อยากทราบว่า ทุกท่านที่มีประสบการณ์ เคยผ่านวิกฤติ มีแนวคิด การปรับพอร์ต หุ้นกลุ่มที่น่าสนใจ มีกลยุทธ์ต่อจากนี้อย่างไร อยากให้ช่วยกันแชร์กันครับ
เราจะผ่านไปด้วยกัน Covid-19
![โขกกำแพง :wall:](./images/smilies/icon_wall.gif)
![โขกกำแพง :wall:](./images/smilies/icon_wall.gif)
![โขกกำแพง :wall:](./images/smilies/icon_wall.gif)
picatos เขียน: ↑ศุกร์ มี.ค. 20, 2020 5:20 amขั้นแรก ต้องรักษาใจตัวเองให้ได้ก่อนครับ ถ้าสามารถรักษาใจไม่ให้ตกไปตามราคาหุ้นที่ตกได้ วิกฤตนี้ก็ถือเป็นโอกาสทองเป็นอย่างยิ่ง
ผมผ่านวิกฤตปี 2008 มา ผมสามารถบอกและยืนยันจากประสบการณ์ได้เลยว่า ความสำเร็จ ความมั่งมี ที่ผมมีอยู่ที่วันนี้ ก็ได้มาจากการผ่านวิกฤตครั้งที่แล้ว
ดังนั้นเมื่อผมได้มาเจอกับวิกฤตครั้งนี้อีก ผมไม่กลัวนะ ผมดีใจมาก ดีใจที่ได้เจอมันอีก สถานการณ์ที่เราจะได้ทดสอบ เรียนรู้ และ สนุกกับการงาน การศึกษาการลงทุน เลยทำให้ชีวิตผมในช่วงนี้ ร่าเริง และมีพลังงานมากๆ
ในบรรดาโอกาสทองที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ โอกาสที่สำคัญที่สุด คือ โอกาสในการฝึก พัฒนา เครื่องมือ ในการที่จะรักษาใจตัวเอง ให้มีความกล้าหาญ เข็มแข็ง ในการเผชิญกับปัญหา วิกฤต อุปสรรค ที่จะสามารถนำไปใช้ได้อีกเยอะมากในอนาคต
เครื่องมือ ตลอดจน องค์ความรู้ที่ใช้ในการพัฒนาตัวเองในช่วงนี้ มีหลายอย่างมาก แต่สำหรับผม ถ้าให้เลือกเครื่องมือที่ดีที่สุด ที่สำคัญที่สุด ก็คือ เครื่องมือในการเข้าใจความทุกข์ของเรา และเรียนรู้ที่อยู่กับความไม่ได้ดังใจ ความที่ไม่เป็นไปตามสิ่งที่เราหวัง โดยที่เราไม่ไปทุกข์ใจกับมัน ถ้าฝึกจนเก่ง จนแก่กล้า จะมีความสามารถในการอยู่กับสภาพนี้ด้วยทัศนคติเชิงบวก มีความสุขได้ในทุกๆ สถานการณ์
เครื่องมือในการเข้าถือความสามารถนี้ได้ สำหรับผม คือ สติปัฎฐาน 4 หรือ ที่ตั้งของการเอาสติเข้าไปวาง 4 อย่าง ที่พระพุทธเจ้าของเราได้ทรงบัญญัติเอาไว้ในสมัยพุทธกาล
หากถามว่า จะไปศึกษาเรื่องนี้อย่างไร ผมศรัทธา และขอ แนะนำ คุณดังตฤณ อาจารย์ร่วมสมัย ที่เผยแพร่ธรรมะนี้ ผ่านทางโลก ออนไลน์ ที่สามารถเข้าถึงได้ง่ายๆ ผ่านจากบ้าน ในยามที่เราต้อง Work From Home
ขั้นที่ 2 เมื่อรักษาใจตัวเองได้ สภาพของใจของเราจะมีความสามารถอย่างหนึ่งที่เพิ่มขึ้น คือ อยู่ในสถานการณ์ แต่ไม่จมลงไปกับสถานการณ์ เราจะมีความสามารถในการถอยใจของเรา มาอยู่กับฐานของสติที่เราได้ฝึกขึ้น เมื่อเรามีความสามารถในการถอยออกมาจากสถานการณ์ ออกมามองปัญหาต่างๆ ในมุมของคนนอก ในหลายๆ มุม หลายๆ มิติ ทั้งภาพกว้าง และภาพลึก ทั้งมิติในเชิงโครงสร้าง และเชิงเวลา ทั้งความสัมพันธ์ และแรงส่งแรงกระทบกันของปัญหาที่ซ้อนกันเป็นทอดๆ เราก็จะสามารถมองเห็นสิ่งต่างๆ ได้ตามความเป็นจริงมากยิ่งขึ้น
