Dollar Cost Averaging ดีจริงเหรอ ????
-
- Verified User
- โพสต์: 41
- ผู้ติดตาม: 0
Dollar Cost Averaging ดีจริงเหรอ ????
โพสต์ที่ 1
ผมเชื่อว่าเกือบทุกคนใน web นี้รู้จัก สมมุติว่า PTT ที่ 180 เราก็ซื้อ 100 หุ้น พอมันเพิ่มเป็น 200 ก็ซื้อเพิ่ม อีก 100 หุ้น
แล้ว ถ้าเรา วิเคราะห์ ให้ชัวร์ๆ แล้ว ซื้อ ทีเดียว อันไหนดีกว่ากันครับ คือบางคนอาจคิดว่า ถ้าซื้อครั้งเดียว มันจะเสี่ยงเมื่อซื้อแล้วหุ้นปรับตัวลง แต่ผมกำลังคิดว่า ซื้อครั้งเดียวเสี่ยงก็จริง แต่ การที่ซื้อเฉลี่ยๆ มันจะเสี่ยงตอนท้ายๆ เช่น ถ้า PTT ไปถึง 300 ตอนนั้นมันคงเสี่ยงกว่าซื้อที่ 180 แน่
ซื้อทีเดียว ยอมกดดันครั้งแรก ในกรณีถ้าคาดการณ์ถูก จะสบาย ได้กำไรดีกว่า
ซื้อเฉลี่ย ครั้งแรกๆ ไม่กดดัน แต่ตอนท้าย กดดัน เพราะราคาปรับไปสูงแล้ว
ซื้อเฉลี่ยๆ เมื่อซื้อครั้งหุ้นขึ้นจะรู้สึกเสียดาย ว่าทำใมถึงไม่ซื้อตั้งแต่ต้น
ตรงนี้ ผมยังถกเถียงไม่มีข้อสรุปให้กับตนเองอ่ะครับ ว่าวิธีไหน ดีกว่ากัน
ช่วยหน่อยครับ :(
แล้ว ถ้าเรา วิเคราะห์ ให้ชัวร์ๆ แล้ว ซื้อ ทีเดียว อันไหนดีกว่ากันครับ คือบางคนอาจคิดว่า ถ้าซื้อครั้งเดียว มันจะเสี่ยงเมื่อซื้อแล้วหุ้นปรับตัวลง แต่ผมกำลังคิดว่า ซื้อครั้งเดียวเสี่ยงก็จริง แต่ การที่ซื้อเฉลี่ยๆ มันจะเสี่ยงตอนท้ายๆ เช่น ถ้า PTT ไปถึง 300 ตอนนั้นมันคงเสี่ยงกว่าซื้อที่ 180 แน่
ซื้อทีเดียว ยอมกดดันครั้งแรก ในกรณีถ้าคาดการณ์ถูก จะสบาย ได้กำไรดีกว่า
ซื้อเฉลี่ย ครั้งแรกๆ ไม่กดดัน แต่ตอนท้าย กดดัน เพราะราคาปรับไปสูงแล้ว
ซื้อเฉลี่ยๆ เมื่อซื้อครั้งหุ้นขึ้นจะรู้สึกเสียดาย ว่าทำใมถึงไม่ซื้อตั้งแต่ต้น
ตรงนี้ ผมยังถกเถียงไม่มีข้อสรุปให้กับตนเองอ่ะครับ ว่าวิธีไหน ดีกว่ากัน
ช่วยหน่อยครับ :(
- yoyo
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4833
- ผู้ติดตาม: 0
Dollar Cost Averaging ดีจริงเหรอ ????
โพสต์ที่ 2
ก่อนที่จะบอกว่าดี ผมว่าต้องกำหนดกรอบให้ชัดเจนก่อนนะครับว่าดีต่อใคร ..
