VI หาดใหญ่
- romee
- Verified User
- โพสต์: 1850
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3211
งบออกหมดแล้ว ดูจากทั้งตัวเอง และของคนอื่นๆแล้วกระอักเลือดกันซะมากกว่า
ไม่เป็นไร บ่อนเปิดทุกวัน หากไม่หมดตัว หรือเลิกไปก่อน เรายังมีโอกาส(หรือเจ๊งเพิ่ม)ได้เสมอครับ
ว่าแล้วก็มาดูหุ้น new low 250วันของเดือนนี้กันคร๊าบ แบ่งเป็นช่วง PE
PE < 0
ABPIF CEN CRANE DCORP DIMET FANCY JUTHA KKC QHOP SQ TFI TKT VPO BEC CI FVC MALEE MNIT SRICHA SSC
VNG WAVE ABM AJA ETE IRCP PHOL SCI SIMAT TTI JSP NBC PJW SSF SSTPF GEL GJS TSF AMARIN SAMART AIRA TNPF VARO
PE ระหว่าง 0-10
ORI TR AH AP SYNTEC SPRC TKS 2S SF THIP BIG SC LANNA SUSCO SAT SPALI PMTA PT UOBKH FSMART ML LIT UVAN
PE ระหว่าง 10-20
TSR LPN KCAR TCMC AMC SIRI CPT WINNER TK BR HTC TMT ASP SPG TRT PATO YUASA IT
CSS MBKET MODERN SAPPE PDI INTUCH TNR PAP BFIT ADB KCE AIT PICO GIFT ASIMAR PPP
SUPER SKE FSS ADVANC AGE ACAP CNS SPI PK MAJOR PTG FLOYD THE AHC COL M-CHAI INGRS
PE 20 - 30
ASAP BSBM TNP NVD TTA SANKO ZIGA DEMCO MEGA TKN PPS CGH CMR UPF WIIK ABICO TWPC QLT AJ
PE > 30 (หุ้นนางฟ้า)
ESTAR CMO BSM FN GBX JMART TVT AU TICON ICHI HUMAN OHTL CIMBT KCM ARIP AKR TCJ TPBI BROCK MONO LOXLEY
ก่อนจบ มีre run บทความในห้องหาดใหญ่ แนวคิดพี่หมอleky เผื่อไว้คัดกรองหุ้นครับ
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f ... 4#p1783964
ไม่เป็นไร บ่อนเปิดทุกวัน หากไม่หมดตัว หรือเลิกไปก่อน เรายังมีโอกาส(หรือเจ๊งเพิ่ม)ได้เสมอครับ
ว่าแล้วก็มาดูหุ้น new low 250วันของเดือนนี้กันคร๊าบ แบ่งเป็นช่วง PE
PE < 0
ABPIF CEN CRANE DCORP DIMET FANCY JUTHA KKC QHOP SQ TFI TKT VPO BEC CI FVC MALEE MNIT SRICHA SSC
VNG WAVE ABM AJA ETE IRCP PHOL SCI SIMAT TTI JSP NBC PJW SSF SSTPF GEL GJS TSF AMARIN SAMART AIRA TNPF VARO
PE ระหว่าง 0-10
ORI TR AH AP SYNTEC SPRC TKS 2S SF THIP BIG SC LANNA SUSCO SAT SPALI PMTA PT UOBKH FSMART ML LIT UVAN
PE ระหว่าง 10-20
TSR LPN KCAR TCMC AMC SIRI CPT WINNER TK BR HTC TMT ASP SPG TRT PATO YUASA IT
CSS MBKET MODERN SAPPE PDI INTUCH TNR PAP BFIT ADB KCE AIT PICO GIFT ASIMAR PPP
SUPER SKE FSS ADVANC AGE ACAP CNS SPI PK MAJOR PTG FLOYD THE AHC COL M-CHAI INGRS
PE 20 - 30
ASAP BSBM TNP NVD TTA SANKO ZIGA DEMCO MEGA TKN PPS CGH CMR UPF WIIK ABICO TWPC QLT AJ
PE > 30 (หุ้นนางฟ้า)
ESTAR CMO BSM FN GBX JMART TVT AU TICON ICHI HUMAN OHTL CIMBT KCM ARIP AKR TCJ TPBI BROCK MONO LOXLEY
ก่อนจบ มีre run บทความในห้องหาดใหญ่ แนวคิดพี่หมอleky เผื่อไว้คัดกรองหุ้นครับ
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f ... 4#p1783964
You only live once, but if you do it right, once is enough.
- AnieLee
- Verified User
- โพสต์: 1436
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3212
ของ่ายๆ ได้ไหมครับว่า เคาะขวาตัวไหนดีครับ ฮ่าๆๆๆๆromee เขียน:งบออกหมดแล้ว ดูจากทั้งตัวเอง และของคนอื่นๆแล้วกระอักเลือดกันซะมากกว่า
ไม่เป็นไร บ่อนเปิดทุกวัน หากไม่หมดตัว หรือเลิกไปก่อน เรายังมีโอกาส(หรือเจ๊งเพิ่ม)ได้เสมอครับ
ว่าแล้วก็มาดูหุ้น new low 250วันของเดือนนี้กันคร๊าบ แบ่งเป็นช่วง PE
PE < 0
ABPIF CEN CRANE DCORP DIMET FANCY JUTHA KKC QHOP SQ TFI TKT VPO BEC CI FVC MALEE MNIT SRICHA SSC
VNG WAVE ABM AJA ETE IRCP PHOL SCI SIMAT TTI JSP NBC PJW SSF SSTPF GEL GJS TSF AMARIN SAMART AIRA TNPF VARO
PE ระหว่าง 0-10
ORI TR AH AP SYNTEC SPRC TKS 2S SF THIP BIG SC LANNA SUSCO SAT SPALI PMTA PT UOBKH FSMART ML LIT UVAN
PE ระหว่าง 10-20
TSR LPN KCAR TCMC AMC SIRI CPT WINNER TK BR HTC TMT ASP SPG TRT PATO YUASA IT
CSS MBKET MODERN SAPPE PDI INTUCH TNR PAP BFIT ADB KCE AIT PICO GIFT ASIMAR PPP
SUPER SKE FSS ADVANC AGE ACAP CNS SPI PK MAJOR PTG FLOYD THE AHC COL M-CHAI INGRS
PE 20 - 30
ASAP BSBM TNP NVD TTA SANKO ZIGA DEMCO MEGA TKN PPS CGH CMR UPF WIIK ABICO TWPC QLT AJ
PE > 30 (หุ้นนางฟ้า)
ESTAR CMO BSM FN GBX JMART TVT AU TICON ICHI HUMAN OHTL CIMBT KCM ARIP AKR TCJ TPBI BROCK MONO LOXLEY
ก่อนจบ มีre run บทความในห้องหาดใหญ่ แนวคิดพี่หมอleky เผื่อไว้คัดกรองหุ้นครับ
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f ... 4#p1783964
####################################################
ความสำเร็จจากการลงทุน ไม่ได้เกิดจาก "การซื้อของดี" แต่มาจาก "การซื้อของได้ดี" ต่างหาก
ความสำเร็จจากการลงทุน ไม่ได้เกิดจาก "การซื้อของดี" แต่มาจาก "การซื้อของได้ดี" ต่างหาก
- AnieLee
- Verified User
- โพสต์: 1436
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3213
มีทติ้งวีไอภาคใต้ Q3/61 เพิ่งจบไปมาดๆ เลยครับ ยังไม่ได้มีเวลาทำสรุปเลยครับ กลับมา ก็พักผ่อนยาว ชดเชยกับการใช้พลังงานมาก เพราะเดินทางแบบไปเช้าเย็นกลับ ก็ตื่นตั้งแต่ตี 2 ครึ่ง ไปสนามบิน ไปถึงหาดใหญ่เช้า ก็มีโอกาสได้ไปทานอาหารเช้ากับพี่ๆ นักลงทุนแสนดี (พี่เจี๊ยบและครอบครัว พี่หมอหนึ่ง รวมถึงน้องเตียงด้วยครับ) ก็ขอใช้พื้นที่ขอบคุณพี่เจี๊ยบ/พี่หมอหนึ่ง/น้องเตียงด้วยครับ ที่มาทานข้าวเช้าด้วยกัน (แถมพี่หมอหนึ่งเป็นเจ้ามืออีกด้วยครับ) พอเสร็จมีทติ้ง ก็ทานข้าวเย็นกับเพื่อนๆ จาก กทม ที่ไปมีทติ้งด้วยกัน และบินกลับ กทม กว่าจะถึง ก็ตี 1 ใช้เวลาคุ้มค่ามากครับ 23 ชั่วโมงทีเดียว ฮ่าๆๆๆ
ยังไงก็ขอเวลาทำสรุปเนื้อหากันครับ ถึงจะช้าหน่อย แต่ก็จะพยายามทยอยเอามาโพสให้ครับ
อดทนรอกันด้วยครับ
ตลาดหุ้นแดงๆ แทบทุกวัน ไม่ต้องใจร้อนครับ ใจเย็นๆ ไปครับ ยิ่งมีเงินสดเยอะ ยิ่งได้เปรียบครับ
ยังไงก็ขอเวลาทำสรุปเนื้อหากันครับ ถึงจะช้าหน่อย แต่ก็จะพยายามทยอยเอามาโพสให้ครับ
อดทนรอกันด้วยครับ
ตลาดหุ้นแดงๆ แทบทุกวัน ไม่ต้องใจร้อนครับ ใจเย็นๆ ไปครับ ยิ่งมีเงินสดเยอะ ยิ่งได้เปรียบครับ
####################################################
ความสำเร็จจากการลงทุน ไม่ได้เกิดจาก "การซื้อของดี" แต่มาจาก "การซื้อของได้ดี" ต่างหาก
ความสำเร็จจากการลงทุน ไม่ได้เกิดจาก "การซื้อของดี" แต่มาจาก "การซื้อของได้ดี" ต่างหาก
-
- Verified User
- โพสต์: 842
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3214
มี้ตติ้งวีไอหาดใหญ่(ภาคใต้)ครั้งที่38 Q3 61
อีก2ครั้งก็ครบสิบปีล่ะฮะ
ขอบคุณอ.ลูกอิสานที่ให้ใช้สิทธิความแก่มามี้ตติ้งนะฮะ
ความรู้สึกเหมือนเดิมเลยฮะ คือฟังเค้าคุยหุ้นกันแล้ว ยังไม่รู้เหมือนเดิมว่าหุ้นอะไรเนี่ย..
อ.ลูกอิสาน
SETลด6.77%หักปันผล3%ก็ลดไปแค่3%
แต่MAIลดไป15% เหวี่ยงมาก กองทุนmid,small capร่วงไป20%
พวกหุ้นgrowthพีอีสูงๆลงหนัก เพราะฟองสบู่(หุ้นgrowth,หุ้นipo)แตก
วีไอส่วนใหญ่หุ้นเล็ก =หุ้นตกต้องทำใจ แต่ระยะยาวหุ้นกลางเล็ก ดีกว่าหุ้นใหญ่
Buffettเจอหุ้นร่วง40%ถึงสี่ครั้ง ผอร์ทรวมร่วง20%อีกหลายครั้ง เราเจอแค่นี้ถือว่า(กระอักเลือด)ไม่เท่าไหร่
ดัชนีลงไม่เยอะ แม้หุ้นขึ้นแค่100ตัวใน700ตัว แค่ptt(+20%),pttep(+40%),hmpro,ea,ก็ยันดัชนีอยู่แล้ว
แถมหุ้นขึ้นฉูดห้าอันดับแรก เป็นหุ้นปั่นซะสี่ตัว(รึ5ฮะ?) ยิ่งแปลว่าดัชนีไม่สะท้อนผลประกอบการส่วนใหญ่
ศิลปะการให้น้ำหนักหุ้นแต่ละตัวจึงสำคัญมาก ให้น้ำหนักผิด ชีวิตเปลี่ยน
ถ้าทำได้ดี ถึงไม่ดีที่สุด ก็ไม่แย่สุดแน่นอน
วิกฤติเลี่ยงไม่ได้ แต่ต้องผ่านมาให้ได้ อย่าตายเสียก่อน จุดตายคือ
ทุ่มสุดตัว,ใช้เงินกู้,หุ้นตัวเดียว
อ.worapong
ยังอยู่ในหุ้นเมกา เลือกเองยาก ตลาดมีประสิทธิภาพ
เลยมาลงindex fund ซึ่งเมกาดีที่สุด เมื่อเทียบกับประเทศอื่น
1. ซื้อผ่านโบรค ข้อเสียคือถ้าขายต้องเสียภาษี30%
2. ซื้อกองทุนของไทยที่ไปลงทุน แต่มีค่าดูแลรายปี(กินผลตอบแทนไปปีละ1%+)
กองทุนดัชนีที่แนะนำ
1. แวนการ์ด500 ตามดัชนีs&p500 อันนี้คืออันที่บัฟเฟต์แนะนำให้ภรรยาลงทุน
2. แวนการ์ด ..จดชื่อไม่ทัน ไกล้เคียงกับ1.
3. Spider SPDR ชื่อในตลาด SPY สภาพคล่องดีกว่า1,2เป็นของblack rock ค่าบริหารแค่0.04-0.05%
ได้ปันผลจะโดนหักภาษี30%ดังนั้นบ.จะซื้อหุ้นคืนแทนที่จะจ่ายปันผลเป็นส่วนใหญ่
ตลาดหุ้นเมกา ถือเป็น30%ของทั้งโลก (ไทยไม่ถึง1%) และยังเป็นผู้นำเสมอ
ตั้งแต่ล่าปลาวาฬ รถไฟ เหล็ก น้ำมัน อีเล็คทรอนิกส์ ไฮเทค ถ้าจะตามกระแสโลก ก็ซื้อผู้นำ(index fund)ไปเลย
พวกfrontier,emerging market มักมีปัญหาค่าเงิน แม้จะมีgrowth
แต่พอมาดูประสิทธิภาพ ROE,CF เมกาดีกว่า ต่อให้มีวิกฤติก็น่าจะสะเทือนน้อยกว่า
ไอเดียจัดสัดส่วนผอร์ท
Jack bogle(เจ้าของแวนการ์ด)
1. ให้DCA
หุ้น60% bond40% หรือ50-50ก็ได้
คือดูประวัติศาสตร์แล้วs&p500 ช่วงปี2002 เคยร่วงลง50%
ถ้ามีหุ้นแค่50-60%ผอร์ทจะใช้เวลาฟื้น 3ปี แต่ถ้าหุ้น100% กว่าจะฟื้นก็5ปี
ถ้าถือหุ้น100%ให้แบ่งเข้าทุกปีเป็นเวลา5ปีดีที่สุด
2. ถ้าจะtiming
ต้องมีbond หรือหุ้น25%ไว้ตลอดเวลา คืออย่าให้ตัวใดตัวนึงเกิน75%
อีก2ครั้งก็ครบสิบปีล่ะฮะ
ขอบคุณอ.ลูกอิสานที่ให้ใช้สิทธิความแก่มามี้ตติ้งนะฮะ
ความรู้สึกเหมือนเดิมเลยฮะ คือฟังเค้าคุยหุ้นกันแล้ว ยังไม่รู้เหมือนเดิมว่าหุ้นอะไรเนี่ย..
อ.ลูกอิสาน
SETลด6.77%หักปันผล3%ก็ลดไปแค่3%
แต่MAIลดไป15% เหวี่ยงมาก กองทุนmid,small capร่วงไป20%
พวกหุ้นgrowthพีอีสูงๆลงหนัก เพราะฟองสบู่(หุ้นgrowth,หุ้นipo)แตก
วีไอส่วนใหญ่หุ้นเล็ก =หุ้นตกต้องทำใจ แต่ระยะยาวหุ้นกลางเล็ก ดีกว่าหุ้นใหญ่
Buffettเจอหุ้นร่วง40%ถึงสี่ครั้ง ผอร์ทรวมร่วง20%อีกหลายครั้ง เราเจอแค่นี้ถือว่า(กระอักเลือด)ไม่เท่าไหร่
ดัชนีลงไม่เยอะ แม้หุ้นขึ้นแค่100ตัวใน700ตัว แค่ptt(+20%),pttep(+40%),hmpro,ea,ก็ยันดัชนีอยู่แล้ว
แถมหุ้นขึ้นฉูดห้าอันดับแรก เป็นหุ้นปั่นซะสี่ตัว(รึ5ฮะ?) ยิ่งแปลว่าดัชนีไม่สะท้อนผลประกอบการส่วนใหญ่
ศิลปะการให้น้ำหนักหุ้นแต่ละตัวจึงสำคัญมาก ให้น้ำหนักผิด ชีวิตเปลี่ยน
ถ้าทำได้ดี ถึงไม่ดีที่สุด ก็ไม่แย่สุดแน่นอน
วิกฤติเลี่ยงไม่ได้ แต่ต้องผ่านมาให้ได้ อย่าตายเสียก่อน จุดตายคือ
ทุ่มสุดตัว,ใช้เงินกู้,หุ้นตัวเดียว
อ.worapong
ยังอยู่ในหุ้นเมกา เลือกเองยาก ตลาดมีประสิทธิภาพ
เลยมาลงindex fund ซึ่งเมกาดีที่สุด เมื่อเทียบกับประเทศอื่น
1. ซื้อผ่านโบรค ข้อเสียคือถ้าขายต้องเสียภาษี30%
2. ซื้อกองทุนของไทยที่ไปลงทุน แต่มีค่าดูแลรายปี(กินผลตอบแทนไปปีละ1%+)
กองทุนดัชนีที่แนะนำ
1. แวนการ์ด500 ตามดัชนีs&p500 อันนี้คืออันที่บัฟเฟต์แนะนำให้ภรรยาลงทุน
2. แวนการ์ด ..จดชื่อไม่ทัน ไกล้เคียงกับ1.
3. Spider SPDR ชื่อในตลาด SPY สภาพคล่องดีกว่า1,2เป็นของblack rock ค่าบริหารแค่0.04-0.05%
ได้ปันผลจะโดนหักภาษี30%ดังนั้นบ.จะซื้อหุ้นคืนแทนที่จะจ่ายปันผลเป็นส่วนใหญ่
ตลาดหุ้นเมกา ถือเป็น30%ของทั้งโลก (ไทยไม่ถึง1%) และยังเป็นผู้นำเสมอ
ตั้งแต่ล่าปลาวาฬ รถไฟ เหล็ก น้ำมัน อีเล็คทรอนิกส์ ไฮเทค ถ้าจะตามกระแสโลก ก็ซื้อผู้นำ(index fund)ไปเลย
พวกfrontier,emerging market มักมีปัญหาค่าเงิน แม้จะมีgrowth
แต่พอมาดูประสิทธิภาพ ROE,CF เมกาดีกว่า ต่อให้มีวิกฤติก็น่าจะสะเทือนน้อยกว่า
ไอเดียจัดสัดส่วนผอร์ท
Jack bogle(เจ้าของแวนการ์ด)
1. ให้DCA
หุ้น60% bond40% หรือ50-50ก็ได้
คือดูประวัติศาสตร์แล้วs&p500 ช่วงปี2002 เคยร่วงลง50%
ถ้ามีหุ้นแค่50-60%ผอร์ทจะใช้เวลาฟื้น 3ปี แต่ถ้าหุ้น100% กว่าจะฟื้นก็5ปี
ถ้าถือหุ้น100%ให้แบ่งเข้าทุกปีเป็นเวลา5ปีดีที่สุด
2. ถ้าจะtiming
ต้องมีbond หรือหุ้น25%ไว้ตลอดเวลา คืออย่าให้ตัวใดตัวนึงเกิน75%
samatah
-
- Verified User
- โพสต์: 842
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3215
Q: มาประชุมหลายครั้ง หลักการก็เดิมๆ ถ้าทำตามๆกันจะมีหุ้นให้ลงทุนอีกมั้ย ต้องมีอะไรพิเศษแตกต่างไปกว่านี้?
A: เพิ่งเขียนหนังสือบทแรกเรื่อง"ความเข้าใจผิดในการลงทุน"เสร็จ เรื่องนี้ก็เป็นหนึ่งในนั้น
ไม่ต้องกลัว ตลาดหุ้นเหมือนมหาสมุทร วีไอเป็นเรือเล็กส่วนน้อย ยังมีปลาให้จับเยอะ
อยู่ที่ทำการบ้านรึเปล่า ก็แค่ขยันและทั้งล้ำและลึกกว่าคนอื่น มีหุ้นแต่ไม่เหลือเงินให้ซื้อซะมากกว่า
ความรู้มันคนละเรื่องกับจิตใจ อย่าไปตามนายตลาดก็แล้วกัน
ถ้าไม่อยากเหนื่อยก็ซื้อกองทุนดัชนี ได้8%อยู่แล้ว
Q: EPS คือเจ้ามือตัวจริง ทำไมกำไรดีแต่หุ้นดันร่วง?
A: 1. สภาวะตลาด ถ้าตลาดpanicก็ ร่วงกันหมดล่ะ
2. ถ้ากำไรโต แต่ไม่ถึงที่คาดหวัง เช่นโต10% แต่โดนคาดหวังไว้ว่าต้องโต30% ก็ร่วงลงฟลอร์ได้เลย
3. ที่เค้าเรียกว่าsale on fact ไล่หุ้นขึ้นกันมาก่อนหน้าแล้ว งบออกก็ขาย
4. ที่เมกา ถ้างบQนี้ดี แต่ผบห.ออกมาคาดการณ์ว่าQหน้าแย่ ก็ถล่มขายเลย
5. กองทุนหรือบ.แม่ต่างชาติต้องการลดสัดส่วน ขายเอาเงินกลับ
Q : ดอกเบี้ยกำลังจะขึ้น มีผลต่อหุ้นเยอะมั้ย
A : ดอกฝากยัง1%+ ขณะที่ปันผลยะง3% กบง.เสียงเริ่มแตกๆ แต่ยังไม่ขึ้น
ส่วนตัวคิดว่า ดอกเบี้ยไม่น่าจะขึ้นไปได้มาก
เพราะดอกขึ้นเมื่อเศรษฐกิจร้อนแรงไป ซึ่งเศรษฐกิจก็ยังไม่ดี หรือขึ้นเมื่อเงินเฟ้อ ต้นทุนสูง ก็ยังไม่ใช่
ดอกเบี้ยเงินฝากต้องอย่างน้อย3% ถึงจะมีคนยอมขายหุ้นมาฝากเงิน
ดอกเบี้ยขึ้นแล้วหุ้นลงยังเป็นความเชื่อเก่า ตอนนี้ดอกขึ้น หุ้นก็ขึ้น
ส่วนพีอีหุ้นก็ให้ราวๆไม่เกิน15 สมเหตุสมผลจาก17ที่เป็นอยู่ตอนนี้
Q : วิกฤติใหญ่จะมาเมื่อไหร่?
A : ไม่มีใครรู้ แต่ทุกปีจะมีเงิน1ล้านล้านบาทมาเติมในตลาดหุ้นไทย
ราวๆครึ่งนึง(5แสนล้าน)ไปเป็นปันผล ซึ่งก็ได้ราวๆ3% อีกครึ่งนึง(5แสนล้าน)ไปลงทุนต่อในบริษัท
ซึ่งถ้าpbvตลาด1.7 ก็จะมีมูลค่าเพิ่มมาราวๆ8แสนล้าน ไปเรื่อยๆทุกปี
หน้าที่เราคือจัดผอร์ทให้แข็งแรงที่สุด(ดาวน์ไซด์ต่ำๆ ไม่แพง ปันผลดี หนี้น้อยใช่มั้ยฮะ)
อาจปางตาย แต่ไม่ตาย การลงทุนเหมือนวิ่งมาราธอน สะดุดได้ เซได้ ล้มใด้ แต่ก็ลุกขึ้นมาวิ่งต่อ อย่าเลิกไปซะก่อน
ตอนวิกฤติมาจริง เตรียมพร้อมแล้วกัน ตอนนั้นเคยใช้มาร์จิ้นซื้อซินเทคที่11ตังค์ แต่พอขึ้นมานิดเดียวก็ขายหมูหมด
Q : ช่วงนี้มีหุ้นแม่ ลูกหลายตัว เลือกแม่หรือเลือกลูก ต้องดูอะไรบ้าง
A: หุ้นแม่ ดูที่ถือหุ้นลูกส่งกำไรมารวม ไม่ใช่แค่ให้ปันผลมา และดูว่าแม่มีโอกาสปลดล็อคมูลค่าลูก(ขายลูกกินใช่มั้ยฮะ)
หุ้นลูก ต้องโต พีอีต่ำ ถึงจะมีอัพไซด์
แม่ก่อสร้างราคา26 ลูกโรงไฟฟ้าฝายน้ำล้นกับทางด่วนมูลค่า37 น่าสน
แม่ก่อสร้างเหมือนกัน ลูกโรงไฟฟ้าชีวมวลโตมาก นี่ก็น่าสน
แม่สินเชื่อ ลูกบ.เงินทุน ลูกน่าสนกว่า
แม่อสังหา ลูกขายวัสดุของแต่งบ้านกับธนาคาร มูลค่าลูกเยอะกว่า ปันผลดี แต่ก็มีโอกาสแม่ฉุดกำไรรวมร่วงได้
แม่สายการบิน ลูกโรงบาลกับสนามบิน มูลค่าลูกเยอะก็จริง แต่ไม่ขายลูกกิน แถมพีอีลูกสูงลิบ น่าสนลดลง
Q : หุ้นร่วงยังกะลิฟท์สลิงขาด อ.เคยบอกว่าถ้าลงลิฟท์ต้องกลับขึ้นไปด้วยลิฟท์ ถ้าให้ดีขึ้นจรวดไปเลย
เอิ่ม.. ขอจรวดซักห้าลำ..
A : ....
รอท่านAnieLeeมาเฉลยจรวดนะฮะ จะได้ตามอ่านความรู้ ไอเดียจากมี้ตติ้งวีไอหาดใหญ่
มี้ตติ้งหนึ่งเดียวที่ให้ความรู้ความบันเทิง มาเก้าปีกว่าแล้ว..
A: เพิ่งเขียนหนังสือบทแรกเรื่อง"ความเข้าใจผิดในการลงทุน"เสร็จ เรื่องนี้ก็เป็นหนึ่งในนั้น
ไม่ต้องกลัว ตลาดหุ้นเหมือนมหาสมุทร วีไอเป็นเรือเล็กส่วนน้อย ยังมีปลาให้จับเยอะ
อยู่ที่ทำการบ้านรึเปล่า ก็แค่ขยันและทั้งล้ำและลึกกว่าคนอื่น มีหุ้นแต่ไม่เหลือเงินให้ซื้อซะมากกว่า
ความรู้มันคนละเรื่องกับจิตใจ อย่าไปตามนายตลาดก็แล้วกัน
ถ้าไม่อยากเหนื่อยก็ซื้อกองทุนดัชนี ได้8%อยู่แล้ว
Q: EPS คือเจ้ามือตัวจริง ทำไมกำไรดีแต่หุ้นดันร่วง?
A: 1. สภาวะตลาด ถ้าตลาดpanicก็ ร่วงกันหมดล่ะ
2. ถ้ากำไรโต แต่ไม่ถึงที่คาดหวัง เช่นโต10% แต่โดนคาดหวังไว้ว่าต้องโต30% ก็ร่วงลงฟลอร์ได้เลย
3. ที่เค้าเรียกว่าsale on fact ไล่หุ้นขึ้นกันมาก่อนหน้าแล้ว งบออกก็ขาย
4. ที่เมกา ถ้างบQนี้ดี แต่ผบห.ออกมาคาดการณ์ว่าQหน้าแย่ ก็ถล่มขายเลย
5. กองทุนหรือบ.แม่ต่างชาติต้องการลดสัดส่วน ขายเอาเงินกลับ
Q : ดอกเบี้ยกำลังจะขึ้น มีผลต่อหุ้นเยอะมั้ย
A : ดอกฝากยัง1%+ ขณะที่ปันผลยะง3% กบง.เสียงเริ่มแตกๆ แต่ยังไม่ขึ้น
ส่วนตัวคิดว่า ดอกเบี้ยไม่น่าจะขึ้นไปได้มาก
เพราะดอกขึ้นเมื่อเศรษฐกิจร้อนแรงไป ซึ่งเศรษฐกิจก็ยังไม่ดี หรือขึ้นเมื่อเงินเฟ้อ ต้นทุนสูง ก็ยังไม่ใช่
ดอกเบี้ยเงินฝากต้องอย่างน้อย3% ถึงจะมีคนยอมขายหุ้นมาฝากเงิน
ดอกเบี้ยขึ้นแล้วหุ้นลงยังเป็นความเชื่อเก่า ตอนนี้ดอกขึ้น หุ้นก็ขึ้น
ส่วนพีอีหุ้นก็ให้ราวๆไม่เกิน15 สมเหตุสมผลจาก17ที่เป็นอยู่ตอนนี้
Q : วิกฤติใหญ่จะมาเมื่อไหร่?
A : ไม่มีใครรู้ แต่ทุกปีจะมีเงิน1ล้านล้านบาทมาเติมในตลาดหุ้นไทย
ราวๆครึ่งนึง(5แสนล้าน)ไปเป็นปันผล ซึ่งก็ได้ราวๆ3% อีกครึ่งนึง(5แสนล้าน)ไปลงทุนต่อในบริษัท
ซึ่งถ้าpbvตลาด1.7 ก็จะมีมูลค่าเพิ่มมาราวๆ8แสนล้าน ไปเรื่อยๆทุกปี
หน้าที่เราคือจัดผอร์ทให้แข็งแรงที่สุด(ดาวน์ไซด์ต่ำๆ ไม่แพง ปันผลดี หนี้น้อยใช่มั้ยฮะ)
อาจปางตาย แต่ไม่ตาย การลงทุนเหมือนวิ่งมาราธอน สะดุดได้ เซได้ ล้มใด้ แต่ก็ลุกขึ้นมาวิ่งต่อ อย่าเลิกไปซะก่อน
ตอนวิกฤติมาจริง เตรียมพร้อมแล้วกัน ตอนนั้นเคยใช้มาร์จิ้นซื้อซินเทคที่11ตังค์ แต่พอขึ้นมานิดเดียวก็ขายหมูหมด
Q : ช่วงนี้มีหุ้นแม่ ลูกหลายตัว เลือกแม่หรือเลือกลูก ต้องดูอะไรบ้าง
A: หุ้นแม่ ดูที่ถือหุ้นลูกส่งกำไรมารวม ไม่ใช่แค่ให้ปันผลมา และดูว่าแม่มีโอกาสปลดล็อคมูลค่าลูก(ขายลูกกินใช่มั้ยฮะ)
หุ้นลูก ต้องโต พีอีต่ำ ถึงจะมีอัพไซด์
แม่ก่อสร้างราคา26 ลูกโรงไฟฟ้าฝายน้ำล้นกับทางด่วนมูลค่า37 น่าสน
แม่ก่อสร้างเหมือนกัน ลูกโรงไฟฟ้าชีวมวลโตมาก นี่ก็น่าสน
แม่สินเชื่อ ลูกบ.เงินทุน ลูกน่าสนกว่า
แม่อสังหา ลูกขายวัสดุของแต่งบ้านกับธนาคาร มูลค่าลูกเยอะกว่า ปันผลดี แต่ก็มีโอกาสแม่ฉุดกำไรรวมร่วงได้
แม่สายการบิน ลูกโรงบาลกับสนามบิน มูลค่าลูกเยอะก็จริง แต่ไม่ขายลูกกิน แถมพีอีลูกสูงลิบ น่าสนลดลง
Q : หุ้นร่วงยังกะลิฟท์สลิงขาด อ.เคยบอกว่าถ้าลงลิฟท์ต้องกลับขึ้นไปด้วยลิฟท์ ถ้าให้ดีขึ้นจรวดไปเลย
เอิ่ม.. ขอจรวดซักห้าลำ..
A : ....
รอท่านAnieLeeมาเฉลยจรวดนะฮะ จะได้ตามอ่านความรู้ ไอเดียจากมี้ตติ้งวีไอหาดใหญ่
มี้ตติ้งหนึ่งเดียวที่ให้ความรู้ความบันเทิง มาเก้าปีกว่าแล้ว..
samatah
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3216
ขอบคุณหมอหนี่งครับdr1 เขียน:Q: มาประชุมหลายครั้ง หลักการก็เดิมๆ ถ้าทำตามๆกันจะมีหุ้นให้ลงทุนอีกมั้ย ต้องมีอะไรพิเศษแตกต่างไปกว่านี้?
A: เพิ่งเขียนหนังสือบทแรกเรื่อง"ความเข้าใจผิดในการลงทุน"เสร็จ เรื่องนี้ก็เป็นหนึ่งในนั้น
ไม่ต้องกลัว ตลาดหุ้นเหมือนมหาสมุทร วีไอเป็นเรือเล็กส่วนน้อย ยังมีปลาให้จับเยอะ
อยู่ที่ทำการบ้านรึเปล่า ก็แค่ขยันและทั้งล้ำและลึกกว่าคนอื่น มีหุ้นแต่ไม่เหลือเงินให้ซื้อซะมากกว่า
ความรู้มันคนละเรื่องกับจิตใจ อย่าไปตามนายตลาดก็แล้วกัน
ถ้าไม่อยากเหนื่อยก็ซื้อกองทุนดัชนี ได้8%อยู่แล้ว
Q: EPS คือเจ้ามือตัวจริง ทำไมกำไรดีแต่หุ้นดันร่วง?
A: 1. สภาวะตลาด ถ้าตลาดpanicก็ ร่วงกันหมดล่ะ
2. ถ้ากำไรโต แต่ไม่ถึงที่คาดหวัง เช่นโต10% แต่โดนคาดหวังไว้ว่าต้องโต30% ก็ร่วงลงฟลอร์ได้เลย
3. ที่เค้าเรียกว่าsale on fact ไล่หุ้นขึ้นกันมาก่อนหน้าแล้ว งบออกก็ขาย
4. ที่เมกา ถ้างบQนี้ดี แต่ผบห.ออกมาคาดการณ์ว่าQหน้าแย่ ก็ถล่มขายเลย
5. กองทุนหรือบ.แม่ต่างชาติต้องการลดสัดส่วน ขายเอาเงินกลับ
Q : ดอกเบี้ยกำลังจะขึ้น มีผลต่อหุ้นเยอะมั้ย
A : ดอกฝากยัง1%+ ขณะที่ปันผลยะง3% กบง.เสียงเริ่มแตกๆ แต่ยังไม่ขึ้น
ส่วนตัวคิดว่า ดอกเบี้ยไม่น่าจะขึ้นไปได้มาก
เพราะดอกขึ้นเมื่อเศรษฐกิจร้อนแรงไป ซึ่งเศรษฐกิจก็ยังไม่ดี หรือขึ้นเมื่อเงินเฟ้อ ต้นทุนสูง ก็ยังไม่ใช่
ดอกเบี้ยเงินฝากต้องอย่างน้อย3% ถึงจะมีคนยอมขายหุ้นมาฝากเงิน
ดอกเบี้ยขึ้นแล้วหุ้นลงยังเป็นความเชื่อเก่า ตอนนี้ดอกขึ้น หุ้นก็ขึ้น
ส่วนพีอีหุ้นก็ให้ราวๆไม่เกิน15 สมเหตุสมผลจาก17ที่เป็นอยู่ตอนนี้
Q : วิกฤติใหญ่จะมาเมื่อไหร่?
