จอห์น เนฟฟ์ นักลงทุนชาวสวนมือฉมัง กับผลตอบแทน 13% ติดต่อกัน 31 ปี
ชาวสวน ไม่ได้หมายถึงคนที่ทำสวนทำไร่แต่อย่างใด แต่คำว่าชาวสวน ในแวดวงการลงทุนนั้นหมายถึงคนที่กล้าทำในสิ่งที่แตกต่างจากคนอื่นอย่างสร้างสรรค์ (เน้นคำว่าสร้างสรรค์) ยกตัวอย่างเช่น มีหุ้นตัวหนึ่งลงมาหนักมากๆ ทุกคนในตลาดต่างเทขายหุ้นตัวนี้ แต่เนื่องจากเราประเมินมูลค่าแล้วพบว่าหุ้นนี้ยังไปได้อีกไกล จึงเข้าซื้อสวน นี่คือนิยามของคำว่าชาวสวน
ซึ่งมันก็เป็นไปตามกฎของตลาดที่ว่าจะมีคนส่วนน้อยที่ทำกำไรได้ ดังนั้นชาวสวนจึงเป็นคนส่วนน้อยที่ทำเงินได้อย่างไม่ต้องสงสัย แต่สิ่งที่ยากก็คือ มีนักลงทุนไม่กี่คนเท่านั้นที่จะมีความคิดอย่างเป็นอิสระ ไม่ถูกครอบงำจากอิทธิพลทางความคิดของผู้อื่น
โดยเฉพาะคนระดับผู้จัดการกองทุนด้วยแล้ว ทุกการตัดสินใจของเขาย่อมมีคนเฝ้าติดตามทุกฝีเก้า และพร้อมที่จะถามคำถามตลอดเวลาว่าทำไมถึงลงทุนหุ้น XXX ด้วยเหตุนี้เอง เราจึงมักเห็นกองทุนจำนวนมากที่ถือหุ้นในลักษณะคล้ายกันไปหมด
แต่มีผู้จัดการกองทุนคนหนึ่งที่เขากล้าทำในสิ่งที่แตกต่าง แม้ผลตอบแทนจะอยู่ที่ราวๆ 13% ต่อปี อาจดูไม่เร้าใจเมื่อเทียบกับนักลงทุนคนอื่น แต่ด้วยระยะเวลาติดต่อกันถึง 3 ทศวรรษ เงินที่ลงทุนกับเขา 1 ล้านบาท จะเติบโตขึ้นเป็นเงินถึง 57 ล้านบาท
ชื่อของเขาคือ John Neff
ผู้จัดการกองทุน
วัยละอ่อน
John Neff (จอห์น เนฟฟ์) เกิดเมื่อปี 1931 มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับบัฟเฟตต์ เขาเองเกิดในครอบครัวธรรมดาๆ ผลการเรียนในโรงเรียนก็ไม่ได้ดีเด่นอะไร แต่สิ่งที่ทำให้เขาแตกต่างจากคนอื่นคือ เขามีความคิดที่แหวกจากขาวบ้านบ่อยๆ มักคิดไม่เหมือนที่คนส่วนใหญ่คิด กระทั่งแม่เขาเองยังบอกว่าเนฟฟ์ทำได้กระทั่งเถียงกับป้ายบอกทาง
แต่นี่คือคุณสมบัติที่ติดตัวมาแต่เกิด และกลายเป็นรากฐานของนักลงทุนแบบสวนกระแสในเวลาต่อมา เนฟฟ์เองเริ่มเข้าทำงานในสายการเงินตั้งแต่เรียนจบ ด้วยความสามารถของเขา จึงทำให้ในปี 1964 เนฟฟ์ก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการกองทุนรวม ของบริษัทชื่อ Windsor เมื่ออายุได้เพียง 33 ปี
กู้เรือที่กำลังจม
ในตอนนั้นผลงานของกองทุน Windsor อยู่ในขั้นที่วิกฤตพอควร ดัชนี S&P500 ให้ผลตอบแทนเป็นบวก แต่ผลการดำเนินงานของกองทุนกลับติดลบไป 10% สิ่งแรกที่เนฟฟ์เข้ามาทำก็คือขายหุ้นที่ไม่ดีทิ้งทั้งหมด เพราะตอนนั้นกองทุนได้เข้าซื้อหุ้นตามกระแสเป็นจำนวนมาก เห็นว่าอุตสาหกรรม bio-technology กำลังบูมก็เข้าซื้อ เห็นว่ากลุ่มน้ำมันกำลังมาก็เข้าซื้อ ทำให้ในพอร์ตโฟลิโอเต็มไปด้วยหุ้นราคาแพงเป็นจำนวนมาก
จากนั้น เขาเองก็เริ่มเข้าซื้อหุ้นตามวิธีการที่ตนถนัด ด้วยการซื้อหุ้นที่อัตราส่วนราคาต่อกำไร หรือ PE ratio ที่ต่ำมาก ต้องเป็นธุรกิจที่ดี และถือหุ้นน้อยตัวเท่าที่จะทำได้ ทำให้หุ้นส่วนใหญ่ที่เนฟฟ์เข้าซื้อ มักเป็นหุ้นที่ไม่มีใครสนใจ ชนิดที่ว่าพูดชื่อไปแล้วต้องมีคนบอกให้ขาย
ผลตอบแทนไม่ธรรมดา
