How to get Super Rich Accidentally / ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
-
- Verified User
- โพสต์: 214
- ผู้ติดตาม: 0
How to get Super Rich Accidentally / ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
โพสต์ที่ 1
How to get Super Rich "Accidentally"
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
งาน VI Summit 2019, KL, Malaysia
19-20 มกราคม 2019
เราได้มีโอกาสไปฟัง ดร. นิเวศน์ ขึ้นบรรยายบนเวที VI Summit 2019, KL, Malaysia เมื่อวันที่ 19 มกรา 2019 ที่ผ่านมา
งานนี้จัดโดย 8VIC Malaysia (ในส่วนรายละเอียดผู้จัดงาน ขอรอพี่ๆมาเสริม เพราะเราเพิ่งเคยไปเป็นครั้งเเรกค่ะ) คนที่ไปร่วมงานเป็นนักลงทุนแนวหุ้นเน้นคุณค่าจากประเทศเพื่อนบ้านอย่างเช่น จีน สิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ไทย เวียดนาม มีคนร่วมงานครั้งนี้ประมาณ 900 คน (เยอะกว่าที่คิด) บน sentiment ของตลาดหุ้นที่เงินต่างชาติไหลออกจากตลาด Emerging market อย่างหนัก ในช่วงเวลาที่ต่างชาติขายออกจาก SET เกือบสามแสนล้านบาท เเละเพิ่งเริ่มกลับเข้ามาในตลาดเพื่อนบ้านเมื่อต้นปีที่ผ่านมา
จะขอเล่าถึง 3 หัวข้อที่เราชอบ เเต่วันนี้เล่าถึง ดร. นิเวศน์ก่อนค่ะ
ดร. นิเวศน์ ขึ้นบรรยายปิดท้ายงานวันแรก ทำให้เราเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ดร. นิเวศน์ “ของพวกเรา” ก็เป็นที่นิยมในหมู่นักลงทุนเพื่อนบ้านมากแค่ไหน เวลา ดร. บรรยายเค้าจะตั้งใจฟังกัน ฮือฮา เเละอยากจะถามคำถามกับ ดร. ... ที่ประเทศเพื่อนบ้านเค้าไม่มีเสาหลักที่จะมาเล่าเรื่องเกี่ยวกับการลงทุนแนวเน้นคุณค่าแบบที่เมืองไทยมี ...เวลาชั่วโมงนิดๆ ที่ ดร. นิเวศน์เล่าให้ฟังถึงวิธีการลงทุนและการหา Super Stocks เป็นการเล่าที่ธรรมชาติ และชัดเจนมากๆ แล้ววิธีการแบบนั้นจะพาเราไปสู่การรวยแบบ Super Rich ได้อย่างไร ดร. นิเวศน์ออกตัวอย่างถ่อมตัวว่าที่จริงแล้ว ดร. เป็นแบบนี้ได้เพราะความโชคดีที่ไปอยู่ถูกที่ ถูกเวลา และถูกวิธีการ
การจะรวยมากๆนั้น มักจะมีต้นทุน นั่นคือ
• เราต้องออมเงินที่เรามาได้อย่างน้อย 15% หรือมากกว่านั้น
• เราจะต้องใช้เงินอย่างประหยัด และไม่ได้บริโภคความหรูหรา อย่างน้อยก็จนกว่าเราจะเกษียณ หรือ ตาย
• เราจะต้องใส่เงินปันผล และ capital gain ทั้งหมดลงไปลงทุนใหม่ เอามาใช้ไม่ได้
แล้วสิ่งที่เราจะได้แลกเปลี่ยนกลับมาคืออะไร
• เราจะได้ “อนาคต” แทนที่จะเป็นสิ่งของ
• เราจะได้ความมั่นคง และความสบายใจ
• เราจะได้ความรู้สึกว่าเรารวย และรวยมาก
ขั้นตอนในการรวย
• เราจะต้องเอาเงินออมทั้งหมดไปลงในหุ้นเท่านั้น และถือให้ยาวมากๆ (30 ปีขึ้นไป) เพราะในระยะยาว “หุ้น” จะให้ผลตอบแทนดีที่สุด โดยเฉลี่ยประมาณ 10% ต่อปี และมีความเสี่ยงต่ำกว่าสินทรัพย์ประเภทอื่น (ในระยะสั้น หุ้น อาจจะผันผวนมาก แต่ถ้าถือไปยาวๆแล้วหุ้นมีความเสี่ยงต่ำ)
• ด้วยมหัศจรรย์แห่งผลตอบแทนแบบทบต้น หุ้นจะให้ return เป็นเท่าตัว ในทุกๆ 7 ปี
• เลือกลงทุนในหุ้นหลักๆ 12 ตัว ประมาณ 70% ของพอร์ต โดยภายใน 12 ตัว นั้น ต้องมีการ diversify ธุรกิจ
• ไม่ถือหุ้นตัวใด ตัวหนึ่งเกิน 30% ของพอร์ต
• และเพราะเราต้องถือหุ้นเป็นเวลานาน
... เราจึงต้องเลือกลงทุนในหุ้นเพียง 2 ประเภท เพื่อลงทุน
1) Super Stocks
2) Super Cheap Stocks
หน้าตาของหุ้น Super Stocks เป็นอย่างไร?