A : ไม่มีใครรู้ แต่ทุกปีจะมีเงิน1ล้านล้านบาทมาเติมในตลาดหุ้นไทย
ราวๆครึ่งนึง(5แสนล้าน)ไปเป็นปันผล ซึ่งก็ได้ราวๆ3% อีกครึ่งนึง(5แสนล้าน)ไปลงทุนต่อในบริษัท
ซึ่งถ้าpbvตลาด1.7 ก็จะมีมูลค่าเพิ่มมาราวๆ8แสนล้าน ไปเรื่อยๆทุกปี
หน้าที่เราคือจัดผอร์ทให้แข็งแรงที่สุด(ดาวน์ไซด์ต่ำๆ ไม่แพง ปันผลดี หนี้น้อยใช่มั้ยฮะ)
อาจปางตาย แต่ไม่ตาย การลงทุนเหมือนวิ่งมาราธอน สะดุดได้ เซได้ ล้มใด้ แต่ก็ลุกขึ้นมาวิ่งต่อ อย่าเลิกไปซะก่อน
ตอนวิกฤติมาจริง เตรียมพร้อมแล้วกัน ตอนนั้นเคยใช้มาร์จิ้นซื้อซินเทคที่11ตังค์ แต่พอขึ้นมานิดเดียวก็ขายหมูหมด
Q : ช่วงนี้มีหุ้นแม่ ลูกหลายตัว เลือกแม่หรือเลือกลูก ต้องดูอะไรบ้าง
A: หุ้นแม่ ดูที่ถือหุ้นลูกส่งกำไรมารวม ไม่ใช่แค่ให้ปันผลมา และดูว่าแม่มีโอกาสปลดล็อคมูลค่าลูก(ขายลูกกินใช่มั้ยฮะ)
หุ้นลูก ต้องโต พีอีต่ำ ถึงจะมีอัพไซด์
แม่ก่อสร้างราคา26 ลูกโรงไฟฟ้าฝายน้ำล้นกับทางด่วนมูลค่า37 น่าสน
แม่ก่อสร้างเหมือนกัน ลูกโรงไฟฟ้าชีวมวลโตมาก นี่ก็น่าสน
แม่สินเชื่อ ลูกบ.เงินทุน ลูกน่าสนกว่า
แม่อสังหา ลูกขายวัสดุของแต่งบ้านกับธนาคาร มูลค่าลูกเยอะกว่า ปันผลดี แต่ก็มีโอกาสแม่ฉุดกำไรรวมร่วงได้
แม่สายการบิน ลูกโรงบาลกับสนามบิน มูลค่าลูกเยอะก็จริง แต่ไม่ขายลูกกิน แถมพีอีลูกสูงลิบ น่าสนลดลง
Q : หุ้นร่วงยังกะลิฟท์สลิงขาด อ.เคยบอกว่าถ้าลงลิฟท์ต้องกลับขึ้นไปด้วยลิฟท์ ถ้าให้ดีขึ้นจรวดไปเลย
เอิ่ม.. ขอจรวดซักห้าลำ..
A : ....
รอท่านAnieLeeมาเฉลยจรวดนะฮะ จะได้ตามอ่านความรู้ ไอเดียจากมี้ตติ้งวีไอหาดใหญ่
มี้ตติ้งหนึ่งเดียวที่ให้ความรู้ความบันเทิง มาเก้าปีกว่าแล้ว..
คราวนี้เดาหุ้นไม่ยากเลย
หุ้นลูก ต้องโต พีอีต่ำ ถึงจะมีอัพไซด์
แม่ก่อสร้างราคา26 ลูกโรงไฟฟ้าฝายน้ำล้นกับทางด่วนมูลค่า37 น่าสน Cx
แม่ก่อสร้างเหมือนกัน ลูกโรงไฟฟ้าชีวมวลโตมาก นี่ก็น่าสน Tpxxy
แม่สินเชื่อ ลูกบ.เงินทุน ลูกน่าสนกว่า Bxxt
แม่อสังหา ลูกขายวัสดุของแต่งบ้านกับธนาคาร มูลค่าลูกเยอะกว่า ปันผลดี แต่ก็มีโอกาสแม่ฉุดกำไรรวมร่วงได้ Qx
แม่สายการบิน ลูกโรงบาลกับสนามบิน มูลค่าลูกเยอะก็จริง แต่ไม่ขายลูกกิน แถมพีอีลูกสูงลิบ น่าสนลดลง Bx
แต่รอลุ้นหุ้นจรวดว่าเป็นบริษัทไหน
-
- Verified User
- โพสต์: 1959
- ผู้ติดตาม: 1
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3217
ผมสงสัยครับคุณ amornkowaamornkowa เขียน: ขอบคุณหมอหนี่งครับ
คราวนี้เดาหุ้นไม่ยากเลย
หุ้นลูก ต้องโต พีอีต่ำ ถึงจะมีอัพไซด์
แม่อสังหา ลูกขายวัสดุของแต่งบ้านกับธนาคาร มูลค่าลูกเยอะกว่า ปันผลดี แต่ก็มีโอกาสแม่ฉุดกำไรรวมร่วงได้ Qx
แต่รอลุ้นหุ้นจรวดว่าเป็นบริษัทไหน
ตัวนี้ไม่ใช่ Lx เหรอครับ
" สพฺเพ ธมฺมา นาลํ อภินิเวสาย "
" Whatever your mind can conceive and believe it can achieve "
" Whatever your mind can conceive and believe it can achieve "
- AnieLee
- Verified User
- โพสต์: 1436
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3218
มีทติ้งวีไอภาคใต้ Q3/61 วันอาทิตย์ที่ 18 พฤศจิกายน 2561 ณ โรงแรมนิวซีซั่น หาดใหญ่
(ตอนแรกว่าจะตัดทอนส่วนที่พี่หมอหนึ่งสรุปไปแล้ว คิดไปคิดมา ก็โพสทั้งหมดเลย ไม่ต้องเสียเวลาไปคัดอีกทีครับ ก็เริ่มเนื้อหากันเลยครับ)
ผลตอบแทนของ SET -6.77% หากบวกเงินปันผล 3% ก็จะเหลือ -3.77% แต่นักลงทุนส่วนใหญ่ น่าจะเสียหายมากกว่าเยอะ พอไปดูผลตอบแทนของตลาด MAI พบว่า -25% น่าเป็นสาเหตุที่กองทุน Mid Cap/Small Cap ผลตอบแทนติดลบจำนวนมาก รวมถึงวีไอส่วนใหญ่ ก็ได้รับผลกระทบมากเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตาม ระยะยาว หุ้น Mid Cap/Small Cap น่าให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าหุ้นตัวใหญ่อย่างแน่นอน ปีนี้ SET Index ปรับตัวลงไม่มาก ราว 7% ก็มาจากหุ้นตัวใหญ่ๆ ให้ผลตอบแทนบวกอยู่ เช่น PTT, GULF, HMPRO ทำให้ดัชนีไม่สะท้อนภาพความเป็นจริง
ปีนี้ หุ้น Growth ราคาปรับตัวลงมากหลายตัว รวมถึงหุ้น IPO ที่เริ่มฟองสบู่แตกแล้ว อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่า พวกเราวีไอจะได้รับความเจ็บปวดในปีนี้ก็ตาม มันก็เป็นปกติอยู่แล้ว คงไม่มีทางที่จะบวกทุกๆ ปีอยู่แล้ว ก็คงต้องทำใจช่วงของความโชคร้าย ณ วันนี้ ก็ไม่เท่าไรนัก
ศิลปะการถัวเฉลี่ยหุ้นสำคัญมากๆ หากให้น้ำหนักผิด ก็จะลำบากแทบจะม้วนเสื่อเลย กลยุทธ์ที่อาจารย์ใช้ ถึงให้ผลตอบแทนไม่สูงสุด แต่ก็ไม่ทำให้แย่ที่สุดเช่นกัน บางครั้ง การลงทุนก็ต้องมีสะดุดบ้าง อย่าเพิ่งเลิก อย่าท้อ ในระยะยาว การลงทุนน่าจะดีที่สุดแล้ว เส้นทางนี้ไม่ใช่ง่าย ต้องเหนื่อยล้า เจออุปสรรคต่างๆ ถึงแม้จะท้อบ้าง ทรุดบ้าง ก็เป็นเรื่องปกติที่คนเก่งๆ ก็ผ่านมาแล้วทั้งนั้น อย่าตายในวงการหุ้น เราก็สามารถฟื้นขึ้นมาได้ กรณีคนที่ตายในวงการหุ้น มีไม่กี่ประเด็น เช่น ทุ่มสุดตัว กู้เงิน(ใช้มาร์จิ้น) ซื้อหุ้นตัวเดียว/ให้น้ำหนักหุ้นตัวเดียวมากเกินไป เป็นต้น เราต้องเรียนรู้จากสิ่งที่ผิดพลาด รวมถึงจากนักลงทุนเก่งๆ คนอื่นด้วย
Q: กรณีที่นักลงทุนใช้แนวทางเดียวกันหมด เราจะต้องติดอาวุธอะไร/อย่างไร ให้ทำกำไรได้
A: ตลาดหุ้นเปรียบเหมือนมหาสมุทร ในขณะที่เรือของวีไอเป็นแค่เรือแจว/เรือหางยาว เพียงแต่ว่า เราจะหาช่องทางเจอหรือไม่ เราต้องทำการบ้านให้ล้ำกว่าคนอื่น/ลึกกว่าคนอื่น ถึงจะมีโอกาสหาเจอ หุ้นมีตั้ง 700 ตัว นอกจากเรื่องความรู้แล้ว ยังมีเรื่องของ Mental (จิตใจ) อีกด้วยที่เป็นปัจจัยสำคัญ เพราะความผันผวนของตลาดหุ้นที่มักทำให้จิตใจหวั่นไหวได้ด้วย / ปัจจุบัน คนมีความรู้มากขึ้น ก็ต้องยอมรับว่า การทำกำไร 50% แบบสมัยก่อน ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ อีกแล้ว คนที่มีอาชีพนักลงทุนก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนช่องว่างน้อยลง / บางที อาจไม่จำเป็นต้องลงทุนตรงก็ได้ เพราะการลงทุนเอง เป็นเส้นทางที่ไม่ง่าย เหนื่อยจริงๆ โดยเฉพาะเรื่องของจิตใจ เราสามารถไปลงทุนในกองทุนดัชนีได้ ในระยะยาวแล้ว น่าได้ผลตอบแทน 8% ต่อไป น่าจะได้ ก็ถือว่า เป็นผลตอบแทนที่ใช้ได้ เมื่อเทียบกับเงินฝาก
Q: EPS เป็นพ่อทุกสถาบัน แต่ว่า ทำไมหุ้นดี กำไรต่อหุ้นโต แต่ราคาหุ้นไม่ไปไหน
A: ก็มีสาเหตุต่างๆ เช่น (1) ภาวะตลาด หาก eps ตามคาด ตลาด Panic ราคาหุ้นย่อมลงมาอยู่แล้วในระยะสั้น หรือ (2) กำไรโต แต่โตต่ำกว่าคาด ราคาก็ย่อมต้องลดลง เพราะนักลงทุนคาดหวังไว้มากกว่านั้น หรือ (3) Sell on Fact เพราะราคาหุ้นขึ้นมาล่วงหน้าอยู่แล้ว พองบออก ก็มีคนขายทำกำไรออกมา หรือ (4) ผู้บริหารอาจให้ Outlook ในอนาคตไปในทางที่ไม่ดี หรือ (5) เป็นการขายเชิงเทคนิคด้วยเหตุผลเฉพาะ เช่น นักลงทุนต่างชาติ ต้องการลดสัดส่วนการถือครองด้วยเหตุผลต่างๆ / สาเหตุหลักๆ ส่วนใหญ่มาจาก EPS ไม่โตตามคาด ทำให้ราคาหุ้นลดลง / ปัจจุบัน คนที่อยู่รอดในตลาดหุ้น ต้องเป็นมืออาชีพมากๆ เท่านั้น
Q: ปัจจุบัน เพจหุ้นต่างๆ มีมากมาย อจ. เคยไปอ่านบ้างไหม และเพจพวกนี้ มีความน่าเชื่อถือหรือไม่
A: ปกติ อจ. ไม่ได้ใช้ FB / ที่ไม่ใช้ เพราะเกรงว่า จะรับข้อมูลต่างๆ อาจให้ข้อมูลที่มีการบิดเบือนได้ และอาจทำให้เราสับสนได้ จนสูญเสียความเป็นตัวของตัวเองไป คนที่เป็นนักลงทุนวีไอ ต้องมีความเป็นตัวของตัวเองสูงมากๆ ต้องมีความเชื่อมั่นใจตนเอง และเชื่อมั่นในหลักการของเรา โดยธรรมชาติของวีไอ ค่อนข้างยาก เพราะต้องมีทัศนคติที่แตกต่างกับคนส่วนใหญ่ / เราควรที่จะรับข่าวสารข้อมูลจากแหล่งที่เชื่อถือได้เท่านั้น ข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์ที่มีให้อยู่แล้ว
ขอเนื้อหาสั้นๆ เท่านี้ก่อนครับ ไว้ต่อในโพสใหม่ครับ (ยาวไป บางคนอาจไม่อยากอ่าน ฮ่าๆๆๆ)
(ตอนแรกว่าจะตัดทอนส่วนที่พี่หมอหนึ่งสรุปไปแล้ว คิดไปคิดมา ก็โพสทั้งหมดเลย ไม่ต้องเสียเวลาไปคัดอีกทีครับ ก็เริ่มเนื้อหากันเลยครับ)
ผลตอบแทนของ SET -6.77% หากบวกเงินปันผล 3% ก็จะเหลือ -3.77% แต่นักลงทุนส่วนใหญ่ น่าจะเสียหายมากกว่าเยอะ พอไปดูผลตอบแทนของตลาด MAI พบว่า -25% น่าเป็นสาเหตุที่กองทุน Mid Cap/Small Cap ผลตอบแทนติดลบจำนวนมาก รวมถึงวีไอส่วนใหญ่ ก็ได้รับผลกระทบมากเช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตาม ระยะยาว หุ้น Mid Cap/Small Cap น่าให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าหุ้นตัวใหญ่อย่างแน่นอน ปีนี้ SET Index ปรับตัวลงไม่มาก ราว 7% ก็มาจากหุ้นตัวใหญ่ๆ ให้ผลตอบแทนบวกอยู่ เช่น PTT, GULF, HMPRO ทำให้ดัชนีไม่สะท้อนภาพความเป็นจริง
ปีนี้ หุ้น Growth ราคาปรับตัวลงมากหลายตัว รวมถึงหุ้น IPO ที่เริ่มฟองสบู่แตกแล้ว อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่า พวกเราวีไอจะได้รับความเจ็บปวดในปีนี้ก็ตาม มันก็เป็นปกติอยู่แล้ว คงไม่มีทางที่จะบวกทุกๆ ปีอยู่แล้ว ก็คงต้องทำใจช่วงของความโชคร้าย ณ วันนี้ ก็ไม่เท่าไรนัก
ศิลปะการถัวเฉลี่ยหุ้นสำคัญมากๆ หากให้น้ำหนักผิด ก็จะลำบากแทบจะม้วนเสื่อเลย กลยุทธ์ที่อาจารย์ใช้ ถึงให้ผลตอบแทนไม่สูงสุด แต่ก็ไม่ทำให้แย่ที่สุดเช่นกัน บางครั้ง การลงทุนก็ต้องมีสะดุดบ้าง อย่าเพิ่งเลิก อย่าท้อ ในระยะยาว การลงทุนน่าจะดีที่สุดแล้ว เส้นทางนี้ไม่ใช่ง่าย ต้องเหนื่อยล้า เจออุปสรรคต่างๆ ถึงแม้จะท้อบ้าง ทรุดบ้าง ก็เป็นเรื่องปกติที่คนเก่งๆ ก็ผ่านมาแล้วทั้งนั้น อย่าตายในวงการหุ้น เราก็สามารถฟื้นขึ้นมาได้ กรณีคนที่ตายในวงการหุ้น มีไม่กี่ประเด็น เช่น ทุ่มสุดตัว กู้เงิน(ใช้มาร์จิ้น) ซื้อหุ้นตัวเดียว/ให้น้ำหนักหุ้นตัวเดียวมากเกินไป เป็นต้น เราต้องเรียนรู้จากสิ่งที่ผิดพลาด รวมถึงจากนักลงทุนเก่งๆ คนอื่นด้วย
Q: กรณีที่นักลงทุนใช้แนวทางเดียวกันหมด เราจะต้องติดอาวุธอะไร/อย่างไร ให้ทำกำไรได้
A: ตลาดหุ้นเปรียบเหมือนมหาสมุทร ในขณะที่เรือของวีไอเป็นแค่เรือแจว/เรือหางยาว เพียงแต่ว่า เราจะหาช่องทางเจอหรือไม่ เราต้องทำการบ้านให้ล้ำกว่าคนอื่น/ลึกกว่าคนอื่น ถึงจะมีโอกาสหาเจอ หุ้นมีตั้ง 700 ตัว นอกจากเรื่องความรู้แล้ว ยังมีเรื่องของ Mental (จิตใจ) อีกด้วยที่เป็นปัจจัยสำคัญ เพราะความผันผวนของตลาดหุ้นที่มักทำให้จิตใจหวั่นไหวได้ด้วย / ปัจจุบัน คนมีความรู้มากขึ้น ก็ต้องยอมรับว่า การทำกำไร 50% แบบสมัยก่อน ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ อีกแล้ว คนที่มีอาชีพนักลงทุนก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนช่องว่างน้อยลง / บางที อาจไม่จำเป็นต้องลงทุนตรงก็ได้ เพราะการลงทุนเอง เป็นเส้นทางที่ไม่ง่าย เหนื่อยจริงๆ โดยเฉพาะเรื่องของจิตใจ เราสามารถไปลงทุนในกองทุนดัชนีได้ ในระยะยาวแล้ว น่าได้ผลตอบแทน 8% ต่อไป น่าจะได้ ก็ถือว่า เป็นผลตอบแทนที่ใช้ได้ เมื่อเทียบกับเงินฝาก
Q: EPS เป็นพ่อทุกสถาบัน แต่ว่า ทำไมหุ้นดี กำไรต่อหุ้นโต แต่ราคาหุ้นไม่ไปไหน
A: ก็มีสาเหตุต่างๆ เช่น (1) ภาวะตลาด หาก eps ตามคาด ตลาด Panic ราคาหุ้นย่อมลงมาอยู่แล้วในระยะสั้น หรือ (2) กำไรโต แต่โตต่ำกว่าคาด ราคาก็ย่อมต้องลดลง เพราะนักลงทุนคาดหวังไว้มากกว่านั้น หรือ (3) Sell on Fact เพราะราคาหุ้นขึ้นมาล่วงหน้าอยู่แล้ว พองบออก ก็มีคนขายทำกำไรออกมา หรือ (4) ผู้บริหารอาจให้ Outlook ในอนาคตไปในทางที่ไม่ดี หรือ (5) เป็นการขายเชิงเทคนิคด้วยเหตุผลเฉพาะ เช่น นักลงทุนต่างชาติ ต้องการลดสัดส่วนการถือครองด้วยเหตุผลต่างๆ / สาเหตุหลักๆ ส่วนใหญ่มาจาก EPS ไม่โตตามคาด ทำให้ราคาหุ้นลดลง / ปัจจุบัน คนที่อยู่รอดในตลาดหุ้น ต้องเป็นมืออาชีพมากๆ เท่านั้น
Q: ปัจจุบัน เพจหุ้นต่างๆ มีมากมาย อจ. เคยไปอ่านบ้างไหม และเพจพวกนี้ มีความน่าเชื่อถือหรือไม่
A: ปกติ อจ. ไม่ได้ใช้ FB / ที่ไม่ใช้ เพราะเกรงว่า จะรับข้อมูลต่างๆ อาจให้ข้อมูลที่มีการบิดเบือนได้ และอาจทำให้เราสับสนได้ จนสูญเสียความเป็นตัวของตัวเองไป คนที่เป็นนักลงทุนวีไอ ต้องมีความเป็นตัวของตัวเองสูงมากๆ ต้องมีความเชื่อมั่นใจตนเอง และเชื่อมั่นในหลักการของเรา โดยธรรมชาติของวีไอ ค่อนข้างยาก เพราะต้องมีทัศนคติที่แตกต่างกับคนส่วนใหญ่ / เราควรที่จะรับข่าวสารข้อมูลจากแหล่งที่เชื่อถือได้เท่านั้น ข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์ที่มีให้อยู่แล้ว
ขอเนื้อหาสั้นๆ เท่านี้ก่อนครับ ไว้ต่อในโพสใหม่ครับ (ยาวไป บางคนอาจไม่อยากอ่าน ฮ่าๆๆๆ)
####################################################
ความสำเร็จจากการลงทุน ไม่ได้เกิดจาก "การซื้อของดี" แต่มาจาก "การซื้อของได้ดี" ต่างหาก
ความสำเร็จจากการลงทุน ไม่ได้เกิดจาก "การซื้อของดี" แต่มาจาก "การซื้อของได้ดี" ต่างหาก
-
- Verified User
- โพสต์: 1959
- ผู้ติดตาม: 1
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3219
https://www.ryt9.com/s/iq05/2919392BLS เตรียมเสนอขายตราสาร DR อ้างอิง ETF หุ้น 30 บริษัทชั้นนำในตลาดหุ้นเวียดนามในเร็ว ๆ นี้
ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- ศุกร์ที่ 23 พฤศจิกายน 2561 11:06:22 น.
BLS เตรียมเสนอขายตราสาร DR อ้างอิง ETF หุ้น 30 บริษัทชั้นนำในตลาดหุ้นเวียดนามในเร็ว ๆ นี้
นายบรรณรงค์ พิชญากร กรรมการผู้จัดการ กิจการค้าหลักทรัพย์ บล. บัวหลวง เปิดเผยว่า บริษัทได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาเพื่อเสนอขายตราสารแสดงสิทธิการฝากหลักทรัพย์ต่างประเทศ (Depositary Receipt : DR) ให้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นรายแรกในประเทศไทย คาดว่าจะได้รับการพิจารณาอนุมัติและเตรียมเสนอขายได้ในเร็ว ๆ นี้
ทั้งนี้ ข้อมุลไฟลิ่งระบุ บล.บัวหลวงจะเสนอขายตราสารแสดงสิทธิการฝากหลักทรัพย์ต่างประเทศ (E1VFVN3001) ซึ่งเป็นหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์โฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม จำนวน 30 บริษัทที่เป็นหุ้นที่มีสภาพคล่องสูง โดยลงทุนผ่านกองทุน VFMVN30 ETF ซึ่ง VietFund Management (VFM)เป็นบริษัทผู้ออกหลักทรัพย์ต่างประเทศ มูลค่าไม่เกิน 6 พันล้านบาท โดยมีราคาเสนอขาย 15-30 บาท/หน่วย และให้ผู้สนใจจองซื้อขั้นต่ำจำนวน 20,000 บาท และเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณของ 1,000 บาท
โดยใบจองซื้อตราสาร จะประกอบด้วยราคาต่อหน่วยโดยประมาณ ณ วันที่ผู้ออกตราสารจัดทำเอกสาร โดยคำนวณจากราคาตลาด ณ วันทำการล่าสุด และอัตราแลกเปลี่นสกุลเงินเวียดนามดอง ณ วันทำการล่าสุด, ช่วงวันที่ผู้ออกตรสารจะทำการแลกเปลี่ยนสกุลเงินบาทไทยเป็นสกุลเงินเวียดนามดอง และช่วงวันที่ผู้ออกตราสารจะส่งคำสั่งซื้อหลักทรัพย์ต่างประเทศ
DR เป็นตราสารชนิดใหม่ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อทำให้ผู้ลงทุนในไทยที่ต้องการลงทุนในหุ้นหรือ ETF ต่างประเทศได้โดยผ่านการซื้อขาย DR ที่จดทะเบียนให้ซื้อขายได้ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และการถือครอง DR จึงเป็นเหมือนการถือครองหลักทรัพย์นั้นๆ ทางอ้อม โดยที่ทำให้ผู้ถือจะได้รับสิทธิประโยชน์ต่างๆ ที่ใกล้เคียงกับการถือหลักทรัพย์ต่างประเทศนั้นๆ
จากประโยชน์ของตราสารทางการเงินชนิดนี้เสมือนกับการยกหุ้นต่างประเทศหรือกองทุน ETF ต่างประเทศที่น่าสนใจ มาให้นักลงทุนในประเทศได้ซื้อง่ายขายคล่องในรูปแบบของตราสาร DR ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นไปตามเจตนารมณ์ของตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ต้องการเพิ่มบทบาทและความเชื่อมโยงกันกับตลาดหลักทรัพย์ต่างประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะในภูมิภาคเดียวกัน
ผู้ออก DR จะเป็นบริษัทหลักทรัพย์ หรือธนาคารพาณิชย์ ซึ่งจะเสนอขาย DR ครั้งแรก (IPO) ตามที่ได้รับอนุมัติจากสำนักงาน ก.ล.ต. เพื่อให้ผู้ลงทุนจองซื้อ DR จากนั้นผู้ออกจะไปซื้อหลักทรัพย์ต่างประเทศที่ตลาดหลักทรัพย์ต่างประเทศตามจำนวนที่ผู้ลงทุนจองซื้อในอัตราส่วน 1 DR ต่อ 1 หลักทรัพย์ต่างประเทศและฝากไว้กับผู้รับฝากทรัพย์สินที่ต่างประเทศ หลังจากนั้น ผู้ออกจะออกและจัดสรร DR ให้ผู้ลงทุนตามยอดที่มีผู้ลงทุนจองซื้อ และนำ DR จดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อให้สามารถซื้อขายกันได้ ดังนั้น ทั้งผู้ลงทุนที่ซื้อที่ IPO หรือผู้ลงทุนใดๆ ที่มีบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์กับบริษัทหลักทรัพย์ใดๆ ในประเทศไทยก็สามารถทำการซื้อขาย DR ได้
นายบรรณรงค์ กล่าวว่า การลงทุนในหุ้นต่างประเทศผ่าน DR สร้างความสะดวกให้แก่นักลงทุนไทยที่ต้องการจะลงทุนหุ้นต่างประเทศ เนื่องจากทางบริษัทจะเป็นผู้ดูแลทุกอย่างแทน และราคาซื้อขาย DR จะแสดงเป็นราคา real-time ที่ใช้ระบบคอมพิวเตอร์เป็นตัวคำนวณ
"ถ้าจะเข้าไปลงทุนโดยตรงในตลาดหุ้นเวียดนาม ค่อนข้างยุ่งยาก นักลงทุนต้องมีบัญชีกับบริษัทหลักทรัพย์ในเวียดนาม ต้องโอนเงินไปพักไว้ก่อน มีภาระค่าใช้จ่ายหลายเรื่อง โดยเฉพาะค่าธรรมเนียมการโอนเงินระหว่างประเทศ นอกจากนั้นตลาดหุ้นเวียดนามมีกฎว่าจะได้รับหุ้นหลังจากสั่งซื้อแล้ว 2 วันจึงจะสามารถขายได้ มันไม่สะดวก แต่ทุกอย่างเราจะทำงานแทนให้"นายบรรณรงค์ กล่าว
อย่างไรก็ดี ปัจจัยเสี่ยงของการลงทุน DR จะมีความเสี่ยงความผันผวนจากราคาอ้างอิง ในที่นี้คือ ETF ซึ่งก็จะพิจารณาที่ NAV ในแต่ละวัน, ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา (FX), เครดิตผู้ออก และสภาพคล่องการซื้อขาย
"DR เหมาะสำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนหุ้นต่างประเทศ แต่จะไม่เหมาะกับนักลงทุนที่ชอบเล่นเก็งกำไร"นายบรรณรงค์ กล่าว
นายบรรณรงค์ กล่าวอีกว่า การเริ่มต้นจาก DR อ้างอิงการลงทุนในเวียดนามเป็นอันดับแรก เนื่องจากมองว่าตลาดหุ้นเวียดนามมีแนวโน้มของการเติบโตที่น่าสนใจสำหรับการลงทุน เศรษฐกิจมีการเติบโตที่ในเกณฑ์ดี ซึ่งบริษัทยังมองโอกาสที่จะออก DR อ้างอิงการลงทุนในประเทศอื่น ๆ ที่อยู่ในความสนใจของนักลงทุนไทยในลำดับต่อไป อย่างเช่น ดัชนีฮั่งเส็งของฮ่องกง หรือดัชนีดาวโจนส์ของสหรัฐ
กรรมการผู้จัดการ BLS กล่าวว่า ปัจจุบันบริษัทมีบัญชีลูกค้าหลักทรัพย์อยู่ราว 350,000 บัญชี ส่วนใหญ่ยังคงเทรดหุ้นเป็นหลักราว 80% ส่วนที่เหลือก็จะลงทุนในตราสารอื่น ๆ อาทิ ตลาด TFEX, ใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ (DW), Block Trade เป็นต้น
ทั้งนี้ ในส่วนของ DW ปี 61 บริษัทฯได้ออกมาราว 600-700 ตัว เพิ่มขึ้นจากปี 60 ที่ออก DW กว่า 300 ตัว เนื่องจากปีนี้นักลงทุนให้ความสนใจในการเทรด DW จำนวนมาก โดยในเดือน ต.ค.ที่ผ่านมาภาพรวม DW ได้รับความนิยมจากนักลงทุนเป็นจำนวนมาก สะท้อนจากมูลค่าซื้อขาย DW สะสมในเดือนที่ผ่านมานิวไฮที่ 98,205 ล้านบาท ด้วยสัดส่วนมูลค่าการซื้อขาย DW ต่อหลักทรัพย์ทั้งระบบอยู่ที่ 8.8% สูงสุดเป็นประวัติการณ์
โดย DW ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในเดือน ต.ค.61 เป็น DW ที่อ้างอิงกับดัชนี SET50 Index ซึ่งมีสัดส่วนการซื้อขายสูงถึง 55.1% ของการซื้อขาย DW ทั้งอุตสาหกรรม
สำหรับธุรกรรม Block Trade โดยรวมในเดือน ต.ค.มูลค่าการซื้อขายโดยประมาณของ Block Trade Single Stock Futures เทียบกับมูลค่าการซื้อขายของหุ้นอ้างอิง คิดเป็น 8.94% ประมาณมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 3,183 ล้านบาท และมูลค่าการซื้อขาย Block Trade Single Stock Futures สูงถึง 95.02% ของมูลค่าการซื้อขายรวมของ Single Stock Futures ในตลาด TFEX
--อินโฟเควสท์ โดย พรเพ็ญ ดวงเฉลิมวงศ์/ศศิธร โทร.02-2535000 ต่อ 345 อีเมล์: [email protected]--
ขอความคิดเห็นจากพี่ๆ ในห้องนี้หน่อยครับว่า ETF ตัวนี้น่าสนใจไหม
" สพฺเพ ธมฺมา นาลํ อภินิเวสาย "
" Whatever your mind can conceive and believe it can achieve "
" Whatever your mind can conceive and believe it can achieve "
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3220
สัมมนา มุมมองเศรษฐกิจและการลงทุนปี 2562
ก่อนอื่นขออธิบายคำย่อต่างๆในบทความนี้
EM (EMERGING MARKET) คือตลาดหุ้นเกิดใหม่ ซึ่งแบ่งเป็น 3 โซน
US คือ ประเทศสหรัฐอเมริกา
EU คือ ยุโรป
JP คือ ประเทศญี่ปุ่น
China คือ ประเทศจีน
คุณอาทิตย์ ทองเจริญ SVP Schroder (Singapore) พูดเป็นคนแรกว่า
ในหัวข้อ Global Emerging Market : Outlook and Market Perspective
ตลาดหุ้นปีที่แล้ว (2017) ดัชนี MSCI EMERGING MARKET บวก30%
ปีนี้ 2018 เดือนมค ตลาดยังเป็นขาขึ้น พอเดือนกพ ดัชนีลบอย่างหนัก
เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐเริ่มไม่ดี จนถึงตอนนี้ ดัชนี EMERGING MARKET ติดลบ15%
คำถามคือ อะไรที่เปลี่ยนไปบ้าง
ดูจากภาพ Emerging Marketได้แบ่งเป็นส่วนแรกสีส้ม แย่กว่าเดิม
ส่วนสีน้ำเงิน ปีนี้เหมือนกับปีที่แล้ว ส่วนสีเขียวปีนี้ดีกว่าปีที่แล้ว
เรามาดูในส่วนสีส้มที่ปีนี้แย่กว่าปีที่แล้วได้แก่
1. A move from synchronized growth with low inflation to rising stagflation concerns
And $ Strength การเติบโตของเศรษฐกิจโลก ในส่วน US,EU,JP เติบโตไปทางเดียวกันในปีที่แล้ว
การค้าขายต่างๆระหว่างประเทศไปในทิศทางเดียวกัน
ปีนี้ เศรษฐกิจของUS ยังคงดีอยุ่ แต่ EU ชะลอตัวลง, EMERGING MARKET ขยายตัวน้อยลง
ผลที่ตามมาเกิดความเสี่ยงที่เศรษฐกิจเติบโตช้า แต่เงินเฟ้อเพิ่มขึ้น (Stagflation คือ
คำที่มาจากการรวมกันของ 2 คำ ได้แก่ Stagnation และ Inflation ซึ่งปัญหาของ Stagflation
ก็มีที่มาจากทั้ง 2 ปัญหานี้นั่นเอง Stagnation คือ การที่เศรษฐกิจชะลอตัวจากอัตราการว่างงานที่สูง
Inflation คือภาวะเงินเฟ้อ เป็นที่ภาวะมูลค่าของเงินลดลงทำให้ค่าครองชีพสูง)
2. $ strength
ค่าเงิน$ กับตลาดหุ้นแปรผันในทิศทางตรงกันข้าม
ดัชนีหุ้นEMERGING MARKET ลดลง , ค่าเงิน$ แข็งค่า
ย้อนไปหลังวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ ค่าเงิน$แข็งค่าขึ้นในช่วงตั้งแต่ปี 2010
เมื่อลงทุนในตลาดหุ้น EMERGING MARKET จะมีกำไรมาตลอด
แต่ปีนี้ ค่า$ แข็งค่าขึ้น ทำให้EMERGING MARKETแย่ลง
3. Crude price strength
ปีที่แล้ว ราคาน้ำมันอยู่ระดับต่ำ ทำให้ต้นทุนการผลิตต่ำลง แต่ยังพึ่งพาส่งออก
ปีนี้ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น ถึงแม้ตค ราคาน้ำมันอ่อนตัวลง แต่ก็ยังสูงกว่าปีที่แล้วเดือนเดียวกัน
ทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น ประเทศที่นำเข้าน้ำมันเยอะเช่น จีน อินเดีย ส่งผลต่อเศรษฐกิจอย่างมาก
ทำให้ Current account หรือ ดุลบัญชีเดินสะพัดแย่ลง
4. Trade risk escalation
Trade war ที่ทรัมป์ เก็บภาษีนำเข้าสินค้า หลายๆคนเห็นว่าทำกับจีนเท่านั้น
แต่ supply chainเชื่อมโยงกัน จีนนำเข้าวัตถุดิบจากประเทศอื่นมาผลิตให้สหรัฐก็เช่นกัน
ถึงแม้ว่าจะโฟกัสที่จีนกับสหรัฐ แต่จริงๆแล้ว ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อหลายประเทศ
แต่ผลกระทบต่อส่งออก จะเห็นในอีก3-4เดือนข้างหน้า ถือว่าเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อเศรษฐกิจโลก
5.Currency weakness and CB policy action in EM
ไม่มีใครทายได้ว่าคุณทรัมป์จะพูดอะไร อย่างนึงที่เห็นในช่วงนี้ ต้นเดือน พย ผลการเลือกตั้งที่สหรัฐ
คุณทรัมป์สูญเสียสภาล่างไป ทำให้การคุมเสียงในการVoteยากขึ้น แต่ยังคุมเสียงสภาบนอยู่
เกิดการbalanceนโยบายที่cracy น้อยลง แต่นโยบายยังดำเนินต่อไป แต่รุนแรงน้อยลงกว่าต้นปีที่ผ่านมา
ค่าเงินตลาดEMERGING MARKET อ่อนลง เมื่อ$แข็งค่า
สุดท้าย เกิดการrevise EPS ของตลาดEMERGING MARKET
ถ้าคิดว่า เศรษฐกิจไม่ดี ก็จะreviseกำไรให้น้อยลง
ยกเว้นปี 2017 ที่ปรับประมาณการณ์กำไรดีขึ้น
6. Negative eps revisions
ปี2018 จากโซนสีแดง คนเริ่มมีการrevise ปรับประมาณการณ์กำไรน้อยลงใน
EMERGING MARKET ซึ่งจะส่งผลแย่ลง แต่จุดที่ดีคือมีการเติบโตจากปีที่แล้ว
โซนสีน้ำเงิน ที่ยังคงเดิมเหมือนเดิมได้แก่
1. EMERGING MARKET ยังอยู่ใน Mid cycle เศรษฐกิจสหรัฐอยู่ในช่วงเติบโตสูงมาก
ถือว่าอยู่ในช่วงท้ายก่อนชะลอตัว EMERGING MARKETยังไม่ฟื้นตัวจากจุดต่ำสุด
ทำให้ภาวะเศรษฐกิจไม่น่าชะลอตัว หรือ ถดถอย
2. วิกฤตเศรษฐกิจที่ลามไปถึงเกาหลีใต้ สถานการเงินไม่ค่อยดี แต่ตอนนี้ดีกว่าปีที่ผ่านมานั้นมาก
3. เส้นสีน้ำเงินหมายถึงพึ่งพารัฐบาลหรือ Financingจากต่างประเทศเช่น ประเทศตุรกี
ดังนั้นจึงสรุปว่ามีทั้งตลาดที่ดี และ ตลาดไม่ดี
4. เวลาเงินไหลเรามีภูมิต้านทานโรคดีขึ้น
5. Monetary policy normalization
ธนาคารกลางของEMEเอื้อต่อระบบเศรษฐกิจเมื่อเทียบกับธนาคารกลางของ สหรัฐ
6. จีน GDP Q2 อาจชะลอตัวลง การเติบโตของGDPจาก 2 digit ลดเหลือแค่ 1 digit.
