ทำไมเราต้องลงทุนหุ้นต่างประเทศ? มาแชร์กันครับ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1284
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ทำไมเราต้องลงทุนหุ้นต่างประเทศ? มาแชร์กันครับ
โพสต์ที่ 32
หุ้นไทย VS หุ้นนอก
1 หลายคนตอนนี้กำลังตัดสินใจว่าจะลงทุนในหุ้นไทย หรือหุ้นต่างประเทศ โดยเฉพาะหุ้น Tech ดี ผมเองก็คิดมานาน
2 หุ้นไทยเรารู้จักดีกว่า แต่ประเทศไทยเริ่มโตช้า หุ้น Tech ในจีน ในอเมริกา ดูดี โตไว ดูน่าสนใจกว่ามาก
3 แต่ถ้าหากเราดูผลตอบแทนจากการลงทุน สำหรับคนที่กล้าซื้อหุ้น ตอนตลาดหุ้นตกหนัก ตอนปลายเดือนมีนาคม 2563 เราจะพบว่า หุ้นไทยจำนวนมาก ให้ผลตอบแทนดีกว่าหุ้น Tech เสียอีก
4 เราได้บทเรียนอะไรจากเหตุการณ์นี้ คิดออกไหมครับ
5 ข้อดีของหุ้นไทยคือ เราในฐานะนักลงทุนไทย ถ้าเราทำงานหนัก เข้าใจธุรกิจจริงๆ รู้จักหุ้นหลากหลาย เราอาจจะมีโอกาสได้ผลตอบแทนเหนือตลาด จากการเลือกหุ้นได้ดีกว่าคนส่วนใหญ่ หรือที่เรียกกันว่า แอลฟ่า
6 หุ้น Tech ขนาดใหญ่ เป็นหุ้นที่มีนักลงทุน นักวิเคราะห์ เก่งๆ ทั่วโลกติดตาม โอกาสที่นักลงทุนไทยจะหาแอลฟ่าจากหุ้นเหล่านั้น ถือว่ายากมาก เราไม่น่าจะมีอะไรที่ได้เปรียบนักลงทุนเก่งๆ ที่อยู่ในจีน ในอเมริกาเลย
7 นอกจากนี้ ตลาดหลักทรัพย์ไทย ยังมีความผันผวนสูงมาก แสดงว่านักลงทุนไทยขี้ตกใจ และโลภมาก นักลงทุนส่วนน้อยสามารถหาประโยชน์จากความกลัว และความโลภของคนส่วนใหญ่ พูดง่ายๆ ว่าเราสามารถหา เบต้าได้จากตลาดหุ้นไทย
8 ทั้งนี้ การได้ผลตอบแทนเหนือตลาด จากทั้งแอลฟ่า และเบต้า เป็นสิ่งที่พูดง่ายกว่าทำมากๆ คนที่ทำได้จริงๆ ถือเป็นส่วนน้อยมากๆ แต่จากประสบการณ์ที่อยู่ในแวดวง Thai VI ผมเห็นว่ามีบางคนทำได้จริงๆ
9 การลงทุนให้ประสบความสําเร็จ ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้
อันนี้เป็นสิ่งที่ผมเขียนใน FB ส่วนตัวช่วงเดือน พค 63 เอามา post ใหม่ในนี้
หลักๆ คือหุ้นนอกยากกว่าเยอะ เพราะเรารู้น้อยกว่าคนอื่นเยอะครับ ตอนนี้ก็ยังเรียนรู้อยู่ พยายามไปเรื่อยๆ ครับ
1 หลายคนตอนนี้กำลังตัดสินใจว่าจะลงทุนในหุ้นไทย หรือหุ้นต่างประเทศ โดยเฉพาะหุ้น Tech ดี ผมเองก็คิดมานาน
2 หุ้นไทยเรารู้จักดีกว่า แต่ประเทศไทยเริ่มโตช้า หุ้น Tech ในจีน ในอเมริกา ดูดี โตไว ดูน่าสนใจกว่ามาก
3 แต่ถ้าหากเราดูผลตอบแทนจากการลงทุน สำหรับคนที่กล้าซื้อหุ้น ตอนตลาดหุ้นตกหนัก ตอนปลายเดือนมีนาคม 2563 เราจะพบว่า หุ้นไทยจำนวนมาก ให้ผลตอบแทนดีกว่าหุ้น Tech เสียอีก
4 เราได้บทเรียนอะไรจากเหตุการณ์นี้ คิดออกไหมครับ
5 ข้อดีของหุ้นไทยคือ เราในฐานะนักลงทุนไทย ถ้าเราทำงานหนัก เข้าใจธุรกิจจริงๆ รู้จักหุ้นหลากหลาย เราอาจจะมีโอกาสได้ผลตอบแทนเหนือตลาด จากการเลือกหุ้นได้ดีกว่าคนส่วนใหญ่ หรือที่เรียกกันว่า แอลฟ่า
6 หุ้น Tech ขนาดใหญ่ เป็นหุ้นที่มีนักลงทุน นักวิเคราะห์ เก่งๆ ทั่วโลกติดตาม โอกาสที่นักลงทุนไทยจะหาแอลฟ่าจากหุ้นเหล่านั้น ถือว่ายากมาก เราไม่น่าจะมีอะไรที่ได้เปรียบนักลงทุนเก่งๆ ที่อยู่ในจีน ในอเมริกาเลย
7 นอกจากนี้ ตลาดหลักทรัพย์ไทย ยังมีความผันผวนสูงมาก แสดงว่านักลงทุนไทยขี้ตกใจ และโลภมาก นักลงทุนส่วนน้อยสามารถหาประโยชน์จากความกลัว และความโลภของคนส่วนใหญ่ พูดง่ายๆ ว่าเราสามารถหา เบต้าได้จากตลาดหุ้นไทย
8 ทั้งนี้ การได้ผลตอบแทนเหนือตลาด จากทั้งแอลฟ่า และเบต้า เป็นสิ่งที่พูดง่ายกว่าทำมากๆ คนที่ทำได้จริงๆ ถือเป็นส่วนน้อยมากๆ แต่จากประสบการณ์ที่อยู่ในแวดวง Thai VI ผมเห็นว่ามีบางคนทำได้จริงๆ
9 การลงทุนให้ประสบความสําเร็จ ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้
อันนี้เป็นสิ่งที่ผมเขียนใน FB ส่วนตัวช่วงเดือน พค 63 เอามา post ใหม่ในนี้
หลักๆ คือหุ้นนอกยากกว่าเยอะ เพราะเรารู้น้อยกว่าคนอื่นเยอะครับ ตอนนี้ก็ยังเรียนรู้อยู่ พยายามไปเรื่อยๆ ครับ
In search of super stocks
-
- Verified User
- โพสต์: 114
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ทำไมเราต้องลงทุนหุ้นต่างประเทศ? มาแชร์กันคร
โพสต์ที่ 34
ปูเสื่อรออาจารย์ Linzhi ครับ
Greed, fear, ignorance, and hope
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 475
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ทำไมเราต้องลงทุนหุ้นต่างประเทศ? มาแชร์กันครับ
โพสต์ที่ 35
การลงทุนในต่างประเทศมันให้โอกาสเราได้ท้าทาย รู้จักฝัน และคิดให้เหมือนนักลงทุนนระดับโลก
- ลงทุนในไทยส่วนใหญ่เราจะหาหุ้นนถูก ปันผลดี ผู้บริหารเก่งและมีธรรมาภิบาล อยู่ใน sector ที่น่าสนใจมีโอกาสเติบโต
- ลงทุนในจีนทำให้เราเข้าใจความทุ่มเทและความขยันของคนจีน แม้แต่เทคในจีนก็ competitiveสุดๆเค้าเปรียบเทียบรายได้กันอาทิตย์ต่ออาทิตย์ ทำให้เราเข้าใจบทบาทของรัฐบาลและมุมมองผู้นำแบบมหภาค มันลึกไปถึงนโยบายภาครัฐและการทำการค้า ทำให้เรามองภาพ demand/ supply ของ commodityบางตัว และการเปลี่ยนแปลงของ tech ที่เข้ามา disrupt ธุรกิจเดิมได้อย่างรวดเร็วยังไง
- ลงทุนในอเมริกากระตุ้นให้เราเข้าใจภาพเศรษฐกิจและการเงินมากขึ้น การขึ้น-ลง อัตราดอกเบี้ย/อัตราว่างงานน มีผลต่อ flow เงินไหลเข้า-ออกระยะกลาง, มีทางเลือกในการลงทุนในหลายประเทศหลายธุรกิจทั่วโลก ฝั่งอเมริกามี innovation/ creativity และ business model ที่หลากหลาย
- ชอบการที่เราได้ฝัน ..ยกตัวอย่างเช่นน ตอนนี้หุ้น Tesla ขึ้นมาสูงมากๆ จนคนเอามาเทียบกับ Market cap หุ้นยานยนต์ทั่วโลกและบอกว่าแพงสุดๆ ..มันก็ดูแพงจริงๆแหละค่ะ แต่ถ้าบอกว่าคนซื้อเค้าหวังว่า Tesla จะเป็น Apple ตัวต่อไป ราคานี้ยังแพงอยู่ไหมหนอ? (ปล. ไม่มีหุ้น Tesla ค่ะ)
- ลงทุนในไทยส่วนใหญ่เราจะหาหุ้นนถูก ปันผลดี ผู้บริหารเก่งและมีธรรมาภิบาล อยู่ใน sector ที่น่าสนใจมีโอกาสเติบโต
- ลงทุนในจีนทำให้เราเข้าใจความทุ่มเทและความขยันของคนจีน แม้แต่เทคในจีนก็ competitiveสุดๆเค้าเปรียบเทียบรายได้กันอาทิตย์ต่ออาทิตย์ ทำให้เราเข้าใจบทบาทของรัฐบาลและมุมมองผู้นำแบบมหภาค มันลึกไปถึงนโยบายภาครัฐและการทำการค้า ทำให้เรามองภาพ demand/ supply ของ commodityบางตัว และการเปลี่ยนแปลงของ tech ที่เข้ามา disrupt ธุรกิจเดิมได้อย่างรวดเร็วยังไง
- ลงทุนในอเมริกากระตุ้นให้เราเข้าใจภาพเศรษฐกิจและการเงินมากขึ้น การขึ้น-ลง อัตราดอกเบี้ย/อัตราว่างงานน มีผลต่อ flow เงินไหลเข้า-ออกระยะกลาง, มีทางเลือกในการลงทุนในหลายประเทศหลายธุรกิจทั่วโลก ฝั่งอเมริกามี innovation/ creativity และ business model ที่หลากหลาย
- ชอบการที่เราได้ฝัน ..ยกตัวอย่างเช่นน ตอนนี้หุ้น Tesla ขึ้นมาสูงมากๆ จนคนเอามาเทียบกับ Market cap หุ้นยานยนต์ทั่วโลกและบอกว่าแพงสุดๆ ..มันก็ดูแพงจริงๆแหละค่ะ แต่ถ้าบอกว่าคนซื้อเค้าหวังว่า Tesla จะเป็น Apple ตัวต่อไป ราคานี้ยังแพงอยู่ไหมหนอ? (ปล. ไม่มีหุ้น Tesla ค่ะ)
HOPE FAITH LOVE
-
- Verified User
- โพสต์: 146
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ทำไมเราต้องลงทุนหุ้นต่างประเทศ? มาแชร์กันครับ
โพสต์ที่ 36
สำหรับคำถาม: ทำไมเราต้องลงทุนหุ้นต่างประเทศ? มาแชร์กันครับ
ตอบท่านนายกหลินครับว่า เพราะ กิจการที่อยู่ในขอบเขตความรู้ที่เราเข้าใจ มันดันไม่ได้อยู่ในประเทศที่เราอยู่อาศัยครับ ผมคิดว่าเราควรลงทุนกับกิจการไหนๆก็ได้ที่เราเข้าใจมันอย่างดีครับ จะประเทศไหนไม่น่าเป็นประเด็นหลักสำหรับหลักการ VI นะครับ
ขอฝากนักลงทุนรุ่นใหม่ที่คิดจะออกไปลงทุนนอกประเทศ
ไม่ต้องเฟ้นหาหรือพยายามที่จะออกมากเกินไปหรอกครับ
ถ้ากิจการมันมีส่วนอยู่ใน life style ปกติของเรา
ด้วยตัวตนความเป็น VI เดี๋ยวเราจะโดนมันเรียกออกไปเองครับ
อย่างผมนี่ก็เหมือนโดนเรียกออกไปครับ จ่ายเงินให้ บ. ต่างชาติซ้ำแล้วซ้ำอีก
พอไปศึกษาจนเข้าใจก็เกิดความพยายามที่จะอยากได้ความเป็นเจ้าของมาเองครับ
บางกิจการที่อยู่นอกประเทศเรา สินค้าหรือผลิตภัณฑ์ บางทีเราสัมผัสได้ใกล้ชิดมากกว่ากิจการในประเทศอีกครับ โมเดลก็เข้าใจง่ายกว่า ติดตามง่ายกว่า
ส่วนตัวผมลงทุนกิจการนอกประเทศใกล้ครบ 3 ปีแล้วครับ
สัดส่วนราวๆ20%พอร์ทครับ
รอฟังความบ้าคลั่ง 4 เดือน ของท่านนายกด้วยคนครับ 5555
ตอบท่านนายกหลินครับว่า เพราะ กิจการที่อยู่ในขอบเขตความรู้ที่เราเข้าใจ มันดันไม่ได้อยู่ในประเทศที่เราอยู่อาศัยครับ ผมคิดว่าเราควรลงทุนกับกิจการไหนๆก็ได้ที่เราเข้าใจมันอย่างดีครับ จะประเทศไหนไม่น่าเป็นประเด็นหลักสำหรับหลักการ VI นะครับ
ขอฝากนักลงทุนรุ่นใหม่ที่คิดจะออกไปลงทุนนอกประเทศ
ไม่ต้องเฟ้นหาหรือพยายามที่จะออกมากเกินไปหรอกครับ
ถ้ากิจการมันมีส่วนอยู่ใน life style ปกติของเรา
ด้วยตัวตนความเป็น VI เดี๋ยวเราจะโดนมันเรียกออกไปเองครับ
อย่างผมนี่ก็เหมือนโดนเรียกออกไปครับ จ่ายเงินให้ บ. ต่างชาติซ้ำแล้วซ้ำอีก
พอไปศึกษาจนเข้าใจก็เกิดความพยายามที่จะอยากได้ความเป็นเจ้าของมาเองครับ
บางกิจการที่อยู่นอกประเทศเรา สินค้าหรือผลิตภัณฑ์ บางทีเราสัมผัสได้ใกล้ชิดมากกว่ากิจการในประเทศอีกครับ โมเดลก็เข้าใจง่ายกว่า ติดตามง่ายกว่า
ส่วนตัวผมลงทุนกิจการนอกประเทศใกล้ครบ 3 ปีแล้วครับ
สัดส่วนราวๆ20%พอร์ทครับ
รอฟังความบ้าคลั่ง 4 เดือน ของท่านนายกด้วยคนครับ 5555
-
- Verified User
- โพสต์: 114
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ทำไมเราต้องลงทุนหุ้นต่างประเทศ? มาแชร์กันครับ
โพสต์ที่ 37
ลองทำการบ้านตามพี่ Picatos หา Paper ของ Big house มาศึกษา พบว่ารายงานละเอียดและใช้เป็น leading indicator ในการหาหุ้นได้ดีมากเลยครับ นวค. ต่างประเทศไปไกลมากจริงๆ
GS - Keeping up with FAAMG