ถ้าคนที่วิเคราะห์เก่งมากๆ ประเมินมุมองธุรกิจได้แม่น ประเมินราคาหุ้นได้ดีอย่างหลายๆท่านใน board นี้ ผมว่าวิธีนี้ไม่เหมาะเท่าไหร่ เพราะไม่ได้คำนึงถึงราคาที่เราจะเข้าซื้อเลย บางช่วงเวลาอาจจะทำให้ซื้อได้หุ้นในราคาที่เกินพื้นฐาน หรืออาจจะซื้อหุ้นในช่วงที่มี Margin of Safety ต่ำ แต่อย่างน้อยก็ยังดีที่เวลาที่ซื้อแพงจะซื้อในจำนวนน้อย
แต่สำหรับคนที่อยากลงทุนในหุ้น ไม่อยากให้เงินแช่อยู่ในธนาคารเพราะเชื่อว่าในระยะยาวแล้ว ตลาดหุ้นให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าฝากธนาคาร และไม่มีความสามารถในการวิเคราะห์หุ้นเท่าไหร่ วิธีนี้จะเหมาะมาก เพราะคนกลุ่มนี้อาจจะไม่ทราบว่าราคาที่เหมาะสมควรเป็นเท่าไหร่ เพียงแค่เลือกกลุ่มหุ้นที่ประกอบไปด้วยหุ้นที่น่าจะมั่นคง เติบโตไปกับประเทศ แล้วดำเนินการตามกลยุทธ์ ก็จะหมดห่วงเรื่องจังหวะเข้าซื้อ ในขณะที่สามารถให้เงินทำงานผ่านตลาดหุ้นได้ครับ 8)
ถ้าคนที่วิเคราะห์เก่งมากๆ ประเมินมุมองธุรกิจได้แม่น ประเมินราคาหุ้นได้ดีอย่างหลายๆท่านใน board นี้ ผมว่าวิธีนี้ไม่เหมาะเท่าไหร่ เพราะไม่ได้คำนึงถึงราคาที่เราจะเข้าซื้อเลย บางช่วงเวลาอาจจะทำให้ซื้อได้หุ้นในราคาที่เกินพื้นฐาน หรืออาจจะซื้อหุ้นในช่วงที่มี Margin of Safety ต่ำ แต่อย่างน้อยก็ยังดีที่เวลาที่ซื้อแพงจะซื้อในจำนวนน้อย
แต่สำหรับคนที่อยากลงทุนในหุ้น ไม่อยากให้เงินแช่อยู่ในธนาคารเพราะเชื่อว่าในระยะยาวแล้ว ตลาดหุ้นให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าฝากธนาคาร และไม่มีความสามารถในการวิเคราะห์หุ้นเท่าไหร่ วิธีนี้จะเหมาะมาก เพราะคนกลุ่มนี้อาจจะไม่ทราบว่าราคาที่เหมาะสมควรเป็นเท่าไหร่ เพียงแค่เลือกกลุ่มหุ้นที่ประกอบไปด้วยหุ้นที่น่าจะมั่นคง เติบโตไปกับประเทศ แล้วดำเนินการตามกลยุทธ์ ก็จะหมดห่วงเรื่องจังหวะเข้าซื้อ ในขณะที่สามารถให้เงินทำงานผ่านตลาดหุ้นได้ครับ 8)
การลงทุนที่มีค่าที่สุด คือการลงทุนในความรู้
http://www.yoyoway.com
http://www.yoyoway.com
-
- ผู้ติดตาม: 0
Dollar Cost Averaging ดีจริงเหรอ ????
โพสต์ที่ 4
Baht Cost Average.. หุ้นแพงๆ ก็ขายครับ
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 9795
- ผู้ติดตาม: 0
Dollar Cost Averaging ดีจริงเหรอ ????
โพสต์ที่ 5
ถูกของ yoyo นะครับ
ที่สำคัญ ต้องเลือกหุ้นดีๆ มีปันผลต่อเนื่องนะครับ
และสำคัญกว่า คือต้องคุมยอดซื้อเป็นจำนวนเงินนะครับ
ไม่ใช่จำนวนหุ้น
เช่น ถ้าตั้งไว้ว่าซื้อ 25,000 บาททุกๆ 1 เดือน
ห้ามซื้อเกินครับ นอกจากจะมีเงินเหลือมาจากงวดก่อน
Baht Cost Average เป็นหนึ่งในวิธีของ Buy & Hold
ซึ่งให้ผลตอบแทนที่น่าพอใจครับ ในระยะยาวๆ
แต่ไม่ได้ให้ผลตอบแทนดีเลิศ
ที่สำคัญ ต้องเลือกหุ้นดีๆ มีปันผลต่อเนื่องนะครับ
และสำคัญกว่า คือต้องคุมยอดซื้อเป็นจำนวนเงินนะครับ
ไม่ใช่จำนวนหุ้น
เช่น ถ้าตั้งไว้ว่าซื้อ 25,000 บาททุกๆ 1 เดือน
ห้ามซื้อเกินครับ นอกจากจะมีเงินเหลือมาจากงวดก่อน
Baht Cost Average เป็นหนึ่งในวิธีของ Buy & Hold
ซึ่งให้ผลตอบแทนที่น่าพอใจครับ ในระยะยาวๆ
แต่ไม่ได้ให้ผลตอบแทนดีเลิศ
- atsu
- Verified User
- โพสต์: 1218
- ผู้ติดตาม: 0
Dollar Cost Averaging ดีจริงเหรอ ????