เมื่อมองเห็นสิ่งต่างๆ ได้ตามความเป็นจริง ไม่ได้ยึดสิ่งใดสิ่งหนึ่ง สภาพใดสภาพหนึ่ง ว่าเป็นตัวตน เป็นอัตตาที่เราควรยึดมั่นถือมั่น หุ้นที่เคยเป็นหุ้นของเรา ก็จะกลายเป็นหุ้นที่ควรลงทุน ที่น่าลงทุน ที่มีโอกาสเท่าไร มีความเสี่ยงเท่าไร มี Upside เท่าไร มี Downside เท่าไร มีแนวโน้มอย่างไร มีตัวเร่งอย่างไร มีจังหวะเวลาอย่างไร
เมื่อสามารถเห็นการลงทุนต่างๆ ได้ตามความเป็นจริงมากขึ้น การลงทุน ก็เหลือเป็นเพียงการจัดสรรสัดส่วนของเครื่องมือทางการเงินแต่ละชิ้น ที่มีประโยชน์และโทษ มีคุณลักษณะของโอกาสความเสี่ยง เข้ามาอยู่ในพอร์ต ผสมสัดส่วนตามความรู้ความเข้าใจของเรา เพื่อทำให้โอกาสและความเสี่ยงของพอร์ตของเราพัฒนาให้ดีขึ้นเรื่อยๆ
วิกฤตก็สักแต่ว่าเป็นสภาพปัจจัยแวดล้อมอันหนึ่ง ที่ทำให้ โอกาสและความเสี่ยงของพอร์ตเราเปลี่ยนไป เราก็แต่ Optimize สัดส่วนการลงทุนของเราให้อยู่สภาพที่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมใหม่อันเกิดจากวิกฤต
ตัวอย่างเช่น เมื่อเกิดวิกฤต Covid ผลกระทบนี้มีผลกระทบในเชิงลบกับหุ้นแต่ละตัวมากน้อยขนาดไหน มีผลในเชิงบวกต่อกิจการอะไรบ้าง upside/downside ของสินทรัพย์แต่ละประเภทเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร ผลกระทบนี้ในเชิงเวลามีอย่างไร ในเชิงจิตวิทยามีอย่างไร เครื่องมือเครื่องไม้ที่เรามีอยู่พร้อมแล้วหรือยังกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เราควรจะในกลยุทธ์ไหนอย่างไร
ทั้งหมดนี้ ศึกษา แล้วเขียนมันออกมา เมื่อศึกษาแล้วเขียนออกมาแล้วก็ศึกษาเพิ่มขึ้นไป ลึกลงไป จนได้เป็น Action Plan ออกมาว่า เราจะทำอะไรอย่างไร ต่อไป เมื่อเกิดเหตุการณ์แต่ละอย่าง ถ้าหุ้นตัวนี้ ราคานี้เราจะซื้อเท่าไร ขายเท่าไร ถ้าสถานการณ์ความรุนแรงหนักขึ้น หรือเบาลง เราจะดำเนินการอะไรอย่างไร
ทั้งหมดนี้ เขียนมาออกมา ในยามที่ใจสงบ พ้นจากสภาพความวุ่ยวายทางใจ จากการวางสติอย่างถูกต้อง เขียนให้เราสามารถเข้าใจมันได้ง่ายๆ สามารถที่จะหยิบขึ้นมาพร้อมกับการใช้งาน
และเมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น ใจของเราถูกตลาดทุบ ทำร้าย ให้ตกกระหน่ำลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม ให้หายใจออกยาวๆ แล้วค่อยๆ ดึงใจกลับมาอยู่ที่ฐานของสติที่ได้ฝึกเอาไว้ จนรู้สึกว่าใจสงบลง ค่อยๆ หยิบสมุด หรือ กระดาษที่เราจด เอาไว้ ว่าเราวางแผนว่าเราจะทำอะไรในสถานการณ์นี้นะ แล้วก็ตัดสินใจทำตามแผนซะ แรงต้านที่จะไม่ทำจะมีอยู่ ความไม่แน่ใจที่จะไม่ทำยังมีอยู่
แต่ว่าแต่... ก็สิ่งที่เราเขียนเอาไว้ เราคิด เราวางแผนตอนที่ใจของเราสงบและเป็นปกติที่สุด มันน่าจะดีกว่าใจของเราที่กำลังวุ่นวายอยู่ตอนนี้นี่นา ดังนั้น ตัดใจทำมันซะ ถึงทำไม่ได้ 100% ก็ลงทำ 50% ของที่วางแผนดูแล้วกัน แต่ถ้าทำ 50% ไม่ได้ ผมว่า 25% ยังไงก็ต้องทำตามแผนนะครับ
นี่แหละครับ คำแนะนำของผม...