https://board.thaivi.org/download/file. ... w&id=70250
MS - Global High Frequency Activity Tracker
https://board.thaivi.org/download/file. ... w&id=70247
GS - Keeping up with FAAMG
https://board.thaivi.org/download/file. ... w&id=70250
MS - Global High Frequency Activity Tracker
https://board.thaivi.org/download/file. ... w&id=70247
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
Greed, fear, ignorance, and hope
-
- Verified User
- โพสต์: 2606
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ทำไมเราต้องลงทุนหุ้นต่างประเทศ? มาแชร์กันครับ
โพสต์ที่ 39
สุดยอดเลยครับ อ่านประสบการณ์ของแต่ละท่านจนเพลินเลย
อันนี้ Video ของ อ.Damodaran นะครับ
สดๆร้อนๆ เลย พูดเรื่องหุ้น big tech
เพิ่งรู้ว่า Damodaran เค้าก็ลงทุนในหุ้น tech ตัวใหญ่ๆพวกนี้ด้วย แถมเพิ่งขายหมู Tesla ไปอีกแหนะครับ
ที่เด็ดที่สุดคือ ในมีแถม valuation file หุ้น amazon apple facebook netflix google และ Microsoft ใต้คลิปด้วย
ดูแล้ว ผมคิดว่า ถ้าผมได้ไปเรียนคอร์สเค้า แล้วเอา valuation file ที่ทำๆอยู่เอาไปให้เค้าดู สงสัยได้ 0 คะแนนแหง๋เลย......55
อันนี้ Video ของ อ.Damodaran นะครับ
สดๆร้อนๆ เลย พูดเรื่องหุ้น big tech
เพิ่งรู้ว่า Damodaran เค้าก็ลงทุนในหุ้น tech ตัวใหญ่ๆพวกนี้ด้วย แถมเพิ่งขายหมู Tesla ไปอีกแหนะครับ
ที่เด็ดที่สุดคือ ในมีแถม valuation file หุ้น amazon apple facebook netflix google และ Microsoft ใต้คลิปด้วย
ดูแล้ว ผมคิดว่า ถ้าผมได้ไปเรียนคอร์สเค้า แล้วเอา valuation file ที่ทำๆอยู่เอาไปให้เค้าดู สงสัยได้ 0 คะแนนแหง๋เลย......55
- Linzhi
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1464
- ผู้ติดตาม: 1
Re: ทำไมเราต้องลงทุนหุ้นต่างประเทศ? มาแชร์กันครับ
โพสต์ที่ 40
ตอน 2 ปฐมบทแห่งการเดินทาง (The Genesis)
ผมเริ่มต้นครั้งนี้ด้วยโจทย์ที่ว่า อยากไปเริ่มลงทุนต่างประเทศ ดังนั้นคำถามแรกของผม คือ ไปประเทศไหนดี
ผมไม่อยากจะทำเหมือนเดิมคือไปปักธงเลยว่าต้องไปประเทศใดประเทศหนึ่ง โดยที่เราไม่ได้ดูทุกประเทศให้รอบคอบก่อน
ผมเริ่มจาก The Economist กวาดตาไปอ่านข้อมูลสถิติ รวมถึงภาพใหญ่ของแต่ละประเทศ
โดยอ่านข้อมูลฉบับเก่า ๆ บางทีผมก็ดูแค่ปก บางทีก็ไล่อ่านบทความ พยายามอ่าน Macroeconomics
และอ่าน "Trend" ธุรกิจ ซึ่งเดิมทีเราตามห่าง ๆ แต่คราวนี้เราจะลงสนามจริง
พอเริ่มได้ไอเดีย ก็เข้าไปดูหุ้นในแต่ละประเทศ ช่วงนั้นคัดเหลือประมาณ 10 ประเทศได้ ซึ่งพอลงรายละเอียดผมก็พบว่า
1. ภาพใหญ่ของแต่ละประเทศ รวมถึงหุ้นใหญ่ ๆ ก็เติบโตช้าลงมาก ไม่ต่างจากประเทศไทย เผลอ ๆ South East Asia ดูดีกว่าหลายภูมิภาคในภาพรวมด้วยซ้ำ
2. หุ้นขนาดใหญ่ของต่างประเทศก็มีลักษณะเดียวกันกับเรา คือเติบโตช้า valuation mutliple สูง outlook ไม่ดีหรือทรงตัว
3. หุ้นที่อยู่ใน criteria ผมมักจะมีขนาดกลางขนาดเล็ก ซึ่งพอลองหาข้อมูล รู้สึกว่าหายากมาก ติดตามยากเกินความสามารถผม
ทำไปทำมา หวยเลยออกตลาดหุ้นเดียว คือตลาดหุ้นอเมริกา แต่เอาจริง ๆ ใจผมอยากลงทุนตลาดจีน/ฮ่องกงมากกว่า แต่ก็คิดว่าถ้าจะเอาจีน ก็ลองเริ่มจากหุ้นจีนในอเมริกาก่อน
พอได้ตลาดหุ้นที่เป็นจุดเริ่มต้น ผมก็พยายามจะเลือกอุตสาหกรรม ผมเลยทบทวนแนวคิดของเทมเปอร์ตัน VI ที่ค่อนข้างประสบความสำเร็จในการลงทุนต่างประเทศ
เงื่อนไขแรกของผมคือ ขอหุ้นที่ได้รับผลกระทบรุนแรง โดยเฉพาะในด้านราคาหุ้น เราจะได้มีแต้มต่อจากความเสียเปรียบที่เราเข้าถึงข้อมูลแย่กว่า มีเครื่องมือน้อยกว่า
หุ้นกลุ่มแรกที่ผมค้น ๆ ขึ้นมาแน่นอน คือ เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว ซึ่งมีหุ้นที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ห้าถึงหกอุตสาหกรรมย่อย
หลังจากเลือก ๆ ระหว่างร้านอาหาร สวนสนุก โรงแรม เรือสำราญ สายการบิน ธุรกิจการบิน กลุ่มแรกที่ผมสนใจที่สุดคือ หุ้นกลุ่มเรือสำราญ เพราะว่าหุ้นตกลงกว่า 80% และผมเห็นตลาดกลัวมาก ๆ จากพาดหัวปก Business Week ช่วงมีค./เมษ.
หุ้นเรือสำราญ ถือว่าอันตรายที่สุด เพราะ Capital Intensive, Highly Leverage, Zero Cash Flow เรียกได้ว่าครบสามองค์ประกอบที่แย่ที่สุดในวิกฤต Covid19
การวิเคราะห์หุ้นกลุ่มนี้ ผมคิดแค่สองเรื่อง
1. Liquidity Risk สิ่งที่กลัวคือ ตลาดทุนตลาดเงินปิดตัว ถ้าเกิดเหตุการณ์นี้จบข่าว แต่ผมไปดูตัวเลขหลังจาก Unlimted QE พบว่า Junk bond/High yield bond yied gap ลดลงเร็วมาก และคิดว่าน่าจะลดลงต่อเนื่อง ซึ่งก็เห็นเทรนด์ว่าหุ้นกู้ขายได้ และผมคิดว่าธุรกิจเรือสำราญน่าจะมีคนเพิ่มทุนให้ มันเป็น luxury อย่างหนึ่ง โอกาสล้มน่าจะน้อยลงมาก
2. Ongoing Business คือการคาดการณ์ว่าธุรกิจจะ "กลับมา" ได้เร็วแค่ไหน ณ เวลานั้นคือการวิเคราะห์ Covid19 ผมก็คิดว่า 3 safety net ว่าถ้าโชคดี Covid19 หายไปแบบ SARS, หรืออาจจะค่อย ๆ หายไปแบบจีน, หรือวัคซีนจะเกิดขึ้นได้ ในเวลานั้นผมคิดว่าโอกาสที่จะเกิดอย่างใดอย่างหนึ่งในสามอย่างนี้น่าจะมีโอกาสเกิดขึ้นได้ไม่ยากนัก ผมคิดว่าวิกฤต Covid น่าจะบรรเทาลงไตรมาส 3
ผมก็เลือก ๆ ซื้อตาม valuation ซึ่ง multiple ธุรกิจแบบนี้ก็ใช้ไม่ต่างจากพวกวิเคราะห์หุ้นไทย เรียกว่าตำราใกล้ ๆ กัน
ผลลัพท์ที่เกิดขึ้น จริง ๆ ผมคิดถูกแค่ครึ่งนึง คือสถานการณ์ 1-2 นั้นเป็นไปตามคาด Covid19 ดีขึ้นตามลำดับ โดยเฉพาะยุโรปและสหรัฐอเมริกา หุ้นกู้ออกได้ ทุกอย่างดีขึ้นจนมีการคาดการณ์ว่าธุรกิจจะกลับมาได้ในช่วงปลายปี
หุ้นเหวี่ยงมาก ๆ ผมก็ดูแล้วค่อนข้างไม่ชิน ขนาดผมก็กระจายเป็นสัดส่วนที่ไม่มาก ยังเครียด
สุดท้ายไม่ถึงเดือนตลาดคิดแบบเดียวกับผม ราคาหุ้นวิ่งขึ้นไปหนึ่งเด้งอย่างรวดเร็ว ตรงข้ามกับสถานการณ์ Covid และมีอีกหลายเรื่องที่ผมไม่รู้แต่แรก คือเรือนี่ไม่สามารถจอดไว้เฉย ๆ ได้ ต้องวิ่งตลอดไม่งั้นระบบจะเสีย
รวมไปถึง Covid ในสหรัฐและประเทศอื่น ๆ แย่กว่าที่ผมคิดมาก โชคดีที่ผมตัดสินใจขายไปก่อน ก่อนหน้าตลาดก้าวนึง ไม่เช่นนั้นกำไรที่ได้คงหายไปพอสมควร
อันนี้เป็นกลุ่มหนึ่งที่ผมเริ่มต้น แต่เอาจริง ๆ ผมสนใจหุ้นกลุ่มอื่น ๆ มากกว่ามาก คือกลุ่ม New Economy business มันคือโลก Metrix ที่เสมือนโลกใบนี้ แต่อยู่ใน Cloud
ซึ่งมีหลากหลาย theme ทุก ๆ วันมีหุ้นให้ดูเยอะมาก สนุกมาก
ไม่สนุกอย่างเดียวคือ ถ้าเลือกผิดตัว ก็ตกรถยาว อันนี้ต้องทำใจให้ชิน เพราะหุ้นต่างประเทศไม่ใช่ตกรถ แต่เป็นตกจรวด
และทำให้เรารู้เลยว่า ตัวเราเองนั้นเล็กนิดเดียวเองในโลกการลงทุนใบนี้
ผมเร่งอ่านอยู่สองสามเดือน จนได้กระจายพอร์ตที่เปิดอยู่จนครบ เปิดพอร์ตเพิ่มลดความเสี่ยง ทุกวันนี้ก็ไม่ได้เร่งอะไรมากแล้ว แค่ทำอย่างสม่ำเสมอแบบที่เคยทำมาตลอด
อย่างที่บอกคือ มันไม่น่าเบื่อ มีอะไรให้รู้ตลอด ถ้าผมสามารถคุย oppday หรือ Company visit กับบริษัทพวกนี้ได้ น่าจะสนุกน่าดูทีเดียวครับ
แต่มันทำสิ่งนั้นไม่ได้ สิ่งที่ทดแทนได้คือคุยกับเพื่อนเก่ง ๆ แลกเปลี่ยนกัน อันที่จริง ผมสามารถคุย Line กับเซียนหลาย ๆ คนได้อยู่แล้ว แต่ผมคิดว่าอยากจะมาแชร์ คุยกันในนี้น่าจะมีคนกลุ่มใหญ่ได้ประโยชน์มากกว่า
ผมได้ต้นแบบจากอ.picatos คือ รู้สึกว่าเวลาให้ความรู้สร้างจิตที่กุศลให้ผมได้ และผมคิดว่าผมก็ได้ทบทวนความคิดตัวเองด้วย
platform นี้ ในสมัยที่ผมรับหน้าที่ ผมมีความตั้งใจอย่างยิ่งที่จะพัฒนาให้มันก้าวขึ้นไปอีกระดับหนึ่งครับ
เพราะนี่คือที่เกิด และนี่คือที่ทำให้ผมมีทุกวันนี้ได้
ผมเริ่มต้นครั้งนี้ด้วยโจทย์ที่ว่า อยากไปเริ่มลงทุนต่างประเทศ ดังนั้นคำถามแรกของผม คือ ไปประเทศไหนดี
ผมไม่อยากจะทำเหมือนเดิมคือไปปักธงเลยว่าต้องไปประเทศใดประเทศหนึ่ง โดยที่เราไม่ได้ดูทุกประเทศให้รอบคอบก่อน
ผมเริ่มจาก The Economist กวาดตาไปอ่านข้อมูลสถิติ รวมถึงภาพใหญ่ของแต่ละประเทศ
โดยอ่านข้อมูลฉบับเก่า ๆ บางทีผมก็ดูแค่ปก บางทีก็ไล่อ่านบทความ พยายามอ่าน Macroeconomics
และอ่าน "Trend" ธุรกิจ ซึ่งเดิมทีเราตามห่าง ๆ แต่คราวนี้เราจะลงสนามจริง
พอเริ่มได้ไอเดีย ก็เข้าไปดูหุ้นในแต่ละประเทศ ช่วงนั้นคัดเหลือประมาณ 10 ประเทศได้ ซึ่งพอลงรายละเอียดผมก็พบว่า
1. ภาพใหญ่ของแต่ละประเทศ รวมถึงหุ้นใหญ่ ๆ ก็เติบโตช้าลงมาก ไม่ต่างจากประเทศไทย เผลอ ๆ South East Asia ดูดีกว่าหลายภูมิภาคในภาพรวมด้วยซ้ำ
2. หุ้นขนาดใหญ่ของต่างประเทศก็มีลักษณะเดียวกันกับเรา คือเติบโตช้า valuation mutliple สูง outlook ไม่ดีหรือทรงตัว
3. หุ้นที่อยู่ใน criteria ผมมักจะมีขนาดกลางขนาดเล็ก ซึ่งพอลองหาข้อมูล รู้สึกว่าหายากมาก ติดตามยากเกินความสามารถผม
ทำไปทำมา หวยเลยออกตลาดหุ้นเดียว คือตลาดหุ้นอเมริกา แต่เอาจริง ๆ ใจผมอยากลงทุนตลาดจีน/ฮ่องกงมากกว่า แต่ก็คิดว่าถ้าจะเอาจีน ก็ลองเริ่มจากหุ้นจีนในอเมริกาก่อน
พอได้ตลาดหุ้นที่เป็นจุดเริ่มต้น ผมก็พยายามจะเลือกอุตสาหกรรม ผมเลยทบทวนแนวคิดของเทมเปอร์ตัน VI ที่ค่อนข้างประสบความสำเร็จในการลงทุนต่างประเทศ
เงื่อนไขแรกของผมคือ ขอหุ้นที่ได้รับผลกระทบรุนแรง โดยเฉพาะในด้านราคาหุ้น เราจะได้มีแต้มต่อจากความเสียเปรียบที่เราเข้าถึงข้อมูลแย่กว่า มีเครื่องมือน้อยกว่า
หุ้นกลุ่มแรกที่ผมค้น ๆ ขึ้นมาแน่นอน คือ เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว ซึ่งมีหุ้นที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ห้าถึงหกอุตสาหกรรมย่อย
หลังจากเลือก ๆ ระหว่างร้านอาหาร สวนสนุก โรงแรม เรือสำราญ สายการบิน ธุรกิจการบิน กลุ่มแรกที่ผมสนใจที่สุดคือ หุ้นกลุ่มเรือสำราญ เพราะว่าหุ้นตกลงกว่า 80% และผมเห็นตลาดกลัวมาก ๆ จากพาดหัวปก Business Week ช่วงมีค./เมษ.