โซนสีเขียวหมายถึง ส่วนที่ปีนี้ดีกว่าปีที่แล้ว
1. Equity valuations เรื่องValuation จากที่ราคาหุ้นลงไปมากกว่า20%
ทำให้เรามองว่าราคาหุ้นดูดีกว่าปีที่แล้วที่ราคาหุ้นของEMERGING MARKET แพงมาก
ROE , PB ของตลาดEMERGING MARKET ปัจจุบัน 2017 ที่ตลาดขึ้นเยอะ ตอนนี้ลงไป20%
Valuation ค่อนข้างถูก นอกจากนี้ PB, PE ปัจจุบันดูค่อนข้างน่าสนใจ
2. Currencies have sold off : ค่าเงินตลาด EMERGING MARKET
ผลตอบแทนของEMERGING MARKET ได้แก่ capital gain, dividend ดูน่าสนใจขึ้น
3. sentiment cautious flowที่นักลงทุนเข้าน้อยลง แสดงว่ามีการดูแลดีขึ้น
4. China stimulus restarting จีนเริ่มกระตุ้นเศรษฐกิจอีก
(EMERGING MARKET แบ่งเป็น 3 area) ถ้าดูน้ำหนักตลาดหุ้นยังอยู่ที่จีน ซึ่งมีอิทธิพลต่อ
EMERGING MARKET ได้ ธนาคารกลางจีนจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ
Why still EMERGING MARKET ? ทำไมตลาดเกิดใหม่น่าสนใจ
1. Size of EMERGING MARKET economics and capital mkt ประมาณ 50%
แต่ตลาดหุ้นมีมูลค่าแค่ 30% ภาพไม่balance
2. มีโอกาสที่ได้ผลตอบแทนที่สูง ในตลาด EMERGING MARKET
3. ปีนี้เศรษฐกิจ EMERGING MARKET ยังไม่สวยหรู ต้องระวัง Trade war
4. บริษัทจดทะเบียนในEMERGING MARKET มีการเติบโตดี ค่อนข้างถูก
ก่อนอื่นขออธิบายคำย่อต่างๆในบทความนี้
EM (EMERGING MARKET) คือตลาดหุ้นเกิดใหม่ ซึ่งแบ่งเป็น 3 โซน
US คือ ประเทศสหรัฐอเมริกา
EU คือ ยุโรป
JP คือ ประเทศญี่ปุ่น
China คือ ประเทศจีน
คุณอาทิตย์ ทองเจริญ SVP Schroder (Singapore) พูดเป็นคนแรกว่า
ในหัวข้อ Global Emerging Market : Outlook and Market Perspective
ตลาดหุ้นปีที่แล้ว (2017) ดัชนี MSCI EMERGING MARKET บวก30%
ปีนี้ 2018 เดือนมค ตลาดยังเป็นขาขึ้น พอเดือนกพ ดัชนีลบอย่างหนัก
เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐเริ่มไม่ดี จนถึงตอนนี้ ดัชนี EMERGING MARKET ติดลบ15%
คำถามคือ อะไรที่เปลี่ยนไปบ้าง
ดูจากภาพ Emerging Marketได้แบ่งเป็นส่วนแรกสีส้ม แย่กว่าเดิม
ส่วนสีน้ำเงิน ปีนี้เหมือนกับปีที่แล้ว ส่วนสีเขียวปีนี้ดีกว่าปีที่แล้ว
เรามาดูในส่วนสีส้มที่ปีนี้แย่กว่าปีที่แล้วได้แก่
1. A move from synchronized growth with low inflation to rising stagflation concerns
And $ Strength การเติบโตของเศรษฐกิจโลก ในส่วน US,EU,JP เติบโตไปทางเดียวกันในปีที่แล้ว
การค้าขายต่างๆระหว่างประเทศไปในทิศทางเดียวกัน
ปีนี้ เศรษฐกิจของUS ยังคงดีอยุ่ แต่ EU ชะลอตัวลง, EMERGING MARKET ขยายตัวน้อยลง
ผลที่ตามมาเกิดความเสี่ยงที่เศรษฐกิจเติบโตช้า แต่เงินเฟ้อเพิ่มขึ้น (Stagflation คือ
คำที่มาจากการรวมกันของ 2 คำ ได้แก่ Stagnation และ Inflation ซึ่งปัญหาของ Stagflation
ก็มีที่มาจากทั้ง 2 ปัญหานี้นั่นเอง Stagnation คือ การที่เศรษฐกิจชะลอตัวจากอัตราการว่างงานที่สูง
Inflation คือภาวะเงินเฟ้อ เป็นที่ภาวะมูลค่าของเงินลดลงทำให้ค่าครองชีพสูง)
2. $ strength
ค่าเงิน$ กับตลาดหุ้นแปรผันในทิศทางตรงกันข้าม
ดัชนีหุ้นEMERGING MARKET ลดลง , ค่าเงิน$ แข็งค่า
ย้อนไปหลังวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ ค่าเงิน$แข็งค่าขึ้นในช่วงตั้งแต่ปี 2010
เมื่อลงทุนในตลาดหุ้น EMERGING MARKET จะมีกำไรมาตลอด
แต่ปีนี้ ค่า$ แข็งค่าขึ้น ทำให้EMERGING MARKETแย่ลง
3. Crude price strength
ปีที่แล้ว ราคาน้ำมันอยู่ระดับต่ำ ทำให้ต้นทุนการผลิตต่ำลง แต่ยังพึ่งพาส่งออก
ปีนี้ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น ถึงแม้ตค ราคาน้ำมันอ่อนตัวลง แต่ก็ยังสูงกว่าปีที่แล้วเดือนเดียวกัน
ทำให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น ประเทศที่นำเข้าน้ำมันเยอะเช่น จีน อินเดีย ส่งผลต่อเศรษฐกิจอย่างมาก
ทำให้ Current account หรือ ดุลบัญชีเดินสะพัดแย่ลง
4. Trade risk escalation
Trade war ที่ทรัมป์ เก็บภาษีนำเข้าสินค้า หลายๆคนเห็นว่าทำกับจีนเท่านั้น
แต่ supply chainเชื่อมโยงกัน จีนนำเข้าวัตถุดิบจากประเทศอื่นมาผลิตให้สหรัฐก็เช่นกัน
ถึงแม้ว่าจะโฟกัสที่จีนกับสหรัฐ แต่จริงๆแล้ว ส่งผลกระทบเป็นวงกว้างต่อหลายประเทศ
แต่ผลกระทบต่อส่งออก จะเห็นในอีก3-4เดือนข้างหน้า ถือว่าเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อเศรษฐกิจโลก
5.Currency weakness and CB policy action in EM
ไม่มีใครทายได้ว่าคุณทรัมป์จะพูดอะไร อย่างนึงที่เห็นในช่วงนี้ ต้นเดือน พย ผลการเลือกตั้งที่สหรัฐ
คุณทรัมป์สูญเสียสภาล่างไป ทำให้การคุมเสียงในการVoteยากขึ้น แต่ยังคุมเสียงสภาบนอยู่
เกิดการbalanceนโยบายที่cracy น้อยลง แต่นโยบายยังดำเนินต่อไป แต่รุนแรงน้อยลงกว่าต้นปีที่ผ่านมา
ค่าเงินตลาดEMERGING MARKET อ่อนลง เมื่อ$แข็งค่า
สุดท้าย เกิดการrevise EPS ของตลาดEMERGING MARKET
ถ้าคิดว่า เศรษฐกิจไม่ดี ก็จะreviseกำไรให้น้อยลง
ยกเว้นปี 2017 ที่ปรับประมาณการณ์กำไรดีขึ้น
6. Negative eps revisions
ปี2018 จากโซนสีแดง คนเริ่มมีการrevise ปรับประมาณการณ์กำไรน้อยลงใน
EMERGING MARKET ซึ่งจะส่งผลแย่ลง แต่จุดที่ดีคือมีการเติบโตจากปีที่แล้ว
โซนสีน้ำเงิน ที่ยังคงเดิมเหมือนเดิมได้แก่
1. EMERGING MARKET ยังอยู่ใน Mid cycle เศรษฐกิจสหรัฐอยู่ในช่วงเติบโตสูงมาก
ถือว่าอยู่ในช่วงท้ายก่อนชะลอตัว EMERGING MARKETยังไม่ฟื้นตัวจากจุดต่ำสุด
ทำให้ภาวะเศรษฐกิจไม่น่าชะลอตัว หรือ ถดถอย
2. วิกฤตเศรษฐกิจที่ลามไปถึงเกาหลีใต้ สถานการเงินไม่ค่อยดี แต่ตอนนี้ดีกว่าปีที่ผ่านมานั้นมาก
3. เส้นสีน้ำเงินหมายถึงพึ่งพารัฐบาลหรือ Financingจากต่างประเทศเช่น ประเทศตุรกี
ดังนั้นจึงสรุปว่ามีทั้งตลาดที่ดี และ ตลาดไม่ดี
4. เวลาเงินไหลเรามีภูมิต้านทานโรคดีขึ้น
5. Monetary policy normalization
ธนาคารกลางของEMEเอื้อต่อระบบเศรษฐกิจเมื่อเทียบกับธนาคารกลางของ สหรัฐ
6. จีน GDP Q2 อาจชะลอตัวลง การเติบโตของGDPจาก 2 digit ลดเหลือแค่ 1 digit.
โซนสีเขียวหมายถึง ส่วนที่ปีนี้ดีกว่าปีที่แล้ว
1. Equity valuations เรื่องValuation จากที่ราคาหุ้นลงไปมากกว่า20%
ทำให้เรามองว่าราคาหุ้นดูดีกว่าปีที่แล้วที่ราคาหุ้นของEMERGING MARKET แพงมาก
ROE , PB ของตลาดEMERGING MARKET ปัจจุบัน 2017 ที่ตลาดขึ้นเยอะ ตอนนี้ลงไป20%
Valuation ค่อนข้างถูก นอกจากนี้ PB, PE ปัจจุบันดูค่อนข้างน่าสนใจ
2. Currencies have sold off : ค่าเงินตลาด EMERGING MARKET
ผลตอบแทนของEMERGING MARKET ได้แก่ capital gain, dividend ดูน่าสนใจขึ้น
3. sentiment cautious flowที่นักลงทุนเข้าน้อยลง แสดงว่ามีการดูแลดีขึ้น
4. China stimulus restarting จีนเริ่มกระตุ้นเศรษฐกิจอีก
(EMERGING MARKET แบ่งเป็น 3 area) ถ้าดูน้ำหนักตลาดหุ้นยังอยู่ที่จีน ซึ่งมีอิทธิพลต่อ
EMERGING MARKET ได้ ธนาคารกลางจีนจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ
Why still EMERGING MARKET ? ทำไมตลาดเกิดใหม่น่าสนใจ
1. Size of EMERGING MARKET economics and capital mkt ประมาณ 50%
แต่ตลาดหุ้นมีมูลค่าแค่ 30% ภาพไม่balance
2. มีโอกาสที่ได้ผลตอบแทนที่สูง ในตลาด EMERGING MARKET
3. ปีนี้เศรษฐกิจ EMERGING MARKET ยังไม่สวยหรู ต้องระวัง Trade war
4. บริษัทจดทะเบียนในEMERGING MARKET มีการเติบโตดี ค่อนข้างถูก
- AnieLee
- Verified User
- โพสต์: 1436
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3221
(ต่อ) มีทติ้งวีไอภาคใต้ Q3/61
ขออภัยที่โพสช้าไปหน่อยครับ ก็ขอสรุปเนื้อหามีทติ้งต่อครับ
Q: หุ้นขายมือถือ
A: ไตรมาส 3 ทางกิจการ จ่ายดอกเบี้ยมากถึง 330 ล้านบาท ค่อนข้างที่จะเสี่ยง และอาจต้องมีการเพิ่มทุน จากที่ไปทำ FIN Tech มีการปล่อยสินเชื่อไม่มีหลักประกัน และจะมีหนี้เสียอีกมาก ในขณะรายได้ไม่แน่นอน แต่ต้องจ่ายดอกเบี้ย รวมถึงการขายหุ้นกู้ตอนนี้ ก็น่าจะค่อนข้างยาก
Q: ภาวะดอกเบี้ยขาขึ้น ควรพิจารณา P/E ที่ควรจะเป็นอย่างไร
A: กรณีที่ดอกเบี้ยต่ำ คนก็จะเอาเงินมาลงทุนในหุ้น เพราะ yield ราวๆ 3% แต่ในอนาคต ถ้าดอกเบี้ยขึ้นไป เงินก็จะออกไปจากตลาดหุ้น ความเห็นส่วนตัว มองว่า ดอกเบี้ยคงไม่ขึ้นเร็วขนาดนั้น ล่าสุด กนง ก็ยังคงอัตราดอกเบี้ยไว้ ในอนาคต ถึงจะขึ้น ก็ไม่น่าขึ้นเยอะ ก็ขึ้นครั้งละ 0.25 ปกติแล้ว ดอกเบี้ยจะขึ้น เพื่อชะลอความร้อนแรงของเศรษฐกิจ แต่ปัจจุบัน ขึ้นดอกเบี้ยเพื่อหยุดเงินเฟ้อ โดยปัจจุบันเงินเฟ้อไม่ได้เกิดจากเศรษฐกิจดี แต่เกิดจากต้นทุนสูงขึ้น(ราคาน้ำมันขึ้น) ทำให้ของแพง (ปกติเศรษฐกิจดี เงินจะเฟ้อ แต่ตอนนี้เศรษฐกิจไม่ดี) ดังนั้น ดอกเบี้ยคงไม่ขึ้นได้อย่างรวดเร็ว ยกเว้นกรณีที่เศรษฐกิจดีมากๆ ซึ่งจะทำให้ดอกเบี้ยขึ้นได้แรงและรวดเร็ว / อย่างไรก็ตาม อัตรา P/E ที่เหมาะสม ก็ต้องสัมพันธ์กับดอกเบี้ย ปัจจุบัน P/E โดยเฉลี่ยของตลาด น่าจะราวๆ 15.5 เท่า
Q: การควบคุมเงินดาวน์ของสินเชื่อบ้าน มีผลต่อหุ้นอสังหาฯ เพียงใด
A: ขึ้นกับบางบริษัทฯ บางแห่ง ก็อาจโดนกระทบ/บางแห่งก็ไม่โดนกระทบ ปัญหาหลักของหุ้นอสังหาฯ น่าเป็นเรื่องของฟองสบู่แตก เพราะมีการดูดซับกำลังซื้อไปหมดแล้ว ในขณะที่มีการสร้างกันขึ้นมาเรื่อยๆ โชคดีที่ผ่านมา มีกำลังซื้อมาจากชาวจีนช่วยซื้อ ทำให้ชะลอฟองสบู่ไปได้ ปัจจุบัน แรงซื้อจีนเริ่มหายๆ ไปบ้างแล้ว รวมทั้งแรงซื้อน้อยลงเรื่อยๆ แต่มีการเปิดตัวโครงการมากขึ้น ก็เป็นสาเหตุให้ราคาหุ้นอสังหาฯ ดิ่งลงไปมาก
Q: ถามเกี่ยวกับหุ้นอสังหาฯ ที่มีบ.ลูกหลายแห่ง
A: กำไรครึ่งหนึ่งมาจากบริษัทลูก ส่วนอีกครึ่งมาจากธุรกิจหลักของตนเอง แต่ธุรกิจหลักเริ่มถดถอยแล้ว โคงการใหม่ก็เปิดน้อยลง ระบายสต๊อคเก่าได้น้อย เพียงแต่มีมูลค่าแฝงจากมูลค่าของบริษัทลูก
Q: พิจารณาเลือกหุ้นแม่/หุ้นลูก อย่างไร
A: หุ้นแม่ที่ได้รับรู้กำไรตามส่วนได้เสียจากบริษัทลูกด้วย และบริษัทลูก มี P/E ค่อนข้างถูกด้วย เช่น หุ้นก่อสร้างมีบริษัทลูกถึง 3 บริษัท ซึ่งมูลค่าของบริษัทลูกมีถึง 31 บาท ในขณะที่ราคาหุ้นเพียง 25 บาท ทั้งนี้ บริษัทลูกก็มีกำไรไปเรื่อยๆ / ส่วนหุ้นก่อสร้างอีกตัวที่มีบริษัทลูกเป็นโรงไฟฟ้าที่ค่อนข้างจะมีการเติบโตสูง นั่นคือ ซื้อหุ้นแม่ที่มีบริษัทลูกที่กำลังเติบโตสูง / ส่วนหุ้นการบินที่ถือหุ้นรพ.จะแตกต่างกัน เพราะบริษัทลูกเทรดกันที่ P/E สูงเกินไป ก็เหมือนมูลค่าลวงๆ ไม่เหมือนกับบริษัทลูกที่มี P/E ต่ำ ก็เหมือนเป็นมูลค่าจริงๆ ที่จะขายได้ตามนั้น / เคสที่น่าสนใจ คือ เคสที่บริษัทแม่ที่กำลังจะขายบริษัทลูก ก็จะยิ่งดี เพราะได้มูลค่าจากการขายบริษัทลูกอย่างแน่นอน / ส่วนการเลือกซื้อหุ้นแม่หรือหุ้นลูก ก็พิจารณาว่า ตัวไหนจะมีอัพไซด์มากกว่ากัน ก็จะเลือกซื้อตัวที่มีอัพไซด์มากกว่า / หุ้นสินเชื่อกะบ.ลูก(บริษัทร่วม) มองว่า บ.ร่วม น่ามีโอกาสเติบโตมากกว่า เพราะมีฐานที่ต่ำกว่า ในขณะที่ หุ้นสินเชื่อมีฐานที่ใหญ่มาก การเติบโตมากๆ ก็ทำได้ยาก ก็ต้องพิจารณาดูว่า ตัวไหนที่ P/E ถูกกว่า
Q: ช่วงหลังงบออก มีการจัดการกับหุ้นอย่างไร
A: หากราคาหุ้นที่ราคาลงอย่างไร้เหตุผล และได้ทำการประเมินมูลค่าแล้วว่า มีอัพไซด์มาก ก็จะทำการ Switching หุ้นไป ก็จะขายหุ้นที่มีอัพไซด์น้อยกว่า ไปยังหุ้นที่มีอัพไซด์มากกว่าเสมอ
Q: ปั้มปีเตอร์มีโอกาสกลับมาหรือไม่
A: ผบห เป็นนักสู้ เชื่อว่า น่ามีโอกาสกลับมาได้ ณ วันนี้ ไม่ใช่วันของเค้า เพราะค่าการตลาดตกต่ำ รวมทั้งมีการลงทุนมาก ทำให้มีค่าใช้จ่าย/ค่าเสื่อมสูง ในขณะที่ไม่เกิดดอกผลจากการลงทุนเลย ก็คงต้องรอต่อไป / ในอดีต มีการขยายปั้มต่างจังหวัดมาก แต่จุดอ่อนคือ ค่าการตลาด จึงทำปั้มมากขึ้น แต่ก็ทำให้ค่าเช่าปั้มมากขึ้น ค่าใช้จ่ายก็มากขึ้น / ถึงแม้มีคู่แข่ง ปตท เข้ามา ก็น่าพอแข่งขันได้ เพราะต้นทุนการทำปั้มของ ปตท สูงกว่าของเค้า / ก็คงต้องรอให้ค่าการตลาดกลับมาเป็นปกติ
Q: ที่เคยบอกว่า New Low, New Love แต่บางตัว ก็จะรูดลงไปเรื่อยๆ ทั้งๆ ที่ New Low แล้ว
A: หุ้นที่ New Low New Love ไม่ใช่ว่า ต้องซื้อเสมอไป แต่ทำให้อยู่ในสายตาเรา ก็ต้องพิจารณาพื้นฐานของกิจการตลอด เราก็ต้องรอให้ราคาหุ้นอยู่ในเกณฑ์ที่คุ้มค่าก่อน จึงค่อยเข้าไปซื้อ ส่วนหุ้นที่รูดลงไป อาจเป็นหุ้นที่ไม่มีพื้นฐาน หรือหุ้นที่มี P/E สูง ก็ทำให้ราคาลงได้เยอะ
Q: คำถามเกี่ยวกับวิกฤติตลาดหุ้นในอนาคต
A: ลึกๆ แล้ว คนส่วนใหญ่กลัวเกิดวิกฤติ ก็อาจมีการขายหุ้นออกมา ในความเป็นจริงแล้ว เราไม่มีทางทราบได้ว่า จะมีวิกฤติเกิดขึ้นหรือไม่ / ปัจจุบัน บริษัทจดทะเบียน ทำกำไรรวมได้ 1.1 ล้านล้านบาท โดยครึ่งหนึ่งเอามาจ่ายปันผล และอีกครึ่งนำไปขยายกิจการ นั่นคือ มีเงินเพิ่มเข้ามาในตลาดแทบทุกปี แล้วเราจะกลัววิกฤติทำไม เพียงแต่เราต้องเตรียมใจเผื่อไว้ว่า ยังไงก็ต้องเจอ หากเราไม่ลงทุนหุ้นตัวเดียว เลือกบริษัทที่ดี มีปันผล มีมาร์จิ้นออฟเซฟตี้ ก็ไม่จำเป็นต้องกลัวอะไร ต่อให้มีวิกฤติมา ก็ไม่ถึงกับตาย อาจแค่สาหัสปางตายแค่นั้นเอง สิ่งที่ทำได้คือ ทำให้พอร์ตลงทุนแข็งแรงที่สุด เรือเราแข็งแรงที่สุด พายุจะมาเมื่อไรก็ไม่สนใจ ทำใจเอาไว้แล้ว แต่พอรอดจากวิกฤติ พอร์ตเราก็ต้องพุ่งทะยานแบบเสือติดปีกเลยทีเดียว / แต่ถ้าบางคนต้องการความมั่นคง ปลอดภัย ก็อาจแบ่งเงินไปลงทุนที่อื่น ไม่ใช่ในตลาดหุ้นอย่างเดียวก็ได้ / ถึงตลาดหุ้นน่ากลัว แต่ไม่น่ากลัวเท่าจิตใจของเรา ตลาดหุ้นเหมือนคนบ้า อารมณ์ดี ก็ไล่ซื้อหุ้นราคาแพง ตอนอารมณ์หดหู่ ก็ขายหุ้นราคาถูกๆ ดังนั้น เราต้องหาประโยชน์จากตลาดหุ้นให้ได้ ตอนตลาดหุ้นแย่ๆ ก็ต้องสงบ รอซื้อหุ้นราคาถูกๆ เราก็เอาเงินเย็นๆ มาซื้อ และก็รอคอยเอาไปขายตอนที่หุ้นราคาแพงๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องทำ หากต้องการประสบความสำเร็จ (มันก็ไม่ง่ายที่จะทำ)
ไว้ต่อสรุปในวันถัดไปครับ ^ ^
ขออภัยที่โพสช้าไปหน่อยครับ ก็ขอสรุปเนื้อหามีทติ้งต่อครับ
Q: หุ้นขายมือถือ
A: ไตรมาส 3 ทางกิจการ จ่ายดอกเบี้ยมากถึง 330 ล้านบาท ค่อนข้างที่จะเสี่ยง และอาจต้องมีการเพิ่มทุน จากที่ไปทำ FIN Tech มีการปล่อยสินเชื่อไม่มีหลักประกัน และจะมีหนี้เสียอีกมาก ในขณะรายได้ไม่แน่นอน แต่ต้องจ่ายดอกเบี้ย รวมถึงการขายหุ้นกู้ตอนนี้ ก็น่าจะค่อนข้างยาก
Q: ภาวะดอกเบี้ยขาขึ้น ควรพิจารณา P/E ที่ควรจะเป็นอย่างไร
A: กรณีที่ดอกเบี้ยต่ำ คนก็จะเอาเงินมาลงทุนในหุ้น เพราะ yield ราวๆ 3% แต่ในอนาคต ถ้าดอกเบี้ยขึ้นไป เงินก็จะออกไปจากตลาดหุ้น ความเห็นส่วนตัว มองว่า ดอกเบี้ยคงไม่ขึ้นเร็วขนาดนั้น ล่าสุด กนง ก็ยังคงอัตราดอกเบี้ยไว้ ในอนาคต ถึงจะขึ้น ก็ไม่น่าขึ้นเยอะ ก็ขึ้นครั้งละ 0.25 ปกติแล้ว ดอกเบี้ยจะขึ้น เพื่อชะลอความร้อนแรงของเศรษฐกิจ แต่ปัจจุบัน ขึ้นดอกเบี้ยเพื่อหยุดเงินเฟ้อ โดยปัจจุบันเงินเฟ้อไม่ได้เกิดจากเศรษฐกิจดี แต่เกิดจากต้นทุนสูงขึ้น(ราคาน้ำมันขึ้น) ทำให้ของแพง (ปกติเศรษฐกิจดี เงินจะเฟ้อ แต่ตอนนี้เศรษฐกิจไม่ดี) ดังนั้น ดอกเบี้ยคงไม่ขึ้นได้อย่างรวดเร็ว ยกเว้นกรณีที่เศรษฐกิจดีมากๆ ซึ่งจะทำให้ดอกเบี้ยขึ้นได้แรงและรวดเร็ว / อย่างไรก็ตาม อัตรา P/E ที่เหมาะสม ก็ต้องสัมพันธ์กับดอกเบี้ย ปัจจุบัน P/E โดยเฉลี่ยของตลาด น่าจะราวๆ 15.5 เท่า
Q: การควบคุมเงินดาวน์ของสินเชื่อบ้าน มีผลต่อหุ้นอสังหาฯ เพียงใด
A: ขึ้นกับบางบริษัทฯ บางแห่ง ก็อาจโดนกระทบ/บางแห่งก็ไม่โดนกระทบ ปัญหาหลักของหุ้นอสังหาฯ น่าเป็นเรื่องของฟองสบู่แตก เพราะมีการดูดซับกำลังซื้อไปหมดแล้ว ในขณะที่มีการสร้างกันขึ้นมาเรื่อยๆ โชคดีที่ผ่านมา มีกำลังซื้อมาจากชาวจีนช่วยซื้อ ทำให้ชะลอฟองสบู่ไปได้ ปัจจุบัน แรงซื้อจีนเริ่มหายๆ ไปบ้างแล้ว รวมทั้งแรงซื้อน้อยลงเรื่อยๆ แต่มีการเปิดตัวโครงการมากขึ้น ก็เป็นสาเหตุให้ราคาหุ้นอสังหาฯ ดิ่งลงไปมาก
Q: ถามเกี่ยวกับหุ้นอสังหาฯ ที่มีบ.ลูกหลายแห่ง
A: กำไรครึ่งหนึ่งมาจากบริษัทลูก ส่วนอีกครึ่งมาจากธุรกิจหลักของตนเอง แต่ธุรกิจหลักเริ่มถดถอยแล้ว โคงการใหม่ก็เปิดน้อยลง ระบายสต๊อคเก่าได้น้อย เพียงแต่มีมูลค่าแฝงจากมูลค่าของบริษัทลูก
Q: พิจารณาเลือกหุ้นแม่/หุ้นลูก อย่างไร
A: หุ้นแม่ที่ได้รับรู้กำไรตามส่วนได้เสียจากบริษัทลูกด้วย และบริษัทลูก มี P/E ค่อนข้างถูกด้วย เช่น หุ้นก่อสร้างมีบริษัทลูกถึง 3 บริษัท ซึ่งมูลค่าของบริษัทลูกมีถึง 31 บาท ในขณะที่ราคาหุ้นเพียง 25 บาท ทั้งนี้ บริษัทลูกก็มีกำไรไปเรื่อยๆ / ส่วนหุ้นก่อสร้างอีกตัวที่มีบริษัทลูกเป็นโรงไฟฟ้าที่ค่อนข้างจะมีการเติบโตสูง นั่นคือ ซื้อหุ้นแม่ที่มีบริษัทลูกที่กำลังเติบโตสูง / ส่วนหุ้นการบินที่ถือหุ้นรพ.จะแตกต่างกัน เพราะบริษัทลูกเทรดกันที่ P/E สูงเกินไป ก็เหมือนมูลค่าลวงๆ ไม่เหมือนกับบริษัทลูกที่มี P/E ต่ำ ก็เหมือนเป็นมูลค่าจริงๆ ที่จะขายได้ตามนั้น / เคสที่น่าสนใจ คือ เคสที่บริษัทแม่ที่กำลังจะขายบริษัทลูก ก็จะยิ่งดี เพราะได้มูลค่าจากการขายบริษัทลูกอย่างแน่นอน / ส่วนการเลือกซื้อหุ้นแม่หรือหุ้นลูก ก็พิจารณาว่า ตัวไหนจะมีอัพไซด์มากกว่ากัน ก็จะเลือกซื้อตัวที่มีอัพไซด์มากกว่า / หุ้นสินเชื่อกะบ.ลูก(บริษัทร่วม) มองว่า บ.ร่วม น่ามีโอกาสเติบโตมากกว่า เพราะมีฐานที่ต่ำกว่า ในขณะที่ หุ้นสินเชื่อมีฐานที่ใหญ่มาก การเติบโตมากๆ ก็ทำได้ยาก ก็ต้องพิจารณาดูว่า ตัวไหนที่ P/E ถูกกว่า
Q: ช่วงหลังงบออก มีการจัดการกับหุ้นอย่างไร
A: หากราคาหุ้นที่ราคาลงอย่างไร้เหตุผล และได้ทำการประเมินมูลค่าแล้วว่า มีอัพไซด์มาก ก็จะทำการ Switching หุ้นไป ก็จะขายหุ้นที่มีอัพไซด์น้อยกว่า ไปยังหุ้นที่มีอัพไซด์มากกว่าเสมอ
Q: ปั้มปีเตอร์มีโอกาสกลับมาหรือไม่
A: ผบห เป็นนักสู้ เชื่อว่า น่ามีโอกาสกลับมาได้ ณ วันนี้ ไม่ใช่วันของเค้า เพราะค่าการตลาดตกต่ำ รวมทั้งมีการลงทุนมาก ทำให้มีค่าใช้จ่าย/ค่าเสื่อมสูง ในขณะที่ไม่เกิดดอกผลจากการลงทุนเลย ก็คงต้องรอต่อไป / ในอดีต มีการขยายปั้มต่างจังหวัดมาก แต่จุดอ่อนคือ ค่าการตลาด จึงทำปั้มมากขึ้น แต่ก็ทำให้ค่าเช่าปั้มมากขึ้น ค่าใช้จ่ายก็มากขึ้น / ถึงแม้มีคู่แข่ง ปตท เข้ามา ก็น่าพอแข่งขันได้ เพราะต้นทุนการทำปั้มของ ปตท สูงกว่าของเค้า / ก็คงต้องรอให้ค่าการตลาดกลับมาเป็นปกติ
Q: ที่เคยบอกว่า New Low, New Love แต่บางตัว ก็จะรูดลงไปเรื่อยๆ ทั้งๆ ที่ New Low แล้ว
A: หุ้นที่ New Low New Love ไม่ใช่ว่า ต้องซื้อเสมอไป แต่ทำให้อยู่ในสายตาเรา ก็ต้องพิจารณาพื้นฐานของกิจการตลอด เราก็ต้องรอให้ราคาหุ้นอยู่ในเกณฑ์ที่คุ้มค่าก่อน จึงค่อยเข้าไปซื้อ ส่วนหุ้นที่รูดลงไป อาจเป็นหุ้นที่ไม่มีพื้นฐาน หรือหุ้นที่มี P/E สูง ก็ทำให้ราคาลงได้เยอะ
Q: คำถามเกี่ยวกับวิกฤติตลาดหุ้นในอนาคต
A: ลึกๆ แล้ว คนส่วนใหญ่กลัวเกิดวิกฤติ ก็อาจมีการขายหุ้นออกมา ในความเป็นจริงแล้ว เราไม่มีทางทราบได้ว่า จะมีวิกฤติเกิดขึ้นหรือไม่ / ปัจจุบัน บริษัทจดทะเบียน ทำกำไรรวมได้ 1.1 ล้านล้านบาท โดยครึ่งหนึ่งเอามาจ่ายปันผล และอีกครึ่งนำไปขยายกิจการ นั่นคือ มีเงินเพิ่มเข้ามาในตลาดแทบทุกปี แล้วเราจะกลัววิกฤติทำไม เพียงแต่เราต้องเตรียมใจเผื่อไว้ว่า ยังไงก็ต้องเจอ หากเราไม่ลงทุนหุ้นตัวเดียว เลือกบริษัทที่ดี มีปันผล มีมาร์จิ้นออฟเซฟตี้ ก็ไม่จำเป็นต้องกลัวอะไร ต่อให้มีวิกฤติมา ก็ไม่ถึงกับตาย อาจแค่สาหัสปางตายแค่นั้นเอง สิ่งที่ทำได้คือ ทำให้พอร์ตลงทุนแข็งแรงที่สุด เรือเราแข็งแรงที่สุด พายุจะมาเมื่อไรก็ไม่สนใจ ทำใจเอาไว้แล้ว แต่พอรอดจากวิกฤติ พอร์ตเราก็ต้องพุ่งทะยานแบบเสือติดปีกเลยทีเดียว / แต่ถ้าบางคนต้องการความมั่นคง ปลอดภัย ก็อาจแบ่งเงินไปลงทุนที่อื่น ไม่ใช่ในตลาดหุ้นอย่างเดียวก็ได้ / ถึงตลาดหุ้นน่ากลัว แต่ไม่น่ากลัวเท่าจิตใจของเรา ตลาดหุ้นเหมือนคนบ้า อารมณ์ดี ก็ไล่ซื้อหุ้นราคาแพง ตอนอารมณ์หดหู่ ก็ขายหุ้นราคาถูกๆ ดังนั้น เราต้องหาประโยชน์จากตลาดหุ้นให้ได้ ตอนตลาดหุ้นแย่ๆ ก็ต้องสงบ รอซื้อหุ้นราคาถูกๆ เราก็เอาเงินเย็นๆ มาซื้อ และก็รอคอยเอาไปขายตอนที่หุ้นราคาแพงๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องทำ หากต้องการประสบความสำเร็จ (มันก็ไม่ง่ายที่จะทำ)
ไว้ต่อสรุปในวันถัดไปครับ ^ ^
####################################################
ความสำเร็จจากการลงทุน ไม่ได้เกิดจาก "การซื้อของดี" แต่มาจาก "การซื้อของได้ดี" ต่างหาก
ความสำเร็จจากการลงทุน ไม่ได้เกิดจาก "การซื้อของดี" แต่มาจาก "การซื้อของได้ดี" ต่างหาก
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3222
คูณ ไพบูลย์ ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย
ปาฏกถาพิเศษหัวข้อ โฉมหน้าเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทยปี 2019
ภาพใหญ่ปีนี้ค่อนข้างแปลก เศรษฐกิจโลกจริงๆ ดีมากๆ
นับย้อนไป10ปีที่แล้วหลังวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ ปีนี้เศรษฐกิจโลกโตสุดๆ 3.8-3.9%
เศรษฐกิจบ้านเราก็โตมาก แต่USบางไตรมาสก็โตสูงกว่าเรา ส่วนจีนก็โต 6%
แต่การลงทุนปีนี้แปลกที่เป็นปีแรก สินทรัพย์ทุกชนิดติดลบหมดเลย
มองเฉพาะตลาดหุ้นก็ลงเกือบทุกตลาดทั้ง ตลาดที่พัฒนาแล้วและตลาดที่กำลังพัฒนา
มีขึ้นแค่3-4 ตลาด SET ติดลบน้อยกว่าหลายประเทศ ติดลบ6-7% แต่ที่อื่นๆเฉลี่ย -15%
เป็นครั้งแรกหลังวิกฤต ที่จังหวะการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด พร้อมๆกับการดึงสภาพคล่องออกด้วย