โพสต์ที่ 6
ผมว่าวิธีที่คุณ MMX ว่ามา
มันไม่น่าจะใช่ Dollar Cost Average นะครับ
แต่เป็นการซื้อเฉลี่ยขาขึ้นมากกว่า
Dollar Cost Average ต้องใช่จำนวนเงินเท่าเดิมซื้อครับ
ถ้าหุ้นยิ่งแพงจะยิ่งได้หุ้นน้อยลง
ต้นทุนเฉลี่ยจะไม่สูงมากครับ
ส่วนความดีหรือไม่ดีของวิธีนี้
คุณ yoyo สรุปไว้ได้ครบถ้วนแล้วครับ
ดังนั้นผมว่าขึ้นอยู่กับคนที่ใช้ต่างหาก
ว่ามีความรู้จริงในหุ้นที่จะซื้อแค่ไหน
มันไม่น่าจะใช่ Dollar Cost Average นะครับ
แต่เป็นการซื้อเฉลี่ยขาขึ้นมากกว่า
Dollar Cost Average ต้องใช่จำนวนเงินเท่าเดิมซื้อครับ
ถ้าหุ้นยิ่งแพงจะยิ่งได้หุ้นน้อยลง
ต้นทุนเฉลี่ยจะไม่สูงมากครับ
ส่วนความดีหรือไม่ดีของวิธีนี้
คุณ yoyo สรุปไว้ได้ครบถ้วนแล้วครับ
ดังนั้นผมว่าขึ้นอยู่กับคนที่ใช้ต่างหาก
ว่ามีความรู้จริงในหุ้นที่จะซื้อแค่ไหน
- สามัญชน
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 5162
- ผู้ติดตาม: 0
Dollar Cost Averaging ดีจริงเหรอ ????
โพสต์ที่ 7
อาจจะเหมาะกับคนที่มีเม็ดเงินใหม่ๆจากเงินเดือนหรือรายได้อื่นอ่ะครับ เท่ากับเป็นการลดความเสี่ยงไปในตัว
Dollar Cost Averaging คือใช้ dollar เท่าเดิมครับอย่างที่คุณ atsu ว่าครับ ไม่ใช่จำนวนหุ้นเท่าเดิม
ซึ่งวิธีนี้จะลดความเสี่ยงในตัวเองเพราะเป็นรูปทรงปิรามิด ซึ่งตรงกันข้ามกับรูปทรง ลิ่ม
เช่นถ้าราคาหุ้นขึ้นไปเท่าตัวก็เท่ากับเราซื้อหุ้นจำนวนน้อยลงเท่าตัว เพราะเราใช้เงินเท่าเดิมเนาะ การซื้อหุ้นน้อยลงที่ราคาสูงๆก็ย่อมจะดีกว่าโดยธรรมชาติคล้ายๆรูปทรงปิรามิดอ่ะครับที่จุดศุนย์กลางมวล(หรือราคาเฉลี่ยนั่นแหละ... พูดโก้ๆเฉยๆเพื่อให้เห็นภาพการลงน้ำหนักของปิรามิด)จะอยู่ในตำแหน่งต่ำๆประมาณ1/3ของความสูงของปิรามิดถ้าจำไม่ผิด
รูปทรงปิรามิดนี้เกิดได้เสมอทั้งหุ้นอยู่ในช่วงขาขึ้นและขาลง แม้ราคาจะลงเรื่อยๆแต่ถ้าเราซื้อที่เงินเท่าๆกันทุกเดือน ก็เท่ากับเงินที่เราซื้อตอนหลังกลายมาเป็นส่วนฐานเพราะจำนวนหุ้นมันมากกว่าที่ราคาเดิม
ปิรามิดใช้สำหรับซื้อ ลิ่มใช้สำหรับขาย ปิรามิดเกิดจากการ fixed จำนวนเงิน ลิ่มเกิดจากการ fixed จำนวนหุ้น
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นผมก็ยังว่าเหมาะกับคนที่มีเงินใหม่เข้ามาเรื่อยๆ เพราะถ้ามีเงินอยู่ในมือแล้วผมก็คงเลือกที่จะซื้อที่ราคาต่ำๆไปทั้งหมด ไม่รู้จะรอไปทำไม ถ้าเราวิเคราะห์จนมั่นใจว่าดีแล้ว(แม้เมื่อซื้อหมดแล้วมันจะลงต่อก็ยอม) เว้นเสียแต่เราไม่มั่นใจจึงค่อยใช้วิธีนี้