หุ้นเรือสำราญ ถือว่าอันตรายที่สุด เพราะ Capital Intensive, Highly Leverage, Zero Cash Flow เรียกได้ว่าครบสามองค์ประกอบที่แย่ที่สุดในวิกฤต Covid19
การวิเคราะห์หุ้นกลุ่มนี้ ผมคิดแค่สองเรื่อง
1. Liquidity Risk สิ่งที่กลัวคือ ตลาดทุนตลาดเงินปิดตัว ถ้าเกิดเหตุการณ์นี้จบข่าว แต่ผมไปดูตัวเลขหลังจาก Unlimted QE พบว่า Junk bond/High yield bond yied gap ลดลงเร็วมาก และคิดว่าน่าจะลดลงต่อเนื่อง ซึ่งก็เห็นเทรนด์ว่าหุ้นกู้ขายได้ และผมคิดว่าธุรกิจเรือสำราญน่าจะมีคนเพิ่มทุนให้ มันเป็น luxury อย่างหนึ่ง โอกาสล้มน่าจะน้อยลงมาก
2. Ongoing Business คือการคาดการณ์ว่าธุรกิจจะ "กลับมา" ได้เร็วแค่ไหน ณ เวลานั้นคือการวิเคราะห์ Covid19 ผมก็คิดว่า 3 safety net ว่าถ้าโชคดี Covid19 หายไปแบบ SARS, หรืออาจจะค่อย ๆ หายไปแบบจีน, หรือวัคซีนจะเกิดขึ้นได้ ในเวลานั้นผมคิดว่าโอกาสที่จะเกิดอย่างใดอย่างหนึ่งในสามอย่างนี้น่าจะมีโอกาสเกิดขึ้นได้ไม่ยากนัก ผมคิดว่าวิกฤต Covid น่าจะบรรเทาลงไตรมาส 3
ผมก็เลือก ๆ ซื้อตาม valuation ซึ่ง multiple ธุรกิจแบบนี้ก็ใช้ไม่ต่างจากพวกวิเคราะห์หุ้นไทย เรียกว่าตำราใกล้ ๆ กัน
ผลลัพท์ที่เกิดขึ้น จริง ๆ ผมคิดถูกแค่ครึ่งนึง คือสถานการณ์ 1-2 นั้นเป็นไปตามคาด Covid19 ดีขึ้นตามลำดับ โดยเฉพาะยุโรปและสหรัฐอเมริกา หุ้นกู้ออกได้ ทุกอย่างดีขึ้นจนมีการคาดการณ์ว่าธุรกิจจะกลับมาได้ในช่วงปลายปี
หุ้นเหวี่ยงมาก ๆ ผมก็ดูแล้วค่อนข้างไม่ชิน ขนาดผมก็กระจายเป็นสัดส่วนที่ไม่มาก ยังเครียด
สุดท้ายไม่ถึงเดือนตลาดคิดแบบเดียวกับผม ราคาหุ้นวิ่งขึ้นไปหนึ่งเด้งอย่างรวดเร็ว ตรงข้ามกับสถานการณ์ Covid และมีอีกหลายเรื่องที่ผมไม่รู้แต่แรก คือเรือนี่ไม่สามารถจอดไว้เฉย ๆ ได้ ต้องวิ่งตลอดไม่งั้นระบบจะเสีย
รวมไปถึง Covid ในสหรัฐและประเทศอื่น ๆ แย่กว่าที่ผมคิดมาก โชคดีที่ผมตัดสินใจขายไปก่อน ก่อนหน้าตลาดก้าวนึง ไม่เช่นนั้นกำไรที่ได้คงหายไปพอสมควร
อันนี้เป็นกลุ่มหนึ่งที่ผมเริ่มต้น แต่เอาจริง ๆ ผมสนใจหุ้นกลุ่มอื่น ๆ มากกว่ามาก คือกลุ่ม New Economy business มันคือโลก Metrix ที่เสมือนโลกใบนี้ แต่อยู่ใน Cloud
ซึ่งมีหลากหลาย theme ทุก ๆ วันมีหุ้นให้ดูเยอะมาก สนุกมาก
ไม่สนุกอย่างเดียวคือ ถ้าเลือกผิดตัว ก็ตกรถยาว อันนี้ต้องทำใจให้ชิน เพราะหุ้นต่างประเทศไม่ใช่ตกรถ แต่เป็นตกจรวด
และทำให้เรารู้เลยว่า ตัวเราเองนั้นเล็กนิดเดียวเองในโลกการลงทุนใบนี้
ผมเร่งอ่านอยู่สองสามเดือน จนได้กระจายพอร์ตที่เปิดอยู่จนครบ เปิดพอร์ตเพิ่มลดความเสี่ยง ทุกวันนี้ก็ไม่ได้เร่งอะไรมากแล้ว แค่ทำอย่างสม่ำเสมอแบบที่เคยทำมาตลอด
อย่างที่บอกคือ มันไม่น่าเบื่อ มีอะไรให้รู้ตลอด ถ้าผมสามารถคุย oppday หรือ Company visit กับบริษัทพวกนี้ได้ น่าจะสนุกน่าดูทีเดียวครับ
แต่มันทำสิ่งนั้นไม่ได้ สิ่งที่ทดแทนได้คือคุยกับเพื่อนเก่ง ๆ แลกเปลี่ยนกัน อันที่จริง ผมสามารถคุย Line กับเซียนหลาย ๆ คนได้อยู่แล้ว แต่ผมคิดว่าอยากจะมาแชร์ คุยกันในนี้น่าจะมีคนกลุ่มใหญ่ได้ประโยชน์มากกว่า
ผมได้ต้นแบบจากอ.picatos คือ รู้สึกว่าเวลาให้ความรู้สร้างจิตที่กุศลให้ผมได้ และผมคิดว่าผมก็ได้ทบทวนความคิดตัวเองด้วย
platform นี้ ในสมัยที่ผมรับหน้าที่ ผมมีความตั้งใจอย่างยิ่งที่จะพัฒนาให้มันก้าวขึ้นไปอีกระดับหนึ่งครับ
เพราะนี่คือที่เกิด และนี่คือที่ทำให้ผมมีทุกวันนี้ได้
ก้าวช้า ๆ และเชื่อในปาฎิหารย์ของหุ้นเปลี่ยนชีวิต
There is no secret ingredient. It's just you.
There is no secret ingredient. It's just you.
- Linzhi
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1464
- ผู้ติดตาม: 1
Re: ทำไมเราต้องลงทุนหุ้นต่างประเทศ? มาแชร์กันครับ
โพสต์ที่ 41
ลีกาชิง ก็แบ่งไปลงทุนต่างประเทศ ได้ตีแตกไปเลยครับ
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
ก้าวช้า ๆ และเชื่อในปาฎิหารย์ของหุ้นเปลี่ยนชีวิต
There is no secret ingredient. It's just you.
There is no secret ingredient. It's just you.
- SawScofield
- Verified User
- โพสต์: 236
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ทำไมเราต้องลงทุนหุ้นต่างประเทศ? มาแชร์กันครับ
โพสต์ที่ 42
กลายเป็นกระทู้ทรงคุณค่าในยุคโควิดปีที่ 0 ไปเรียบร้อยครับ ขอบคุณอาจารย์ทุกท่านนะครับ
ไม่ได้เห็น log in ระดับตำนานมารวมตัวกันแบบนี้มานานแล้วครับ ^^
ไม่ได้เห็น log in ระดับตำนานมารวมตัวกันแบบนี้มานานแล้วครับ ^^
Respect, Persistence then Deserve
- picatos
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 3227
- ผู้ติดตาม: 4
Re: ทำไมเราต้องลงทุนหุ้นต่างประเทศ? มาแชร์กันครับ
โพสต์ที่ 43
พอเวลาผ่านมาแล้วมองย้อนกลับไป ทุกอย่างมันเหมือนว่าจะเข้าใจได้ทั้งหมด แต่ ณ เวลาในอดีต จังหวะนั้นเวลาข้อมูลที่เข้ามามากมายมหาศาลมักจะทำให้เราเมากับข้อมูล ซึ่งการที่เราจะตัดสินใจทำอะไรอย่างหนึ่ง เราจะเป็นต้องมีโมเดลของอนาคตอยู่ในหัวHighway_Star เขียน: ↑จันทร์ ส.ค. 17, 2020 7:32 pmรบกวนขยายความตรงนี้หน่อยได้ไหมครับพี่ picatos
ผมอยากทราบว่าพี่เห็น trend ตรงนี้จากอะไรบ้างครับ
สำหรับผม ผมจะสร้างโมเดลของสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตในหัวอยู่ตลอดเวลา ในหัวผมจะมีโมเดลเศรษฐกิจ โมเดลความสุข โมเดลการใช้ชีวิตของคน โมเดลธุรกิจ ฯลฯ ซึ่งเวลาผมอ่านอะไร ศึกษาอะไรแล้ว ผมจะมีเวลาให้กับการประมวลสิ่งต่างๆ สร้างเป็นโมเดลของโลกที่จะเกิดขึ้นใน 5 ปี 10 ปี 50 ปี ไปจนถึงระดับ 100 ปี
ณ ช่วงต้นปี 2018 มันเป็นการบรรจบกันของสิ่งที่เกิดขึ้นของความขัดแย้งกันทางการเมืองระหว่างประเทศ ทฤษฎีทางเศรษฐศาตร์ระหว่างประเทศ ภาพเศรษฐกิจของไทย และ Valuation หุ้นไทย เมื่อเทียบกับต่างประเทศ พอดิบพอดีกับจุดเปลี่ยนทางความสัมพันธ์ของผมกับผู้จัดการการลงทุนในไทยที่ผมใช้บริการ ทุกอย่างเมื่อประมวลออกมา จึงได้ข้อสรุปว่า ถึงเวลาที่จะล้างพอร์ตหุ้นไทยที่เหลือทั้งหมด และไปต่างประเทศจริงๆ โดยใช้บริการกับ Bank ต่างประเทศแบบแท้ๆ ที่เข้าถึงข้อมูลแบบฝรั่งจริงๆ
โลกในอดีตในช่วงปี 2003 ในสมัยที่ผมเริ่มลงทุน หุ้นมีราคาถูก คนสนใจลงทุนน้อย โลกในยุคนั้น เราเอาชนะกันแค่ว่าใครมีข้อมูลหรือไม่มีข้อมูล แค่คุณได้ไปประชุมผู้ถือหุ้น ไป Company Visit หรือได้ฟัง Oppday คุณนำมาวิเคราะห์นิดหน่อยคุณก็ได้ผลตอบแทนที่ดี
โลกในยุคหลังวิกฤต 2008 ทุกคนเข้าถึงข้อมูลหมด ราคาหุ้นมีราคาแพงขึ้น ใครมีความสามารถในวิเคราะห์ที่มากกว่า สามารถเปรียบเทียบกับเคสที่เกิดขึ้นในต่างประเทศได้ เห็นแนวโน้มก่อน คุณถึงจะได้ผลตอบแทนที่ดี
โลกในยุคปัจจุบันโลกหลังยุค Smart Phone Revolution สิ่งที่เกิดขึ้นที่หนึ่งในโลก ถูกแปรและวิเคราะห์อย่างรวดเร็ว รู้พร้อมๆ กันทั่วโลกในภาษาท้องถิ่นในเวลาไม่กี่ชั่วโมง ความจำเป็นที่คุณต้องมีโมเดลในหัว คิดสิ่งที่เกิดขึ้นล่วงหน้าคนอื่นไปอีกหลายๆ Step มีความเชื่อและศรัทธาในอะไรบางอย่าง มีเครื่องมือในการบริหารจัดการความเสี่ยงและหน้าตักที่ดี จะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้คุณได้ผลตอบแทนที่ปลอดภัย
ผมเชื่อว่าโลกในยุคนี้ Impact Investing เป็น Trend ในการลงทุนที่สำคัญมากๆ ที่คุณอยากจะนำหน้าเหนือคนอื่น คุณควรที่จะศึกษา และผมขอแนะนำหนังสือเริ่มนี้ให้อ่านกันครับ
Impact: Reshaping Capitalism to Drive Real Change
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เรากำลังทำอะไรอยู่?
-
- Verified User
- โพสต์: 167
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ทำไมเราต้องลงทุนหุ้นต่างประเทศ? มาแชร์กันครับ
โพสต์ที่ 44
Clip นี้ ดร.อาร์ม พูดหลายอย่างที่น่าสนใจ หนึ่งในนั้น เศรษฐกิจแบบตัว K คือ จะเกิดการแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดระหว่าง New Economy กับ Old Economy ซึ่งไทยเท่าที่เห็น ณ ขณะนี้ ยังไม่ค่อยเห็น New Economy เท่าไรครับ
- Linzhi
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1464
- ผู้ติดตาม: 1
Re: ทำไมเราต้องลงทุนหุ้นต่างประเทศ? มาแชร์กันครับ
โพสต์ที่ 45
ขอบคุณอาจารย์ตี่มากครับ สุดยอดตามเคย เดี๋ยวผมไปซื้อหามาอ่านครับ
ในส่วนการลงทุนต่างประเทศ 101
ส่วนที่สำคัญที่สุดในการเริ่มต้นการลงทุนต่างประเทศคือการวิเคราะห์ PESTLE Analysis ครับ
ผมกำลังพูดในสองเวทีหลัก ๆ คือ ของงานสมาคม ที่จะเปรียบเทียบ AOT กับหุ้นสนามบินอีกหลายสิบแห่งทั่วโลก ว่ามีมุมต่างกันอย่างไร
และงานของ Vietnam VI เรื่องการวิเคราะห์หุ้นจีน ว่าเราควรจะเข้าลงทุนอย่างไร ผมมีการคิดเฟรมความคิดยังไง
เดี๋ยวมาย่อ ๆ ให้ฟังตรงนี้หลังจบงานครับ
แต่ไปฟังเอง ได้เยอะกว่าแน่นอน ผมกั๊กไว้ exlcusive เผื่อคนซื้อบัตร อิอิ
ในส่วนการลงทุนต่างประเทศ 101
ส่วนที่สำคัญที่สุดในการเริ่มต้นการลงทุนต่างประเทศคือการวิเคราะห์ PESTLE Analysis ครับ
ผมกำลังพูดในสองเวทีหลัก ๆ คือ ของงานสมาคม ที่จะเปรียบเทียบ AOT กับหุ้นสนามบินอีกหลายสิบแห่งทั่วโลก ว่ามีมุมต่างกันอย่างไร
และงานของ Vietnam VI เรื่องการวิเคราะห์หุ้นจีน ว่าเราควรจะเข้าลงทุนอย่างไร ผมมีการคิดเฟรมความคิดยังไง
เดี๋ยวมาย่อ ๆ ให้ฟังตรงนี้หลังจบงานครับ
แต่ไปฟังเอง ได้เยอะกว่าแน่นอน ผมกั๊กไว้ exlcusive เผื่อคนซื้อบัตร อิอิ
ก้าวช้า ๆ และเชื่อในปาฎิหารย์ของหุ้นเปลี่ยนชีวิต
There is no secret ingredient. It's just you.