นักลงทุนเริ่มไม่มั่นใจ ตลาดหุ้นที่ขึ้นมาตลอดสิบปี ถือเป็นตลาดกระทิงที่ร้อนแรง
แต่เจอสภาพคล่องที่ถูกดึงออก รวมถึงการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด
มีโอกาสที่ตลาดหุ้นกลายจากตลาดกระทิงเป็นตลาดหมีได้ เป็นความกังวลของนักลงทุนว่าจะเกิดหรือเปล่า
ถ้าเกิดขึ้นก็ถือว่าจบรอบของตลาดกระทิง แต่ถ้าไม่ใช่ ก็มีโอกาสดีที่ตลาดหุ้นมีโอกาสขึ้นได้
ถ้าตัดประเด็นที่คุณทรัมป์เกี่ยวกับTrade war เรื่องอื่นก็มีโอกาสเปลี่ยนแปลงได้
ปีนี้พักฐานรอว่าเศรษฐกิจเป็นอย่างไร ถ้าเศรษฐกิจโลกไปได้ ตลาดหุ้นก็ยังไปต่อได้
ช่วงปี2013 ที่เฟดแจ้งว่าจะไม่เพิ่มปริมาณเงิน (QE) และเปลี่ยนเป็น Quantitative Tightening (QT)
ทุกคนเริ่มลังเลว่าไปทางไหน การขึ้นดอกเบี้ย หรือ การทำQT สะท้อนไปที่ราคาหุ้นแล้ว
แนวคิด 50% สะท้อนไปที่ ข้อแรก คือ เศรษฐกิจUS ปี2020 แย่ลง
ส่วนผมคิดตรงกันข้าม คือข้อสอง การทำของเฟด ค่อนข้างต่ำกว่าที่เคยประกาศ
สภาพคล่องน่าจะยังดีอยู่ ดอกเบี้ยสะท้อนในราคาเยอะแล้ว
ปีนี้ตอนต้นปี คนส่วนใหญ่ไม่คาดว่าจะขึ้นดอกเบี้ย 4 ครั้ง พอผลออกมาว่าจะขึ้น4ครั้งเลยกระทบเยอะ
ปีหน้าคาดขึ้น 3 ครั้ง ซึ่งสะท้อนไปในราคาหุ้นแล้ว
คนตกงานน้อยมากๆในรอบสิบปี เศรษฐกิจUSดีมาก
อีกด้าน นโยบายการคลัง ทรัมป์ยังใช้จ่ายอยู่ เขาสนใจเศรษฐกิจและราคาหุ้นด้วย
ช่วงนี้ทรัมป์ไม่พูดถึงตลาดหุ้นเลย จากนี้ไปเริ่มdefenseกับFEDว่าไม่ควรขึ้นดอกเบี้ยอีก
ตลาดหุ้นของUS หุ้นยังไม่ตกเมื่อเทียบกับดัชนีตอนต้นปี2018
Trade war ไม่มีใครเดาใจทรัมป์ได้ แต่ถ้าทำจนสุดทาง มีแต่เสีย คนรับเคราะห์คือผู้บริโภค
ถ้าเราเชื่อว่า น้ำหนักไม่มากที่คุยไม่รู้เรื่อง และฝืนทำไปสุดซอย น่าจะเป็นข่าวดีต่อตลาดหุ้น
ถ้าเศรษฐกิจ US ไม่รุนแรงอย่างที่หลายคนคาด ดังนั้นเศรษฐกิจโลกก็ดีด้วย
ทุกคนยังเชื่อว่า Trade war น่าจะคุยกันได้ ตลาดหุ้นน่าจะperformในปีหน้า
ไทยเรามีความเสียง ซึ่งแยกออกเป็น2ปัจจัยคือ
1. เสถียรภาพของรัฐบาลชุดใหม่น่าจะน้อยกว่าชุดนี้ ดูว่าจะผลักดันนโยบายออกมาได้แค่ไหน
เป็นconcernที่ต่างชาติกังวลอยู่ ถ้าไม่มีความชัดเจนในเรื่องนี้ เป็นประเด็นต้องจับตาดู
2. การส่งออกและการท่องเที่ยวโตไม่ดีเหมือนในอดีต นักท่องเที่ยวโตไม่มากเพราะฐานใหญ่แล้ว
ต้องมาดูที่การลงทุนของภาคเอกชน และ การบริโภคครัวเรือน
จากการวิเคราะห์ มองตรงกันว่าเศรษฐกิจไทยน่าจะโตน้อยกว่าปีนี้ คาดเดาว่าโตอยู่ได้ 3.8-4.0%
โดยการลงทุนของภาคเอกชนต้องลงทุนตามรัฐที่ลงไปก่อนหน้า และ มีการบริโภคเพิ่มขึ้นด้วย
การขึ้นดอกเบี้ยครั้งเดียวที่เกิดขึ้นในเดือน ธค 18 ไม่น่าจะมีผลต่อเศรษฐกิจ
โดยภาพรวม ยังมีความเสี่ยง แต่น้อยกว่าโอกาสที่เศรษฐกิจฟื้นตัว
เศรษฐกิจUSยังไปได้ แต่กลัวTrade warเรื่องเดียว
การลงทุนในปีหน้า
ในอดีต ถ้าตลาดหุ้นไทยปีนี้ไม่ดี ปีหน้าจะดี แต่ประเด็นที่ต้องมองมี 2 เรื่องคือ
1. เศรษฐกิจจะถดถอยไหม
2. กำไรของบริษัทจดทะเบียนยังเติบโตอีกไหม
สิ่งที่กังวลในตลาดโลก มีวิกฤตใหม่ไหม มีฟองสบู่ในสินทรัพย์เช่น property bubble ไหม
โอกาสที่เกิดวิกฤตในUS น่าจะน้อย แต่อาจเกิดในขึ้นประเทศเล็กๆ
ส่วนประเทศอิตาลีน่าจะconcern แต่คิดว่า EU น่าจะดูแลอิตาลีได้
ธนาคารพาณิชย์ของไทยแข็งแรงมาก หลังวิกฤตต้มยำกุ้ง property bubble ไม่น่าจะมี
ปีหน้ามีโอกาสลงทุนในหุ้นที่จะฟื้นตัว รอบนี้ยังไม่จบจากสภาพคล่องที่มากเนื่องมาจากการทำQE
สภาพคล่องยังเกินระดับปกติอีกหลายปี จนกว่าสภาพคล่องจะลงมาสู่ระดับปกติ
มีโอกาสที่เงินไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นทำให้performได้ดี
ส่วนหุ้นที่น่าลงทุน ต้องฟัง 5 อรหันต์ แต่upsideไม่น่าจะเยอะถึง30%ในสมัยก่อน
แต่อย่างน้อยหุ้นก็ขึ้นเป็น%มากกว่า การโตของGDPบ้าง
เดาว่าปีต่อไป จะจบตลาดกระทิงหรือไม่ แต่ผมว่ายังเร็วเกินไปที่จบรอบของตลาดกระทิง
ปาฏกถาพิเศษหัวข้อ โฉมหน้าเศรษฐกิจและตลาดหุ้นไทยปี 2019
ภาพใหญ่ปีนี้ค่อนข้างแปลก เศรษฐกิจโลกจริงๆ ดีมากๆ
นับย้อนไป10ปีที่แล้วหลังวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ ปีนี้เศรษฐกิจโลกโตสุดๆ 3.8-3.9%
เศรษฐกิจบ้านเราก็โตมาก แต่USบางไตรมาสก็โตสูงกว่าเรา ส่วนจีนก็โต 6%
แต่การลงทุนปีนี้แปลกที่เป็นปีแรก สินทรัพย์ทุกชนิดติดลบหมดเลย
มองเฉพาะตลาดหุ้นก็ลงเกือบทุกตลาดทั้ง ตลาดที่พัฒนาแล้วและตลาดที่กำลังพัฒนา
มีขึ้นแค่3-4 ตลาด SET ติดลบน้อยกว่าหลายประเทศ ติดลบ6-7% แต่ที่อื่นๆเฉลี่ย -15%
เป็นครั้งแรกหลังวิกฤต ที่จังหวะการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด พร้อมๆกับการดึงสภาพคล่องออกด้วย
นักลงทุนเริ่มไม่มั่นใจ ตลาดหุ้นที่ขึ้นมาตลอดสิบปี ถือเป็นตลาดกระทิงที่ร้อนแรง
แต่เจอสภาพคล่องที่ถูกดึงออก รวมถึงการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด
มีโอกาสที่ตลาดหุ้นกลายจากตลาดกระทิงเป็นตลาดหมีได้ เป็นความกังวลของนักลงทุนว่าจะเกิดหรือเปล่า
ถ้าเกิดขึ้นก็ถือว่าจบรอบของตลาดกระทิง แต่ถ้าไม่ใช่ ก็มีโอกาสดีที่ตลาดหุ้นมีโอกาสขึ้นได้
ถ้าตัดประเด็นที่คุณทรัมป์เกี่ยวกับTrade war เรื่องอื่นก็มีโอกาสเปลี่ยนแปลงได้
ปีนี้พักฐานรอว่าเศรษฐกิจเป็นอย่างไร ถ้าเศรษฐกิจโลกไปได้ ตลาดหุ้นก็ยังไปต่อได้
ช่วงปี2013 ที่เฟดแจ้งว่าจะไม่เพิ่มปริมาณเงิน (QE) และเปลี่ยนเป็น Quantitative Tightening (QT)
ทุกคนเริ่มลังเลว่าไปทางไหน การขึ้นดอกเบี้ย หรือ การทำQT สะท้อนไปที่ราคาหุ้นแล้ว
แนวคิด 50% สะท้อนไปที่ ข้อแรก คือ เศรษฐกิจUS ปี2020 แย่ลง
ส่วนผมคิดตรงกันข้าม คือข้อสอง การทำของเฟด ค่อนข้างต่ำกว่าที่เคยประกาศ
สภาพคล่องน่าจะยังดีอยู่ ดอกเบี้ยสะท้อนในราคาเยอะแล้ว
ปีนี้ตอนต้นปี คนส่วนใหญ่ไม่คาดว่าจะขึ้นดอกเบี้ย 4 ครั้ง พอผลออกมาว่าจะขึ้น4ครั้งเลยกระทบเยอะ
ปีหน้าคาดขึ้น 3 ครั้ง ซึ่งสะท้อนไปในราคาหุ้นแล้ว
คนตกงานน้อยมากๆในรอบสิบปี เศรษฐกิจUSดีมาก
อีกด้าน นโยบายการคลัง ทรัมป์ยังใช้จ่ายอยู่ เขาสนใจเศรษฐกิจและราคาหุ้นด้วย
ช่วงนี้ทรัมป์ไม่พูดถึงตลาดหุ้นเลย จากนี้ไปเริ่มdefenseกับFEDว่าไม่ควรขึ้นดอกเบี้ยอีก
ตลาดหุ้นของUS หุ้นยังไม่ตกเมื่อเทียบกับดัชนีตอนต้นปี2018
Trade war ไม่มีใครเดาใจทรัมป์ได้ แต่ถ้าทำจนสุดทาง มีแต่เสีย คนรับเคราะห์คือผู้บริโภค
ถ้าเราเชื่อว่า น้ำหนักไม่มากที่คุยไม่รู้เรื่อง และฝืนทำไปสุดซอย น่าจะเป็นข่าวดีต่อตลาดหุ้น
ถ้าเศรษฐกิจ US ไม่รุนแรงอย่างที่หลายคนคาด ดังนั้นเศรษฐกิจโลกก็ดีด้วย
ทุกคนยังเชื่อว่า Trade war น่าจะคุยกันได้ ตลาดหุ้นน่าจะperformในปีหน้า
ไทยเรามีความเสียง ซึ่งแยกออกเป็น2ปัจจัยคือ
1. เสถียรภาพของรัฐบาลชุดใหม่น่าจะน้อยกว่าชุดนี้ ดูว่าจะผลักดันนโยบายออกมาได้แค่ไหน
เป็นconcernที่ต่างชาติกังวลอยู่ ถ้าไม่มีความชัดเจนในเรื่องนี้ เป็นประเด็นต้องจับตาดู
2. การส่งออกและการท่องเที่ยวโตไม่ดีเหมือนในอดีต นักท่องเที่ยวโตไม่มากเพราะฐานใหญ่แล้ว
ต้องมาดูที่การลงทุนของภาคเอกชน และ การบริโภคครัวเรือน
จากการวิเคราะห์ มองตรงกันว่าเศรษฐกิจไทยน่าจะโตน้อยกว่าปีนี้ คาดเดาว่าโตอยู่ได้ 3.8-4.0%
โดยการลงทุนของภาคเอกชนต้องลงทุนตามรัฐที่ลงไปก่อนหน้า และ มีการบริโภคเพิ่มขึ้นด้วย
การขึ้นดอกเบี้ยครั้งเดียวที่เกิดขึ้นในเดือน ธค 18 ไม่น่าจะมีผลต่อเศรษฐกิจ
โดยภาพรวม ยังมีความเสี่ยง แต่น้อยกว่าโอกาสที่เศรษฐกิจฟื้นตัว
เศรษฐกิจUSยังไปได้ แต่กลัวTrade warเรื่องเดียว
การลงทุนในปีหน้า
ในอดีต ถ้าตลาดหุ้นไทยปีนี้ไม่ดี ปีหน้าจะดี แต่ประเด็นที่ต้องมองมี 2 เรื่องคือ
1. เศรษฐกิจจะถดถอยไหม
2. กำไรของบริษัทจดทะเบียนยังเติบโตอีกไหม
สิ่งที่กังวลในตลาดโลก มีวิกฤตใหม่ไหม มีฟองสบู่ในสินทรัพย์เช่น property bubble ไหม
โอกาสที่เกิดวิกฤตในUS น่าจะน้อย แต่อาจเกิดในขึ้นประเทศเล็กๆ
ส่วนประเทศอิตาลีน่าจะconcern แต่คิดว่า EU น่าจะดูแลอิตาลีได้
ธนาคารพาณิชย์ของไทยแข็งแรงมาก หลังวิกฤตต้มยำกุ้ง property bubble ไม่น่าจะมี
ปีหน้ามีโอกาสลงทุนในหุ้นที่จะฟื้นตัว รอบนี้ยังไม่จบจากสภาพคล่องที่มากเนื่องมาจากการทำQE
สภาพคล่องยังเกินระดับปกติอีกหลายปี จนกว่าสภาพคล่องจะลงมาสู่ระดับปกติ
มีโอกาสที่เงินไหลเข้าสู่ตลาดหุ้นทำให้performได้ดี
ส่วนหุ้นที่น่าลงทุน ต้องฟัง 5 อรหันต์ แต่upsideไม่น่าจะเยอะถึง30%ในสมัยก่อน
แต่อย่างน้อยหุ้นก็ขึ้นเป็น%มากกว่า การโตของGDPบ้าง
เดาว่าปีต่อไป จะจบตลาดกระทิงหรือไม่ แต่ผมว่ายังเร็วเกินไปที่จบรอบของตลาดกระทิง
- AnieLee
- Verified User
- โพสต์: 1436
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3223
(ต่อ) มีทติ้งวีไอภาคใต้ Q3/61
^ ^ ยังมีต่อครับ ช่วงตลาดซบเซา ก็หนีไปทำอย่างอื่นครับ เลยมาอัพเดทช้าไปหน่อย ขออภัยด้วยครับ
Q: ประเมินมูลค่าหุ้นโรงไฟฟ้าพลังเขื่อน เป็นอย่างอย่างไร
A: ใช้ P/E ในการประเมินมูลค่าหุ้นตามปกติ โรงไฟฟ้าเขื่อนไชยะบุรี ก่อสร้างมาแล้ว 8 ปี ใกล้จะเสร็จ ซึ่งมีขนาดใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ใน South East Asia เลยทีเดียว ใช้เงินลงทุนถึง 1.3 แสนล้านบาท ปีแรก กำไรประมาณ 4500 ล้าน ไล่ไปเรื่อยๆ จนปีที่ 12-13 น่าจะกำไรมากถึง 1 หมื่นล้าน ทั้งนี้ บริษัทถือหุ้นราว 37.5% ในปีที่ peak ก็จะได้กำไรราว 3.7 พันล้านบาท รวมกับโรงไฟฟ้าอื่น กำไรน่าจะเกิน 4 พันล้านบาท หากมองมาร์เก็ตแคปในปีที่ Peak อย่างน้อยก็ควรจะราวๆ 4 หมื่นล้านบาท (ใช้ p/e 10x) แต่อย่าลืมว่า ต้องใช้เวลาอีก 10 ปี ถึงจะไปได้ 4 หมื่นล้านบาท หากพิจารณาราคาหุ้นในปัจจุบัน ก็เริ่มสะท้อนไปแล้วพอสมควร
Q: ระหว่าง หุ้นไฟฟ้า คำขวัญประจำจังหวัด "คนสวยโพธาราม คนงามบ้านโป่ง เมืองโอ่งมังกร วัดขนอนหนังใหญ่ ตื่นใจถ้ำงาม ตลาดน้ำดำเนิน เพลินค้างคาวร้อยล้าน ย่านยี่สกปลาดี" vs กับ หุ้นไฟฟ้าพลังเขื่อน ตัวไหนปลอดภัยกว่ากัน ในกรณีที่ต้องการลงทุนถือยาวๆ หลังเกษียณฯ
A: ไม่ควรถือหุ้นคำขวัญประจำจังหวัดเด็ดขาด เพราะโรงไฟฟ้าหลักของเค้า ใกล้หมดสัญญาสัมปทานแล้ว / โรงไฟฟ้าที่เพิ่งซื้อขนอมน่าจะดีกว่า เพราะมีการเข้าไปซื้อโรงไฟฟ้าใหม่ๆ เข้ามา หรือทยอยต่อสัญญาได้ แม้แต่ไฟฟ้าพลังเขื่อก็น่าสนในการถือระยะยาว ความเสี่ยงแทบไม่มี เพราะโอกาสที่จะเกิดปัญหาน้ำน้อย แทบจะไม่มีเลย แถมทนแผ่นดินไหวได้ถึง 7.0 ริกเตอร์ด้วย
Q: การจัดสรรพอร์ตลงทุน เป็นอย่างไร
A: ศิลปะการจัดพอร์ตหุ้น – ตัวไหนมั่นใจมาก ก็ซื้อมากๆ เพียงแต่จะไม่ให้เกิน 40% เพราะเผื่อเกิดการผิดพลาด / ตัวไหนมั่นใจน้อย สภาพคล่องน้อย ก็ถือน้อยหน่อย / ชอบถือหุ้นหลายๆ ตัว เพราะมันต้องมีตัวบางตัวในหุ้น 40 ตัวที่ต้องวิ่งแน่ๆ ทุกปีย่อมต้องมีหุ้นที่ขึ้น ถึงแม้ว่า จะมีตัวที่ผิดก็ตาม หุ้นตัวที่ดีๆ เพียงไม่กี่ตัว สามารถที่จะชดเชยหุ้นตัวที่ไม่ดีได้
Q: หุ้นที่มีตำหนิ อย่าง หุ้นน้ำ มีความเห็นอย่างไร
A: สิ่งที่แสดงความจริงใจของผู้บริหาร ก็คือ เงินปันผลที่จ่าย หากจ่ายปันผลในอัตราสูง จะถือว่า ใช้ได้ แต่บางบริษัทที่ชอบ????เงิน มักไม่ชอบจ่ายปันผลมาก / ในเคสของหุ้นน้ำน่าจ่ายปันผลน้อยเกินไป / หุ้นกองทุนน่าพอใช้ได้ เนื่องจากมีภาครัฐฯ ถือราว 30% ที่สามารถค้านอำนาจได้ ทำให้????เงินได้ยาก / อย่างไรก็ตาม มีหุ้นดีๆ ให้ลงทุนมากมาย ก็อย่าไปยุ่งหุ้นแนวๆ นี้
Q: กรณี หุ้นไอติม ที่มีการออก Perpetual Bond
A: น่าเป็นห่วง เพราะทำอะไรเกินตัวมากไป คือ ไปเทคธุรกิจที่มูลค่าสูงกว่าตัวเอง และคงพลาดเพราะตอนเทคธุรกิจมา คงไม่คิดว่า จะมีคนเอามาขายให้เยอะมากตอนทำ Tender Offer ทำให้ต้องหาเงินมาจ่าย สุดท้าย ก็ต้องออก Perpetual Bond ซึ่งต้องจ่ายดอกเบี้ยสูงมาก หากกำไรที่เพิ่ม ไม่ทันกับดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นมา ก็เหนื่อยพอสมควร ผู้บริหารอาจมองในระยะยาวมาก รวมทั้งการให้ธุรกิจเติบโตเร็วๆ ผู้บริหารค่อนข้าง aggressive มาก
Q: การถือหุ้นมานานๆ และมีต้นทุนที่ต่ำ หากหุ้นที่เราถือ มีความไม่แน่นอน เราควรจะขายหรือควรจะถือ
A: การถือหุ้นในระยะยาว ไม่ใช่แก่นของวีไอ แต่เป็นผลลัพท์ของวีไอ โดยทั่วไป วีไอจะถือยาว เพราะกว่าราคาหุ้นจะสะท้อนตามพื้นฐานที่คาดไว้ ก็ต้องใช้เวลารอสักพักนึง ไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงระยะเวลาในการถือครองหุ้น สนใจแต่เพียงว่า อัพไซด์มีเท่าไรในระยะเวลาที่เราต้องการ การถือหุ้นระยะยาวหรือสั้น มันไม่ใช่แก่น น่าเป็นเหมือนมายาคติมากกว่า ไม่ใช่หลักการวีไอ
Q: ขอมุมมองของหุ้นผู้ชนะ
A: เหตุผลที่ซื้อ – (1) มีการเติบโต (2) จ่ายปันผลสูง (3) ความเสี่ยงน้อยมาก เพราะขายของกินของใช้ กระจายตัวของสินค้าเยอะ ลูกค้าก็กระจายเยอะ (4) P/E ไม่แพงมาก ณ ตอนที่ซื้อ ราว 14x (5) เหตุผลอื่น มีอคิตในการซื้อ เพราะ เจ้าของจบ Food Science เหมือนกัน / ไม่ได้ซื้อมาก ก็ได้รับปันผลพอสมควร / การที่เข้าไปซื้อบริษัทเครื่องสำอาง เป็นไอเดียดี เพราะสินค้าที่ขายในปัจจุบัน ได้มาร์จิ้นต่ำ แต่โชคไม่ดีที่เกิดกระแสไม่ดีของเครื่องสำอาง ก็ทำให้ธุรกิจทรุดๆ ไป และบริษัทเครื่องสำอางที่ซื้อมา ก็มีผลประกอบการขาดทุนด้วย ทำให้ฉุดงบ
Q: หุ้น"อุ่นใจ" มีความเห็นอย่างไร
A: ไม่ได้ตาม หลังจากที่ขายธุรกิจออนไลน์ออกไป กำไรก็ดีขึ้นอยู่ช่วงหนึ่ง แต่ฐานของธุรกิจหลักค่อนข้างใหญ่มาก ต่อให้เพิ่ม 2-3 สาขา ก็โตยาก แถว P/E ก็ไม่ค่อยถูกเท่าไรนัก Model ของ B2S ถือว่า ดี เมื่อเทียบกับ Model ของ SE-ED เพราะมีสินค้าครบวงจรมากกว่า / ธุรกิจแฟรนไชส์ ไม่น่าจะมีนัยยะอะไร
ไว้มาต่อวันถัดไปครับ ^ ^
***ยามตลาดแบบนี้ ก็ค่อยๆ เลือกซื้อหุ้นกันอย่างสบายใจครับ แต่ก็หาตัวที่ปลอดภัยได้ยากพอสมควร และหลายตัว มองว่า ถูก แต่ก็ไม่มั่นใจอนาคตเช่นกัน สุดท้าย ขอให้ลงทุนร่ำรวยกันทุกคนตามรอย อจ. ของพวกเราไปครับ
^ ^ ยังมีต่อครับ ช่วงตลาดซบเซา ก็หนีไปทำอย่างอื่นครับ เลยมาอัพเดทช้าไปหน่อย ขออภัยด้วยครับ
Q: ประเมินมูลค่าหุ้นโรงไฟฟ้าพลังเขื่อน เป็นอย่างอย่างไร
A: ใช้ P/E ในการประเมินมูลค่าหุ้นตามปกติ โรงไฟฟ้าเขื่อนไชยะบุรี ก่อสร้างมาแล้ว 8 ปี ใกล้จะเสร็จ ซึ่งมีขนาดใหญ่เป็นอันดับต้นๆ ใน South East Asia เลยทีเดียว ใช้เงินลงทุนถึง 1.3 แสนล้านบาท ปีแรก กำไรประมาณ 4500 ล้าน ไล่ไปเรื่อยๆ จนปีที่ 12-13 น่าจะกำไรมากถึง 1 หมื่นล้าน ทั้งนี้ บริษัทถือหุ้นราว 37.5% ในปีที่ peak ก็จะได้กำไรราว 3.7 พันล้านบาท รวมกับโรงไฟฟ้าอื่น กำไรน่าจะเกิน 4 พันล้านบาท หากมองมาร์เก็ตแคปในปีที่ Peak อย่างน้อยก็ควรจะราวๆ 4 หมื่นล้านบาท (ใช้ p/e 10x) แต่อย่าลืมว่า ต้องใช้เวลาอีก 10 ปี ถึงจะไปได้ 4 หมื่นล้านบาท หากพิจารณาราคาหุ้นในปัจจุบัน ก็เริ่มสะท้อนไปแล้วพอสมควร
Q: ระหว่าง หุ้นไฟฟ้า คำขวัญประจำจังหวัด "คนสวยโพธาราม คนงามบ้านโป่ง เมืองโอ่งมังกร วัดขนอนหนังใหญ่ ตื่นใจถ้ำงาม ตลาดน้ำดำเนิน เพลินค้างคาวร้อยล้าน ย่านยี่สกปลาดี" vs กับ หุ้นไฟฟ้าพลังเขื่อน ตัวไหนปลอดภัยกว่ากัน ในกรณีที่ต้องการลงทุนถือยาวๆ หลังเกษียณฯ
A: ไม่ควรถือหุ้นคำขวัญประจำจังหวัดเด็ดขาด เพราะโรงไฟฟ้าหลักของเค้า ใกล้หมดสัญญาสัมปทานแล้ว / โรงไฟฟ้าที่เพิ่งซื้อขนอมน่าจะดีกว่า เพราะมีการเข้าไปซื้อโรงไฟฟ้าใหม่ๆ เข้ามา หรือทยอยต่อสัญญาได้ แม้แต่ไฟฟ้าพลังเขื่อก็น่าสนในการถือระยะยาว ความเสี่ยงแทบไม่มี เพราะโอกาสที่จะเกิดปัญหาน้ำน้อย แทบจะไม่มีเลย แถมทนแผ่นดินไหวได้ถึง 7.0 ริกเตอร์ด้วย
Q: การจัดสรรพอร์ตลงทุน เป็นอย่างไร
A: ศิลปะการจัดพอร์ตหุ้น – ตัวไหนมั่นใจมาก ก็ซื้อมากๆ เพียงแต่จะไม่ให้เกิน 40% เพราะเผื่อเกิดการผิดพลาด / ตัวไหนมั่นใจน้อย สภาพคล่องน้อย ก็ถือน้อยหน่อย / ชอบถือหุ้นหลายๆ ตัว เพราะมันต้องมีตัวบางตัวในหุ้น 40 ตัวที่ต้องวิ่งแน่ๆ ทุกปีย่อมต้องมีหุ้นที่ขึ้น ถึงแม้ว่า จะมีตัวที่ผิดก็ตาม หุ้นตัวที่ดีๆ เพียงไม่กี่ตัว สามารถที่จะชดเชยหุ้นตัวที่ไม่ดีได้
Q: หุ้นที่มีตำหนิ อย่าง หุ้นน้ำ มีความเห็นอย่างไร
A: สิ่งที่แสดงความจริงใจของผู้บริหาร ก็คือ เงินปันผลที่จ่าย หากจ่ายปันผลในอัตราสูง จะถือว่า ใช้ได้ แต่บางบริษัทที่ชอบ????เงิน มักไม่ชอบจ่ายปันผลมาก / ในเคสของหุ้นน้ำน่าจ่ายปันผลน้อยเกินไป / หุ้นกองทุนน่าพอใช้ได้ เนื่องจากมีภาครัฐฯ ถือราว 30% ที่สามารถค้านอำนาจได้ ทำให้????เงินได้ยาก / อย่างไรก็ตาม มีหุ้นดีๆ ให้ลงทุนมากมาย ก็อย่าไปยุ่งหุ้นแนวๆ นี้
Q: กรณี หุ้นไอติม ที่มีการออก Perpetual Bond
A: น่าเป็นห่วง เพราะทำอะไรเกินตัวมากไป คือ ไปเทคธุรกิจที่มูลค่าสูงกว่าตัวเอง และคงพลาดเพราะตอนเทคธุรกิจมา คงไม่คิดว่า จะมีคนเอามาขายให้เยอะมากตอนทำ Tender Offer ทำให้ต้องหาเงินมาจ่าย สุดท้าย ก็ต้องออก Perpetual Bond ซึ่งต้องจ่ายดอกเบี้ยสูงมาก หากกำไรที่เพิ่ม ไม่ทันกับดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นมา ก็เหนื่อยพอสมควร ผู้บริหารอาจมองในระยะยาวมาก รวมทั้งการให้ธุรกิจเติบโตเร็วๆ ผู้บริหารค่อนข้าง aggressive มาก
Q: การถือหุ้นมานานๆ และมีต้นทุนที่ต่ำ หากหุ้นที่เราถือ มีความไม่แน่นอน เราควรจะขายหรือควรจะถือ
A: การถือหุ้นในระยะยาว ไม่ใช่แก่นของวีไอ แต่เป็นผลลัพท์ของวีไอ โดยทั่วไป วีไอจะถือยาว เพราะกว่าราคาหุ้นจะสะท้อนตามพื้นฐานที่คาดไว้ ก็ต้องใช้เวลารอสักพักนึง ไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงระยะเวลาในการถือครองหุ้น สนใจแต่เพียงว่า อัพไซด์มีเท่าไรในระยะเวลาที่เราต้องการ การถือหุ้นระยะยาวหรือสั้น มันไม่ใช่แก่น น่าเป็นเหมือนมายาคติมากกว่า ไม่ใช่หลักการวีไอ
Q: ขอมุมมองของหุ้นผู้ชนะ
A: เหตุผลที่ซื้อ – (1) มีการเติบโต (2) จ่ายปันผลสูง (3) ความเสี่ยงน้อยมาก เพราะขายของกินของใช้ กระจายตัวของสินค้าเยอะ ลูกค้าก็กระจายเยอะ (4) P/E ไม่แพงมาก ณ ตอนที่ซื้อ ราว 14x (5) เหตุผลอื่น มีอคิตในการซื้อ เพราะ เจ้าของจบ Food Science เหมือนกัน / ไม่ได้ซื้อมาก ก็ได้รับปันผลพอสมควร / การที่เข้าไปซื้อบริษัทเครื่องสำอาง เป็นไอเดียดี เพราะสินค้าที่ขายในปัจจุบัน ได้มาร์จิ้นต่ำ แต่โชคไม่ดีที่เกิดกระแสไม่ดีของเครื่องสำอาง ก็ทำให้ธุรกิจทรุดๆ ไป และบริษัทเครื่องสำอางที่ซื้อมา ก็มีผลประกอบการขาดทุนด้วย ทำให้ฉุดงบ
Q: หุ้น"อุ่นใจ" มีความเห็นอย่างไร
A: ไม่ได้ตาม หลังจากที่ขายธุรกิจออนไลน์ออกไป กำไรก็ดีขึ้นอยู่ช่วงหนึ่ง แต่ฐานของธุรกิจหลักค่อนข้างใหญ่มาก ต่อให้เพิ่ม 2-3 สาขา ก็โตยาก แถว P/E ก็ไม่ค่อยถูกเท่าไรนัก Model ของ B2S ถือว่า ดี เมื่อเทียบกับ Model ของ SE-ED เพราะมีสินค้าครบวงจรมากกว่า / ธุรกิจแฟรนไชส์ ไม่น่าจะมีนัยยะอะไร
ไว้มาต่อวันถัดไปครับ ^ ^
***ยามตลาดแบบนี้ ก็ค่อยๆ เลือกซื้อหุ้นกันอย่างสบายใจครับ แต่ก็หาตัวที่ปลอดภัยได้ยากพอสมควร และหลายตัว มองว่า ถูก แต่ก็ไม่มั่นใจอนาคตเช่นกัน สุดท้าย ขอให้ลงทุนร่ำรวยกันทุกคนตามรอย อจ. ของพวกเราไปครับ
####################################################
ความสำเร็จจากการลงทุน ไม่ได้เกิดจาก "การซื้อของดี" แต่มาจาก "การซื้อของได้ดี" ต่างหาก
ความสำเร็จจากการลงทุน ไม่ได้เกิดจาก "การซื้อของดี" แต่มาจาก "การซื้อของได้ดี" ต่างหาก
- ดำ
- Verified User
- โพสต์: 4214
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3224
คิดดูมันก็แปลกดีนะครับ หลายเดือนก่อนหน้านี้ เหมือนจะหาหุ้นกันง่าย ความเสี่ยงก็ไม่ค่อยมีใครสนใจ ทั้งที่หุ้นหลายตัวราคาแพงกว่านี้มาก
แต่พอตลาดลดราคาให้ตั้งหลายสิบ % กลายเป็นความมั่นใจและความกระตือรือร้นหายไปเยอะ อัพไซด์เริ่มไม่มีใครพูดถึง หันมามองความเสี่ยงกัน
ผมว่ามันดูกลับหัวกลับหางกับหลักการวีไอยังไงไม่รู้สิ หรือเพื่อนๆ คิดว่าไงกันครับ ?
แต่พอตลาดลดราคาให้ตั้งหลายสิบ % กลายเป็นความมั่นใจและความกระตือรือร้นหายไปเยอะ อัพไซด์เริ่มไม่มีใครพูดถึง หันมามองความเสี่ยงกัน
ผมว่ามันดูกลับหัวกลับหางกับหลักการวีไอยังไงไม่รู้สิ หรือเพื่อนๆ คิดว่าไงกันครับ ?
กราฟที่มองไม่เห็นกับกราฟที่มองเห็น
- romee
- Verified User
- โพสต์: 1850
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3225
ความเห็นส่วนตัวนะครับjverakul เขียน: https://www.ryt9.com/s/iq05/2919392
ขอความคิดเห็นจากพี่ๆ ในห้องนี้หน่อยครับว่า ETF ตัวนี้น่าสนใจไหม
ผมรู้สึกว่าพวก ETF เหมาะกับการซื้อเพื่อช่วยกลยุทธ์ของพอร์ตมากกว่า ที่จะซื้อเพื่อลงทุนแบบหุ้นรายตัว
ถ้าสนใจในสินค้าของ ETF ในที่นี้คือตลาดเวียดนาม ก็เอาเลยครับ
You only live once, but if you do it right, once is enough.
- AnieLee
- Verified User
- โพสต์: 1436
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3226
ผมว่า ถ้าเรามีความรู้ในกิจการนั้นดีๆ ก็ไม่เสี่ยง ขึ้นกับความรู้แต่ละคน / บางทีราคาหุ้นถูก แต่เราไม่มีความรู้เพียงพอ ยังไงมันก็เสี่ยงอยู่ดีครับ / ส่วนหุ้นที่ผมตามๆ ราคามันก็ไม่ค่อยลงเท่าไร รวมทั้งหุ้นที่เพิ่งขายไป มันก็ไม่ค่อยลงด้วยเช่นกันครับดำ เขียน:คิดดูมันก็แปลกดีนะครับ หลายเดือนก่อนหน้านี้ เหมือนจะหาหุ้นกันง่าย ความเสี่ยงก็ไม่ค่อยมีใครสนใจ ทั้งที่หุ้นหลายตัวราคาแพงกว่านี้มาก
แต่พอตลาดลดราคาให้ตั้งหลายสิบ % กลายเป็นความมั่นใจและความกระตือรือร้นหายไปเยอะ อัพไซด์เริ่มไม่มีใครพูดถึง หันมามองความเสี่ยงกัน
ผมว่ามันดูกลับหัวกลับหางกับหลักการวีไอยังไงไม่รู้สิ หรือเพื่อนๆ คิดว่าไงกันครับ ?