• เป็นบริษัทที่ยิ่งใหญ่ (great company) ที่ราคาหุ้นสมเหตุสมผล
• เมื่อหาเจอแล้ว ถือให้นานที่สุด อย่างน้อย 5 ปีขึ้นไป (ส่วนตัวของ ดร. จะถือเป็นสิบๆปี)
• มีการเติบโตเป็น 10 เด้ง ใน 10 ปี ( หุ้นเหล่านี้จะให้ผลตอบแทนประมาณ 26% ทบต้นในระยะเวลาดังกล่าว)
• เลือกหุ้นที่อยู่ใน mega trend, และเลือกหุ้นที่เป็นผู้ชนะในอุตสาหกรรม... ผู้ชนะจะมียอดขายสูงกว่าผู้แพ้แบบไม่เห็นฝุ่น
และผู้ชนะจะต้องมีลักษณะ ดังต่อไปนี้
1) Durable Competitive Advantage (มี brand ที่แข็งแกร่ง, มี economies of scale, มี network, ต้นทุนของผู้ใช้สูง ในการที่จะเปลี่ยนไปใช้ของคนอื่น, มีความผูกขาดโดยธรรมชาติ, สามารถควบคุมราคาวัตถุดิบให้ถูกลงได้, และไม่ถูกทำลายได้ง่ายๆด้วย IT หรือ technology)
2) อยู่ใน Virtuous cycle คือยิ่งทำธุรกิจ ยิ่งแข็งแกร่ง ยิ่งมี competitive advantage มากขึ้น
3) มีการเงินที่ดี ( ROE สูง, มี NPM จากการขายสูงเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรม, กำไรเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ, มีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานดี, ไม่ต้องลงทุนไปกับพวกเครื่องักรหรือการซ่อมบำรุงเยอะ)
4) ราคาหุ้นสมเหตุสมผล (PE < 30, market cap ไม่สูงมาเมื่อเทียบกับศักยภาพการเติบโตของอุตสาหกรรม)
ส่วนหุ้น Super Cheap Stocks
• เป็นบริษัทที่ดี (good company) ที่จะไม่ตาย หรือไม่ถดถอยไปตามการกาลเวลา ไม่ถูก disrupt ง่ายๆ และมีการเติบโตของกำไรอย่างน้อย 10% และมีปันผลที่เหมาะสม
• ถือเอาไว้อย่างน้อยประมาณ 3 ปีเติบโตประมาณ 10-15% ต่อปี ในระยะเวลา 2-3 ปี
** ที่สำคัญ อย่าพยายามคาดเดาตลาด เพื่อที่จะเทรดหุ้น Super Stocks
แล้วเมื่อไรที่เราควรจะขาย Super Stocks ?
• เมื่อหุ้นตัวนั้นสูญเสียความเป็น Super Stocks
• เมื่อเราเจอหุ้น Super Stocksที่ดีกว่า แล้วเราไม่มีตังค์ เราคงต้องขายแล้ว switch ตัว
• เมื่อตลาดของอุตสาหกรรมหรือสินค้านั้นอิ่มตัว
• เมื่อหุ้นตัวนั้นแพงเกินไป
ยกตัวอย่างหุ้น Super Stocks ใน SET: CPALL, HMPRO, BH, BDMS, AOT, MINT, CPN, CENTEL, ADVANC
ส่วนที่สำคัญอีกอย่างนึงคือ การเพิ่มโอกาสที่จะรวย ... นั่นคือแก้ว 3 ดวงที่ ดร. เคยสอนพวกเราบ่อยๆ คือ
1) เงินต้น, 2) ผลตอบแทนทบต้น, และ 3) เวลา
คนที่จะมีเงินต้นเยอะๆ ถ้าไม่เพราะมีโชค ได้มรดก หรือแต่งงานกับคนรวย ... แต่ถ้าพวกเราเลยจุดนั้นกันมาเเล้ว สิ่งที่พวกเราจะทำได้คือ ทำงานที่ได้ค่าตอบแทนเยอะๆ และเก็บออมเอา ซึ่งตัวของ ดร. นิเวศน์เองก็ไม่ได้มีมรดก แต่ได้เงินต้นมาจากการทำงานและเก็บออม
ต่อมาคือนิสัยของคนที่จะเป็นนักลงทุนหุ้นเน้นคุณค่าโดยธรรมชาติคือ ประหยัด อดออม, คิดและมองโลกอย่างมีตรรกะ, มีวินัย, ส่วนคนที่ไม่ได้มีฐานะไม่ต้องน้อยใจ เพราะความจนก็อ่จจะช่วยให้เราเป็นนักลงทุน VI โดยธรรมชาติได้ (เพราะคนที่เกิดมาฐานะยากจน จะรู้คุณค่าของเงิน และพยายามใช้เงินให้คุ้มค่า)
ดร. ยังยกตัวอย่างนักลงทุนระดับโลก ซึ่งแน่นอนมี Warren Buffett ซึ่งจากการคำนวนน่าจะเริ่มด้วยเงินต้นประมาณ 1 ล้านเหรียญสหรัฐ ถือว่าเริ่มด้วยเงินต้นในปริมาณที่ดีเลยทีเดียว .. ปู่ Warren ผลตอบแทนทบต้นประมาณ 20% ต่อปี และ ระยะเวลาลงทุนประมาณ 63 ปีเข้าไปแล้ว มูลค่าทรัพย์สินตอนนี้ประมาณ US$ 80 billion
ต่อมาคือป้าแอน Anne Sheiber เป็นคนที่ระดับเราๆ ท่านๆ พอที่จะเป็นได้ เพราะเริ่มลงทุนด้วยเงินต้น 5,000 เหรียญสหรัฐ แถมเริ่มลงทุนตอนอายุ 50 ปีด้วยซ้ำ แต่ผลตอบแทนของป้าแอนอยู่ที่ประมาณ 18% ต่อปีทบต้น ลงทุนในหุ้นธรรมดาที่ป้าแอนรู้จักในชีวิตประจำวัน ระยะเวลาในการลงทุนคือ 50 ปี (เริ่มตอนอายุ 51, ตายตอนอายุ 101 ในปี 1995 ) มูลค่าทรัพย์สินประมาณ US$ 22 billion และบริจาคทั้งหมด