แต่ในความเป็นจริงวิธีนี้จะไม่ได้ใช้เลยเพราะถ้าเราไม่มั่นใจอย่างนั้นจริงผมก็คงไม่ซื้อตั้งแต่ต้นอยู่ดี(ท่านสุมาอี้บอกว่าผู้ชนะออกรบเพื่อไปเอาชัยชนะ ผู้แพ้ออกรบเพื่อหวังชัยชนะ)
ผมจึงใช้กับเงินที่เข้ามาใหม่ๆเท่านั้นเอง และเวลาขายผมก็ไม่ได้ใช้ลิ่มเพราะผมไม่ได้มีหุ้นมาใหม่ๆเหมือนเงิน เว้นเสียแต่รัฐบาลจะจ่ายเงินเดือนเป็นใบหุ้น จึงจะได้ใช้ลิ่มอ่ะครับ อิอิ
Dollar Cost Averaging คือใช้ dollar เท่าเดิมครับอย่างที่คุณ atsu ว่าครับ ไม่ใช่จำนวนหุ้นเท่าเดิม
ซึ่งวิธีนี้จะลดความเสี่ยงในตัวเองเพราะเป็นรูปทรงปิรามิด ซึ่งตรงกันข้ามกับรูปทรง ลิ่ม
เช่นถ้าราคาหุ้นขึ้นไปเท่าตัวก็เท่ากับเราซื้อหุ้นจำนวนน้อยลงเท่าตัว เพราะเราใช้เงินเท่าเดิมเนาะ การซื้อหุ้นน้อยลงที่ราคาสูงๆก็ย่อมจะดีกว่าโดยธรรมชาติคล้ายๆรูปทรงปิรามิดอ่ะครับที่จุดศุนย์กลางมวล(หรือราคาเฉลี่ยนั่นแหละ... พูดโก้ๆเฉยๆเพื่อให้เห็นภาพการลงน้ำหนักของปิรามิด)จะอยู่ในตำแหน่งต่ำๆประมาณ1/3ของความสูงของปิรามิดถ้าจำไม่ผิด
รูปทรงปิรามิดนี้เกิดได้เสมอทั้งหุ้นอยู่ในช่วงขาขึ้นและขาลง แม้ราคาจะลงเรื่อยๆแต่ถ้าเราซื้อที่เงินเท่าๆกันทุกเดือน ก็เท่ากับเงินที่เราซื้อตอนหลังกลายมาเป็นส่วนฐานเพราะจำนวนหุ้นมันมากกว่าที่ราคาเดิม
ปิรามิดใช้สำหรับซื้อ ลิ่มใช้สำหรับขาย ปิรามิดเกิดจากการ fixed จำนวนเงิน ลิ่มเกิดจากการ fixed จำนวนหุ้น
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นผมก็ยังว่าเหมาะกับคนที่มีเงินใหม่เข้ามาเรื่อยๆ เพราะถ้ามีเงินอยู่ในมือแล้วผมก็คงเลือกที่จะซื้อที่ราคาต่ำๆไปทั้งหมด ไม่รู้จะรอไปทำไม ถ้าเราวิเคราะห์จนมั่นใจว่าดีแล้ว(แม้เมื่อซื้อหมดแล้วมันจะลงต่อก็ยอม) เว้นเสียแต่เราไม่มั่นใจจึงค่อยใช้วิธีนี้
แต่ในความเป็นจริงวิธีนี้จะไม่ได้ใช้เลยเพราะถ้าเราไม่มั่นใจอย่างนั้นจริงผมก็คงไม่ซื้อตั้งแต่ต้นอยู่ดี(ท่านสุมาอี้บอกว่าผู้ชนะออกรบเพื่อไปเอาชัยชนะ ผู้แพ้ออกรบเพื่อหวังชัยชนะ)
ผมจึงใช้กับเงินที่เข้ามาใหม่ๆเท่านั้นเอง และเวลาขายผมก็ไม่ได้ใช้ลิ่มเพราะผมไม่ได้มีหุ้นมาใหม่ๆเหมือนเงิน เว้นเสียแต่รัฐบาลจะจ่ายเงินเดือนเป็นใบหุ้น จึงจะได้ใช้ลิ่มอ่ะครับ อิอิ
ทุกความเห็นย่อมเปลี่ยนไปตามความรู้ การเรียนรู้ย่อมไม่มีจุดสิ้นสุด
-
- Verified User
- โพสต์: 88
- ผู้ติดตาม: 0
Dollar Cost Averaging ดีจริงเหรอ ????