####################################################
ความสำเร็จจากการลงทุน ไม่ได้เกิดจาก "การซื้อของดี" แต่มาจาก "การซื้อของได้ดี" ต่างหาก
ความสำเร็จจากการลงทุน ไม่ได้เกิดจาก "การซื้อของดี" แต่มาจาก "การซื้อของได้ดี" ต่างหาก
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 6447
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3228
วันนี้ได้มีโอกาสร่วมบริจาคเงินให้วันชะลอน อ.สทิงพระ สงขลา
เพื่อเป็นทุนการศึกษาให้กับสามเณรที่เล่าเรียนของวัดประมาณ 70-100 องค์
โดยเป็นเงินที่เหลือหลังหักค่าใช้จ่ายมีตติ้งวีไอภาคใต้ปี 2561 จำนวน 46,850 บาท
และสมาชิกที่ไป ร่วมสมทบรวมเป็นเงิน 141,000 บาท
ขอบคุณพี่ charun anuchit ty dr1 syj
และขอบคุณสมาชิกที่ร่วมงานมีตติ้งทุกท่าน ทุกบาท ทุกสตางค์หลังหักค่าใช้จ่าย ถูกนำไปช่วยเหลือคนด้อยโอกาสอย่างครบถ้วน ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่าน ที่มีส่วนกับบุญกุศลครั้งนี้ด้วยครับ
เพื่อเป็นทุนการศึกษาให้กับสามเณรที่เล่าเรียนของวัดประมาณ 70-100 องค์
โดยเป็นเงินที่เหลือหลังหักค่าใช้จ่ายมีตติ้งวีไอภาคใต้ปี 2561 จำนวน 46,850 บาท
และสมาชิกที่ไป ร่วมสมทบรวมเป็นเงิน 141,000 บาท
ขอบคุณพี่ charun anuchit ty dr1 syj
และขอบคุณสมาชิกที่ร่วมงานมีตติ้งทุกท่าน ทุกบาท ทุกสตางค์หลังหักค่าใช้จ่าย ถูกนำไปช่วยเหลือคนด้อยโอกาสอย่างครบถ้วน ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่าน ที่มีส่วนกับบุญกุศลครั้งนี้ด้วยครับ
การลงทุนคืออาหารอร่อยที่สุดเมื่อเย็นดีแล้ว
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3229
The Road Ahead by Aberdeen Standard
Adithep Vanabrikasha Chief Investment Officer
Pongtharin Sapayanon , Head of Thai Fixed Income
เริ่มที่คุณพงษ์ธารินก่อน
คำถามคือ ทำไมเศรษฐกิจเมืองไทยperformค่อนข้างดี
ก่อนอื่นดูภาพกว้าง อะไรคือตัวdrive
GDP Growth – moderating to potential
ปรากฏว่ามาจากการส่งออก เป็นตัวกระตุ้นในแง่เศรษฐกิจของเมืองไทย
แต่การส่งออกในQ3 2018ไม่ค่อยดี มาจากสินค้าส่งออกไม่ดี เติบโตติดลบไป
ตัวที่เป็นจุดอ่อนคือ เดือน กย การส่งออกสินค้าลดลง ทำให้Q3 การส่งออกของสินค้าไม่ค่อยดี
เวลาคำนวณ GDP เอา Net export(Net goods exports ,Net services exports)
มาคำนวณ ทำให้GDP Q3 ดูโตน้อยกว่าQอื่นๆ
ถ้าดูส่วนอื่น ยังมีmomentum คือ Domestic demand และ การลงทุน (Investment)
ปีนี้ คาดว่าGDP โต4.5% ปีหน้า 3.75-4.25% ปีหน้าปัจจัยที่จะพยุงเศรษฐกิจ คือ การลงทุน
ที่ผ่านมา ยังไม่ค่อยuniform หมายถึงไม่ได้มาพร้อมๆกัน เพราะบางปีมาจากเอกชน บางปีจากภาครัฐ
ปีหน้ามาครบหมดทุกภาครวม FDI ซึ่งเริ่มมาตั้งแต่Q3เลย รวมถึงinvestmentซึ่งส่งผลต่อ GDPปีหน้ามาก
ในแง่การส่งออก ปกติพูดถึงส่งออกสินค้า แต่ตอนคำนวณต้องNet Service Exportsเข้ามาด้วย
จะเห็นว่า Net service export สูงกว่า Net Goods exportมากในQ3
เราคิดว่า Serviceน่าจะเป็นปัจจัยสำคัญในปี2019 ถึงแม้นักท่องเที่ยวจีนลดลง
ปกติจะมีปัจจัยอย่างนึงที่ทำให้นักท่องเที่ยวในแต่ละประเทศหายไปเช่น สี่ปีที่แล้ว รัสเซียก็หายไป
ตอนนั้น น้ำมันลงค่อนข้างแรง ทำให้อัตราแลกเปลี่ยนของรัสเซียลดค่าไปเยอะ 1 รูเบิ้ลเท่ากับเงินไทย
1 บาท ตอนนี้แลกได้ 2 รูเบิ้ลเท่ากับ1 บาทแล้วแต่ตอนนี้นักท่องเที่ยวรัสเซียเริ่มกลับมาแล้ว
นักท่องเที่ยวจีนก็เช่นกัน ถึงแม้จะลดลงแต่จะลดถึงระดับนึง ไม่ได้หายไปทั้งหมด
เทรนที่คนจีนมาไทยก็ยังเพิ่มขึ้น แต่ขึ้นกับseasonal คนจีนชอบมาQ1 เที่ยวไทยเยอะสุด
แล้วค่อยๆเริ่มลดลง เทรนแบบนี้เชื่อว่าคนจีนจะกลับมาอีก
ที่ผ่านมาคนมาเที่ยวในQ2-Q3 คือเพื่อนบ้าน เช่น
1.มาเลเซีย เพราะอัตราแลกเปลี่ยนอ่อนลงแล้วคงที่ ทำให้เขากลับมา
2. อีกประเทศคือเวียดนาม ทัวร์มาไทยค่อนข้างโตมาก เราได้benefitค่อนข้างเยอะ
เวียดนาม เราส่งออกไปค่อนข้างมาก เราส่งออกเวียดนาม ตอนนี้โตถึง 3,000กว่าล้านบาทต่อไตรมาส
3. อีกประเทศ คือกัมพูชา ส่งออกแรงมากจากไม่ถึง1,000 ลบตอนนี้ถึง 2,000กว่าลบแล้ว
Thai baht-tough and resilient for a reason
ค่าเงินบาทแข็งค่ามาก บวกกับนักท่องเที่ยวมาก ได้เงินมากกว่าที่จ่ายไป ทำให้เงินบาทแข็งค่ากว่าประเทศอื่นในทวีปนี้
จากปี 2015 current accountโตขึ้น จาก 4.x ไปถึง 10%ของGDP แต่เทียบกับปี 2016 12%
ปีนี้น่าจะลดลงเหลือ7% แต่ยังTop of asia
ทิศทางค่าเงินบาท กับ $ ใช้ NEER เป็นตัววัดเทียบกับอัตราแลกเปลี่ยน ทิศทางของสกุลบาทเป็นอย่างไร
ปี2015 ค่อนข้างนิ่งมากระหว่างค่าเงินบาทกับ$ ทำให้ตัววัด NEER (Norminal Effective Exchange Rate)
ไม่เปลี่ยนแปลงมาก และ ปี2015เป็นครั้งสุดท้ายที่ลดดอกเบี้ย และคงที่ 1.5%มาจนถึงปัจจุบัน
ประชุมเดือน ธค น่าจะขึ้นดอกเบี้ย 0.25% แล้วไม่ขึ้นต่ออีกเพราะเงินเฟ้อต่ำมาก
ถ้าเพิ่มดอกเบี้ยมากกว่านี้ จะทำให้ค่าเงินบาทแข็งกว่านี้
ตลาดตราสารหนี้พร้อมแล้ว Yield 2 years ขยับมาเป็น2%แล้ว ก็ไม่ได้กระทบอะไรเลยรวมถึงอัตราแลกเปลี่ยน
ในแง่ของเลือกตั้ง บอกได้จากมุมมองของเราเอง เห็นด้วยว่า โอกาสมีเลือกตั้งมีมากกว่า 50%
แต่ช่วงไหนระหว่าง กพ ถึง พค ถ้าเป็นไปได้ จะเอาเดือน กพ เลย
นอกจากนี้ ยังมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจตอนต้นปี แล้วเลือกตั้งเลย หวังว่าคนจะจำได้ว่าเงินมาจากไหน
ถ้าเป็นไปตามแผน น่าจะมีเลือกตั้งในQ1 2019
ถ้าไม่มีเลือกตั้งจะกระทบต่อการลงทุน หรือการเมืองไม่นิ่ง การลงทุนก็จะลดลง
ตอนนี้ในแง่ลงทุนปี2016-2017 จะเห็น motorway สาย บางปะอิน กาญจนบุรี , MRT สายสีส้มไปอย่างต่อเนื่อง
EEC ครั้งแรกไม่คิดว่าจะเกิดเร็วเพราะprojectค่อนข้างใหญ่ ตอนนี้น่าจะเกิดเร็วมากกว่าที่คาด
4 project ที่เกิดก่อนในEEC ได้แก่
1. Link 3 Airport มูลค่า 224,000 ลบ
2. U-Tapao Internation Airport มูลค่า 290,000 ลบ
3. Laem Chabang phase 3 มูลค่า 114,000 ลบ
4. Map Ta Put Industrial Port Phase 3 มูลค่า 55,000 ลบ
Adithep Vanabrikasha Chief Investment Officer
Pongtharin Sapayanon , Head of Thai Fixed Income
เริ่มที่คุณพงษ์ธารินก่อน
คำถามคือ ทำไมเศรษฐกิจเมืองไทยperformค่อนข้างดี
ก่อนอื่นดูภาพกว้าง อะไรคือตัวdrive
GDP Growth – moderating to potential
ปรากฏว่ามาจากการส่งออก เป็นตัวกระตุ้นในแง่เศรษฐกิจของเมืองไทย
แต่การส่งออกในQ3 2018ไม่ค่อยดี มาจากสินค้าส่งออกไม่ดี เติบโตติดลบไป
ตัวที่เป็นจุดอ่อนคือ เดือน กย การส่งออกสินค้าลดลง ทำให้Q3 การส่งออกของสินค้าไม่ค่อยดี
เวลาคำนวณ GDP เอา Net export(Net goods exports ,Net services exports)
มาคำนวณ ทำให้GDP Q3 ดูโตน้อยกว่าQอื่นๆ
ถ้าดูส่วนอื่น ยังมีmomentum คือ Domestic demand และ การลงทุน (Investment)
ปีนี้ คาดว่าGDP โต4.5% ปีหน้า 3.75-4.25% ปีหน้าปัจจัยที่จะพยุงเศรษฐกิจ คือ การลงทุน
ที่ผ่านมา ยังไม่ค่อยuniform หมายถึงไม่ได้มาพร้อมๆกัน เพราะบางปีมาจากเอกชน บางปีจากภาครัฐ
ปีหน้ามาครบหมดทุกภาครวม FDI ซึ่งเริ่มมาตั้งแต่Q3เลย รวมถึงinvestmentซึ่งส่งผลต่อ GDPปีหน้ามาก
ในแง่การส่งออก ปกติพูดถึงส่งออกสินค้า แต่ตอนคำนวณต้องNet Service Exportsเข้ามาด้วย
จะเห็นว่า Net service export สูงกว่า Net Goods exportมากในQ3
เราคิดว่า Serviceน่าจะเป็นปัจจัยสำคัญในปี2019 ถึงแม้นักท่องเที่ยวจีนลดลง
ปกติจะมีปัจจัยอย่างนึงที่ทำให้นักท่องเที่ยวในแต่ละประเทศหายไปเช่น สี่ปีที่แล้ว รัสเซียก็หายไป
ตอนนั้น น้ำมันลงค่อนข้างแรง ทำให้อัตราแลกเปลี่ยนของรัสเซียลดค่าไปเยอะ 1 รูเบิ้ลเท่ากับเงินไทย
1 บาท ตอนนี้แลกได้ 2 รูเบิ้ลเท่ากับ1 บาทแล้วแต่ตอนนี้นักท่องเที่ยวรัสเซียเริ่มกลับมาแล้ว
นักท่องเที่ยวจีนก็เช่นกัน ถึงแม้จะลดลงแต่จะลดถึงระดับนึง ไม่ได้หายไปทั้งหมด
เทรนที่คนจีนมาไทยก็ยังเพิ่มขึ้น แต่ขึ้นกับseasonal คนจีนชอบมาQ1 เที่ยวไทยเยอะสุด
แล้วค่อยๆเริ่มลดลง เทรนแบบนี้เชื่อว่าคนจีนจะกลับมาอีก
ที่ผ่านมาคนมาเที่ยวในQ2-Q3 คือเพื่อนบ้าน เช่น
1.มาเลเซีย เพราะอัตราแลกเปลี่ยนอ่อนลงแล้วคงที่ ทำให้เขากลับมา
2. อีกประเทศคือเวียดนาม ทัวร์มาไทยค่อนข้างโตมาก เราได้benefitค่อนข้างเยอะ
เวียดนาม เราส่งออกไปค่อนข้างมาก เราส่งออกเวียดนาม ตอนนี้โตถึง 3,000กว่าล้านบาทต่อไตรมาส
3. อีกประเทศ คือกัมพูชา ส่งออกแรงมากจากไม่ถึง1,000 ลบตอนนี้ถึง 2,000กว่าลบแล้ว
Thai baht-tough and resilient for a reason
ค่าเงินบาทแข็งค่ามาก บวกกับนักท่องเที่ยวมาก ได้เงินมากกว่าที่จ่ายไป ทำให้เงินบาทแข็งค่ากว่าประเทศอื่นในทวีปนี้
จากปี 2015 current accountโตขึ้น จาก 4.x ไปถึง 10%ของGDP แต่เทียบกับปี 2016 12%
ปีนี้น่าจะลดลงเหลือ7% แต่ยังTop of asia
ทิศทางค่าเงินบาท กับ $ ใช้ NEER เป็นตัววัดเทียบกับอัตราแลกเปลี่ยน ทิศทางของสกุลบาทเป็นอย่างไร
ปี2015 ค่อนข้างนิ่งมากระหว่างค่าเงินบาทกับ$ ทำให้ตัววัด NEER (Norminal Effective Exchange Rate)
ไม่เปลี่ยนแปลงมาก และ ปี2015เป็นครั้งสุดท้ายที่ลดดอกเบี้ย และคงที่ 1.5%มาจนถึงปัจจุบัน
ประชุมเดือน ธค น่าจะขึ้นดอกเบี้ย 0.25% แล้วไม่ขึ้นต่ออีกเพราะเงินเฟ้อต่ำมาก
ถ้าเพิ่มดอกเบี้ยมากกว่านี้ จะทำให้ค่าเงินบาทแข็งกว่านี้
ตลาดตราสารหนี้พร้อมแล้ว Yield 2 years ขยับมาเป็น2%แล้ว ก็ไม่ได้กระทบอะไรเลยรวมถึงอัตราแลกเปลี่ยน
ในแง่ของเลือกตั้ง บอกได้จากมุมมองของเราเอง เห็นด้วยว่า โอกาสมีเลือกตั้งมีมากกว่า 50%
แต่ช่วงไหนระหว่าง กพ ถึง พค ถ้าเป็นไปได้ จะเอาเดือน กพ เลย
นอกจากนี้ ยังมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจตอนต้นปี แล้วเลือกตั้งเลย หวังว่าคนจะจำได้ว่าเงินมาจากไหน
ถ้าเป็นไปตามแผน น่าจะมีเลือกตั้งในQ1 2019
ถ้าไม่มีเลือกตั้งจะกระทบต่อการลงทุน หรือการเมืองไม่นิ่ง การลงทุนก็จะลดลง
ตอนนี้ในแง่ลงทุนปี2016-2017 จะเห็น motorway สาย บางปะอิน กาญจนบุรี , MRT สายสีส้มไปอย่างต่อเนื่อง
EEC ครั้งแรกไม่คิดว่าจะเกิดเร็วเพราะprojectค่อนข้างใหญ่ ตอนนี้น่าจะเกิดเร็วมากกว่าที่คาด
4 project ที่เกิดก่อนในEEC ได้แก่
1. Link 3 Airport มูลค่า 224,000 ลบ
2. U-Tapao Internation Airport มูลค่า 290,000 ลบ
3. Laem Chabang phase 3 มูลค่า 114,000 ลบ
4. Map Ta Put Industrial Port Phase 3 มูลค่า 55,000 ลบ
- AnieLee
- Verified User
- โพสต์: 1436
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3230
(ต่อ) มีทติ้ง Q3/61
A: หุ้นแม่เมาะ ราคาหุ้นปรับลงมามาก 80% จากราคาสูงสุด หากพื้นฐานดีเหมือนเดิม ราคาหุ้นก็ถูกมากๆ ตอนที่ราคาสูงๆ นักลงทุนคาดหวังงานประมูล แต่ปรากฏว่า ไม่ได้งานประมูล / ปีนี้โครงการที่ทำอยู่เกิดโชคร้ายที่มีอุบัติเหตุดินสไลด์และกระทบสายพานลำเลียงขนาดใหญ่เสียหาย ทำให้ต้องมีการซ่อมแซม ก็เกิดค่าใช้จ่ายรวมถึงค่าเสื่อมราคาที่สูง ในขณะที่รายได้ไม่สามารถมารองรับได้ ก็ทำให้ขาดทุน
A: หุ้นTHAIRUN ธุรกิจใช้ได้ โดยมีรายได้หลักจาก (1) งาน Thailand Mobile Expo (2) งานวิ่งเพื่อสุขภาพ (เทรนในปัจจุบัน ซึ่งต้องการผู้จัดที่เป็นมืออาชีพ กิจการนี้เป็นหนึ่งในผู้จัดมืออาชีพ) / มีธุรกิจครบวงจร-มีรถบ้านให้เช่าด้วย (คิวรถบ้านเต็มตลอด) / (3) ธุรกิจเทรดดิ้ง ขายของทางออนไลน์ คาดว่า มาร์จิ้นไม่ค่อยดีเท่าไร ล่าสุด เกิดความเสียหายจากการขายสินค้ามือถือให้ลูกค้ารายหนึ่งที่เค้าไม่ยอมรับของตามจำนวนที่สั่ง จึงทำให้ต้องต้องสำรองความเสียหายของสินค้าที่เหลือ ราว 60 กว่าล้าน พอประกาศงบ ก็ทำให้ขาดทุน ราคาหุ้นก็ลงดิ่งมากทันที
Q: เทคนิคในการเข้าไปช้อนหุ้นตอนที่ราคาหุ้นตกแรงๆ มีวิธีการอย่างไร
A: New Low / New Love คอยติดตามหุ้นชอบ Model / พอราคามันเริ่มลง ก็ซื้อไปก่อนนิดหน่อย พอราคาลงมาอีก ก็ทยอยซื้อเข้าไปอีก เพราะศึกษามาแล้วพอสมควร ก็แบบว่า เมื่อคนอื่นขาย เราก็ทยอยซื้อ
A: หุ้นเกี่ยวกับยาง เชื่อว่า ผู้บริหารตั้งใจทำธุรกิจจริง โหวงเฮ้งของ ผบห ใช้ได้ แต่กลัวว่า หุ้นยางโดยธรรมชาติมีความผันผวนบ้าง ถึงแม้ว่า เค้าจะบอกว่า ซื้อวันนี้ ขายพรุ่งนี้ แต่ก็มีการเหวี่ยงตัวของสต๊อกบ้าง / โครงการขยายของเค้า น่าจะโอเค เพราะมีลูกค้าจริงๆ รวมถึงกลยุทธ์ที่ใช้ ก็มีการปิดความเสี่ยงจริงๆ แบบว่า ซื้อวันนี้ ขายพรุ่งนี้ โอกาสพลาดก็น้อย ถึงแม้ว่าจะส่งมองในอีก 3-4 เดือนข้างหน้าก็ตาม / หุ้นเข้ามาเทรดในตลาดตอนภาวะตลาดไม่ค่อยดีเท่าไร และมีการกระจายตัวให้รายย่อยสูง ก็มีแรงขายมากในวันที่เข้าเทรดวันแรก / ในอดีต ตัวนี้ กำไรราวๆ 200 ล้านบาท แต่ช่วงนี้มีกำไรเยอะมาก ก็ไม่รู้ว่ามีการทำบัญชีหรือไม่ / ข้อเสีย เป็นธุรกิจที่ใช้เงินทุนหมุนเวียนสูงมาก ข้อดี เติบโต 100% ภายใน 1-2 ปีข้างหน้า ถ้าเค้าทำกำไรได้เหมือนกับที่ทำได้รายไตรมาส ราคาหุ้นตอนนี้ จะถูกมากๆ (กรณีที่มองว่า เค้าจะทำได้นั้น อาจเป็นการมองโลกในแง่ดีมากๆ แต่ในความเป็นจริง เค้าจะทำได้หรือไม่) / ผบห ให้ข่าวว่า ผลประกอบการของกิจการจะดีต่อเนื่องไปอีกใน 4 ไตรมาสข้างหน้า
A: หุ้นโลจีสติกน้องใหม่ โหวงเฮ้งผู้บริหาร ถือว่า ผ่าน ตั้งใจทำธุรกิจ ถือว่า OK / ราคา IPO ค่อนข้างแพงไป / ก็เป็นธุรกิจที่ดี แต่ใช้เงินลงทุนสูง พอได้เงิน IPO ไป ก็ขยายธุรกิจได้สบายเลย / อยู่ในกลุ่ม PE ค่อนข้างสูง / มอง PE ที่ควรซื้อ ต้องต่ำกว่า 15x เท่านั้น / ได้เงินจาก IPO มาก ก็จะขยายธุรกิจได้ง่าย มีโอกาสเติบโตแน่ (** หา PE ที่เหมาะสมก่อน และก็หา EPS เพื่อหาราคาหุ้นที่เหมาะสม และเปรียบเทียบกับราคาหุ้นปัจจุบัน)
A: หุ้นเอ็มร้อย - ราคาแพง PE ตั้ง 30 เท่า เพราะอ้างอิงหุ้นควายแดง รวมถึง สินค้า M100 ก็น่าจะ Mature แล้ว ไม่เติบโต
ส่วนหุ้นควายแดง ก็หวังที่จะเติบโต แต่รายได้โตไม่ทันต้นทุน+ค่าใช้จ่าย เพราะการไปบุกต่างประเทศ ก็ไม่ใช่ง่ายๆ ถึงแม้จะประสบความสำเร็จในหลายประเทศ แต่ประเทศใหญ่ๆ ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ
A: หุ้นปลากระป๋อง การไปบุกต่างประเทศ มองว่า ความสำเร็จยังไม่ชัดเจนมาก / มี IVL ที่ไปต่างประเทศแล้วประสบความสำเร็จ
A: หุ้นอสังหาฯ - คอนโดฯ น่าจะเหนื่อย เพราะกำลังซื้อถดถอย เมื่อเทียบกับโครงการใหม่ๆ และกำลังซื้อที่จะมี ถึงแม้จะมีกำลังซื้อของคนทำงานออฟฟิตที่ต้องการเลี่ยงรถติดที่มาชดเชย / กิจการอสังหาฯ ไม่มี Barrier ใครมีเงินทุน มีที่ดิน ก็พัฒนาได้ ธุรกิจเป็น Red Ocean
A: หุ้นกลุ่มตรวจสอบคุณภาพ – อุตสาหกรรมนี้ ไม่ค่อยดี ต้องใช้เวลาอีก 2-3 ปีกว่าจะฟื้นตัวดี / ใครอ่อนแอในธุรกิจนี้ ก็จะตายไป ก็จะเหลือแต่ผู้ชนะ
A: หุ้นโครงสร้างเหล็ก มองว่า รายได้ประจำมีไม่พอที่จะครอบคลุม Fixed Cost ได้ เพราะมี Fixed Cost สูง ทำให้งบล่าสุดยังขาดทุนอยู่ ในขณะที่งานประมูล เป็นงานที่ไม่แน่นอนว่าจะได้งานหรือไม่ รวมถึงมาร์จิ้นของงานประมูลน่าจะต่ำอีกด้วย เพราะต้องไปแย่งงานประมูลกัน
A: อุตสาหกรรมน้ำตาล เป็นวัฏจักร / หากจะซื้อหุ้น ก็ต้องซื้อตอนนี้ (Peter Lynch กล่าวว่า ให้ซื้อหุ้นวัฏจักร เมื่อมีแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์) แต่ปัจจุบัน อุตสาหกรรมน้ำตาลยังมืดมิด ส่วนด้านผู้บริหารของบริษัทน้ำตาล ให้ข้อมูลว่า ราคาน้ำตาลปัจจุบัน ไม่สามารถอยู่ได้ เพราะผู้ผลิตอินเดีย บราซิล ขาดทุน ราคาก็น่าจะปรับขึ้นไป / สุดท้าย มองว่า ก็มีความเสี่ยงอยู่ / แต่ก็พอมีหุ้นน้ำตาลที่น่าสนใจ หากราคาอยู่ในช่วง PE 10x-12x ก็ที่จะซื้อ (ตอนนี้ไม่มีราคา ณ PE 10x-12x) แต่งบการเงินต้องแข็งแกร่งด้วย
(อ.วรพงศ์) การลงทุนใน Index Fund ของอเมริกา – (1) ซื้อกองทุนไทยที่ไปลงทุนต่างประเทศ หรือ (2) ซื้อกองทุนในต่างประเทศโดยตรง (คิดค่าธรรมเนียมกองทุนถูกกว่าซื้อกองทุนในไทย) ตัวที่น่าซื้อ มีกองทุน Vanguard 500 และ กองทุน Spider (ไม่แน่ใจว่าจดถูกไหมครับ) ชื่อย่อ SPY
A: หุ้นรถเช่า ราคาหุ้นถูกลากขึ้นไปมากไม่สอดคล้องกับกำไรของบริษัท สุดท้าย ราคาก็ลงมาตามผลประกอบการ คาดว่า ราคาหุ้นน่าจะลงมาได้อีก เพราะกำไรได้น้อยลงอีก
A: หุ้นสามดี มาร์เก็ตแคปปัจจุบันยังแพง (ใกล้ๆ หมื่นล้าน) ธุรกิจไม่น่าจะแข็งแกร่งจริง มีสินค้าน้อย ลูกค้ากระจุกตัว มองว่า ธุรกิจไม่ปลอดภัย
A: หุ้นโรงพยาบาล น่าเป็นฟองสบู่ เพราะเทรนผู้สูงอายุ คนป่วยมาก ช่วงนี้เป็นช่วงที่เน็ตมาร์จิ้นผิดปกติ เพราะตลาดไม่ได้แข่งขันแบบสมบูรณ์ รพ มีน้อยกว่า คนป่วย / ตอนนี้ ก็มีรายใหม่ๆ หลายราย เริ่มเข้ามาทำธุรกิจ รพ แล้ว ต่อไปการแข่งขันในตลาด ก็น่าจะมากขึ้นในอนาคต
A: หุ้นซอสเป็นหุ้น 1 ใน 5 ที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดในปีนี้ (มีผู้ร่วมมีทติ้ง แชร์ว่า ซื้อตามผู้บริหาร – ผู้บริหารเป็นนักลงทุนวีไอ เข้าไปซื้อหุ้นตัวเอง งบก็ออกมาดี)
A: หุ้น MDF สตอรี่เป็นเรื่องการขยายกำลังการผลิต 1 เท่าตัว และมี Order พอสมควร แต่มีปัญหาตรงราคาหุ้นน่าจะ price in ไปเรียบร้อยแล้ว / อาจเป็นช่วงที่ดีของไม้ MDF ก็ได้ / ปัจจุบัน ลูกค้ารายใหญ่อิหร่าน กำลังซื้อก็เริ่มหายไป และอุตสาหกรรมก็ดีมา 2-3 ปี แล้ว สังเกตุจากเน็ตมาร์จิ้นที่ดี ทำให้หลายบริษัทขยายกำลังการผลิตกันมากขึ้น / หุ้นวัฏจักร พอมีการขยายและตลาดเท่าเดิม อาจทำให้สเปรดจะต่ำลง ดังนั้น นักลงทุนคงต้องระมัดระวังการลงทุนให้มากด้วย
A: (อ.วรพงศ์) หุ้นอสังหาฯ ราคาหุ้นปัจจุบันน่าซื้อ มีมาร์แคป 3.2 หมื่นล้าน ในขณะที่มาร์แคปของบริษัทลูกราว 3.9 หมื่นล้านแล้ว โอกาสขายคงไม่มาก แต่ก็พร้อมที่จะขาย หากได้ราคาดีๆ – Q3 กำไรบวกมากว่า 10+% ถือว่าใช้ได้ ปีหน้า คงมองยากพอสมควร แต่ยอด pre-sales เริ่มฟื้น น่าพอไปได้ ในขณะที่มีเงินปันผลในอัตราที่ดีพอสมควร / รายได้ของกิจการเป็นอสังหาราวๆ 50-60% ที่เหลือเป็นอื่นๆ ถือว่า Balance พอสมควร ยามที่ธุรกิจอสังหาฯ แย่ ก็ไม่แย่มาก เพราะมีธุรกิจอื่นช่วยค้ำอยู่
A: หุ้นสาหร่ายขึ้นกับปัจจัยการตลาด มากกว่า ต้นทุนสาหร่าย ราคาสาหร่ายเหวี่ยงบ้าง แต่ถ้าหากมีอำนาจต่อรองดี ก็สามารถขึ้นราคาขายได้ ความเห็นส่วนตัว P/E ที่เหมาะสม คิดว่า ให้ประมาณ 15 เท่าก็พอ เพราะการเติบโตค่อนข้างยาก รวมถึงช่วงนี้มีการรณรงค์ลดความเค็ม
A: หุ้นกลุ่มประกันฯ – ราคาหุ้นประกัน ปรับตัวลงน้อยกว่าตัวอื่น / ระยะหลัง กำไรค่อนข้างแย่ เพราะ (1) ธุรกิจเป็น Red Ocean (2) ช่วงดอกเบี้ยต่ำ ก็แย่ ส่วนที่ไปลงทุน ได้ yield น้อย ถ้าดอกเบี้ยขาขึ้นอาจได้รับประโยชน์
โพสหน้า คงลงรวดเดียวจนจบครับ
A: หุ้นแม่เมาะ ราคาหุ้นปรับลงมามาก 80% จากราคาสูงสุด หากพื้นฐานดีเหมือนเดิม ราคาหุ้นก็ถูกมากๆ ตอนที่ราคาสูงๆ นักลงทุนคาดหวังงานประมูล แต่ปรากฏว่า ไม่ได้งานประมูล / ปีนี้โครงการที่ทำอยู่เกิดโชคร้ายที่มีอุบัติเหตุดินสไลด์และกระทบสายพานลำเลียงขนาดใหญ่เสียหาย ทำให้ต้องมีการซ่อมแซม ก็เกิดค่าใช้จ่ายรวมถึงค่าเสื่อมราคาที่สูง ในขณะที่รายได้ไม่สามารถมารองรับได้ ก็ทำให้ขาดทุน
A: หุ้นTHAIRUN ธุรกิจใช้ได้ โดยมีรายได้หลักจาก (1) งาน Thailand Mobile Expo (2) งานวิ่งเพื่อสุขภาพ (เทรนในปัจจุบัน ซึ่งต้องการผู้จัดที่เป็นมืออาชีพ กิจการนี้เป็นหนึ่งในผู้จัดมืออาชีพ) / มีธุรกิจครบวงจร-มีรถบ้านให้เช่าด้วย (คิวรถบ้านเต็มตลอด) / (3) ธุรกิจเทรดดิ้ง ขายของทางออนไลน์ คาดว่า มาร์จิ้นไม่ค่อยดีเท่าไร ล่าสุด เกิดความเสียหายจากการขายสินค้ามือถือให้ลูกค้ารายหนึ่งที่เค้าไม่ยอมรับของตามจำนวนที่สั่ง จึงทำให้ต้องต้องสำรองความเสียหายของสินค้าที่เหลือ ราว 60 กว่าล้าน พอประกาศงบ ก็ทำให้ขาดทุน ราคาหุ้นก็ลงดิ่งมากทันที
Q: เทคนิคในการเข้าไปช้อนหุ้นตอนที่ราคาหุ้นตกแรงๆ มีวิธีการอย่างไร
A: New Low / New Love คอยติดตามหุ้นชอบ Model / พอราคามันเริ่มลง ก็ซื้อไปก่อนนิดหน่อย พอราคาลงมาอีก ก็ทยอยซื้อเข้าไปอีก เพราะศึกษามาแล้วพอสมควร ก็แบบว่า เมื่อคนอื่นขาย เราก็ทยอยซื้อ
A: หุ้นเกี่ยวกับยาง เชื่อว่า ผู้บริหารตั้งใจทำธุรกิจจริง โหวงเฮ้งของ ผบห ใช้ได้ แต่กลัวว่า หุ้นยางโดยธรรมชาติมีความผันผวนบ้าง ถึงแม้ว่า เค้าจะบอกว่า ซื้อวันนี้ ขายพรุ่งนี้ แต่ก็มีการเหวี่ยงตัวของสต๊อกบ้าง / โครงการขยายของเค้า น่าจะโอเค เพราะมีลูกค้าจริงๆ รวมถึงกลยุทธ์ที่ใช้ ก็มีการปิดความเสี่ยงจริงๆ แบบว่า ซื้อวันนี้ ขายพรุ่งนี้ โอกาสพลาดก็น้อย ถึงแม้ว่าจะส่งมองในอีก 3-4 เดือนข้างหน้าก็ตาม / หุ้นเข้ามาเทรดในตลาดตอนภาวะตลาดไม่ค่อยดีเท่าไร และมีการกระจายตัวให้รายย่อยสูง ก็มีแรงขายมากในวันที่เข้าเทรดวันแรก / ในอดีต ตัวนี้ กำไรราวๆ 200 ล้านบาท แต่ช่วงนี้มีกำไรเยอะมาก ก็ไม่รู้ว่ามีการทำบัญชีหรือไม่ / ข้อเสีย เป็นธุรกิจที่ใช้เงินทุนหมุนเวียนสูงมาก ข้อดี เติบโต 100% ภายใน 1-2 ปีข้างหน้า ถ้าเค้าทำกำไรได้เหมือนกับที่ทำได้รายไตรมาส ราคาหุ้นตอนนี้ จะถูกมากๆ (กรณีที่มองว่า เค้าจะทำได้นั้น อาจเป็นการมองโลกในแง่ดีมากๆ แต่ในความเป็นจริง เค้าจะทำได้หรือไม่) / ผบห ให้ข่าวว่า ผลประกอบการของกิจการจะดีต่อเนื่องไปอีกใน 4 ไตรมาสข้างหน้า
A: หุ้นโลจีสติกน้องใหม่ โหวงเฮ้งผู้บริหาร ถือว่า ผ่าน ตั้งใจทำธุรกิจ ถือว่า OK / ราคา IPO ค่อนข้างแพงไป / ก็เป็นธุรกิจที่ดี แต่ใช้เงินลงทุนสูง พอได้เงิน IPO ไป ก็ขยายธุรกิจได้สบายเลย / อยู่ในกลุ่ม PE ค่อนข้างสูง / มอง PE ที่ควรซื้อ ต้องต่ำกว่า 15x เท่านั้น / ได้เงินจาก IPO มาก ก็จะขยายธุรกิจได้ง่าย มีโอกาสเติบโตแน่ (** หา PE ที่เหมาะสมก่อน และก็หา EPS เพื่อหาราคาหุ้นที่เหมาะสม และเปรียบเทียบกับราคาหุ้นปัจจุบัน)
A: หุ้นเอ็มร้อย - ราคาแพง PE ตั้ง 30 เท่า เพราะอ้างอิงหุ้นควายแดง รวมถึง สินค้า M100 ก็น่าจะ Mature แล้ว ไม่เติบโต
ส่วนหุ้นควายแดง ก็หวังที่จะเติบโต แต่รายได้โตไม่ทันต้นทุน+ค่าใช้จ่าย เพราะการไปบุกต่างประเทศ ก็ไม่ใช่ง่ายๆ ถึงแม้จะประสบความสำเร็จในหลายประเทศ แต่ประเทศใหญ่ๆ ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ
A: หุ้นปลากระป๋อง การไปบุกต่างประเทศ มองว่า ความสำเร็จยังไม่ชัดเจนมาก / มี IVL ที่ไปต่างประเทศแล้วประสบความสำเร็จ