ส่วนตัวของ ดร. นิเวศน์เอง เริ่มต้นด้วยเงินลงทุน 600,000 เหรียญสหรัฐ โดยเก็บออมถึง 30% หรือมากกว่า ลงทุนมาประมาณ 22 ปี ด้วยผลตอบแทนทบต้นประมาณ 31% (เงินลงทุน 1 บาท กลายเป็น 370 บาท) มูลค่าทรัพย์สินประมาณ 200 ล้านเหรียญสหรัฐ (เท่าที่เปิด public)
แต่สิ่งสำคัญที่สุดที่ ดร. นิเวศน์ค้นพบคือ การมีสุขภาพที่ดี เพราะต้องอยู่รอดู ให้ผลตอบแทนทบต้นมันทำงาน ดังนั้นเราควรต้องหันมาดูแลใส่ใจสุขภาพ เพื่อรอชื่นชมผลงานการลงทุนของเราให้ผลิดอกออกผล นั่นเอง
จบแบบเก๋ๆค่ะ ดร. ^^
ขอบคุณทุกท่านที่อ่านมาถึงตรงนี้ ถ้ามีอะไรเสริม ทำได้เต็มที่เลยนะคะ และถ้าเราเขียนอะไรผิดพลาดไป ต้องขออภัยไว้ ณ. ที่นี้ด้วยค่ะ
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
งาน VI Summit 2019, KL, Malaysia
19-20 มกราคม 2019
เราได้มีโอกาสไปฟัง ดร. นิเวศน์ ขึ้นบรรยายบนเวที VI Summit 2019, KL, Malaysia เมื่อวันที่ 19 มกรา 2019 ที่ผ่านมา
งานนี้จัดโดย 8VIC Malaysia (ในส่วนรายละเอียดผู้จัดงาน ขอรอพี่ๆมาเสริม เพราะเราเพิ่งเคยไปเป็นครั้งเเรกค่ะ) คนที่ไปร่วมงานเป็นนักลงทุนแนวหุ้นเน้นคุณค่าจากประเทศเพื่อนบ้านอย่างเช่น จีน สิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ไทย เวียดนาม มีคนร่วมงานครั้งนี้ประมาณ 900 คน (เยอะกว่าที่คิด) บน sentiment ของตลาดหุ้นที่เงินต่างชาติไหลออกจากตลาด Emerging market อย่างหนัก ในช่วงเวลาที่ต่างชาติขายออกจาก SET เกือบสามแสนล้านบาท เเละเพิ่งเริ่มกลับเข้ามาในตลาดเพื่อนบ้านเมื่อต้นปีที่ผ่านมา
จะขอเล่าถึง 3 หัวข้อที่เราชอบ เเต่วันนี้เล่าถึง ดร. นิเวศน์ก่อนค่ะ
ดร. นิเวศน์ ขึ้นบรรยายปิดท้ายงานวันแรก ทำให้เราเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ดร. นิเวศน์ “ของพวกเรา” ก็เป็นที่นิยมในหมู่นักลงทุนเพื่อนบ้านมากแค่ไหน เวลา ดร. บรรยายเค้าจะตั้งใจฟังกัน ฮือฮา เเละอยากจะถามคำถามกับ ดร. ... ที่ประเทศเพื่อนบ้านเค้าไม่มีเสาหลักที่จะมาเล่าเรื่องเกี่ยวกับการลงทุนแนวเน้นคุณค่าแบบที่เมืองไทยมี ...เวลาชั่วโมงนิดๆ ที่ ดร. นิเวศน์เล่าให้ฟังถึงวิธีการลงทุนและการหา Super Stocks เป็นการเล่าที่ธรรมชาติ และชัดเจนมากๆ แล้ววิธีการแบบนั้นจะพาเราไปสู่การรวยแบบ Super Rich ได้อย่างไร ดร. นิเวศน์ออกตัวอย่างถ่อมตัวว่าที่จริงแล้ว ดร. เป็นแบบนี้ได้เพราะความโชคดีที่ไปอยู่ถูกที่ ถูกเวลา และถูกวิธีการ
การจะรวยมากๆนั้น มักจะมีต้นทุน นั่นคือ
• เราต้องออมเงินที่เรามาได้อย่างน้อย 15% หรือมากกว่านั้น
• เราจะต้องใช้เงินอย่างประหยัด และไม่ได้บริโภคความหรูหรา อย่างน้อยก็จนกว่าเราจะเกษียณ หรือ ตาย
• เราจะต้องใส่เงินปันผล และ capital gain ทั้งหมดลงไปลงทุนใหม่ เอามาใช้ไม่ได้
แล้วสิ่งที่เราจะได้แลกเปลี่ยนกลับมาคืออะไร
• เราจะได้ “อนาคต” แทนที่จะเป็นสิ่งของ
• เราจะได้ความมั่นคง และความสบายใจ
• เราจะได้ความรู้สึกว่าเรารวย และรวยมาก
ขั้นตอนในการรวย
• เราจะต้องเอาเงินออมทั้งหมดไปลงในหุ้นเท่านั้น และถือให้ยาวมากๆ (30 ปีขึ้นไป) เพราะในระยะยาว “หุ้น” จะให้ผลตอบแทนดีที่สุด โดยเฉลี่ยประมาณ 10% ต่อปี และมีความเสี่ยงต่ำกว่าสินทรัพย์ประเภทอื่น (ในระยะสั้น หุ้น อาจจะผันผวนมาก แต่ถ้าถือไปยาวๆแล้วหุ้นมีความเสี่ยงต่ำ)
• ด้วยมหัศจรรย์แห่งผลตอบแทนแบบทบต้น หุ้นจะให้ return เป็นเท่าตัว ในทุกๆ 7 ปี
• เลือกลงทุนในหุ้นหลักๆ 12 ตัว ประมาณ 70% ของพอร์ต โดยภายใน 12 ตัว นั้น ต้องมีการ diversify ธุรกิจ
• ไม่ถือหุ้นตัวใด ตัวหนึ่งเกิน 30% ของพอร์ต
• และเพราะเราต้องถือหุ้นเป็นเวลานาน
... เราจึงต้องเลือกลงทุนในหุ้นเพียง 2 ประเภท เพื่อลงทุน
1) Super Stocks
2) Super Cheap Stocks
หน้าตาของหุ้น Super Stocks เป็นอย่างไร?