โพสต์ที่ 8
อาจจะเหมาะกับคนที่มีเม็ดเงินใหม่ๆจากเงินเดือนหรือรายได้อื่นอ่ะครับ เท่ากับเป็นการลดความเสี่ยงไปในตัว
Dollar Cost Averaging คือใช้ dollar เท่าเดิมครับอย่างที่คุณ atsu ว่าครับ ไม่ใช่จำนวนหุ้นเท่าเดิม
ซึ่งวิธีนี้จะลดความเสี่ยงในตัวเองเพราะเป็นรูปทรงปิรามิด ซึ่งตรงกันข้ามกับรูปทรง ลิ่ม
เช่นถ้าราคาหุ้นขึ้นไปเท่าตัวก็เท่ากับเราซื้อหุ้นจำนวนน้อยลงเท่าตัว เพราะเราใช้เงินเท่าเดิมเนาะ การซื้อหุ้นน้อยลงที่ราคาสูงๆก็ย่อมจะดีกว่าโดยธรรมชาติคล้ายๆรูปทรงปิรามิดอ่ะครับที่จุดศุนย์กลางมวล(หรือราคาเฉลี่ยนั่นแหละ... พูดโก้ๆเฉยๆเพื่อให้เห็นภาพการลงน้ำหนักของปิรามิด)จะอยู่ในตำแหน่งต่ำๆประมาณ1/3ของความสูงของปิรามิดถ้าจำไม่ผิด
รูปทรงปิรามิดนี้เกิดได้เสมอทั้งหุ้นอยู่ในช่วงขาขึ้นและขาลง แม้ราคาจะลงเรื่อยๆแต่ถ้าเราซื้อที่เงินเท่าๆกันทุกเดือน ก็เท่ากับเงินที่เราซื้อตอนหลังกลายมาเป็นส่วนฐานเพราะจำนวนหุ้นมันมากกว่าที่ราคาเดิม
ปิรามิดใช้สำหรับซื้อ ลิ่มใช้สำหรับขาย ปิรามิดเกิดจากการ fixed จำนวนเงิน ลิ่มเกิดจากการ fixed จำนวนหุ้น
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นผมก็ยังว่าเหมาะกับคนที่มีเงินใหม่เข้ามาเรื่อยๆ เพราะถ้ามีเงินอยู่ในมือแล้วผมก็คงเลือกที่จะซื้อที่ราคาต่ำๆไปทั้งหมด ไม่รู้จะรอไปทำไม ถ้าเราวิเคราะห์จนมั่นใจว่าดีแล้ว(แม้เมื่อซื้อหมดแล้วมันจะลงต่อก็ยอม) เว้นเสียแต่เราไม่มั่นใจจึงค่อยใช้วิธีนี้
แต่ในความเป็นจริงวิธีนี้จะไม่ได้ใช้เลยเพราะถ้าเราไม่มั่นใจอย่างนั้นจริงผมก็คงไม่ซื้อตั้งแต่ต้นอยู่ดี(ท่านสุมาอี้บอกว่าผู้ชนะออกรบเพื่อไปเอาชัยชนะ ผู้แพ้ออกรบเพื่อหวังชัยชนะ)
ผมจึงใช้กับเงินที่เข้ามาใหม่ๆเท่านั้นเอง และเวลาขายผมก็ไม่ได้ใช้ลิ่มเพราะผมไม่ได้มีหุ้นมาใหม่ๆเหมือนเงิน เว้นเสียแต่รัฐบาลจะจ่ายเงินเดือนเป็นใบหุ้น จึงจะได้ใช้ลิ่มอ่ะครับ อิอิ
ขอบคุณท่านสามัญชนมากครับผม
Worried Investor
-
- Verified User
- โพสต์: 94
- ผู้ติดตาม: 0
Dollar Cost Averaging ดีจริงเหรอ ????
