VI หาดใหญ่
- romee
- Verified User
- โพสต์: 1850
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3151
ไม่มีคนมาเล่นเกมกับน้อง nuthjira เลย ยังไงก็อย่าพึ่งน้อยใจ แล้วหนีไปก่อนละ มาโพสสร้างความสดใหม่ให้พี่ๆในห้องนี้กันต่อนะครับ
งบก็จะออกกันหมดแล้ว หลายตัวก็ดีใจหาย หลายตัวก็ใจจะขาด แต่อยากมาเม้าถึงข้อสังเกตุอย่างนึงครับ
1.หุ้นตัวไหน ผบห.ขึ้นปก FORBE THAILAND ทีไร นั่นคงเป็นสัญญาณขายแน่นอน
ทั้งหุ้นเครื่องสำอางของคุณหมอหนุ่มหนวดงาม....ล่าสุดก็หุ้นประกันภัยเจ้านึง ที่ราคาดิ่งทำ newlow แล้วงบก็ตามมาขยี้ซ้ำกันอีก
ส่วนหุ้นตัวอื่นๆ รอดูช่วงอาทิตย์หน้าดีกว่า อาจจะมีเหตุการณ์แดงเถือกจากงบที่ออกมาไม่โอเค...ทั้งหุ้นขนมหวานพันล้าน, เครื่องดื่มชูกำลัง, หุ้นขนมจีบซาลาเปา
2. เทรนด์หุ้นเติบโต แบบมีพัฒนาการ evolution ที่ไม่สนPE ของเวบหรือตลาดไทย อาจจะเปลี่ยนไปแล้วก็ได้นะครับ
2.1 จากเมื่อก่อนสร้างเซียน, ฐานะ, ความศรัทธาให้เหล่าสาวกกันรัวๆ ตอนนี้ตลาดอาจเล่นกันยากขึ้น ไม่ได้เอื้อกันแบบเดิม
2.2 อาการตาสว่างกันของเม่าไทย ว่าหลายstoryราคาหุ้นที่วิ่งๆขึ้นไป มันก็ไม่ใช่วิ่งเพราะงบอย่างเดียวหรอก มีทั้งเม็ดเงินนักลงทุน, กองทุน, เม็ดเงินเหล่าสาวกของเซียน, หรือเม็ดเงินลูกศิษย์ตามคอร์สออนไลน์, กลุ่มline, facebook ทำให้ราคาวิ่งกันไป
ก็น่าจะทำให้ระวังในการลงทุนหุ้น PEสูงกันมากขึ้น
ปล.1 ตอนนี้ผมขอ evoแบบในรูปละกันครับ ทั้งปลอดภัยและมีโอกาสเพิ่มรายได้มากขึ้น
งบก็จะออกกันหมดแล้ว หลายตัวก็ดีใจหาย หลายตัวก็ใจจะขาด แต่อยากมาเม้าถึงข้อสังเกตุอย่างนึงครับ
1.หุ้นตัวไหน ผบห.ขึ้นปก FORBE THAILAND ทีไร นั่นคงเป็นสัญญาณขายแน่นอน
ทั้งหุ้นเครื่องสำอางของคุณหมอหนุ่มหนวดงาม....ล่าสุดก็หุ้นประกันภัยเจ้านึง ที่ราคาดิ่งทำ newlow แล้วงบก็ตามมาขยี้ซ้ำกันอีก
ส่วนหุ้นตัวอื่นๆ รอดูช่วงอาทิตย์หน้าดีกว่า อาจจะมีเหตุการณ์แดงเถือกจากงบที่ออกมาไม่โอเค...ทั้งหุ้นขนมหวานพันล้าน, เครื่องดื่มชูกำลัง, หุ้นขนมจีบซาลาเปา
2. เทรนด์หุ้นเติบโต แบบมีพัฒนาการ evolution ที่ไม่สนPE ของเวบหรือตลาดไทย อาจจะเปลี่ยนไปแล้วก็ได้นะครับ
2.1 จากเมื่อก่อนสร้างเซียน, ฐานะ, ความศรัทธาให้เหล่าสาวกกันรัวๆ ตอนนี้ตลาดอาจเล่นกันยากขึ้น ไม่ได้เอื้อกันแบบเดิม
2.2 อาการตาสว่างกันของเม่าไทย ว่าหลายstoryราคาหุ้นที่วิ่งๆขึ้นไป มันก็ไม่ใช่วิ่งเพราะงบอย่างเดียวหรอก มีทั้งเม็ดเงินนักลงทุน, กองทุน, เม็ดเงินเหล่าสาวกของเซียน, หรือเม็ดเงินลูกศิษย์ตามคอร์สออนไลน์, กลุ่มline, facebook ทำให้ราคาวิ่งกันไป
ก็น่าจะทำให้ระวังในการลงทุนหุ้น PEสูงกันมากขึ้น
ปล.1 ตอนนี้ผมขอ evoแบบในรูปละกันครับ ทั้งปลอดภัยและมีโอกาสเพิ่มรายได้มากขึ้น
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
You only live once, but if you do it right, once is enough.
-
- Verified User
- โพสต์: 842
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3152
อันโพสต์ขอท่านnuthjiraนั้น ทำให้คิดอยู่นาน ว่าจะเลือกอันไหนดีหนอ(อัน กะ หนอ เนี่ยเอามาจากท่านmiracleที่เพิ่งมาเจิมห้องนี้คราแรก)
คิดอยู่นาน เลือกไม่ถูกเลยฮะ เพราะต้องกลับไปหาหลักสามเพิ่มของอ.นิเวศน์ คือรายได้เพิ่ม กำไรเพิ่ม ปันผลเพิ่ม
ข้อมูลที่ได้ก็ไม่มีสามอย่างนี้ แถมอนาคตของหุ้นอสังหาซึ่งเป็นวัฎจักร ก็ไม่ชัดเจนนัก ท่านromeeเคยงอกว่า ทุกเจ้าทุ่มหมดหน้าตักกันหมด ดูแล้วน่าซะพรึง..
มี้ตติ้งครานี้ ผมไม่ได้ไปอีกแล้ว เลยขออนุญาตเอาไอเดียเพื่อนอีกกลุ่ม (วีไอหาดใหญ่@กรุงเทพ) มาเล่าให้ฟังแลกเปลี่ยนกันนะฮะ
เชิญมาแจมกันได้ แต่ขอแบบโหดๆสับแหลกนะฮะ ไม่ต้องอวยโลกสวย ห้องนี้ต้องการความเห็นต่างฮะ
ภาพใหญ่
วิกฤติจะมีหรือไม่ มาเมื่อไร ไม่มีใครเดาได้ แต่ต้องมี1. ประมาท 2. ขาดสภาพคล่องรุนแรง
เมกายังไม่น่าพังตอนนี้ อาจอีกสักพัก เพราะยังใช้ดอลล่าร์สำรองและค้าขายกันเยอะมาก
จีนยังน่าสงสัย เวียดนามน่าหวาดเสียว
ไทยไม่น่าวิกฤติ เว้นลามมาจากที่อื่น เมกา เวียดนาม (จีน?)
ความผันผวนมาๆไปๆเป็นธรรมดา ไม่ต้องสนใจมาก
ดัชนีตลาดก็ไม่ค่อยลง เพราะเงินกองทุนหนุนเยอะ ไทยเป็นแหล่งพักเงินสดที่ดีเหมือนญี่ปุ่น
หุ้นหลายตัวไม่ไปตามดัชนีแล้ว มองตัวหุ้นไม่ต้องสนดัชนี โดยมีMOSลึกๆ น่าเป็นอีกทางเลือกนึง
บางท่านรู้สึกว่าคุณภาพหุ้นไทย อาจไม่มีrunwayยาวพอ จะซื้อตั้งแต่ช่วงตั้งไข่แล้วถือยาว
ก็อาจมองแค่สองปี เลือกหุ้นที่แย่ชั่วคราว และมีตัวเร่ง(4โต โตชัด โตชัวร์ โตเยอะ "โตนาน")
ระวังหุ้นก๊วนวีไอโลกสวยสายขาววัยใสๆ ดูทีวีบ่อยๆ ไม่เคยเจอสับพรามรึน้ำท่วม ไม่สนดาวน์ไซด์ ช่วยกันดันแพงเกิ๊น..
บางท่านก็ถือเงินสดรอ เพราะถ้าถือเป็นหุ้นปันผลดีดาวน์ไซด์ต่ำพวกโรงไฟฟ้าโบราณถูกๆรึกองทุนอสังหาเพราะกลัวเสียโอกาส
ก็อาจเสียโอกาสถ้าหุ้นร่วงแล้วหุ้นรึกองทุนอสังหา(ที่กองรุมซื้อตอนดอกเบี้ยต่ำมาก)ที่ถือแทนเงินสดร่วงตามด้วย
จนลังเลไม่กล้าสวิทช์หุ้น ต่อให้ซื้อตัวที่คิดว่าดาวน์ไซด์ต่ำกระจายหลายๆตัวแล้วก็ตาม
บางท่านเตือน pair trade (คือลงทุนหุ้นคล้ายๆกันสองตัวขายตัวขึ้นไปซื้อตัวลงสลับกันไปมา)ว่าทางทีมันไดเวอร์เจ๊งไปเลยก็มี คือตัวที่ขึ้นขายแล้วก็ขึ้นไปเรื่อย ไอ่ตัวที่ลงไปซื้อมาแล้วก็ลงไปเรื่อยอีกเหมือนกันเช่นแบงค์ม่วงกับแบงค์เขียวเป็นต้น
หุ้นน่าสนใจที่เล็งๆกัน(คนเสนอยังไม่ซื้อ คนลอกสอยก่อนเลยตามหลัก ซัดก่อน ค่อยซูมดูทีหลัง)มาวิจารณ์ข้อลบกันได้นะจ๊ะ คำนวนราคาซื้อขายกันตามใจชอบ ไม่ชอบมาแขวะขัดคอกันได้
หุ้นอีเลคเครื่องพิมพ์สามมิติ งบQ34น่าจะดีจากค่าเงิน ยอดขายเพิ่ม(มาร์จิ้นบางเฉียบ)
หุ้นบ.จัดการกองทุน อาจได้งานไทยอินฟราสตรัคเจอร์ กระทรวงคลังหุ้นใหญ่ หนุนโดยเจ้ามือใหญ่ที่ทุกคนเห็นชื่อแล้วส่ายหน้า(คงไม่รู้จักเลยส่ายหน้า) ราคานี้ต่ำดี ปันผลโอเค
หุ้นโรงหนัง น่าเล่นรอบช่วง25-35
หุ้นเมกะบางนา แข็ง แต่ไม่แรง
หุ้นชื่อไม่บวก ไม่ลบ ไม่คูณ แต่ชื่อ... ควบบ.ย่อยตัวเองเอากำไรเลย (เล่นงี้ก็ได้เหรอ)พีอี11ปันผล6%
หุ้นเข็มฮาร์ดดิส ลูกค้าย้ายฐานมาไทย sunsetแต่คงยังไม่ตายมั้ง(น่าจะเห็นฤทธิจ้าววันงบออกกันแล้ว)
หุ้นค้าปลีกอิเลคตัวรอง ถูกกว่าตัวที่เป็นลูกของTKS ระวังค่าเงินกับมาร์จิ้นต่ำมาก
หุ้นก่อสร้างชื่อฝรั่งชื่อคล้ายศาสนิกชนโปรแตสแตนท์ ราคาต่ำแล้วต่ำอีก ลอกหุ้นตามลุงเจ้าของหุ้นสารแหน่
เท่านี้ล่ะจ้ะ วันหลังค่อยเอาเลคเชอร์อ.ลูกอิสานเรื่องpersonal financeเวอร์ชั่นล่าสุดมาแชร์รับน้องเบบี้บูมเกษียณกันนะ(เคยลงไว้แล้วกระทู้นี้ ข่วงหน้าสิบยี่สิบกว่ามั้งฮะ)
วีไอโลกสวยวัยใส (ไสยศาสตร์ ไสหัวไป รึใสสิมาทิ่มกันก็ไม่รุ..) รายงาน
คิดอยู่นาน เลือกไม่ถูกเลยฮะ เพราะต้องกลับไปหาหลักสามเพิ่มของอ.นิเวศน์ คือรายได้เพิ่ม กำไรเพิ่ม ปันผลเพิ่ม
ข้อมูลที่ได้ก็ไม่มีสามอย่างนี้ แถมอนาคตของหุ้นอสังหาซึ่งเป็นวัฎจักร ก็ไม่ชัดเจนนัก ท่านromeeเคยงอกว่า ทุกเจ้าทุ่มหมดหน้าตักกันหมด ดูแล้วน่าซะพรึง..
มี้ตติ้งครานี้ ผมไม่ได้ไปอีกแล้ว เลยขออนุญาตเอาไอเดียเพื่อนอีกกลุ่ม (วีไอหาดใหญ่@กรุงเทพ) มาเล่าให้ฟังแลกเปลี่ยนกันนะฮะ
เชิญมาแจมกันได้ แต่ขอแบบโหดๆสับแหลกนะฮะ ไม่ต้องอวยโลกสวย ห้องนี้ต้องการความเห็นต่างฮะ
ภาพใหญ่
วิกฤติจะมีหรือไม่ มาเมื่อไร ไม่มีใครเดาได้ แต่ต้องมี1. ประมาท 2. ขาดสภาพคล่องรุนแรง
เมกายังไม่น่าพังตอนนี้ อาจอีกสักพัก เพราะยังใช้ดอลล่าร์สำรองและค้าขายกันเยอะมาก
จีนยังน่าสงสัย เวียดนามน่าหวาดเสียว
ไทยไม่น่าวิกฤติ เว้นลามมาจากที่อื่น เมกา เวียดนาม (จีน?)
ความผันผวนมาๆไปๆเป็นธรรมดา ไม่ต้องสนใจมาก
ดัชนีตลาดก็ไม่ค่อยลง เพราะเงินกองทุนหนุนเยอะ ไทยเป็นแหล่งพักเงินสดที่ดีเหมือนญี่ปุ่น
หุ้นหลายตัวไม่ไปตามดัชนีแล้ว มองตัวหุ้นไม่ต้องสนดัชนี โดยมีMOSลึกๆ น่าเป็นอีกทางเลือกนึง
บางท่านรู้สึกว่าคุณภาพหุ้นไทย อาจไม่มีrunwayยาวพอ จะซื้อตั้งแต่ช่วงตั้งไข่แล้วถือยาว
ก็อาจมองแค่สองปี เลือกหุ้นที่แย่ชั่วคราว และมีตัวเร่ง(4โต โตชัด โตชัวร์ โตเยอะ "โตนาน")
ระวังหุ้นก๊วนวีไอโลกสวยสายขาววัยใสๆ ดูทีวีบ่อยๆ ไม่เคยเจอสับพรามรึน้ำท่วม ไม่สนดาวน์ไซด์ ช่วยกันดันแพงเกิ๊น..
บางท่านก็ถือเงินสดรอ เพราะถ้าถือเป็นหุ้นปันผลดีดาวน์ไซด์ต่ำพวกโรงไฟฟ้าโบราณถูกๆรึกองทุนอสังหาเพราะกลัวเสียโอกาส
ก็อาจเสียโอกาสถ้าหุ้นร่วงแล้วหุ้นรึกองทุนอสังหา(ที่กองรุมซื้อตอนดอกเบี้ยต่ำมาก)ที่ถือแทนเงินสดร่วงตามด้วย
จนลังเลไม่กล้าสวิทช์หุ้น ต่อให้ซื้อตัวที่คิดว่าดาวน์ไซด์ต่ำกระจายหลายๆตัวแล้วก็ตาม
บางท่านเตือน pair trade (คือลงทุนหุ้นคล้ายๆกันสองตัวขายตัวขึ้นไปซื้อตัวลงสลับกันไปมา)ว่าทางทีมันไดเวอร์เจ๊งไปเลยก็มี คือตัวที่ขึ้นขายแล้วก็ขึ้นไปเรื่อย ไอ่ตัวที่ลงไปซื้อมาแล้วก็ลงไปเรื่อยอีกเหมือนกันเช่นแบงค์ม่วงกับแบงค์เขียวเป็นต้น
หุ้นน่าสนใจที่เล็งๆกัน(คนเสนอยังไม่ซื้อ คนลอกสอยก่อนเลยตามหลัก ซัดก่อน ค่อยซูมดูทีหลัง)มาวิจารณ์ข้อลบกันได้นะจ๊ะ คำนวนราคาซื้อขายกันตามใจชอบ ไม่ชอบมาแขวะขัดคอกันได้
หุ้นอีเลคเครื่องพิมพ์สามมิติ งบQ34น่าจะดีจากค่าเงิน ยอดขายเพิ่ม(มาร์จิ้นบางเฉียบ)
หุ้นบ.จัดการกองทุน อาจได้งานไทยอินฟราสตรัคเจอร์ กระทรวงคลังหุ้นใหญ่ หนุนโดยเจ้ามือใหญ่ที่ทุกคนเห็นชื่อแล้วส่ายหน้า(คงไม่รู้จักเลยส่ายหน้า) ราคานี้ต่ำดี ปันผลโอเค
หุ้นโรงหนัง น่าเล่นรอบช่วง25-35
หุ้นเมกะบางนา แข็ง แต่ไม่แรง
หุ้นชื่อไม่บวก ไม่ลบ ไม่คูณ แต่ชื่อ... ควบบ.ย่อยตัวเองเอากำไรเลย (เล่นงี้ก็ได้เหรอ)พีอี11ปันผล6%
หุ้นเข็มฮาร์ดดิส ลูกค้าย้ายฐานมาไทย sunsetแต่คงยังไม่ตายมั้ง(น่าจะเห็นฤทธิจ้าววันงบออกกันแล้ว)
หุ้นค้าปลีกอิเลคตัวรอง ถูกกว่าตัวที่เป็นลูกของTKS ระวังค่าเงินกับมาร์จิ้นต่ำมาก
หุ้นก่อสร้างชื่อฝรั่งชื่อคล้ายศาสนิกชนโปรแตสแตนท์ ราคาต่ำแล้วต่ำอีก ลอกหุ้นตามลุงเจ้าของหุ้นสารแหน่
เท่านี้ล่ะจ้ะ วันหลังค่อยเอาเลคเชอร์อ.ลูกอิสานเรื่องpersonal financeเวอร์ชั่นล่าสุดมาแชร์รับน้องเบบี้บูมเกษียณกันนะ(เคยลงไว้แล้วกระทู้นี้ ข่วงหน้าสิบยี่สิบกว่ามั้งฮะ)
วีไอโลกสวยวัยใส (ไสยศาสตร์ ไสหัวไป รึใสสิมาทิ่มกันก็ไม่รุ..) รายงาน
samatah
- AnieLee
- Verified User
- โพสต์: 1436
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3153
ขอบคุณครับพี่หมอหนึ่ง
เมื่อคืนนั่งดูคลอปของปรมาจารย์ประเมินมูลค่า น่าสนใจมาก เลยเอามาฝาก เผื่อท่านใดสนใจดูครับ
ที่จำได้ท่านปรมาจารย์บอกว่า ปัจจัยที่จะผลักดันมูลค่าหุ้นได้ คือ
1 สามารถหารายได้กระแสเงินสดจากการลงทุนของกิจการ
2 ตัวสร้างการเติบโตในอนาคต
3 ความเสี่ยง
4 เมื่อไรที่กิจการจะมั่นคง (เค้าใช้คำว่า mature)
นอกจากนี้ ท่านยังบอกอีกว่า งบที่ออกมาแล้ว มันจบไปแล้ว คือ ผลการดำเนินงานในอดีต
สิ่งสำคัญคือ มองอนาคตกิจการให้ออก ตามปัจจัยที่บอกข้างต้นครับ
ปล ราคาหุ้นหลายตัวก็โดน price in กับงบที่ออกมาแล้ว ทั้งงบดีและไม่ดีครับ
https://www.youtube.com/watch?v=Z5chrxMuBoo
เมื่อคืนนั่งดูคลอปของปรมาจารย์ประเมินมูลค่า น่าสนใจมาก เลยเอามาฝาก เผื่อท่านใดสนใจดูครับ
ที่จำได้ท่านปรมาจารย์บอกว่า ปัจจัยที่จะผลักดันมูลค่าหุ้นได้ คือ
1 สามารถหารายได้กระแสเงินสดจากการลงทุนของกิจการ
2 ตัวสร้างการเติบโตในอนาคต
3 ความเสี่ยง
4 เมื่อไรที่กิจการจะมั่นคง (เค้าใช้คำว่า mature)
นอกจากนี้ ท่านยังบอกอีกว่า งบที่ออกมาแล้ว มันจบไปแล้ว คือ ผลการดำเนินงานในอดีต
สิ่งสำคัญคือ มองอนาคตกิจการให้ออก ตามปัจจัยที่บอกข้างต้นครับ
ปล ราคาหุ้นหลายตัวก็โดน price in กับงบที่ออกมาแล้ว ทั้งงบดีและไม่ดีครับ
https://www.youtube.com/watch?v=Z5chrxMuBoo
####################################################
ความสำเร็จจากการลงทุน ไม่ได้เกิดจาก "การซื้อของดี" แต่มาจาก "การซื้อของได้ดี" ต่างหาก
ความสำเร็จจากการลงทุน ไม่ได้เกิดจาก "การซื้อของดี" แต่มาจาก "การซื้อของได้ดี" ต่างหาก
- AnieLee
- Verified User
- โพสต์: 1436
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3154
มีทติ้งวีไอภาคใต้ Q2/61 เพิ่งจบไปใหม่ๆ เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา คาดว่า คงมีหลายคน เฝ้ารออ่านสรุปอยู่ ใช่ไหมครับ 555 รอบนี้ หลังกลับมา ก็เป็นหวัดเลยครับ ก็คงต้องขอเวลาพักผ่อนนิดหน่อยครับ แล้วจะค่อยๆ ทยอยสรุปให้อ่านกันไปเรื่อยๆ ครับ
ก่อนที่จะได้อ่านสรุปมีทติ้งกัน ก็ฝากให้ดูคลิปของปรมาจารย์ประเมินมูลค่าหุ้นไปพลางๆ ก่อนนะครับ เกี่ยวกับการประเมินมูลค่าหุ้น คือ "การเปลี่ยนแปลง สตอรี่ ให้เป็น ตัวเลข" นั่นเอง
https://www.youtube.com/watch?v=MN1RU9i3ngg&t=1010s
[youtube]MN1RU9i3ngg&t=1010s[/youtube]
ก่อนที่จะได้อ่านสรุปมีทติ้งกัน ก็ฝากให้ดูคลิปของปรมาจารย์ประเมินมูลค่าหุ้นไปพลางๆ ก่อนนะครับ เกี่ยวกับการประเมินมูลค่าหุ้น คือ "การเปลี่ยนแปลง สตอรี่ ให้เป็น ตัวเลข" นั่นเอง
https://www.youtube.com/watch?v=MN1RU9i3ngg&t=1010s
[youtube]MN1RU9i3ngg&t=1010s[/youtube]
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
####################################################
ความสำเร็จจากการลงทุน ไม่ได้เกิดจาก "การซื้อของดี" แต่มาจาก "การซื้อของได้ดี" ต่างหาก
ความสำเร็จจากการลงทุน ไม่ได้เกิดจาก "การซื้อของดี" แต่มาจาก "การซื้อของได้ดี" ต่างหาก
- AnieLee
- Verified User
- โพสต์: 1436
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3155
แก้ไขการปะคลิป YouTube ใหม่ครับ
คลิปของปรมาจารย์ประเมินมูลค่าหุ้น เพื่อจะได้ศึกษาเป็นแนวทางในการแปลงสตอรี่ของธุรกิจให้เป็นตัวเลขนั่นเองครับ
https://www.youtube.com/watch?v=MN1RU9i3ngg&t=1010s
คลิปของปรมาจารย์ประเมินมูลค่าหุ้น เพื่อจะได้ศึกษาเป็นแนวทางในการแปลงสตอรี่ของธุรกิจให้เป็นตัวเลขนั่นเองครับ
https://www.youtube.com/watch?v=MN1RU9i3ngg&t=1010s
####################################################
ความสำเร็จจากการลงทุน ไม่ได้เกิดจาก "การซื้อของดี" แต่มาจาก "การซื้อของได้ดี" ต่างหาก
ความสำเร็จจากการลงทุน ไม่ได้เกิดจาก "การซื้อของดี" แต่มาจาก "การซื้อของได้ดี" ต่างหาก
- AnieLee
- Verified User
- โพสต์: 1436
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3157
มีทติ้งวีไอภาคใต้ Q2/2561 ณ โรงแรมไดมอนต์ หาดใหญ่ วันอาทิตย์ที่ 19 สิงหาคม 2561
*ขอบคุณคุณ ผักกาด ครับ
รอบนี้ บรรยากาศมีทติ้ง ค่อนข้างเงียบๆ เหงาๆ นิดนึง อาจเป็นเพราะภาวะตลาดที่ซบเซา รวมไปถึงอากาศที่มีเมฆฝนปกคลุมด้วยไหม แถมผลตอบแทนการลงทุนในพอร์ต แทบไม่อยากเปิดดูกันเลยทีเดียว แม้กระทั่งผมที่ไปมีทติ้งรอบนี้ ด้วยความรู้สึกที่ไม่เหมือนเดิม แต่สิ่งที่ยังเหมือนเดิมคือ การดูแลอย่างดีจากพี่เจี๊ยบ พี่หมอปุ๊ก และยังมีเพื่อนทีมหมอเชียร์-บอย-เล็กคุงอีกด้วย แถมมีโอกาสไปแชร์เรื่องการประเมินมูลค่าหุ้นให้เพื่อนๆ วีไอหาดใหญ่หลายๆ ท่านอีกด้วยครับ (ปล. หุ้นปั้มปีเตอร์ ออก OppDay วันนี้ ราคาหุ้นร่วงต่อ ทะลุต่ำกว่า 12 บาท และมาตีตื้นนิดๆ หลังปิดตลาดอีกด้วย ยิ่งเพิ่มผลตอบแทนการลงทุนให้ถดถอยลงไปกันอีกครับ)
เข้าเรื่องมีทติ้งกันครับ
เปิดมาก็คุยเรื่องภาวะตลาดฯ โดยเฉพาะเคสของหุ้นเติบโตฯ จากข้อมูลที่ทางต่างประเทศเคยมีวิจัยไว้ว่า สรุป สุดท้าย หุ้นมูลค่า จะชนะ หุ้นเติบโต แต่ทางเมืองไทย ระยะเวลายังไม่นาน แต่ปัจจุบันเริ่มเห็นแล้วว่า เราไม่สามารถไปซื้อหุ้น โดยไม่ดู P/E ทุกตัว
• กระจายความเสี่ยง ไม่ถือหุ้นตัวเดียว
• นักรบต้องมีบาดแผล ขาดทุนต้องมีบ้าง แต่อย่าให้ขาดทุนมีผลเสียหายต่อพอร์ตของเรา
ปีนี้ ตลาดฯ ค่อนข้างจะแย่ นลท ส่วนมากก็แย่ ก็เป็นธรรมดา ลงทุนก็ต้องมีสะดุดบ้าง ล้มบ้าง เป็นหลุมเป็นบ่อ ในระยะทางที่ยาวไกล นับเป็นเรื่องปกติ ก็อย่าท้อก่อน
หุ้นโกรทฯ ที่ตกสวรรค์ แบบ สวย งบที่ออกมา ไม่ได้แย่มากเท่าไร ราคาหุ้นก็เลยฟื้นตัว หากแย่ ราคาก็ร่วงอีก
แนวคิดวีไอ ให้มอง downside ก่อน อย่าไปมอง Upside มาก ตัวอย่างหุ้นโกรทฯ มีอัพไซด์มาก ดูจากเวลาที่ขึ้น แต่ถ้าไม่ใช่เวลาของมัน ตอน downside ราคาก็ร่วงลงมามากได้เช่นกัน แต่ถ้าไปซื้อหุ้นที่มี P/E ต่ำๆ 8-9 เท่า เวลาตลาดไม่ดี ก็ไม่ลง หรือลง 30% เป็นต้น