There is no secret ingredient. It's just you.
-
- Verified User
- โพสต์: 381
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ทำไมเราต้องลงทุนหุ้นต่างประเทศ? มาแชร์กันครับ
โพสต์ที่ 46
เป็นกระทู้ที่อ่านสนุกและได้ความรู้มาก
1.ผมเล่นหุ้นไทยมาสิบกว่าปี
ผมเชื่อว่าที่ผมอยู่รอด มีอิสรภาพทางการเงินระดับหนึ่ง
ไม่ต้องทํางานประจํา มีเงินปันผลพอเลี้ยงครอบครัว
เป็นเพราะผมเล่นเกมส์ที่ผมมีแต้มต่อ
เวลาใครรู้ว่าผมเล่นหุ้นมักจะมาชวนคุย
90%เป็นนักเก็งกําไร มีน้อยมากที่ศึกษาปัจจัยพื้นฐานหุ้นอย่างจริงจัง
2.หุ้นต่างประเทศดังๆที่ผมรู้จักเช่นamazon facebook netflix ฯลฯ
ผมจะมีแต้มต่ออะไรในเมื่อมีนักวิเคราะห์อาชีพติดตามตลอดเวลาเป็นร้อยเป็นพันคน
3.หุ้นไทยประมาณ600ตัว ผมใช้วิธีตัดทิ้งเป็นกลุ่มเช่นผมไม่เล่นอสังหา ผมไม่เล่นcommodities
เหลือหุ้นในโฟกัสไม่ถึง100ตัว ผมยังใช้เวลาเป็นสิบปีศึกษาติดตาม
หุ้นอเมริกา6พันกว่าตัว ผมจะไปเอาเวลาและความพยายามศึกษาค้นคว้ามาจากไหน
ตัวผมเองก็อยู่ในปัจฉิมวัยแล้ว
ผมคงขอใช้คันเบ็ดเล็กๆ เรือลําน้อย จับปลาแค่พอกินในตลาดหุ้นไทยต่อไป
ถึงแม้มันจะจับยากขึ้นและได้ปลาน้อยลงเรื่อยๆ
แต่เมื่อพิจารณาศักยภาพตัวเองแล้ว ถึงแม้มหาสมุทรจะมีปลาใหญ่ๆราคาแพงเยอะกว่า
แต่มันคงเกินเอื้อมสําหรับผม
1.ผมเล่นหุ้นไทยมาสิบกว่าปี
ผมเชื่อว่าที่ผมอยู่รอด มีอิสรภาพทางการเงินระดับหนึ่ง
ไม่ต้องทํางานประจํา มีเงินปันผลพอเลี้ยงครอบครัว
เป็นเพราะผมเล่นเกมส์ที่ผมมีแต้มต่อ
เวลาใครรู้ว่าผมเล่นหุ้นมักจะมาชวนคุย
90%เป็นนักเก็งกําไร มีน้อยมากที่ศึกษาปัจจัยพื้นฐานหุ้นอย่างจริงจัง
2.หุ้นต่างประเทศดังๆที่ผมรู้จักเช่นamazon facebook netflix ฯลฯ
ผมจะมีแต้มต่ออะไรในเมื่อมีนักวิเคราะห์อาชีพติดตามตลอดเวลาเป็นร้อยเป็นพันคน
3.หุ้นไทยประมาณ600ตัว ผมใช้วิธีตัดทิ้งเป็นกลุ่มเช่นผมไม่เล่นอสังหา ผมไม่เล่นcommodities
เหลือหุ้นในโฟกัสไม่ถึง100ตัว ผมยังใช้เวลาเป็นสิบปีศึกษาติดตาม
หุ้นอเมริกา6พันกว่าตัว ผมจะไปเอาเวลาและความพยายามศึกษาค้นคว้ามาจากไหน
ตัวผมเองก็อยู่ในปัจฉิมวัยแล้ว
ผมคงขอใช้คันเบ็ดเล็กๆ เรือลําน้อย จับปลาแค่พอกินในตลาดหุ้นไทยต่อไป
ถึงแม้มันจะจับยากขึ้นและได้ปลาน้อยลงเรื่อยๆ
แต่เมื่อพิจารณาศักยภาพตัวเองแล้ว ถึงแม้มหาสมุทรจะมีปลาใหญ่ๆราคาแพงเยอะกว่า
แต่มันคงเกินเอื้อมสําหรับผม
- picatos
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 3227
- ผู้ติดตาม: 4
Re: ทำไมเราต้องลงทุนหุ้นต่างประเทศ? มาแชร์กันครับ
โพสต์ที่ 47
โดยส่วนตัว ผมไปลงทุนต่างประเทศไม่ได้คิดว่าจะไปแข่งขันอะไรกับใคร ก็เลยไม่เคยคิดเรื่องแต้มต่อ หรือไปเปรียบเทียบความสามารถอะไรกับนักลงทุนคนอื่นdrsp เขียน: ↑อังคาร ต.ค. 13, 2020 9:43 pmเป็นกระทู้ที่อ่านสนุกและได้ความรู้มาก
1.ผมเล่นหุ้นไทยมาสิบกว่าปี
ผมเชื่อว่าที่ผมอยู่รอด มีอิสรภาพทางการเงินระดับหนึ่ง
ไม่ต้องทํางานประจํา มีเงินปันผลพอเลี้ยงครอบครัว
เป็นเพราะผมเล่นเกมส์ที่ผมมีแต้มต่อ
เวลาใครรู้ว่าผมเล่นหุ้นมักจะมาชวนคุย
90%เป็นนักเก็งกําไร มีน้อยมากที่ศึกษาปัจจัยพื้นฐานหุ้นอย่างจริงจัง
2.หุ้นต่างประเทศดังๆที่ผมรู้จักเช่นamazon facebook netflix ฯลฯ
ผมจะมีแต้มต่ออะไรในเมื่อมีนักวิเคราะห์อาชีพติดตามตลอดเวลาเป็นร้อยเป็นพันคน
3.หุ้นไทยประมาณ600ตัว ผมใช้วิธีตัดทิ้งเป็นกลุ่มเช่นผมไม่เล่นอสังหา ผมไม่เล่นcommodities
เหลือหุ้นในโฟกัสไม่ถึง100ตัว ผมยังใช้เวลาเป็นสิบปีศึกษาติดตาม
หุ้นอเมริกา6พันกว่าตัว ผมจะไปเอาเวลาและความพยายามศึกษาค้นคว้ามาจากไหน
ตัวผมเองก็อยู่ในปัจฉิมวัยแล้ว
ผมคงขอใช้คันเบ็ดเล็กๆ เรือลําน้อย จับปลาแค่พอกินในตลาดหุ้นไทยต่อไป
ถึงแม้มันจะจับยากขึ้นและได้ปลาน้อยลงเรื่อยๆ
แต่เมื่อพิจารณาศักยภาพตัวเองแล้ว ถึงแม้มหาสมุทรจะมีปลาใหญ่ๆราคาแพงเยอะกว่า
แต่มันคงเกินเอื้อมสําหรับผม
ผมมองการถือหุ้นในมุมของเจ้าของกิจการ ว่าเราไปเป็นพาร์ทเนอร์กับเค้ามากกว่า ดังนั้นเวลาผมเห็นกิจการดีๆ เจ๋งๆ ที่ทีมงานมุ่งมั่นที่จะทำสิ่งดีๆ ให้กับลูกค้าตลอดจนผู้มีส่วนได้เสีย ผมรู้สึกว่าอยากร่วมเป็นส่วนหนึ่งด้วย ผมตื่นเต้นทุกครั้งที่ได้เห็นแนวคิดตลอดจนการลงมือกระทำในกิจการเจ๋งๆ ที่เราคิดไม่ถึง สนุกที่ได้เรียนรู้ และเลิกคิดเรื่องแพ้ชนะมานานแล้ว ผมไม่คิดแม้กระทั่งผมแพ้หรือชนะตลาดอะไร
ผมเชื่อแบบเดียวกับ Simon Sinek ว่าเกมส์การลงทุนมันเป็น infinite game ซึ่งการจะไปคิดเรื่องแพ้ชนะสุดท้ายแล้ว มันเหนื่อยและจะทำให้ตัวเราเองเมื่อพลาดจะกลายเป็นคนที่ drop out ออกไปจากเกมส์ ในการเล่น infinite game เราจะมองไปยาวๆ มี just cause ของเรา ที่จะทำให้เรามีแรงบันดาลใจที่จะเรียนเกมส์ไปได้ยาวๆ อย่างมีความสุข ภายใต้ขอบเขตของเวลาที่ไม่จำกัด
ผมก็แค่อยากจะได้เป็นส่วนหนึ่งของกิจการดีๆ เดินทางร่วมไปกับทีมงาน
ไปเรื่อยๆ ตราบเท่าที่เหตุปัจจัยจะเอื้ออำนวย มีความสุขได้ทุกครั้งเมื่อได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ ที่กิจการทำ
เมื่อคิดแบบนี้แล้ว การที่มีหุ้นจำนวนมากมายมหาศาลให้เลือก จะเหมือนเรามีหนังสือจำนวนมากให้เลือกหนังสือสนุกๆ ที่เราสนใจเปิดขึ้นมาอ่าน มีหนังสือให้เลือกอ่านเยอะๆ ย่อมดีกว่ามีน้อยๆ ว่างเมื่อไร ก็เลือกหนังสือดีๆ สนุกๆ มาอ่าน ถ้าไม่ว่าง ไม่สะดวกก็ไม่ต้องอ่าน
ก่อนหน้านี้ที่บอกว่าผมหลงทางอยู่เหมือนกันในการลงทุนต่างประเทศ ผมไม่ได้บอกนะครับว่าผมไม่มีความสุข ผมตั้งใจกระโจนลงไปในน้ำ เอาตัวเข้าไปอยู่กลางป่า ก็เพราะว่า ผมชอบ ผมมีความสุขกับการได้อยู่ท่ามกลางธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ ที่เรียกว่าการลงทุน
เอาเข้าจริงๆ ผมลัพธ์จากการลงทุนที่เกิดขึ้น เวลาเราไม่คิดที่จะไปแข่งอะไรกับใคร ก็ถือว่าโอเค ไม่ได้ขี้เหร่อะไร พอมีพอกิน พอใช้ชีวิตอยู่ได้ หากเราลงทุนในกิจการดีๆ ในราคาที่เหมาะสม
ส่วนก่อนหน้าที่เขียนเรื่องการแข่งขันและคู่แข่งในระดับโลก คือ โลกแห่งความเป็นจริง คนโดยส่วนใหญ่เค้าก็แข่งกันแหละ คนระดับโลกเค้าก็เจ๋งจริงๆ แหละ ถ้าคิดจะไปแข่งอะไรกับเค้า และสิ่งที่น่ากลัวกับนักลงทุนที่ออกไปลงทุนต่างประเทศใหม่ๆ ในตลาดฟองสบู่ คือ Dunning-Kruger effect ซึ่งมันจะทำให้คนที่ออกไปลงทุนต่างประเทศใหม่ๆ อาจจะประมาทเกินจริง คิดว่าตัวเองเก่งเกินจริง ผมเลยต้องเขียนเสือให้วัวกลัว บรรยายขีดความสามารถของระดับโลกให้เพื่อนๆ ระมัดระวัง ไม่ประมาทสักนิดหนึ่ง
แต่ถ้าเราออกไปต่างประเทศด้วยมุมมองว่าไม่ได้จะไปแข่งขัน ไม่ได้จะไปเอาชนะอะไรกับใคร แค่สนุกกับการได้เรียนรู้ สนุกกับการลงทุน สนุกกว่าการได้เห็นอะไรใหม่ๆ อะไรเจ๋งๆ สนุกกับการที่ได้เรียนรู้ว่าตัวเราช่างเล็กขนาดไหนกัน ทุกๆ วันของการได้เรียนรู้ที่จะหลงอยู่กลางป่า จะเป็นวันที่มีความหมายกับคุณ
เพราะ สิ่งที่คุณคิดจะไม่ได้เรื่องที่จะพุ่งไปสู่เป้าหมายที่จะออกจากป่า แต่จะเป็นเรียนการกิน การอยู่ ที่จะเอาตัวรอด ที่จะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในป่า ท่ามกลางธรรมชาติแห่งการลงทุนที่ยิ่งใหญ่ไปกว่าตัวเรา
มันเป็นการผจญภัยที่สนุกแน่ๆ สำหรับนักผจญภัย
และ มันก็เป็นสงครามที่เลือดสาดและเหนื่อยแน่ๆ แม้แต่กับนักรบที่ชนะสงครามครั้งนี้ เพราะ ยังมีสงครามไม่รู้จบรออยู่ในอนาคต
วันคืนล่วงไปๆ บัดนี้เรากำลังทำอะไรอยู่?