สรุป
1. รักษาใจตัวเองให้ได้
2. มีเครื่องมือในการรักษาใจ
3. ศึกษาความเสี่ยง/โอกาส หรือเรื่องอะไรก็แล้วแต่ที่จำเป็นในการบริหารจัดการกับพอร์ต
4. วิเคราะห์ และกำหนดแผนในการดำเนินการ ในยามที่ใจสงบ ปราศจากความวุ่นวาย
5. ทำตามแผนที่เขียนเอาไว้ ในยามที่เกิดเหตุต่างๆ โดยเฉพาะ ในยามที่เกิดเหตุไม่คาดฝัน ที่ทำให้ใจของเราสั่นไหว
ปล.
1) ที่ว่าโอกาสทอง โอกาสทองนี้เป็นโอกาสทองระดับไหน ผมบอกได้เลยว่าจากวิกฤตปี 2008 ผ่านมา 10 ปี พอร์ตของผมโตขึ้น 300 เท่า
2) ด้วยสิ่งที่ผมเล่ามาทั้งหมดนี้ วิกฤตครั้งนี้ พอร์ตของผมไม่เสียหายครับ Drawdown ลงไปเล็กน้อยในช่วงต้น หลังจากทำไปตามแผน พอร์ตก็กลับมาที่เดิมตอนก่อนเกิดวิกฤต
picatos เขียน: ↑ศุกร์ มี.ค. 20, 2020 10:07 am1. แบ่งพอร์ตออกเป็น 3 ส่วน Long-Term (ตั้งใจถือเกิน 10 ปี) , Medium-Term (ตั้งใจถือตราบเท่าที่ยังมี MOS) และ Short-Term (ตั้งใจถือตราบเท่าที่แนวโน้มกิจการระยะสั้นยังดีอยู่)
2. ส่วนที่เป็น Long-Term หากเกิด Crisis ยังไงก็จะไม่ขาย ส่วนนี้ผมมีอยู่ 30% ของพอร์ต
3. เมื่อ Identify ได้ว่ากำลังเกิด Crisis ขึ้น ขาย Short-Term กับ Medium-Term ทิ้งให้หมด
4. ส่วนที่เป็น Long-Term เรา Hedge การลดลงของตลาดด้วย Index Futures และ Options
5. หากหุ้นที่เราถือดีกว่าตลาดจริงๆ จะลงน้อยกว่าตลาด กำไรที่ได้จากการ Short Futures จะมากกว่าขาดทุนที่เสียไปจากหุ้นที่เราถือ (ที่จุดนี้จะทำให้พอร์ตกลับขึ้นไปจุดก่อน Crisis)
6. Identify Indicator ที่จะ Unhedged Index Derivatives ของเรา รอจังหวะที่จะ Unhedged Port จนเป็นกลายเป็น Neutral Position (สำหรับในเคส Crisis ผมจะไม่รีบซื้อ ตั้งใจจะไม่ซื้อ จนกว่าตลาดจะ Bottom Out ยอมซื้อแพงกว่าจุดต่ำสุด แต่ขอให้ชัวร์หน่อยว่า ตลาดลงมาสุดก่อนที่จะเริ่มซื้อหุ้นจริงๆ จังๆ แต่ก็อาจจะมีมือบอนเข้าไปซื้อหุ้นบางตัวได้ถ้าหุ้นตัวนั้น P/E ต่ำกว่า 2 เท่า)
7. ระหว่างรอให้หุ้นลง เพื่อเก็บหุ้น ตั้งใจศึกษากิจการที่เราอยากจะลงทุน โอกาสช่วงนี้จะเยอะมาก ต้องศึกษาต้องอ่านเยอะมาก
picatos เขียน: ↑ศุกร์ มี.ค. 20, 2020 10:07 am1. แบ่งพอร์ตออกเป็น 3 ส่วน Long-Term (ตั้งใจถือเกิน 10 ปี) , Medium-Term (ตั้งใจถือตราบเท่าที่ยังมี MOS) และ Short-Term (ตั้งใจถือตราบเท่าที่แนวโน้มกิจการระยะสั้นยังดีอยู่)