การลงทุนในระยะยาว สุดท้ายให้ผลตอบแทนเป็นบวก เพราะบริษัทฯ ในตลาด ก็มีกำไรเพิ่มทุกปี แต่อย่างไรก็ตาม ก็ยังมี นลท ที่สามารถขาดทุนได้ หากลงทุนในระยะยาวแล้ว ยังขาดทุน อาจมีการลงทุนอะไรที่ผิดๆ เช่น ซื้อหุ้นปั่น หรือซื้อหุ้นโกรทฯ ที่ราคาแพง เป็นต้น
ในการลงทุน ไม่ควรใช้มาร์จิ้น เวลาผิดพลาด จะขาดทุนสาหัสมาก
เวลาตลาด Panic ให้คำนึงถึงพื้นฐานหุ้น และถ้ามีปันผล ก็ถือรอได้
แนวคิดการลงทุนในปัจจุบัน ที่มี Robot Trade กับการลงทุนแนววีไอ – ระบบเทรดของ Robot Trade ที่บอกกันว่า ทำกำไรได้ทั้งขาขึ้นและขาลง ถ้าทำได้แบบนั้นจริงๆ กองทุนที่ใช้ ก็รวยล้นฟ้ามากเลย หากใช้ได้ผลจริง ต้องมีผลงานออกมา แต่วันนี้ ยังไม่มีผลงานเป็นที่ประจักษ์เลย ในอดีต ก็มีกองทุนที่ใช้ Robot Trade ก็ไม่ได้มีผลงานชัดเจน / กรณีที่ Robot Trade ทำให้มีความผันผวนในตลาดสูง ก็อาจเป็นโอกาสของเราก็ได้ ตอนที่ราคาผิดพลาด หรือหากว่า กองทุนที่ใช้ระบบ Robot Trade ทำผลงานได้ดี เราก็ไปลงทุนกับเค้าก็ได้เช่นกัน / อย่างไรก็ตาม ระบบ Robot Trade พวกนี้ ทำงานได้อย่างรวดเร็วมาก และถ้าทำแบบไล่ราคาขึ้นไปหลายช่อง แล้วตั้งขายเลย ก็น่ากลัว (ไม่รู้ว่า ทำแบบนี้ได้หรือไม่) สุดท้าย อย่าเพิ่งไปสนใจกับพวกระบบนี้เลย น่ายังอีกไกล
Block Trade มีผู้ร่วมมีทติ้งแชร์ข้อมูลว่า วางเงินเพียง 10% ก็สามารถเทรดได้ 100% คล้ายๆ กับ Single Stock Future แต่ทาง Block Trade โบรคเกอร์เป็นคนดูแล เปรียบเสมือนการใช้มาร์จิ้น (ซุปเปอร์มาร์จิ้น) ซึ่งโบรคฯ ได้ค่าธรรมเนียมจากการดำเนินการด้วย
กับดักอย่างหนึ่งที่บ่อยครั้ง นลท อาจไปซื้อหุ้น P/E ที่ต่ำ แต่เป็นหุ้นวัฏจักร ก็มีความเสี่ยงที่จะขาดทุนได้ เพราะเป็นตอนที่กำไรดีมากเกินไป อย่างเช่น หุ้นต่อเรือ ซ่อมเรือ พอไปดู พบว่า ที่กำไรดี เพราะได้รายได้จากการต่อเรือ ซึ่งเป็นรายได้ที่ผันผวน ก็รู้ว่าเป็นหุ้นวัฏจักร ก็เลยขายทิ้งไป / เป็นปกติ ที่เรามักไปซื้อหุ้นที่กำไรดีเกินจริงเสมอ หรือแบบว่า ตอนที่กำไรดีสุดๆ แต่ถ้าเราไปซื้อตอนที่ไม่มีคนสนและมีอนาคต ก็มีโอกาสที่จะกำไรดี
เท่านี้ก่อนครับ รออ่านต่อในโพสถัดไปครับ
*ขอบคุณคุณ ผักกาด ครับ
รอบนี้ บรรยากาศมีทติ้ง ค่อนข้างเงียบๆ เหงาๆ นิดนึง อาจเป็นเพราะภาวะตลาดที่ซบเซา รวมไปถึงอากาศที่มีเมฆฝนปกคลุมด้วยไหม แถมผลตอบแทนการลงทุนในพอร์ต แทบไม่อยากเปิดดูกันเลยทีเดียว แม้กระทั่งผมที่ไปมีทติ้งรอบนี้ ด้วยความรู้สึกที่ไม่เหมือนเดิม แต่สิ่งที่ยังเหมือนเดิมคือ การดูแลอย่างดีจากพี่เจี๊ยบ พี่หมอปุ๊ก และยังมีเพื่อนทีมหมอเชียร์-บอย-เล็กคุงอีกด้วย แถมมีโอกาสไปแชร์เรื่องการประเมินมูลค่าหุ้นให้เพื่อนๆ วีไอหาดใหญ่หลายๆ ท่านอีกด้วยครับ (ปล. หุ้นปั้มปีเตอร์ ออก OppDay วันนี้ ราคาหุ้นร่วงต่อ ทะลุต่ำกว่า 12 บาท และมาตีตื้นนิดๆ หลังปิดตลาดอีกด้วย ยิ่งเพิ่มผลตอบแทนการลงทุนให้ถดถอยลงไปกันอีกครับ)
เข้าเรื่องมีทติ้งกันครับ
เปิดมาก็คุยเรื่องภาวะตลาดฯ โดยเฉพาะเคสของหุ้นเติบโตฯ จากข้อมูลที่ทางต่างประเทศเคยมีวิจัยไว้ว่า สรุป สุดท้าย หุ้นมูลค่า จะชนะ หุ้นเติบโต แต่ทางเมืองไทย ระยะเวลายังไม่นาน แต่ปัจจุบันเริ่มเห็นแล้วว่า เราไม่สามารถไปซื้อหุ้น โดยไม่ดู P/E ทุกตัว
• กระจายความเสี่ยง ไม่ถือหุ้นตัวเดียว
• นักรบต้องมีบาดแผล ขาดทุนต้องมีบ้าง แต่อย่าให้ขาดทุนมีผลเสียหายต่อพอร์ตของเรา
ปีนี้ ตลาดฯ ค่อนข้างจะแย่ นลท ส่วนมากก็แย่ ก็เป็นธรรมดา ลงทุนก็ต้องมีสะดุดบ้าง ล้มบ้าง เป็นหลุมเป็นบ่อ ในระยะทางที่ยาวไกล นับเป็นเรื่องปกติ ก็อย่าท้อก่อน
หุ้นโกรทฯ ที่ตกสวรรค์ แบบ สวย งบที่ออกมา ไม่ได้แย่มากเท่าไร ราคาหุ้นก็เลยฟื้นตัว หากแย่ ราคาก็ร่วงอีก
แนวคิดวีไอ ให้มอง downside ก่อน อย่าไปมอง Upside มาก ตัวอย่างหุ้นโกรทฯ มีอัพไซด์มาก ดูจากเวลาที่ขึ้น แต่ถ้าไม่ใช่เวลาของมัน ตอน downside ราคาก็ร่วงลงมามากได้เช่นกัน แต่ถ้าไปซื้อหุ้นที่มี P/E ต่ำๆ 8-9 เท่า เวลาตลาดไม่ดี ก็ไม่ลง หรือลง 30% เป็นต้น
การลงทุนในระยะยาว สุดท้ายให้ผลตอบแทนเป็นบวก เพราะบริษัทฯ ในตลาด ก็มีกำไรเพิ่มทุกปี แต่อย่างไรก็ตาม ก็ยังมี นลท ที่สามารถขาดทุนได้ หากลงทุนในระยะยาวแล้ว ยังขาดทุน อาจมีการลงทุนอะไรที่ผิดๆ เช่น ซื้อหุ้นปั่น หรือซื้อหุ้นโกรทฯ ที่ราคาแพง เป็นต้น
ในการลงทุน ไม่ควรใช้มาร์จิ้น เวลาผิดพลาด จะขาดทุนสาหัสมาก
เวลาตลาด Panic ให้คำนึงถึงพื้นฐานหุ้น และถ้ามีปันผล ก็ถือรอได้
แนวคิดการลงทุนในปัจจุบัน ที่มี Robot Trade กับการลงทุนแนววีไอ – ระบบเทรดของ Robot Trade ที่บอกกันว่า ทำกำไรได้ทั้งขาขึ้นและขาลง ถ้าทำได้แบบนั้นจริงๆ กองทุนที่ใช้ ก็รวยล้นฟ้ามากเลย หากใช้ได้ผลจริง ต้องมีผลงานออกมา แต่วันนี้ ยังไม่มีผลงานเป็นที่ประจักษ์เลย ในอดีต ก็มีกองทุนที่ใช้ Robot Trade ก็ไม่ได้มีผลงานชัดเจน / กรณีที่ Robot Trade ทำให้มีความผันผวนในตลาดสูง ก็อาจเป็นโอกาสของเราก็ได้ ตอนที่ราคาผิดพลาด หรือหากว่า กองทุนที่ใช้ระบบ Robot Trade ทำผลงานได้ดี เราก็ไปลงทุนกับเค้าก็ได้เช่นกัน / อย่างไรก็ตาม ระบบ Robot Trade พวกนี้ ทำงานได้อย่างรวดเร็วมาก และถ้าทำแบบไล่ราคาขึ้นไปหลายช่อง แล้วตั้งขายเลย ก็น่ากลัว (ไม่รู้ว่า ทำแบบนี้ได้หรือไม่) สุดท้าย อย่าเพิ่งไปสนใจกับพวกระบบนี้เลย น่ายังอีกไกล
Block Trade มีผู้ร่วมมีทติ้งแชร์ข้อมูลว่า วางเงินเพียง 10% ก็สามารถเทรดได้ 100% คล้ายๆ กับ Single Stock Future แต่ทาง Block Trade โบรคเกอร์เป็นคนดูแล เปรียบเสมือนการใช้มาร์จิ้น (ซุปเปอร์มาร์จิ้น) ซึ่งโบรคฯ ได้ค่าธรรมเนียมจากการดำเนินการด้วย
กับดักอย่างหนึ่งที่บ่อยครั้ง นลท อาจไปซื้อหุ้น P/E ที่ต่ำ แต่เป็นหุ้นวัฏจักร ก็มีความเสี่ยงที่จะขาดทุนได้ เพราะเป็นตอนที่กำไรดีมากเกินไป อย่างเช่น หุ้นต่อเรือ ซ่อมเรือ พอไปดู พบว่า ที่กำไรดี เพราะได้รายได้จากการต่อเรือ ซึ่งเป็นรายได้ที่ผันผวน ก็รู้ว่าเป็นหุ้นวัฏจักร ก็เลยขายทิ้งไป / เป็นปกติ ที่เรามักไปซื้อหุ้นที่กำไรดีเกินจริงเสมอ หรือแบบว่า ตอนที่กำไรดีสุดๆ แต่ถ้าเราไปซื้อตอนที่ไม่มีคนสนและมีอนาคต ก็มีโอกาสที่จะกำไรดี
เท่านี้ก่อนครับ รออ่านต่อในโพสถัดไปครับ
####################################################
ความสำเร็จจากการลงทุน ไม่ได้เกิดจาก "การซื้อของดี" แต่มาจาก "การซื้อของได้ดี" ต่างหาก
ความสำเร็จจากการลงทุน ไม่ได้เกิดจาก "การซื้อของดี" แต่มาจาก "การซื้อของได้ดี" ต่างหาก
- AnieLee
- Verified User
- โพสต์: 1436
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3158
(ต่อ) มีทติ้งวีไอภาคใต้ Q2/61
ขออภัยที่โพสช้าไป เหตุที่พอดีทำสรุปช้า เพราะยังไม่หายดีจากหวัด เลยพักผ่อนบ้างครับ อย่างไรก็ตาม ก็จะสรุปให้ครบครับ ก็มาต่อเนื้อหาในมีทติ้งกันครับ
หุ้นทำฟัน - มีกลยุทธ์ดีมาก เจาะตลาดลูกค้าระดับบน ต่างชาติ และมีศูนย์ทันตกรรม ซึ่งช่วยประหยัดต้นทุน ไม่จำเป็นต้องมีเครื่อง X-Ray ในหลายๆ สาขา / มีการเติบโตด้วย ไปซื้อบริษัทที่ทำวัสดุทำฟัน และซื้อได้ที่ราคา P/E ค่อนข้างถูก ในขณะที่ตนเอง P/E สูง หาก Conso งบเข้ามา P/E ก็จะลดพอสมควร และยังมีการสร้างศูนย์ทันตกรรมแห่งที่ 2 แถวสุขุมวิท ก็คิดว่า การเติบโตน่าพอใช้ได้
หุ้นไอติม - อาจมีความเสี่ยงในการเพิ่มทุน เพราะที่ผ่านมา ก็มีการเพิ่มทุนทางอ้อมมาตลอด (การออก Warrant) ถึงแม้จะมีการออก Perpectual Bond ก็ตาม / การเทค โรงแรมต่างประเทศ อาจเป็นกลยุทธ์ที่มีความเสี่ยง (ตนเองเป็นตัวเล็ก แต่คิดการใหญ่) ที่ไป เข้าใจว่า น่าต้องการเครือข่าย และเชื่อว่า สามารถไปทำให้ โรงแรมต่างประเทศนั้นมีกำไรเพิ่มได้
บริษัทที่โตด้วยการทำ M&A มากๆ ดีหรือไม่ – ขึ้นกับธุรกิจที่ไปเทคว่า ก่อให้เกิด Synergy ของธุรกิจที่ซื้อมาได้มากขนาดไหน ตัวอย่าง เคสที่ หุ้นทูน่า ไปเทคร้านอาหารมา ผลที่ออกมาก็ไม่ดีเท่าไร กำไรไม่ไปไหน ส่วน หุ้นอาลก ก็ไม่รู้ว่า เพราะอะไรถึงเทคธุรกิจอะไรได้มากมาย spread ตอนนี้ ก็ดีมาก ช่วงนี้ กำไรจะนิวไฮ และหากเมื่อไร spread ลดลง ก็น่ากลัว / ในอนาคต เทรนที่ไม่ใช้พลาสติกน่าจะมา หันมาใช้ไบโอพลาสติกแทน
หุ้นคอนกรีตทิศใต้ งบดีมา 2Q อะไรก็ดีทุกอย่าง แต่ราคาหุ้นไม่ไปไหน คาดว่า เป็นเพราะภาวะตลาด และเป็นบริษัทรับเหมา ก็ไม่แน่ใจว่า Q หน้า จะยังดีหรือไม่ ก็น่ามีหลายปัจจัย
หุ้นพระพิฆเนศ Hop Inn ยังเป็นพอร์ตเล็ก ไม่มีนัยยะมาก น่ามีรายได้ไม่ถึง 10% / โรงแรมราคาถูก ก็มีการแข่งขันกันสูงมาก เป็นธุรกิจ Red Ocean / มีผู้เข้าร่วมมีทติ้งแชร์ว่า มีการขยาย Hop Inn ไปยัง ฟิลิปปินส์ ด้วย มีคนฟิลิปปินส์มาพักมาก รวมถึง นักท่องเที่ยวก็มากด้วย
เขื่อนลาวแตก กระทบ RATCH แน่นอน แต่ไม่น่ากระทบมากเท่าไร เพราะมีพอร์ตที่ไม่มาก ถือหุ้นแค่ 25% (คนถาม เจตนาถามถึงผลกระทบของอีกกิจการหนึ่งต่างหาก ฮ่าๆๆๆ แต่เอาไว้ต่อในโพสวันถัดไปนะครับ อุบไว้ในรอก่อนครับ)
^ ^
ขออภัยที่โพสช้าไป เหตุที่พอดีทำสรุปช้า เพราะยังไม่หายดีจากหวัด เลยพักผ่อนบ้างครับ อย่างไรก็ตาม ก็จะสรุปให้ครบครับ ก็มาต่อเนื้อหาในมีทติ้งกันครับ
หุ้นทำฟัน - มีกลยุทธ์ดีมาก เจาะตลาดลูกค้าระดับบน ต่างชาติ และมีศูนย์ทันตกรรม ซึ่งช่วยประหยัดต้นทุน ไม่จำเป็นต้องมีเครื่อง X-Ray ในหลายๆ สาขา / มีการเติบโตด้วย ไปซื้อบริษัทที่ทำวัสดุทำฟัน และซื้อได้ที่ราคา P/E ค่อนข้างถูก ในขณะที่ตนเอง P/E สูง หาก Conso งบเข้ามา P/E ก็จะลดพอสมควร และยังมีการสร้างศูนย์ทันตกรรมแห่งที่ 2 แถวสุขุมวิท ก็คิดว่า การเติบโตน่าพอใช้ได้
หุ้นไอติม - อาจมีความเสี่ยงในการเพิ่มทุน เพราะที่ผ่านมา ก็มีการเพิ่มทุนทางอ้อมมาตลอด (การออก Warrant) ถึงแม้จะมีการออก Perpectual Bond ก็ตาม / การเทค โรงแรมต่างประเทศ อาจเป็นกลยุทธ์ที่มีความเสี่ยง (ตนเองเป็นตัวเล็ก แต่คิดการใหญ่) ที่ไป เข้าใจว่า น่าต้องการเครือข่าย และเชื่อว่า สามารถไปทำให้ โรงแรมต่างประเทศนั้นมีกำไรเพิ่มได้
บริษัทที่โตด้วยการทำ M&A มากๆ ดีหรือไม่ – ขึ้นกับธุรกิจที่ไปเทคว่า ก่อให้เกิด Synergy ของธุรกิจที่ซื้อมาได้มากขนาดไหน ตัวอย่าง เคสที่ หุ้นทูน่า ไปเทคร้านอาหารมา ผลที่ออกมาก็ไม่ดีเท่าไร กำไรไม่ไปไหน ส่วน หุ้นอาลก ก็ไม่รู้ว่า เพราะอะไรถึงเทคธุรกิจอะไรได้มากมาย spread ตอนนี้ ก็ดีมาก ช่วงนี้ กำไรจะนิวไฮ และหากเมื่อไร spread ลดลง ก็น่ากลัว / ในอนาคต เทรนที่ไม่ใช้พลาสติกน่าจะมา หันมาใช้ไบโอพลาสติกแทน
หุ้นคอนกรีตทิศใต้ งบดีมา 2Q อะไรก็ดีทุกอย่าง แต่ราคาหุ้นไม่ไปไหน คาดว่า เป็นเพราะภาวะตลาด และเป็นบริษัทรับเหมา ก็ไม่แน่ใจว่า Q หน้า จะยังดีหรือไม่ ก็น่ามีหลายปัจจัย
หุ้นพระพิฆเนศ Hop Inn ยังเป็นพอร์ตเล็ก ไม่มีนัยยะมาก น่ามีรายได้ไม่ถึง 10% / โรงแรมราคาถูก ก็มีการแข่งขันกันสูงมาก เป็นธุรกิจ Red Ocean / มีผู้เข้าร่วมมีทติ้งแชร์ว่า มีการขยาย Hop Inn ไปยัง ฟิลิปปินส์ ด้วย มีคนฟิลิปปินส์มาพักมาก รวมถึง นักท่องเที่ยวก็มากด้วย
เขื่อนลาวแตก กระทบ RATCH แน่นอน แต่ไม่น่ากระทบมากเท่าไร เพราะมีพอร์ตที่ไม่มาก ถือหุ้นแค่ 25% (คนถาม เจตนาถามถึงผลกระทบของอีกกิจการหนึ่งต่างหาก ฮ่าๆๆๆ แต่เอาไว้ต่อในโพสวันถัดไปนะครับ อุบไว้ในรอก่อนครับ)
^ ^
####################################################
ความสำเร็จจากการลงทุน ไม่ได้เกิดจาก "การซื้อของดี" แต่มาจาก "การซื้อของได้ดี" ต่างหาก
ความสำเร็จจากการลงทุน ไม่ได้เกิดจาก "การซื้อของดี" แต่มาจาก "การซื้อของได้ดี" ต่างหาก
- AnieLee
- Verified User
- โพสต์: 1436
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3159
(ต่อ) มีทติ้งวีไอภาคใต้ Q2/61
วันนี้เป็นสาร์ทจีน เช้าๆ น่าไหว้เจ้า ขอโชคลาภเงินทองกันไป(จากตลาดฯ) สำหรับ นลท คนไทยเชื้อสายจีนครับ ก็ต่อเนื้อหามีทติ้งกันทีละนิดต่อครับ
หุ้นไชยะบุรี คาดหวังว่า มีความจำเป็นต้องใช้เงินจากการแปลง Warrant ที่ 6 บาท เนื่องจาก ทาง บริษัทอาจต้องเอาเงินไปทำโรงไฟฟ้าเขื่อนหลวงพระบางแห่งที่ 2 อีกแห่งด้วย แต่พอติดตามไปเรื่อยๆ พบว่า ค่อนข้างยาก เพราะ กฟผ รับซื้อไฟฟ้ายากขึ้น เพราะมีกำลังไฟล้นมากแล้วจากพวกพลังงานทดแทนทั้งหลาย ยิ่งมีเหตุการณ์เขื่อนแตกด้วย ทางลาว อาจมีการหน่วงเรื่องโครงการไปอีกระยะหนึ่งด้วย
หุ้นตามเก็บหนี้ ไม่ได้ติดตาม เท่าที่ทราบ ในอดีต มีการปรับนโยบายบัญชี ทำให้มีผลประกอบการดีขึ้น ราคาเลยดีมาเมื่อ 1-2 ปีที่ผ่านมา พอหุ้นรุ่นน้องเข้าตลาด คนก็เลยมาสนใจ ยิ่งเศรษฐกิจไม่ดี ก็ยิ่งมีหนี้เสียเยอะ ตอนหลังหุ้นรุ่นน้องมีกำไรดีขึ้น ราคาหุ้นก็เลยวิ่งขึ้น ข้อดีของหุ้นรุ่นน้องคือ Debt to Equipty ต่ำมากๆ ก็มีความสามารถในการซื้อหุ้นเสียได้อีกเยอะเลย กำไรไม่น่ามีปัญหาแน่นอน แต่ต้องดูว่า P/E ที่เราซื้อ สมเหตุสมผลไหม / มีผู้ร่วมมีทติ้งแชร์ว่า มีที่ดินด้วย และมีการตัดจำหน่ายหนี้ที่ซื้อมาเป็นเวลา 5 ปี ต่างกับ หุ้นตามเก็บหนี้รุ่นพี่ ที่ตัดจำหน่าย 10 ปี
หุ้นคุณแจง เศรษฐกิจไม่ดี พวกสินค้าน้ำผลไม้ จะถูกกระทบ เพราะผู้บริโภคก็จะกินน้อยลง / หุ้นคุณแจง แย่กว่า หุ้นส้ม24ลูก ตรงไม่มีบริษัทย่อยมาช่วย / นอกจากนี้ น่ามีการใช้ข้อมูลภายในมาซื้อขายหุ้นก่อนเสมอ / เคสที่ไปร่วมกับ บริษัทที่ฟิลิปปินส์ น่าไม่มีนัยยะอะไร เพราะเป็นประเทศคล้ายๆ กัน น้ำผลไม้ก็มีเหมือนกัน ไม่น่าเจาะตลาดได้ รวมทั้งเป้าที่ทาง ผบห วางไว้ โต 30% ต้นปี เอาจริง ก็ทำไม่ได้
หุ้นซินแบด ตราบใดที่ยังมีการขยายสาขา ก็จะมีโวลุ่มน้ำมันโตขึ้น แต่มาร์จิ้นไม่เสถียร เพราะขึ้นกับค่าการตลาด บางปี ค่าการตลาดดี กำไรก็โตกระฉูดเลย ปีนี้ ค่าการตลาดไม่ดี ถึงโวลุ่มมา มาร์จิ้นก็ไม่ดี แถมปีนี้ ไปเน้นที่ธุรกิจ Non Oil มาก เป็นช่วงลงทุน ก็ทำให้มีค่าใช้จ่ายในการบริหารเยอะมาก เลยฉุดกำไรของกิจการอีกทางหนึ่ง กิจการจะฟื้นก็ต่อเมื่อ Non Oil ดีขึ้น / ล่าสุด ภาวะเศรษฐกิจ มีผลกระทบค่อนข้างเยอะ ก็มีผลให้รายได้ไม่ดี / ปาล์มคอมเพล็กซ์ กว่าจะกำไร ก็ต้องใช้เวลาเช่นกัน / ธุรกิจของ Non Oil มีมาร์จิ้นสูง
หุ้นเทคโนโลยีฯ ที่มี Recurring Income สูง ต่างกับ หุ้นขายแอพโรงแรม ที่ไม่มี Recurring Income มีแต่การขายครั้งเดียว ทำให้ผลงานแตกต่างกันอย่างมาก การลงทุน ต้องดู Business Model ประกอบด้วย
หุ้นโมกุโมกุ คล้ายๆ น้ำผลไม้ แต่แย่น้อยกว่า เป็นบริษัทที่พึ่งพาตลาดต่างประเทศเยอะ ทำให้คาดการค่อนข้างยาก อย่างรายได้/กำไรเพิ่มขึ้น หรือลดลง เราจะรู้ไหมว่า เกิดจากอะไร ก็ค่อนข้างยากมาก
หุ้นอาจารย์เศรษฐศาสตร์ ต้องติดตามโครงการใหม่ “ปิติ เอกมัย” จะขายได้หรือไม่ ตอนเปิดแรกๆ ไม่มีคนจอง แต่พอมาดูอีกวัน พบว่า ส่วนที่เปิดให้จอง Sold out ไปหมดเลย คงต้องฟัง OppDay ว่า โครงการนี้ จะขายได้ไหม เพราะมีนัยยะ แต่ปีนี้ กำไรดีแน่นอน แต่นักลงทุนไม่ให้ราคามาก เพราะ นลท เกรงว่า ใกล้จบวัฎจักรแล้ว กลุ่มอสังหาฯ รุ่งเรืองมาหลายปีแล้ว ไม่รู้จะจบเมื่อไร ถ้าจบ ก็น่าจะแย่ กำลังซื้อก็น่าจะซื้อกันไปมากแล้ว / ข้อแย่ ปันผลน้อย เพราะมีการลงทุนเยอะ
หุ้นที่ดินและบ้าน ล้มเลิกดีลซื้อกิจการ เพราะทาง SCB เปลี่ยนอัตราการให้กู้เงินจาก 3% เป็น 6% ทำให้ทางกิจการไม่กู้เงินมาซื้อกิจการ
รอต่อวันถัดไปครับ ระหว่างรอ ก็ฟัง OppDay กันไปครับ มีเยอะมากจนฟังไม่ทัน
วันนี้เป็นสาร์ทจีน เช้าๆ น่าไหว้เจ้า ขอโชคลาภเงินทองกันไป(จากตลาดฯ) สำหรับ นลท คนไทยเชื้อสายจีนครับ ก็ต่อเนื้อหามีทติ้งกันทีละนิดต่อครับ
หุ้นไชยะบุรี คาดหวังว่า มีความจำเป็นต้องใช้เงินจากการแปลง Warrant ที่ 6 บาท เนื่องจาก ทาง บริษัทอาจต้องเอาเงินไปทำโรงไฟฟ้าเขื่อนหลวงพระบางแห่งที่ 2 อีกแห่งด้วย แต่พอติดตามไปเรื่อยๆ พบว่า ค่อนข้างยาก เพราะ กฟผ รับซื้อไฟฟ้ายากขึ้น เพราะมีกำลังไฟล้นมากแล้วจากพวกพลังงานทดแทนทั้งหลาย ยิ่งมีเหตุการณ์เขื่อนแตกด้วย ทางลาว อาจมีการหน่วงเรื่องโครงการไปอีกระยะหนึ่งด้วย
หุ้นตามเก็บหนี้ ไม่ได้ติดตาม เท่าที่ทราบ ในอดีต มีการปรับนโยบายบัญชี ทำให้มีผลประกอบการดีขึ้น ราคาเลยดีมาเมื่อ 1-2 ปีที่ผ่านมา พอหุ้นรุ่นน้องเข้าตลาด คนก็เลยมาสนใจ ยิ่งเศรษฐกิจไม่ดี ก็ยิ่งมีหนี้เสียเยอะ ตอนหลังหุ้นรุ่นน้องมีกำไรดีขึ้น ราคาหุ้นก็เลยวิ่งขึ้น ข้อดีของหุ้นรุ่นน้องคือ Debt to Equipty ต่ำมากๆ ก็มีความสามารถในการซื้อหุ้นเสียได้อีกเยอะเลย กำไรไม่น่ามีปัญหาแน่นอน แต่ต้องดูว่า P/E ที่เราซื้อ สมเหตุสมผลไหม / มีผู้ร่วมมีทติ้งแชร์ว่า มีที่ดินด้วย และมีการตัดจำหน่ายหนี้ที่ซื้อมาเป็นเวลา 5 ปี ต่างกับ หุ้นตามเก็บหนี้รุ่นพี่ ที่ตัดจำหน่าย 10 ปี