-
- Verified User
- โพสต์: 167
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ทำไมเราต้องลงทุนหุ้นต่างประเทศ? มาแชร์กันครับ
โพสต์ที่ 48
ขอบคุณมากๆ สำหรับความเห็นดีๆครับpicatos เขียน: ↑พุธ ต.ค. 14, 2020 2:27 amโดยส่วนตัว ผมไปลงทุนต่างประเทศไม่ได้คิดว่าจะไปแข่งขันอะไรกับใคร ก็เลยไม่เคยคิดเรื่องแต้มต่อ หรือไปเปรียบเทียบความสามารถอะไรกับนักลงทุนคนอื่น
ผมมองการถือหุ้นในมุมของเจ้าของกิจการ ว่าเราไปเป็นพาร์ทเนอร์กับเค้ามากกว่า ดังนั้นเวลาผมเห็นกิจการดีๆ เจ๋งๆ ที่ทีมงานมุ่งมั่นที่จะทำสิ่งดีๆ ให้กับลูกค้าตลอดจนผู้มีส่วนได้เสีย ผมรู้สึกว่าอยากร่วมเป็นส่วนหนึ่งด้วย ผมตื่นเต้นทุกครั้งที่ได้เห็นแนวคิดตลอดจนการลงมือกระทำในกิจการเจ๋งๆ ที่เราคิดไม่ถึง สนุกที่ได้เรียนรู้ และเลิกคิดเรื่องแพ้ชนะมานานแล้ว ผมไม่คิดแม้กระทั่งผมแพ้หรือชนะตลาดอะไร
ผมเชื่อแบบเดียวกับ Simon Sinek ว่าเกมส์การลงทุนมันเป็น infinite game ซึ่งการจะไปคิดเรื่องแพ้ชนะสุดท้ายแล้ว มันเหนื่อยและจะทำให้ตัวเราเองเมื่อพลาดจะกลายเป็นคนที่ drop out ออกไปจากเกมส์ ในการเล่น infinite game เราจะมองไปยาวๆ มี just cause ของเรา ที่จะทำให้เรามีแรงบันดาลใจที่จะเรียนเกมส์ไปได้ยาวๆ อย่างมีความสุข ภายใต้ขอบเขตของเวลาที่ไม่จำกัด
ผมก็แค่อยากจะได้เป็นส่วนหนึ่งของกิจการดีๆ เดินทางร่วมไปกับทีมงาน
ไปเรื่อยๆ ตราบเท่าที่เหตุปัจจัยจะเอื้ออำนวย มีความสุขได้ทุกครั้งเมื่อได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ ที่กิจการทำ
เมื่อคิดแบบนี้แล้ว การที่มีหุ้นจำนวนมากมายมหาศาลให้เลือก จะเหมือนเรามีหนังสือจำนวนมากให้เลือกหนังสือสนุกๆ ที่เราสนใจเปิดขึ้นมาอ่าน มีหนังสือให้เลือกอ่านเยอะๆ ย่อมดีกว่ามีน้อยๆ ว่างเมื่อไร ก็เลือกหนังสือดีๆ สนุกๆ มาอ่าน ถ้าไม่ว่าง ไม่สะดวกก็ไม่ต้องอ่าน
ก่อนหน้านี้ที่บอกว่าผมหลงทางอยู่เหมือนกันในการลงทุนต่างประเทศ ผมไม่ได้บอกนะครับว่าผมไม่มีความสุข ผมตั้งใจกระโจนลงไปในน้ำ เอาตัวเข้าไปอยู่กลางป่า ก็เพราะว่า ผมชอบ ผมมีความสุขกับการได้อยู่ท่ามกลางธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ ที่เรียกว่าการลงทุน
เอาเข้าจริงๆ ผมลัพธ์จากการลงทุนที่เกิดขึ้น เวลาเราไม่คิดที่จะไปแข่งอะไรกับใคร ก็ถือว่าโอเค ไม่ได้ขี้เหร่อะไร พอมีพอกิน พอใช้ชีวิตอยู่ได้ หากเราลงทุนในกิจการดีๆ ในราคาที่เหมาะสม
ส่วนก่อนหน้าที่เขียนเรื่องการแข่งขันและคู่แข่งในระดับโลก คือ โลกแห่งความเป็นจริง คนโดยส่วนใหญ่เค้าก็แข่งกันแหละ คนระดับโลกเค้าก็เจ๋งจริงๆ แหละ ถ้าคิดจะไปแข่งอะไรกับเค้า และสิ่งที่น่ากลัวกับนักลงทุนที่ออกไปลงทุนต่างประเทศใหม่ๆ ในตลาดฟองสบู่ คือ Dunning-Kruger effect ซึ่งมันจะทำให้คนที่ออกไปลงทุนต่างประเทศใหม่ๆ อาจจะประมาทเกินจริง คิดว่าตัวเองเก่งเกินจริง ผมเลยต้องเขียนเสือให้วัวกลัว บรรยายขีดความสามารถของระดับโลกให้เพื่อนๆ ระมัดระวัง ไม่ประมาทสักนิดหนึ่ง
แต่ถ้าเราออกไปต่างประเทศด้วยมุมมองว่าไม่ได้จะไปแข่งขัน ไม่ได้จะไปเอาชนะอะไรกับใคร แค่สนุกกับการได้เรียนรู้ สนุกกับการลงทุน สนุกกว่าการได้เห็นอะไรใหม่ๆ อะไรเจ๋งๆ สนุกกับการที่ได้เรียนรู้ว่าตัวเราช่างเล็กขนาดไหนกัน ทุกๆ วันของการได้เรียนรู้ที่จะหลงอยู่กลางป่า จะเป็นวันที่มีความหมายกับคุณ
เพราะ สิ่งที่คุณคิดจะไม่ได้เรื่องที่จะพุ่งไปสู่เป้าหมายที่จะออกจากป่า แต่จะเป็นเรียนการกิน การอยู่ ที่จะเอาตัวรอด ที่จะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในป่า ท่ามกลางธรรมชาติแห่งการลงทุนที่ยิ่งใหญ่ไปกว่าตัวเรา
มันเป็นการผจญภัยที่สนุกแน่ๆ สำหรับนักผจญภัย
และ มันก็เป็นสงครามที่เลือดสาดและเหนื่อยแน่ๆ แม้แต่กับนักรบที่ชนะสงครามครั้งนี้ เพราะ ยังมีสงครามไม่รู้จบรออยู่ในอนาคต
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 42
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ทำไมเราต้องลงทุนหุ้นต่างประเทศ? มาแชร์กันครับ
โพสต์ที่ 49
ขอบคุณสำหรับประสบการณ์ดีๆที่นำมาแบ่งปันนะครับ ช่วยเตือนทางอ้อมให้ระมัดระวัง การออกท่องโลกกว้าง.🪂picatos เขียน: ↑พุธ ต.ค. 14, 2020 2:27 amโดยส่วนตัว ผมไปลงทุนต่างประเทศไม่ได้คิดว่าจะไปแข่งขันอะไรกับใคร ก็เลยไม่เคยคิดเรื่องแต้มต่อ หรือไปเปรียบเทียบความสามารถอะไรกับนักลงทุนคนอื่น
ผมมองการถือหุ้นในมุมของเจ้าของกิจการ ว่าเราไปเป็นพาร์ทเนอร์กับเค้ามากกว่า ดังนั้นเวลาผมเห็นกิจการดีๆ เจ๋งๆ ที่ทีมงานมุ่งมั่นที่จะทำสิ่งดีๆ ให้กับลูกค้าตลอดจนผู้มีส่วนได้เสีย ผมรู้สึกว่าอยากร่วมเป็นส่วนหนึ่งด้วย ผมตื่นเต้นทุกครั้งที่ได้เห็นแนวคิดตลอดจนการลงมือกระทำในกิจการเจ๋งๆ ที่เราคิดไม่ถึง สนุกที่ได้เรียนรู้ และเลิกคิดเรื่องแพ้ชนะมานานแล้ว ผมไม่คิดแม้กระทั่งผมแพ้หรือชนะตลาดอะไร
ผมเชื่อแบบเดียวกับ Simon Sinek ว่าเกมส์การลงทุนมันเป็น infinite game ซึ่งการจะไปคิดเรื่องแพ้ชนะสุดท้ายแล้ว มันเหนื่อยและจะทำให้ตัวเราเองเมื่อพลาดจะกลายเป็นคนที่ drop out ออกไปจากเกมส์ ในการเล่น infinite game เราจะมองไปยาวๆ มี just cause ของเรา ที่จะทำให้เรามีแรงบันดาลใจที่จะเรียนเกมส์ไปได้ยาวๆ อย่างมีความสุข ภายใต้ขอบเขตของเวลาที่ไม่จำกัด
ผมก็แค่อยากจะได้เป็นส่วนหนึ่งของกิจการดีๆ เดินทางร่วมไปกับทีมงาน
ไปเรื่อยๆ ตราบเท่าที่เหตุปัจจัยจะเอื้ออำนวย มีความสุขได้ทุกครั้งเมื่อได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ ที่กิจการทำ
เมื่อคิดแบบนี้แล้ว การที่มีหุ้นจำนวนมากมายมหาศาลให้เลือก จะเหมือนเรามีหนังสือจำนวนมากให้เลือกหนังสือสนุกๆ ที่เราสนใจเปิดขึ้นมาอ่าน มีหนังสือให้เลือกอ่านเยอะๆ ย่อมดีกว่ามีน้อยๆ ว่างเมื่อไร ก็เลือกหนังสือดีๆ สนุกๆ มาอ่าน ถ้าไม่ว่าง ไม่สะดวกก็ไม่ต้องอ่าน
ก่อนหน้านี้ที่บอกว่าผมหลงทางอยู่เหมือนกันในการลงทุนต่างประเทศ ผมไม่ได้บอกนะครับว่าผมไม่มีความสุข ผมตั้งใจกระโจนลงไปในน้ำ เอาตัวเข้าไปอยู่กลางป่า ก็เพราะว่า ผมชอบ ผมมีความสุขกับการได้อยู่ท่ามกลางธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ ที่เรียกว่าการลงทุน
เอาเข้าจริงๆ ผมลัพธ์จากการลงทุนที่เกิดขึ้น เวลาเราไม่คิดที่จะไปแข่งอะไรกับใคร ก็ถือว่าโอเค ไม่ได้ขี้เหร่อะไร พอมีพอกิน พอใช้ชีวิตอยู่ได้ หากเราลงทุนในกิจการดีๆ ในราคาที่เหมาะสม
ส่วนก่อนหน้าที่เขียนเรื่องการแข่งขันและคู่แข่งในระดับโลก คือ โลกแห่งความเป็นจริง คนโดยส่วนใหญ่เค้าก็แข่งกันแหละ คนระดับโลกเค้าก็เจ๋งจริงๆ แหละ ถ้าคิดจะไปแข่งอะไรกับเค้า และสิ่งที่น่ากลัวกับนักลงทุนที่ออกไปลงทุนต่างประเทศใหม่ๆ ในตลาดฟองสบู่ คือ Dunning-Kruger effect ซึ่งมันจะทำให้คนที่ออกไปลงทุนต่างประเทศใหม่ๆ อาจจะประมาทเกินจริง คิดว่าตัวเองเก่งเกินจริง ผมเลยต้องเขียนเสือให้วัวกลัว บรรยายขีดความสามารถของระดับโลกให้เพื่อนๆ ระมัดระวัง ไม่ประมาทสักนิดหนึ่ง
แต่ถ้าเราออกไปต่างประเทศด้วยมุมมองว่าไม่ได้จะไปแข่งขัน ไม่ได้จะไปเอาชนะอะไรกับใคร แค่สนุกกับการได้เรียนรู้ สนุกกับการลงทุน สนุกกว่าการได้เห็นอะไรใหม่ๆ อะไรเจ๋งๆ สนุกกับการที่ได้เรียนรู้ว่าตัวเราช่างเล็กขนาดไหนกัน ทุกๆ วันของการได้เรียนรู้ที่จะหลงอยู่กลางป่า จะเป็นวันที่มีความหมายกับคุณ
เพราะ สิ่งที่คุณคิดจะไม่ได้เรื่องที่จะพุ่งไปสู่เป้าหมายที่จะออกจากป่า แต่จะเป็นเรียนการกิน การอยู่ ที่จะเอาตัวรอด ที่จะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในป่า ท่ามกลางธรรมชาติแห่งการลงทุนที่ยิ่งใหญ่ไปกว่าตัวเรา
มันเป็นการผจญภัยที่สนุกแน่ๆ สำหรับนักผจญภัย
และ มันก็เป็นสงครามที่เลือดสาดและเหนื่อยแน่ๆ แม้แต่กับนักรบที่ชนะสงครามครั้งนี้ เพราะ ยังมีสงครามไม่รู้จบรออยู่ในอนาคต
-
- Verified User
- โพสต์: 381
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ทำไมเราต้องลงทุนหุ้นต่างประเทศ? มาแชร์กันครับ
โพสต์ที่ 50
และ มันก็เป็นสงครามที่เลือดสาดและเหนื่อยแน่ๆ แม้แต่กับนักรบที่ชนะสงครามครั้งนี้ เพราะ ยังมีสงครามไม่รู้จบรออยู่ในอนาคต
[/quote]
เห็นเซียนในตํานานทั้งหลายมาโพสท์กระทู้นี้แล้วชุ่มชื่นหัวใจบอกไม่ถูก
นึกถึงวันคืนที่เวปนี้เต็มไปด้วยเซียนหนุ่มต่างแสวงหาความรู้และความรํ่ารวย
กระทู้ปะทะสังสรรค์มีแทบทุกวัน
เซียนเกือบทั้งหมดพอรวยแล้วเริ่มปลีกวิเวกไม่โพสท์ไม่ตอบกระทู้
หลายๆคนรวมทั้งผมโหยหาวันคืนเก่าๆ
คุณpicatosสรุปได้ดีที่สุดในประโยคเดียว
ตลาดหุ้นต่างประเทศเหมาะสําหรับนักลงทุนwarriors
ที่ตลาดไทยไม่เป็นที่ท้าทายอีกต่อไปแล้ว
สําหรับคนแก่หมดไฟอย่างผม
นึกถึงคําของMungerที่ว่า
"ผมแค่อยากรู้ว่าผมจะตายที่ไหน
แล้วผมจะไม่ไปที่นั่นเลยตลอดชีวิต"
[/quote]
เห็นเซียนในตํานานทั้งหลายมาโพสท์กระทู้นี้แล้วชุ่มชื่นหัวใจบอกไม่ถูก
นึกถึงวันคืนที่เวปนี้เต็มไปด้วยเซียนหนุ่มต่างแสวงหาความรู้และความรํ่ารวย
กระทู้ปะทะสังสรรค์มีแทบทุกวัน
เซียนเกือบทั้งหมดพอรวยแล้วเริ่มปลีกวิเวกไม่โพสท์ไม่ตอบกระทู้
หลายๆคนรวมทั้งผมโหยหาวันคืนเก่าๆ
คุณpicatosสรุปได้ดีที่สุดในประโยคเดียว
ตลาดหุ้นต่างประเทศเหมาะสําหรับนักลงทุนwarriors
ที่ตลาดไทยไม่เป็นที่ท้าทายอีกต่อไปแล้ว
สําหรับคนแก่หมดไฟอย่างผม
นึกถึงคําของMungerที่ว่า
"ผมแค่อยากรู้ว่าผมจะตายที่ไหน
แล้วผมจะไม่ไปที่นั่นเลยตลอดชีวิต"
-
- Verified User
- โพสต์: 55
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ทำไมเราต้องลงทุนหุ้นต่างประเทศ? มาแชร์กันครับ
โพสต์ที่ 51
(1) Going abroad opens us to new opportunities, like Columbus and his crews, King Narai, and HM King Rama V.
(2) Thai stocks are overvalued and many people are trying to get the "limited resources", like most IPOs (which many retails couldn't get one) that went up violently. So, I need to find new place to invest. Well, I couldn't possibly say that remarks (like someone), because if you weren't trying hard enough you won't find one that have good prospects and fairly priced in SET. There are definitely more than five, hidden out from speculators who enjoy fast cap gain. Going abroad will increase the domain of stocks, hence you have more opportunities (statistically) to find more, apart from those in SET.
(3) I used to hate (for some unknown reasons) US tech stock, now I start to question myself "why do I hate it?" -> this leads me to explore new valuation techniques (thanks, @picatos), and will definitely help expand my knowledge. Be unbiased! There are good & bad tech stocks, there are good & bad value stocks out there.