• เป็นบริษัทที่ยิ่งใหญ่ (great company) ที่ราคาหุ้นสมเหตุสมผล
• เมื่อหาเจอแล้ว ถือให้นานที่สุด อย่างน้อย 5 ปีขึ้นไป (ส่วนตัวของ ดร. จะถือเป็นสิบๆปี)
• มีการเติบโตเป็น 10 เด้ง ใน 10 ปี ( หุ้นเหล่านี้จะให้ผลตอบแทนประมาณ 26% ทบต้นในระยะเวลาดังกล่าว)
• เลือกหุ้นที่อยู่ใน mega trend, และเลือกหุ้นที่เป็นผู้ชนะในอุตสาหกรรม... ผู้ชนะจะมียอดขายสูงกว่าผู้แพ้แบบไม่เห็นฝุ่น
และผู้ชนะจะต้องมีลักษณะ ดังต่อไปนี้
1) Durable Competitive Advantage (มี brand ที่แข็งแกร่ง, มี economies of scale, มี network, ต้นทุนของผู้ใช้สูง ในการที่จะเปลี่ยนไปใช้ของคนอื่น, มีความผูกขาดโดยธรรมชาติ, สามารถควบคุมราคาวัตถุดิบให้ถูกลงได้, และไม่ถูกทำลายได้ง่ายๆด้วย IT หรือ technology)
2) อยู่ใน Virtuous cycle คือยิ่งทำธุรกิจ ยิ่งแข็งแกร่ง ยิ่งมี competitive advantage มากขึ้น
3) มีการเงินที่ดี ( ROE สูง, มี NPM จากการขายสูงเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรม, กำไรเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ, มีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานดี, ไม่ต้องลงทุนไปกับพวกเครื่องักรหรือการซ่อมบำรุงเยอะ)
4) ราคาหุ้นสมเหตุสมผล (PE < 30, market cap ไม่สูงมาเมื่อเทียบกับศักยภาพการเติบโตของอุตสาหกรรม)
ส่วนหุ้น Super Cheap Stocks
• เป็นบริษัทที่ดี (good company) ที่จะไม่ตาย หรือไม่ถดถอยไปตามการกาลเวลา ไม่ถูก disrupt ง่ายๆ และมีการเติบโตของกำไรอย่างน้อย 10% และมีปันผลที่เหมาะสม
• ถือเอาไว้อย่างน้อยประมาณ 3 ปีเติบโตประมาณ 10-15% ต่อปี ในระยะเวลา 2-3 ปี
** ที่สำคัญ อย่าพยายามคาดเดาตลาด เพื่อที่จะเทรดหุ้น Super Stocks
แล้วเมื่อไรที่เราควรจะขาย Super Stocks ?
• เมื่อหุ้นตัวนั้นสูญเสียความเป็น Super Stocks
• เมื่อเราเจอหุ้น Super Stocksที่ดีกว่า แล้วเราไม่มีตังค์ เราคงต้องขายแล้ว switch ตัว
• เมื่อตลาดของอุตสาหกรรมหรือสินค้านั้นอิ่มตัว
• เมื่อหุ้นตัวนั้นแพงเกินไป
ยกตัวอย่างหุ้น Super Stocks ใน SET: CPALL, HMPRO, BH, BDMS, AOT, MINT, CPN, CENTEL, ADVANC
ส่วนที่สำคัญอีกอย่างนึงคือ การเพิ่มโอกาสที่จะรวย ... นั่นคือแก้ว 3 ดวงที่ ดร. เคยสอนพวกเราบ่อยๆ คือ
1) เงินต้น, 2) ผลตอบแทนทบต้น, และ 3) เวลา
คนที่จะมีเงินต้นเยอะๆ ถ้าไม่เพราะมีโชค ได้มรดก หรือแต่งงานกับคนรวย ... แต่ถ้าพวกเราเลยจุดนั้นกันมาเเล้ว สิ่งที่พวกเราจะทำได้คือ ทำงานที่ได้ค่าตอบแทนเยอะๆ และเก็บออมเอา ซึ่งตัวของ ดร. นิเวศน์เองก็ไม่ได้มีมรดก แต่ได้เงินต้นมาจากการทำงานและเก็บออม
ต่อมาคือนิสัยของคนที่จะเป็นนักลงทุนหุ้นเน้นคุณค่าโดยธรรมชาติคือ ประหยัด อดออม, คิดและมองโลกอย่างมีตรรกะ, มีวินัย, ส่วนคนที่ไม่ได้มีฐานะไม่ต้องน้อยใจ เพราะความจนก็อ่จจะช่วยให้เราเป็นนักลงทุน VI โดยธรรมชาติได้ (เพราะคนที่เกิดมาฐานะยากจน จะรู้คุณค่าของเงิน และพยายามใช้เงินให้คุ้มค่า)
ดร. ยังยกตัวอย่างนักลงทุนระดับโลก ซึ่งแน่นอนมี Warren Buffett ซึ่งจากการคำนวนน่าจะเริ่มด้วยเงินต้นประมาณ 1 ล้านเหรียญสหรัฐ ถือว่าเริ่มด้วยเงินต้นในปริมาณที่ดีเลยทีเดียว .. ปู่ Warren ผลตอบแทนทบต้นประมาณ 20% ต่อปี และ ระยะเวลาลงทุนประมาณ 63 ปีเข้าไปแล้ว มูลค่าทรัพย์สินตอนนี้ประมาณ US$ 80 billion
ต่อมาคือป้าแอน Anne Sheiber เป็นคนที่ระดับเราๆ ท่านๆ พอที่จะเป็นได้ เพราะเริ่มลงทุนด้วยเงินต้น 5,000 เหรียญสหรัฐ แถมเริ่มลงทุนตอนอายุ 50 ปีด้วยซ้ำ แต่ผลตอบแทนของป้าแอนอยู่ที่ประมาณ 18% ต่อปีทบต้น ลงทุนในหุ้นธรรมดาที่ป้าแอนรู้จักในชีวิตประจำวัน ระยะเวลาในการลงทุนคือ 50 ปี (เริ่มตอนอายุ 51, ตายตอนอายุ 101 ในปี 1995 ) มูลค่าทรัพย์สินประมาณ US$ 22 billion และบริจาคทั้งหมด