หุ้นคุณแจง เศรษฐกิจไม่ดี พวกสินค้าน้ำผลไม้ จะถูกกระทบ เพราะผู้บริโภคก็จะกินน้อยลง / หุ้นคุณแจง แย่กว่า หุ้นส้ม24ลูก ตรงไม่มีบริษัทย่อยมาช่วย / นอกจากนี้ น่ามีการใช้ข้อมูลภายในมาซื้อขายหุ้นก่อนเสมอ / เคสที่ไปร่วมกับ บริษัทที่ฟิลิปปินส์ น่าไม่มีนัยยะอะไร เพราะเป็นประเทศคล้ายๆ กัน น้ำผลไม้ก็มีเหมือนกัน ไม่น่าเจาะตลาดได้ รวมทั้งเป้าที่ทาง ผบห วางไว้ โต 30% ต้นปี เอาจริง ก็ทำไม่ได้
หุ้นซินแบด ตราบใดที่ยังมีการขยายสาขา ก็จะมีโวลุ่มน้ำมันโตขึ้น แต่มาร์จิ้นไม่เสถียร เพราะขึ้นกับค่าการตลาด บางปี ค่าการตลาดดี กำไรก็โตกระฉูดเลย ปีนี้ ค่าการตลาดไม่ดี ถึงโวลุ่มมา มาร์จิ้นก็ไม่ดี แถมปีนี้ ไปเน้นที่ธุรกิจ Non Oil มาก เป็นช่วงลงทุน ก็ทำให้มีค่าใช้จ่ายในการบริหารเยอะมาก เลยฉุดกำไรของกิจการอีกทางหนึ่ง กิจการจะฟื้นก็ต่อเมื่อ Non Oil ดีขึ้น / ล่าสุด ภาวะเศรษฐกิจ มีผลกระทบค่อนข้างเยอะ ก็มีผลให้รายได้ไม่ดี / ปาล์มคอมเพล็กซ์ กว่าจะกำไร ก็ต้องใช้เวลาเช่นกัน / ธุรกิจของ Non Oil มีมาร์จิ้นสูง
หุ้นเทคโนโลยีฯ ที่มี Recurring Income สูง ต่างกับ หุ้นขายแอพโรงแรม ที่ไม่มี Recurring Income มีแต่การขายครั้งเดียว ทำให้ผลงานแตกต่างกันอย่างมาก การลงทุน ต้องดู Business Model ประกอบด้วย
หุ้นโมกุโมกุ คล้ายๆ น้ำผลไม้ แต่แย่น้อยกว่า เป็นบริษัทที่พึ่งพาตลาดต่างประเทศเยอะ ทำให้คาดการค่อนข้างยาก อย่างรายได้/กำไรเพิ่มขึ้น หรือลดลง เราจะรู้ไหมว่า เกิดจากอะไร ก็ค่อนข้างยากมาก
หุ้นอาจารย์เศรษฐศาสตร์ ต้องติดตามโครงการใหม่ “ปิติ เอกมัย” จะขายได้หรือไม่ ตอนเปิดแรกๆ ไม่มีคนจอง แต่พอมาดูอีกวัน พบว่า ส่วนที่เปิดให้จอง Sold out ไปหมดเลย คงต้องฟัง OppDay ว่า โครงการนี้ จะขายได้ไหม เพราะมีนัยยะ แต่ปีนี้ กำไรดีแน่นอน แต่นักลงทุนไม่ให้ราคามาก เพราะ นลท เกรงว่า ใกล้จบวัฎจักรแล้ว กลุ่มอสังหาฯ รุ่งเรืองมาหลายปีแล้ว ไม่รู้จะจบเมื่อไร ถ้าจบ ก็น่าจะแย่ กำลังซื้อก็น่าจะซื้อกันไปมากแล้ว / ข้อแย่ ปันผลน้อย เพราะมีการลงทุนเยอะ
หุ้นที่ดินและบ้าน ล้มเลิกดีลซื้อกิจการ เพราะทาง SCB เปลี่ยนอัตราการให้กู้เงินจาก 3% เป็น 6% ทำให้ทางกิจการไม่กู้เงินมาซื้อกิจการ
รอต่อวันถัดไปครับ ระหว่างรอ ก็ฟัง OppDay กันไปครับ มีเยอะมากจนฟังไม่ทัน
####################################################
ความสำเร็จจากการลงทุน ไม่ได้เกิดจาก "การซื้อของดี" แต่มาจาก "การซื้อของได้ดี" ต่างหาก
ความสำเร็จจากการลงทุน ไม่ได้เกิดจาก "การซื้อของดี" แต่มาจาก "การซื้อของได้ดี" ต่างหาก
- AnieLee
- Verified User
- โพสต์: 1436
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3161
(ต่อ) มีทติ้งวีไอภาคใต้ Q2/61
มาต่อเนื้อหามีทติ้งกันเลยครับ
หุ้นแมกนีเซียน - กำไรเพิ่มขึ้น ราคาหุ้นเลยขึ้นมามาก ก็ไม่รู้ว่า ทำไมกำไรเพิ่มขึ้น / ธุรกิจ OEM เวลาที่ดีกว่าความเป็นจริง ทุกอย่างสดใสมาก แต่หาก Order หาย กำไรก็หดหายเหมือนกัน ที่ผ่านมา น่ามาจากอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ดีขึ้นเยอะ ตอนนี้ น่าเริ่มนิ่งๆ แล้ว / อีกอย่างที่ดี ก็คือ ธุรกิจแมกนีเซียม ที่ค่อนข้างเสถียร ไม่เหมือนธุรกิจยานยนต์ที่เป็นวัฏจักร
เวียดนาม – อุตสาหกรรมรถในเวียดนาม ค่อนข้างซับซ้อน ด้วยขนาดของประเทศที่จะมาดูเรื่องยานยนต์ ก็มีปัญหาเรื่องภาษีนาฟต้า ถ้าลด ก็จะทำให้คนแห่เข้าไปทำ จนอุตสาหกรรมของเค้าพังได้เช่นกัน เค้าเลยตั้งกำแพงกรีดกัน ทำให้รถในไทยขายในเวียดนามแพงขึ้น / หุ้นเวียดนาม บางตัว ก็ได้ dividend yield ดีมาก แบบ 10 กว่าเปอร์เซนต์ / บริษัทหินเวียดนาม ค่อนข้างกำไรดีทั้งนั้นเลย เพราะคนไม่เข้าไปแข่งขัน สู้ค่าขนส่งหินไม่ไหว / หุ้นเวียดนาม SCI เป็นหุ้นที่ไปถือหุ้นบริษัทค้าปลีก VIE โดยที่มาร์เก็ตแคปของ SCI แค่ 7000 พัน แต่ไปถือบริษัทลูก 27000 ก็น่าสนใจ / มีผู้ร่วมมีทติ้ง ที่เขียนหนังสือหุ้นเวียดนาม มาแชร์ข้อมูลหุ้นเวียดนามที่มีผู้ถาม HDG หุ้นแปรรูปเหล็ก กำไรโตทุกปี มาร์เก็ตแชร์สูง เพราะได้ประโยชน์จากกำแพงภาษีของเหล็ก ซึ่งน่าหมดอายุใน 2-3 ปีข้างหน้า เหล็กจีนจึงตีตลาดไม่ได้ หากเหล็กจีนเข้ามา น่ากระทบพอสมควร / VIG เป็น Holding company ที่ถือ VIE ราคาหุ้น PE ค่อนข้างสูงตลอด / CENLAND เป็นหุ้นนายหน้าอสังหาฯ ออนไลน์ (ไม่มีคนรู้จัก) / ข้อเสียเวียดนามคือ ติดจีนมากเกินไป ถ้าไม่มีกำแพงภาษี สินค้าจีนสามารถทะลักเข้ามาได้มากมาย (ปล รหัสหุ้นเวียดนาม ไม่รู้ถูกไหมนะครับ ไม่เคยตามหุ้นเวียนนามครับ)
หุ้นน้องใหม่ที่ปรึกษารับเหมา - ก็เป็นหุ้นรับเหมา เพียงแต่ไม่ได้ไปทำการก่อสร้างเอง มี Backlog ค่อนข้างมาก น่าได้อีกหลายปี แต่ปัญหาคือ ไม่มีรายได้ประจำ เราควรซื้อเมื่อ P/E ถูก ถ้าต่ำ 10x ก็น่าสน / ต้นทุนหลักของกิจการคือ คน ไม่ได้มีความเสี่ยงเรื่องต้นทุนวัสดุ แต่ถ้าไม่มีงาน ก็อันตรายเหมือนกัน เพราะมีต้นทุนพนักงานเท่าเดิม ถ้ารัฐฯ มีเมกะโปรเจคมากมาย ก็น่ายังมีงานรออีกมาก คล้ายๆ กันกับหุ้นรุ่นพี่ที่เข้าตลาดก่อน แต่ทางหุ้นน้องใหม่ทำธุรกิจถึง 5 ด้าน ครบวงจร ในขณะที่ หุ้นรุ่นพี่ ทำแค่ด้านเดียว
หุ้นคุณอัญ - คิดว่า การเติบโตน้อยกว่าคาด / ผู้ร่วมมีทติ้งบอกว่า ครึ่งปี กำไรโตพอสมควร / PE ปัจจุบัน 17x ก็ไม่แพงเท่าไร น่าสน ใช้ได้ / แต่กำไรรวมทั้งปี อาจพอๆ กับปีที่แล้ว / โดยธรรมชาติ ขายเพชร มีฤดูกาล โดยดีใน Q3 และ Q4 / ผบห เป็นคนทำงาน สู้งาน / ผู้ร่วมมีทติ้งให้ข้อมูลว่า ปัจจุบัน บางคน ก็มองเพชรเป็นเครื่องประดับ ไม่ได้แบบว่า ซื้อเพราะแต่งงานอย่างเดียว
หุ้น รพ – ถือหุ้น รพ xxx หาดใหญ่ด้วย / ไม่ได้ติดตาม / รพ กำไรดีทุก รพ แต่ PE สูงอยู่ / หุ้นที่ PE สูง มักปันผลไม่มาก พอคิด yield มา ก็ไม่มาก เพราะ PE สูง
หุ้นท่านชูชาติ ตอนนี้ คู่แข่งแห่เข้ามากันมาก เพราะธุรกิจรับจำนำทะเบียนรถ โคตรดี สุดท้าย ระบบทุนนิยม ก็จะทำให้กำไรดี กลายเป็นกำไรปกติ ต่อไป สเปรดจะลดลง แม้สินเชื่อจะเติบโตจากการขยายสาขา แต่การขยายสาขา ก็มีจุดอิ่มตัวเช่นกัน อนาคตน่าจะเหนื่อย ประกอบกับฐานที่ใหญ่มาก
หุ้นอดีด สส - มองว่า ธุรกิจอันตราย ค่อนข้างดีเกินจริง ขายสินค้า ได้กำไรตั้ง 50% น่าผิดปกติ ต้องระวัง คิดถึงเคสในอดีตของหุ้นพัดลม? กำไรดีมาก ขายให้ผู้ถือหุ้นใหญ่ พอผู้ถือหุ้นใหญ่ขายหุ้นทิ้ง กิจการก็ไม่ดีเลย ด้วยระบบทุนนิยม ถ้ากำไรดี สักวัน ก็ต้องมีคนเข้ามาแข่งอยู่ดี / ต้องระวังว่า Q3 และ Q4 จะดีไหม
หุ้นโบรคฯ เป็นธุรกิจที่มีความผันผวนสูง ระยะยาว น่าพอไหว เพราะปีหน้า มีแผนเอาบริษัทย่อยนีโอเข้าตลาดหุ้น
หุ้นห้างฯ - กรณีที่ผู้บริหาร คุณชาญชัยลาออกไป ในขณะที่กำลังจะเปิด The Market ปลายปีนี้ จะมีผลกระทบอย่างไร / คิดว่า ไม่น่ามีผลอะไร ควรดูคุณค่าของห้าง ว่าขึ้นกับอะไรมากกว่า ให้ดูคุณค่าของกิจการที่แท้จริงว่า เป็นอย่างไร ตัวอย่างเช่น 7-11 ที่เป็นร้านสะดวกซื้อที่ใหญ่มากที่สุด หากผู้บริหารลาออกไป ก็ไม่กระทบอะไร
รอต่อวันถัดไปครับ
มาต่อเนื้อหามีทติ้งกันเลยครับ
หุ้นแมกนีเซียน - กำไรเพิ่มขึ้น ราคาหุ้นเลยขึ้นมามาก ก็ไม่รู้ว่า ทำไมกำไรเพิ่มขึ้น / ธุรกิจ OEM เวลาที่ดีกว่าความเป็นจริง ทุกอย่างสดใสมาก แต่หาก Order หาย กำไรก็หดหายเหมือนกัน ที่ผ่านมา น่ามาจากอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ดีขึ้นเยอะ ตอนนี้ น่าเริ่มนิ่งๆ แล้ว / อีกอย่างที่ดี ก็คือ ธุรกิจแมกนีเซียม ที่ค่อนข้างเสถียร ไม่เหมือนธุรกิจยานยนต์ที่เป็นวัฏจักร
เวียดนาม – อุตสาหกรรมรถในเวียดนาม ค่อนข้างซับซ้อน ด้วยขนาดของประเทศที่จะมาดูเรื่องยานยนต์ ก็มีปัญหาเรื่องภาษีนาฟต้า ถ้าลด ก็จะทำให้คนแห่เข้าไปทำ จนอุตสาหกรรมของเค้าพังได้เช่นกัน เค้าเลยตั้งกำแพงกรีดกัน ทำให้รถในไทยขายในเวียดนามแพงขึ้น / หุ้นเวียดนาม บางตัว ก็ได้ dividend yield ดีมาก แบบ 10 กว่าเปอร์เซนต์ / บริษัทหินเวียดนาม ค่อนข้างกำไรดีทั้งนั้นเลย เพราะคนไม่เข้าไปแข่งขัน สู้ค่าขนส่งหินไม่ไหว / หุ้นเวียดนาม SCI เป็นหุ้นที่ไปถือหุ้นบริษัทค้าปลีก VIE โดยที่มาร์เก็ตแคปของ SCI แค่ 7000 พัน แต่ไปถือบริษัทลูก 27000 ก็น่าสนใจ / มีผู้ร่วมมีทติ้ง ที่เขียนหนังสือหุ้นเวียดนาม มาแชร์ข้อมูลหุ้นเวียดนามที่มีผู้ถาม HDG หุ้นแปรรูปเหล็ก กำไรโตทุกปี มาร์เก็ตแชร์สูง เพราะได้ประโยชน์จากกำแพงภาษีของเหล็ก ซึ่งน่าหมดอายุใน 2-3 ปีข้างหน้า เหล็กจีนจึงตีตลาดไม่ได้ หากเหล็กจีนเข้ามา น่ากระทบพอสมควร / VIG เป็น Holding company ที่ถือ VIE ราคาหุ้น PE ค่อนข้างสูงตลอด / CENLAND เป็นหุ้นนายหน้าอสังหาฯ ออนไลน์ (ไม่มีคนรู้จัก) / ข้อเสียเวียดนามคือ ติดจีนมากเกินไป ถ้าไม่มีกำแพงภาษี สินค้าจีนสามารถทะลักเข้ามาได้มากมาย (ปล รหัสหุ้นเวียดนาม ไม่รู้ถูกไหมนะครับ ไม่เคยตามหุ้นเวียนนามครับ)
หุ้นน้องใหม่ที่ปรึกษารับเหมา - ก็เป็นหุ้นรับเหมา เพียงแต่ไม่ได้ไปทำการก่อสร้างเอง มี Backlog ค่อนข้างมาก น่าได้อีกหลายปี แต่ปัญหาคือ ไม่มีรายได้ประจำ เราควรซื้อเมื่อ P/E ถูก ถ้าต่ำ 10x ก็น่าสน / ต้นทุนหลักของกิจการคือ คน ไม่ได้มีความเสี่ยงเรื่องต้นทุนวัสดุ แต่ถ้าไม่มีงาน ก็อันตรายเหมือนกัน เพราะมีต้นทุนพนักงานเท่าเดิม ถ้ารัฐฯ มีเมกะโปรเจคมากมาย ก็น่ายังมีงานรออีกมาก คล้ายๆ กันกับหุ้นรุ่นพี่ที่เข้าตลาดก่อน แต่ทางหุ้นน้องใหม่ทำธุรกิจถึง 5 ด้าน ครบวงจร ในขณะที่ หุ้นรุ่นพี่ ทำแค่ด้านเดียว
หุ้นคุณอัญ - คิดว่า การเติบโตน้อยกว่าคาด / ผู้ร่วมมีทติ้งบอกว่า ครึ่งปี กำไรโตพอสมควร / PE ปัจจุบัน 17x ก็ไม่แพงเท่าไร น่าสน ใช้ได้ / แต่กำไรรวมทั้งปี อาจพอๆ กับปีที่แล้ว / โดยธรรมชาติ ขายเพชร มีฤดูกาล โดยดีใน Q3 และ Q4 / ผบห เป็นคนทำงาน สู้งาน / ผู้ร่วมมีทติ้งให้ข้อมูลว่า ปัจจุบัน บางคน ก็มองเพชรเป็นเครื่องประดับ ไม่ได้แบบว่า ซื้อเพราะแต่งงานอย่างเดียว
หุ้น รพ – ถือหุ้น รพ xxx หาดใหญ่ด้วย / ไม่ได้ติดตาม / รพ กำไรดีทุก รพ แต่ PE สูงอยู่ / หุ้นที่ PE สูง มักปันผลไม่มาก พอคิด yield มา ก็ไม่มาก เพราะ PE สูง
หุ้นท่านชูชาติ ตอนนี้ คู่แข่งแห่เข้ามากันมาก เพราะธุรกิจรับจำนำทะเบียนรถ โคตรดี สุดท้าย ระบบทุนนิยม ก็จะทำให้กำไรดี กลายเป็นกำไรปกติ ต่อไป สเปรดจะลดลง แม้สินเชื่อจะเติบโตจากการขยายสาขา แต่การขยายสาขา ก็มีจุดอิ่มตัวเช่นกัน อนาคตน่าจะเหนื่อย ประกอบกับฐานที่ใหญ่มาก
หุ้นอดีด สส - มองว่า ธุรกิจอันตราย ค่อนข้างดีเกินจริง ขายสินค้า ได้กำไรตั้ง 50% น่าผิดปกติ ต้องระวัง คิดถึงเคสในอดีตของหุ้นพัดลม? กำไรดีมาก ขายให้ผู้ถือหุ้นใหญ่ พอผู้ถือหุ้นใหญ่ขายหุ้นทิ้ง กิจการก็ไม่ดีเลย ด้วยระบบทุนนิยม ถ้ากำไรดี สักวัน ก็ต้องมีคนเข้ามาแข่งอยู่ดี / ต้องระวังว่า Q3 และ Q4 จะดีไหม
หุ้นโบรคฯ เป็นธุรกิจที่มีความผันผวนสูง ระยะยาว น่าพอไหว เพราะปีหน้า มีแผนเอาบริษัทย่อยนีโอเข้าตลาดหุ้น
หุ้นห้างฯ - กรณีที่ผู้บริหาร คุณชาญชัยลาออกไป ในขณะที่กำลังจะเปิด The Market ปลายปีนี้ จะมีผลกระทบอย่างไร / คิดว่า ไม่น่ามีผลอะไร ควรดูคุณค่าของห้าง ว่าขึ้นกับอะไรมากกว่า ให้ดูคุณค่าของกิจการที่แท้จริงว่า เป็นอย่างไร ตัวอย่างเช่น 7-11 ที่เป็นร้านสะดวกซื้อที่ใหญ่มากที่สุด หากผู้บริหารลาออกไป ก็ไม่กระทบอะไร
รอต่อวันถัดไปครับ
####################################################
ความสำเร็จจากการลงทุน ไม่ได้เกิดจาก "การซื้อของดี" แต่มาจาก "การซื้อของได้ดี" ต่างหาก
ความสำเร็จจากการลงทุน ไม่ได้เกิดจาก "การซื้อของดี" แต่มาจาก "การซื้อของได้ดี" ต่างหาก
- AnieLee
- Verified User
- โพสต์: 1436
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3162
(ต่อ) มีทติ้งวีไอภาคใต้ Q2/61
มาต่อเนื้อหามีทติ้งกันครับ
คติของ อ.โจ “การลงทุนคืออาหารอร่อยที่สุดเมื่อเย็นดีแล้ว” มาจากหนังเรื่อง “God Father” ที่มีการแก่งแย่งอำนาจกัน ฝ่ายพระเอกเพลี่ยงพล่ำไปแล้ว จนฝ่ายตรงข้ามตายใจ แต่ความจริงคือ พระเอกเตรียมแผนไว้แล้ว เพื่อที่จะรบชนะเลยภายใน 1 วัน เหมือนกับหุ้นที่ดีมากๆ แต่ไม่มีคนสนใจเลย จนกระทั่งวันหนึ่ง มันมา ก็รู้สึกว่า สะใจ ก็คล้ายๆกับว่า ตอนกินอาหารร้อนๆ มันอาจลวกปากได้ รอมันเย็นลง ก็จะอร่อยกว่า / เวลาซื้อหุ้น ไม่สนใจใครว่าอย่างไร (ถ้ามั่นใจ) ในตลาดหุ้น ถ้าฟังมากๆ ไม่รอด จะลังเล ถ้ามั่นใจว่า ดี ก็ซื้อ / ไม่หวั่นไหวไปตามภาวะตลาด / คนที่ประสบความสำเร็จ ต้องผ่านคืนวันที่ขาดทุนไปให้ได้ อย่างเข่นภาวะตลาดตอนนี้ / ไม่ว่าภาวะตลาดเป็นอย่างไร ก็ศึกษาไปเรื่อยๆ ไม่ท้อ / ไม่ขายหุ้นตอนถูก ต้องขายหุ้นตอนแพง ถึงจะรวย / ตลาดไม่ดี ช่วยให้มีโอกาสซื้อหุ้น ในขณะที่ตลาดหุ้นดีๆ ก็ควรจะขายหุ้น
หุ้นประมูล - ผลประกอลการดีติดกัน 2 ไตรมาส แต่ใครจะรู้ว่า Q3 จะดีไหม แต่หุ้นทุกตัว ถ้า PE ไม่แพง ก็พอไหวทั้งนั้น เนื่องจากธุรกิจใช้เงินลงทุนค่อนข้างน้อย กำไรที่ได้มา ก็สามารถจ่ายปันผลได้เยอะ ในขณะที่ ผถห ใหญ่ก็ต้องการเงินปันผลด้วยเช่นกัน
หุ้นขายเครื่องเขียน - ผู้ร่วมมีทติ้งแชร์ข้อมูลว่า มีการขยาย market place รวมถึงการขายสินค้าเพิ่ม 3 ชนิด ซึ่ง 3 ธุรกิจนี้ ใหญ่กว่าธุรกิจเดิมที่ทำอยู่ มองว่า น่าสนใจ ต่อไป ผู้ซื้อไม่ได้ซื้อแต่เครื่องเขียนอย่างเดียว อาจซื้อสินค้าอื่นที่เพิ่มมาด้วย น่าจะประสบความสำเร็จ Q1 กำไรโตดี Q2 กำไรก็โอเค / (ความเห็นของอาจารย์ว่า ธุรกิจนี้ น่ามี Seasonal มาก Q1 ได้รายได้มากจากการโฆษณาจากโบชัวร์ที่ไปแจก)
หุ้นปล่อยกู้จากการซื้อ invoice - มองว่า NPL เริ่มปูดหน่อยๆ เนื่องจากธุรกิจที่ทำมีความเสี่ยงโดยธรรมชาติ ปล่อยสินเชื่อที่มีความเสี่ยง อาจเจอ invoice ปลอมอะไรด้วย เพราะได้ Yield สูงที่แลกมากับความเสี่ยง ข้อดีคือ มีการเพิ่มทุนเยอะ เนื่องจากการขาย Warrant ก็ได้เงินไปเยอะ แต่ช่วงนี้ ก็มีการเพิ่มสำรองฯ ด้วย รวมทั้งปล่อยสินเชื่อได้ต่ำกว่าเป้า
ผู้ร่วมมีทติ้งแชร์เรื่องโรงไฟฟ้าว่า กำลังการผลิตไฟฟ้าที่ล้น มีสาเหตุจากพวกโรงงานอุตสาหกรรม เริ่มทำพลังงานทดแทนกันเอง ในขณะที่ทางรัฐฯ ไปเซ็นสัญญาซื้อไฟฟ้าไว้เยอะแยะมาก ต่อไปน่าจะต่อสัญญาน้อยมากแล้ว ต่อไปพวกเอกชน สามารถทำพลังงานทดแทนเองได้ มองว่า ธุรกิจนี้น่าโดน disrupt จากเทคโนโลยี เพราะต้นทุนน่าจะต่ำมาก หากธุรกิจไฟฟ้าใดเป็น Adder ถ้าหมดอายุ ก็จะน่ากลัวมาก
หุ้นโรงไฟฟ้าแห่งหนึ่ง เริ่มได้รับผลกระทบจากการไม่ต่อโรงไฟฟ้า เนื่องจากกระแสไฟมันล้น และถึงแม้จะต่อ ก็อาจลดรายได้ค่าไฟลง ก็ไม่รู้จะคุ้มหรือไม่ด้วย สุดท้าย บริษัทไฟฟ้า ก็จะไม่โต แต่ถ้ามี PPA อยู่แล้ว ก็ไม่มีปัญหา
หุ้นตรวจสอบฯ - บริษัทน่าจะพ้นก้นเหวแล้ว Q2 เกือบไม่กำไรแล้ว ธุรกิจใหม่ ก็ไม่ค่อยดีมาก / ธุรกิจตรวจสอบแบบไม่ทำลาย มี 2 แบบ คือ แบบที่ให้ใบ cert กับ แบบที่เป็น project ซึ่งส่วนของ QLT มีลูกค้าที่เป็นใบ cert ค่อนข้างเสถียร แต่งาน project ไม่มาก (ยอมรับว่า มองพลาดไปหน่อย)
หุ้นจัดงาน - มีเงินสดมาก เพราะได้จาก ipo แต่ก็ไม่รู้ว่า จะโตยังไง ถ้าตอนนี้ PE 11x ก็ไม่แพงมาก ก็อย่างที่บอก ไม่รู้จะโตยังไง ถ้าโตได้ ก็ให้ราคา
หุ้นประกันภัยทั้งกลุ่ม – ประกันภัยของไทย ไม่มีทางกำไรดี เพราะเป็น RED OCEAN และในภาวะเศรษฐกิจไม่ดี ก็จะแย่กัน ก็ต้องระวัง Seasonal อีกด้วย บางบริษัท ก็คาดการรายได้/กำไรยากอีกด้วย รวมทั้งมีการผันผวนจากการเคลม และการลงทุนอีกด้วย
หุ้นปล่อยกู้มีแม่เป็นอิสลาม - กำไร Q1 ดีมาก กำไร Q2 ควรจะโตขึ้น แต่กำไรกลับตกลง ราคาหุ้นเลยลง เพราะ นลท ความหวังมาก แม้กำไรโต ราคาก็ลง เพราะกำไร Q2 น้อยกว่าคาด / ตอนนี้ ก็มาทำสินเชื่อรถที่มีหลักประกัน แต่เชื่อว่า ระยะยาว ไม่น่าจะรอด
หุ้นเหมืองฯ - ไตรมาสล่าสุด ไม่ดี แต่มองว่า สะท้อนข่าวร้ายไปหมดแล้ว น่าผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว
หุ้นค้าปลีกภาคเหนือ - ไตรมาสล่าสุด รายได้โต แต่กำไรเท่าเดิม ที่มีค่าใช้จ่ายมาก เพราะมีการเพิ่มสาขา ในขณะที่ลูกค้ายังไม่มา / นับว่าเป็นหุ้นที่มี PE ต่ำสุดในค้าปลีก
ภาพของหุ้นก๊อดจิ หลังจาก Spin Off ธุรกิจค้าปลีกออกมา ภาพของหุ้นก๊อดจิ ไม่น่าเปลี่ยนมาก เพราะธุรกิจค้าปลีก ยังสร้างรายได้ให้ หุ้นก๊อดจิ ไม่เยอะ แต่มาร์จิ้นค่อนข้างดี / กำไรจากธุรกิจกาแฟ ค่อนข้างมีนัยยะเมื่อเทียบกำไรจากน้ำมัน / เพียงแต่แยกเอาธุรกิจที่กำไรดีแยกออกมา เพื่อเอาเงินทุนไปขยายต่อมากกว่า แต่ถ้าจะซื้อหุ้น ซื้อหุ้นบริษัทลูกจะดีกว่าการซื้อหุ้นบริษัทแม่