(4) Because, it's harder! Some information that is harder to get may prevent some other investors to reach for apart from interested parties in that particular country.
IMPORTANT REMARKS:
(1) As a former engineering student, I believe in equilibrium. Every gain there's loss and every loss there's gain. If something goes too much it must back down. Lynch once said about cocktail party (example, don't guarantee). If a good method is found and published, many people will use it and its effectiveness will get poorer as market pattern changes according to this activity.
(2) Know your limits: don't invest in what you don't know, don't buy/sell without a good thoughtful reason, and it's good that you know that you don't know something
(2) Thai stocks are overvalued and many people are trying to get the "limited resources", like most IPOs (which many retails couldn't get one) that went up violently. So, I need to find new place to invest. Well, I couldn't possibly say that remarks (like someone), because if you weren't trying hard enough you won't find one that have good prospects and fairly priced in SET. There are definitely more than five, hidden out from speculators who enjoy fast cap gain. Going abroad will increase the domain of stocks, hence you have more opportunities (statistically) to find more, apart from those in SET.
(3) I used to hate (for some unknown reasons) US tech stock, now I start to question myself "why do I hate it?" -> this leads me to explore new valuation techniques (thanks, @picatos), and will definitely help expand my knowledge. Be unbiased! There are good & bad tech stocks, there are good & bad value stocks out there.
(4) Because, it's harder! Some information that is harder to get may prevent some other investors to reach for apart from interested parties in that particular country.
IMPORTANT REMARKS:
(1) As a former engineering student, I believe in equilibrium. Every gain there's loss and every loss there's gain. If something goes too much it must back down. Lynch once said about cocktail party (example, don't guarantee). If a good method is found and published, many people will use it and its effectiveness will get poorer as market pattern changes according to this activity.
(2) Know your limits: don't invest in what you don't know, don't buy/sell without a good thoughtful reason, and it's good that you know that you don't know something
-
- Verified User
- โพสต์: 1255
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ทำไมเราต้องลงทุนหุ้นต่างประเทศ? มาแชร์กันครับ
โพสต์ที่ 52
ผมลงทุนใน HK เพราะแสวงหาโอกาสในการลงทุนครับ
* เราจะพบหุ้นที่มีธรรมภิบาลสูง การเติบโตสูงในระดับ 100% ต่อปี มากกว่า 5 ปี เป็นธุรกิจแบบใหม่ที่เราไม่เคยเห็นในไทย
* หุ้นในตำรา peter lynch มีหมด เราพูดถึงหุ้นโตช้าคือโต 10กว่า% แต่ในไทยเราตื่นเต้น ใน HK ไม่ได้ตื่นเต้นเลย รวมถึงหุ้นที่มีเงินสดอิสระมากกว่า market cap. 2 เท่า(ตอนผมดูงบ ตอนนี้หุ้นขึ้นมา 100%) และปันผลพิเศษสูงมากเมื่อเทียบกับราคาหุ้น ...
* ผมลงทุนผมก็ใช้หลักการในการลงทุนเหมือนที่ทำในไทย ผมดูหุ้นเกือบทั้งตลาด ผลประกอบการผ่านตาผมมากกว่า 2,000 ตัวใน HK ผมจึงพอเข้าใจว่าธุรกิจกลุ่มใดโตสูงและต่อเนื่องมา 10 ปี บริษัทยาหลายตัวโตระดับ 20% ต่อเนื่อง, บริษัทรับทำ R&D ยาโต 100%(กลุ่ม biological drug) , พวกทำยาหมดสิทธิบัตรกลุ่ม biosimilar ก็โตพอควรเหมือนกัน, อสังหากำลังโตแรง พ่วงด้วยวัสดุก่อสร้างเช่น cement ที่โตตาม , ไฟฟ้ากำลังเปลี่ยนถ่ายจาก coal-fired เป็น renewable หุ้นกำไรโตเร็วมาก โดยเฉพาะปี 2019-2020 ซึ่งจะเปลี่ยนไปในปีถัดไปเมื่อนโยบายรัฐเปลี่ยนไป บางบริษัทมีโครงการเพิ่มกำลังการผลิต 4 เท่า ในขณะที่ pe ณ ตอนนี้แค่ 5-6 เท่า ปันผล 8%
ผู้ผลิต Gear Box สำหรับ wind turbine ซื้อบริษัทแม่ถูกแบบเหมือนได้ฟรี(จริงๆ) แต่goldwind นั้นดูเหมือนว่า margin จะบางไปเมื่อเทียบกับผู้ผลติ solar cell, infrastructure รถไฟความเร็วสูง ทางด่วน เติบโตได้แต่ pe แค่ 4-5 เท่ามีให้เห็น, หุ้นการศึกษาโตเร็วมาก โตเกือบทุกบริษัท(ไก่งวงบินได้เมื่อพายุมา?), ธุรกิจสิ่งแวดล้อมเช่น waste-to-energy, waste treatment,water treatment water supply โตไว pe 3-5 เท่าปันผลเพิ่ม 10 ปีต่อเนื่อง สัญญาธุรกิจพวกนี้เป็นแบบ PPP ชนิด BOT, TOT, BTO หรืออะไรก็แล้วแต่ ส่วนใหญ่มีสัญญาระยะยาว 20-50 ปี
, ผู้ผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์โตไวมากในช่วง 5-10 ปีที่ผ่านมา หุ้นที่ผมซื้อขยับเพิ่ม 100% ภายใน 3 สัปดาห์ แต่ราคาก็ยังไม่ได้แพงมาก ....
* คุณไม่จำเป็นต้องลงทุนใน new economy ก็ทำกำไรได้เป็นกอบเป็นกำ และลงทุนได้อีก 10 ปีอย่างสบายใจ
* หุ้นบางตัวเช่นบริษัทผลิต acid battery เติบโตระดับ 50% มีp/e 5.5 เท่า และใน q1/2021 ก็โตได้อีก 40% โดย h1/20 ไม่ได้มีฐานต่ำเพราะโตจาก h1/19 40% และเข้าสู่ lithium batt และ new material มาซักพักแล้ว และกำลังขยายกิจการเพิ่ม..... ผมมองว่าการผลิต lithium batt มันไม่ได้ยากมาก ต่อไปอาจจะลำบากคู่แข่งมาก
* บริษัท ev vehicle บางบริษัทยังไม่ได้ขายรถเลย market cap ขนาดใหญ่มาก, แต่ผมพบว่าบางบริษัท(บ.ใน Germany)ทำ ev car เริ่มขาย(รุ่นที่่ผลิตในจีน)ในปลายปี 2020 ลงทุนทำในจีนและขายทั่วโลกมีราคาถูก เงินสดมากเมื่อเทียบ market cap. เริ่มทำ ev car ก็มีเกือบมี economy of scale ทันทีเพราะใช้ชิ้นส่วนหลายรายการเหมือนรถ ICE ไม่ต้องรอแบบรถไฟฟ้ารายอื่น ทำให้บริบทเรื่องของการขาดทุนยาวก่อนมีกำไรไม่เกิดขึ้นเหมือน tesla แต่ผมมองว่าการแข่งขันมันจะรุนแรงมากในอนาคต
การลงทุนในตปท.มันมีโอกาสมากจริงๆ ผมไม่ได้เข้าร้อยคนร้อยหุ้นไทยมานาน
ใครลังเลก็ไปศึกษาก่อนได้เลยครับ แล้วจะรู้ว่าน่าสนใจมาก
* เราจะพบหุ้นที่มีธรรมภิบาลสูง การเติบโตสูงในระดับ 100% ต่อปี มากกว่า 5 ปี เป็นธุรกิจแบบใหม่ที่เราไม่เคยเห็นในไทย
* หุ้นในตำรา peter lynch มีหมด เราพูดถึงหุ้นโตช้าคือโต 10กว่า% แต่ในไทยเราตื่นเต้น ใน HK ไม่ได้ตื่นเต้นเลย รวมถึงหุ้นที่มีเงินสดอิสระมากกว่า market cap. 2 เท่า(ตอนผมดูงบ ตอนนี้หุ้นขึ้นมา 100%) และปันผลพิเศษสูงมากเมื่อเทียบกับราคาหุ้น ...
* ผมลงทุนผมก็ใช้หลักการในการลงทุนเหมือนที่ทำในไทย ผมดูหุ้นเกือบทั้งตลาด ผลประกอบการผ่านตาผมมากกว่า 2,000 ตัวใน HK ผมจึงพอเข้าใจว่าธุรกิจกลุ่มใดโตสูงและต่อเนื่องมา 10 ปี บริษัทยาหลายตัวโตระดับ 20% ต่อเนื่อง, บริษัทรับทำ R&D ยาโต 100%(กลุ่ม biological drug) , พวกทำยาหมดสิทธิบัตรกลุ่ม biosimilar ก็โตพอควรเหมือนกัน, อสังหากำลังโตแรง พ่วงด้วยวัสดุก่อสร้างเช่น cement ที่โตตาม , ไฟฟ้ากำลังเปลี่ยนถ่ายจาก coal-fired เป็น renewable หุ้นกำไรโตเร็วมาก โดยเฉพาะปี 2019-2020 ซึ่งจะเปลี่ยนไปในปีถัดไปเมื่อนโยบายรัฐเปลี่ยนไป บางบริษัทมีโครงการเพิ่มกำลังการผลิต 4 เท่า ในขณะที่ pe ณ ตอนนี้แค่ 5-6 เท่า ปันผล 8%
ผู้ผลิต Gear Box สำหรับ wind turbine ซื้อบริษัทแม่ถูกแบบเหมือนได้ฟรี(จริงๆ) แต่goldwind นั้นดูเหมือนว่า margin จะบางไปเมื่อเทียบกับผู้ผลติ solar cell, infrastructure รถไฟความเร็วสูง ทางด่วน เติบโตได้แต่ pe แค่ 4-5 เท่ามีให้เห็น, หุ้นการศึกษาโตเร็วมาก โตเกือบทุกบริษัท(ไก่งวงบินได้เมื่อพายุมา?), ธุรกิจสิ่งแวดล้อมเช่น waste-to-energy, waste treatment,water treatment water supply โตไว pe 3-5 เท่าปันผลเพิ่ม 10 ปีต่อเนื่อง สัญญาธุรกิจพวกนี้เป็นแบบ PPP ชนิด BOT, TOT, BTO หรืออะไรก็แล้วแต่ ส่วนใหญ่มีสัญญาระยะยาว 20-50 ปี
, ผู้ผลิตอุปกรณ์ทางการแพทย์โตไวมากในช่วง 5-10 ปีที่ผ่านมา หุ้นที่ผมซื้อขยับเพิ่ม 100% ภายใน 3 สัปดาห์ แต่ราคาก็ยังไม่ได้แพงมาก ....
* คุณไม่จำเป็นต้องลงทุนใน new economy ก็ทำกำไรได้เป็นกอบเป็นกำ และลงทุนได้อีก 10 ปีอย่างสบายใจ
* หุ้นบางตัวเช่นบริษัทผลิต acid battery เติบโตระดับ 50% มีp/e 5.5 เท่า และใน q1/2021 ก็โตได้อีก 40% โดย h1/20 ไม่ได้มีฐานต่ำเพราะโตจาก h1/19 40% และเข้าสู่ lithium batt และ new material มาซักพักแล้ว และกำลังขยายกิจการเพิ่ม..... ผมมองว่าการผลิต lithium batt มันไม่ได้ยากมาก ต่อไปอาจจะลำบากคู่แข่งมาก
* บริษัท ev vehicle บางบริษัทยังไม่ได้ขายรถเลย market cap ขนาดใหญ่มาก, แต่ผมพบว่าบางบริษัท(บ.ใน Germany)ทำ ev car เริ่มขาย(รุ่นที่่ผลิตในจีน)ในปลายปี 2020 ลงทุนทำในจีนและขายทั่วโลกมีราคาถูก เงินสดมากเมื่อเทียบ market cap. เริ่มทำ ev car ก็มีเกือบมี economy of scale ทันทีเพราะใช้ชิ้นส่วนหลายรายการเหมือนรถ ICE ไม่ต้องรอแบบรถไฟฟ้ารายอื่น ทำให้บริบทเรื่องของการขาดทุนยาวก่อนมีกำไรไม่เกิดขึ้นเหมือน tesla แต่ผมมองว่าการแข่งขันมันจะรุนแรงมากในอนาคต
การลงทุนในตปท.มันมีโอกาสมากจริงๆ ผมไม่ได้เข้าร้อยคนร้อยหุ้นไทยมานาน
ใครลังเลก็ไปศึกษาก่อนได้เลยครับ แล้วจะรู้ว่าน่าสนใจมาก
- Linzhi
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1464
- ผู้ติดตาม: 1
Re: ทำไมเราต้องลงทุนหุ้นต่างประเทศ? มาแชร์กันครับ
โพสต์ที่ 53
ตัดสินใจว่าจะเอากระทู้นี้มาบันทึก Project Global VI ของผม
เดี๋ยวขอไล่เอาข้อความเก่า ๆ ใน FB ผมเอามาแปะไว้ตรงนี้นะครับ
เดี๋ยวขอไล่เอาข้อความเก่า ๆ ใน FB ผมเอามาแปะไว้ตรงนี้นะครับ
ก้าวช้า ๆ และเชื่อในปาฎิหารย์ของหุ้นเปลี่ยนชีวิต
There is no secret ingredient. It's just you.
There is no secret ingredient. It's just you.
- Linzhi
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1464
- ผู้ติดตาม: 1
Re: ทำไมเราต้องลงทุนหุ้นต่างประเทศ? มาแชร์กันครับ
โพสต์ที่ 55
direct from FB ในอีกไม่นานเราจะพยายามพัฒนาให้ทำให้นะครับ ช่วงนี้ลำบากหน่อย 5555
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
ก้าวช้า ๆ และเชื่อในปาฎิหารย์ของหุ้นเปลี่ยนชีวิต
There is no secret ingredient. It's just you.
There is no secret ingredient. It's just you.
- Linzhi
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1464
- ผู้ติดตาม: 1
Re: ทำไมเราต้องลงทุนหุ้นต่างประเทศ? มาแชร์กันครับ
โพสต์ที่ 56
Value vs Growth (14Jan2021)
.
นิยามดั้งเดิมของ VI หรือ Value Investor นั้นถูกสร้างขึ้นมาจากพระบิดา นั่นคือ Benjamin Graham ซึ่งในนิยาม "คุณค่า" ของหุ้นคือ หุ้นที่ "ถูก" นี่คือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมด รวมไปถึงตำนานตลอดกาลอย่างวอร์เรน บัฟเฟตต์
.
หลังจากนั้น บัฟเฟตต์ ก็ได้รับเอาความคิดของ Phillip Fisher ซึ่งถือเป็น พระบิดา ของหุ้นเติบโต หรือ Growth stock ทำให้ความหมายของ Value Investor นั้นกว้างขึ้นไปอีก คือแทนที่ "คุณค่า" จะอยู่ความถูก แต่มาอยู่ที่ "ความคุ้มค่า" ซึ่งมีการเติบโตอยู่ในองค์ประกอบด้วย
.