โพสต์ที่ 9
มันผิดตั้งแต่คำถามแล้วนี่ครับ หลักการมันไม่ใช่อ่ะครับ
จะเอาเงินที่ไหนไปซื้อทีเดียวครับ เมื่อมันไม่มีก็เลยต้องใช้วิธีนี้ไง
หลักการมันคือซื้อหุ้นตัวที่ต้องการแบบสะสมทีละเล็กละน้อยด้วยเงินที่มีอยู่ในขณะนั้น
ประมาณออมหุ้นน่ะครับ เหมาะกับคนทำงานกินเงินเดือนมากกว่า
ชาว vi คงไม่เหมาะมั้งครับ
จะเอาเงินที่ไหนไปซื้อทีเดียวครับ เมื่อมันไม่มีก็เลยต้องใช้วิธีนี้ไง
หลักการมันคือซื้อหุ้นตัวที่ต้องการแบบสะสมทีละเล็กละน้อยด้วยเงินที่มีอยู่ในขณะนั้น
ประมาณออมหุ้นน่ะครับ เหมาะกับคนทำงานกินเงินเดือนมากกว่า
ชาว vi คงไม่เหมาะมั้งครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 37
- ผู้ติดตาม: 0
Dollar Cost Averaging ดีจริงเหรอ ????
โพสต์ที่ 10
ผมทำมาแล้วครับ ได้ผลดีจริงๆแหละ แต่ต้องมีวินัย ผลตอบแทนอาจจะไม่มาก ถ้าเทียบกับคนอื่นที่ซื้อหุ้น ถูกตัว ถูกเวลา ผมต้องทำงานทุกวันไม่มีเวลามานั่งเฝ้า ก็เลยใช้วิธีซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนหุ้น ทุกเดือน เป็นจำนวนเงินเท่าๆกัน (จำนวนเงินนะครับไม่ใช่จำนวนหน่วยลงทุน หรือจำนวนหุ้น) ผลตอบแทนดีจริงครับ จะใช้วิธีนี้กับหุ้นในตลาดก็ได้นะครับ ศึกษาดีๆแล้วก็มีวินัย สำเร็จแน่นอน
-
- Verified User
- โพสต์: 920
- ผู้ติดตาม: 0
Dollar Cost Averaging ดีจริงเหรอ ????
โพสต์ที่ 11
ถ้าเลือกหุ้นที่มั่นคงเช่นใน SET 50 และมีวิธีกำหนดราคาที่เหมาะสมโดยอาจดูจากค่าเฉลี่ย PB และ PE ย้อนหลัง 5 ปี และซื้อเมื่อราคาต่ำกว่าราคาเหมาะสมอย่างสม่ำเสมอด้วยจำนวนเงินคงที่ (สร้างปิรามิด) และขายเมื่อราคาสูงกว่าราคาที่เหมาะสมอย่างสม่ำเสมอด้วยจำนวนหุ้นคงที่ (ตอกลิ่มคืนกำไร) การซื้อหรือขายอย่างสม่ำเสมออาจทำภายใต้เงื่อนไขเวลาซึ่งเหมาะกับผู้มีเงินเหลือออมรายเดือนคงที่ หรือภายใต้เงื่อนสเตปของราคาซึ่งเหมาะกับผู้ที่มีเวลาพอจะดูราคาหุ้นรายวันและมีเงินก้อนที่จะลงงทุนแต่เกี่ยงราคาไม่รู้จะเข้าลงทุนเมื่อไร และเห็นด้วยว่าทั้งสองกรณีเหมาะกับผู้มีวินัยแต่ไม่สันทัดในการลงทุน แต่ไม่เหมาะกับคนใจร้อน ต้องการผลตอบแทนสูงสูงไวไว หรือผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในการลงทุนอยู่แล้ว ตามที่ท่านอื่นได้แสดงความคิดเห็นไว้แล้ว