ส่วนตัวของ ดร. นิเวศน์เอง เริ่มต้นด้วยเงินลงทุน 600,000 เหรียญสหรัฐ โดยเก็บออมถึง 30% หรือมากกว่า ลงทุนมาประมาณ 22 ปี ด้วยผลตอบแทนทบต้นประมาณ 31% (เงินลงทุน 1 บาท กลายเป็น 370 บาท) มูลค่าทรัพย์สินประมาณ 200 ล้านเหรียญสหรัฐ (เท่าที่เปิด public)
แต่สิ่งสำคัญที่สุดที่ ดร. นิเวศน์ค้นพบคือ การมีสุขภาพที่ดี เพราะต้องอยู่รอดู ให้ผลตอบแทนทบต้นมันทำงาน ดังนั้นเราควรต้องหันมาดูแลใส่ใจสุขภาพ เพื่อรอชื่นชมผลงานการลงทุนของเราให้ผลิดอกออกผล นั่นเอง
จบแบบเก๋ๆค่ะ ดร. ^^
ขอบคุณทุกท่านที่อ่านมาถึงตรงนี้ ถ้ามีอะไรเสริม ทำได้เต็มที่เลยนะคะ และถ้าเราเขียนอะไรผิดพลาดไป ต้องขออภัยไว้ ณ. ที่นี้ด้วยค่ะ
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
-
- Verified User
- โพสต์: 41
- ผู้ติดตาม: 0
Re: How to get Super Rich Accidentally / ดร.นิเวศน์ เหมวชิรว
โพสต์ที่ 2
ตอนที่เจออาจารย์ อาจารย์บอกผมก็พูดเหมือนเดิมเหมือนที่เคยพูด แต่เอาเข้าจริงๆถึงแม้จะเป็นการฟัง ดร ครั้งที่สามในเวทีต่างประเทศ ก็ได้มุมมองที่กลับไปคิดต่อยอดได้พอสมควรเลยที่เดียว อาจารย์ออกตัวว่าเป็นนักลงทุนแบบเน้นคุณค่าที่เป็น Super Rich by Accidentally ซึ่งหมายความว่า มีความเป็นไปได้น้อยมากไม่ใช่ทุกคนที่จะเป็นแบบนี้ได้ แต่อาจารย์ก็บอกว่าถึงแม้พวกคุณจะไม่ได้เป็น Super rich แต่คุณก็ยังสามารถรวยได้ด้วยการใช้วิธีการที่ผมใช้ ตามที่จะบบรยายต่อไป ในตอนจบของการบรรยายอาจารย์แนะนำให้ผู้ฟังว่า หลายคนในห้องนี้สามารถที่จะมี 100 ล้านเหรียญริงกิต ประมาณ 700 ล้านบาท ก่อนตายได้โดยออมเงินให้ได้ 1ล้านริงกิตแล้วลงทุนใน Index fund ใช้เวลา 50ปี และจะมีคนบางคนในห้องนี้ จะเป็น Accidentally Super Rich ได้ โดยที่คุณต้องมีวินัยและเป็น Dedicated Value Investorโดยใช้กลยุทธที่ผมบอกและประสบความสำเร็จ 20ปีที่ผ่านมา อาจารย์ยกตัวอย่างข้อเท็จจริงอันนึงที่ว่า ตลาดหุ้นมาเลเซียดัชนี ตอน คศ2008 อยู่ที่ประมาณ 800 10ปี ผ่านมาขึ้นมา อยู่ที่ประมาณ 1800 ทิศทางไม่ได้แตกต่างจากไทยตอนนั้นมากดัชนีไทยก็จากประมาณ 500 มา 1600 อาจารย์บอกว่าการใช้หลักการที่บรรยายย่อมเป็นสิ่งที่มีความเป็นไปได้
สิ่งที่สำคัญเรื่องนึงที อาจารย์จะย้ำเสมอว่าอาจาจารย์เป็น Natural Value Investor คือนอกจากการลงทุนแล้วชีวิตประจำวันก็ยังมีนิสัยหรือประพฤติตัวแบบนั้นด้วย อาจารย์ยกตัวอย่างต้นแบบในต่างประเทศ ที่เป็น Natural Value Investor ก็คือ Warren Buffet กับ Anne Sheiber คือถ้าดูจากการใช้ชีวืตประจำวันจะไปรู้เลยว่าสองท่านนี้คือ Super rich เพราะสิ่งที่เปลี่ยนไปหลังจากการที่มีเงินในบัญชีที่มากขึ้นในการใช้ชีวิตประจำวันนั้นมีน้อยมาก เข่นอาจจะมีความสุขมากขึ้นกับเวลาพูดแล้วมีคนฟังสิ่งที่อาจารย์พูดมากขึ้น
อาจารย์เคยบอกว่าในเวทีประเทศเพื่อนบ้าน เช่น มาเลยสิงค์โปร์ไม่มีนักลงทุนรายย่อยที่เริ่มต้นจากเงินไม่มากแล้วเป็น Super rich แบบอาจารย์ มาดูข้อเท็จจริงก็จริงเพราะในมาเลย์เซียมีนักลงทุนที่ได้รับฉายา ว่าเป็น Warren Buffett แห่งมาเลเซียมีอยู่คนนึงคือ Tan Teng Boo แห่ง Capital Dynamicsซึ่งเปนผู้จัดการกองทุนแต่ผลตอบแทนระยะยาวอยู่ที่ประมาณ 14 % กองทุนตั้งมาตั้งแต่ปี 1988 ขนาดกองทุนประมาณ 7พันล้านบาท
ส่วนตัวรู้สึกว่านักลงทุนไทยโชคดีที่มีอาจารย์เป็นเสาหลักที่ริเริ่มการลงทุนแบบเน้นคุณค่าในเเมืองไทยไม่เหมือนในต่างประเทศเลยทำให้มีคนที่ประสบความเร็จในการลงทุนน่าจะมีน้อยกว่ามาก เคยมานั่งคิดว่าถ้าอาจารย์ไม่เริ่มแนวคิดแล้วเผยแพร่การลงทุนแบบนี้ทั้งการบรรยาย การเขียนหนังสือ (อาจารย์บอกระหว่างบรรยายว่าเขียนหนังสือมา 20 เล่มแล้ว มีเสียงฮือฮาระหว่างบรรยาย) การทำให้ดูจริง และการตอบคำถามอย่างเป็นกันเองอย่างต่อเนื่อง เมื่อ 20ปีก่อน สังคมการลงทุนแบบเน้นคูณค่าและนักลงทุนหลายคนที่ประสบความสำเร็จจะมีหลายคนแบบในปัจจุบันจะเกิดขึ้นไหม คำตอบคิดว่าคงเปลี่ยนไปมาก และก็คงเหมือนในประเทศอื่นๆ