A: หุ้นอสังหาฯ - คอนโดฯ น่าจะเหนื่อย เพราะกำลังซื้อถดถอย เมื่อเทียบกับโครงการใหม่ๆ และกำลังซื้อที่จะมี ถึงแม้จะมีกำลังซื้อของคนทำงานออฟฟิตที่ต้องการเลี่ยงรถติดที่มาชดเชย / กิจการอสังหาฯ ไม่มี Barrier ใครมีเงินทุน มีที่ดิน ก็พัฒนาได้ ธุรกิจเป็น Red Ocean
A: หุ้นกลุ่มตรวจสอบคุณภาพ – อุตสาหกรรมนี้ ไม่ค่อยดี ต้องใช้เวลาอีก 2-3 ปีกว่าจะฟื้นตัวดี / ใครอ่อนแอในธุรกิจนี้ ก็จะตายไป ก็จะเหลือแต่ผู้ชนะ
A: หุ้นโครงสร้างเหล็ก มองว่า รายได้ประจำมีไม่พอที่จะครอบคลุม Fixed Cost ได้ เพราะมี Fixed Cost สูง ทำให้งบล่าสุดยังขาดทุนอยู่ ในขณะที่งานประมูล เป็นงานที่ไม่แน่นอนว่าจะได้งานหรือไม่ รวมถึงมาร์จิ้นของงานประมูลน่าจะต่ำอีกด้วย เพราะต้องไปแย่งงานประมูลกัน
A: อุตสาหกรรมน้ำตาล เป็นวัฏจักร / หากจะซื้อหุ้น ก็ต้องซื้อตอนนี้ (Peter Lynch กล่าวว่า ให้ซื้อหุ้นวัฏจักร เมื่อมีแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์) แต่ปัจจุบัน อุตสาหกรรมน้ำตาลยังมืดมิด ส่วนด้านผู้บริหารของบริษัทน้ำตาล ให้ข้อมูลว่า ราคาน้ำตาลปัจจุบัน ไม่สามารถอยู่ได้ เพราะผู้ผลิตอินเดีย บราซิล ขาดทุน ราคาก็น่าจะปรับขึ้นไป / สุดท้าย มองว่า ก็มีความเสี่ยงอยู่ / แต่ก็พอมีหุ้นน้ำตาลที่น่าสนใจ หากราคาอยู่ในช่วง PE 10x-12x ก็ที่จะซื้อ (ตอนนี้ไม่มีราคา ณ PE 10x-12x) แต่งบการเงินต้องแข็งแกร่งด้วย
(อ.วรพงศ์) การลงทุนใน Index Fund ของอเมริกา – (1) ซื้อกองทุนไทยที่ไปลงทุนต่างประเทศ หรือ (2) ซื้อกองทุนในต่างประเทศโดยตรง (คิดค่าธรรมเนียมกองทุนถูกกว่าซื้อกองทุนในไทย) ตัวที่น่าซื้อ มีกองทุน Vanguard 500 และ กองทุน Spider (ไม่แน่ใจว่าจดถูกไหมครับ) ชื่อย่อ SPY
A: หุ้นรถเช่า ราคาหุ้นถูกลากขึ้นไปมากไม่สอดคล้องกับกำไรของบริษัท สุดท้าย ราคาก็ลงมาตามผลประกอบการ คาดว่า ราคาหุ้นน่าจะลงมาได้อีก เพราะกำไรได้น้อยลงอีก
A: หุ้นสามดี มาร์เก็ตแคปปัจจุบันยังแพง (ใกล้ๆ หมื่นล้าน) ธุรกิจไม่น่าจะแข็งแกร่งจริง มีสินค้าน้อย ลูกค้ากระจุกตัว มองว่า ธุรกิจไม่ปลอดภัย
A: หุ้นโรงพยาบาล น่าเป็นฟองสบู่ เพราะเทรนผู้สูงอายุ คนป่วยมาก ช่วงนี้เป็นช่วงที่เน็ตมาร์จิ้นผิดปกติ เพราะตลาดไม่ได้แข่งขันแบบสมบูรณ์ รพ มีน้อยกว่า คนป่วย / ตอนนี้ ก็มีรายใหม่ๆ หลายราย เริ่มเข้ามาทำธุรกิจ รพ แล้ว ต่อไปการแข่งขันในตลาด ก็น่าจะมากขึ้นในอนาคต
A: หุ้นซอสเป็นหุ้น 1 ใน 5 ที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดในปีนี้ (มีผู้ร่วมมีทติ้ง แชร์ว่า ซื้อตามผู้บริหาร – ผู้บริหารเป็นนักลงทุนวีไอ เข้าไปซื้อหุ้นตัวเอง งบก็ออกมาดี)
A: หุ้น MDF สตอรี่เป็นเรื่องการขยายกำลังการผลิต 1 เท่าตัว และมี Order พอสมควร แต่มีปัญหาตรงราคาหุ้นน่าจะ price in ไปเรียบร้อยแล้ว / อาจเป็นช่วงที่ดีของไม้ MDF ก็ได้ / ปัจจุบัน ลูกค้ารายใหญ่อิหร่าน กำลังซื้อก็เริ่มหายไป และอุตสาหกรรมก็ดีมา 2-3 ปี แล้ว สังเกตุจากเน็ตมาร์จิ้นที่ดี ทำให้หลายบริษัทขยายกำลังการผลิตกันมากขึ้น / หุ้นวัฏจักร พอมีการขยายและตลาดเท่าเดิม อาจทำให้สเปรดจะต่ำลง ดังนั้น นักลงทุนคงต้องระมัดระวังการลงทุนให้มากด้วย
A: (อ.วรพงศ์) หุ้นอสังหาฯ ราคาหุ้นปัจจุบันน่าซื้อ มีมาร์แคป 3.2 หมื่นล้าน ในขณะที่มาร์แคปของบริษัทลูกราว 3.9 หมื่นล้านแล้ว โอกาสขายคงไม่มาก แต่ก็พร้อมที่จะขาย หากได้ราคาดีๆ – Q3 กำไรบวกมากว่า 10+% ถือว่าใช้ได้ ปีหน้า คงมองยากพอสมควร แต่ยอด pre-sales เริ่มฟื้น น่าพอไปได้ ในขณะที่มีเงินปันผลในอัตราที่ดีพอสมควร / รายได้ของกิจการเป็นอสังหาราวๆ 50-60% ที่เหลือเป็นอื่นๆ ถือว่า Balance พอสมควร ยามที่ธุรกิจอสังหาฯ แย่ ก็ไม่แย่มาก เพราะมีธุรกิจอื่นช่วยค้ำอยู่
A: หุ้นสาหร่ายขึ้นกับปัจจัยการตลาด มากกว่า ต้นทุนสาหร่าย ราคาสาหร่ายเหวี่ยงบ้าง แต่ถ้าหากมีอำนาจต่อรองดี ก็สามารถขึ้นราคาขายได้ ความเห็นส่วนตัว P/E ที่เหมาะสม คิดว่า ให้ประมาณ 15 เท่าก็พอ เพราะการเติบโตค่อนข้างยาก รวมถึงช่วงนี้มีการรณรงค์ลดความเค็ม
A: หุ้นกลุ่มประกันฯ – ราคาหุ้นประกัน ปรับตัวลงน้อยกว่าตัวอื่น / ระยะหลัง กำไรค่อนข้างแย่ เพราะ (1) ธุรกิจเป็น Red Ocean (2) ช่วงดอกเบี้ยต่ำ ก็แย่ ส่วนที่ไปลงทุน ได้ yield น้อย ถ้าดอกเบี้ยขาขึ้นอาจได้รับประโยชน์
โพสหน้า คงลงรวดเดียวจนจบครับ
####################################################
ความสำเร็จจากการลงทุน ไม่ได้เกิดจาก "การซื้อของดี" แต่มาจาก "การซื้อของได้ดี" ต่างหาก
ความสำเร็จจากการลงทุน ไม่ได้เกิดจาก "การซื้อของดี" แต่มาจาก "การซื้อของได้ดี" ต่างหาก
- AnieLee
- Verified User
- โพสต์: 1436
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3231
(ต่อ) มีทติ้งภาคใต้ Q3/61
A: หุ้นกลุ่มประกันฯ – ราคาหุ้นประกัน ปรับตัวลงน้อยกว่าตัวอื่น / ระยะหลัง กำไรค่อนข้างแย่ เพราะ (1) ธุรกิจเป็น Red Ocean (2) ช่วงดอกเบี้ยต่ำ ก็แย่ ส่วนที่ไปลงทุน ได้ yield น้อย ถ้าดอกเบี้ยขาขึ้นอาจได้รับประโยชน์
A: หุ้นทำขวด P/E ปัจจุบัน ยังไม่ถูกพอ (17x) การเติบโตไม่ค่อยมี ให้ P/E สัก 10-12 เท่าพอ ต้องดูองค์ประกอบต้นทุนด้วย ต้นทุนพลังงานเป็นต้นทุนหลัก ถึงแม้รายได้จากเบียร์สิงห์จะเป็นรายได้ประจำ แต่ก็ไม่มีการเติบโตเท่าไร
A: หุ้นที่ปรึกษาน้องใหม่ ผู้บริหารดี งบการเงินดี การกระจายตัวดี การเติบโตใช้ได้ เพียงแต่ P/E แพง รอช่วง P/E 12x ก็ใช้ได้ / ถ้าเมกะโปรเจ็คมา ก็จะดี เพราะเป็นมือ 1 ของประเทศ
A: แม่เอไอเอส (อ.วรพงศ์) มองว่า เป็นตัวแทนของบ.ลูก แต่ได้ปันผลมากกว่านิดหน่อย แต่ธุรกิจมีการแข่งขันสูง ก็มีการให้โปรโมชั่นกันมากระหว่างคู่แข่ง การเติบโตก็คงอยู่ราว 5-10% น่าจะได้ เพราะมีการแข่งขันเพียงเท่านี้ (ตามจำนวน Service Providers)
A: หุ้นโรงเรียนไหม้ ธุรกิจดี แต่คิดว่า น่าขายหุ้น IPO ราคาสูง คิดแฟร์แวลูได้ไม่เกิน ?? บาท กิจการน่าเติบโตจริง ราคาหุ้นคงแพงเกินไปเท่านั้นเอง / ธุรกิจนี้ ไม่เสียภาษีฯ (เงินปันผล ไม่สามารถเครดิตภาษีได้) / Fixed Cost ค่อนข้างสูง เพราะมีการลงทุนไปแล้วก่อนเข้าตลาด ทำให้มี D/E สูง พอได้เงิน IPO ไป ก็เอาไปคืนหนี้ได้ / ข้อดี คือ ลงทุนไปหมดแล้ว รอเวลาเก็บเกี่ยวดอกผลจากการลงทุน
A: หุ้นอิเล็คฯ กำลังการผลิตมากขึ้น แต่ก็ต้องอย่าให้มีปัจจัยอะไรมากระทบอีก ตอนนี้ Forward P/E ราว 13-14 เท่า ก็จะมี mos น้อยแล้ว
A: หุ้นรับเหมางานไฟฟ้า มาร์จิ้นดีมาก ปันผลดี ใช้ได้ ก็ต้องมองภาพรวมของอุตสาหกรรมว่าดีหรือไม่ โตไหม ธุรกิจเอกชนมีการขยายตัวไหม ไตรมาสนี้ ทำได้ค่อนข้างดี กำไรพอๆ กับปีที่แล้ว ปันผลราวๆ 6% ราคาหุ้นก็อยู่ในโซนค่อนข้างถูก แต่ระยะยาว จะคงอัตรามาร์จิ้นได้หรือไม่ มองเป็นหุ้นปันผลก็ได้
A: หุ้นถังแก๊ส ตลาดอาจจะผิดหวังกับผลประกอบการ ไม่ควรดูรายไตรมาส ควรดูผลประกอบการเป็นรายปี / ผบห ค่อนข้างโอเค ตอนนี้ ทาง ผบห ก็เริ่มซื้อหุ้น ก็น่าเป็นสัญญาณที่ดี
A: หุ้นมีดบิน นลท ไม่รู้ว่า กำไรจะขึ้นหรือจะลง คาดการณ์ได้ยาก เข้าใจธุรกิจได้ยาก
A: หุ้นค้าปลีก ค่อนข้างโอเค กำไรค่อนข้างดี แต่ PE ค่อนข้างสูงนิด พอตลาดไม่ดี ราคาหุ้นก็มีโดนขายมาบ้าง ก็มีขยายสาขาบ้าง และไตรมาส 4 ก็เริ่มมีสินค้าใหม่ออกมา / ช่วงนี้ ที่มองกันว่าเศรษฐกิจไม่ดีนั้น ต่างกับปี 40 ปัจจุบันคนระดับรากหญ้าโดนกระทบ แต่คนทำงานประจำ/ธุรกิจ ไม่โดนกระทบ คนระดับรากหญ้าก็คงไม่ซื้อสินค้าจากเจ๊จู ดังนั้น ธุรกิจก็ไม่น่าโดนกระทบมากจากปัญหาเศรษฐกิจในปัจจุบัน
A: หุ้นโฆษณา PE 42x / หุ้นห้างฯ PE 26x - ปัจจุบัน หุ้นโฆษณาไม่มีการเติบโตอะไร (ที่ผ่านมามีการเทคกิจการจบไปแล้ว) ส่วน หุ้นห้างฯ มีการขยายมาก ทั้ง ห้างเปิดใหม่ / โรงแรม / ฯลฯ น่ามีการเติบโตมากกว่า รวมถึงการต่อสัญญาเช่าใหม่อีกด้วย (ในอนาคต สัญญาเช่าระยะยาวเดิม กำลังจะหมดอายุ พอต่ออายุ ก็น่าจะได้ปรับค่าเช่าเพิ่มด้วย)
A: หุ้นช้าง ไม่ได้ติดตาม มองว่า เป็นธุรกิจที่ลงทุนสูง แต่ได้ผลตอบแทนไม่มาก เพราะได้ค่าเช่าห้องไม่สูงมาก ถ้าราคา PE ต่ำกว่า 15x ก็น่าสนใจ
A: หุ้นไฟฟ้า งบที่ออกมาก็โอเค มองว่า ปีหน้า กำไรไม่น่าต่ำกว่า 5 พัน P/E อาจเหลือ 9x แต่ว่า ในระยะยาว ต้องระวังเรื่อง Adder ที่บางโรง อาจจะหมดอายุ
A: หุ้นเกี่ยวกับดับเพลิง –น่ามีพื้นฐานใช้ได้ ผลประกอบการ OK เพียงแต่ว่า อาจอยู่ช่วงที่งานกำลังเยอะพอดี อนาคตงานอาจหายไปก็ได้ (ไม่สามารถคาดการได้)
A: หุ้นหมูหยอง ผลประกอบการส่วนนึง ก็มีกำไร/ขาดทุนจากการปรับมูลค่าสินทรัพย์ชีวภาพด้วย (ก็คือ หมู โดยเทียบราคาตลาดนั่นเอง) บางธุรกิจก็ดี บางธุรกิจก็ไม่ดี ดู P/E 10x+ แต่งบไม่ค่อยสวยเท่าไร ธุรกิจอาหาร ไม่ค่อยได้กำไรเท่าไร
A: หุ้นดิสทริบิวเตอร์ ฐานใหญ่แล้ว การเติบโตอีก ก็ค่อนข้างยาก แต่ตลาดปรับ P/E ให้ค่อนข้างสูงในปีที่แล้ว พอปีนี้ไม่ค่อยเติบโต ก็โดนตลาดปรับ P/E ลดลงมา
A: หุ้นดีตามชื่อ กำไรไตรมาส ไม่ค่อยดีเท่าไร (มองระยะสั้น) เพราะมีต้นทุนการซื้อกิจการ/รวมกิจการ ราคาปัจจุบัน P/E ราวๆ 40x หากรวมการรวมกิจการ ก็น่าราวๆ 44x มีการเติบโตพอสมควรจาก (1) การเข้าไปซื้อกิจการอุปกรณ์ทำฟัน ซื้อ ณ P/E 10x (2) สร้างโรงพยาบาลแถวสุขุมวิท จะเสร็จในปีหน้า (Q2) ใช้ได้ เพราะอยู่แหล่งที่เหมาะสม น่ามีกำไรพอใช้ได้ และ (3) ความแน่นอนของการเข้าไปซื้อบริษัท LAB ของทันตกรรม / หากมองราคาที่ P/E ระดับนี้ ค่อนข้างแพงมากๆ แต่ถ้าดูที่ Market cap แล้ว ถือว่า น่าลุ้น
A: หุ้นชุดชั้นใน ไม่ได้ติดตาม ราคาปัจจุบัน P/E ราว 30x ค่อนข้างแพง / คุณภาพของกำไร หากเกิดจากยอดขาย ถือว่า ค่อนข้างดี แต่ถ้าเกิดจากการลดต้นทุน หรือ spread เพิ่มขึ้น ถือว่า คุณภาพของกำไรไม่ค่อยดีเท่าใดนัก
A: ธุรกิจนายหน้าขาย content ไม่น่าจะกำไรดีขนาดนั้น มองว่า ผบห เก่งด้าน PR อาจทำให้นักลงทุน Mislead / ยิ่ง PR มากเท่าไร ยิ่งทำให้มีค่าใช้จ่ายในการ PR มากขึ้นเท่านั้น / มองว่า ธุรกิจนี้ ไม่น่ามี Barrier เป็นเพียงแค่นายหน้า ถึงแม้ว่า ผบห บอกว่า มีทีมพากษ์ก็ตาม
A: หุ้นรับจ้างผลิตเครื่องสำอาง ไตรมาสล่าสุด กำไรค่อนข้างดีมาก แต่ว่า กำไรที่ดี อาจเป็นแค่ระยะสั้น เพราะธุรกิจ ธุรกิจไม่มี Barrier ต่อไป ก็จะมีคู่แข่งเข้ามาแข่งขัน แถมยังมีลูกค้าเพียงแค่รายเดียว ค่อนข้างเสี่ยง
A: หุ้นของขวัญ กำไรตกลงมานิดหน่อย ราคาหุ้นตอนนี้ P/E ราว 16x ก็ไม่ถูก ค่อนข้างตึงๆ ถึงราคาลงมาเยอะก็ตาม ให้ P/E สัก 10-11x
A: หุ้นสินเชื่อตัวหนึ่ง ราคาหุ้นลงมามาก อดีตเคยเทรดราคาสูง เพราะคาดหวังการเติบโต ระยะหลังการเติบโตน้อยลง เพราะมีการตั้งสำรองหนี้ฯ มากขึ้น / รายได้ลดลงด้วย ทำให้ราคาหุ้นลงมา ณ ระดับ P/E 11x ส่วน เงินปันผลใช้ได้ ค่อนข้างดี /ผบห ตั้งใจทำธุรกิจ เพียงแต่ภาวะยังไม่เอื้ออำนวย / มีระเบิดเวลาในอนาคต 4-5 ปี คือ การแปลง Warrant
A: หุ้นลูกน้ำผลไม้ กำไรไตรมาสล่าสุดลดลงพอสมควร เพราะเกิดจากรายการพิเศษ / มองว่า ส่วน supply ยางมะตอย ลดลง ทำให้ราคาขายน่าจะดีขึ้น แต่ก็มีผลกระทบจากน้ำมันที่นำเข้าจากเวนเนซูเอร่าที่ประเทศมีปัญหา รวมถึงไฟไหม้โรงกลั่นอีกด้วย ทำให้มีการกลั่นไม่เต็มที่
A: มองตลาดถึงปลายปีหน้า คิดว่า Trade War ไม่กังวล / ดอกเบี้ย ไม่กังวล
A: หุ้นแก๊ส กำไรค่อนข้างดี / กำไรรายไตรมาส ไม่ค่อยแน่นอน เพราะจะเปลี่ยนแปลงไปตามมีเทน โพเทน รวมถึงเป็นไปตามราคาน้ำมัน / ไตรมาส 4 อาจมี Stock Loss
A: หุ้นจัดงานฯ วันนี้ อาจเป็นหุ้นที่ปันผลมากที่สุดในตลาดหุ้นก็ได้ เพียงแต่ราคาหุ้นที่ผ่านมา อาจตึงๆ ไปแล้ว ข้อเสียของกิจการคือ การรับรู้รายได้เพียงแค่ 1 ไตรมาสใน 1 ปี ราว Q1/Q2 ส่วน Q3/Q4 ก็จะขาดทุน ก็คงต้องพยายามอุดรูรั่ว ใช้ทรัพยากรให้คุ้มค่า
A: หุ้นบริหารหนี้ตัวเก่า ฐานสูง โตยาก / หุ้นบริหารหนี้ตัวใหม่ ฐานต่ำ โอกาสโตมาก มีความสามารถในการซื้อหนี้ได้มากกว่า เพราะมี Equity มาก เพียงแต่ราคาหุ้น P/E ค่อนข้างสูง (สะท้อนตามการเติบโต)
จบสรุปเนื้อหาฯ ครับ (มีเนื้อหาที่ตกหล่นไปบ้าง บางเนื้อหาตั้งใจตัดไป แต่ก็เป็นส่วนน้อยครับ)
ปล. สรุปมีทติ้งรอบนี้ น่าเป็นครั้งที่ 10 ที่ผมได้สรุปเนื้อหาแชร์ให้ และขอเรียนว่า เป็นการโพสสรุปเนื้อหามีทติ้งครั้งสุดท้ายครับ มีทติ้งรอบต่อๆ ไป ก็จะไม่โพสแล้วครับ ดังนั้นผู้ที่สนใจและมีความตั้งใจแรงกล้า ก็ขอให้ท่านพยายามจองไปมีทติ้งกันด้วยครับ น่าจะได้เนื้อหาและบรรยากาศที่ดีกว่าการอ่านแบบแห้งๆ ครับ โชคดีในการลงทุนทุกท่านครับ (กำไรก็เป็นของท่าน ขาดทุนก็เป็นของท่าน / ข้อมูลที่สรุปมาให้ ไม่ได้มีส่วนใดๆ ในการชี้นำต่อการลงทุนของท่าน เพียงแค่เป็นแนวทาง/ความเห็น ส่วนการลงทุนเป็นเรื่องของแต่ละบุคคลและวิจารณญาณของแต่ละคนเท่านั้น)
A: หุ้นกลุ่มประกันฯ – ราคาหุ้นประกัน ปรับตัวลงน้อยกว่าตัวอื่น / ระยะหลัง กำไรค่อนข้างแย่ เพราะ (1) ธุรกิจเป็น Red Ocean (2) ช่วงดอกเบี้ยต่ำ ก็แย่ ส่วนที่ไปลงทุน ได้ yield น้อย ถ้าดอกเบี้ยขาขึ้นอาจได้รับประโยชน์
A: หุ้นทำขวด P/E ปัจจุบัน ยังไม่ถูกพอ (17x) การเติบโตไม่ค่อยมี ให้ P/E สัก 10-12 เท่าพอ ต้องดูองค์ประกอบต้นทุนด้วย ต้นทุนพลังงานเป็นต้นทุนหลัก ถึงแม้รายได้จากเบียร์สิงห์จะเป็นรายได้ประจำ แต่ก็ไม่มีการเติบโตเท่าไร
A: หุ้นที่ปรึกษาน้องใหม่ ผู้บริหารดี งบการเงินดี การกระจายตัวดี การเติบโตใช้ได้ เพียงแต่ P/E แพง รอช่วง P/E 12x ก็ใช้ได้ / ถ้าเมกะโปรเจ็คมา ก็จะดี เพราะเป็นมือ 1 ของประเทศ
A: แม่เอไอเอส (อ.วรพงศ์) มองว่า เป็นตัวแทนของบ.ลูก แต่ได้ปันผลมากกว่านิดหน่อย แต่ธุรกิจมีการแข่งขันสูง ก็มีการให้โปรโมชั่นกันมากระหว่างคู่แข่ง การเติบโตก็คงอยู่ราว 5-10% น่าจะได้ เพราะมีการแข่งขันเพียงเท่านี้ (ตามจำนวน Service Providers)
A: หุ้นโรงเรียนไหม้ ธุรกิจดี แต่คิดว่า น่าขายหุ้น IPO ราคาสูง คิดแฟร์แวลูได้ไม่เกิน ?? บาท กิจการน่าเติบโตจริง ราคาหุ้นคงแพงเกินไปเท่านั้นเอง / ธุรกิจนี้ ไม่เสียภาษีฯ (เงินปันผล ไม่สามารถเครดิตภาษีได้) / Fixed Cost ค่อนข้างสูง เพราะมีการลงทุนไปแล้วก่อนเข้าตลาด ทำให้มี D/E สูง พอได้เงิน IPO ไป ก็เอาไปคืนหนี้ได้ / ข้อดี คือ ลงทุนไปหมดแล้ว รอเวลาเก็บเกี่ยวดอกผลจากการลงทุน
A: หุ้นอิเล็คฯ กำลังการผลิตมากขึ้น แต่ก็ต้องอย่าให้มีปัจจัยอะไรมากระทบอีก ตอนนี้ Forward P/E ราว 13-14 เท่า ก็จะมี mos น้อยแล้ว
A: หุ้นรับเหมางานไฟฟ้า มาร์จิ้นดีมาก ปันผลดี ใช้ได้ ก็ต้องมองภาพรวมของอุตสาหกรรมว่าดีหรือไม่ โตไหม ธุรกิจเอกชนมีการขยายตัวไหม ไตรมาสนี้ ทำได้ค่อนข้างดี กำไรพอๆ กับปีที่แล้ว ปันผลราวๆ 6% ราคาหุ้นก็อยู่ในโซนค่อนข้างถูก แต่ระยะยาว จะคงอัตรามาร์จิ้นได้หรือไม่ มองเป็นหุ้นปันผลก็ได้
A: หุ้นถังแก๊ส ตลาดอาจจะผิดหวังกับผลประกอบการ ไม่ควรดูรายไตรมาส ควรดูผลประกอบการเป็นรายปี / ผบห ค่อนข้างโอเค ตอนนี้ ทาง ผบห ก็เริ่มซื้อหุ้น ก็น่าเป็นสัญญาณที่ดี
A: หุ้นมีดบิน นลท ไม่รู้ว่า กำไรจะขึ้นหรือจะลง คาดการณ์ได้ยาก เข้าใจธุรกิจได้ยาก
A: หุ้นค้าปลีก ค่อนข้างโอเค กำไรค่อนข้างดี แต่ PE ค่อนข้างสูงนิด พอตลาดไม่ดี ราคาหุ้นก็มีโดนขายมาบ้าง ก็มีขยายสาขาบ้าง และไตรมาส 4 ก็เริ่มมีสินค้าใหม่ออกมา / ช่วงนี้ ที่มองกันว่าเศรษฐกิจไม่ดีนั้น ต่างกับปี 40 ปัจจุบันคนระดับรากหญ้าโดนกระทบ แต่คนทำงานประจำ/ธุรกิจ ไม่โดนกระทบ คนระดับรากหญ้าก็คงไม่ซื้อสินค้าจากเจ๊จู ดังนั้น ธุรกิจก็ไม่น่าโดนกระทบมากจากปัญหาเศรษฐกิจในปัจจุบัน
A: หุ้นโฆษณา PE 42x / หุ้นห้างฯ PE 26x - ปัจจุบัน หุ้นโฆษณาไม่มีการเติบโตอะไร (ที่ผ่านมามีการเทคกิจการจบไปแล้ว) ส่วน หุ้นห้างฯ มีการขยายมาก ทั้ง ห้างเปิดใหม่ / โรงแรม / ฯลฯ น่ามีการเติบโตมากกว่า รวมถึงการต่อสัญญาเช่าใหม่อีกด้วย (ในอนาคต สัญญาเช่าระยะยาวเดิม กำลังจะหมดอายุ พอต่ออายุ ก็น่าจะได้ปรับค่าเช่าเพิ่มด้วย)
A: หุ้นช้าง ไม่ได้ติดตาม มองว่า เป็นธุรกิจที่ลงทุนสูง แต่ได้ผลตอบแทนไม่มาก เพราะได้ค่าเช่าห้องไม่สูงมาก ถ้าราคา PE ต่ำกว่า 15x ก็น่าสนใจ
A: หุ้นไฟฟ้า งบที่ออกมาก็โอเค มองว่า ปีหน้า กำไรไม่น่าต่ำกว่า 5 พัน P/E อาจเหลือ 9x แต่ว่า ในระยะยาว ต้องระวังเรื่อง Adder ที่บางโรง อาจจะหมดอายุ
A: หุ้นเกี่ยวกับดับเพลิง –น่ามีพื้นฐานใช้ได้ ผลประกอบการ OK เพียงแต่ว่า อาจอยู่ช่วงที่งานกำลังเยอะพอดี อนาคตงานอาจหายไปก็ได้ (ไม่สามารถคาดการได้)
A: หุ้นหมูหยอง ผลประกอบการส่วนนึง ก็มีกำไร/ขาดทุนจากการปรับมูลค่าสินทรัพย์ชีวภาพด้วย (ก็คือ หมู โดยเทียบราคาตลาดนั่นเอง) บางธุรกิจก็ดี บางธุรกิจก็ไม่ดี ดู P/E 10x+ แต่งบไม่ค่อยสวยเท่าไร ธุรกิจอาหาร ไม่ค่อยได้กำไรเท่าไร
A: หุ้นดิสทริบิวเตอร์ ฐานใหญ่แล้ว การเติบโตอีก ก็ค่อนข้างยาก แต่ตลาดปรับ P/E ให้ค่อนข้างสูงในปีที่แล้ว พอปีนี้ไม่ค่อยเติบโต ก็โดนตลาดปรับ P/E ลดลงมา
A: หุ้นดีตามชื่อ กำไรไตรมาส ไม่ค่อยดีเท่าไร (มองระยะสั้น) เพราะมีต้นทุนการซื้อกิจการ/รวมกิจการ ราคาปัจจุบัน P/E ราวๆ 40x หากรวมการรวมกิจการ ก็น่าราวๆ 44x มีการเติบโตพอสมควรจาก (1) การเข้าไปซื้อกิจการอุปกรณ์ทำฟัน ซื้อ ณ P/E 10x (2) สร้างโรงพยาบาลแถวสุขุมวิท จะเสร็จในปีหน้า (Q2) ใช้ได้ เพราะอยู่แหล่งที่เหมาะสม น่ามีกำไรพอใช้ได้ และ (3) ความแน่นอนของการเข้าไปซื้อบริษัท LAB ของทันตกรรม / หากมองราคาที่ P/E ระดับนี้ ค่อนข้างแพงมากๆ แต่ถ้าดูที่ Market cap แล้ว ถือว่า น่าลุ้น
A: หุ้นชุดชั้นใน ไม่ได้ติดตาม ราคาปัจจุบัน P/E ราว 30x ค่อนข้างแพง / คุณภาพของกำไร หากเกิดจากยอดขาย ถือว่า ค่อนข้างดี แต่ถ้าเกิดจากการลดต้นทุน หรือ spread เพิ่มขึ้น ถือว่า คุณภาพของกำไรไม่ค่อยดีเท่าใดนัก
A: ธุรกิจนายหน้าขาย content ไม่น่าจะกำไรดีขนาดนั้น มองว่า ผบห เก่งด้าน PR อาจทำให้นักลงทุน Mislead / ยิ่ง PR มากเท่าไร ยิ่งทำให้มีค่าใช้จ่ายในการ PR มากขึ้นเท่านั้น / มองว่า ธุรกิจนี้ ไม่น่ามี Barrier เป็นเพียงแค่นายหน้า ถึงแม้ว่า ผบห บอกว่า มีทีมพากษ์ก็ตาม
A: หุ้นรับจ้างผลิตเครื่องสำอาง ไตรมาสล่าสุด กำไรค่อนข้างดีมาก แต่ว่า กำไรที่ดี อาจเป็นแค่ระยะสั้น เพราะธุรกิจ ธุรกิจไม่มี Barrier ต่อไป ก็จะมีคู่แข่งเข้ามาแข่งขัน แถมยังมีลูกค้าเพียงแค่รายเดียว ค่อนข้างเสี่ยง
A: หุ้นของขวัญ กำไรตกลงมานิดหน่อย ราคาหุ้นตอนนี้ P/E ราว 16x ก็ไม่ถูก ค่อนข้างตึงๆ ถึงราคาลงมาเยอะก็ตาม ให้ P/E สัก 10-11x
A: หุ้นสินเชื่อตัวหนึ่ง ราคาหุ้นลงมามาก อดีตเคยเทรดราคาสูง เพราะคาดหวังการเติบโต ระยะหลังการเติบโตน้อยลง เพราะมีการตั้งสำรองหนี้ฯ มากขึ้น / รายได้ลดลงด้วย ทำให้ราคาหุ้นลงมา ณ ระดับ P/E 11x ส่วน เงินปันผลใช้ได้ ค่อนข้างดี /ผบห ตั้งใจทำธุรกิจ เพียงแต่ภาวะยังไม่เอื้ออำนวย / มีระเบิดเวลาในอนาคต 4-5 ปี คือ การแปลง Warrant
A: หุ้นลูกน้ำผลไม้ กำไรไตรมาสล่าสุดลดลงพอสมควร เพราะเกิดจากรายการพิเศษ / มองว่า ส่วน supply ยางมะตอย ลดลง ทำให้ราคาขายน่าจะดีขึ้น แต่ก็มีผลกระทบจากน้ำมันที่นำเข้าจากเวนเนซูเอร่าที่ประเทศมีปัญหา รวมถึงไฟไหม้โรงกลั่นอีกด้วย ทำให้มีการกลั่นไม่เต็มที่
A: มองตลาดถึงปลายปีหน้า คิดว่า Trade War ไม่กังวล / ดอกเบี้ย ไม่กังวล
A: หุ้นแก๊ส กำไรค่อนข้างดี / กำไรรายไตรมาส ไม่ค่อยแน่นอน เพราะจะเปลี่ยนแปลงไปตามมีเทน โพเทน รวมถึงเป็นไปตามราคาน้ำมัน / ไตรมาส 4 อาจมี Stock Loss
A: หุ้นจัดงานฯ วันนี้ อาจเป็นหุ้นที่ปันผลมากที่สุดในตลาดหุ้นก็ได้ เพียงแต่ราคาหุ้นที่ผ่านมา อาจตึงๆ ไปแล้ว ข้อเสียของกิจการคือ การรับรู้รายได้เพียงแค่ 1 ไตรมาสใน 1 ปี ราว Q1/Q2 ส่วน Q3/Q4 ก็จะขาดทุน ก็คงต้องพยายามอุดรูรั่ว ใช้ทรัพยากรให้คุ้มค่า
A: หุ้นบริหารหนี้ตัวเก่า ฐานสูง โตยาก / หุ้นบริหารหนี้ตัวใหม่ ฐานต่ำ โอกาสโตมาก มีความสามารถในการซื้อหนี้ได้มากกว่า เพราะมี Equity มาก เพียงแต่ราคาหุ้น P/E ค่อนข้างสูง (สะท้อนตามการเติบโต)
จบสรุปเนื้อหาฯ ครับ (มีเนื้อหาที่ตกหล่นไปบ้าง บางเนื้อหาตั้งใจตัดไป แต่ก็เป็นส่วนน้อยครับ)
ปล. สรุปมีทติ้งรอบนี้ น่าเป็นครั้งที่ 10 ที่ผมได้สรุปเนื้อหาแชร์ให้ และขอเรียนว่า เป็นการโพสสรุปเนื้อหามีทติ้งครั้งสุดท้ายครับ มีทติ้งรอบต่อๆ ไป ก็จะไม่โพสแล้วครับ ดังนั้นผู้ที่สนใจและมีความตั้งใจแรงกล้า ก็ขอให้ท่านพยายามจองไปมีทติ้งกันด้วยครับ น่าจะได้เนื้อหาและบรรยากาศที่ดีกว่าการอ่านแบบแห้งๆ ครับ โชคดีในการลงทุนทุกท่านครับ (กำไรก็เป็นของท่าน ขาดทุนก็เป็นของท่าน / ข้อมูลที่สรุปมาให้ ไม่ได้มีส่วนใดๆ ในการชี้นำต่อการลงทุนของท่าน เพียงแค่เป็นแนวทาง/ความเห็น ส่วนการลงทุนเป็นเรื่องของแต่ละบุคคลและวิจารณญาณของแต่ละคนเท่านั้น)
####################################################
ความสำเร็จจากการลงทุน ไม่ได้เกิดจาก "การซื้อของดี" แต่มาจาก "การซื้อของได้ดี" ต่างหาก
ความสำเร็จจากการลงทุน ไม่ได้เกิดจาก "การซื้อของดี" แต่มาจาก "การซื้อของได้ดี" ต่างหาก
- AnieLee
- Verified User
- โพสต์: 1436
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3232
(ต่อ) มีทติ้งภาคใต้ Q3/61
A: หุ้นกลุ่มประกันฯ – ราคาหุ้นประกัน ปรับตัวลงน้อยกว่าตัวอื่น / ระยะหลัง กำไรค่อนข้างแย่ เพราะ (1) ธุรกิจเป็น Red Ocean (2) ช่วงดอกเบี้ยต่ำ ก็แย่ ส่วนที่ไปลงทุน ได้ yield น้อย ถ้าดอกเบี้ยขาขึ้นอาจได้รับประโยชน์
A: หุ้นทำขวด P/E ปัจจุบัน ยังไม่ถูกพอ (17x) การเติบโตไม่ค่อยมี ให้ P/E สัก 10-12 เท่าพอ ต้องดูองค์ประกอบต้นทุนด้วย ต้นทุนพลังงานเป็นต้นทุนหลัก ถึงแม้รายได้จากเบียร์สิงห์จะเป็นรายได้ประจำ แต่ก็ไม่มีการเติบโตเท่าไร
A: หุ้นที่ปรึกษาน้องใหม่ ผู้บริหารดี งบการเงินดี การกระจายตัวดี การเติบโตใช้ได้ เพียงแต่ P/E แพง รอช่วง P/E 12x ก็ใช้ได้ / ถ้าเมกะโปรเจ็คมา ก็จะดี เพราะเป็นมือ 1 ของประเทศ
A: แม่เอไอเอส (อ.วรพงศ์) มองว่า เป็นตัวแทนของบ.ลูก แต่ได้ปันผลมากกว่านิดหน่อย แต่ธุรกิจมีการแข่งขันสูง ก็มีการให้โปรโมชั่นกันมากระหว่างคู่แข่ง การเติบโตก็คงอยู่ราว 5-10% น่าจะได้ เพราะมีการแข่งขันเพียงเท่านี้ (ตามจำนวน Service Providers)
A: หุ้นโรงเรียนไหม้ ธุรกิจดี แต่คิดว่า น่าขายหุ้น IPO ราคาสูง คิดแฟร์แวลูได้ไม่เกิน ?? บาท กิจการน่าเติบโตจริง ราคาหุ้นคงแพงเกินไปเท่านั้นเอง / ธุรกิจนี้ ไม่เสียภาษีฯ (เงินปันผล ไม่สามารถเครดิตภาษีได้) / Fixed Cost ค่อนข้างสูง เพราะมีการลงทุนไปแล้วก่อนเข้าตลาด ทำให้มี D/E สูง พอได้เงิน IPO ไป ก็เอาไปคืนหนี้ได้ / ข้อดี คือ ลงทุนไปหมดแล้ว รอเวลาเก็บเกี่ยวดอกผลจากการลงทุน