และตั้งแต่ตำราต้นแบบหุ้นเติบโตอย่าง Common stocks, Uncommon Profits กำเนิดขึ้นปี 1958 โลกก็ไม่มีตำราลักษณะเดียวกันเลยหลังจากนั้นมาเกือบ 70 ปี (แน่นอนว่าบันทึกประวัติศาสตร์เขียนว่า หนังสือลงทุนยุคนั้นมีร่วมหลายร้อยเล่ม แต่ที่เหลือมาเป็น Classic นั้นไม่ถึง 5 เล่ม)
.
มายุคใหม่ หุ้นเทคโนโลยี ก็กลายเป็นของแสลงของ Value Investor เพราะเราไม่มีตำรามาจับยึด ถ้านักลงทุนในสหรัฐคนไหนยังคงใช้วิชา Value Investor อย่างเข้มข้น ผลตอบแทนย่อมแพ้หุ้นสมัยใหม่อย่างหุ้นเทคอย่างไม่ต้องสงสัย
.
ผมก็เป็นหนึ่งในคนที่ไม่เข้าใจ แต่หลังจากพยายามเปิดใจ ค้นหามาหลายเดือน (ไม่ใช่หลายปีนะครับ ดังนั้นยังไม่ชัวร์กับคำตอบ อิอิ) ผมก็คิดว่าทฤษฎีการลงทุนในโลกใหม่นั้น ยังไม่มีใครในแวดวงนักลงทุนเขียน แต่อาจจะมีคนในวงการ Venture Capital หรือวงการ Tech เขียนอยู่บ้าง
.
และพอมาได้อ่าน Memo ล่าสุดของ Howard Marks ที่เขาได้ใช้เวลาพูดคุยกับลูก (ซึ่งเป็นนักลงทุน) ในช่วง Covid-19 ทำให้ Howard ได้เข้าใจภาพความคิดของนักลงทุนรุ่นใหม่ ๆ และเปิดใจมากขึ้นเหมือนที่ผมรู้สึก
.
หลังจากที่ผมรับตำแหน่งนายกสมาคม หนึ่งในความพยายามอย่างเต็มที่คือการประสานนักลงทุนชั้นยอดให้กลับสู่ Platform http://THAIVI.ORG เพื่อสร้างสถาบันการลงทุน VI ให้คนรุ่นหลัง ผมก็เลยได้อานิสงค์ในการเข้าใจนักลงทุนรุ่นใหม่ ๆ รวมไปถึงได้ความขยันขึ้นมาจากน้องๆ เก่งๆ เลยได้ศึกษาทฤษฎีใหม่ ๆ ขึ้นมาพอสมควร
.
ข้อสรุปผมคือ VI เรากำลังอยู่ในขอบเขตที่ไม่เคยอยู่ เช่นเดียวกับธุรกิจสมัยใหม่ และผมเห็นว่า การลงทุนในขอบเขตใหม่ ด้วยวิชาการลงทุนแบบเน้นคุณค่า นั้นใช้ได้ เพียงแต่คุณต้องปรับ Mindset และปรับเครื่องมือลงทุนตามยุคสมัย
.
มีคำกล่าวว่า บุรุษผู้มีค้อนในมือ ย่อมเห็นทุกสิ่งเป็นตะปู การพยายามแบ่งแยกกลุ่มนักลงทุนเป็น Growth หรือ Value ไม่ต่างจากการที่เชื่อว่านักลงทุนนั้นมีแต่ค้อน แต่อันที่จริง เรามีเครื่องมือทั้งกล่องต่างหาก การลงทุนในโลกยุคใหม่ที่ซับซ้อนนั้น จำเป็นต้องมีเครื่องมือที่หลากหลายถึงจะประสบความสำเร็จได้
.
ผมไม่ได้กล่าว แต่คนกล่าวคือ Howard Marks บุรุษผู้ซึ่งผมนับถือเป็นอาจารย์อีกท่านหนึ่ง
.
หากทุกท่านยังไม่หนำใจอ่านต่อได้ใน
https://www.oaktreecapital.com/.../some ... -value.pdf
และฟังบทสัมภาษณ์ได้ที่
https://www.youtube.com/watch?v=Er3Ip6F6YpA&t=531s
.
หวังว่าเราคงไม่ต้องมาคอยตอบคำถามว่าสิ่งนี้เป็น value investor รึเปล่า
เพราะในความหมายของผม VI คือ เป็นการลงทุนอย่างมีเหตุมีผล ไม่ถูกชี้นำโดยราคาหุ้น แต่มอง "คุณค่า" โดยเปรียบเทียบที่ซ่อนอยู่ในหุ้นตัวนั้น ๆ เป็นสำคัญ
.
และอย่าถามว่าหุ้นเทคฯฟองสบู่รึเปล่า ผมคิดว่าเป็นฟองสบู่อย่างไม่ต้องสงสัย จะมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับหุ้นตัวไหน และฟองสบู่จะแตกรึเปล่า พระเจ้าเท่านั้นที่ตอบได้ อย่างไรก็ดี ถามว่าหุ้นเทคฯมีคุณค่าหรือเปล่า ผมตอบเลยว่าคุณค่านั้นสูงมาก และสูงกว่าที่มันจะบอกคุณด้วยตัวเลขงบทางการเงินในปัจจุบันได้ครับ
.
นิยามดั้งเดิมของ VI หรือ Value Investor นั้นถูกสร้างขึ้นมาจากพระบิดา นั่นคือ Benjamin Graham ซึ่งในนิยาม "คุณค่า" ของหุ้นคือ หุ้นที่ "ถูก" นี่คือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมด รวมไปถึงตำนานตลอดกาลอย่างวอร์เรน บัฟเฟตต์
.
หลังจากนั้น บัฟเฟตต์ ก็ได้รับเอาความคิดของ Phillip Fisher ซึ่งถือเป็น พระบิดา ของหุ้นเติบโต หรือ Growth stock ทำให้ความหมายของ Value Investor นั้นกว้างขึ้นไปอีก คือแทนที่ "คุณค่า" จะอยู่ความถูก แต่มาอยู่ที่ "ความคุ้มค่า" ซึ่งมีการเติบโตอยู่ในองค์ประกอบด้วย
.
และตั้งแต่ตำราต้นแบบหุ้นเติบโตอย่าง Common stocks, Uncommon Profits กำเนิดขึ้นปี 1958 โลกก็ไม่มีตำราลักษณะเดียวกันเลยหลังจากนั้นมาเกือบ 70 ปี (แน่นอนว่าบันทึกประวัติศาสตร์เขียนว่า หนังสือลงทุนยุคนั้นมีร่วมหลายร้อยเล่ม แต่ที่เหลือมาเป็น Classic นั้นไม่ถึง 5 เล่ม)
.
มายุคใหม่ หุ้นเทคโนโลยี ก็กลายเป็นของแสลงของ Value Investor เพราะเราไม่มีตำรามาจับยึด ถ้านักลงทุนในสหรัฐคนไหนยังคงใช้วิชา Value Investor อย่างเข้มข้น ผลตอบแทนย่อมแพ้หุ้นสมัยใหม่อย่างหุ้นเทคอย่างไม่ต้องสงสัย
.
ผมก็เป็นหนึ่งในคนที่ไม่เข้าใจ แต่หลังจากพยายามเปิดใจ ค้นหามาหลายเดือน (ไม่ใช่หลายปีนะครับ ดังนั้นยังไม่ชัวร์กับคำตอบ อิอิ) ผมก็คิดว่าทฤษฎีการลงทุนในโลกใหม่นั้น ยังไม่มีใครในแวดวงนักลงทุนเขียน แต่อาจจะมีคนในวงการ Venture Capital หรือวงการ Tech เขียนอยู่บ้าง
.
และพอมาได้อ่าน Memo ล่าสุดของ Howard Marks ที่เขาได้ใช้เวลาพูดคุยกับลูก (ซึ่งเป็นนักลงทุน) ในช่วง Covid-19 ทำให้ Howard ได้เข้าใจภาพความคิดของนักลงทุนรุ่นใหม่ ๆ และเปิดใจมากขึ้นเหมือนที่ผมรู้สึก
.
หลังจากที่ผมรับตำแหน่งนายกสมาคม หนึ่งในความพยายามอย่างเต็มที่คือการประสานนักลงทุนชั้นยอดให้กลับสู่ Platform http://THAIVI.ORG เพื่อสร้างสถาบันการลงทุน VI ให้คนรุ่นหลัง ผมก็เลยได้อานิสงค์ในการเข้าใจนักลงทุนรุ่นใหม่ ๆ รวมไปถึงได้ความขยันขึ้นมาจากน้องๆ เก่งๆ เลยได้ศึกษาทฤษฎีใหม่ ๆ ขึ้นมาพอสมควร
.
ข้อสรุปผมคือ VI เรากำลังอยู่ในขอบเขตที่ไม่เคยอยู่ เช่นเดียวกับธุรกิจสมัยใหม่ และผมเห็นว่า การลงทุนในขอบเขตใหม่ ด้วยวิชาการลงทุนแบบเน้นคุณค่า นั้นใช้ได้ เพียงแต่คุณต้องปรับ Mindset และปรับเครื่องมือลงทุนตามยุคสมัย
.
มีคำกล่าวว่า บุรุษผู้มีค้อนในมือ ย่อมเห็นทุกสิ่งเป็นตะปู การพยายามแบ่งแยกกลุ่มนักลงทุนเป็น Growth หรือ Value ไม่ต่างจากการที่เชื่อว่านักลงทุนนั้นมีแต่ค้อน แต่อันที่จริง เรามีเครื่องมือทั้งกล่องต่างหาก การลงทุนในโลกยุคใหม่ที่ซับซ้อนนั้น จำเป็นต้องมีเครื่องมือที่หลากหลายถึงจะประสบความสำเร็จได้
.
ผมไม่ได้กล่าว แต่คนกล่าวคือ Howard Marks บุรุษผู้ซึ่งผมนับถือเป็นอาจารย์อีกท่านหนึ่ง
.
หากทุกท่านยังไม่หนำใจอ่านต่อได้ใน
https://www.oaktreecapital.com/.../some ... -value.pdf
และฟังบทสัมภาษณ์ได้ที่
https://www.youtube.com/watch?v=Er3Ip6F6YpA&t=531s
.
หวังว่าเราคงไม่ต้องมาคอยตอบคำถามว่าสิ่งนี้เป็น value investor รึเปล่า
เพราะในความหมายของผม VI คือ เป็นการลงทุนอย่างมีเหตุมีผล ไม่ถูกชี้นำโดยราคาหุ้น แต่มอง "คุณค่า" โดยเปรียบเทียบที่ซ่อนอยู่ในหุ้นตัวนั้น ๆ เป็นสำคัญ
.
และอย่าถามว่าหุ้นเทคฯฟองสบู่รึเปล่า ผมคิดว่าเป็นฟองสบู่อย่างไม่ต้องสงสัย จะมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับหุ้นตัวไหน และฟองสบู่จะแตกรึเปล่า พระเจ้าเท่านั้นที่ตอบได้ อย่างไรก็ดี ถามว่าหุ้นเทคฯมีคุณค่าหรือเปล่า ผมตอบเลยว่าคุณค่านั้นสูงมาก และสูงกว่าที่มันจะบอกคุณด้วยตัวเลขงบทางการเงินในปัจจุบันได้ครับ
ก้าวช้า ๆ และเชื่อในปาฎิหารย์ของหุ้นเปลี่ยนชีวิต
There is no secret ingredient. It's just you.
There is no secret ingredient. It's just you.
- Linzhi
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1464
- ผู้ติดตาม: 1
Re: ทำไมเราต้องลงทุนหุ้นต่างประเทศ? มาแชร์กันครับ
โพสต์ที่ 57
ปัญหาของการ valuation (18 Jan 2021)
.
1. หุ้น New Economy มีความไม่แน่นอนในอนาคตสูง ช่วงคำตอบผลลัพท์ในการประเมินมูลค่าจึงสูงมาก มูลค่าอาจจะเป็น 100 หรือ 1000 หรือเป็น 0 เลย การประเมินมูลค่าในกรณีนี้จึงแทบจะไม่มีประโยชน์
.
2.หุ้น Old Economy มีความแน่นอนในอนาคตสูง และเครื่องมือปัจจุบันก็ช่วยคำนวณได้เป็นอย่างดี เมื่อทุกคนรู้ DCF คำตอบมันได้ การประเมินมูลค่าในกรณีนี้จึงแทบจะไม่มีประโยชน์
.
ลองหาวิธีแก้
1. New Economy ติดตาม assumption ของเราตลอดเวลา แต่ทันทีที่ Guidance ใหม่ออก ราคาจะปรับตัวแรงมาก คุณจะขายหรือซื้อไม่ทัน
.
2. Old Economy ติดตามว่าบริษัทพลาดตอนไหน และซื้อตอนเวลาพลาดชั่วคราว ขายตอนตลาดมองบวกเกินไป แต่ทันทีที่คนได้สติ ราคาจะกลับทางทันที คุณจะขายหรือซื้อไม่ค่อยทัน
.
นี่แหละว่าทำไมการลงทุนแบบชิลๆจึงไม่มีอีกต่อไปในยุคนี้ ส่วนมากวิธีการเพิ่มผลตอบแทนจึงมักจะมาพร้อมกับการเพิ่มความเสี่ยง
.
3. วิธีที่ตัดสินกันน่าจะคือการมองธุรกิจให้ขาด อ.นิเวศน์มีบอกว่าอนาคตเราอาจจะต้องไปอยู่ต่างประเทศเพื่อลงทุนด้วยครับ ผมคิดดูแล้ว อืม คงจะจริง แต่ปกติเราก็ไปเที่ยวต่างประเทศบ่อย คราวหน้าก็ไปเที่ยว 7 วัน ดูงาน 3 วัน อาจจะลองแบบนี้ก่อน
.
1. หุ้น New Economy มีความไม่แน่นอนในอนาคตสูง ช่วงคำตอบผลลัพท์ในการประเมินมูลค่าจึงสูงมาก มูลค่าอาจจะเป็น 100 หรือ 1000 หรือเป็น 0 เลย การประเมินมูลค่าในกรณีนี้จึงแทบจะไม่มีประโยชน์
.
2.หุ้น Old Economy มีความแน่นอนในอนาคตสูง และเครื่องมือปัจจุบันก็ช่วยคำนวณได้เป็นอย่างดี เมื่อทุกคนรู้ DCF คำตอบมันได้ การประเมินมูลค่าในกรณีนี้จึงแทบจะไม่มีประโยชน์
.
ลองหาวิธีแก้
1. New Economy ติดตาม assumption ของเราตลอดเวลา แต่ทันทีที่ Guidance ใหม่ออก ราคาจะปรับตัวแรงมาก คุณจะขายหรือซื้อไม่ทัน
.
2. Old Economy ติดตามว่าบริษัทพลาดตอนไหน และซื้อตอนเวลาพลาดชั่วคราว ขายตอนตลาดมองบวกเกินไป แต่ทันทีที่คนได้สติ ราคาจะกลับทางทันที คุณจะขายหรือซื้อไม่ค่อยทัน
.