Warren Buffett เคยกล่าวชาบู John Bogle คนที่ริเริ่ม Index fund ว่ามีคุณูปการต่อคนอเมริกันมาก จนอยากจะจะสร้างอนุสาวรีย์ให้ ในไทยก็เช่นเดียวกันคงสามารถกล่าวได้ว่า ถ้าไม่มีอาจารย์สอนสั่งในอดีตก็คงไม่มีปัจจุบันของนักลงทุนเน้นคุณค่าหลายคนในวันนี้เช่นกัน
สิ่งที่สำคัญเรื่องนึงที อาจารย์จะย้ำเสมอว่าอาจาจารย์เป็น Natural Value Investor คือนอกจากการลงทุนแล้วชีวิตประจำวันก็ยังมีนิสัยหรือประพฤติตัวแบบนั้นด้วย อาจารย์ยกตัวอย่างต้นแบบในต่างประเทศ ที่เป็น Natural Value Investor ก็คือ Warren Buffet กับ Anne Sheiber คือถ้าดูจากการใช้ชีวืตประจำวันจะไปรู้เลยว่าสองท่านนี้คือ Super rich เพราะสิ่งที่เปลี่ยนไปหลังจากการที่มีเงินในบัญชีที่มากขึ้นในการใช้ชีวิตประจำวันนั้นมีน้อยมาก เข่นอาจจะมีความสุขมากขึ้นกับเวลาพูดแล้วมีคนฟังสิ่งที่อาจารย์พูดมากขึ้น
อาจารย์เคยบอกว่าในเวทีประเทศเพื่อนบ้าน เช่น มาเลยสิงค์โปร์ไม่มีนักลงทุนรายย่อยที่เริ่มต้นจากเงินไม่มากแล้วเป็น Super rich แบบอาจารย์ มาดูข้อเท็จจริงก็จริงเพราะในมาเลย์เซียมีนักลงทุนที่ได้รับฉายา ว่าเป็น Warren Buffett แห่งมาเลเซียมีอยู่คนนึงคือ Tan Teng Boo แห่ง Capital Dynamicsซึ่งเปนผู้จัดการกองทุนแต่ผลตอบแทนระยะยาวอยู่ที่ประมาณ 14 % กองทุนตั้งมาตั้งแต่ปี 1988 ขนาดกองทุนประมาณ 7พันล้านบาท
ส่วนตัวรู้สึกว่านักลงทุนไทยโชคดีที่มีอาจารย์เป็นเสาหลักที่ริเริ่มการลงทุนแบบเน้นคุณค่าในเเมืองไทยไม่เหมือนในต่างประเทศเลยทำให้มีคนที่ประสบความเร็จในการลงทุนน่าจะมีน้อยกว่ามาก เคยมานั่งคิดว่าถ้าอาจารย์ไม่เริ่มแนวคิดแล้วเผยแพร่การลงทุนแบบนี้ทั้งการบรรยาย การเขียนหนังสือ (อาจารย์บอกระหว่างบรรยายว่าเขียนหนังสือมา 20 เล่มแล้ว มีเสียงฮือฮาระหว่างบรรยาย) การทำให้ดูจริง และการตอบคำถามอย่างเป็นกันเองอย่างต่อเนื่อง เมื่อ 20ปีก่อน สังคมการลงทุนแบบเน้นคูณค่าและนักลงทุนหลายคนที่ประสบความสำเร็จจะมีหลายคนแบบในปัจจุบันจะเกิดขึ้นไหม คำตอบคิดว่าคงเปลี่ยนไปมาก และก็คงเหมือนในประเทศอื่นๆ
Warren Buffett เคยกล่าวชาบู John Bogle คนที่ริเริ่ม Index fund ว่ามีคุณูปการต่อคนอเมริกันมาก จนอยากจะจะสร้างอนุสาวรีย์ให้ ในไทยก็เช่นเดียวกันคงสามารถกล่าวได้ว่า ถ้าไม่มีอาจารย์สอนสั่งในอดีตก็คงไม่มีปัจจุบันของนักลงทุนเน้นคุณค่าหลายคนในวันนี้เช่นกัน
-
- Verified User
- โพสต์: 214
- ผู้ติดตาม: 0
Re: How to get Super Rich Accidentally / ดร.นิเวศน์ เหมวชิรว
โพสต์ที่ 3
ขอบพระคุณมากค่ะพี่ Wispan _/\_
มาต่อกันค่ะ
เราจะขอเล่าถึงผู้หญิงที่น่าอิจฉาที่สุดในงาน ... คนที่โดนปู่ Warren กอด แถมกระซิบข้างหู (^^)
และได้ไปสัมภาษณ์ ปู่ Warren ถึง 8 ครั้งในงานประชุมประจำปีของผู้ถือหุ้น Berkshire Hathaway
เธอชื่อ Sarah Fu ค่ะ
https://www.youtube.com/watch?v=PFRprdawPbE
[youtube]https://www.youtube.com/watch?v=PFRprdawPbE[/youtube]
Sarah เป็นนักข่าว เธอไม่ได้เล่าถึงการลงทุนมากนัก แต่มาแชร์ประสบการณ์, เล่าเรื่องของปู่ Warren
และฉายภาพบรรยากาศเวลาที่เธอได้สัมภาษณ์มากกว่า และนี่เป็นครั้งแรกที่ Sarah มางาน VI Summit ค่ะ
เราขอคัดเฉพาะเนื้อๆมาแชร์แล้วกันค่ะ
Sarah มักจะถูกคนรอบข้างถามว่า ปู่ Warren ใบ้หุ้นอะไรให้บ้าง ... จริงๆ คงไม่มีหรอกค่ะ ไม่งั้นคงเป็นข่าวดังไปเเล้ว
แต่แค่เห็นรูปนี้ก็อิจฉาแล้วอ่ะ อยากมีปู่มาทำท่ากระซิบข้างหูบ้างอะไรบ้าง ^^
ตัดภาพมาที่ Sarah ได้ทำข้อมูลกราฟช่วงที่ปู่ Warren อายุระหว่าง 50-88 ปี เทียบกับผลตอนแทนทบต้นของ Berkshire
พบว่าเงิน 1 เหรียญสหรัฐ ถ้าลงทุนในหุ้นของ Berkshire ตอนปี 1980 จะโตขึ้นเป็น 1,055 เหรียญสหรัฐ
(ขออภัยในมุมมองของภาพค่ะ เราอาจจะไม่ได้นั่งในตำแหน่งที่ดีนัก แต่พยายามถ่ายมาให้ชัดที่สุดแล้ว)