2. ส่วนที่เป็น Long-Term หากเกิด Crisis ยังไงก็จะไม่ขาย ส่วนนี้ผมมีอยู่ 30% ของพอร์ต
3. เมื่อ Identify ได้ว่ากำลังเกิด Crisis ขึ้น ขาย Short-Term กับ Medium-Term ทิ้งให้หมด
4. ส่วนที่เป็น Long-Term เรา Hedge การลดลงของตลาดด้วย Index Futures และ Options
5. หากหุ้นที่เราถือดีกว่าตลาดจริงๆ จะลงน้อยกว่าตลาด กำไรที่ได้จากการ Short Futures จะมากกว่าขาดทุนที่เสียไปจากหุ้นที่เราถือ (ที่จุดนี้จะทำให้พอร์ตกลับขึ้นไปจุดก่อน Crisis)
6. Identify Indicator ที่จะ Unhedged Index Derivatives ของเรา รอจังหวะที่จะ Unhedged Port จนเป็นกลายเป็น Neutral Position (สำหรับในเคส Crisis ผมจะไม่รีบซื้อ ตั้งใจจะไม่ซื้อ จนกว่าตลาดจะ Bottom Out ยอมซื้อแพงกว่าจุดต่ำสุด แต่ขอให้ชัวร์หน่อยว่า ตลาดลงมาสุดก่อนที่จะเริ่มซื้อหุ้นจริงๆ จังๆ แต่ก็อาจจะมีมือบอนเข้าไปซื้อหุ้นบางตัวได้ถ้าหุ้นตัวนั้น P/E ต่ำกว่า 2 เท่า)
7. ระหว่างรอให้หุ้นลง เพื่อเก็บหุ้น ตั้งใจศึกษากิจการที่เราอยากจะลงทุน โอกาสช่วงนี้จะเยอะมาก ต้องศึกษาต้องอ่านเยอะมาก
จริงๆ มันยากนะ ของผมก็มั่วๆ เอา ไม่ได้กะจะซื้อที่ต่ำสุด แต่จะยอมซื้อแพงกว่าจุดต่ำสุดขึ้นมาหน่อย โดยมีจุดสังเกต คือ
มาหาหุ้นตีแตกอะไรช่วงนี้ครับ หาทางรอดวิกฤตดีกว่าไหมครับ? รอดให้ได้ก่อน ค่อยทำกำไรครับ ถ้ายังไม่รอด อย่าคิดทำกำไร
ทำยังไงถึงจะรู้ตัวเร็วว่าวิกฤตครับpicatos เขียน: ↑ศุกร์ มี.ค. 20, 2020 10:07 am1. แบ่งพอร์ตออกเป็น 3 ส่วน Long-Term (ตั้งใจถือเกิน 10 ปี) , Medium-Term (ตั้งใจถือตราบเท่าที่ยังมี MOS) และ Short-Term (ตั้งใจถือตราบเท่าที่แนวโน้มกิจการระยะสั้นยังดีอยู่)
2. ส่วนที่เป็น Long-Term หากเกิด Crisis ยังไงก็จะไม่ขาย ส่วนนี้ผมมีอยู่ 30% ของพอร์ต
3. เมื่อ Identify ได้ว่ากำลังเกิด Crisis ขึ้น ขาย Short-Term กับ Medium-Term ทิ้งให้หมด
4. ส่วนที่เป็น Long-Term เรา Hedge การลดลงของตลาดด้วย Index Futures และ Options
5. หากหุ้นที่เราถือดีกว่าตลาดจริงๆ จะลงน้อยกว่าตลาด กำไรที่ได้จากการ Short Futures จะมากกว่าขาดทุนที่เสียไปจากหุ้นที่เราถือ (ที่จุดนี้จะทำให้พอร์ตกลับขึ้นไปจุดก่อน Crisis)