หุ้นปล่อยกู้มอไซด์ - มีข้อดีตรง D/E ต่ำมาก บริษัทที่ปล่อยสินเชื่อ พอมี D/E ต่ำ จะโตยังไง ก็ทำได้ แต่ข้อแย่ก็คือ บริหารโดยลูกคุณหนู ที่ไม่มีแรงจูงใจ ก็ทำให้กำไรทรงๆ ทรุดๆ ไปเรื่อยๆ และการไปต่างประเทศ ยิ่งยากกว่าเมืองไทย ขนาดในเมืองไทย ยังไม่เติบโตเลย
ยังมีอีก แต่ขอโพสวันถัดไปครับ
มาต่อเนื้อหามีทติ้งกันครับ
คติของ อ.โจ “การลงทุนคืออาหารอร่อยที่สุดเมื่อเย็นดีแล้ว” มาจากหนังเรื่อง “God Father” ที่มีการแก่งแย่งอำนาจกัน ฝ่ายพระเอกเพลี่ยงพล่ำไปแล้ว จนฝ่ายตรงข้ามตายใจ แต่ความจริงคือ พระเอกเตรียมแผนไว้แล้ว เพื่อที่จะรบชนะเลยภายใน 1 วัน เหมือนกับหุ้นที่ดีมากๆ แต่ไม่มีคนสนใจเลย จนกระทั่งวันหนึ่ง มันมา ก็รู้สึกว่า สะใจ ก็คล้ายๆกับว่า ตอนกินอาหารร้อนๆ มันอาจลวกปากได้ รอมันเย็นลง ก็จะอร่อยกว่า / เวลาซื้อหุ้น ไม่สนใจใครว่าอย่างไร (ถ้ามั่นใจ) ในตลาดหุ้น ถ้าฟังมากๆ ไม่รอด จะลังเล ถ้ามั่นใจว่า ดี ก็ซื้อ / ไม่หวั่นไหวไปตามภาวะตลาด / คนที่ประสบความสำเร็จ ต้องผ่านคืนวันที่ขาดทุนไปให้ได้ อย่างเข่นภาวะตลาดตอนนี้ / ไม่ว่าภาวะตลาดเป็นอย่างไร ก็ศึกษาไปเรื่อยๆ ไม่ท้อ / ไม่ขายหุ้นตอนถูก ต้องขายหุ้นตอนแพง ถึงจะรวย / ตลาดไม่ดี ช่วยให้มีโอกาสซื้อหุ้น ในขณะที่ตลาดหุ้นดีๆ ก็ควรจะขายหุ้น
หุ้นประมูล - ผลประกอลการดีติดกัน 2 ไตรมาส แต่ใครจะรู้ว่า Q3 จะดีไหม แต่หุ้นทุกตัว ถ้า PE ไม่แพง ก็พอไหวทั้งนั้น เนื่องจากธุรกิจใช้เงินลงทุนค่อนข้างน้อย กำไรที่ได้มา ก็สามารถจ่ายปันผลได้เยอะ ในขณะที่ ผถห ใหญ่ก็ต้องการเงินปันผลด้วยเช่นกัน
หุ้นขายเครื่องเขียน - ผู้ร่วมมีทติ้งแชร์ข้อมูลว่า มีการขยาย market place รวมถึงการขายสินค้าเพิ่ม 3 ชนิด ซึ่ง 3 ธุรกิจนี้ ใหญ่กว่าธุรกิจเดิมที่ทำอยู่ มองว่า น่าสนใจ ต่อไป ผู้ซื้อไม่ได้ซื้อแต่เครื่องเขียนอย่างเดียว อาจซื้อสินค้าอื่นที่เพิ่มมาด้วย น่าจะประสบความสำเร็จ Q1 กำไรโตดี Q2 กำไรก็โอเค / (ความเห็นของอาจารย์ว่า ธุรกิจนี้ น่ามี Seasonal มาก Q1 ได้รายได้มากจากการโฆษณาจากโบชัวร์ที่ไปแจก)
หุ้นปล่อยกู้จากการซื้อ invoice - มองว่า NPL เริ่มปูดหน่อยๆ เนื่องจากธุรกิจที่ทำมีความเสี่ยงโดยธรรมชาติ ปล่อยสินเชื่อที่มีความเสี่ยง อาจเจอ invoice ปลอมอะไรด้วย เพราะได้ Yield สูงที่แลกมากับความเสี่ยง ข้อดีคือ มีการเพิ่มทุนเยอะ เนื่องจากการขาย Warrant ก็ได้เงินไปเยอะ แต่ช่วงนี้ ก็มีการเพิ่มสำรองฯ ด้วย รวมทั้งปล่อยสินเชื่อได้ต่ำกว่าเป้า
ผู้ร่วมมีทติ้งแชร์เรื่องโรงไฟฟ้าว่า กำลังการผลิตไฟฟ้าที่ล้น มีสาเหตุจากพวกโรงงานอุตสาหกรรม เริ่มทำพลังงานทดแทนกันเอง ในขณะที่ทางรัฐฯ ไปเซ็นสัญญาซื้อไฟฟ้าไว้เยอะแยะมาก ต่อไปน่าจะต่อสัญญาน้อยมากแล้ว ต่อไปพวกเอกชน สามารถทำพลังงานทดแทนเองได้ มองว่า ธุรกิจนี้น่าโดน disrupt จากเทคโนโลยี เพราะต้นทุนน่าจะต่ำมาก หากธุรกิจไฟฟ้าใดเป็น Adder ถ้าหมดอายุ ก็จะน่ากลัวมาก
หุ้นโรงไฟฟ้าแห่งหนึ่ง เริ่มได้รับผลกระทบจากการไม่ต่อโรงไฟฟ้า เนื่องจากกระแสไฟมันล้น และถึงแม้จะต่อ ก็อาจลดรายได้ค่าไฟลง ก็ไม่รู้จะคุ้มหรือไม่ด้วย สุดท้าย บริษัทไฟฟ้า ก็จะไม่โต แต่ถ้ามี PPA อยู่แล้ว ก็ไม่มีปัญหา
หุ้นตรวจสอบฯ - บริษัทน่าจะพ้นก้นเหวแล้ว Q2 เกือบไม่กำไรแล้ว ธุรกิจใหม่ ก็ไม่ค่อยดีมาก / ธุรกิจตรวจสอบแบบไม่ทำลาย มี 2 แบบ คือ แบบที่ให้ใบ cert กับ แบบที่เป็น project ซึ่งส่วนของ QLT มีลูกค้าที่เป็นใบ cert ค่อนข้างเสถียร แต่งาน project ไม่มาก (ยอมรับว่า มองพลาดไปหน่อย)
หุ้นจัดงาน - มีเงินสดมาก เพราะได้จาก ipo แต่ก็ไม่รู้ว่า จะโตยังไง ถ้าตอนนี้ PE 11x ก็ไม่แพงมาก ก็อย่างที่บอก ไม่รู้จะโตยังไง ถ้าโตได้ ก็ให้ราคา
หุ้นประกันภัยทั้งกลุ่ม – ประกันภัยของไทย ไม่มีทางกำไรดี เพราะเป็น RED OCEAN และในภาวะเศรษฐกิจไม่ดี ก็จะแย่กัน ก็ต้องระวัง Seasonal อีกด้วย บางบริษัท ก็คาดการรายได้/กำไรยากอีกด้วย รวมทั้งมีการผันผวนจากการเคลม และการลงทุนอีกด้วย
หุ้นปล่อยกู้มีแม่เป็นอิสลาม - กำไร Q1 ดีมาก กำไร Q2 ควรจะโตขึ้น แต่กำไรกลับตกลง ราคาหุ้นเลยลง เพราะ นลท ความหวังมาก แม้กำไรโต ราคาก็ลง เพราะกำไร Q2 น้อยกว่าคาด / ตอนนี้ ก็มาทำสินเชื่อรถที่มีหลักประกัน แต่เชื่อว่า ระยะยาว ไม่น่าจะรอด
หุ้นเหมืองฯ - ไตรมาสล่าสุด ไม่ดี แต่มองว่า สะท้อนข่าวร้ายไปหมดแล้ว น่าผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว
หุ้นค้าปลีกภาคเหนือ - ไตรมาสล่าสุด รายได้โต แต่กำไรเท่าเดิม ที่มีค่าใช้จ่ายมาก เพราะมีการเพิ่มสาขา ในขณะที่ลูกค้ายังไม่มา / นับว่าเป็นหุ้นที่มี PE ต่ำสุดในค้าปลีก
ภาพของหุ้นก๊อดจิ หลังจาก Spin Off ธุรกิจค้าปลีกออกมา ภาพของหุ้นก๊อดจิ ไม่น่าเปลี่ยนมาก เพราะธุรกิจค้าปลีก ยังสร้างรายได้ให้ หุ้นก๊อดจิ ไม่เยอะ แต่มาร์จิ้นค่อนข้างดี / กำไรจากธุรกิจกาแฟ ค่อนข้างมีนัยยะเมื่อเทียบกำไรจากน้ำมัน / เพียงแต่แยกเอาธุรกิจที่กำไรดีแยกออกมา เพื่อเอาเงินทุนไปขยายต่อมากกว่า แต่ถ้าจะซื้อหุ้น ซื้อหุ้นบริษัทลูกจะดีกว่าการซื้อหุ้นบริษัทแม่
หุ้นปล่อยกู้มอไซด์ - มีข้อดีตรง D/E ต่ำมาก บริษัทที่ปล่อยสินเชื่อ พอมี D/E ต่ำ จะโตยังไง ก็ทำได้ แต่ข้อแย่ก็คือ บริหารโดยลูกคุณหนู ที่ไม่มีแรงจูงใจ ก็ทำให้กำไรทรงๆ ทรุดๆ ไปเรื่อยๆ และการไปต่างประเทศ ยิ่งยากกว่าเมืองไทย ขนาดในเมืองไทย ยังไม่เติบโตเลย
ยังมีอีก แต่ขอโพสวันถัดไปครับ
####################################################
ความสำเร็จจากการลงทุน ไม่ได้เกิดจาก "การซื้อของดี" แต่มาจาก "การซื้อของได้ดี" ต่างหาก
ความสำเร็จจากการลงทุน ไม่ได้เกิดจาก "การซื้อของดี" แต่มาจาก "การซื้อของได้ดี" ต่างหาก
- AnieLee
- Verified User
- โพสต์: 1436
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3163
(ต่อ) มีทติ้งวีไอภาคใต้ Q2/2561
สุดสัปดาห์ ต่อเนื้อหามีทติ้งกันแบบยาวหน่อยครับ
หุ้นชุดชั้นใน- เพิ่งมาออก OppDay / มีการออกข่าวในนิตยสาร Forbes Thailand / ในอดีต เหมือนเป็นหุ้นโดน corner ไม่มีการซื้อขาย อยู่ๆ ปีนี้ กำไรโต ไม่รู้สาเหตุว่า มาจากอะไร
หุ้น MoreThanPrinting - กำไรมาก เพราะเกิดจากงบรวมที่มีการซื้อกิจการมา ธุรกิจเดิม ก็ไม่ได้กำไรโต ส่วนธุรกิจบริษัทลูก ก็เริ่ม mature แล้ว
หุ้นห้าง+มอลล์ - มีรายได้ 2 ส่วน จาก Department Store และ รายได้ให้เช่าพื้นที่ ซึ่งปัจจุบันเริ่มมีรายได้ค่าเช่าค่อนข้างมากแล้ว / โดยรวม ก็ให้ดูคุณภาพของรายได้ ซึ่งรายได้ทั้ง 2 ส่วน ก็พอๆ กัน เพียงแต่รายได้ค่าเช่าพื้นที่ชัวร์กว่า
หุ้นรับเหมาชื่อดารา - เป็นบริษัทตระกูลเดียวกับ ITD / มีธุรกิจหลายๆ ส่วน ทั้งทำคอนโดฯ ขุดเหมืองแม่เมาะ รับเหมาฯ ซึ่งมีแต่ Order แต่ไม่ค่อยมีกำไร / เดาว่า ผบห อาจหาประโยชน์จากภายใจ
หุ้นรับเหมาย่านพระรามเก้า - กำไรล่าสุด ไม่ค่อยดีเท่าไร ข้อสังเกตุคือ รับรู้รายได้น้อย ก็เลยกำไรน้อย แต่ถ้าหากรับรู้รายได้มาก แต่กำไรน้อย ก็จะแปลก / ราคาลงมา เพราะ นลท ผิดหวังที่กำไรน้อยเกินไป / ยังมี backlog เยอะ
หุ้นรถเครนฯ - รายได้หลักมาจากรถเครน และให้บริการกับโรงน้ำตาลด้วย ช่วงนี้ เป็นช่วงที่ทั้งธุรกิจรถเครนและธุรกิจน้ำตาลก็ตก ช่วงที่น้ำตาลเก็บหีบด้วย ถ้าไม่มี order ซ่อมด้วย ก็ไม่มีรายได้ / ธุรกิจเครน ก็ยังขาดทุนอยู่ ต้องรอเมกะโปรเจค รถเครนได้กำไร / บริษัทที่ไม่ปันผล หรือปันผลน้อย เวลาราคาลง ก็ลงได้เยอะ รวมทั้งเป็นหุ้นที่เป็นวัฏจักรอีกด้วย / หุ้นที่มีลักษณะแบบคลุมเครือเป็นวัฏจักร มักทำให้ นลท มีโอกาสผิดพลาดง่าย เพราะเราไม่รู้ เรามักไปซื้อในจุดที่มันดี
หุ้นถุงยาง - อาจเกิดจากเสียเปรียบมาเลฯ / สู้การประมูลกับคู่แข่งมาเลเซียไม่ได้ เพราะค่าเงินมาเลเซียอ่อนค่า
หุ้นคุณจรีพร - ผู้ร่วมมีทติ้งแชร์ข้อมูลว่า ถ้ามีการเลือกตั้ง จะมีการตั้งโรงงานเยอะมาก / ไทยเป็นยุทธศาสตร์ที่ดี / ขนส่งของไทยก้าวหน้า / logistic ไทย ก้าวหน้ากว่าประเทศอื่น / Cost ของไทยเริ่มลดลง เช่น มีระบบช่วยในการชิปปิ้งได้ เป็นต้น แต่มองว่า หุ้นไม่ตาย น่าสนใจมากกว่า เพราะมีจำนวนหุ้นน้อยกว่า ในขณะที่ขายได้พอๆ กัน / ข้อดีของหุ้นคุณจรีพร ก็คือ มีโรงไฟฟ้า
หุ้นพืชผักผลไม้แช่แข็ง ค่าเงินบาท/เยน มีผลต่อกิจการ เพราะตลาดหลักอยู่ที่ญี่ปุ่น / มีการสร้างโรงงานใหม่ที่พม่า ที่อาจมีอัพไซด์ส่วนนี้ ต้นทุนน่าจะถูก แต่ว่า ต้นทุนค่าขนส่งเป็นอย่างไร ไม่รู้
หุ้นข้าวโพด - ผู้บริหารพูดเก่ง แต่กิจการกำไรไม่มา เป็นธุรกิจที่มีคู่แข่งมาก คิดว่า ไม่น่าจะดี
หุ้นตู้บุญเติม (ที่บุญเริ่มหมด) - ราคาลงมามาก ราคาไม่แพง แต่ว่า กิจการจะเติบโตไหม แต่น่าจะเติบโตน้อยแล้ว ดังนั้น เค้าเลยคิดเพิ่มมูลค่าด้วยบริการที่มากขึ้น ปัจจุบัน รายได้หลัก น่ามาจากการเติมเงินมือถือ และการโอนเงิน / ที่แบงค์ให้ฟรีการโอนเงิน จะมาแย่งตลาดไหม ดูเผินๆ ก็อาจแย่งก็ได้ / ส่วนการใช้มือถือ คนส่วนใหญ่ใช้ระบบ pre paid มากกว่า post paid คนส่วนใหญ่ไม่ได้มีรายได้มาก และคนกลุ่มนี้เป็นคนที่ไม่มีบัญชีธนาคาร ต่อให้แบงค์ฟรีค่าธรรมเนียมการโอน ก็ไม่น่ากระทบ ตามที่ผู้บริหารบอกแบบนี้ แง่ของ Dividend yield ก็ดูได้เยอะพอสมควร สุดท้าย คงต้องรอดูกัน ว่า มีแนวโน้มเป็นอย่างไร ณ ตอนนี้ ก็กินเงินปันผล
หุ้น PEสูง ขึ้นกับคุณภาพกิจการ ราคาก็ยังยืนอยู่ได้โดยที่ PE ยังสูงอยู่ เช่น 7-11, e-custome, และอีกหลายๆ ตัว เพราะคุณภาพดี กำไรยังโตอยู่ / นลท ก็ควรมีความคิดที่ขัดแย้งกัน มีการตั้งคำถาม ไม่ได้มีความเชื่อตามๆ กันเหมือนตัว lemming / หุ้นที่ PE สูง เหมือนขาลอย ยิ่งสูงมาก ยิ่งมีโอกาสตกมามาก ยิ่งเจ็บ หากเราตกจากหุ้น PE ไม่สูง ตกลงมา ก็เจ็บนิดหน่อย
หุ้นเจ้าของเป็นเซียนหุ้น - พื้นฐานใช้ได้ แต่การรับรู้รายได้ ไม่ต่อเนื่อง เพราะมีรายได้จากการเป็นที่ปรึกษา ให้ดูรายได้เป็นรายปี ปีไหนที่ทางกิจการ 3bb มีธุรกรรมเยอะๆ จะมีรายได้เยอะ เพราะ 3bb เป็นลูกค้ารายใหญ่ / ปีไหนที่ไม่ book รายได้ ก็แย่เหมือนกัน
หุ้นเฟอร์เหล็ก - ราคาตอนนี้ ต่ำบุ๊ค ปีหน้าโรงไฟฟ้าเริ่มรับรู้รายได้ แต่ราคาจะขึ้นไหม ไม่แน่ใจ มีสินทรัพย์นึงคือการถือหุ้นในเหล็กสยาม ก็ได้รับรู้ส่วนแบ่งกำไรด้วย / หุ้นขายเฟอร์นิเจอร์ ปีนี้ ไม่น่าจะดีมาก เพราะเศรษฐกิจไม่ดี
หุ้นถังแก๊ส - กำไรดีค่อนข้างเยอะ ยอดขายเพิ่ม หุ้นตัวนี้ ถ้าบาทอ่อนก็จะดี ไตรมาส 3 และ 4 น่าจะดี ปีนี้น่าจะ perfect แน่นอน แต่อนาคตไม่แน่ใจ เพราะ จีนกับตุรกี ถ้าเข้ามาเป็นคู่แข่ง ก็น่าจะอันตราย / เมื่อไรที่ ผบห ซื้อหุ้น น่าเป็นสัญญาณว่า โอเค
หุ้นอสังหาชื่อสุกี้ - ไม่ได้ตาม / มีสินทรัพย์เยอะ มีคลังให้เช่า ถ้าอยากรู้เรื่องกิจการ ให้อ่านรายงานที่ปรึกษาทางการเงินที่ให้มา ตอนที่มีผู้ขอซื้อกิจการ น่าจะเห็นภาพได้ชัดมากขึ้น
หุ้น รฟฟ ชีวมวล - ก็น่าจะโอเค แต่ที่น่าเป็นห่วงคือ สงครามการค้าของอเมริกาที่ส่งผลมา เฟอร์นิเจอร์จีนส่งเมกาไปได้น้อย ความต้องการไม้ยางพาราก็น้อย พอน้อย เศษไม้ยางก็น้อย และขาดแคลน ราคาเศษไม้ยางก็ขึ้นสูง ทำให้กระทบต่อมาร์จิ้น / ข้อดีคือ มีสัญญษ ppa อยู่ในมือที่จะก่อสร้าง / PE ตอนนี้ ก็ไม่แพงแล้ว แต่คงต้องรอสักพัก
คำถาม: ทำไม "หุ้นตัวแรกของ อ." ขาดทุน แต่ทำไมหุ้นน้องใหม่ที่ทำธุรกิจคล้ายกัน มีกำไร – คำตอบ: ตอนที่กำไรดี และ ผบห ซื้อหุ้น ทำให้ นลท ขาดทุนไปหลายคน / เป็นหุ้นวัฏจักร / ให้ซื้อหุ้นนี้ตอนที่บริษัทขาดทุน และถ้าขาดทุน 2 ปีติดกัน แล้วราคาหุ้นทำนิวโล ให้ซื้อเลย เพราะน่าเป็นจุดต่ำสุดของกิจการแล้ว / ระยะหลัง หุ้นที่เข้าตลาดมา มักเข้าตอนที่ผลประกอบการดีมากๆ
หุ้นรวย คล้ายกับ หุ้นดร ยุ้ย - หุ้นอสังหาฯ มักมีกำไรไม่ต่อเนื่อง / ต่อให้มีกำไรดี ราคาหุ้นก็ไม่ขึ้น เพราะรายได้/กำไรเป็นครั้งคราว / งบของ หุ้นรวย อ่อนแอมาก เมื่อเทียบกับ หุ้น ดร ยุ้ย / Backlog ก็มีพอสมควร
รอต่อพรุ่งนี้ ก็โพสหมดพอดีครับ
สุดสัปดาห์ ต่อเนื้อหามีทติ้งกันแบบยาวหน่อยครับ
หุ้นชุดชั้นใน- เพิ่งมาออก OppDay / มีการออกข่าวในนิตยสาร Forbes Thailand / ในอดีต เหมือนเป็นหุ้นโดน corner ไม่มีการซื้อขาย อยู่ๆ ปีนี้ กำไรโต ไม่รู้สาเหตุว่า มาจากอะไร
หุ้น MoreThanPrinting - กำไรมาก เพราะเกิดจากงบรวมที่มีการซื้อกิจการมา ธุรกิจเดิม ก็ไม่ได้กำไรโต ส่วนธุรกิจบริษัทลูก ก็เริ่ม mature แล้ว
หุ้นห้าง+มอลล์ - มีรายได้ 2 ส่วน จาก Department Store และ รายได้ให้เช่าพื้นที่ ซึ่งปัจจุบันเริ่มมีรายได้ค่าเช่าค่อนข้างมากแล้ว / โดยรวม ก็ให้ดูคุณภาพของรายได้ ซึ่งรายได้ทั้ง 2 ส่วน ก็พอๆ กัน เพียงแต่รายได้ค่าเช่าพื้นที่ชัวร์กว่า
หุ้นรับเหมาชื่อดารา - เป็นบริษัทตระกูลเดียวกับ ITD / มีธุรกิจหลายๆ ส่วน ทั้งทำคอนโดฯ ขุดเหมืองแม่เมาะ รับเหมาฯ ซึ่งมีแต่ Order แต่ไม่ค่อยมีกำไร / เดาว่า ผบห อาจหาประโยชน์จากภายใจ
หุ้นรับเหมาย่านพระรามเก้า - กำไรล่าสุด ไม่ค่อยดีเท่าไร ข้อสังเกตุคือ รับรู้รายได้น้อย ก็เลยกำไรน้อย แต่ถ้าหากรับรู้รายได้มาก แต่กำไรน้อย ก็จะแปลก / ราคาลงมา เพราะ นลท ผิดหวังที่กำไรน้อยเกินไป / ยังมี backlog เยอะ
หุ้นรถเครนฯ - รายได้หลักมาจากรถเครน และให้บริการกับโรงน้ำตาลด้วย ช่วงนี้ เป็นช่วงที่ทั้งธุรกิจรถเครนและธุรกิจน้ำตาลก็ตก ช่วงที่น้ำตาลเก็บหีบด้วย ถ้าไม่มี order ซ่อมด้วย ก็ไม่มีรายได้ / ธุรกิจเครน ก็ยังขาดทุนอยู่ ต้องรอเมกะโปรเจค รถเครนได้กำไร / บริษัทที่ไม่ปันผล หรือปันผลน้อย เวลาราคาลง ก็ลงได้เยอะ รวมทั้งเป็นหุ้นที่เป็นวัฏจักรอีกด้วย / หุ้นที่มีลักษณะแบบคลุมเครือเป็นวัฏจักร มักทำให้ นลท มีโอกาสผิดพลาดง่าย เพราะเราไม่รู้ เรามักไปซื้อในจุดที่มันดี
หุ้นถุงยาง - อาจเกิดจากเสียเปรียบมาเลฯ / สู้การประมูลกับคู่แข่งมาเลเซียไม่ได้ เพราะค่าเงินมาเลเซียอ่อนค่า
หุ้นคุณจรีพร - ผู้ร่วมมีทติ้งแชร์ข้อมูลว่า ถ้ามีการเลือกตั้ง จะมีการตั้งโรงงานเยอะมาก / ไทยเป็นยุทธศาสตร์ที่ดี / ขนส่งของไทยก้าวหน้า / logistic ไทย ก้าวหน้ากว่าประเทศอื่น / Cost ของไทยเริ่มลดลง เช่น มีระบบช่วยในการชิปปิ้งได้ เป็นต้น แต่มองว่า หุ้นไม่ตาย น่าสนใจมากกว่า เพราะมีจำนวนหุ้นน้อยกว่า ในขณะที่ขายได้พอๆ กัน / ข้อดีของหุ้นคุณจรีพร ก็คือ มีโรงไฟฟ้า
หุ้นพืชผักผลไม้แช่แข็ง ค่าเงินบาท/เยน มีผลต่อกิจการ เพราะตลาดหลักอยู่ที่ญี่ปุ่น / มีการสร้างโรงงานใหม่ที่พม่า ที่อาจมีอัพไซด์ส่วนนี้ ต้นทุนน่าจะถูก แต่ว่า ต้นทุนค่าขนส่งเป็นอย่างไร ไม่รู้
หุ้นข้าวโพด - ผู้บริหารพูดเก่ง แต่กิจการกำไรไม่มา เป็นธุรกิจที่มีคู่แข่งมาก คิดว่า ไม่น่าจะดี
หุ้นตู้บุญเติม (ที่บุญเริ่มหมด) - ราคาลงมามาก ราคาไม่แพง แต่ว่า กิจการจะเติบโตไหม แต่น่าจะเติบโตน้อยแล้ว ดังนั้น เค้าเลยคิดเพิ่มมูลค่าด้วยบริการที่มากขึ้น ปัจจุบัน รายได้หลัก น่ามาจากการเติมเงินมือถือ และการโอนเงิน / ที่แบงค์ให้ฟรีการโอนเงิน จะมาแย่งตลาดไหม ดูเผินๆ ก็อาจแย่งก็ได้ / ส่วนการใช้มือถือ คนส่วนใหญ่ใช้ระบบ pre paid มากกว่า post paid คนส่วนใหญ่ไม่ได้มีรายได้มาก และคนกลุ่มนี้เป็นคนที่ไม่มีบัญชีธนาคาร ต่อให้แบงค์ฟรีค่าธรรมเนียมการโอน ก็ไม่น่ากระทบ ตามที่ผู้บริหารบอกแบบนี้ แง่ของ Dividend yield ก็ดูได้เยอะพอสมควร สุดท้าย คงต้องรอดูกัน ว่า มีแนวโน้มเป็นอย่างไร ณ ตอนนี้ ก็กินเงินปันผล
หุ้น PEสูง ขึ้นกับคุณภาพกิจการ ราคาก็ยังยืนอยู่ได้โดยที่ PE ยังสูงอยู่ เช่น 7-11, e-custome, และอีกหลายๆ ตัว เพราะคุณภาพดี กำไรยังโตอยู่ / นลท ก็ควรมีความคิดที่ขัดแย้งกัน มีการตั้งคำถาม ไม่ได้มีความเชื่อตามๆ กันเหมือนตัว lemming / หุ้นที่ PE สูง เหมือนขาลอย ยิ่งสูงมาก ยิ่งมีโอกาสตกมามาก ยิ่งเจ็บ หากเราตกจากหุ้น PE ไม่สูง ตกลงมา ก็เจ็บนิดหน่อย
หุ้นเจ้าของเป็นเซียนหุ้น - พื้นฐานใช้ได้ แต่การรับรู้รายได้ ไม่ต่อเนื่อง เพราะมีรายได้จากการเป็นที่ปรึกษา ให้ดูรายได้เป็นรายปี ปีไหนที่ทางกิจการ 3bb มีธุรกรรมเยอะๆ จะมีรายได้เยอะ เพราะ 3bb เป็นลูกค้ารายใหญ่ / ปีไหนที่ไม่ book รายได้ ก็แย่เหมือนกัน
หุ้นเฟอร์เหล็ก - ราคาตอนนี้ ต่ำบุ๊ค ปีหน้าโรงไฟฟ้าเริ่มรับรู้รายได้ แต่ราคาจะขึ้นไหม ไม่แน่ใจ มีสินทรัพย์นึงคือการถือหุ้นในเหล็กสยาม ก็ได้รับรู้ส่วนแบ่งกำไรด้วย / หุ้นขายเฟอร์นิเจอร์ ปีนี้ ไม่น่าจะดีมาก เพราะเศรษฐกิจไม่ดี