ถัดมา ..ลองมาดูการถือเงินสดของ Berkshire นั้นเพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ก็ไม่ทราบว่ายังหาที่ลงที่ถูกใจไม่ได้
หรือส่งสัญญาอะไรหรือเปล่านะคะ ก็ว่ากันไป
และนี่คือหน้าตาของหุ้นหลักๆในพอร์ตของ Berkshire Hathaway ในแต่ละปีค่ะ
คร่าวๆ ก็จะประมาณนี้ค่ะ สำหรับช่วงของ Sarah
มาต่อกันค่ะ
เราจะขอเล่าถึงผู้หญิงที่น่าอิจฉาที่สุดในงาน ... คนที่โดนปู่ Warren กอด แถมกระซิบข้างหู (^^)
และได้ไปสัมภาษณ์ ปู่ Warren ถึง 8 ครั้งในงานประชุมประจำปีของผู้ถือหุ้น Berkshire Hathaway
เธอชื่อ Sarah Fu ค่ะ
https://www.youtube.com/watch?v=PFRprdawPbE
[youtube]https://www.youtube.com/watch?v=PFRprdawPbE[/youtube]
Sarah เป็นนักข่าว เธอไม่ได้เล่าถึงการลงทุนมากนัก แต่มาแชร์ประสบการณ์, เล่าเรื่องของปู่ Warren
และฉายภาพบรรยากาศเวลาที่เธอได้สัมภาษณ์มากกว่า และนี่เป็นครั้งแรกที่ Sarah มางาน VI Summit ค่ะ
เราขอคัดเฉพาะเนื้อๆมาแชร์แล้วกันค่ะ
Sarah มักจะถูกคนรอบข้างถามว่า ปู่ Warren ใบ้หุ้นอะไรให้บ้าง ... จริงๆ คงไม่มีหรอกค่ะ ไม่งั้นคงเป็นข่าวดังไปเเล้ว
แต่แค่เห็นรูปนี้ก็อิจฉาแล้วอ่ะ อยากมีปู่มาทำท่ากระซิบข้างหูบ้างอะไรบ้าง ^^
ตัดภาพมาที่ Sarah ได้ทำข้อมูลกราฟช่วงที่ปู่ Warren อายุระหว่าง 50-88 ปี เทียบกับผลตอนแทนทบต้นของ Berkshire
พบว่าเงิน 1 เหรียญสหรัฐ ถ้าลงทุนในหุ้นของ Berkshire ตอนปี 1980 จะโตขึ้นเป็น 1,055 เหรียญสหรัฐ
(ขออภัยในมุมมองของภาพค่ะ เราอาจจะไม่ได้นั่งในตำแหน่งที่ดีนัก แต่พยายามถ่ายมาให้ชัดที่สุดแล้ว)
ถัดมา ..ลองมาดูการถือเงินสดของ Berkshire นั้นเพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ก็ไม่ทราบว่ายังหาที่ลงที่ถูกใจไม่ได้
หรือส่งสัญญาอะไรหรือเปล่านะคะ ก็ว่ากันไป
และนี่คือหน้าตาของหุ้นหลักๆในพอร์ตของ Berkshire Hathaway ในแต่ละปีค่ะ
คร่าวๆ ก็จะประมาณนี้ค่ะ สำหรับช่วงของ Sarah
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 11443
- ผู้ติดตาม: 0
Re: How to get Super Rich Accidentally / ดร.นิเวศน์ เหมวชิรว
โพสต์ที่ 4
ผมอยากจะบอกว่า เสาหลักการลงทุนแนว VI ในประเทศไทย นอกจากอาจารย์นิเวศน์ แล้วยังมี อาจารย์ไพบูลย์ รายการ Money Talk สมาคมนักลงทุนคุณค่า ( ประเทศไทย ) และเวบไซด์แห่งนี้ ThaiVI
จงอยู่เหนือความดี อย่าหลงความดี
-
- Verified User
- โพสต์: 214
- ผู้ติดตาม: 0
Re: How to get Super Rich Accidentally / ดร.นิเวศน์ เหมวชิรว
โพสต์ที่ 5
ขอบคุณพี่ Chatchai มากค่ะ _/\_
ถ้าเขียนอะไรผิดพลาดไป ขออภัยไว้ ณ. ตรงนี้ด้วยค่ะ
คนสุดท้ายที่จะขอเล่าถึงสำหรับงานในปีนี้คือ Mr. จาคุซซี่ (ถ้าอ่านเร็วๆ)
Jack Kouzi
เป็น Director ด้าน Strategy ของ VFS Group, Australia
https://vfsgroup.com.au/
บินตรงมาจาก Sydney, ประเทศ Australia มาเพื่องานนี้โดยเฉพาะ
Jack เล่าถึงวิธีการหาหุ้นที่เราจะไปลงทุนแบบ Top-Down approach โดยเริ่มจากการมองหาภูมิภาคที่น่าสนใจ
กำลังอยู่ในช่วงเติบโต และค่อยมองลงไปถึงระดับประเทศที่มีความน่าสนใจค่ะ
และเค้าได้ยกตัวอย่างว่า “ประเทศจีน” เป็นประเทศที่มีศักยภาพในอนาคตค่ะ
เค้ามองว่าทวีปเอเชีย (รวมถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของพวกเราด้วยค่ะ) จะกลายเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจ
การเติบโตกำลังมีการเคลื่อนย้ายจากตะวันตก มาฝั่งตะวันออก
ภายในปี 2020 ทวีปเอเชียจะครอง wealth ถึง 44% ของทั้งโลก
ที่เค้ามองว่าเอเชียจะได้ไปต่อ และจีนเป็นประเทศที่น่าสนใจค่ะ
ด้วยจำนวนประชากร เรื่องการพัฒนาในด้านต่างๆของประเทศ
จีนคิดเรื่อง One Belt One Road เพื่อเปิดเส้นทางการค้าใหม่ และกำลังพยายามจะทำให้เกิดได้จริง