6. Identify Indicator ที่จะ Unhedged Index Derivatives ของเรา รอจังหวะที่จะ Unhedged Port จนเป็นกลายเป็น Neutral Position (สำหรับในเคส Crisis ผมจะไม่รีบซื้อ ตั้งใจจะไม่ซื้อ จนกว่าตลาดจะ Bottom Out ยอมซื้อแพงกว่าจุดต่ำสุด แต่ขอให้ชัวร์หน่อยว่า ตลาดลงมาสุดก่อนที่จะเริ่มซื้อหุ้นจริงๆ จังๆ แต่ก็อาจจะมีมือบอนเข้าไปซื้อหุ้นบางตัวได้ถ้าหุ้นตัวนั้น P/E ต่ำกว่า 2 เท่า)
7. ระหว่างรอให้หุ้นลง เพื่อเก็บหุ้น ตั้งใจศึกษากิจการที่เราอยากจะลงทุน โอกาสช่วงนี้จะเยอะมาก ต้องศึกษาต้องอ่านเยอะมาก
ไม่มันมีสูตรตายตัวหรอกครับ ถ้ามันมีสูตรตายตัว มันก็ไม่เป็นวิกฤตอยู่แล้ว ถ้าเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ง่ายๆ สิ่งๆ นั้นก็จะไม่เกิดอยู่แล้วyamajung เขียน: ↑เสาร์ มี.ค. 21, 2020 9:02 amทำยังไงถึงจะรู้ตัวเร็วว่าวิกฤตครับ
ผมเจอปัญหาว่ากว่าจะรู้ตัวมันก็ลงมาลึกมากแล้ว พอคิดว่าลึก จะมาเฮจจิ้งตอนนี้ก็กลัวกินหญ้า
แต่กลับกลายเป็นว่าที่ลงมาลึก เพิ่งจะแค่ครึ่งทาง ลงต่ออีกพรวด ตายละรู้งี้เฮจจิ้งไปดีกว่า
คือขาขึ้นที่ยาวนานมันทำไห้เราไม่กล้าชอตอะครับเพราะกลัวว่าตลาดจะบ้าๆบอๆ ขึ้นสวนแบบแพงแล้วแพงอีก แต่ยังดีที่รู้สึกว่าราคาหุ้นมันแพงแบบไร้เหตผล เลยไม่ได้สวน ตลอดทางลง สรุปว่า 1 ปีที่ผ่านมาทั้งตกรถและไม่ติดดอยเลยงงๆ ว่า นี่ทำถูกรึเปล่า ช่วยชี้แนะด้วยครับ พี่ตี๋
picatos เขียน: ↑เสาร์ มี.ค. 21, 2020 9:33 amไม่มันมีสูตรตายตัวหรอกครับ ถ้ามันมีสูตรตายตัว มันก็ไม่เป็นวิกฤตอยู่แล้ว ถ้าเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ง่ายๆ สิ่งๆ นั้นก็จะไม่เกิดอยู่แล้ว
วิธีการ คือ ศึกษาครับ ศึกษาว่าวิกฤตที่ผ่านมาเป็นอย่างไร ศึกษาเกี่ยวกับฟองสบู่ กับการแตกของฟองสบู่ ศึกษาเกี่ยวกับจิตวิทยาของนักลงทุน กับ Economic และ Market Cycle ศึกษาเยอะๆ ถ้าอ่านไปสัก 10-20 เล่ม ผมเชื่อว่าเราน่าจะพัฒนาเซนส์ในการรับรู้ได้ว่า ความน่าจะเป็นในการเกิดวิกฤต ณ ขณะหนึ่งๆ มีมากน้อยขนาดไหน
ที่สำคัญ เมื่อเกิดสิ่งที่ไม่คาดฝันขึ้นแล้ว อย่างในเคสนี้ ตอนแรกผมก็ไม่คิดว่าจะมีอะไร จนกระทั่งเกิดเคสคุณป้ามหาภัยที่เกาหลี ตลอดจนตลาดขายหนักมากในสัปดาห์ถัดมา สุดสัปดาห์ตอนตลาดปิด ลองตบหน้าตัวเอง เอาน้ำราดหัว แล้วถอยออกมามอง มาวิเคราะห์สถานการณ์ดีๆ ด้วยความสงบที่ตัวเองได้ฝึกมาก่อนหน้านั้นแล้ว ถามตัวเองง่ายๆ ว่า Upside / Downside ตอนนี้เป็นอย่างไร ถ้าถือต่อมีโอกาสจะขึ้นได้มากขนาดไหน? ถ้าเราไม่มีหุ้นอยู่เราอยากจะมีหุ้นไหม? แล้วถ้าลง มันจะลงได้ขนาดไหน? พอผมพิจารณาโอกาส และความเสี่ยงจบ ผมได้ข้อสรุปว่าผมมีเวลาไม่นานในการ Take Action ผมก็กำหนดแผนในการขาย ในการเข้า Position ในช่วงวันเสาร์อาทิตย์