หุ้นถังแก๊ส - กำไรดีค่อนข้างเยอะ ยอดขายเพิ่ม หุ้นตัวนี้ ถ้าบาทอ่อนก็จะดี ไตรมาส 3 และ 4 น่าจะดี ปีนี้น่าจะ perfect แน่นอน แต่อนาคตไม่แน่ใจ เพราะ จีนกับตุรกี ถ้าเข้ามาเป็นคู่แข่ง ก็น่าจะอันตราย / เมื่อไรที่ ผบห ซื้อหุ้น น่าเป็นสัญญาณว่า โอเค
หุ้นอสังหาชื่อสุกี้ - ไม่ได้ตาม / มีสินทรัพย์เยอะ มีคลังให้เช่า ถ้าอยากรู้เรื่องกิจการ ให้อ่านรายงานที่ปรึกษาทางการเงินที่ให้มา ตอนที่มีผู้ขอซื้อกิจการ น่าจะเห็นภาพได้ชัดมากขึ้น
หุ้น รฟฟ ชีวมวล - ก็น่าจะโอเค แต่ที่น่าเป็นห่วงคือ สงครามการค้าของอเมริกาที่ส่งผลมา เฟอร์นิเจอร์จีนส่งเมกาไปได้น้อย ความต้องการไม้ยางพาราก็น้อย พอน้อย เศษไม้ยางก็น้อย และขาดแคลน ราคาเศษไม้ยางก็ขึ้นสูง ทำให้กระทบต่อมาร์จิ้น / ข้อดีคือ มีสัญญษ ppa อยู่ในมือที่จะก่อสร้าง / PE ตอนนี้ ก็ไม่แพงแล้ว แต่คงต้องรอสักพัก
คำถาม: ทำไม "หุ้นตัวแรกของ อ." ขาดทุน แต่ทำไมหุ้นน้องใหม่ที่ทำธุรกิจคล้ายกัน มีกำไร – คำตอบ: ตอนที่กำไรดี และ ผบห ซื้อหุ้น ทำให้ นลท ขาดทุนไปหลายคน / เป็นหุ้นวัฏจักร / ให้ซื้อหุ้นนี้ตอนที่บริษัทขาดทุน และถ้าขาดทุน 2 ปีติดกัน แล้วราคาหุ้นทำนิวโล ให้ซื้อเลย เพราะน่าเป็นจุดต่ำสุดของกิจการแล้ว / ระยะหลัง หุ้นที่เข้าตลาดมา มักเข้าตอนที่ผลประกอบการดีมากๆ
หุ้นรวย คล้ายกับ หุ้นดร ยุ้ย - หุ้นอสังหาฯ มักมีกำไรไม่ต่อเนื่อง / ต่อให้มีกำไรดี ราคาหุ้นก็ไม่ขึ้น เพราะรายได้/กำไรเป็นครั้งคราว / งบของ หุ้นรวย อ่อนแอมาก เมื่อเทียบกับ หุ้น ดร ยุ้ย / Backlog ก็มีพอสมควร
รอต่อพรุ่งนี้ ก็โพสหมดพอดีครับ
####################################################
ความสำเร็จจากการลงทุน ไม่ได้เกิดจาก "การซื้อของดี" แต่มาจาก "การซื้อของได้ดี" ต่างหาก
ความสำเร็จจากการลงทุน ไม่ได้เกิดจาก "การซื้อของดี" แต่มาจาก "การซื้อของได้ดี" ต่างหาก
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3164
รายละเอียดหุ้นกู้perpetual bond ของ MINTครับ
สงสัยน่าจะมีคนขายคืนให้เกิน60%ก็เป็นได้
หุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนของบริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน)
หุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุน ไถ่ถอนเมื่อเลิกบริษัท ซึ่งผู้ออกหุ้นกู้มีสิทธิไถ่ถอนหุ้นกู้ก่อนกำหนดและ
มีสิทธิเลื่อนชำระดอกเบี้ยโดยไม่มีเงื่อนไขใด ๆ ของบริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ครั้งที่ 1/2561
ชำระคืนเงินต้นเพียงครั้งเดียวเมื่อเลิกบริษัท1 หรือเมื่อผู้ออกหุ้นกู้ใช้สิทธิไถ่ถอนหุ้นกู้ก่อนกำหนดตั้งแต่ปีที่ 5 เป็นต้นไป
หรือตามเงื่อนไขที่กำหนดในข้อกำหนดสิทธิของหุ้นกู้2
เสนอขายให้แก่ผู้ลงทุนสถาบัน และ/หรือ ผู้ลงทุนทั่วไป
อันดับความน่าเชื่อถือของหุ้นกู้ BBB+ และอันดับความน่าเชื่อถือของบริษัท A แนวโน้ม Stable โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด
จ่ายดอกเบี้ยทุกๆ 6 เดือน โดยผู้ออกหุ้นกู้มีสิทธิเลื่อนการชำระดอกเบี้ยเป็นวันใดๆ ตามดุลยพินิจของผู้ออกหุ้นกู้
พร้อมกับสะสมดอกเบี้ยจ่ายไปชำระในวันใด ๆ ก็ได้3
อัตราดอกเบี้ย
ปีที่ 1-5
5.85% (หรือเทียบเท่า อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 5 ปี4 + 3.56%)
ปีที่ 6-25 อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 5 ปี + 3.81%
ปีที่ 26-50 อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 5 ปี + 4.56%
ปีที่ 51 เป็นต้นไป อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 5 ปี + 5.56%
อัตราดอกเบี้ยจะปรับทุก ๆ 5 ปี โดยอ้างอิงจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 5 ปี5
ณ สิ้นสุดวันทำการของสองวันทำการก่อนวันเริ่มต้นของงวดการปรับดอกเบี้ยที่เกี่ยวข้อง
ตัวอย่างผลตอบแทนกรณีผู้ออกหุ้นกู้เลื่อนชำระดอกเบี้ยและตัดสินใจไถ่ถอนก่อนกำหนด
โดยกำหนดสมมติฐานให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 5 ปี คงที่ที่ระดับ 2.29% (เท่ากับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล อายุ 5 ปี ณ สิ้นวันที่ 17 สิงหาคม 2561)
เพื่อใช้ในการคำนวณอัตราดอกเบี้ย ทั้งนี้ อัตราผลตอบแทนจากการลงทุน (IRR) นี้เป็นเพียงกรณีตัวอย่างเท่านั้น
ปีที่ผู้ออกหุ้นกู้ตัดสินใจไถ่ถอนหุ้นกู้ก่อนครบกำหนดโดยที่ผ่านมาได้เลื่อนการชำระดอกเบี้ยทุกงวด
5 ปี
25 ปี
50 ปี
100 ปี
อัตราผลตอบแทนจากการลงทุน (IRR)
5.27% ต่อปี
3.75% ต่อปี
2.92% ต่อปี
2.24% ต่อปี
หมายเหตุ: หุ้นกู้ประเภทนี้หากมีการเลื่อนการชำระดอกเบี้ยและมีดอกเบี้ยค้างชำระสะสมนานเท่าใด
จะทำให้อัตราผลตอบแทนจากการลงทุนที่ผู้ถือหุ้นกู้ได้รับ จนครบกำหนดไถ่ถอนจะยิ่งลดลงเท่านั้น
อนึ่ง อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 5 ปี ในปี 2556 - 2561 (18 สิงหาคม 2556 – 17 สิงหาคม 2561) อยู่ระหว่าง 1.47%-3.76%
อย่างไรก็ดี อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 5 ปี ที่จะใช้อ้างอิงในการปรับอัตราดอกเบี้ยทุกๆ 5 ปี ข้างต้นอาจมีการเปลี่ยนแปลงจากข้อมูลในอดีตนี้
และอาจเปลี่ยนแปลงจากในตัวอย่างข้างต้น ซึ่งจะขึ้นอยู่กับสภาวะตลาด ณ ขณะนั้น
เสนอขายหน่วยละ 1,000 บาท จำนวนจองซื้อขั้นต่ำสำหรับผู้ลงทุนสถาบัน 100,000 บาทและสำหรับผู้ลงทุนทั่วไป 100,000 บาท
การจัดสรรขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้
ขอรับหนังสือชี้ชวน และคาดว่าเปิดรับจองซื้อวันที่ 24 – 27 กันยายน 2561
คำเตือน: โปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน
การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลในหนังสือชี้ชวนก่อนการตัดสินใจลงทุน
ทั้งนี้ ผู้ลงทุนสามารถศึกษารายละเอียดได้จากแบบแสดงรายการข้อมูลและร่างหนังสือชี้ชวนที่ www.sec.or.th
หมายเหตุ: บริษัทอยู่ระหว่างการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลและร่างหนังสือชี้ชวนต่อสำนักงาน ก.ล.ต. ซึ่งยังไม่มีผลใช้บังคับ
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับหุ้นกู้ได้ที่:
ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) โทร. 02-888-8888 กด 819
1. ผู้ออกหุ้นกู้จะชำระคืนเงินต้นเพียงครั้งเดียวเมื่อเลิกบริษัท กล่าวคือ หุ้นกู้ไม่มีวันกำหนดชำระคืนเงินต้นจนกว่าบริษัทจะเลิกกิจการ
2. สิทธิในการไถ่ถอนก่อนกำหนดตามเงื่อนไขที่กำหนดในข้อกำหนดสิทธิของหุ้นกู้ ได้แก่ (1) เมื่อผู้ออกหุ้นกู้ไม่สามารถนำดอกเบี้ยที่ชำระให้แก่ผู้ลงทุนมาหักเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อประโยชน์ในการคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคลทั้งจำนวน หรือ (2) เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงในวิธีการจัดอันดับของหุ้นกู้โดยสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ ทำให้ผู้ออกหุ้นกู้สามารถนับหุ้นกู้ที่ออกนี้เป็นเครดิตตราสารทุนหรือเป็นส่วนของผู้ถือหุ้น ได้น้อยลงหรือไม่สามารถนับได้เลย หรือ (3) เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงในหลักการทางบัญชีที่ทำให้ผู้ออกหุ้นกู้สามารถนับหุ้นกู้ที่ออกนี้เป็นส่วนของผู้ถือหุ้นได้น้อยลงกว่า ณ วันออกหุ้นกู้ หรือไม่สามารถนับได้เลย
3. ข้อห้ามปฏิบัติของผู้ออกหุ้นกู้ระหว่างการเลื่อนการชำระดอกเบี้ย โดยตราบเท่าที่ผู้ออกหุ้นกู้มีการเลื่อนการชำระดอกเบี้ยหรือมีดอกเบี้ยค้างชำระ ผู้ออกหุ้นกู้จะ (1) ไม่ประกาศหรือจ่ายเงินปันผล และ (2) ไม่ชำระดอกเบี้ยหรือแจกจ่ายทรัพย์สินใดๆ แก่ผู้ถือหลักทรัพย์ของผู้ออกหุ้นกู้ที่มีสถานะทางกฎหมายเท่าเทียมหรือด้อยกว่าหุ้นกู้ และ (3) ไม่ไถ่ถอน ลด ยกเลิก ซื้อ หรือ ซื้อคืนซึ่งหลักทรัพย์ของบริษัทที่มีสถานะทางกฎหมายเท่าเทียมหรือด้อยกว่าหุ้นกู้
4. อ้างอิงอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 5 ปี ณ วันที่ 17 สิงหาคม 2561 ซึ่งเท่ากับ 2.29%
5. ผู้ลงทุนสามารถตรวจสอบอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 5 ปี อ้างอิงได้ที่ http://www.thaibma.or.th/EN/Market/Yiel ... nment.aspx
สงสัยน่าจะมีคนขายคืนให้เกิน60%ก็เป็นได้
หุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนของบริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน)
หุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุน ไถ่ถอนเมื่อเลิกบริษัท ซึ่งผู้ออกหุ้นกู้มีสิทธิไถ่ถอนหุ้นกู้ก่อนกำหนดและ
มีสิทธิเลื่อนชำระดอกเบี้ยโดยไม่มีเงื่อนไขใด ๆ ของบริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ครั้งที่ 1/2561
ชำระคืนเงินต้นเพียงครั้งเดียวเมื่อเลิกบริษัท1 หรือเมื่อผู้ออกหุ้นกู้ใช้สิทธิไถ่ถอนหุ้นกู้ก่อนกำหนดตั้งแต่ปีที่ 5 เป็นต้นไป
หรือตามเงื่อนไขที่กำหนดในข้อกำหนดสิทธิของหุ้นกู้2
เสนอขายให้แก่ผู้ลงทุนสถาบัน และ/หรือ ผู้ลงทุนทั่วไป
อันดับความน่าเชื่อถือของหุ้นกู้ BBB+ และอันดับความน่าเชื่อถือของบริษัท A แนวโน้ม Stable โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด
จ่ายดอกเบี้ยทุกๆ 6 เดือน โดยผู้ออกหุ้นกู้มีสิทธิเลื่อนการชำระดอกเบี้ยเป็นวันใดๆ ตามดุลยพินิจของผู้ออกหุ้นกู้
พร้อมกับสะสมดอกเบี้ยจ่ายไปชำระในวันใด ๆ ก็ได้3
อัตราดอกเบี้ย
ปีที่ 1-5
5.85% (หรือเทียบเท่า อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 5 ปี4 + 3.56%)
ปีที่ 6-25 อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 5 ปี + 3.81%
ปีที่ 26-50 อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 5 ปี + 4.56%
ปีที่ 51 เป็นต้นไป อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 5 ปี + 5.56%
อัตราดอกเบี้ยจะปรับทุก ๆ 5 ปี โดยอ้างอิงจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 5 ปี5
ณ สิ้นสุดวันทำการของสองวันทำการก่อนวันเริ่มต้นของงวดการปรับดอกเบี้ยที่เกี่ยวข้อง
ตัวอย่างผลตอบแทนกรณีผู้ออกหุ้นกู้เลื่อนชำระดอกเบี้ยและตัดสินใจไถ่ถอนก่อนกำหนด
โดยกำหนดสมมติฐานให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 5 ปี คงที่ที่ระดับ 2.29% (เท่ากับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล อายุ 5 ปี ณ สิ้นวันที่ 17 สิงหาคม 2561)
เพื่อใช้ในการคำนวณอัตราดอกเบี้ย ทั้งนี้ อัตราผลตอบแทนจากการลงทุน (IRR) นี้เป็นเพียงกรณีตัวอย่างเท่านั้น
ปีที่ผู้ออกหุ้นกู้ตัดสินใจไถ่ถอนหุ้นกู้ก่อนครบกำหนดโดยที่ผ่านมาได้เลื่อนการชำระดอกเบี้ยทุกงวด
5 ปี
25 ปี
50 ปี
100 ปี
อัตราผลตอบแทนจากการลงทุน (IRR)
5.27% ต่อปี
3.75% ต่อปี
2.92% ต่อปี
2.24% ต่อปี
หมายเหตุ: หุ้นกู้ประเภทนี้หากมีการเลื่อนการชำระดอกเบี้ยและมีดอกเบี้ยค้างชำระสะสมนานเท่าใด
จะทำให้อัตราผลตอบแทนจากการลงทุนที่ผู้ถือหุ้นกู้ได้รับ จนครบกำหนดไถ่ถอนจะยิ่งลดลงเท่านั้น
อนึ่ง อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 5 ปี ในปี 2556 - 2561 (18 สิงหาคม 2556 – 17 สิงหาคม 2561) อยู่ระหว่าง 1.47%-3.76%
อย่างไรก็ดี อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 5 ปี ที่จะใช้อ้างอิงในการปรับอัตราดอกเบี้ยทุกๆ 5 ปี ข้างต้นอาจมีการเปลี่ยนแปลงจากข้อมูลในอดีตนี้
และอาจเปลี่ยนแปลงจากในตัวอย่างข้างต้น ซึ่งจะขึ้นอยู่กับสภาวะตลาด ณ ขณะนั้น
เสนอขายหน่วยละ 1,000 บาท จำนวนจองซื้อขั้นต่ำสำหรับผู้ลงทุนสถาบัน 100,000 บาทและสำหรับผู้ลงทุนทั่วไป 100,000 บาท
การจัดสรรขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้
ขอรับหนังสือชี้ชวน และคาดว่าเปิดรับจองซื้อวันที่ 24 – 27 กันยายน 2561
คำเตือน: โปรดทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน
การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลในหนังสือชี้ชวนก่อนการตัดสินใจลงทุน
ทั้งนี้ ผู้ลงทุนสามารถศึกษารายละเอียดได้จากแบบแสดงรายการข้อมูลและร่างหนังสือชี้ชวนที่ www.sec.or.th
หมายเหตุ: บริษัทอยู่ระหว่างการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลและร่างหนังสือชี้ชวนต่อสำนักงาน ก.ล.ต. ซึ่งยังไม่มีผลใช้บังคับ
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับหุ้นกู้ได้ที่:
ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) โทร. 02-888-8888 กด 819
1. ผู้ออกหุ้นกู้จะชำระคืนเงินต้นเพียงครั้งเดียวเมื่อเลิกบริษัท กล่าวคือ หุ้นกู้ไม่มีวันกำหนดชำระคืนเงินต้นจนกว่าบริษัทจะเลิกกิจการ
2. สิทธิในการไถ่ถอนก่อนกำหนดตามเงื่อนไขที่กำหนดในข้อกำหนดสิทธิของหุ้นกู้ ได้แก่ (1) เมื่อผู้ออกหุ้นกู้ไม่สามารถนำดอกเบี้ยที่ชำระให้แก่ผู้ลงทุนมาหักเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อประโยชน์ในการคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคลทั้งจำนวน หรือ (2) เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงในวิธีการจัดอันดับของหุ้นกู้โดยสถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือ ทำให้ผู้ออกหุ้นกู้สามารถนับหุ้นกู้ที่ออกนี้เป็นเครดิตตราสารทุนหรือเป็นส่วนของผู้ถือหุ้น ได้น้อยลงหรือไม่สามารถนับได้เลย หรือ (3) เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงในหลักการทางบัญชีที่ทำให้ผู้ออกหุ้นกู้สามารถนับหุ้นกู้ที่ออกนี้เป็นส่วนของผู้ถือหุ้นได้น้อยลงกว่า ณ วันออกหุ้นกู้ หรือไม่สามารถนับได้เลย
3. ข้อห้ามปฏิบัติของผู้ออกหุ้นกู้ระหว่างการเลื่อนการชำระดอกเบี้ย โดยตราบเท่าที่ผู้ออกหุ้นกู้มีการเลื่อนการชำระดอกเบี้ยหรือมีดอกเบี้ยค้างชำระ ผู้ออกหุ้นกู้จะ (1) ไม่ประกาศหรือจ่ายเงินปันผล และ (2) ไม่ชำระดอกเบี้ยหรือแจกจ่ายทรัพย์สินใดๆ แก่ผู้ถือหลักทรัพย์ของผู้ออกหุ้นกู้ที่มีสถานะทางกฎหมายเท่าเทียมหรือด้อยกว่าหุ้นกู้ และ (3) ไม่ไถ่ถอน ลด ยกเลิก ซื้อ หรือ ซื้อคืนซึ่งหลักทรัพย์ของบริษัทที่มีสถานะทางกฎหมายเท่าเทียมหรือด้อยกว่าหุ้นกู้
4. อ้างอิงอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 5 ปี ณ วันที่ 17 สิงหาคม 2561 ซึ่งเท่ากับ 2.29%
5. ผู้ลงทุนสามารถตรวจสอบอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 5 ปี อ้างอิงได้ที่ http://www.thaibma.or.th/EN/Market/Yiel ... nment.aspx
- AnieLee
- Verified User
- โพสต์: 1436
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3165
(ต่อ) มีทติ้งวีไอภาคใต้ Q2/61 โพสสุดท้าย ตอนจบ
วันนี้โพสเนื้อหาที่เหลือจนจบเลยครับ
หุ้นร้บจ้างชิ้นส่วนรถฯ ไม่ได้ตาม / กำไรดีมากๆ มา 1-2 ปีแล้ว แต่ไม่แน่ใจว่า กำไรยังจะดีไหม / ถ้าเราไปซื้อตอนดีมาก ก็อันตราย / วีไอพยายามคิดความเสี่ยงเยอะๆ
หุ้นยางรถ ตอนนี้ นับว่า PE ต่ำสุด ในอดีตเงินปันผลน้อย ราคาหุ้นเลยไม่ไปไหน ปีล่าสุดมีเพิ่มปันผล yield เลยกระโดด ถ้าปีนี้ ปันผลมากเหมือนเดิม ราคาน่าจะโอเคหรืออาจขึ้นก็ได้ ราคายางไม่มีผลต่อต้นทุนของ HFT แต่กลายเป็น Carbon Black ที่มีผลต่อต้นทุน
หุ้นน้ำอัดลม เป็นผู้ได้สิทธิในการบรรจุขวดเท่านั้น ต่างกับโค้กที่วอเรนซื้อ ขายนาภาคใต้เท่านั้น แนวโน้มการบริโภคในภาคใต้ น่าจะลดลง บวกกับคนบริโภคน้ำตลาดลด (มีน้ำตาลเยอะ) จะให้เติบโตมากๆ คงจะยาก / ที่กำไรมากๆ เดาว่า ต้นทุนลดลง จากราคาน้ำตาลลดลง
หุ้นปลาเส้น ปีก่อน มีกำไรพิเศษ ปีนี้ก็กำไรต่ำลง / อดีตที่ราคาขึ้นมา พราะมีการปั้นสตอรี่ขายจีน เลยมีการปั่น PE ได้สูงๆ นลท ก็มโนว่า จะดีอย่างนั้นอย่างนี้
หุ้นพรมสังหาร ไตรมาสล่าสุด กำไรดี น่ามาจากกำไรพิเศษ / พรมไทย กิจการมีความซับซ้อนสูงมาก มีบริษัทย่อยหลายบริษัทมาก วุ่นวายไปหมด ทั้งสกุลเงินต่างประเทศอีกด้วย รวมทั้ง ค่าความนิยม และมี Warrant อีกด้วย / คาดเดารายได้กำไรไม่ได้เลย ไม่มีอะไรบอกได้เลยว่า กำไรจะขึ้นหรือจะลง หากจะซื้อ น่ารอดูการใช้สิทธิ์แปลงวอแรนต์ก่อน รวมทั้งรอดูการตัดค่าความนิยมก่อน
หุ้นกล้อง ที่ผ่านมา กำไรดีเกินจริง ขายกล้องได้กำไรมากมายได้ยังไง / มือถือปัจจุบัน ก็เก่งขึ้นเรื่อยๆ
หุ้นปั้มเขียว มีกำไรมาจาก รายได้การกลั่นฯ, ส่วนแบ่งจากบริษัทฯ ร่วม (มีโรงไฟฟ้าที่เป็น Adder ที่เป็นเหมือนระเบิดเวลา เพราะใกล้หมดอายุ), ส่วนแบ่งจากไบโอฯ / รายได้หลักก็มาจากรายได้การกลั่น
