวนนี้จะมีแค่ไม่กี่ตัวเท่านั้นที่รอดจนผ่าน Phase III ได้
ธุรกิจอย่างนี้น่าลงทุนหรือเปล่า?
http://dekisugi.net
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ
ไม่ค่อยได้เช็ค PM เลยครับ ต้องการติดต่อผม อีเมลไปที่ [email protected] จะชัวร์กว่าครับ