พอต้นสัปดาห์มา ก็เดินหน้า ลุยตามแผน กัดฟันตัดแขน ตัดขา เท่าที่จำเป็น... อย่ากลัวเจ็บ อย่ากลัวเสียอวัยวะ กับเรื่องที่จะทำให้เราเสียชีวิต... มันจะเสียวๆ เจ็บๆ จี๊ดๆ ตอน ทำตามแผน ซึ่งถ้าไม่มีเครื่องมือในการจัดการกับใจตัวเอง สุดท้ายก็จบ เพราะ มนุษย์เรา ถูกออกแบบมาใน DNA ให้เวลากลัวมากๆ ตัวจะแข็ง Freeze หรือไม่ก็หนีตายโดยไม่มีเหตุผล ทั้งๆ ที่ช่วงเวลาวิกฤต จำเป็นต้องมีเหตุผล มีจังหวะหยุด จังหวะกระทำ จังหวะถอย จังหวะลุก ซึ่งถ้าไม่เขียนออกมาเป็นแผนตอนที่ใจสงบๆ สุดท้าย พอกลับเข้าไปในตลาด ก็มืออ่อน เท้าอ่อน กดขายไม่ลง มีข้ออ้างให้กับตัวเองตลอดเวลา
ปล ผมไม่ได้ชื่อ ตี๋ ครับ
picatos เขียน: ↑เสาร์ มี.ค. 21, 2020 9:33 amไม่มันมีสูตรตายตัวหรอกครับ ถ้ามันมีสูตรตายตัว มันก็ไม่เป็นวิกฤตอยู่แล้ว ถ้าเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ง่ายๆ สิ่งๆ นั้นก็จะไม่เกิดอยู่แล้ว
วิธีการ คือ ศึกษาครับ ศึกษาว่าวิกฤตที่ผ่านมาเป็นอย่างไร ศึกษาเกี่ยวกับฟองสบู่ กับการแตกของฟองสบู่ ศึกษาเกี่ยวกับจิตวิทยาของนักลงทุน กับ Economic และ Market Cycle ศึกษาเยอะๆ ถ้าอ่านไปสัก 10-20 เล่ม ผมเชื่อว่าเราน่าจะพัฒนาเซนส์ในการรับรู้ได้ว่า ความน่าจะเป็นในการเกิดวิกฤต ณ ขณะหนึ่งๆ มีมากน้อยขนาดไหน
ที่สำคัญ เมื่อเกิดสิ่งที่ไม่คาดฝันขึ้นแล้ว อย่างในเคสนี้ ตอนแรกผมก็ไม่คิดว่าจะมีอะไร จนกระทั่งเกิดเคสคุณป้ามหาภัยที่เกาหลี ตลอดจนตลาดขายหนักมากในสัปดาห์ถัดมา สุดสัปดาห์ตอนตลาดปิด ลองตบหน้าตัวเอง เอาน้ำราดหัว แล้วถอยออกมามอง มาวิเคราะห์สถานการณ์ดีๆ ด้วยความสงบที่ตัวเองได้ฝึกมาก่อนหน้านั้นแล้ว ถามตัวเองง่ายๆ ว่า Upside / Downside ตอนนี้เป็นอย่างไร ถ้าถือต่อมีโอกาสจะขึ้นได้มากขนาดไหน? ถ้าเราไม่มีหุ้นอยู่เราอยากจะมีหุ้นไหม? แล้วถ้าลง มันจะลงได้ขนาดไหน? พอผมพิจารณาโอกาส และความเสี่ยงจบ ผมได้ข้อสรุปว่าผมมีเวลาไม่นานในการ Take Action ผมก็กำหนดแผนในการขาย ในการเข้า Position ในช่วงวันเสาร์อาทิตย์