ยกตัวอย่างเช่น ในปี 1984 เนฟฟ์ได้เข้าลงทุนซื้อหุ้นของ Ford Motors ที่ในช่วงเวลานั้นอุตสาหกรรมรถยนต์กำลังย่ำแย่ บทวิเคราะห์ต่างๆ ก็พากันเชียร์ให้ขาย ราคาหุ้นก็ตกต่ำจนเหลือค่า PE เพียงแค่ 2.5 เท่า แต่ด้วยสภาพธุรกิจของ Ford ที่ยังดี และมีการควบคุมต้นทุนทางธุรกิจที่ดีมาก หลังจากนั้นไม่นานนัก ราคาหุ้นของ Ford ก็ทะยานจาก 12 เหรียญ (ราคาต้นทุนที่เขาเข้าซื้อ) ไปสู่ 50 เหรียญ ในเวลาเพียงแค่ 3 ปี
ด้วยวิธีการสวนกระแสเช่นนี้ ทำให้ผลตอบแทนของ Windsor พลิกกลับมาแบบก้าวกระโดด เนฟฟ์บริหารกองทุนตั้งแต่ปี 1964 จนถึงปี 1995 ผลตอบแทนที่ทำได้นั้นอยู่ที่ราว 13% ต่อปี ในขณะที่ S&P500 ให้ผลตอบแทนอยู่ที่ 10% ต่อปี เพื่อให้เห็นภาพ หากเราลงทุนกับเนฟฟ์ด้วยเงิน 10,000 บาทในตอนแรก ผ่านมาอีก 31 ปี เงินก้อนนี้จะเติบโตขึ้นกลายเป็นเกือบๆ 570,000 บาท หรือเติบโตขึ้นราว 57 เท่า
กราฟผลตอบแทนของกองทุน Windsor เทียบกับดัชนี S&P500 เมื่อเริ่มต้นด้วยเงินลงทุน 10,000 บาทเท่ากัน จะเห็นว่าตอนท้ายสุด กองทุนของเนฟฟ์จะทำให้เงินโตขึ้น 57 เท่า ขณะที่ S&P500 ทำได้ 22 เท่า
ซึ่งมูลค่ากองทุนของ Windsor ก็เพิ่มสูงขึ้นจนกลายเป็นเงินกว่า 13,000 ล้านเหรียญ ก่อนที่เขาจะลาออกจากงานในช่วงเดือนตุลาคมปี 1995 เป็นการปิดฉากผู้จัดการกองทุนสวนกระแสอย่างสวยงาม
ต้องเป็นชาวสวนอย่างสร้างสรรค์
จากตัวอย่างที่เราเห็นนั้น จอห์น เนฟฟ์ เป็นนักลงทุนที่มีความคิดเป็นอิสระมากเมื่อเทียบกับนักลงทุนคนอื่นๆ เห็นได้จากการที่เขากล้าเข้าซื้อหุ้น Ford ในช่วงที่กิจการกำลังมีปัญหา (นี่เป็นเพียงหนึ่งในการลงทุนของเขา เดี๋ยวบทความตอนหน้าเราจะมาเจาะลึกการลงทุนของเขาแบบละเอียดกัน) จนได้รับผลตอบแทนอย่างคุ้มค่า
แต่คำว่าสวนกระแสจำเป็นต้องทำอย่างสร้างสรรค์ ในกรณีของ Ford รวมถึงหุ้นตัวอื่นๆ ที่เข้าไปลงทุน เนฟฟ์เองได้มีการสำรวจกิจการเป็นอย่างดี พูดคุยกับผู้บริหาร เยี่ยมชมบริษัท เจาะลึกทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ นั่นทำให้ข้อมูลที่เขามีนั้น สามารถนำมาวิเคราะห์ได้อย่างเป็นเหตุเป็นผลว่า ราคาหุ้นที่แท้จริงมันควรเป็นเท่าไหร่ และกล้าที่จะลงทุนอย่างสวนกระแส
ขณะที่นักลงทุนทั่วไป อาจมองแค่เพียงว่าตอนนี้ราคาหุ้นมี PE ที่ต่ำ หรืออัตราส่วนเงินปันผลตอบแทนที่สูง แต่ไม่ได้ทำการบ้านเพิ่มเติมว่าตัวกิจการยังดีอยู่หรือไม่ ศักยภาพทางธุรกิจเป็นอย่างไร จนสุดท้ายเมื่อผลประกอบการเฉลยออกมา ราคาหุ้นก็พร้อมที่จะลงไปต่อได้อีก เพราะฉะนั้น การลงทุนแบบสวนกระแสจึงมีความเสี่ยง ถ้าไม่ทำด้วยความระมัดระวัง
จอห์น เนฟฟ์ จึงเป็นอีกตัวอย่างของนักลงทุนที่มีความคิดแบบเป็นอิสระจากคนอื่นมากๆ จนสามารถสร้างผลตอบแทนที่เหนือชั้นได้ แต่อันที่จริงแล้ว ไม่ใช่แค่เฉพาะเขาคนเดียว นักลงทุนทุกคนที่ประสบความสำเร็จ ต่างก็ต้องมีความคิดที่สวนกระแส และเป็นอิสระจากคนอื่นทั้งนั้น
ถ้าทำตามคนอื่นทั้งหมด เราจะกลายเป็นคนส่วนใหญ่ของตลาด ซึ่งโชคร้ายที่คนส่วนใหญ่ของตลาดมักจะเป็นเหยื่อที่ต้องเสียเงินเสมอ
อยากลงทุนแบบสวนกระแส นี่คือบุคคลในตำนานอีกคนที่เราควรทำความรู้จักเอาไว้ เขาคือ John Neff
https://www.investing.in.th/content/174 ... B%E0%B8%B5