A: หุ้นอิเล็คฯ กำลังการผลิตมากขึ้น แต่ก็ต้องอย่าให้มีปัจจัยอะไรมากระทบอีก ตอนนี้ Forward P/E ราว 13-14 เท่า ก็จะมี mos น้อยแล้ว
A: หุ้นรับเหมางานไฟฟ้า มาร์จิ้นดีมาก ปันผลดี ใช้ได้ ก็ต้องมองภาพรวมของอุตสาหกรรมว่าดีหรือไม่ โตไหม ธุรกิจเอกชนมีการขยายตัวไหม ไตรมาสนี้ ทำได้ค่อนข้างดี กำไรพอๆ กับปีที่แล้ว ปันผลราวๆ 6% ราคาหุ้นก็อยู่ในโซนค่อนข้างถูก แต่ระยะยาว จะคงอัตรามาร์จิ้นได้หรือไม่ มองเป็นหุ้นปันผลก็ได้
A: หุ้นถังแก๊ส ตลาดอาจจะผิดหวังกับผลประกอบการ ไม่ควรดูรายไตรมาส ควรดูผลประกอบการเป็นรายปี / ผบห ค่อนข้างโอเค ตอนนี้ ทาง ผบห ก็เริ่มซื้อหุ้น ก็น่าเป็นสัญญาณที่ดี
A: หุ้นมีดบิน นลท ไม่รู้ว่า กำไรจะขึ้นหรือจะลง คาดการณ์ได้ยาก เข้าใจธุรกิจได้ยาก
A: หุ้นค้าปลีก ค่อนข้างโอเค กำไรค่อนข้างดี แต่ PE ค่อนข้างสูงนิด พอตลาดไม่ดี ราคาหุ้นก็มีโดนขายมาบ้าง ก็มีขยายสาขาบ้าง และไตรมาส 4 ก็เริ่มมีสินค้าใหม่ออกมา / ช่วงนี้ ที่มองกันว่าเศรษฐกิจไม่ดีนั้น ต่างกับปี 40 ปัจจุบันคนระดับรากหญ้าโดนกระทบ แต่คนทำงานประจำ/ธุรกิจ ไม่โดนกระทบ คนระดับรากหญ้าก็คงไม่ซื้อสินค้าจากเจ๊จู ดังนั้น ธุรกิจก็ไม่น่าโดนกระทบมากจากปัญหาเศรษฐกิจในปัจจุบัน
A: หุ้นโฆษณา PE 42x / หุ้นห้างฯ PE 26x - ปัจจุบัน หุ้นโฆษณาไม่มีการเติบโตอะไร (ที่ผ่านมามีการเทคกิจการจบไปแล้ว) ส่วน หุ้นห้างฯ มีการขยายมาก ทั้ง ห้างเปิดใหม่ / โรงแรม / ฯลฯ น่ามีการเติบโตมากกว่า รวมถึงการต่อสัญญาเช่าใหม่อีกด้วย (ในอนาคต สัญญาเช่าระยะยาวเดิม กำลังจะหมดอายุ พอต่ออายุ ก็น่าจะได้ปรับค่าเช่าเพิ่มด้วย)
A: หุ้นช้าง ไม่ได้ติดตาม มองว่า เป็นธุรกิจที่ลงทุนสูง แต่ได้ผลตอบแทนไม่มาก เพราะได้ค่าเช่าห้องไม่สูงมาก ถ้าราคา PE ต่ำกว่า 15x ก็น่าสนใจ
A: หุ้นไฟฟ้า งบที่ออกมาก็โอเค มองว่า ปีหน้า กำไรไม่น่าต่ำกว่า 5 พัน P/E อาจเหลือ 9x แต่ว่า ในระยะยาว ต้องระวังเรื่อง Adder ที่บางโรง อาจจะหมดอายุ
A: หุ้นเกี่ยวกับดับเพลิง –น่ามีพื้นฐานใช้ได้ ผลประกอบการ OK เพียงแต่ว่า อาจอยู่ช่วงที่งานกำลังเยอะพอดี อนาคตงานอาจหายไปก็ได้ (ไม่สามารถคาดการได้)
A: หุ้นหมูหยอง ผลประกอบการส่วนนึง ก็มีกำไร/ขาดทุนจากการปรับมูลค่าสินทรัพย์ชีวภาพด้วย (ก็คือ หมู โดยเทียบราคาตลาดนั่นเอง) บางธุรกิจก็ดี บางธุรกิจก็ไม่ดี ดู P/E 10x+ แต่งบไม่ค่อยสวยเท่าไร ธุรกิจอาหาร ไม่ค่อยได้กำไรเท่าไร
A: หุ้นดิสทริบิวเตอร์ ฐานใหญ่แล้ว การเติบโตอีก ก็ค่อนข้างยาก แต่ตลาดปรับ P/E ให้ค่อนข้างสูงในปีที่แล้ว พอปีนี้ไม่ค่อยเติบโต ก็โดนตลาดปรับ P/E ลดลงมา
A: หุ้นดีตามชื่อ กำไรไตรมาส ไม่ค่อยดีเท่าไร (มองระยะสั้น) เพราะมีต้นทุนการซื้อกิจการ/รวมกิจการ ราคาปัจจุบัน P/E ราวๆ 40x หากรวมการรวมกิจการ ก็น่าราวๆ 44x มีการเติบโตพอสมควรจาก (1) การเข้าไปซื้อกิจการอุปกรณ์ทำฟัน ซื้อ ณ P/E 10x (2) สร้างโรงพยาบาลแถวสุขุมวิท จะเสร็จในปีหน้า (Q2) ใช้ได้ เพราะอยู่แหล่งที่เหมาะสม น่ามีกำไรพอใช้ได้ และ (3) ความแน่นอนของการเข้าไปซื้อบริษัท LAB ของทันตกรรม / หากมองราคาที่ P/E ระดับนี้ ค่อนข้างแพงมากๆ แต่ถ้าดูที่ Market cap แล้ว ถือว่า น่าลุ้น
A: หุ้นชุดชั้นใน ไม่ได้ติดตาม ราคาปัจจุบัน P/E ราว 30x ค่อนข้างแพง / คุณภาพของกำไร หากเกิดจากยอดขาย ถือว่า ค่อนข้างดี แต่ถ้าเกิดจากการลดต้นทุน หรือ spread เพิ่มขึ้น ถือว่า คุณภาพของกำไรไม่ค่อยดีเท่าใดนัก
A: ธุรกิจนายหน้าขาย content ไม่น่าจะกำไรดีขนาดนั้น มองว่า ผบห เก่งด้าน PR อาจทำให้นักลงทุน Mislead / ยิ่ง PR มากเท่าไร ยิ่งทำให้มีค่าใช้จ่ายในการ PR มากขึ้นเท่านั้น / มองว่า ธุรกิจนี้ ไม่น่ามี Barrier เป็นเพียงแค่นายหน้า ถึงแม้ว่า ผบห บอกว่า มีทีมพากษ์ก็ตาม
A: หุ้นรับจ้างผลิตเครื่องสำอาง ไตรมาสล่าสุด กำไรค่อนข้างดีมาก แต่ว่า กำไรที่ดี อาจเป็นแค่ระยะสั้น เพราะธุรกิจ ธุรกิจไม่มี Barrier ต่อไป ก็จะมีคู่แข่งเข้ามาแข่งขัน แถมยังมีลูกค้าเพียงแค่รายเดียว ค่อนข้างเสี่ยง
A: หุ้นของขวัญ กำไรตกลงมานิดหน่อย ราคาหุ้นตอนนี้ P/E ราว 16x ก็ไม่ถูก ค่อนข้างตึงๆ ถึงราคาลงมาเยอะก็ตาม ให้ P/E สัก 10-11x
A: หุ้นสินเชื่อตัวหนึ่ง ราคาหุ้นลงมามาก อดีตเคยเทรดราคาสูง เพราะคาดหวังการเติบโต ระยะหลังการเติบโตน้อยลง เพราะมีการตั้งสำรองหนี้ฯ มากขึ้น / รายได้ลดลงด้วย ทำให้ราคาหุ้นลงมา ณ ระดับ P/E 11x ส่วน เงินปันผลใช้ได้ ค่อนข้างดี /ผบห ตั้งใจทำธุรกิจ เพียงแต่ภาวะยังไม่เอื้ออำนวย / มีระเบิดเวลาในอนาคต 4-5 ปี คือ การแปลง Warrant
A: หุ้นลูกน้ำผลไม้ กำไรไตรมาสล่าสุดลดลงพอสมควร เพราะเกิดจากรายการพิเศษ / มองว่า ส่วน supply ยางมะตอย ลดลง ทำให้ราคาขายน่าจะดีขึ้น แต่ก็มีผลกระทบจากน้ำมันที่นำเข้าจากเวนเนซูเอร่าที่ประเทศมีปัญหา รวมถึงไฟไหม้โรงกลั่นอีกด้วย ทำให้มีการกลั่นไม่เต็มที่
A: มองตลาดถึงปลายปีหน้า คิดว่า Trade War ไม่กังวล / ดอกเบี้ย ไม่กังวล
A: หุ้นแก๊ส กำไรค่อนข้างดี / กำไรรายไตรมาส ไม่ค่อยแน่นอน เพราะจะเปลี่ยนแปลงไปตามมีเทน โพเทน รวมถึงเป็นไปตามราคาน้ำมัน / ไตรมาส 4 อาจมี Stock Loss
A: หุ้นจัดงานฯ วันนี้ อาจเป็นหุ้นที่ปันผลมากที่สุดในตลาดหุ้นก็ได้ เพียงแต่ราคาหุ้นที่ผ่านมา อาจตึงๆ ไปแล้ว ข้อเสียของกิจการคือ การรับรู้รายได้เพียงแค่ 1 ไตรมาสใน 1 ปี ราว Q1/Q2 ส่วน Q3/Q4 ก็จะขาดทุน ก็คงต้องพยายามอุดรูรั่ว ใช้ทรัพยากรให้คุ้มค่า
A: หุ้นบริหารหนี้ตัวเก่า ฐานสูง โตยาก / หุ้นบริหารหนี้ตัวใหม่ ฐานต่ำ โอกาสโตมาก มีความสามารถในการซื้อหนี้ได้มากกว่า เพราะมี Equity มาก เพียงแต่ราคาหุ้น P/E ค่อนข้างสูง (สะท้อนตามการเติบโต)
จบสรุปเนื้อหาฯ ครับ (มีเนื้อหาที่ตกหล่นไปบ้าง บางเนื้อหาตั้งใจตัดไป แต่ก็เป็นส่วนน้อยครับ)
ปล. สรุปมีทติ้งรอบนี้ น่าเป็นครั้งที่ 10 ที่ผมได้สรุปเนื้อหาแชร์ให้ และขอเรียนว่า เป็นการโพสสรุปเนื้อหามีทติ้งครั้งสุดท้ายครับ มีทติ้งรอบต่อๆ ไป ก็จะไม่โพสแล้วครับ ดังนั้นผู้ที่สนใจและมีความตั้งใจแรงกล้า ก็ขอให้ท่านพยายามจองไปมีทติ้งกันด้วยครับ น่าจะได้เนื้อหาและบรรยากาศที่ดีกว่าการอ่านแบบแห้งๆ ครับ โชคดีในการลงทุนทุกท่านครับ (กำไรก็เป็นของท่าน ขาดทุนก็เป็นของท่าน / ข้อมูลที่สรุปมาให้ ไม่ได้มีส่วนใดๆ ในการชี้นำต่อการลงทุนของท่าน เพียงแค่เป็นแนวทาง/ความเห็น ส่วนการลงทุนเป็นเรื่องของแต่ละบุคคลและวิจารณญาณของแต่ละคนเท่านั้น)
A: หุ้นกลุ่มประกันฯ – ราคาหุ้นประกัน ปรับตัวลงน้อยกว่าตัวอื่น / ระยะหลัง กำไรค่อนข้างแย่ เพราะ (1) ธุรกิจเป็น Red Ocean (2) ช่วงดอกเบี้ยต่ำ ก็แย่ ส่วนที่ไปลงทุน ได้ yield น้อย ถ้าดอกเบี้ยขาขึ้นอาจได้รับประโยชน์
A: หุ้นทำขวด P/E ปัจจุบัน ยังไม่ถูกพอ (17x) การเติบโตไม่ค่อยมี ให้ P/E สัก 10-12 เท่าพอ ต้องดูองค์ประกอบต้นทุนด้วย ต้นทุนพลังงานเป็นต้นทุนหลัก ถึงแม้รายได้จากเบียร์สิงห์จะเป็นรายได้ประจำ แต่ก็ไม่มีการเติบโตเท่าไร
A: หุ้นที่ปรึกษาน้องใหม่ ผู้บริหารดี งบการเงินดี การกระจายตัวดี การเติบโตใช้ได้ เพียงแต่ P/E แพง รอช่วง P/E 12x ก็ใช้ได้ / ถ้าเมกะโปรเจ็คมา ก็จะดี เพราะเป็นมือ 1 ของประเทศ
A: แม่เอไอเอส (อ.วรพงศ์) มองว่า เป็นตัวแทนของบ.ลูก แต่ได้ปันผลมากกว่านิดหน่อย แต่ธุรกิจมีการแข่งขันสูง ก็มีการให้โปรโมชั่นกันมากระหว่างคู่แข่ง การเติบโตก็คงอยู่ราว 5-10% น่าจะได้ เพราะมีการแข่งขันเพียงเท่านี้ (ตามจำนวน Service Providers)
A: หุ้นโรงเรียนไหม้ ธุรกิจดี แต่คิดว่า น่าขายหุ้น IPO ราคาสูง คิดแฟร์แวลูได้ไม่เกิน ?? บาท กิจการน่าเติบโตจริง ราคาหุ้นคงแพงเกินไปเท่านั้นเอง / ธุรกิจนี้ ไม่เสียภาษีฯ (เงินปันผล ไม่สามารถเครดิตภาษีได้) / Fixed Cost ค่อนข้างสูง เพราะมีการลงทุนไปแล้วก่อนเข้าตลาด ทำให้มี D/E สูง พอได้เงิน IPO ไป ก็เอาไปคืนหนี้ได้ / ข้อดี คือ ลงทุนไปหมดแล้ว รอเวลาเก็บเกี่ยวดอกผลจากการลงทุน
A: หุ้นอิเล็คฯ กำลังการผลิตมากขึ้น แต่ก็ต้องอย่าให้มีปัจจัยอะไรมากระทบอีก ตอนนี้ Forward P/E ราว 13-14 เท่า ก็จะมี mos น้อยแล้ว
A: หุ้นรับเหมางานไฟฟ้า มาร์จิ้นดีมาก ปันผลดี ใช้ได้ ก็ต้องมองภาพรวมของอุตสาหกรรมว่าดีหรือไม่ โตไหม ธุรกิจเอกชนมีการขยายตัวไหม ไตรมาสนี้ ทำได้ค่อนข้างดี กำไรพอๆ กับปีที่แล้ว ปันผลราวๆ 6% ราคาหุ้นก็อยู่ในโซนค่อนข้างถูก แต่ระยะยาว จะคงอัตรามาร์จิ้นได้หรือไม่ มองเป็นหุ้นปันผลก็ได้
A: หุ้นถังแก๊ส ตลาดอาจจะผิดหวังกับผลประกอบการ ไม่ควรดูรายไตรมาส ควรดูผลประกอบการเป็นรายปี / ผบห ค่อนข้างโอเค ตอนนี้ ทาง ผบห ก็เริ่มซื้อหุ้น ก็น่าเป็นสัญญาณที่ดี
A: หุ้นมีดบิน นลท ไม่รู้ว่า กำไรจะขึ้นหรือจะลง คาดการณ์ได้ยาก เข้าใจธุรกิจได้ยาก
A: หุ้นค้าปลีก ค่อนข้างโอเค กำไรค่อนข้างดี แต่ PE ค่อนข้างสูงนิด พอตลาดไม่ดี ราคาหุ้นก็มีโดนขายมาบ้าง ก็มีขยายสาขาบ้าง และไตรมาส 4 ก็เริ่มมีสินค้าใหม่ออกมา / ช่วงนี้ ที่มองกันว่าเศรษฐกิจไม่ดีนั้น ต่างกับปี 40 ปัจจุบันคนระดับรากหญ้าโดนกระทบ แต่คนทำงานประจำ/ธุรกิจ ไม่โดนกระทบ คนระดับรากหญ้าก็คงไม่ซื้อสินค้าจากเจ๊จู ดังนั้น ธุรกิจก็ไม่น่าโดนกระทบมากจากปัญหาเศรษฐกิจในปัจจุบัน
A: หุ้นโฆษณา PE 42x / หุ้นห้างฯ PE 26x - ปัจจุบัน หุ้นโฆษณาไม่มีการเติบโตอะไร (ที่ผ่านมามีการเทคกิจการจบไปแล้ว) ส่วน หุ้นห้างฯ มีการขยายมาก ทั้ง ห้างเปิดใหม่ / โรงแรม / ฯลฯ น่ามีการเติบโตมากกว่า รวมถึงการต่อสัญญาเช่าใหม่อีกด้วย (ในอนาคต สัญญาเช่าระยะยาวเดิม กำลังจะหมดอายุ พอต่ออายุ ก็น่าจะได้ปรับค่าเช่าเพิ่มด้วย)
A: หุ้นช้าง ไม่ได้ติดตาม มองว่า เป็นธุรกิจที่ลงทุนสูง แต่ได้ผลตอบแทนไม่มาก เพราะได้ค่าเช่าห้องไม่สูงมาก ถ้าราคา PE ต่ำกว่า 15x ก็น่าสนใจ
A: หุ้นไฟฟ้า งบที่ออกมาก็โอเค มองว่า ปีหน้า กำไรไม่น่าต่ำกว่า 5 พัน P/E อาจเหลือ 9x แต่ว่า ในระยะยาว ต้องระวังเรื่อง Adder ที่บางโรง อาจจะหมดอายุ
A: หุ้นเกี่ยวกับดับเพลิง –น่ามีพื้นฐานใช้ได้ ผลประกอบการ OK เพียงแต่ว่า อาจอยู่ช่วงที่งานกำลังเยอะพอดี อนาคตงานอาจหายไปก็ได้ (ไม่สามารถคาดการได้)
A: หุ้นหมูหยอง ผลประกอบการส่วนนึง ก็มีกำไร/ขาดทุนจากการปรับมูลค่าสินทรัพย์ชีวภาพด้วย (ก็คือ หมู โดยเทียบราคาตลาดนั่นเอง) บางธุรกิจก็ดี บางธุรกิจก็ไม่ดี ดู P/E 10x+ แต่งบไม่ค่อยสวยเท่าไร ธุรกิจอาหาร ไม่ค่อยได้กำไรเท่าไร
A: หุ้นดิสทริบิวเตอร์ ฐานใหญ่แล้ว การเติบโตอีก ก็ค่อนข้างยาก แต่ตลาดปรับ P/E ให้ค่อนข้างสูงในปีที่แล้ว พอปีนี้ไม่ค่อยเติบโต ก็โดนตลาดปรับ P/E ลดลงมา
A: หุ้นดีตามชื่อ กำไรไตรมาส ไม่ค่อยดีเท่าไร (มองระยะสั้น) เพราะมีต้นทุนการซื้อกิจการ/รวมกิจการ ราคาปัจจุบัน P/E ราวๆ 40x หากรวมการรวมกิจการ ก็น่าราวๆ 44x มีการเติบโตพอสมควรจาก (1) การเข้าไปซื้อกิจการอุปกรณ์ทำฟัน ซื้อ ณ P/E 10x (2) สร้างโรงพยาบาลแถวสุขุมวิท จะเสร็จในปีหน้า (Q2) ใช้ได้ เพราะอยู่แหล่งที่เหมาะสม น่ามีกำไรพอใช้ได้ และ (3) ความแน่นอนของการเข้าไปซื้อบริษัท LAB ของทันตกรรม / หากมองราคาที่ P/E ระดับนี้ ค่อนข้างแพงมากๆ แต่ถ้าดูที่ Market cap แล้ว ถือว่า น่าลุ้น
A: หุ้นชุดชั้นใน ไม่ได้ติดตาม ราคาปัจจุบัน P/E ราว 30x ค่อนข้างแพง / คุณภาพของกำไร หากเกิดจากยอดขาย ถือว่า ค่อนข้างดี แต่ถ้าเกิดจากการลดต้นทุน หรือ spread เพิ่มขึ้น ถือว่า คุณภาพของกำไรไม่ค่อยดีเท่าใดนัก
A: ธุรกิจนายหน้าขาย content ไม่น่าจะกำไรดีขนาดนั้น มองว่า ผบห เก่งด้าน PR อาจทำให้นักลงทุน Mislead / ยิ่ง PR มากเท่าไร ยิ่งทำให้มีค่าใช้จ่ายในการ PR มากขึ้นเท่านั้น / มองว่า ธุรกิจนี้ ไม่น่ามี Barrier เป็นเพียงแค่นายหน้า ถึงแม้ว่า ผบห บอกว่า มีทีมพากษ์ก็ตาม
A: หุ้นรับจ้างผลิตเครื่องสำอาง ไตรมาสล่าสุด กำไรค่อนข้างดีมาก แต่ว่า กำไรที่ดี อาจเป็นแค่ระยะสั้น เพราะธุรกิจ ธุรกิจไม่มี Barrier ต่อไป ก็จะมีคู่แข่งเข้ามาแข่งขัน แถมยังมีลูกค้าเพียงแค่รายเดียว ค่อนข้างเสี่ยง
A: หุ้นของขวัญ กำไรตกลงมานิดหน่อย ราคาหุ้นตอนนี้ P/E ราว 16x ก็ไม่ถูก ค่อนข้างตึงๆ ถึงราคาลงมาเยอะก็ตาม ให้ P/E สัก 10-11x
A: หุ้นสินเชื่อตัวหนึ่ง ราคาหุ้นลงมามาก อดีตเคยเทรดราคาสูง เพราะคาดหวังการเติบโต ระยะหลังการเติบโตน้อยลง เพราะมีการตั้งสำรองหนี้ฯ มากขึ้น / รายได้ลดลงด้วย ทำให้ราคาหุ้นลงมา ณ ระดับ P/E 11x ส่วน เงินปันผลใช้ได้ ค่อนข้างดี /ผบห ตั้งใจทำธุรกิจ เพียงแต่ภาวะยังไม่เอื้ออำนวย / มีระเบิดเวลาในอนาคต 4-5 ปี คือ การแปลง Warrant
A: หุ้นลูกน้ำผลไม้ กำไรไตรมาสล่าสุดลดลงพอสมควร เพราะเกิดจากรายการพิเศษ / มองว่า ส่วน supply ยางมะตอย ลดลง ทำให้ราคาขายน่าจะดีขึ้น แต่ก็มีผลกระทบจากน้ำมันที่นำเข้าจากเวนเนซูเอร่าที่ประเทศมีปัญหา รวมถึงไฟไหม้โรงกลั่นอีกด้วย ทำให้มีการกลั่นไม่เต็มที่
A: มองตลาดถึงปลายปีหน้า คิดว่า Trade War ไม่กังวล / ดอกเบี้ย ไม่กังวล
A: หุ้นแก๊ส กำไรค่อนข้างดี / กำไรรายไตรมาส ไม่ค่อยแน่นอน เพราะจะเปลี่ยนแปลงไปตามมีเทน โพเทน รวมถึงเป็นไปตามราคาน้ำมัน / ไตรมาส 4 อาจมี Stock Loss
A: หุ้นจัดงานฯ วันนี้ อาจเป็นหุ้นที่ปันผลมากที่สุดในตลาดหุ้นก็ได้ เพียงแต่ราคาหุ้นที่ผ่านมา อาจตึงๆ ไปแล้ว ข้อเสียของกิจการคือ การรับรู้รายได้เพียงแค่ 1 ไตรมาสใน 1 ปี ราว Q1/Q2 ส่วน Q3/Q4 ก็จะขาดทุน ก็คงต้องพยายามอุดรูรั่ว ใช้ทรัพยากรให้คุ้มค่า
A: หุ้นบริหารหนี้ตัวเก่า ฐานสูง โตยาก / หุ้นบริหารหนี้ตัวใหม่ ฐานต่ำ โอกาสโตมาก มีความสามารถในการซื้อหนี้ได้มากกว่า เพราะมี Equity มาก เพียงแต่ราคาหุ้น P/E ค่อนข้างสูง (สะท้อนตามการเติบโต)
จบสรุปเนื้อหาฯ ครับ (มีเนื้อหาที่ตกหล่นไปบ้าง บางเนื้อหาตั้งใจตัดไป แต่ก็เป็นส่วนน้อยครับ)
ปล. สรุปมีทติ้งรอบนี้ น่าเป็นครั้งที่ 10 ที่ผมได้สรุปเนื้อหาแชร์ให้ และขอเรียนว่า เป็นการโพสสรุปเนื้อหามีทติ้งครั้งสุดท้ายครับ มีทติ้งรอบต่อๆ ไป ก็จะไม่โพสแล้วครับ ดังนั้นผู้ที่สนใจและมีความตั้งใจแรงกล้า ก็ขอให้ท่านพยายามจองไปมีทติ้งกันด้วยครับ น่าจะได้เนื้อหาและบรรยากาศที่ดีกว่าการอ่านแบบแห้งๆ ครับ โชคดีในการลงทุนทุกท่านครับ (กำไรก็เป็นของท่าน ขาดทุนก็เป็นของท่าน / ข้อมูลที่สรุปมาให้ ไม่ได้มีส่วนใดๆ ในการชี้นำต่อการลงทุนของท่าน เพียงแค่เป็นแนวทาง/ความเห็น ส่วนการลงทุนเป็นเรื่องของแต่ละบุคคลและวิจารณญาณของแต่ละคนเท่านั้น)
####################################################
ความสำเร็จจากการลงทุน ไม่ได้เกิดจาก "การซื้อของดี" แต่มาจาก "การซื้อของได้ดี" ต่างหาก
ความสำเร็จจากการลงทุน ไม่ได้เกิดจาก "การซื้อของดี" แต่มาจาก "การซื้อของได้ดี" ต่างหาก
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3233
The Road Ahead by Aberdeen Standard
Adithep Vanabrikasha Chief Investment Officer
คุณ อดิเทพ บอกว่า
ตลาดหุ้นปีนี้ท้าทายมาก โดยเฉพาะตลาดเกิดใหม่
ทรัมป์ใช้นโยบาย Amarica First แต่ทำไม่ได้ง่ายนัก
ปีนี้ตลาดหุ้นไทยติดลบเล็กน้อย ดีกว่าเพื่อนบ้านเยอะ
หลักๆคือ Foreign Net sell แต่สถาบัน และ รายย่อยรับ
ต่างชาติขาย มาจากการขายเมืองไทยจากport Emerging market
ข่าวดี อาจกำลังเปลี่ยนแปลง ประธานFED บอกว่าดอกเบี้ยใกล้ถึงจุดที่พอใจแล้ว
ทำให้หุ้นUSขึ้น 600กว่าจุด ช่วงระยะสั้นจนถึงสิ้นปี สินทรัพย์เสี่ยงจะกลับมา
ในแง่valuation ไทยอยู่กลางๆ เพื่อนบ้านที่แพงกว่า คือประเทศที่มีGDP growthสูง
เช่น ประเทศอินเดีย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ ถ้าดู Div yield ก็สูง
ไทย มี Household debtสูง ถ้าขึ้นดอกเบี้ยเยอะคนที่กู้จะโดนกระทบมาก
Portfolio ของกองหุ้น
พึ่งซื้อ OSP PTT
ซื้อเพิ่ม Mega Hana LH
ขายออก BECworld
การทำกำไรบางส่วนใน อิออน , Hmpro , PTTEP, BDMS ,
Thai Reinsurance จริงๆธุรกิจประกันแบบnon life ไม่ค่อยดี แข่งขันกันสูง
สรุป การส่งออก ท่องเที่ยว ใช้จ่ายภาครัฐช่วยได้เยอะ
แต่การบริโภคในประเทศโดยเฉพาะในต่างจังหวัดไม่ค่อยดี
คนรายได้น้อยโดยเฉพาะภาคใต้ ราคายางไม่ค่อยดี ,ข้าวราคาไม่ค่อยดี
ทรัมป์ America first ทำเหมือน เดจาวู เข้ามาก็ลดภาษี
Corporate Tax เหลือ 20% ช่วยตลาดหุ้น ทำให้กำไรของบริษัทจดทะเบียนเพิ่มทันที
แต่ปีหน้าไม่มีแล้ว ต้องทำวิธีการอย่างอื่น
ส่วน EM ดีกว่าคนอื่น เช่น ประเทศไทยมีดีในเรื่อง
1. Current account ดุลบัญชีเดินสะพัดเป็นบวกสะสมมาตลอด
2. Inflation เงินเฟ้อต่ำ (ตอนนี้ประมาณ 1.23%)
3. หนี้สกุลต่างประเทศไม่เยอะ
4. เงินบาทค่อนข้างแข็ง มาจากเหตุผลข้อ1
5. ปีนี้ทางอเบอร์ดีนไม่มีการลงทุนในหุ้นนางฟ้าที่หล่นมาจากสวรรค์ (Fallen Angel)
ปีหน้า คาดว่าเศรษฐกิจไปต่อได้ 3.75-4.25%
ผมมองเลือกตั้งเป็นเรื่องบวก ไม่เชื่อว่าจะกลับมาเกิดประท้วงหรือไม่ยอมรับผลเลือกตั้ง
นโยบายการลงทุน ต้องต่อเนื่อง เหตุผลคือ ส่วนนึงของรัฐบาลจะไปเป็นวุฒิสภาชิก
เวลาจะเปลี่ยนแปลงกฎหมาย ต้องผ่านวุฒิสมาชิก
ส่วนการลงทุน ดอกเบี้ยคาดว่าขึ้นครั้งเดียวในปีนี้ช่วงเดือน ธค
1ม.ค.2019 ภาษีที่อเมริกาจะคิดกับจีนขึ้นอีก 10% ถ้าไม่ได้ตามที่เจรจาในสัปดาห์นี้
การลงทุนสาธารณูปโภคที่จะเกิดขึ้นในปีหน้าที่เป็นนโยบายทรัมป์
ราคาน้ำมันผันผวน ขึ้นและลงมามาก ต้องขอบคุณทรัมป์
เหตุผลที่ราคาน้ำมันขึ้น เพราะสหรัฐแซงชั่นอิหร่าน แต่ต่อมายอมให้ขายใน8 ประเทศ
ทำให้ราคาน้ำมันลงมา
ส่วนน้ำมันถ้าราคาขึ้นจะไม่ดีสำหรับ ไทย อินเดีย ที่นำเข้าน้ำมันสุทธิ
Brexit วุ่นวายมาก มีรายละเอียดเยอะ ไม่ดีสำหรับอังกฤษและEU
จีนและตลาดเกิดใหม่ ดัชนีหุ้นจีนลง20-30% ทำให้ EM market ลงด้วย
จีนไม่ค่อยโปร่งใส ในเรื่องตัวเลขและข้อมูล หนี้ในประเทศ และ property
แต่ประเทศเป็นเศรษฐกิจแบบปิด เราพยายามลงทุนอย่างระมัดระวัง
ปีนี้ ABLTF
ABSCRMF ติดลบเล็กน้อย
ปีนี้ลงทุน LTF ต่อด้วย ส่วนตัว ผมอยากให้ต่อโปรแกรม LTF
พยายามลงทุนในบริษัทที่หนี้ไม่มาก
ความเสี่ยง จำนวนหุ้นใน ltf 32 ตัว เบต้า 0.78 SD 3 Y, 5 Y ต่ำกว่าตลาด
Position เราสร้างจาก Bottom up
กสิกร น่าจะเป็น market leader ของ mobile banking
SCC การลงทุนจะเยอะในPitro Vietnam
LH ขายบ้าน คอนโด ตลาดกลาง บน ซึ่งกระทบน้อยสุดในเศรษฐกิจแบบนี้
มีการขายasset หนึ่งตัวทุกปี
BDMS จ่ายปันผลดี
Adithep Vanabrikasha Chief Investment Officer
คุณ อดิเทพ บอกว่า
ตลาดหุ้นปีนี้ท้าทายมาก โดยเฉพาะตลาดเกิดใหม่
ทรัมป์ใช้นโยบาย Amarica First แต่ทำไม่ได้ง่ายนัก
ปีนี้ตลาดหุ้นไทยติดลบเล็กน้อย ดีกว่าเพื่อนบ้านเยอะ
หลักๆคือ Foreign Net sell แต่สถาบัน และ รายย่อยรับ
ต่างชาติขาย มาจากการขายเมืองไทยจากport Emerging market
ข่าวดี อาจกำลังเปลี่ยนแปลง ประธานFED บอกว่าดอกเบี้ยใกล้ถึงจุดที่พอใจแล้ว
ทำให้หุ้นUSขึ้น 600กว่าจุด ช่วงระยะสั้นจนถึงสิ้นปี สินทรัพย์เสี่ยงจะกลับมา
ในแง่valuation ไทยอยู่กลางๆ เพื่อนบ้านที่แพงกว่า คือประเทศที่มีGDP growthสูง
เช่น ประเทศอินเดีย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ ถ้าดู Div yield ก็สูง
ไทย มี Household debtสูง ถ้าขึ้นดอกเบี้ยเยอะคนที่กู้จะโดนกระทบมาก
Portfolio ของกองหุ้น
พึ่งซื้อ OSP PTT
ซื้อเพิ่ม Mega Hana LH
ขายออก BECworld
การทำกำไรบางส่วนใน อิออน , Hmpro , PTTEP, BDMS ,
Thai Reinsurance จริงๆธุรกิจประกันแบบnon life ไม่ค่อยดี แข่งขันกันสูง
สรุป การส่งออก ท่องเที่ยว ใช้จ่ายภาครัฐช่วยได้เยอะ
แต่การบริโภคในประเทศโดยเฉพาะในต่างจังหวัดไม่ค่อยดี
คนรายได้น้อยโดยเฉพาะภาคใต้ ราคายางไม่ค่อยดี ,ข้าวราคาไม่ค่อยดี
ทรัมป์ America first ทำเหมือน เดจาวู เข้ามาก็ลดภาษี
Corporate Tax เหลือ 20% ช่วยตลาดหุ้น ทำให้กำไรของบริษัทจดทะเบียนเพิ่มทันที
แต่ปีหน้าไม่มีแล้ว ต้องทำวิธีการอย่างอื่น
ส่วน EM ดีกว่าคนอื่น เช่น ประเทศไทยมีดีในเรื่อง
1. Current account ดุลบัญชีเดินสะพัดเป็นบวกสะสมมาตลอด
2. Inflation เงินเฟ้อต่ำ (ตอนนี้ประมาณ 1.23%)
3. หนี้สกุลต่างประเทศไม่เยอะ
4. เงินบาทค่อนข้างแข็ง มาจากเหตุผลข้อ1
5. ปีนี้ทางอเบอร์ดีนไม่มีการลงทุนในหุ้นนางฟ้าที่หล่นมาจากสวรรค์ (Fallen Angel)
ปีหน้า คาดว่าเศรษฐกิจไปต่อได้ 3.75-4.25%
ผมมองเลือกตั้งเป็นเรื่องบวก ไม่เชื่อว่าจะกลับมาเกิดประท้วงหรือไม่ยอมรับผลเลือกตั้ง
นโยบายการลงทุน ต้องต่อเนื่อง เหตุผลคือ ส่วนนึงของรัฐบาลจะไปเป็นวุฒิสภาชิก
เวลาจะเปลี่ยนแปลงกฎหมาย ต้องผ่านวุฒิสมาชิก
ส่วนการลงทุน ดอกเบี้ยคาดว่าขึ้นครั้งเดียวในปีนี้ช่วงเดือน ธค
1ม.ค.2019 ภาษีที่อเมริกาจะคิดกับจีนขึ้นอีก 10% ถ้าไม่ได้ตามที่เจรจาในสัปดาห์นี้
การลงทุนสาธารณูปโภคที่จะเกิดขึ้นในปีหน้าที่เป็นนโยบายทรัมป์
ราคาน้ำมันผันผวน ขึ้นและลงมามาก ต้องขอบคุณทรัมป์
เหตุผลที่ราคาน้ำมันขึ้น เพราะสหรัฐแซงชั่นอิหร่าน แต่ต่อมายอมให้ขายใน8 ประเทศ
ทำให้ราคาน้ำมันลงมา
ส่วนน้ำมันถ้าราคาขึ้นจะไม่ดีสำหรับ ไทย อินเดีย ที่นำเข้าน้ำมันสุทธิ
Brexit วุ่นวายมาก มีรายละเอียดเยอะ ไม่ดีสำหรับอังกฤษและEU
จีนและตลาดเกิดใหม่ ดัชนีหุ้นจีนลง20-30% ทำให้ EM market ลงด้วย
จีนไม่ค่อยโปร่งใส ในเรื่องตัวเลขและข้อมูล หนี้ในประเทศ และ property
แต่ประเทศเป็นเศรษฐกิจแบบปิด เราพยายามลงทุนอย่างระมัดระวัง
ปีนี้ ABLTF
ABSCRMF ติดลบเล็กน้อย
ปีนี้ลงทุน LTF ต่อด้วย ส่วนตัว ผมอยากให้ต่อโปรแกรม LTF
พยายามลงทุนในบริษัทที่หนี้ไม่มาก
ความเสี่ยง จำนวนหุ้นใน ltf 32 ตัว เบต้า 0.78 SD 3 Y, 5 Y ต่ำกว่าตลาด
Position เราสร้างจาก Bottom up
กสิกร น่าจะเป็น market leader ของ mobile banking
SCC การลงทุนจะเยอะในPitro Vietnam
LH ขายบ้าน คอนโด ตลาดกลาง บน ซึ่งกระทบน้อยสุดในเศรษฐกิจแบบนี้
มีการขายasset หนึ่งตัวทุกปี
BDMS จ่ายปันผลดี
-
- Verified User
- โพสต์: 4241
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3234
"งาน ENGINEERING DINNER TALK"
“ทิศทางเศรษฐกิจไทย ในปีเลือกตั้ง 2562”
เริ่มถ่ายทอดสดเวลา 19:15 น. (วันที่ 11/12/2561)
............................................................