พอต้นสัปดาห์มา ก็เดินหน้า ลุยตามแผน กัดฟันตัดแขน ตัดขา เท่าที่จำเป็น... อย่ากลัวเจ็บ อย่ากลัวเสียอวัยวะ กับเรื่องที่จะทำให้เราเสียชีวิต... มันจะเสียวๆ เจ็บๆ จี๊ดๆ ตอน ทำตามแผน ซึ่งถ้าไม่มีเครื่องมือในการจัดการกับใจตัวเอง สุดท้ายก็จบ เพราะ มนุษย์เรา ถูกออกแบบมาใน DNA ให้เวลากลัวมากๆ ตัวจะแข็ง Freeze หรือไม่ก็หนีตายโดยไม่มีเหตุผล ทั้งๆ ที่ช่วงเวลาวิกฤต จำเป็นต้องมีเหตุผล มีจังหวะหยุด จังหวะกระทำ จังหวะถอย จังหวะลุก ซึ่งถ้าไม่เขียนออกมาเป็นแผนตอนที่ใจสงบๆ สุดท้าย พอกลับเข้าไปในตลาด ก็มืออ่อน เท้าอ่อน กดขายไม่ลง มีข้ออ้างให้กับตัวเองตลอดเวลา
ปล ผมไม่ได้ชื่อ ตี๋ ครับ
ก่อนหน้านี้ พอพอร์ตใหญ่ถึงจุดหนึ่ง ผมไม่มีแรงบันดาลใจในการที่จะพยายามที่จะหาเงินเพิ่มเลยครับ พอเข้าวิกฤติช่วงแรกๆ จำเป็นต้องขยัน แต่ข้อสอบใหม่ที่เข้ามาก็ดูเหมือนจะทำได้ ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว ก็ถามตัวเองว่า จะพยายามทำไปทำไม จะพยายามหาเพิ่มไปทำไม ในเมื่อชีวิตก็ไม่ได้ต้องการอะไรไปมากกว่านี้แล้ว
รบกวนถามนะครับพี่picatos เขียน: ↑เสาร์ มี.ค. 21, 2020 9:33 amไม่มันมีสูตรตายตัวหรอกครับ ถ้ามันมีสูตรตายตัว มันก็ไม่เป็นวิกฤตอยู่แล้ว ถ้าเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ง่ายๆ สิ่งๆ นั้นก็จะไม่เกิดอยู่แล้ว
วิธีการ คือ ศึกษาครับ ศึกษาว่าวิกฤตที่ผ่านมาเป็นอย่างไร ศึกษาเกี่ยวกับฟองสบู่ กับการแตกของฟองสบู่ ศึกษาเกี่ยวกับจิตวิทยาของนักลงทุน กับ Economic และ Market Cycle ศึกษาเยอะๆ ถ้าอ่านไปสัก 10-20 เล่ม ผมเชื่อว่าเราน่าจะพัฒนาเซนส์ในการรับรู้ได้ว่า ความน่าจะเป็นในการเกิดวิกฤต ณ ขณะหนึ่งๆ มีมากน้อยขนาดไหน
ที่สำคัญ เมื่อเกิดสิ่งที่ไม่คาดฝันขึ้นแล้ว อย่างในเคสนี้ ตอนแรกผมก็ไม่คิดว่าจะมีอะไร จนกระทั่งเกิดเคสคุณป้ามหาภัยที่เกาหลี ตลอดจนตลาดขายหนักมากในสัปดาห์ถัดมา สุดสัปดาห์ตอนตลาดปิด ลองตบหน้าตัวเอง เอาน้ำราดหัว แล้วถอยออกมามอง มาวิเคราะห์สถานการณ์ดีๆ ด้วยความสงบที่ตัวเองได้ฝึกมาก่อนหน้านั้นแล้ว ถามตัวเองง่ายๆ ว่า Upside / Downside ตอนนี้เป็นอย่างไร ถ้าถือต่อมีโอกาสจะขึ้นได้มากขนาดไหน? ถ้าเราไม่มีหุ้นอยู่เราอยากจะมีหุ้นไหม? แล้วถ้าลง มันจะลงได้ขนาดไหน? พอผมพิจารณาโอกาส และความเสี่ยงจบ ผมได้ข้อสรุปว่าผมมีเวลาไม่นานในการ Take Action ผมก็กำหนดแผนในการขาย ในการเข้า Position ในช่วงวันเสาร์อาทิตย์