รวมไปถึงมี Maritime Silk Road (ที่จะกลายมาเป็นเครือข่ายท่าเรือที่จะเชื่อมต่อการค้าจากทะเลจีนใต้ไปแอฟริกา
และทำให้เกิดการค้าโดยตรงกับจีนได้ง่ายขึ้น) มีการก่อสร้างโครงการด้าน infrastructure เช่นพวกโรงกลั่นน้ำมัน,
โรงไฟฟ้า, นิคมอุตสาหกรรม และกำลังลากสาย fibre optics เพื่อทำให้ initiatives ดังกล่าวเป็นจริงขึ้นมาได้
โครงการเหล่านี้จีนไม่ได้ทำคนเดียวนะคะ จนถึงตอนนี้มีถึง 60 กว่าประเทศที่ยกมือบอกว่าจะเข้าร่วมด้วยแล้ว
จีนเป็น World’s banker ลองดูได้จากธนาคารจีนที่กลายเป็นผู้ปล่อยกู้หลักๆของโลก
จีนเป็น World’s builder ลองดูได้จากบริษัทรับเหมาก่อสร้างที่เป็น Top 10 ของโลก
จีนมีบริษัททางด้าน Technology ที่กำลังหายใจรดต้นคอบริษัททางฝั่งตะวันตก
อย่างตัวเทคโนโลยี 5G ตอนนี้ก็ยังไม่ชัดว่าจะเป็นฝั่งอเมริกา หรือฝั่งจีนที่จะได้เป็นผู้นำทางด้านนี้
ประชากรที่เป็น millennium ของจีนมากขึ้น รายได้มากขึ้น มีการใช้จ่ายมากขึ้นไปกับพวก มือถือ การท่องเที่ยว
โดยเค้ายก business model ของ 1 ในหุ้น BATs มาเล่าว่ามีความน่าสนใจ
เเต่เราไม่ขอเล่าตรงนี้นะคะ เพราะเค้าไปเล่าเรื่อง business model ที่หุ้นจีนไปทำในอินเดีย ซึ่งเราก็งงๆ ว่าตกลงกำลังพูดถึงจีน หรืออินเดีย
คร่าวๆของงานก็จะประมาณนี้ค่ะ
ถ้าเขียนอะไรผิดพลาดไป ขออภัยไว้ ณ. ตรงนี้ด้วยค่ะ
คนสุดท้ายที่จะขอเล่าถึงสำหรับงานในปีนี้คือ Mr. จาคุซซี่ (ถ้าอ่านเร็วๆ)
Jack Kouzi
เป็น Director ด้าน Strategy ของ VFS Group, Australia
https://vfsgroup.com.au/
บินตรงมาจาก Sydney, ประเทศ Australia มาเพื่องานนี้โดยเฉพาะ
Jack เล่าถึงวิธีการหาหุ้นที่เราจะไปลงทุนแบบ Top-Down approach โดยเริ่มจากการมองหาภูมิภาคที่น่าสนใจ
กำลังอยู่ในช่วงเติบโต และค่อยมองลงไปถึงระดับประเทศที่มีความน่าสนใจค่ะ
และเค้าได้ยกตัวอย่างว่า “ประเทศจีน” เป็นประเทศที่มีศักยภาพในอนาคตค่ะ
เค้ามองว่าทวีปเอเชีย (รวมถึงเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของพวกเราด้วยค่ะ) จะกลายเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจ
การเติบโตกำลังมีการเคลื่อนย้ายจากตะวันตก มาฝั่งตะวันออก
ภายในปี 2020 ทวีปเอเชียจะครอง wealth ถึง 44% ของทั้งโลก
ที่เค้ามองว่าเอเชียจะได้ไปต่อ และจีนเป็นประเทศที่น่าสนใจค่ะ
ด้วยจำนวนประชากร เรื่องการพัฒนาในด้านต่างๆของประเทศ
จีนคิดเรื่อง One Belt One Road เพื่อเปิดเส้นทางการค้าใหม่ และกำลังพยายามจะทำให้เกิดได้จริง
รวมไปถึงมี Maritime Silk Road (ที่จะกลายมาเป็นเครือข่ายท่าเรือที่จะเชื่อมต่อการค้าจากทะเลจีนใต้ไปแอฟริกา
และทำให้เกิดการค้าโดยตรงกับจีนได้ง่ายขึ้น) มีการก่อสร้างโครงการด้าน infrastructure เช่นพวกโรงกลั่นน้ำมัน,
โรงไฟฟ้า, นิคมอุตสาหกรรม และกำลังลากสาย fibre optics เพื่อทำให้ initiatives ดังกล่าวเป็นจริงขึ้นมาได้
โครงการเหล่านี้จีนไม่ได้ทำคนเดียวนะคะ จนถึงตอนนี้มีถึง 60 กว่าประเทศที่ยกมือบอกว่าจะเข้าร่วมด้วยแล้ว
จีนเป็น World’s banker ลองดูได้จากธนาคารจีนที่กลายเป็นผู้ปล่อยกู้หลักๆของโลก
จีนเป็น World’s builder ลองดูได้จากบริษัทรับเหมาก่อสร้างที่เป็น Top 10 ของโลก
จีนมีบริษัททางด้าน Technology ที่กำลังหายใจรดต้นคอบริษัททางฝั่งตะวันตก
อย่างตัวเทคโนโลยี 5G ตอนนี้ก็ยังไม่ชัดว่าจะเป็นฝั่งอเมริกา หรือฝั่งจีนที่จะได้เป็นผู้นำทางด้านนี้
ประชากรที่เป็น millennium ของจีนมากขึ้น รายได้มากขึ้น มีการใช้จ่ายมากขึ้นไปกับพวก มือถือ การท่องเที่ยว
โดยเค้ายก business model ของ 1 ในหุ้น BATs มาเล่าว่ามีความน่าสนใจ
เเต่เราไม่ขอเล่าตรงนี้นะคะ เพราะเค้าไปเล่าเรื่อง business model ที่หุ้นจีนไปทำในอินเดีย ซึ่งเราก็งงๆ ว่าตกลงกำลังพูดถึงจีน หรืออินเดีย
คร่าวๆของงานก็จะประมาณนี้ค่ะ
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้