หุ้นคุณธิดา เดิมก็มีแผนที่จะซื้อบริษัทเงินทุน 100% อยู่แล้ว เพียงแต่ราคาขึ้นไป เลยซื้อได้ไม่มาก / กิจการหุ้นคุณธิดา ซื้อบริษัทเงินทุนมาเพื่อลดความเสี่ยงฯ จากการควบคุมของภาครัฐฯ / บริษัทเงินทุนคิดดอกได้ 30%กว่า แต่ทางกิจการคิดดอกได้ 15% / บริษัทเงินทุนอยู่ในการควบคุมของ ธปท ก็ระดมเงินได้ คิดดอกแพงได้ แต่ไม่มีหน้าร้าน/สาขา ก็ต้องพึ่งพาบริษัทเงินทุนก็ต้องมีการจ่ายค่าธรรมเนียมให้แก่บริษัทเงินทุน / การเปลี่ยนนโยบายหักหลักประกัน จากบทวิเคราะห์โบรคฯ บอกว่า ทางบริษัทเงินทุนได้ประโยชน์ สำรองหนี้อาจจะลดลง มีผลให้กำไรมากขึ้น
Trade War ระหว่างอเมริกา กับ จีน สุดท้าย น่าจะจบด้วยการรอมชอมกัน / ประเด็นแบบนี้ ก็ไม่มีประโยชน์เท่าไรกับเรา หุ้นที่ราคาลงมา แต่ไม่เกี่ยวกับ Trade War ก็น่าสนใจ
7-11 เริ่มทำร้านขายยา ก็น่าจะไม่ผลต่อกำไรเพิ่มเท่าไรนัก / เมืองนอก ร้านขายยา เป็น Chain Store หมดแล้ว แต่เมืองไทยยังไม่ได้ทำ แนวโน้มในอนาคต น่าเป็น Chain Store หมด ก็จะจ้างเภสัชกรเป็นพนักงาน แทนการเป็นเจ้าของ
หุ้นโรงไฟฟ้าของท่านประชัย ออกหุ้นกู้ 2 พันกว่าล้าน ทั้งๆ ที่มีเงินมากอยู่แล้ว น่ามีอะไรรออยู่ เช่น เทคโอเวอร์ เป็นต้น / ข้อดี มีวิศวกรเก่ง ก็มีความสามารถในการหาทาง maximize รายได้ให้มากตลอด
หุ้นโรงไฟฟ้า ทายาทช่อง 3 กำไรส่วนใหญ่มาจาก Solar ในประเทศไทย ซึ่ง Adder ก็กำลังจะหมดเหมือนกัน / มีการกระจายไปที่ญี่ปุ่นมาก แต่มาร์จิ้นที่ญี่ปุ่นก็น้อย / พอโครงการที่ญี่ปุ่นรันได้ โครงการทางไทยที่เป็น adder ก็หมดพอดี ก็ไม่มีการเติบโต ราคาหุ้นเลยไม่ไปไหน
ภาวะตลาดก็มีผลต่อการเลือกหุ้น เช่น ตอนที่ index แถว 1800 ก็มองว่า หุ้นที่มี PE 12-15 ก็ถูกมาก แต่พอ index เหลือ 1500 หุ้นที่ว่าถูก ก็เหลือ 8x เท่า และพอตลาด Crash ก็อยากได้ความสบายใจ ก็จะอยากได้หุ้นปันผลมากขึ้น / ภาวะตลาดก็มีผลต่อการตัดสินใจเช่นกัน แต่ก็ไม่ได้เป็นปัจจัยหลัก ให้โฟกัสที่กิจการ
จบมีทติ้งภาคใต้ Q2/61 เพียงเท่านี้ครับ
ปล. มีตัดเนื้อหาที่มีผู้ร่วมมีทติ้งมาให้ข้อมูลหุ้นออกไปบางส่วน เพราะเกรงว่า การเอามาสรุปด้วย จะเป็นการให้ข้อมูลกิจการเชิงบวกมากเกินไป จนเกิดความเสี่ยงต่อ นลท ก็เลยตัดสินใจ ไม่สรุปส่วนที่ว่าดีกว่าครับ
วันนี้โพสเนื้อหาที่เหลือจนจบเลยครับ
หุ้นร้บจ้างชิ้นส่วนรถฯ ไม่ได้ตาม / กำไรดีมากๆ มา 1-2 ปีแล้ว แต่ไม่แน่ใจว่า กำไรยังจะดีไหม / ถ้าเราไปซื้อตอนดีมาก ก็อันตราย / วีไอพยายามคิดความเสี่ยงเยอะๆ
หุ้นยางรถ ตอนนี้ นับว่า PE ต่ำสุด ในอดีตเงินปันผลน้อย ราคาหุ้นเลยไม่ไปไหน ปีล่าสุดมีเพิ่มปันผล yield เลยกระโดด ถ้าปีนี้ ปันผลมากเหมือนเดิม ราคาน่าจะโอเคหรืออาจขึ้นก็ได้ ราคายางไม่มีผลต่อต้นทุนของ HFT แต่กลายเป็น Carbon Black ที่มีผลต่อต้นทุน
หุ้นน้ำอัดลม เป็นผู้ได้สิทธิในการบรรจุขวดเท่านั้น ต่างกับโค้กที่วอเรนซื้อ ขายนาภาคใต้เท่านั้น แนวโน้มการบริโภคในภาคใต้ น่าจะลดลง บวกกับคนบริโภคน้ำตลาดลด (มีน้ำตาลเยอะ) จะให้เติบโตมากๆ คงจะยาก / ที่กำไรมากๆ เดาว่า ต้นทุนลดลง จากราคาน้ำตาลลดลง
หุ้นปลาเส้น ปีก่อน มีกำไรพิเศษ ปีนี้ก็กำไรต่ำลง / อดีตที่ราคาขึ้นมา พราะมีการปั้นสตอรี่ขายจีน เลยมีการปั่น PE ได้สูงๆ นลท ก็มโนว่า จะดีอย่างนั้นอย่างนี้
หุ้นพรมสังหาร ไตรมาสล่าสุด กำไรดี น่ามาจากกำไรพิเศษ / พรมไทย กิจการมีความซับซ้อนสูงมาก มีบริษัทย่อยหลายบริษัทมาก วุ่นวายไปหมด ทั้งสกุลเงินต่างประเทศอีกด้วย รวมทั้ง ค่าความนิยม และมี Warrant อีกด้วย / คาดเดารายได้กำไรไม่ได้เลย ไม่มีอะไรบอกได้เลยว่า กำไรจะขึ้นหรือจะลง หากจะซื้อ น่ารอดูการใช้สิทธิ์แปลงวอแรนต์ก่อน รวมทั้งรอดูการตัดค่าความนิยมก่อน
หุ้นกล้อง ที่ผ่านมา กำไรดีเกินจริง ขายกล้องได้กำไรมากมายได้ยังไง / มือถือปัจจุบัน ก็เก่งขึ้นเรื่อยๆ
หุ้นปั้มเขียว มีกำไรมาจาก รายได้การกลั่นฯ, ส่วนแบ่งจากบริษัทฯ ร่วม (มีโรงไฟฟ้าที่เป็น Adder ที่เป็นเหมือนระเบิดเวลา เพราะใกล้หมดอายุ), ส่วนแบ่งจากไบโอฯ / รายได้หลักก็มาจากรายได้การกลั่น
หุ้นคุณธิดา เดิมก็มีแผนที่จะซื้อบริษัทเงินทุน 100% อยู่แล้ว เพียงแต่ราคาขึ้นไป เลยซื้อได้ไม่มาก / กิจการหุ้นคุณธิดา ซื้อบริษัทเงินทุนมาเพื่อลดความเสี่ยงฯ จากการควบคุมของภาครัฐฯ / บริษัทเงินทุนคิดดอกได้ 30%กว่า แต่ทางกิจการคิดดอกได้ 15% / บริษัทเงินทุนอยู่ในการควบคุมของ ธปท ก็ระดมเงินได้ คิดดอกแพงได้ แต่ไม่มีหน้าร้าน/สาขา ก็ต้องพึ่งพาบริษัทเงินทุนก็ต้องมีการจ่ายค่าธรรมเนียมให้แก่บริษัทเงินทุน / การเปลี่ยนนโยบายหักหลักประกัน จากบทวิเคราะห์โบรคฯ บอกว่า ทางบริษัทเงินทุนได้ประโยชน์ สำรองหนี้อาจจะลดลง มีผลให้กำไรมากขึ้น
Trade War ระหว่างอเมริกา กับ จีน สุดท้าย น่าจะจบด้วยการรอมชอมกัน / ประเด็นแบบนี้ ก็ไม่มีประโยชน์เท่าไรกับเรา หุ้นที่ราคาลงมา แต่ไม่เกี่ยวกับ Trade War ก็น่าสนใจ
7-11 เริ่มทำร้านขายยา ก็น่าจะไม่ผลต่อกำไรเพิ่มเท่าไรนัก / เมืองนอก ร้านขายยา เป็น Chain Store หมดแล้ว แต่เมืองไทยยังไม่ได้ทำ แนวโน้มในอนาคต น่าเป็น Chain Store หมด ก็จะจ้างเภสัชกรเป็นพนักงาน แทนการเป็นเจ้าของ
หุ้นโรงไฟฟ้าของท่านประชัย ออกหุ้นกู้ 2 พันกว่าล้าน ทั้งๆ ที่มีเงินมากอยู่แล้ว น่ามีอะไรรออยู่ เช่น เทคโอเวอร์ เป็นต้น / ข้อดี มีวิศวกรเก่ง ก็มีความสามารถในการหาทาง maximize รายได้ให้มากตลอด
หุ้นโรงไฟฟ้า ทายาทช่อง 3 กำไรส่วนใหญ่มาจาก Solar ในประเทศไทย ซึ่ง Adder ก็กำลังจะหมดเหมือนกัน / มีการกระจายไปที่ญี่ปุ่นมาก แต่มาร์จิ้นที่ญี่ปุ่นก็น้อย / พอโครงการที่ญี่ปุ่นรันได้ โครงการทางไทยที่เป็น adder ก็หมดพอดี ก็ไม่มีการเติบโต ราคาหุ้นเลยไม่ไปไหน
ภาวะตลาดก็มีผลต่อการเลือกหุ้น เช่น ตอนที่ index แถว 1800 ก็มองว่า หุ้นที่มี PE 12-15 ก็ถูกมาก แต่พอ index เหลือ 1500 หุ้นที่ว่าถูก ก็เหลือ 8x เท่า และพอตลาด Crash ก็อยากได้ความสบายใจ ก็จะอยากได้หุ้นปันผลมากขึ้น / ภาวะตลาดก็มีผลต่อการตัดสินใจเช่นกัน แต่ก็ไม่ได้เป็นปัจจัยหลัก ให้โฟกัสที่กิจการ
จบมีทติ้งภาคใต้ Q2/61 เพียงเท่านี้ครับ
ปล. มีตัดเนื้อหาที่มีผู้ร่วมมีทติ้งมาให้ข้อมูลหุ้นออกไปบางส่วน เพราะเกรงว่า การเอามาสรุปด้วย จะเป็นการให้ข้อมูลกิจการเชิงบวกมากเกินไป จนเกิดความเสี่ยงต่อ นลท ก็เลยตัดสินใจ ไม่สรุปส่วนที่ว่าดีกว่าครับ
####################################################
ความสำเร็จจากการลงทุน ไม่ได้เกิดจาก "การซื้อของดี" แต่มาจาก "การซื้อของได้ดี" ต่างหาก
ความสำเร็จจากการลงทุน ไม่ได้เกิดจาก "การซื้อของดี" แต่มาจาก "การซื้อของได้ดี" ต่างหาก
- AnieLee
- Verified User
- โพสต์: 1436
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3166
มานับๆ ดู พบว่า มีทติ้งวีไอภาคใต้รอบนี้คุยหุ้นราวๆ 60 กว่าตัว ก็เยอะพอสมควร เมื่อเทียบเวลามีทติ่งรวมราว 5-6 ชม. ทั้งๆ ที่รู้สึกว่า รอบนี้บรรยากาศเงียบไปพอสมควร อาจเป็นเพราะภาวะตลาดไม่ดี รวมถึงผลตอบแทนของการลงทุนครึ่งแรกของปีนี้ ค่อนข้างย้ำแย่ด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ก็คงต้องขุดหาหุ้นกันต่อไปครับ / ใครมีหุ้นอะไรดีๆ อย่าลืมมากระซิบด้วยครับ จะได้ลอกหุ้นซะเลยครับ แนวนี้เรียก แนว CI (Copycat Investing) ฮ่าๆๆๆๆ
แฮปปี้วีคเอ็นครับ
อย่างไรก็ตาม ก็คงต้องขุดหาหุ้นกันต่อไปครับ / ใครมีหุ้นอะไรดีๆ อย่าลืมมากระซิบด้วยครับ จะได้ลอกหุ้นซะเลยครับ แนวนี้เรียก แนว CI (Copycat Investing) ฮ่าๆๆๆๆ
แฮปปี้วีคเอ็นครับ
####################################################
ความสำเร็จจากการลงทุน ไม่ได้เกิดจาก "การซื้อของดี" แต่มาจาก "การซื้อของได้ดี" ต่างหาก
ความสำเร็จจากการลงทุน ไม่ได้เกิดจาก "การซื้อของดี" แต่มาจาก "การซื้อของได้ดี" ต่างหาก
-
- Verified User
- โพสต์: 1959
- ผู้ติดตาม: 1
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3167
หุ้นรุ่นน้อง คือ ประโยคสุดท้ายของเพลงชาติ ใช่ไหมครับAnieLee เขียน:(ต่อ) มีทติ้งวีไอภาคใต้ Q2/61
หุ้นตามเก็บหนี้ ไม่ได้ติดตาม เท่าที่ทราบ ในอดีต มีการปรับนโยบายบัญชี ทำให้มีผลประกอบการดีขึ้น ราคาเลยดีมาเมื่อ 1-2 ปีที่ผ่านมา พอหุ้นรุ่นน้องเข้าตลาด คนก็เลยมาสนใจ ยิ่งเศรษฐกิจไม่ดี ก็ยิ่งมีหนี้เสียเยอะ ตอนหลังหุ้นรุ่นน้องมีกำไรดีขึ้น ราคาหุ้นก็เลยวิ่งขึ้น ข้อดีของหุ้นรุ่นน้องคือ Debt to Equipty ต่ำมากๆ ก็มีความสามารถในการซื้อหุ้นเสียได้อีกเยอะเลย กำไรไม่น่ามีปัญหาแน่นอน แต่ต้องดูว่า P/E ที่เราซื้อ สมเหตุสมผลไหม / มีผู้ร่วมมีทติ้งแชร์ว่า มีที่ดินด้วย และมีการตัดจำหน่ายหนี้ที่ซื้อมาเป็นเวลา 5 ปี ต่างกับ หุ้นตามเก็บหนี้รุ่นพี่ ที่ตัดจำหน่าย 10 ปี
ผมอ่านแล้วงง จึงไม่แน่ใจว่าแบบนี้จะได้ไหมครับAnieLee เขียน:(ต่อ) มีทติ้งวีไอภาคใต้ Q2/61 โพสสุดท้าย ตอนจบ
หุ้นคุณธิดา เดิมก็มีแผนที่จะซื้อบริษัทเงินทุน 100% อยู่แล้ว เพียงแต่ราคาขึ้นไป เลยซื้อได้ไม่มาก / กิจการหุ้นคุณธิดา ซื้อบริษัทเงินทุนมาเพื่อลดความเสี่ยงฯ จากการควบคุมของภาครัฐฯ / บริษัทเงินทุนคิดดอกได้ 30%กว่า แต่ทางกิจการคิดดอกได้ 15% / บริษัทเงินทุนอยู่ในการควบคุมของ ธปท ก็ระดมเงินได้ คิดดอกแพงได้ แต่ไม่มีหน้าร้าน/สาขา ก็ต้องพึ่งพาบริษัทเงินทุนก็ต้องมีการจ่ายค่าธรรมเนียมให้แก่บริษัทเงินทุน / การเปลี่ยนนโยบายหักหลักประกัน จากบทวิเคราะห์โบรคฯ บอกว่า ทางบริษัทเงินทุนได้ประโยชน์ สำรองหนี้อาจจะลดลง มีผลให้กำไรมากขึ้น
" หุ้นคุณธิดา เดิมก็มีแผนที่จะซื้อบริษัทเงินทุน 100% อยู่แล้ว เพียงแต่ราคาขึ้นไป เลยซื้อได้ไม่มาก / กิจการหุ้นคุณธิดา ซื้อบริษัทเงินทุนมาเพื่อลดความเสี่ยงฯ จากการควบคุมของภาครัฐฯ / บริษัทเงินทุนคิดดอกได้ 30%กว่า แต่ทางกิจการคิดดอกได้ 15% / บริษัทเงินทุนอยู่ในการควบคุมของ ธปท ก็ระดมเงินได้ คิดดอกแพงได้ แต่ไม่มีหน้าร้าน/สาขา ก็ต้องพึ่งพาทางกิจการ บริษัทเงินทุนก็ต้องมีการจ่ายค่าธรรมเนียมให้แก่ทางกิจการ / การเปลี่ยนนโยบายหักหลักประกัน จากบทวิเคราะห์โบรคฯ บอกว่า ทางกิจการได้ประโยชน์ สำรองหนี้อาจจะลดลง มีผลให้กำไรมากขึ้น "
ขอบคุณคุณ AnieLee มากครับสำหรับรายงานดีๆ ทุกครั้งที่มีมีทติ้งวีไอภาคใต้
" สพฺเพ ธมฺมา นาลํ อภินิเวสาย "
" Whatever your mind can conceive and believe it can achieve "
" Whatever your mind can conceive and believe it can achieve "
-
- Verified User
- โพสต์: 842
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3168
มาส่งการบ้านท่านAnieLee กับเพื่อนๆนะฮะ
งานมันนี่แชนแน่ลหาดใหญ่ครั้งล่าสุด
ช่วงคุณวินโบรคซิมบี้ คุณธิดาศิริโบรคชาวนา
ปอปขายแสนนึง เม่าซื้อแสนนึง หรั่งขายสองแสน กองซื้อแสนกว่า
แนะนำ หุ้นอุปโภคบริโภค,ท่องเที่ยว ยังโตดี แต่รอซื้อตอนปรับฐาน สวนพวกovereact(1700แพง,1500โอเค)
จัดผอร์ทให้มีหุ้น,ตราสาร เป็นหลัก
ทองเล่นรอบ1,200ดอลล์(หมื่นแปด)เพราะต้นทุนขุด1,100ดอลล์(จีนอินเดียยังรับอยู่)
น้ำมันตอนนี้เมกาผลิตเพิ่มจนมากกว่าซาอุแล้ว ประสิทธิภาพดีขึ้นอีก หลุมเปิดน้อยลงแต่ผลิตได้มากกว่าเดิมอีก
อสังหาทางอ้อม(REITS)พวกออฟฟิส ค้าปลีก น่าสนใจเพื่อรับโลจิสติกกับอีคอมเมิร์ส
ช่วงอ.นิเวศน์กับคุณวิวัฒน์ทิสโก้
คุณวิวัฒน์
ตั้งแต่2013มาจนถึงก่อนเลือกตั้งปีหน้า หุ้นไทยแทบไม่ไปไหน หลังเลือกตั้งเก็งว่าน่าจะดีขึ้น
ฝรั่งขายไปห้าแสนเพิ่งกลับมาซื้อแสนเดียว ถ้าซื้อเพิ่มจะไป1850
ส่วนพอหลังเลือกตั้งจะผันผวนเพราะ
1. ดอกเบี้ยบอนด์เมกาสิบปีเริ่มแตะ3%
2. มีtradewarปีนี้ จะส่งผลปีหน้าชะลอตัว
3. ยุติQE เงินอาจไหลจากbondเข้าหุ้น (บอนด์ไม่ชอบดอกเบี้นขึ้น)สภาพคล่องธ.กลางเริ่มติดลบในรอบสิบปี
4. กำลังจะเป็นinverted yield(ดอกเบี้ยสั้นเริ่มตัดกับดอกเบี้ยยาว)ซึ่งเคยเกิดในปี2001,2008,2018ก่อนวิกฤติ
หุ้นเมกา สูงสุดมาสี่ปีแล้ว แนสแดกPE38
จีน หุ้นเทคโนตกลงมา30%อาลี แทนเซนต์ ไป่ตู้ น่าลงทุนETF
หุ้นไทย โดนdigital disruptหมดแล้ว รอให้ปรับตัวโดยเอาเทคโนโลยี่มาช่วย
หลังเลือกตั้ง เงินในบอนด์เก้าแสนล้านอาจใหลเข้าหุ้น ดัน1850 ไป1950(ว้าวว..)
ไม่ผ่าน1850อย่างแย่ก็ลง1665
อ.นิเวศน์
โอกาสวิกฤติมีตลอด แต่ไม่รู้หรอกว่าเมื่อไหร่
ปี2013เป็นปีของจุดเปลื่ยนสำคัญ ตอนนั้นดัชนี1,400ตอนนี้1,700 เพิ่มแค่20%
คิดออกมาแค่ปีละ3%เอง+ปันผลอีก3% รวมเป็นได้ผลตอบแทนหุ้นปีละ6%
แค่พอใช้ได้เท่านั้น แต่ยังดีกว่าฝากแบ็งค์ที่1+%
5ปีแปดเดือนที่ผ่านมา หุ้นผันผวนน้อยมาก แย่ก็แค่-10% ดีก็แค่+20%(แต่ก่อน+-30%-100%)
ต่างชาติขายไปห้าแสนล้าน แต่หุ้นก็ไม่ตก เม่าไทยรับตลอด(ปีนี้ขายอีกสองแสนล้านแล้ว)
การเมืองเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะรัฐประหารที่อยู่ยาว บางคนอาจคิดว่าก็ดีเหมือนกัน บ้านเมืองสงบ ไม่วุ่นวายดี อยู่ต่อนานๆ
แต่ต่างชาติไม่คิดอย่างนั้น กองทุนใหญ่ถอนออกเรื่อยๆ ไปเวียดนามกับจีน เพราะเรื่องการเมืองไทย และกำไรบ.ไม่โต
ทุกครั้งที่ไปสิงค์โปร์จะมีคนถามเรื่องการเมืองว่าทำไมเป็นอย่างนี้ เมื่อไรจะมีเลืิอกตั้ง
ไทยไม่มีอะไรจะขายมา5ปีแล้ว แก่ตัว ขาดแรงงาน คนน้อยลง ทั้งๆที่แต่ก่อนโตเร็วที่สุดในอาเซียน ทุกคนมาลงทุน
EEC ยังไม่รู้จะมามากแค่ไหน เพราะแรงงานแพง เวียดนามสดกว่ามาก ส่งออกแซงไทยแล้ว
โชคดีที่มีท่องเที่ยวมาช่วย คนไทยเงินเยอะไม่รู้จะไปลงทุนอะไร
บมจ.แบ็งค์ ,สื่อสารกำไรไม่โตมาหลายปีแล้ว คอมโมราคาโตก็ไม่ยั่งยืน ค้าปลีกยังโตได้ แต่ช้าลงเยอะ
สรุปว่ายังโชคดีที่หุ้นยังมีผลตอบแทน ช่วงผ่านมามีคลื่นใต้น้ำจากหุ้นเล็กที่เล่นกันเอง ดีไปสามสี่ปี
พอปีที่ห้าหกเน่าพอดี ตอนนี้เลยแย่เลย
ซื้อตอนแรกสุด ขึ้นไปสิบเท่ากลับมาเหลือห้าเท่ายังโอเค แต่ถ้าซื้อที่ดอยสิบ เหลือห้า ก็เงินหายไปครึ่งนึง
สรุปว่าอยู่ไปได้ ไม่ตาย ไปเรื่อยๆช้าๆ ไม่หวือหวาแล้ว แค่รักษาไม่ให้ลดก็เหนื่อยแล้ว
Babyboomไทยล้านกว่าคน แต่รุ่นเด็กเกิดใหม่เหลือแค่6-7แสนคนเอง
ส่วนตัว อยู่ในหุ้นไทย70% เวียดนาม20-30%
เคยล้างผอร์ทแล้วกลับมาซื้อใหม่ เอาหุ้นปันผลดี โตนิดๆ แทนพวกหุ้นgrowthแบบแต่ก่อน
เพราะไม่รู้จะเอาเงินไปไหน ไปเวียดนามก็เจ๊ง
รอซื้อตอนตลาดลงแรงๆ ถ้าไม่ลง ซื้อหุ้นvalue , defendsive ถูก+คุ้ม โต5%ปันผล5%
PE ไม่เกิน20 ถ้า30ให้พวกsuper stockซึ่งหายาก
พวกหุ้นgrowthเนี่ย ถ้าไปซื้อตอนPE50 ถ้าช่วงเติบโตผ่านไปแล้วกำไรยาก ต่อให้PEเหลือ25 ก็ยังแพง
หุ้นหวี่ยง+-5-10%หลีกให้ไกลๆ เพราะเป็นพฤติกรรมของหุ้นเก็งกำไร
ซื้อแล้วไม่ต้องขาย ก็อยู่กันไป เก็บไว้ ปันผลปีละ6-7%
ถ้าซื้อแล้วไม่สบายใจ กระสับกระส่าย ก็อย่าไปซื้อ
หุ้นพวกโดนdisrupt โดนทำลายจนราคาเหลือศูนย์ได้ แม้ราคาตกลงมาเหลือ10% ก็ยังถือว่าเสี่ยง
งานมันนี่แชนแน่ลหาดใหญ่ครั้งล่าสุด
ช่วงคุณวินโบรคซิมบี้ คุณธิดาศิริโบรคชาวนา
ปอปขายแสนนึง เม่าซื้อแสนนึง หรั่งขายสองแสน กองซื้อแสนกว่า
แนะนำ หุ้นอุปโภคบริโภค,ท่องเที่ยว ยังโตดี แต่รอซื้อตอนปรับฐาน สวนพวกovereact(1700แพง,1500โอเค)
จัดผอร์ทให้มีหุ้น,ตราสาร เป็นหลัก
ทองเล่นรอบ1,200ดอลล์(หมื่นแปด)เพราะต้นทุนขุด1,100ดอลล์(จีนอินเดียยังรับอยู่)
น้ำมันตอนนี้เมกาผลิตเพิ่มจนมากกว่าซาอุแล้ว ประสิทธิภาพดีขึ้นอีก หลุมเปิดน้อยลงแต่ผลิตได้มากกว่าเดิมอีก
อสังหาทางอ้อม(REITS)พวกออฟฟิส ค้าปลีก น่าสนใจเพื่อรับโลจิสติกกับอีคอมเมิร์ส
ช่วงอ.นิเวศน์กับคุณวิวัฒน์ทิสโก้
คุณวิวัฒน์
ตั้งแต่2013มาจนถึงก่อนเลือกตั้งปีหน้า หุ้นไทยแทบไม่ไปไหน หลังเลือกตั้งเก็งว่าน่าจะดีขึ้น
ฝรั่งขายไปห้าแสนเพิ่งกลับมาซื้อแสนเดียว ถ้าซื้อเพิ่มจะไป1850
ส่วนพอหลังเลือกตั้งจะผันผวนเพราะ
1. ดอกเบี้ยบอนด์เมกาสิบปีเริ่มแตะ3%
2. มีtradewarปีนี้ จะส่งผลปีหน้าชะลอตัว
3. ยุติQE เงินอาจไหลจากbondเข้าหุ้น (บอนด์ไม่ชอบดอกเบี้นขึ้น)สภาพคล่องธ.กลางเริ่มติดลบในรอบสิบปี
4. กำลังจะเป็นinverted yield(ดอกเบี้ยสั้นเริ่มตัดกับดอกเบี้ยยาว)ซึ่งเคยเกิดในปี2001,2008,2018ก่อนวิกฤติ
หุ้นเมกา สูงสุดมาสี่ปีแล้ว แนสแดกPE38
จีน หุ้นเทคโนตกลงมา30%อาลี แทนเซนต์ ไป่ตู้ น่าลงทุนETF
หุ้นไทย โดนdigital disruptหมดแล้ว รอให้ปรับตัวโดยเอาเทคโนโลยี่มาช่วย
หลังเลือกตั้ง เงินในบอนด์เก้าแสนล้านอาจใหลเข้าหุ้น ดัน1850 ไป1950(ว้าวว..)