พอต้นสัปดาห์มา ก็เดินหน้า ลุยตามแผน กัดฟันตัดแขน ตัดขา เท่าที่จำเป็น... อย่ากลัวเจ็บ อย่ากลัวเสียอวัยวะ กับเรื่องที่จะทำให้เราเสียชีวิต... มันจะเสียวๆ เจ็บๆ จี๊ดๆ ตอน ทำตามแผน ซึ่งถ้าไม่มีเครื่องมือในการจัดการกับใจตัวเอง สุดท้ายก็จบ เพราะ มนุษย์เรา ถูกออกแบบมาใน DNA ให้เวลากลัวมากๆ ตัวจะแข็ง Freeze หรือไม่ก็หนีตายโดยไม่มีเหตุผล ทั้งๆ ที่ช่วงเวลาวิกฤต จำเป็นต้องมีเหตุผล มีจังหวะหยุด จังหวะกระทำ จังหวะถอย จังหวะลุก ซึ่งถ้าไม่เขียนออกมาเป็นแผนตอนที่ใจสงบๆ สุดท้าย พอกลับเข้าไปในตลาด ก็มืออ่อน เท้าอ่อน กดขายไม่ลง มีข้ออ้างให้กับตัวเองตลอดเวลา
ปล ผมไม่ได้ชื่อ ตี๋ ครับ
ผมผ่านวิกฤตปี 2008 มา ผมสามารถบอกและยืนยันจากประสบการณ์ได้เลยว่า ความสำเร็จ ความมั่งมี ที่ผมมีอยู่ที่วันนี้ ก็ได้มาจากการผ่านวิกฤตครั้งที่แล้ว
ดังนั้นเมื่อผมได้มาเจอกับวิกฤตครั้งนี้อีก ผมไม่กลัวนะ ผมดีใจมาก ดีใจที่ได้เจอมันอีก สถานการณ์ที่เราจะได้ทดสอบ เรียนรู้ และ สนุกกับการงาน การศึกษาการลงทุน เลยทำให้ชีวิตผมในช่วงนี้ ร่าเริง และมีพลังงานมากๆ
ระหว่างรอให้หุ้นลง เพื่อเก็บหุ้น ตั้งใจศึกษากิจการที่เราอยากจะลงทุน โอกาสช่วงนี้จะเยอะมาก ต้องศึกษาต้องอ่านเยอะมาก
2. ราคาหุ้นไม่ทำ lower low มีข่าวร้ายที่หนักกว่าเดิม แต่ราคาหุ้นไม่ลงไปมากกว่าเดิม (คนที่ถอดใจสุดๆ เลิกเล่นหุ้นขายแล้ว แต่ก็ไม่ลงไปต่ำกว่าเดิม)
3. ถ้ามอง scenario เป็น V-Shape ราคาอาจจะเป็น double bottom แล้วเด้ง แต่ผมว่า เคสนี้น่าจะซึมๆ volume บางๆ เป็น U shape มากกว่า ช่วงเก็บหุ้นน่าจะยาวๆ คนจะไม่อยากพูดถึงเรื่องหุ้น หันไปสนใจเรื่องอื่นกัน
มาหาหุ้นตีแตกอะไรช่วงนี้ครับ หาทางรอดวิกฤตดีกว่าไหมครับ? รอดให้ได้ก่อน ค่อยทำกำไรครับ ถ้ายังไม่รอด อย่าคิดทำกำไร
ขอบคุณอาจารย์ picatos มากๆ เลยครับที่กลับมาโพสต์ให้ความรู้ และคำแนะนำในช่วงสำคัญอย่างนี้สำหรับคนที่ยังไม่รอด และพยายามที่จะเอาตัวรอด อยากได้ไอเดียในการเอาตัวรอด ถามคำถามมาครับ ผมจะพยายามช่วยเท่าที่ผมจะช่วยได้ครับ จะตอบหากคิดว่าเป็นประโยชน์
ตอนแรกที่ผมตั้งใจจะไม่โพสต์อะไรที่ไหนอีกแล้ว แต่วิกฤติครั้งนี้รุนแรงยิ่งนัก หากไม่รังเกียจผมขอเป็นเทียน หรือ หิ่งห้อยตัวเล็กๆ ให้กับสังคมวีไอ ให้กับโลกใบนี้ ในยามที่ดูเหมือนว่าโลกนี้ช่างมืดมิดเสียเหลือเกิน เป็นแสงสว่างให้แก่กันและกัน และช่วยกันส่งต่อความสว่างและความอบอุ่นอันให้กับคนอื่นได้เท่าที่เราจะช่วยกันได้