นี่แหละว่าทำไมการลงทุนแบบชิลๆจึงไม่มีอีกต่อไปในยุคนี้ ส่วนมากวิธีการเพิ่มผลตอบแทนจึงมักจะมาพร้อมกับการเพิ่มความเสี่ยง
.
3. วิธีที่ตัดสินกันน่าจะคือการมองธุรกิจให้ขาด อ.นิเวศน์มีบอกว่าอนาคตเราอาจจะต้องไปอยู่ต่างประเทศเพื่อลงทุนด้วยครับ ผมคิดดูแล้ว อืม คงจะจริง แต่ปกติเราก็ไปเที่ยวต่างประเทศบ่อย คราวหน้าก็ไปเที่ยว 7 วัน ดูงาน 3 วัน อาจจะลองแบบนี้ก่อน
ก้าวช้า ๆ และเชื่อในปาฎิหารย์ของหุ้นเปลี่ยนชีวิต
There is no secret ingredient. It's just you.
There is no secret ingredient. It's just you.
- Linzhi
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1464
- ผู้ติดตาม: 1
Re: ทำไมเราต้องลงทุนหุ้นต่างประเทศ? มาแชร์กันครับ
โพสต์ที่ 58
Covid-19 รอบนี้ (21 Jan 2021)
.
ดูผลตอบแทน หุ้นทั้งโลก 42,445 ตัวปีที่แล้วให้ราคากับ
ความหนุ่มแต่มุทะลุ มากกว่า ความแก่แต่เก๋า
ความเติบโตแบบหวือหวา มากกว่า ความช้าแต่ชัวร์
.
ทำให้นึกถึงทฤษฎี Inflection point ตอนนี้โลกอยู่แถว ๆ จุดตัดนี้อีกครั้ง
ถ้าเราไม่ปรับตัว เราก็อาจจะขี่ม้าผิดตัว....
.
หรือบางที เราไปขี่ม้าตามเค้า แต่มารู้ทีหลังว่า
.
วัวที่เคยค้า ม้าที่เคยขี่ เราขี่ถนัดกว่า ไปม้าตัวใหม่ เราก็อาจจะเจ็บตัว
.
ถ้าจะขี่ม้าตัวใหม่ก็คงต้องขยันหน่อย
.
ต้องเลือกกันเอาเองครับ
.
slide จาก Michael Dempsey กับ Prof. Damodaran ครับ
.
ดูผลตอบแทน หุ้นทั้งโลก 42,445 ตัวปีที่แล้วให้ราคากับ
ความหนุ่มแต่มุทะลุ มากกว่า ความแก่แต่เก๋า
ความเติบโตแบบหวือหวา มากกว่า ความช้าแต่ชัวร์
.
ทำให้นึกถึงทฤษฎี Inflection point ตอนนี้โลกอยู่แถว ๆ จุดตัดนี้อีกครั้ง
ถ้าเราไม่ปรับตัว เราก็อาจจะขี่ม้าผิดตัว....
.
หรือบางที เราไปขี่ม้าตามเค้า แต่มารู้ทีหลังว่า
.
วัวที่เคยค้า ม้าที่เคยขี่ เราขี่ถนัดกว่า ไปม้าตัวใหม่ เราก็อาจจะเจ็บตัว
.
ถ้าจะขี่ม้าตัวใหม่ก็คงต้องขยันหน่อย
.
ต้องเลือกกันเอาเองครับ
.
slide จาก Michael Dempsey กับ Prof. Damodaran ครับ
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
ก้าวช้า ๆ และเชื่อในปาฎิหารย์ของหุ้นเปลี่ยนชีวิต
There is no secret ingredient. It's just you.
There is no secret ingredient. It's just you.
- Linzhi
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1464
- ผู้ติดตาม: 1
Re: ทำไมเราต้องลงทุนหุ้นต่างประเทศ? มาแชร์กันครับ
โพสต์ที่ 59
Global VI project (21 Feb 2021)
.
สามวันที่แล้ว ยานอวกาศ Preseverance ลงจอดที่ดาวอังคารได้สำเร็จ
เป็นก้าวเล็ก ๆ ที่ยิ่งใหญ่ สำหรับการทำให้มนุษย์เป็น Multi-planetery Species คือเป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่บนดาวมากกว่าหนึ่งดวง
.
สิ่งที่ Elon Musk บอกว่าเป็นความจำเป็นสำหรับการอยู่รอดของเผ่าพันธุ์มนุษย์ในระยะยาว
.
ในเรื่องหุ้น ผมก็เริ่มคิดแบบเดียวกัน และจะใช้ Thaivi.org ทำให้นักลงทุนไทยและสมาชิกของเรา เป็น "Global value investor" คืออยู่ในตลาดหุ้นหลายแห่ง ไม่ใช่หุ้นไทยอย่างเดียว โดยใช้องค์ความรู้ในการลงทุนเดียวกัน กระจายสัดส่วน weight ตามขอบเขตความรู้ไปเรื่อย ๆ ผมเชื่อว่ามันสามารถลดความเสี่ยง ในขณะที่เพิ่มผลตอบแทนได้
.
ผมเชื่อว่านักลงทุนไทยที่มุ่งมั่นลงหุ้นรายตัวสู้กับนักลงทุนต่างชาติได้ โดยเฉพาะถ้าเราทำงานเป็น teamwork เหมือนกับที่แชร์กัน webboard ร้อยคนร้อยหุ้น
.
สมาคมฯ เพิ่งจัด Clubhouse ep.1 ต่อยอดจากโครงการ THAIVI GO, ไอเดียหุ้นเด้ง และร้อยคนร้อยหุ้นต่างประเทศ และจะพยายามจัดให้ได้อย่างต่อเนื่อง
.
ผมดีใจที่ได้รับเกียรติจากนักลงทุนที่มีฝีมือสูงมาแชร์ประสบการณ์ในแต่ละเทป รวมไปถึงกูรูที่ไม่ได้เป็นนักลงทุน แต่แชร์มุมธุรกิจให้ได้ด้วย
.
สมาคมฯจะค่อย ๆ ให้ความรู้อย่างต่อเนื่อง แรงบันดาลใจโครงการนี้มาจากชื่อยานอวกาศ Perseverance ที่แปลว่า "ความเพียร" ยานลำเล็ก ๆ เดินทาง 300 ล้านไมล์ นักลงทุน Pioneer กลุ่มเล็ก ๆ ที่ไปสำรวจตลาดหุ้นใหม่ ๆ กรุยทางให้นักลงทุนไทยกลุ่มใหญ่ตามมา
.
และผลพลอยได้ในอนาคตระยะยาวเราน่าจะมีผู้จัดการกองทุนไทยเก่ง ๆ เหมือนเจ๊เคธี่แห่ง ARK หรือเทมเปอร์ตันเป็นทางเลือกให้เราลงทุนต่างประเทศโดยไม่ต้องผ่าน FIF หรือ ETF
.
นี่คืออีกหนึ่งในพันธกิจหลักของสมาคมฯ นับต่อจากนี้ (จนผมหมดวาระ)
.
สามวันที่แล้ว ยานอวกาศ Preseverance ลงจอดที่ดาวอังคารได้สำเร็จ
เป็นก้าวเล็ก ๆ ที่ยิ่งใหญ่ สำหรับการทำให้มนุษย์เป็น Multi-planetery Species คือเป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่บนดาวมากกว่าหนึ่งดวง
.
สิ่งที่ Elon Musk บอกว่าเป็นความจำเป็นสำหรับการอยู่รอดของเผ่าพันธุ์มนุษย์ในระยะยาว
.
ในเรื่องหุ้น ผมก็เริ่มคิดแบบเดียวกัน และจะใช้ Thaivi.org ทำให้นักลงทุนไทยและสมาชิกของเรา เป็น "Global value investor" คืออยู่ในตลาดหุ้นหลายแห่ง ไม่ใช่หุ้นไทยอย่างเดียว โดยใช้องค์ความรู้ในการลงทุนเดียวกัน กระจายสัดส่วน weight ตามขอบเขตความรู้ไปเรื่อย ๆ ผมเชื่อว่ามันสามารถลดความเสี่ยง ในขณะที่เพิ่มผลตอบแทนได้
.
ผมเชื่อว่านักลงทุนไทยที่มุ่งมั่นลงหุ้นรายตัวสู้กับนักลงทุนต่างชาติได้ โดยเฉพาะถ้าเราทำงานเป็น teamwork เหมือนกับที่แชร์กัน webboard ร้อยคนร้อยหุ้น
.
สมาคมฯ เพิ่งจัด Clubhouse ep.1 ต่อยอดจากโครงการ THAIVI GO, ไอเดียหุ้นเด้ง และร้อยคนร้อยหุ้นต่างประเทศ และจะพยายามจัดให้ได้อย่างต่อเนื่อง
.
ผมดีใจที่ได้รับเกียรติจากนักลงทุนที่มีฝีมือสูงมาแชร์ประสบการณ์ในแต่ละเทป รวมไปถึงกูรูที่ไม่ได้เป็นนักลงทุน แต่แชร์มุมธุรกิจให้ได้ด้วย
.
สมาคมฯจะค่อย ๆ ให้ความรู้อย่างต่อเนื่อง แรงบันดาลใจโครงการนี้มาจากชื่อยานอวกาศ Perseverance ที่แปลว่า "ความเพียร" ยานลำเล็ก ๆ เดินทาง 300 ล้านไมล์ นักลงทุน Pioneer กลุ่มเล็ก ๆ ที่ไปสำรวจตลาดหุ้นใหม่ ๆ กรุยทางให้นักลงทุนไทยกลุ่มใหญ่ตามมา
.
และผลพลอยได้ในอนาคตระยะยาวเราน่าจะมีผู้จัดการกองทุนไทยเก่ง ๆ เหมือนเจ๊เคธี่แห่ง ARK หรือเทมเปอร์ตันเป็นทางเลือกให้เราลงทุนต่างประเทศโดยไม่ต้องผ่าน FIF หรือ ETF
.
นี่คืออีกหนึ่งในพันธกิจหลักของสมาคมฯ นับต่อจากนี้ (จนผมหมดวาระ)
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
ก้าวช้า ๆ และเชื่อในปาฎิหารย์ของหุ้นเปลี่ยนชีวิต
There is no secret ingredient. It's just you.
There is no secret ingredient. It's just you.
- Linzhi
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1464
- ผู้ติดตาม: 1
Re: ทำไมเราต้องลงทุนหุ้นต่างประเทศ? มาแชร์กันครับ
โพสต์ที่ 60
ตำราลงทุนหุ้น Tech 101 (1 Mar 2021)
.
การที่จะไปลงทุนต่างประเทศความยากแรกคือ วิชาความรู้ที่เราเคยเรียนมานั้นไม่ค่อยเหมาะในการเข้าใจธุรกิจที่เป็น New Economy เท่าไรนัก
.
ผมเลยอยากแนะนำหนังสือ 10 เล่มแรกสำหรับเข้าใจ mindset ของโลก digital เป็น play book ที่ผมอ่านแล้วค่อนข้างชอบ ผมเรียงให้จะได้อ่านตามลำดับได้ แต่เงื่อนไขคือ ควรจะไปอ่านหนังสือลงทุนมาตรฐาน VI ให้ครบก่อนนะครับ (โดยเฉพาะ common stocks & uncommon profits ต้องอ่านอีกรอบ) เพราะถ้าอ่านแค่ 10 เล่มนี้ คุณจะไม่ใช่นักลงทุน แต่กลายเป็นนักเก็งกำไรไปแทน
.
1. The innovations Dilemma
2. Zero to One
3. Platform Revolution
4. Bliztscaling
5. 7 powers : The foundation of business strategy
6. Technology as a service Playbook
7. Unscaled
8. Venture capital Strategy
9. Break into VC
10. The American History of VC + Capitalism in America A History
.
จริง ๆ มีอีกหลายเล่มที่พูดถึงตัวหุ้นโดยตรง รวมไปถึง podcast, youtube, twitter, discord, stocktwit หรือ subscribe คนเก่ง ๆ แต่อันนั้นควรจะเป็น step ที่สอง
.
เพราะพอเราเริ่มมีความรู้ หลังจากนี้เราจะมาเริ่มค่อย ๆ แกะหุ้นได้ง่ายขึ้น ประสบการณ์ผมคือ อย่าไปรีบมาก แม้ว่าตอนนี้คือน้ำขึ้นอย่างแรง เราก็อยากรีบตักรัว ๆ แต่อยากให้คิดว่าเกมนี้ยาวมาก ถ้าเร่งมากอาจจะได้ตอนนี้แต่ตอนจบอาจจะหนักเลย
.
จุดสำคัญคือความขยัน ความเพียร ความอดทน เราจะไปลงทุนหลายสิบปี ไม่ได้ไปตีหัวฝรั่งสองสามวันแล้วกลับ
.
การที่จะไปลงทุนต่างประเทศความยากแรกคือ วิชาความรู้ที่เราเคยเรียนมานั้นไม่ค่อยเหมาะในการเข้าใจธุรกิจที่เป็น New Economy เท่าไรนัก
.
ผมเลยอยากแนะนำหนังสือ 10 เล่มแรกสำหรับเข้าใจ mindset ของโลก digital เป็น play book ที่ผมอ่านแล้วค่อนข้างชอบ ผมเรียงให้จะได้อ่านตามลำดับได้ แต่เงื่อนไขคือ ควรจะไปอ่านหนังสือลงทุนมาตรฐาน VI ให้ครบก่อนนะครับ (โดยเฉพาะ common stocks & uncommon profits ต้องอ่านอีกรอบ) เพราะถ้าอ่านแค่ 10 เล่มนี้ คุณจะไม่ใช่นักลงทุน แต่กลายเป็นนักเก็งกำไรไปแทน
.
1. The innovations Dilemma
2. Zero to One
3. Platform Revolution
4. Bliztscaling
5. 7 powers : The foundation of business strategy
6. Technology as a service Playbook
7. Unscaled
8. Venture capital Strategy
9. Break into VC
10. The American History of VC + Capitalism in America A History
.
จริง ๆ มีอีกหลายเล่มที่พูดถึงตัวหุ้นโดยตรง รวมไปถึง podcast, youtube, twitter, discord, stocktwit หรือ subscribe คนเก่ง ๆ แต่อันนั้นควรจะเป็น step ที่สอง
.
เพราะพอเราเริ่มมีความรู้ หลังจากนี้เราจะมาเริ่มค่อย ๆ แกะหุ้นได้ง่ายขึ้น ประสบการณ์ผมคือ อย่าไปรีบมาก แม้ว่าตอนนี้คือน้ำขึ้นอย่างแรง เราก็อยากรีบตักรัว ๆ แต่อยากให้คิดว่าเกมนี้ยาวมาก ถ้าเร่งมากอาจจะได้ตอนนี้แต่ตอนจบอาจจะหนักเลย
.
จุดสำคัญคือความขยัน ความเพียร ความอดทน เราจะไปลงทุนหลายสิบปี ไม่ได้ไปตีหัวฝรั่งสองสามวันแล้วกลับ
ก้าวช้า ๆ และเชื่อในปาฎิหารย์ของหุ้นเปลี่ยนชีวิต
There is no secret ingredient. It's just you.
There is no secret ingredient. It's just you.