ไม่ผ่าน1850อย่างแย่ก็ลง1665
อ.นิเวศน์
โอกาสวิกฤติมีตลอด แต่ไม่รู้หรอกว่าเมื่อไหร่
ปี2013เป็นปีของจุดเปลื่ยนสำคัญ ตอนนั้นดัชนี1,400ตอนนี้1,700 เพิ่มแค่20%
คิดออกมาแค่ปีละ3%เอง+ปันผลอีก3% รวมเป็นได้ผลตอบแทนหุ้นปีละ6%
แค่พอใช้ได้เท่านั้น แต่ยังดีกว่าฝากแบ็งค์ที่1+%
5ปีแปดเดือนที่ผ่านมา หุ้นผันผวนน้อยมาก แย่ก็แค่-10% ดีก็แค่+20%(แต่ก่อน+-30%-100%)
ต่างชาติขายไปห้าแสนล้าน แต่หุ้นก็ไม่ตก เม่าไทยรับตลอด(ปีนี้ขายอีกสองแสนล้านแล้ว)
การเมืองเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะรัฐประหารที่อยู่ยาว บางคนอาจคิดว่าก็ดีเหมือนกัน บ้านเมืองสงบ ไม่วุ่นวายดี อยู่ต่อนานๆ
แต่ต่างชาติไม่คิดอย่างนั้น กองทุนใหญ่ถอนออกเรื่อยๆ ไปเวียดนามกับจีน เพราะเรื่องการเมืองไทย และกำไรบ.ไม่โต
ทุกครั้งที่ไปสิงค์โปร์จะมีคนถามเรื่องการเมืองว่าทำไมเป็นอย่างนี้ เมื่อไรจะมีเลืิอกตั้ง
ไทยไม่มีอะไรจะขายมา5ปีแล้ว แก่ตัว ขาดแรงงาน คนน้อยลง ทั้งๆที่แต่ก่อนโตเร็วที่สุดในอาเซียน ทุกคนมาลงทุน
EEC ยังไม่รู้จะมามากแค่ไหน เพราะแรงงานแพง เวียดนามสดกว่ามาก ส่งออกแซงไทยแล้ว
โชคดีที่มีท่องเที่ยวมาช่วย คนไทยเงินเยอะไม่รู้จะไปลงทุนอะไร
บมจ.แบ็งค์ ,สื่อสารกำไรไม่โตมาหลายปีแล้ว คอมโมราคาโตก็ไม่ยั่งยืน ค้าปลีกยังโตได้ แต่ช้าลงเยอะ
สรุปว่ายังโชคดีที่หุ้นยังมีผลตอบแทน ช่วงผ่านมามีคลื่นใต้น้ำจากหุ้นเล็กที่เล่นกันเอง ดีไปสามสี่ปี
พอปีที่ห้าหกเน่าพอดี ตอนนี้เลยแย่เลย
ซื้อตอนแรกสุด ขึ้นไปสิบเท่ากลับมาเหลือห้าเท่ายังโอเค แต่ถ้าซื้อที่ดอยสิบ เหลือห้า ก็เงินหายไปครึ่งนึง
สรุปว่าอยู่ไปได้ ไม่ตาย ไปเรื่อยๆช้าๆ ไม่หวือหวาแล้ว แค่รักษาไม่ให้ลดก็เหนื่อยแล้ว
Babyboomไทยล้านกว่าคน แต่รุ่นเด็กเกิดใหม่เหลือแค่6-7แสนคนเอง
ส่วนตัว อยู่ในหุ้นไทย70% เวียดนาม20-30%
เคยล้างผอร์ทแล้วกลับมาซื้อใหม่ เอาหุ้นปันผลดี โตนิดๆ แทนพวกหุ้นgrowthแบบแต่ก่อน
เพราะไม่รู้จะเอาเงินไปไหน ไปเวียดนามก็เจ๊ง
รอซื้อตอนตลาดลงแรงๆ ถ้าไม่ลง ซื้อหุ้นvalue , defendsive ถูก+คุ้ม โต5%ปันผล5%
PE ไม่เกิน20 ถ้า30ให้พวกsuper stockซึ่งหายาก
พวกหุ้นgrowthเนี่ย ถ้าไปซื้อตอนPE50 ถ้าช่วงเติบโตผ่านไปแล้วกำไรยาก ต่อให้PEเหลือ25 ก็ยังแพง
หุ้นหวี่ยง+-5-10%หลีกให้ไกลๆ เพราะเป็นพฤติกรรมของหุ้นเก็งกำไร
ซื้อแล้วไม่ต้องขาย ก็อยู่กันไป เก็บไว้ ปันผลปีละ6-7%
ถ้าซื้อแล้วไม่สบายใจ กระสับกระส่าย ก็อย่าไปซื้อ
หุ้นพวกโดนdisrupt โดนทำลายจนราคาเหลือศูนย์ได้ แม้ราคาตกลงมาเหลือ10% ก็ยังถือว่าเสี่ยง
samatah
- AnieLee
- Verified User
- โพสต์: 1436
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3169
ขอบคุณครับ พี่หมอหนึ่งdr1 เขียน:มาส่งการบ้านท่านAnieLee กับเพื่อนๆนะฮะ
งานมันนี่แชนแน่ลหาดใหญ่ครั้งล่าสุด
ช่วงคุณวินโบรคซิมบี้ คุณธิดาศิริโบรคชาวนา
ปอปขายแสนนึง เม่าซื้อแสนนึง หรั่งขายสองแสน กองซื้อแสนกว่า
แนะนำ หุ้นอุปโภคบริโภค,ท่องเที่ยว ยังโตดี แต่รอซื้อตอนปรับฐาน สวนพวกovereact(1700แพง,1500โอเค)
จัดผอร์ทให้มีหุ้น,ตราสาร เป็นหลัก
ทองเล่นรอบ1,200ดอลล์(หมื่นแปด)เพราะต้นทุนขุด1,100ดอลล์(จีนอินเดียยังรับอยู่)
น้ำมันตอนนี้เมกาผลิตเพิ่มจนมากกว่าซาอุแล้ว ประสิทธิภาพดีขึ้นอีก หลุมเปิดน้อยลงแต่ผลิตได้มากกว่าเดิมอีก
อสังหาทางอ้อม(REITS)พวกออฟฟิส ค้าปลีก น่าสนใจเพื่อรับโลจิสติกกับอีคอมเมิร์ส
ช่วงอ.นิเวศน์กับคุณวิวัฒน์ทิสโก้
คุณวิวัฒน์
ตั้งแต่2013มาจนถึงก่อนเลือกตั้งปีหน้า หุ้นไทยแทบไม่ไปไหน หลังเลือกตั้งเก็งว่าน่าจะดีขึ้น
ฝรั่งขายไปห้าแสนเพิ่งกลับมาซื้อแสนเดียว ถ้าซื้อเพิ่มจะไป1850
ส่วนพอหลังเลือกตั้งจะผันผวนเพราะ
1. ดอกเบี้ยบอนด์เมกาสิบปีเริ่มแตะ3%
2. มีtradewarปีนี้ จะส่งผลปีหน้าชะลอตัว
3. ยุติQE เงินอาจไหลจากbondเข้าหุ้น (บอนด์ไม่ชอบดอกเบี้นขึ้น)สภาพคล่องธ.กลางเริ่มติดลบในรอบสิบปี
4. กำลังจะเป็นinverted yield(ดอกเบี้ยสั้นเริ่มตัดกับดอกเบี้ยยาว)ซึ่งเคยเกิดในปี2001,2008,2018ก่อนวิกฤติ
หุ้นเมกา สูงสุดมาสี่ปีแล้ว แนสแดกPE38
จีน หุ้นเทคโนตกลงมา30%อาลี แทนเซนต์ ไป่ตู้ น่าลงทุนETF
หุ้นไทย โดนdigital disruptหมดแล้ว รอให้ปรับตัวโดยเอาเทคโนโลยี่มาช่วย
หลังเลือกตั้ง เงินในบอนด์เก้าแสนล้านอาจใหลเข้าหุ้น ดัน1850 ไป1950(ว้าวว..)
ไม่ผ่าน1850อย่างแย่ก็ลง1665
อ.นิเวศน์
โอกาสวิกฤติมีตลอด แต่ไม่รู้หรอกว่าเมื่อไหร่
ปี2013เป็นปีของจุดเปลื่ยนสำคัญ ตอนนั้นดัชนี1,400ตอนนี้1,700 เพิ่มแค่20%
คิดออกมาแค่ปีละ3%เอง+ปันผลอีก3% รวมเป็นได้ผลตอบแทนหุ้นปีละ6%
แค่พอใช้ได้เท่านั้น แต่ยังดีกว่าฝากแบ็งค์ที่1+%
5ปีแปดเดือนที่ผ่านมา หุ้นผันผวนน้อยมาก แย่ก็แค่-10% ดีก็แค่+20%(แต่ก่อน+-30%-100%)
ต่างชาติขายไปห้าแสนล้าน แต่หุ้นก็ไม่ตก เม่าไทยรับตลอด(ปีนี้ขายอีกสองแสนล้านแล้ว)
การเมืองเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะรัฐประหารที่อยู่ยาว บางคนอาจคิดว่าก็ดีเหมือนกัน บ้านเมืองสงบ ไม่วุ่นวายดี อยู่ต่อนานๆ
แต่ต่างชาติไม่คิดอย่างนั้น กองทุนใหญ่ถอนออกเรื่อยๆ ไปเวียดนามกับจีน เพราะเรื่องการเมืองไทย และกำไรบ.ไม่โต
ทุกครั้งที่ไปสิงค์โปร์จะมีคนถามเรื่องการเมืองว่าทำไมเป็นอย่างนี้ เมื่อไรจะมีเลืิอกตั้ง
ไทยไม่มีอะไรจะขายมา5ปีแล้ว แก่ตัว ขาดแรงงาน คนน้อยลง ทั้งๆที่แต่ก่อนโตเร็วที่สุดในอาเซียน ทุกคนมาลงทุน
EEC ยังไม่รู้จะมามากแค่ไหน เพราะแรงงานแพง เวียดนามสดกว่ามาก ส่งออกแซงไทยแล้ว
โชคดีที่มีท่องเที่ยวมาช่วย คนไทยเงินเยอะไม่รู้จะไปลงทุนอะไร
บมจ.แบ็งค์ ,สื่อสารกำไรไม่โตมาหลายปีแล้ว คอมโมราคาโตก็ไม่ยั่งยืน ค้าปลีกยังโตได้ แต่ช้าลงเยอะ
สรุปว่ายังโชคดีที่หุ้นยังมีผลตอบแทน ช่วงผ่านมามีคลื่นใต้น้ำจากหุ้นเล็กที่เล่นกันเอง ดีไปสามสี่ปี
พอปีที่ห้าหกเน่าพอดี ตอนนี้เลยแย่เลย
ซื้อตอนแรกสุด ขึ้นไปสิบเท่ากลับมาเหลือห้าเท่ายังโอเค แต่ถ้าซื้อที่ดอยสิบ เหลือห้า ก็เงินหายไปครึ่งนึง
สรุปว่าอยู่ไปได้ ไม่ตาย ไปเรื่อยๆช้าๆ ไม่หวือหวาแล้ว แค่รักษาไม่ให้ลดก็เหนื่อยแล้ว
Babyboomไทยล้านกว่าคน แต่รุ่นเด็กเกิดใหม่เหลือแค่6-7แสนคนเอง
ส่วนตัว อยู่ในหุ้นไทย70% เวียดนาม20-30%
เคยล้างผอร์ทแล้วกลับมาซื้อใหม่ เอาหุ้นปันผลดี โตนิดๆ แทนพวกหุ้นgrowthแบบแต่ก่อน
เพราะไม่รู้จะเอาเงินไปไหน ไปเวียดนามก็เจ๊ง
รอซื้อตอนตลาดลงแรงๆ ถ้าไม่ลง ซื้อหุ้นvalue , defendsive ถูก+คุ้ม โต5%ปันผล5%
PE ไม่เกิน20 ถ้า30ให้พวกsuper stockซึ่งหายาก
พวกหุ้นgrowthเนี่ย ถ้าไปซื้อตอนPE50 ถ้าช่วงเติบโตผ่านไปแล้วกำไรยาก ต่อให้PEเหลือ25 ก็ยังแพง
หุ้นหวี่ยง+-5-10%หลีกให้ไกลๆ เพราะเป็นพฤติกรรมของหุ้นเก็งกำไร
ซื้อแล้วไม่ต้องขาย ก็อยู่กันไป เก็บไว้ ปันผลปีละ6-7%
ถ้าซื้อแล้วไม่สบายใจ กระสับกระส่าย ก็อย่าไปซื้อ
หุ้นพวกโดนdisrupt โดนทำลายจนราคาเหลือศูนย์ได้ แม้ราคาตกลงมาเหลือ10% ก็ยังถือว่าเสี่ยง
บรรทัดสุดท้ายนี่ คิดถึงหุ้นตู้เติมเงินเลยครับ จะหมดบุญไหมน้าาาา
####################################################
ความสำเร็จจากการลงทุน ไม่ได้เกิดจาก "การซื้อของดี" แต่มาจาก "การซื้อของได้ดี" ต่างหาก
ความสำเร็จจากการลงทุน ไม่ได้เกิดจาก "การซื้อของดี" แต่มาจาก "การซื้อของได้ดี" ต่างหาก
-
- Verified User
- โพสต์: 842
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3170
ช่วงคุณปิงกับอ.ลูกอิสาน
คุณปิง(เที่ยวนี้ไม่พูดเรื่องกราฟกับเทคนิคที่เคยบรรยายแบบฉวัดเฉวียนตอนอยู่ที่เก่า)
หุ้นให้ตามผอร์ทของโบรคเลย กำไรดีกว่าตลาด
สเต๊ก,ไก่ใหญ่,ลีสซิ่งชื่อแมว,อีเลคชื่อH,cash(เงินสดนะจ๊ะ ไม่ใช่ชื่อหุ้น)
อ.ลูกอิสาน
ปีนี้หลายคนบาดเจ็บเยอะ ส่วนตัว แพ้ตลาด2-3% ดัชนีลงแค่3%เพราะมีหุ้นโรงบาลใหญ่,ขายปลีกตกแต่งบ้าน,ตระกูลป.ยันไว้ ที่เหลือลงเละเทะ โดยเฉพาะหุ้นเล็ก หุ้นเติบโต หุ้นพีอีสูง หุ้นแพง
รอดมาใด้เพราะซื้อของถูกไว้ก่อน ไม่ตามกระแสหุ้นgrowthพีอีสูงๆ คือ "มีmargin of safety"(MOS)
MOS จะมีประโยชน์ตอนตลาดแย่ ตลาดดีไม่มีประโยชน์
มองผลตอบแทน คู่กับความเสี่ยงเสมอ คิดไว้ก่อนว่าถ้าพลาดจะทำอย่างไร
เสียหายระยะสั้นปีนี้ แต่ระยะยาวผอร์ทโต ก็พอ ยังไงก็ต้องโตขึ้นเรื่อยๆอยู่แล้ว
จากต้มยำกุ้งมาตอนนี้ มาร์เกตแคปตลาดจาก1ล้านๆ เป็น17ล้านๆ เฉลี่ยโต5%ปันผล3%
ตลาดมีกำไรปีละ1ล้านๆมาเติมเงิน คิดเป็น6% ดัชนีในสิบปีนี้ต้องไป3,500 อีก25ปีต้องไป10,000แน่นอน
ตลาดหุ้นเปิดโอกาสให้ทุกคน แต่ทุกคนก็ไม่ได้เหมาะกับตลาดหุ้น
ถ้าไม่รู้เรื่องอะไร ควรออมเงินซื้อกองทุนรวม แค่เดือนละ2,000ตั้งแต่เริ่มจบมาทำงาน เกษียณก็จะมีเงิน6ล้าน
โอกาสใด้เงินหกล้านแบบนี้ชัวร์กว่าไปซื้อหวยหวังรางวัลที่1(ขาย7,200ล้าน แต่จ่ายรางวัลแค่700ล้าน ผลตอบแทนติดลบ90%)
ต่อให้ถูกรางวัลที่1 90%ของคนถูกหวย ก็จะกลับมาจนเหมือนเดิมใน5ปี
ถ้าจะสร้างผอร์ทหุ้นเอง
หลักการคือ 1. ซื้อหุ้นที่กำไรกำลังจะโต 2. ในราคาไม่แพง 3. แล้วอดทนถือไว้
ต้องเรียนรู้เป็นปี ต้องเลือกอาจารย์ถูกคน(สำคัญถึง50%ของการลงทุนหุ้นเอง) เพราะระยะสั้นยังไม่รวยเห็นผล
เลิกงานออกมา เจออ.tyพอดี ยืนคุยพักนึง
อ.เคยลงทุนหุ้นgrowth,หุ้นturn แบบ"วัดกันไปเลย"ได้บ้างเสียบ้าง
พอผอร์ทโตแล้ว ก็เริ่มมาลงหุ้นชัวร์ๆแบบปลอดภัยขึ้น เช่นดาวน์ไซด์ต่ำ ปันผลดี แต่ก็ผอร์ทไม่ค่อยโต
แบ่งเงินไปเวียดนาม จ้างผจก.กองทุนไพรเวต(คิดแพงเลย)มาพักนึง เพื่อจะศึกษาวิธี ไอเดีย แต่ก็เหมือนกับจะเสียเปรียบ
ถ้าไม่รู้จักบริษัทนั้นดีพอ ถ้าจะลงทุนแบบโฟกัสในตลาดเกิดใหม่ๆแบบเวียดนาม
ช่วงนี้ไปๆมาๆเมกาหาลูกที่เรียนการเงินแถวๆเนบราสก้า ดูเมกะเทรนศึกษาหุ้นเมกาไปเรื่อยๆ
ตอนนี้ก็เลยกำลังจะเปลี่ยนแนวกลับไปหาหุ้นกำลังจะโตในสองสามปีนี้ แล้วก็กลับมาซื้อหุ้นตัวเดิมๆที่รู้จักดี และมั่นใจพอที่จะถือยาวจนถึงเป้าหมาย ช่วงนี้เห็นตลาดแบบนี้แล้วรู้สึกคึกคักอารมณ์ดีมาก เพิ่งได้ปันผลมาด้วย
คุยเสร็จเจอเพื่อนๆวีไอหาดใหญ่อีก เลยลอกหุ้นมาส่งการบ้านท่านAnieLeeนะฮะ หุ้นบางตัวอ.หลายท่านเห็นตรงกัน บางตัวเป็นความถนัดเฉพาะตัว เลือกประเมินราคากันเองแล้วบอกผมด้วยนะฮะ ว่าMOSแต่ละท่านแต่ละหุ้น ให้กันไว้เท่าไร ฮ่า..
โชว์ห่วยหุ้นลง ดักช้อนที่ 62 แต่ยังลงไม่ถึง(อ.ชอร์ตไว้แล้วรอซื้อกลับป่าวแว้..)
Cash and carry แพงไป ยังไม่น่าสน
บ้านและที่ดิน,บ้านคุณภาพ (เอาราคาต่ำกว่าที่เค้าเทนเดอร์มั้ยฮะ)
โรงกลั่นบวกปั๊มตราใบไม้ ต่ำแล้วต่ำอีก กำไรปีละหกเจ็ดพันล้านชัวร์ๆ ทำโซล่าร์ก็ตลาดไม่ให้พีอีเท่าอีเอ๋
นิคมแถวอยุธยา โรงไฟฟ้ากำลังจะเปิด
บ.แม่รับเหมากำลังจะได้กำไรลูกที่ทำโรงไฟฟ้าชีวมวล
โรงไฟฟ้าขยะ ไม่รู้เอาถ่่านหินมาอัดแท่งป่าว(อ้าว ถูกกว่าขยะอีกเหรอฮะ) ระวังการเมือง
ถังแกส กำไรแบนเพราะต้นทุนเหล็กเพิ่ม แต่จำนวนถังเพิ่มตลอด กำลังจะขยายโรงงานอีก
รับเหมาไอทีกับดาต้าเซนเตอร์ชื่อคล้ายปั๊ม กำลังจะเปิดแห่งที่สาม พีอีต่ำสิบ ปันผลหก กำไรเพิ่มแต่หุ้นไม่ไป
วีไอลงหุ้นแล้วหุ้นลง จนจะเป็นวีอ๋อยกับวีเอ๋งแล้ว รายงาน
คุณปิง(เที่ยวนี้ไม่พูดเรื่องกราฟกับเทคนิคที่เคยบรรยายแบบฉวัดเฉวียนตอนอยู่ที่เก่า)
หุ้นให้ตามผอร์ทของโบรคเลย กำไรดีกว่าตลาด
สเต๊ก,ไก่ใหญ่,ลีสซิ่งชื่อแมว,อีเลคชื่อH,cash(เงินสดนะจ๊ะ ไม่ใช่ชื่อหุ้น)
อ.ลูกอิสาน
ปีนี้หลายคนบาดเจ็บเยอะ ส่วนตัว แพ้ตลาด2-3% ดัชนีลงแค่3%เพราะมีหุ้นโรงบาลใหญ่,ขายปลีกตกแต่งบ้าน,ตระกูลป.ยันไว้ ที่เหลือลงเละเทะ โดยเฉพาะหุ้นเล็ก หุ้นเติบโต หุ้นพีอีสูง หุ้นแพง
รอดมาใด้เพราะซื้อของถูกไว้ก่อน ไม่ตามกระแสหุ้นgrowthพีอีสูงๆ คือ "มีmargin of safety"(MOS)
MOS จะมีประโยชน์ตอนตลาดแย่ ตลาดดีไม่มีประโยชน์
มองผลตอบแทน คู่กับความเสี่ยงเสมอ คิดไว้ก่อนว่าถ้าพลาดจะทำอย่างไร
เสียหายระยะสั้นปีนี้ แต่ระยะยาวผอร์ทโต ก็พอ ยังไงก็ต้องโตขึ้นเรื่อยๆอยู่แล้ว
จากต้มยำกุ้งมาตอนนี้ มาร์เกตแคปตลาดจาก1ล้านๆ เป็น17ล้านๆ เฉลี่ยโต5%ปันผล3%
ตลาดมีกำไรปีละ1ล้านๆมาเติมเงิน คิดเป็น6% ดัชนีในสิบปีนี้ต้องไป3,500 อีก25ปีต้องไป10,000แน่นอน
ตลาดหุ้นเปิดโอกาสให้ทุกคน แต่ทุกคนก็ไม่ได้เหมาะกับตลาดหุ้น
ถ้าไม่รู้เรื่องอะไร ควรออมเงินซื้อกองทุนรวม แค่เดือนละ2,000ตั้งแต่เริ่มจบมาทำงาน เกษียณก็จะมีเงิน6ล้าน
โอกาสใด้เงินหกล้านแบบนี้ชัวร์กว่าไปซื้อหวยหวังรางวัลที่1(ขาย7,200ล้าน แต่จ่ายรางวัลแค่700ล้าน ผลตอบแทนติดลบ90%)
ต่อให้ถูกรางวัลที่1 90%ของคนถูกหวย ก็จะกลับมาจนเหมือนเดิมใน5ปี
ถ้าจะสร้างผอร์ทหุ้นเอง
หลักการคือ 1. ซื้อหุ้นที่กำไรกำลังจะโต 2. ในราคาไม่แพง 3. แล้วอดทนถือไว้
ต้องเรียนรู้เป็นปี ต้องเลือกอาจารย์ถูกคน(สำคัญถึง50%ของการลงทุนหุ้นเอง) เพราะระยะสั้นยังไม่รวยเห็นผล
เลิกงานออกมา เจออ.tyพอดี ยืนคุยพักนึง
อ.เคยลงทุนหุ้นgrowth,หุ้นturn แบบ"วัดกันไปเลย"ได้บ้างเสียบ้าง
พอผอร์ทโตแล้ว ก็เริ่มมาลงหุ้นชัวร์ๆแบบปลอดภัยขึ้น เช่นดาวน์ไซด์ต่ำ ปันผลดี แต่ก็ผอร์ทไม่ค่อยโต
แบ่งเงินไปเวียดนาม จ้างผจก.กองทุนไพรเวต(คิดแพงเลย)มาพักนึง เพื่อจะศึกษาวิธี ไอเดีย แต่ก็เหมือนกับจะเสียเปรียบ
ถ้าไม่รู้จักบริษัทนั้นดีพอ ถ้าจะลงทุนแบบโฟกัสในตลาดเกิดใหม่ๆแบบเวียดนาม
ช่วงนี้ไปๆมาๆเมกาหาลูกที่เรียนการเงินแถวๆเนบราสก้า ดูเมกะเทรนศึกษาหุ้นเมกาไปเรื่อยๆ
ตอนนี้ก็เลยกำลังจะเปลี่ยนแนวกลับไปหาหุ้นกำลังจะโตในสองสามปีนี้ แล้วก็กลับมาซื้อหุ้นตัวเดิมๆที่รู้จักดี และมั่นใจพอที่จะถือยาวจนถึงเป้าหมาย ช่วงนี้เห็นตลาดแบบนี้แล้วรู้สึกคึกคักอารมณ์ดีมาก เพิ่งได้ปันผลมาด้วย
คุยเสร็จเจอเพื่อนๆวีไอหาดใหญ่อีก เลยลอกหุ้นมาส่งการบ้านท่านAnieLeeนะฮะ หุ้นบางตัวอ.หลายท่านเห็นตรงกัน บางตัวเป็นความถนัดเฉพาะตัว เลือกประเมินราคากันเองแล้วบอกผมด้วยนะฮะ ว่าMOSแต่ละท่านแต่ละหุ้น ให้กันไว้เท่าไร ฮ่า..
โชว์ห่วยหุ้นลง ดักช้อนที่ 62 แต่ยังลงไม่ถึง(อ.ชอร์ตไว้แล้วรอซื้อกลับป่าวแว้..)
Cash and carry แพงไป ยังไม่น่าสน
บ้านและที่ดิน,บ้านคุณภาพ (เอาราคาต่ำกว่าที่เค้าเทนเดอร์มั้ยฮะ)
โรงกลั่นบวกปั๊มตราใบไม้ ต่ำแล้วต่ำอีก กำไรปีละหกเจ็ดพันล้านชัวร์ๆ ทำโซล่าร์ก็ตลาดไม่ให้พีอีเท่าอีเอ๋
นิคมแถวอยุธยา โรงไฟฟ้ากำลังจะเปิด
บ.แม่รับเหมากำลังจะได้กำไรลูกที่ทำโรงไฟฟ้าชีวมวล
โรงไฟฟ้าขยะ ไม่รู้เอาถ่่านหินมาอัดแท่งป่าว(อ้าว ถูกกว่าขยะอีกเหรอฮะ) ระวังการเมือง
ถังแกส กำไรแบนเพราะต้นทุนเหล็กเพิ่ม แต่จำนวนถังเพิ่มตลอด กำลังจะขยายโรงงานอีก
รับเหมาไอทีกับดาต้าเซนเตอร์ชื่อคล้ายปั๊ม กำลังจะเปิดแห่งที่สาม พีอีต่ำสิบ ปันผลหก กำไรเพิ่มแต่หุ้นไม่ไป
วีไอลงหุ้นแล้วหุ้นลง จนจะเป็นวีอ๋อยกับวีเอ๋งแล้ว รายงาน
samatah
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 108
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3171
ของคุณพี่หมอหนึ่ง dr1, พี่เปียก, และพี่ๆท่านอื่นๆ มากครับที่มาแชร์ข้อมูลตลอด ตัวผมไม่ได้อยู่หาดใหญ่เลย อดฟังดร.กับพี่โจ ต้องอาศัยบารมีพี่ๆในห้องหาดใหญ่นี่หละ แถมทิ้งปริศนาฟ้าแลยไว้ให้ด้วย
โชว์ห่วยหุ้นลง ดักช้อนที่ 62 แต่ยังลงไม่ถึง(อ.ชอร์ตไว้แล้วรอซื้อกลับป่าวแว้..) CPALL
Cash and carry แพงไป ยังไม่น่าสน ไม่ทราบครับ
บ้านและที่ดิน,บ้านคุณภาพ (เอาราคาต่ำกว่าที่เค้าเทนเดอร์มั้ยฮะ) LH,QH
โรงกลั่นบวกปั๊มตราใบไม้ ต่ำแล้วต่ำอีก กำไรปีละหกเจ็ดพันล้านชัวร์ๆ ทำโซล่าร์ก็ตลาดไม่ให้พีอีเท่าอีเอ๋ BCP
นิคมแถวอยุธยา โรงไฟฟ้ากำลังจะเปิด ROJNA?
บ.แม่รับเหมากำลังจะได้กำไรลูกที่ทำโรงไฟฟ้าชีวมวล TPOLY
โรงไฟฟ้าขยะ ไม่รู้เอาถ่่านหินมาอัดแท่งป่าว(อ้าว ถูกกว่าขยะอีกเหรอฮะ) ระวังการเมือง TPIPP
ถังแกส กำไรแบนเพราะต้นทุนเหล็กเพิ่ม แต่จำนวนถังเพิ่มตลอด กำลังจะขยายโรงงานอีก SMPC
รับเหมาไอทีกับดาต้าเซนเตอร์ชื่อคล้ายปั๊ม กำลังจะเปิดแห่งที่สาม พีอีต่ำสิบ ปันผลหก กำไรเพิ่มแต่หุ้นไม่ไป PT?
เรียนสอบถามพี่หมอ(หรือใครที่ได้ไปฟัง)ต่อหน่อยครับว่า ดร.นิเวศน์บอกว่าเงินแกขึ้นดอยที่เวียดนามอยู่ 20-30% เลยหรอครับ เพราะเมื่อก่อนเห็นให้สัมภาษณ์ว่าไปเวียดนามแค่ 10%
ขอบคุณครับ
โชว์ห่วยหุ้นลง ดักช้อนที่ 62 แต่ยังลงไม่ถึง(อ.ชอร์ตไว้แล้วรอซื้อกลับป่าวแว้..) CPALL
Cash and carry แพงไป ยังไม่น่าสน ไม่ทราบครับ
บ้านและที่ดิน,บ้านคุณภาพ (เอาราคาต่ำกว่าที่เค้าเทนเดอร์มั้ยฮะ) LH,QH
โรงกลั่นบวกปั๊มตราใบไม้ ต่ำแล้วต่ำอีก กำไรปีละหกเจ็ดพันล้านชัวร์ๆ ทำโซล่าร์ก็ตลาดไม่ให้พีอีเท่าอีเอ๋ BCP
นิคมแถวอยุธยา โรงไฟฟ้ากำลังจะเปิด ROJNA?