- นายกานต์ ตระกูลฮุน ประธานคณะกรรมการที่ปรึกษา บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย
- ดร. ก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บมจ. หลักทรัพย์ เอเชีย พลัส
- นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
- นายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.หลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย)
- นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย บมจ.ปตท.
- นายอัศวิน เตชะเจริญวิกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.เบอร์ลี่ยุคเกอร์
https://www.facebook.com/MoneyTalkTV/vi ... 718432487/
“ทิศทางเศรษฐกิจไทย ในปีเลือกตั้ง 2562”
เริ่มถ่ายทอดสดเวลา 19:15 น. (วันที่ 11/12/2561)
............................................................
- นายกานต์ ตระกูลฮุน ประธานคณะกรรมการที่ปรึกษา บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย
- ดร. ก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บมจ. หลักทรัพย์ เอเชีย พลัส
- นางสาวอัจฉรินทร์ พัฒนพันธ์ชัย ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
- นายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.หลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย)
- นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการกลุ่มธุรกิจปิโตรเลียมขั้นปลาย บมจ.ปตท.
- นายอัศวิน เตชะเจริญวิกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.เบอร์ลี่ยุคเกอร์
https://www.facebook.com/MoneyTalkTV/vi ... 718432487/
// Stay Hungry, Stay Foolish.
// Stay Calm, Stay Invest.
// Price is what you pay, Value is what you get.
// Stay Calm, Stay Invest.
// Price is what you pay, Value is what you get.
- AnieLee
- Verified User
- โพสต์: 1436
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3235
ณ วันที่ผมมองความเสี่ยงจากการลงทุน set index ราวๆ 1680 จุด แต่วันนี้ set index ลงมาอีก 100 จุดแล้ว แถมราคาหุ้นหลายๆ ตัว ก็ลงมาอีกหลายสิบเปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว ลงมาแรงๆ แบบนี้ละ มันทำให้มีอัพไซด์มากขึ้น ในขณะที่ความเสี่ยงลดน้อยลง จะสื่อว่า รีบทำการบ้าน หามูลค่าหุ้นกันให้มากๆ โอกาสมาแล้ว แต่อย่าคิดว่า ราคาหุ้นจะวิ่งพรวดๆ คงต้องถือลงทุนระยะหนึ่ง เพราะภาพรวมเศรษฐกิจอาจไม่ดี ผมพิจารณาจากงบ q3 ที่ล้วนมีผลประกอบการที่แย่ ไม่รู้ว่า มันแค่แย่ชั่วคราวหรือไม่ สรุปง่ายๆ ก็ทำการบ้านกันเองครับ แค่มาทักว่า ตลาดลงมาเยอะดี แต่สุดท้าย เราไม่มีทางรู้ว่า ลงสุดแล้วยัง ยังไงก็ต้องว่าแผนการลงทุนกันดีๆ ต่อไปครับดำ เขียน:คิดดูมันก็แปลกดีนะครับ หลายเดือนก่อนหน้านี้ เหมือนจะหาหุ้นกันง่าย ความเสี่ยงก็ไม่ค่อยมีใครสนใจ ทั้งที่หุ้นหลายตัวราคาแพงกว่านี้มาก
แต่พอตลาดลดราคาให้ตั้งหลายสิบ % กลายเป็นความมั่นใจและความกระตือรือร้นหายไปเยอะ อัพไซด์เริ่มไม่มีใครพูดถึง หันมามองความเสี่ยงกัน
ผมว่ามันดูกลับหัวกลับหางกับหลักการวีไอยังไงไม่รู้สิ หรือเพื่อนๆ คิดว่าไงกันครับ ?
####################################################
ความสำเร็จจากการลงทุน ไม่ได้เกิดจาก "การซื้อของดี" แต่มาจาก "การซื้อของได้ดี" ต่างหาก
ความสำเร็จจากการลงทุน ไม่ได้เกิดจาก "การซื้อของดี" แต่มาจาก "การซื้อของได้ดี" ต่างหาก
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3236
4 กูรูวงการหุ้นไทย เปิดเผยในงาน สัมมนา"โค้งสุดท้ายหุ้นไทย ฟุบ หรือ ไปต่อ" ในช่วงเบญจภาคี 5 หุ้นเด็ดโค้งสุดท้ายรับไม้ต่อปี 2562
นายเผดิมภพ สงเคราะห์ กรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการเงินทุนบุคคล บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า นักลงทุนตอนนี้ดูจะหวังว่าอาจมีมาตรการที่ออกมาทำให้ตลาดหุ้นดีขึ้น หรือ เลือกตั้งจะทำให้หุ้นขึ้นแต่จังหวะtimingของโลกตอนนี้ ไม่ใช่แบบนี้
ราคาน้ำมันลดลงจาก 80 เหลือ 54 $ต่อบาร์เรล หลายคนคิดว่าเป็นประเด็นบวก แต่ผมว่าไม่ใช่ประเด็นบวกค่าน้ำมันปีหน้าเฉลี่ย 67$ หรือ เห็นเงินเฟ้อลดลง ก็คิดว่าดอกเบี้ยจะขึ้นช้าลง
FED คาดการณ์ว่าเงินเฟ้อปีนี้และปีหน้า 1.9%ส่วนปี 2020 2.1% และเริ่มลดลง ส่วนการขึ้นดอกเบี้ยของFED
ปีหน้าจะเหลือ2ครั้งจากที่คาดการณ์ก่อนหน้า 3 ครั้ง FED มอบตัวเมื่อเห็นว่า เศรษฐกิจเริ่มชลอตัวลง
สิ่งที่กังวลคือ ทิศทางดอกเบี้ย โดยดอกเบี้ยระยะยาวจะขึ้นในอัตราที่ช้ากว่าดอกเบี้ยระยะสั้น แสดงว่า
ความต้องการใช้เงินเพิ่มขึ้น เงินเริ่มตึงตัว เกิดภาวะStagfation เป็นสถานการณ์ที่ซึมลง
ดัชนีหุ้นไทย พีคสุด 1850 ตอนช่วง กพ 18 ตอนนี้ยังไม่ต่ำสุด ดัชนีจะลงแบบSideway นักลงทุนต้องศึกษาหุ้นอย่างดี
เงินสดที่เก็บไว้ในกองทุนตราสารหนี้ หรือ เงินฝาก ต้องเริ่มมาสะสมหุ้นในช่วงจังหวะไม่ดี จะได้ราคาหุ้นที่ถูก
ช่วงเดือนมีนาคมปีหน้า ซึ่งครบกำหนดการผ่อนผันการขึ้นอัตราการเก็บภาษีของสหรัฐต่อจีน จะเป็นช่วงที่ตึงเครียดอีกช่วง
ตอนนี้ downside เปิด แต่ไม่เยอะ เวลาข่าวร้ายเยอะๆ แนะนำให้ซื้อตอนนั้น
กลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้
1. ลงทุนในระยะ 3 เดือน แนะนำให้ลงทุนในหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า โรงพยาบาล
Jasif สำหรับพักเงิน เพราะมีปันผล 4.7% แต่ให้ขายตอนประกาศจ่ายปันผล
2. ลงทุนระยะสั้น แนะ PTG ที่ราคา 10.25 บาท AAV ที่ราคาเป้าหมาย 5.10 บาท และ BBL ที่ 240 บาท
นายเผดิมภพ สงเคราะห์ กรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการเงินทุนบุคคล บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า นักลงทุนตอนนี้ดูจะหวังว่าอาจมีมาตรการที่ออกมาทำให้ตลาดหุ้นดีขึ้น หรือ เลือกตั้งจะทำให้หุ้นขึ้นแต่จังหวะtimingของโลกตอนนี้ ไม่ใช่แบบนี้
ราคาน้ำมันลดลงจาก 80 เหลือ 54 $ต่อบาร์เรล หลายคนคิดว่าเป็นประเด็นบวก แต่ผมว่าไม่ใช่ประเด็นบวกค่าน้ำมันปีหน้าเฉลี่ย 67$ หรือ เห็นเงินเฟ้อลดลง ก็คิดว่าดอกเบี้ยจะขึ้นช้าลง
FED คาดการณ์ว่าเงินเฟ้อปีนี้และปีหน้า 1.9%ส่วนปี 2020 2.1% และเริ่มลดลง ส่วนการขึ้นดอกเบี้ยของFED
ปีหน้าจะเหลือ2ครั้งจากที่คาดการณ์ก่อนหน้า 3 ครั้ง FED มอบตัวเมื่อเห็นว่า เศรษฐกิจเริ่มชลอตัวลง
สิ่งที่กังวลคือ ทิศทางดอกเบี้ย โดยดอกเบี้ยระยะยาวจะขึ้นในอัตราที่ช้ากว่าดอกเบี้ยระยะสั้น แสดงว่า
ความต้องการใช้เงินเพิ่มขึ้น เงินเริ่มตึงตัว เกิดภาวะStagfation เป็นสถานการณ์ที่ซึมลง
ดัชนีหุ้นไทย พีคสุด 1850 ตอนช่วง กพ 18 ตอนนี้ยังไม่ต่ำสุด ดัชนีจะลงแบบSideway นักลงทุนต้องศึกษาหุ้นอย่างดี
เงินสดที่เก็บไว้ในกองทุนตราสารหนี้ หรือ เงินฝาก ต้องเริ่มมาสะสมหุ้นในช่วงจังหวะไม่ดี จะได้ราคาหุ้นที่ถูก
ช่วงเดือนมีนาคมปีหน้า ซึ่งครบกำหนดการผ่อนผันการขึ้นอัตราการเก็บภาษีของสหรัฐต่อจีน จะเป็นช่วงที่ตึงเครียดอีกช่วง
ตอนนี้ downside เปิด แต่ไม่เยอะ เวลาข่าวร้ายเยอะๆ แนะนำให้ซื้อตอนนั้น
กลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้
1. ลงทุนในระยะ 3 เดือน แนะนำให้ลงทุนในหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า โรงพยาบาล
Jasif สำหรับพักเงิน เพราะมีปันผล 4.7% แต่ให้ขายตอนประกาศจ่ายปันผล
2. ลงทุนระยะสั้น แนะ PTG ที่ราคา 10.25 บาท AAV ที่ราคาเป้าหมาย 5.10 บาท และ BBL ที่ 240 บาท
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3237
4 กูรูวงการหุ้นไทย เปิดเผยในงาน สัมมนา"โค้งสุดท้ายหุ้นไทย ฟุบ หรือ ไปต่อ" ในช่วงเบญจภาคี 5 หุ้นเด็ด
โค้งสุดท้ายรับไม้ต่อปี 2562
นายปริญญ์ พานิชภักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ซีแอลเอสเอ (ประเทศไทย) กล่าวว่า การลงทุนในระยะสั้นยากมาก เม็ดเงินFundFlow ไม่เอื้อต่อการทำกำไรระยะสั้น แต่ปัจจัยในประเทศเอื้อลงทุน ถึงไม่มีเลือกตั้ง หุ้นก็ขึ้นได้
ความน่ากลัวในเรื่องCredit spread บริษัทในUS มีต้นทุนการกู้ยืมเงิน เริ่มกังวลว่าบริษัทจะคืนหนี้ หรือ จ่ายดอกเบี้ยได้เต็มที่หรือเปล่า เราถูกเตือนมาตลอด ปีหน้าจะครบ11ปีหลังเกิดวิกฤตแฮมเบอเกอร์
ปีหน้านักวิเคราะห์จะบอกว่าเป็นตลาดหมี
ข้อดี คือ อาจมีการพลิกล๊อค ทรัมป์อาจโดนปลด
FEDไม่ได้พูดBalance sheet ลดการลงทุนลง (ซึ่งจะทำให้สภาพคล่องตึงตัวขึ้น)
ปัจจัยระยะสั้น การเมืองโลกเป็นอย่างไร ถ้าตกลงกับจีนได้มาก , ปานกลาง หรือ ตกลงกันได้น้อยมาก ก็มีผลต่อเศรษฐกิจ
ส่วนเรื่องการจับตัวCFO ของหัวเหว่ย ก็ไม่มีผลต่อการเจรจาการค้า แต่อาจมีการตอบโต้จับเจ้าหน้าที่ของแคนาดา
ความผันผวนของราคาน้ำมันจะกลับมา ซึ่งมีโอกาสจะเห็นราคาน้ำมันที่ 80$ต่อบาร์เรล
ปีนี้ยังไม่ได้ซื้อLTFเลย ซึ่งปกติจะซื้อตอนสิ้นปี มองการเลือกตั้งตอนนี้ ปัจจัยในประเทศจะช่วย
ช่วงฮันนีมูลจะหมดหลังหย่อนบัตรเลือกตั้ง หลังเลือกตั้ง ต้องดูว่านโยบายรัฐบาลจะขับเคลื่อนได้จริงหรือไม่
แต่ตอนนี้ต่างชาติกลัวปัจจัยภายนอกประเทศมากกว่า
ต้นปีหน้ามองว่า จะเห็นตลาดหมีมากกว่าตลาดกระทิง เตรียมเงินสดไว้ให้เยอะ มองดัชนีหุ้นไทยในปีหน้าคาดว่าจะอยู่ที่ 1,850 จุด โดยดัชนีหุ้นในช่วงสิ้นปีน่าจะเกิน 1,600จุด
ปัจจัยความเสี่ยงมีอยู่จริง ถ้าทรัมป์สภาล่างสามารถเอาทรัมป์ออกได้ มีส่วนช่วยต่อตลาดหุ้น
จีนและUSทะเลาะกัน ไทยได้ประโยชน์ ตอนนี้บริษัทที่ลงทุนในจีนพยายามย้ายออกไปเวียดนาม อินโดนีเซีย และ ไทย
จีนเป็นฐานdistribution คุณจรีพรจากWHAเห็นtrendว่า distribution จะย้ายมาอยู่ที่อาเซียนมากขึ้นเราต้องเก็บเงินสดเพื่อซื้อตอนหุ้นตก
โดยหุ้นที่น่าสนใจในการลงทุน
เช่น1. WHA ปีหน้าได้อานิสงค์เต็มๆจาก บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านE-commerceจากจีนย้ายมาไทย รวมถึงซัมซุงด้วย
ซึ่งจะพาห่วงโซ่ บริษัทลูก และ Global supply chainมาด้วย และราคาจะถูกกว่าAmata การเช่าหรือซื้อโรงงาน
เป็นจุดเด่นของWHA ราคาเป้าหมายที่ 5.5 บาท ,
2.หลายสำนักเริ่มdowngrade บริษัทน้ำมัน จากราคาน้ำมันตกต่ำ แต่ผมมองว่าใกล้ต่ำสุดแล้ว การเติบโตของEmerging market ยังมีกำลังซื้อ และ supplyน้ำมันยังไม่เพิ่มมาก คนกลัวPTTEP ที่เสนอราคาขายต่ำมากในการประมูลที่ผ่านมาแต่รู้ไหมว่าVolumnเพิ่ม50% ซึ่งส่งผลต่อPTTดีขึ้น เพราะต้นทุนต่ำลงแต่ราคาขายแก๊สเท่าเดิม
ราคาเป้าหมายที่ 167 บาท ,
3.BEC ดูน่าสนใจเพราะราคาค่อนข้างต่ำ content is the king ถ้าใครกล้า ราคาเป้าหมายที่ 7-8 บาท
4.ส่วนการท่องเที่ยว ในช่วงธค ,มีการ offer visa on arrival 22 ประเทศ ไม่ต้องเสียค่าVisa ทำให้volumnช่วง2สัปดาห์แรกของธค โต Y-Y ดูแล้วAOTน่าสนใจ การประมูลDuty free ถ้าเสร็จในกพ ปีหน้า จะมาชดเชยกับcapexที่รออยู่
5.ส่วนธนาคาร BBLดูน่าสนใจ
6.ส่วนการก่อสร้าง UNIQ ที่มีการประมูลล่าช้าในปีนี้ รัฐแก้ไขทัน ปีหน้า Q1,Q2น่าจะกลับมา
โค้งสุดท้ายรับไม้ต่อปี 2562
นายปริญญ์ พานิชภักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ซีแอลเอสเอ (ประเทศไทย) กล่าวว่า การลงทุนในระยะสั้นยากมาก เม็ดเงินFundFlow ไม่เอื้อต่อการทำกำไรระยะสั้น แต่ปัจจัยในประเทศเอื้อลงทุน ถึงไม่มีเลือกตั้ง หุ้นก็ขึ้นได้
ความน่ากลัวในเรื่องCredit spread บริษัทในUS มีต้นทุนการกู้ยืมเงิน เริ่มกังวลว่าบริษัทจะคืนหนี้ หรือ จ่ายดอกเบี้ยได้เต็มที่หรือเปล่า เราถูกเตือนมาตลอด ปีหน้าจะครบ11ปีหลังเกิดวิกฤตแฮมเบอเกอร์
ปีหน้านักวิเคราะห์จะบอกว่าเป็นตลาดหมี
ข้อดี คือ อาจมีการพลิกล๊อค ทรัมป์อาจโดนปลด
FEDไม่ได้พูดBalance sheet ลดการลงทุนลง (ซึ่งจะทำให้สภาพคล่องตึงตัวขึ้น)
ปัจจัยระยะสั้น การเมืองโลกเป็นอย่างไร ถ้าตกลงกับจีนได้มาก , ปานกลาง หรือ ตกลงกันได้น้อยมาก ก็มีผลต่อเศรษฐกิจ
ส่วนเรื่องการจับตัวCFO ของหัวเหว่ย ก็ไม่มีผลต่อการเจรจาการค้า แต่อาจมีการตอบโต้จับเจ้าหน้าที่ของแคนาดา
ความผันผวนของราคาน้ำมันจะกลับมา ซึ่งมีโอกาสจะเห็นราคาน้ำมันที่ 80$ต่อบาร์เรล
ปีนี้ยังไม่ได้ซื้อLTFเลย ซึ่งปกติจะซื้อตอนสิ้นปี มองการเลือกตั้งตอนนี้ ปัจจัยในประเทศจะช่วย
ช่วงฮันนีมูลจะหมดหลังหย่อนบัตรเลือกตั้ง หลังเลือกตั้ง ต้องดูว่านโยบายรัฐบาลจะขับเคลื่อนได้จริงหรือไม่
แต่ตอนนี้ต่างชาติกลัวปัจจัยภายนอกประเทศมากกว่า
ต้นปีหน้ามองว่า จะเห็นตลาดหมีมากกว่าตลาดกระทิง เตรียมเงินสดไว้ให้เยอะ มองดัชนีหุ้นไทยในปีหน้าคาดว่าจะอยู่ที่ 1,850 จุด โดยดัชนีหุ้นในช่วงสิ้นปีน่าจะเกิน 1,600จุด
ปัจจัยความเสี่ยงมีอยู่จริง ถ้าทรัมป์สภาล่างสามารถเอาทรัมป์ออกได้ มีส่วนช่วยต่อตลาดหุ้น
จีนและUSทะเลาะกัน ไทยได้ประโยชน์ ตอนนี้บริษัทที่ลงทุนในจีนพยายามย้ายออกไปเวียดนาม อินโดนีเซีย และ ไทย
จีนเป็นฐานdistribution คุณจรีพรจากWHAเห็นtrendว่า distribution จะย้ายมาอยู่ที่อาเซียนมากขึ้นเราต้องเก็บเงินสดเพื่อซื้อตอนหุ้นตก
โดยหุ้นที่น่าสนใจในการลงทุน
เช่น1. WHA ปีหน้าได้อานิสงค์เต็มๆจาก บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านE-commerceจากจีนย้ายมาไทย รวมถึงซัมซุงด้วย
ซึ่งจะพาห่วงโซ่ บริษัทลูก และ Global supply chainมาด้วย และราคาจะถูกกว่าAmata การเช่าหรือซื้อโรงงาน
เป็นจุดเด่นของWHA ราคาเป้าหมายที่ 5.5 บาท ,
2.หลายสำนักเริ่มdowngrade บริษัทน้ำมัน จากราคาน้ำมันตกต่ำ แต่ผมมองว่าใกล้ต่ำสุดแล้ว การเติบโตของEmerging market ยังมีกำลังซื้อ และ supplyน้ำมันยังไม่เพิ่มมาก คนกลัวPTTEP ที่เสนอราคาขายต่ำมากในการประมูลที่ผ่านมาแต่รู้ไหมว่าVolumnเพิ่ม50% ซึ่งส่งผลต่อPTTดีขึ้น เพราะต้นทุนต่ำลงแต่ราคาขายแก๊สเท่าเดิม
ราคาเป้าหมายที่ 167 บาท ,
3.BEC ดูน่าสนใจเพราะราคาค่อนข้างต่ำ content is the king ถ้าใครกล้า ราคาเป้าหมายที่ 7-8 บาท
4.ส่วนการท่องเที่ยว ในช่วงธค ,มีการ offer visa on arrival 22 ประเทศ ไม่ต้องเสียค่าVisa ทำให้volumnช่วง2สัปดาห์แรกของธค โต Y-Y ดูแล้วAOTน่าสนใจ การประมูลDuty free ถ้าเสร็จในกพ ปีหน้า จะมาชดเชยกับcapexที่รออยู่
5.ส่วนธนาคาร BBLดูน่าสนใจ
6.ส่วนการก่อสร้าง UNIQ ที่มีการประมูลล่าช้าในปีนี้ รัฐแก้ไขทัน ปีหน้า Q1,Q2น่าจะกลับมา
-
- Verified User
- โพสต์: 1803
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3240
"อย่าเชื่อในสิ่งที่เห็น"
ปรากฎการณ์ร่วงหนักของหุ้นกลุ่มนางฟ้า เห็นแล้วแทบไม่เชื่อสายตาว่าจะลงได้หนักถึงขนาดนี้ ถ้าย้อนไปราวหนึ่งปีก่อน ถ้าใครบอกว่ามันจะเกิดเรื่องแบบนี้ คงไม่มีใครเชื่อแน่ กลุ่มหุ้นเติบโตที่ครั้งนึงถึงกับจุดกระแสว่า ถ้ากิจการนั้นผู้บริหารมีคุณภาพ กำไรเติบโตอย่างมาก เราไม่ต้องไปสนเรื่องค่า PE หุ้นตัวแล้วตัวเล่าที่ถูกมองแบบนี้ ขึ้นไปอย่างร้อนแรง จนคนที่ไม่ได้จับกระแสต้องมองตาปริบ ๆ นลท.บางคนถึงกับต้องฉีกตำราการลงทุนแบบเก่าทิ้ง เพื่อเกาะกระแสความรวย
PE ที่สูงหรือค่าพรีเมียม จริง ๆ แล้วมันเป็นเพราะกิจการมีคุณค่าเพียงพอที่จะให้มูลค่าขนาดนั้นหรือไม่ หรือจริง ๆ แล้ว มันเป็นแค่ภาพลวงตา จากการ "เล่นกันเอง" ของนลท. ที่มีความเชื่อ บวกกับการมีบิ๊กเนมเข้าถือ ????
เรื่องนี้ทำให้นึกไปถึงเรื่องราวในวอลล์สตรีทในยุคของหุ้น Nifty Fifty ที่สุดท้ายก็มีจุดจบคล้าย ๆ กัน หุ้นที่เชื่อว่า ซื้อแล้วมันต้องขึ้นไปอีก หุ้นที่ไม่มีวันลง
ตลาดหุ้นเป็นสิ่งที่แปลก บางครั้งกระแสบางอย่างสามารถทำให้คนเชื่อพร้อม ๆ กัน ราคาหุ้นขึ้นไปสูงลิ่ว ทั้ง ๆ ที่เท็จจริงแล้ว มันเป็นแบบนั้นจริงหรือเปล่าก็ยังไม่รู้ บางครั้งกระแสเกิดขึ้น ถ้าเราแยกแยะมันก็อาจจะทำได้เรารวยได้ แต่ถ้าเราใช้อารมณ์ร่วมไปกับมัน สุดท้ายก็อาจจะจบไม่สวย
ลองย้อนดูกระแสที่ผ่าน ๆ มากัน
- AEC กระแสจุดติด จะไม่มีคำว่าพรมแดนของการค้าขาย ประชากรจะไม่ได้มีแค่ประเทศไทยแค่ 70 ล้านคนอย่างเดียว แต่จะมีประชากรเพิ่มเป็นหลายร้อยล้านคน หุ้นที่มีข่าวจะไปลงทุนในประเทศใน AEC วิ่งขึ้นรับข่าว มองดู ณ ตอนนี้ มันเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น หุ้นที่มีข่าวไปต่างประเทศ หลายบ.เอาตัวไม่รอด หลายบ.พับโครงการ
- ทีวีดาวเทียม ทีวีดิจิตัล กระแสเริ่มจุดติดตั้งแต่เมื่อครั้งทีวีดาวเทียม หุ้นบางตัววิ่งขึ้นไปแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน หุ้นบางตัวโดนจุดพลุจากบิ๊กเนม กระแสทีวีดาวเทียมที่ดูใช้ต้นทุนไม่สูงนัก หลังจากกระแสจบไม่นานนัก ก็ต่อด้วยทีวีดิจิตัล กับเรื่องราวแบบเดิม ๆ บทสรุป เหมือนทุกขลาภ หุ้นส่วนใหญ่ที่ได้ใบอนุญาต จบด้วยผลการดำเนินงานที่แย่ลงจนถึงขั้นขาดทุน
- พลังงานทดแทน กระแสการให้ใบอนุญาตพลังงานทดแทนชนิดต่าง ๆ บ.ต่าง ๆ ที่ทำพลังงานอยู่เดิมและที่ทำธุรกิจอื่น พยายามเข้ามาขอใบอนุญาตหรือแม้แต่แค่มีข่าวว่าจะทำ หุ้นบ.เหล่านั้นวิ่งรับข่าว หุ้นบางตัวแค่ลงข่าวในนสพ.หุ้น ก็วิ่งเป็นเท่า ๆ ใครไม่รีบซื้อ ก็พลาดโอกาส
กระแสเริ่มหายเมื่อค่าตอบแทนจากรัฐเริ่มลด ใบอนุญาตเริ่มจะออกน้อยลงหรือมีปัญหา จนถึงบัดนี้หลายบ.ที่มีข่าวก็ล้มพับโครงการไป ราคาหุ้นดิ่งหนัก
กระแสเหล่านี้ ถ้าใครเข้าไปร่วม ถ้ารู้ตัวและออกมาก่อนก็มีโอกาสรวยจริง แต่ถ้าใครเข้าไปทีหลังก็มีโอกาสจ่ายรอบวง
บางครั้งราคาหุ้นที่วิ่งขึ้นกับเหตุผลของมัน อาจจะไม่ใช่เรื่องเดียวกัน ราคาหุ้นที่วิ่งขึ้นไปอาจจะเกิดจากการคาดหวัง "มโนหมู่" หรือรายย่อยเล่นกันเอง โดยที่ตัวธุรกิจอาจจะยังไม่ได้รับผลบวกอะไรจากกระแสนั้น ๆ เลย
ถ้าเราไม่รู้จักแยกแยะ เหตุและผล ข้อเท็จจริง ความเป็นไปได้ บางทีถือหุ้นได้กำไรเคลิ้ม ๆ อาจจะตื่นขึ้นมาเจอฝันร้ายก็ได้ครับ
ปรากฎการณ์ร่วงหนักของหุ้นกลุ่มนางฟ้า เห็นแล้วแทบไม่เชื่อสายตาว่าจะลงได้หนักถึงขนาดนี้ ถ้าย้อนไปราวหนึ่งปีก่อน ถ้าใครบอกว่ามันจะเกิดเรื่องแบบนี้ คงไม่มีใครเชื่อแน่ กลุ่มหุ้นเติบโตที่ครั้งนึงถึงกับจุดกระแสว่า ถ้ากิจการนั้นผู้บริหารมีคุณภาพ กำไรเติบโตอย่างมาก เราไม่ต้องไปสนเรื่องค่า PE หุ้นตัวแล้วตัวเล่าที่ถูกมองแบบนี้ ขึ้นไปอย่างร้อนแรง จนคนที่ไม่ได้จับกระแสต้องมองตาปริบ ๆ นลท.บางคนถึงกับต้องฉีกตำราการลงทุนแบบเก่าทิ้ง เพื่อเกาะกระแสความรวย
PE ที่สูงหรือค่าพรีเมียม จริง ๆ แล้วมันเป็นเพราะกิจการมีคุณค่าเพียงพอที่จะให้มูลค่าขนาดนั้นหรือไม่ หรือจริง ๆ แล้ว มันเป็นแค่ภาพลวงตา จากการ "เล่นกันเอง" ของนลท. ที่มีความเชื่อ บวกกับการมีบิ๊กเนมเข้าถือ ????
เรื่องนี้ทำให้นึกไปถึงเรื่องราวในวอลล์สตรีทในยุคของหุ้น Nifty Fifty ที่สุดท้ายก็มีจุดจบคล้าย ๆ กัน หุ้นที่เชื่อว่า ซื้อแล้วมันต้องขึ้นไปอีก หุ้นที่ไม่มีวันลง
ตลาดหุ้นเป็นสิ่งที่แปลก บางครั้งกระแสบางอย่างสามารถทำให้คนเชื่อพร้อม ๆ กัน ราคาหุ้นขึ้นไปสูงลิ่ว ทั้ง ๆ ที่เท็จจริงแล้ว มันเป็นแบบนั้นจริงหรือเปล่าก็ยังไม่รู้ บางครั้งกระแสเกิดขึ้น ถ้าเราแยกแยะมันก็อาจจะทำได้เรารวยได้ แต่ถ้าเราใช้อารมณ์ร่วมไปกับมัน สุดท้ายก็อาจจะจบไม่สวย
ลองย้อนดูกระแสที่ผ่าน ๆ มากัน
- AEC กระแสจุดติด จะไม่มีคำว่าพรมแดนของการค้าขาย ประชากรจะไม่ได้มีแค่ประเทศไทยแค่ 70 ล้านคนอย่างเดียว แต่จะมีประชากรเพิ่มเป็นหลายร้อยล้านคน หุ้นที่มีข่าวจะไปลงทุนในประเทศใน AEC วิ่งขึ้นรับข่าว มองดู ณ ตอนนี้ มันเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น หุ้นที่มีข่าวไปต่างประเทศ หลายบ.เอาตัวไม่รอด หลายบ.พับโครงการ
- ทีวีดาวเทียม ทีวีดิจิตัล กระแสเริ่มจุดติดตั้งแต่เมื่อครั้งทีวีดาวเทียม หุ้นบางตัววิ่งขึ้นไปแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน หุ้นบางตัวโดนจุดพลุจากบิ๊กเนม กระแสทีวีดาวเทียมที่ดูใช้ต้นทุนไม่สูงนัก หลังจากกระแสจบไม่นานนัก ก็ต่อด้วยทีวีดิจิตัล กับเรื่องราวแบบเดิม ๆ บทสรุป เหมือนทุกขลาภ หุ้นส่วนใหญ่ที่ได้ใบอนุญาต จบด้วยผลการดำเนินงานที่แย่ลงจนถึงขั้นขาดทุน
- พลังงานทดแทน กระแสการให้ใบอนุญาตพลังงานทดแทนชนิดต่าง ๆ บ.ต่าง ๆ ที่ทำพลังงานอยู่เดิมและที่ทำธุรกิจอื่น พยายามเข้ามาขอใบอนุญาตหรือแม้แต่แค่มีข่าวว่าจะทำ หุ้นบ.เหล่านั้นวิ่งรับข่าว หุ้นบางตัวแค่ลงข่าวในนสพ.หุ้น ก็วิ่งเป็นเท่า ๆ ใครไม่รีบซื้อ ก็พลาดโอกาส
กระแสเริ่มหายเมื่อค่าตอบแทนจากรัฐเริ่มลด ใบอนุญาตเริ่มจะออกน้อยลงหรือมีปัญหา จนถึงบัดนี้หลายบ.ที่มีข่าวก็ล้มพับโครงการไป ราคาหุ้นดิ่งหนัก
กระแสเหล่านี้ ถ้าใครเข้าไปร่วม ถ้ารู้ตัวและออกมาก่อนก็มีโอกาสรวยจริง แต่ถ้าใครเข้าไปทีหลังก็มีโอกาสจ่ายรอบวง
บางครั้งราคาหุ้นที่วิ่งขึ้นกับเหตุผลของมัน อาจจะไม่ใช่เรื่องเดียวกัน ราคาหุ้นที่วิ่งขึ้นไปอาจจะเกิดจากการคาดหวัง "มโนหมู่" หรือรายย่อยเล่นกันเอง โดยที่ตัวธุรกิจอาจจะยังไม่ได้รับผลบวกอะไรจากกระแสนั้น ๆ เลย
ถ้าเราไม่รู้จักแยกแยะ เหตุและผล ข้อเท็จจริง ความเป็นไปได้ บางทีถือหุ้นได้กำไรเคลิ้ม ๆ อาจจะตื่นขึ้นมาเจอฝันร้ายก็ได้ครับ
"Become a risk taker, not a risk maker"