บ.แม่รับเหมากำลังจะได้กำไรลูกที่ทำโรงไฟฟ้าชีวมวล TPOLY
โรงไฟฟ้าขยะ ไม่รู้เอาถ่่านหินมาอัดแท่งป่าว(อ้าว ถูกกว่าขยะอีกเหรอฮะ) ระวังการเมือง TPIPP
ถังแกส กำไรแบนเพราะต้นทุนเหล็กเพิ่ม แต่จำนวนถังเพิ่มตลอด กำลังจะขยายโรงงานอีก SMPC
รับเหมาไอทีกับดาต้าเซนเตอร์ชื่อคล้ายปั๊ม กำลังจะเปิดแห่งที่สาม พีอีต่ำสิบ ปันผลหก กำไรเพิ่มแต่หุ้นไม่ไป PT?
เรียนสอบถามพี่หมอ(หรือใครที่ได้ไปฟัง)ต่อหน่อยครับว่า ดร.นิเวศน์บอกว่าเงินแกขึ้นดอยที่เวียดนามอยู่ 20-30% เลยหรอครับ เพราะเมื่อก่อนเห็นให้สัมภาษณ์ว่าไปเวียดนามแค่ 10%
ขอบคุณครับ
- Catchphrase! -
- วิมานดิน
- Verified User
- โพสต์: 170
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3172
ดร. เคยเล่าว่า ลงทุนที่เวียดนาม ประมาณ 10% ของพอร์ตรวม
แต่ ดอย 20-30% อาจหมายถึง
เงินที่ลงทุน เวียดนาม 100 บาท ติดดอยประมาณ 20 ถึง 30 บาท ก็ได้ครับ
ทั้งนี้ อาจอยู่ที่สภาวะตลาดหุ้นที่นั่น รวมทั้งความผันผวนของค่าเงินครับ
แต่ ดอย 20-30% อาจหมายถึง
เงินที่ลงทุน เวียดนาม 100 บาท ติดดอยประมาณ 20 ถึง 30 บาท ก็ได้ครับ
ทั้งนี้ อาจอยู่ที่สภาวะตลาดหุ้นที่นั่น รวมทั้งความผันผวนของค่าเงินครับ
ฉันรัก Money Talk
-
- Verified User
- โพสต์: 842
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3173
ขอบคุณท่านวิมานดินที่มาข่วยข้อมูลนะฮะ มาอีกบ่อยๆนะฮะ
อ่าวประจวบกับอ่าวมะนาว เลยไปถึงคลองวาฬเนี่ย สงบเงียบน่าอยู่มากฮะ
อีกหน่อยถ้ามีรถไฟที่เร็วกว่านี้สักหน่อย คงสะดวกเดินทางกว่าขับรถ
(เรือจากพัทยาข้ามอ่าวมาคงอยู่ยาก สะพานข้ามมาจากมหาชัยคงอีกนาน)
มาส่งการบ้านท่านmoopamaฮะ
Cash and carry คือค้าส่งไม่ใส่ถุง ลูกโชว์ห่วยนั่นล่ะฮะ
นิคมนั่น ผมจำผิด+มั่ว แฮ่ๆ ไม่ใช่ยุธยาฮะ แต่เป็นปทุมกับโคราช ครั้งที่แล้วก็น้ำท่วมเละไปแล้ว
ครั้งนี้ก็รอลุ้นกันนะฮะ ชื่อก็”นะ”เหมือนกัน นะวะ(อย่าพูดวะกันสิเว้ย..)
วีไอ นะจ๊ะ จะบอกให้
อ่าวประจวบกับอ่าวมะนาว เลยไปถึงคลองวาฬเนี่ย สงบเงียบน่าอยู่มากฮะ
อีกหน่อยถ้ามีรถไฟที่เร็วกว่านี้สักหน่อย คงสะดวกเดินทางกว่าขับรถ
(เรือจากพัทยาข้ามอ่าวมาคงอยู่ยาก สะพานข้ามมาจากมหาชัยคงอีกนาน)
มาส่งการบ้านท่านmoopamaฮะ
Cash and carry คือค้าส่งไม่ใส่ถุง ลูกโชว์ห่วยนั่นล่ะฮะ
นิคมนั่น ผมจำผิด+มั่ว แฮ่ๆ ไม่ใช่ยุธยาฮะ แต่เป็นปทุมกับโคราช ครั้งที่แล้วก็น้ำท่วมเละไปแล้ว
ครั้งนี้ก็รอลุ้นกันนะฮะ ชื่อก็”นะ”เหมือนกัน นะวะ(อย่าพูดวะกันสิเว้ย..)
วีไอ นะจ๊ะ จะบอกให้
samatah
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3174
สัมมนา “วันรวมพลคนลงทุนหุ้นเวียดนาม” 16 กันยายน 2561
Experts talk: Update สถานการณ์ในตลาดหุ้นเวียดนาม โดย
1) คุณธาราบดี ซึ้งอดิชัยวิทย์ หรือ คุณเอก (ผู้จัดการทั่วไป ธนาคารกรุงเทพ สาขาประเทศเวียดนาม, ประสบการณ์14 ปีในการทำงานที่เวียดนาม และ 5 ปีในตลาดหุ้นเวียดนาม)
2) คุณวิศวกร ปันยารชุน หรือ คุณแจ๊ค (นักลงทุนหุ้นคุณค่า ประสบการณ์ 9 ปีในตลาดหุ้นเวียดนาม)
พิธีกร: คุณจิตติมา ทวาเรศ
สรุปเนื้อหาโดย Amorn & Pornchanok ( N’ Pae )
Q1: ถามคุณเอก ซึ่งทำงานอยู่ที่นั่น พึ่งบินมาเมืองไทยเมื่อวานว่า เวียดนามตอนนี้เป็นอย่างไร
คุณเอก : ผมอยู่ที่เวียดนามมา14 ปี สมัยก่อน ตอนมาแรกๆเจอแต่ยุง แมลงวัน และไฟดับทุกวัน
เดี๋ยวนี้เดินในสวนสาธารณะ หายุงหรือแมลงไม่ได้สักตัว และ ไม่มีไฟดับเลย
เมื่อ 10 กว่าปีก่อน ตลาดเวียดนามผันผวนมากเพราะ เงินเฟ้อสูง ดอกเบี้ยสูง ค่าเงิน Đong devalue แต่ตอนนี้กลับกัน เงินเฟ้อต่ำ ดอกเบี้ยต่ำ ค่าเงินเค้าค่อนข้างนิ่งมา 4-5 ปีแล้ว เมื่อเทียบกับเพื่อนบ้าน เช่น อินโดนีเซีย เงินเฟ้อลดลง เศรษฐกิจอีก 10-15 ปีข้างหน้าจะเป็นช่วงปีทองของเวียดนาม GDP น่าจะโตกว่านี้อีกเป็น 2-3 เท่าตัว เป็นสิ่งที่พิสูจน์ว่ารัฐบาลเวียดนามมาถูกทางแล้ว ดังนั้น Market cap ของตลาดหุ้นเวียดนามโตกว่านี้แน่นอน
มองเวียดนามเหมือนไทยสมัยปี 1990 ช่วงเราเป็นเสือตัวที่ห้าของเอเชีย
Fundamental ตอนนั้นของไทยเหมือนกันกับเวียดนามตอนนี้
ตอนปี 1998 ไทยเปิดเสรีทางด้าน financial market แล้วแป็ก เพราะโดนโจมตีค่าเงิน แต่เวียดนามฉลาดพอที่จะเรียนรู้จากข้อผิดพลาดของไทย แล้วเอาไปปรับปรุงแก้ไข
ตอนนี้ fundamental ต่างๆของเวียดนามดีกว่า เค้ากลายเป็นผู้ส่งออกมากกว่านำเข้า ผ่านไป 8 เดือนแรก (ปี 2018) เวียดนามเกินดุลการค้ากำไร $ 4,700 ล้านเหรียญถือเป็นครั้งแรกของเวียดนาม
2-3ปีก่อน ได้แค่ 2,000-3,000 ล้านเหรียญ และเดือนที่ผ่านมา (สิงหา) ส่งออก $ 23.5 Billion สูงกว่าส่งออกของไทยที่เฉลี่ยออกมาแล้วเดือนนึงยังไม่ถึง $ 21 Billion ต่อไปนี้เวียดนามเริ่มส่งออกมากกว่าไทยแล้ว
ตลาดหุ้นจะโตตาม Size ของ GDP และโตประมาณ 100-120% ตอนนี้ตลาดหุ้นเวียดนามอยู่ที่ 70% ของ GDP ถ้ามองยาวๆอีก 5-10 ปี จะไปได้อีกไกล
ส่วนไทย ประชาชนแก่ตัวลง บริโภคน้อยลง ไม่มีการลงทุน ส่งออกก็ไม่โต ตอนนี้เราพึ่งพาการลงทุนจากภาครัฐเป็นหลัก หนี้สาธารณะก็เพิ่มสูงขึ้น เพิ่มงบประมาณขาดดุล (การใช้งบประมาณขาดดุล จะต้อง finance ด้วยหนี้สาธารณะ)
แต่เวียดนาม วันนี้ประชากร 95 ล้านคน อยู่ในวัยหนุ่มสาว มีการบริโภคสูง ตลาดก็โตเร็ว
ชนชั้นกลางประมาณ 14 ล้านคนที่ครอบครัวมีรายได้เกิน $1,000 ต่อเดือน ถ้าดูจากประเทศที่กำลังพัฒนามีประชากรสัก 30-40%เป็นคนชั้นกลาง
ถ้าคนชั้นกลางมีมากขึ้น เกิด Urbanization ขึ้น และมี Modern Trade ตามมา
ส่วนประเทศไทย หนี้ครัวเรือน (Household debt) 80% ของ GDP การบริโภคจะเพิ่มขึ้นไม่ได้มาก (เพราะทุกบ้านมีหนี้ในการซื้อรถ ซื้อบ้านหมดแล้ว ไม่มีตังค์ไปซื้ออย่างอื่น)
แต่ เวียดนามมี consumer loan แค่ 8-10% (เค้ายังไม่มีการประกาศ household debt ออกมา) การบริโภคมีโอกาสโตมากขึ้น ส่งผลให้การลงทุนจะเพิ่มขึ้นมหาศาล
ตอนนี้มีแต่คนขอเงินกู้สร้างโรงงานแต่หาที่สร้างไม่ได้
ปีที่แล้วเงินลงทุนจากต่างชาติ ไหลมาลงทุน 36,000 ล้านเหรียญ เป็นเงิน FDI ล้วนๆ (ไม่ใช่เงินลงทุนเล่นหุ้น)
เป็น Project ที่ Commit ว่าจะสร้าง Fix asset ซึ่งจะเกิดการสร้างงานและก่อให้เกิดรายได้เพิ่มขึ้น เพิ่มการผลิตและส่งออก
การลงทุนปีนี้อีก 1.2 ล้านล้านบาท จะ generate รายได้ขนาดไหน ยิ่งถ้าลงทุนแบบนี้อย่างต่อเนื่อง อนาคต GDPของเวียดนามน่าจะใหญ่กว่าไทย
ตอนนี้ธนาคารกลางของเวียดนามมีนโยบายคุมเงินเฟ้อให้ต่ำ ดอกเบี้ยให้ต่ำแค่ 3-4% ทำให้ต้นทุนทางการเงินของคนที่ต้องกู้เงินลงทุนก็จะต่ำ ในขณะเดียวกันค่าเงิน Đong ไม่มีภาระต้อง Devalue เพราะนักลงทุนต้องการ (1) cost of capital ต่ำ เงินเฟ้อต่ำ (2) และยอดขายต้องสามารถ predict ได้ ดังนั้นจะเห็นได้ว่าสิ่งที่รัฐบาลเวียดนามพยายามทำมา ก็เพื่ออำนวยความสะดวกให้การเข้ามาลงทุนทั้งนั้นเลย
หุ้นตกแบบนี้ ต้องรีบซื้อสิครับ
Q2: ถามพี่แจ๊คว่าตลาดหุ้นตกหนักในปีนี้ ปัจจัยภายนอกมีผลกระทบต่อเวียดนามมากน้อยแค่ไหน
คุณแจ๊ค : ออกตัวไว้ก่อนว่าผมและคุณเอกอวยประเทศเวียดนามมาก (โปรดใช้วิจารณญาณในการรับฟัง) เพราะว่าตามประเทศนี้มานาน
โดยปกติตลาดหุ้นจะสะท้อนเศรษฐกิจล่วงหน้า 6 เดือน
1. ช่วงต้นปีเศรษฐกิจดีมาก ( GDP ครึ่งปีแรกสูงสุดในรอบสิบปี ดัชนีหุ้นเลยขึ้นเมื่อปีที่แล้ว 50%)
2. Moody’s Investor Service ได้ upgrade เวียดนามขึ้นมาขั้นนึง ทำให้ตลาดหุ้นโตต่อได้
3. ดัชนีที่สะท้อนความเชื่อมั่นของผู้บริโภคของเวียดนามดีกว่าไทย และสูงที่สุดในรอบสิบปี
4. มีการนำเงินลงทุน (FDI)เข้ามามาก ทำให้เวียดนามเป็น manufacturing hub ของโลก
ญี่ปุ่นมาช้าแต่อัดเงินหนักมาก ปัจจัยที่ต่างชาติมาลงทุนเยอะเป็นผลมาจากสิทธิประโยชน์ทางภาษีจาก FTA (Free trade agreement ) และเวียดนามมีแผนทำ FTA อีก 18 ประเทศ ทำให้มีการลงทุนจากต่างประเทศอีกเยอะ
Industrial park เวียดนามวางแผนไว้ว่าจะมีถึง 300-400 แห่ง ในขณะที่เมืองไทยมีไม่ถึง 50 แห่ง
ตลาดหุ้น peak ตอนเดือน มีค คุณแจ๊คเริ่มรู้สึกไม่ดี เพราะทุกคนมองดีมากๆกันหมด
แต่ไม่คิดว่าเป็นฟองสบู่ของตลาดหุ้น เพราะ PE ตอนนั้น20 เท่า ก็ยังไม่ถือว่าสูงแต่หุ้นบางตัวขึ้นมา 100% แล้ว มองย้อนกลับไปสมัยก่อน 2007-2008 เทรดกันที่ PE 40 กว่าเท่า แต่ขนาดตลาดเล็กกว่านี้ 4-5 เท่า
ประเด็นคือมูลค่าซื้อขายตอนช่วง มีค 2018 เท่าๆกับปี 2008 แสดงว่าตลาดหุ้นร้อนแรงเกินไป
ดังนั้นพอมีข่าวเกี่ยวกับ emerging market มากระทบ และก่อนหน้านั้น MSCI มีการ reallocation asset โดยเพิ่มสัดส่วนจีนเข้าไป เลยต้องลดสัดส่วนลงทุนในประเทศใน Emerging Market รวมทั้งข่าวค่าเงินประเทศใน Emerging market มีปัญหาอย่างเช่น อาเจนติน่า ตุรกี แต่จากเหตุการณ์นั้น ประเทศเวียดนามกับไทย ถือว่าโดนกระทบน้อยมาก รวมกับข่าวเก็งกำไรค่าเงิน
ฝรั่งกำไรพอสมควรหลังจากลงทุนมา 3-4 ปี เลยขายทำกำไรออกมา ทำให้หุ้นเวียดนามตก 20% กว่า
ตอนนี้ ถ้ามองผ่านสายตาผู้จัดการกองทุนของ Dragon capital ที่มองว่าตลาดเวียดนามมี PE ค่อนข้าง Ok แล้ว
บลจ หลายๆที่ในไทยออกกองทุนออกมาตอน performance ดีๆเมื่อปลายปี2017 ตอนนั้นยังน่าสนใจ ยิ่งตอนนี้ตลาดหุ้นลงมา 20% ทำให้ดูน่าสนใจขึ้นไปอีก
Q3 : ถามคุณเอกและคุณแจ๊คว่าตอนหุ้นตกแรง ได้ทำอะไรไปบ้าง การเคลื่อนไหวของหุ้นใหญ่ กลาง เล็กในตลาดเป็นอย่างไรในช่วงนั้น
คุณเอก: หุ้นประเภท VietCom bank, SSI ที่มี fundamental แข็งแรง ราคาจะไม่ค่อยตก ต่างจากพวกที่พื้นฐานไม่แข็งแรงอย่างเช่นพวก Vietin Bank (CTG) แบบนี้จะตกแรง ผมเล่นแต่หุ้นที่เป็น Fundamental ตัว Top อย่างเดียว
และผมขายหุ้นไปช่วง1,200 ตอนนี้กลับเข้ามาซื้อเพิ่มไปเรื่อยๆ
คุณแจ๊ค ส่วนคุณแจ๊คบอกว่า ผมไม่ได้ขายเลย เงินส่วนใหญ่ยังอยู่ที่นั่น โครงสร้างตลาดหุ้นเวียดนามขึ้นไป 3-4 ปีแล้ว แต่ขึ้นเฉพาะหุ้นขนาดใหญ่ (Big Cap) เป็นพวก VN30 ขึ้น แต่หุ้น Mid-small cap ไม่ค่อยขึ้น
สถาบัน กองทุนไม่ค่อยถือหุ้น Mid-small cap และการเคลื่อนไหวของนักลงทุนต่างประเทศมีผลต่อดัชนีโดยตรง นักลงทุนรายย่อยที่เวียดนามจะซื้อตาม
มีข้อสังเกตว่า ช่วงที่ผ่านมา หุ้น Mid – small cap กำไรดีไม่เท่ากับหุ้น Big cap
และช่วงครึ่งปีแรกหุ้นที่ขึ้นเป็น Big cap – โดยหุ้นกลุ่ม Real estate, Bank
ตอนนี้ผมเท่าทุน (หุ้นขึ้นตอนต้นปี และ ตอนนี้ตกกลับมาที่เดิม) เพราะไม่ได้ขายออก แต่โดยรวมถือว่า ok เพราะตลาดขึ้นมาสองปีแล้ว ผลประกอบการก็ดี
Q4 : ถามพี่เอก ภาพรวมของพอร์ตเป็นอย่างไร
คุณเอก : ตลาดหุ้นเวียดนามอยู่ในกลุ่มตลาดชายขอบ (Frontier market) , แต่ว่าบริษัทเล็กๆจะมี transparency หรือ Corporate Governance สู้ไทยไม่ได้ จึงค่อนข้างระวัง เลยเล่นหุ้นพวกตัว Top เอาไว้ก่อน ซึ่งจะถูกติดตามอย่างดีจากนักวิเคราะห์ และรัฐบาล ผบห จะทำอะไรที่หวือหวามากไม่ได้
ผมจะเลือกเฉพาะหุ้นที่โตตาม GDP ที่โตไปเรื่อยๆ
ซึ่งเหมือนไทย ตอนนั้น หลังวิกฤตต้มยำกุ้ง ก็ซื้อ SCG, PTT ในช่วงเศรษฐกิจไทยเริ่มโต ผมซื้อ Top of sector หรือไม่ก็ซื้อพวกกองดัชนี หรือ ETF ไปเลย
ผมไม่ได้กู้เงินมาลงทุน เลยไม่มีความเสี่ยง
และขอขยายความเรื่อง FDI ว่าทำไมมีการลงทุนจากต่างประเทศเข้ามามากมายขนาดนี้
เพราะมี Factors ที่สนับสนุนการเข้ามาลงทุนของ FDI มีดังนี้ ซึ่งเวียดนามมีทั้งหมดคือ
1. การเมืองต้องนิ่ง ระบบ incentive ต่างๆที่เคยสัญญาไว้กับนักลงทุนจะต้องไม่เปลี่ยนแปลงกลางทาง
2. ตลาด (ประชากร) ใหญ่พอสมควร มีการเติบโตของตลาดภายในประเทศ (เพราะการไปลงทุนเปิดโรงงาน ต้องขายคนระดับร้อยล้านคน ได้วอลุ่ม ได้กำไร)
3. มีแรงงานเพียงพอ
4. ต้นทุนการผลิตในภาพรวม ต้องถูกกว่าที่เดิม ถึงจะคุ้มค่าในการย้ายฐานมา
5. มี FTA ( อย่างที่พี่แจ๊คบอก ) ตัวนี้สำคัญมากๆ เพราะเอื้อประโยชน์ในการส่งออกมากๆ ยกตัวอย่าง เวียดนามเป็นฐานในส่งออกไปยุโรป อเมริกา พอมี FTA ได้ภาษีนำเข้าถูกว่าที่อื่น เช่น ปลาทูน่ากระป๋อง เวียดนามส่งไปเสียภาษีแค่ 10% และ เวียดนามจะทยอยลดเหลือ 0% แต่ ไทยโดนเก็บภาษี 25% ในอนาคตไทยจะสู้กับเวียดนามอย่างไง
6. Infrastructure ต้องดี ถนนหนทางต้องดี ไฟไม่ดับ น้ำต้องไหล
ทำไมนักลงทุนต่างชาติไม่มาไทย เพราะไทยมีแค่ Infrastructure เพียงอย่างเดียวที่ดี ที่เหลืออีก 5 อย่างไม่มีเลย
ผมมั่นใจในตลาดหุ้นเวียดนาม และมั่นใจว่าไม่เกิด crisis เหมือนเกิดที่ไทยเมื่อปี 1998 เพราะอะไร ...มาดูกัน
สมัยนั้นไทย (ปี 1998) เราเสียหายมากเพราะมีการปล่อยให้กู้ USD ได้อย่างเสรี โดยส่วนใหญ่เป็นเงินกู้ระยะสั้น แล้วพอกู้มาเยอะๆ เอามาเปลี่ยนเป็นเงินบาท เอาไปฝากประจำ กู้มา 6% เอาไปฝากได้ 11% ได้กำไร 5% โดยไม่ต้องเอาเงินมาทำมาหากิน แล้วอีกด้านไปเปิด Thai baht offshore พอเราทำแบบนั้น ... Soros เห็นโอกาสเลยโจมตีค่าเงินบาท เพราะฝั่งนึงดึงเงินกลับ อีกฝั่งปล่อยกู้ hedge ตัวเอง...ทำให้เกิด Crisis ขึ้นมา
แต่สำหรับเวียดนามให้กู้เงินดอลลาร์กับธุรกิจได้ โดยมีเงื่อนไขดังนี้
1. ต้องเป็นผู้ส่งออกเท่านั้น เพราะไม่เค้าไม่ต้องการให้ภาระของการกู้เงิน USD ไปเป็นภาระต่อ international reserve ของเค้า ธุรกิจต้องสามารถนำ USD ที่กู้ไป กลับมาคืนหนี้ตัวเองได้
2. ลงทุนในเวียดนาม ต้นทุนการกู้ USD ถูกกว่ากู้ Đong ธุรกิจสามารถกู้ USD มาใช้ในเวียดนามได้ แต่ต้องขออนุมัติจาก แบงค์ชาติ เวียดนามก่อน เพราะทุกปีเค้ามีโควต้า เพื่อการจัดการ FX
3. การทำ Đong offshore จะถูกห้ามเด็ดขาด จะเปิด LC เป็นเงิน Đong, จะไปทำ non-US forward ไม่ได้ทั้ง นั้นทางการไม่รับรู้
จากทั้งสามข้อนี้เป็นการปิดประตูความเสี่ยง จะเกิดCrisisได้อย่างไร
ทำให้ผมมั่นใจว่า อีก 10-15ปี เวียดนามจะแซงไทย
Q5: ถามพี่แจ๊ค ความเสี่ยงที่เคยประสบมา และ มีการปิดความเสี่ยงไหม
คุณแจ๊ค : ความเสี่ยงในเรื่องการลงทุนมี 4 ข้อ
1. Regulation เวียดนามมีการเปลี่ยนแปลงบ่อย เราต้องตาม update เราต้องมองทั้งผลกระทบในแง่บวกและลบ
2. ข้อสังเกตผมเอง คนเวียดนามมีความกล้าแบบบ้าบิ่น พบว่าคนเวียดนามมีความอยากทำธุรกิจมากกว่าคนจีน ตอนขอ FTA เขาไม่มีความพร้อมแต่สมัครคนแรกเลย เพราะเค้าเห็นโอกาสทางการค้า ยกตัวอย่างหุ้น Vincom ตอนที่เข้าไปซื้อทำอสังหา ทำห้างคล้าย CPN+LH (ตอนที่ซื้อก็ไม่คิดว่าจะเป็นแบบนี้) แต่วันดีคืนดีขยายมาทำรถยนต์เอง Vin Fast, ทำยา Vin Phar, ทำมือถือ รวมถึง Vintech เอา AI มาใช้ หรืออย่าง Mobile world ทำมือถือ ขยายไปค้าปลีก ทำ Supermarket
มองว่าเป็นข้อดี ก็ใช่ หรือมองว่าเป็นข้อเสียก็มีการ take risk เต็มที่
3. ความล่าช้าในการ privatize SOE
4. ค่าเงินมีความเสี่ยงต่อการลงทุน
ส่วน คุณเอก แชร์มุมมองความเสี่ยงในแง่ Macro
1. เรื่องความสัมพันธ์กับจีน จริงๆแล้วเวียดนามมีการรบกับจีนตั้งแต่ราชวงศ์ถัง ตอนนี้มีปัญหาเรื่องทะเลจีนใต้อีก แต่คู่ค้าของจีนคือเวียดนาม มูลค่าการค้าแซงไทยแล้ว มันเป็นความสัมพันธ์ที่ซับซ้อน
เวียดนามขาดดุลการค้ากับจีนเป็นล้านล้านต่อปี และเวียดนามนำเข้าสินค้าจากจีนมากที่สุด
มันรุนแรงมากในสมัยก่อน มีกรณีที่การเผาโรงงานของบริษัทคนจีนในเวียดนาม เพราะมีป้ายหน้าโรงงานเป็นภาษาจีน แต่ตอนนี้มีไม่มีโอกาสเกิดอีก เพราะรัฐบาล commit กับบริษัทต่างชาติที่มาลงทุนแล้วว่าจะไม่ให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก
แต่จริงๆเวียดนามไม่สู้กับจีนหรอก เพราะเค้าสู้ไม่ได้
แต่ถ้ามีการสู้รบกับจีนจริงๆ ค่าเงิน Đong จะดิ่งนรกเลย 5-10% ในวันเดียว เพราะเค้าเคยอยู่ในสงครามมาก่อน เค้าจะรีบทิ้งเงิน Đong ทันที
รัฐบาลก็รู้พยามยาม Keep stability ไม่ค่อยใช้กำลังทหาร พูดจากับจีนดีขึ้น
2. Public Debt ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา อาศัยกู้ ODA – Official Development Assistance (World Bank สนับสนุนเงินกู้ให้กับเวียดนาม) เอามาสร้างถนน โรงไฟฟ้า เป็นเงินกู้ จาก World bank , ADB , BOJ ระยะเวลากู้ 30 ปี ดอกเบี้ยต่ำ โดยกู้จากญี่ปุ่นเยอะที่สุด
ปีก่อน หนี้สาธารณะทะลุ 65% ซึ่งเป็นเพดานสูงสุดที่ National Assembly กำหนดไว้แล้ว
ตลอด1-2 ปี รัฐบาลเวียดนามพยายามลดการขาดดุลลง เลยเป็นเหตุผลที่มีการขายหุ้น Sabeco, Vinamilk ออกมาบางส่วนเพื่อลดหนี้สาธารณะลง ซึ่งที่ผ่านมาทำได้ดี ลดหนี้จาก 65% >>> 62.7%
ต่อไป Public debt อาจไม่ใช่ปัญหาเพราะสามารถขายหุ้น SOE ออกมาได้อีกเยอะ
3. Balance of Payment และ International Reserve ปีที่แล้วเงินไหลเข้าเวียดนามดูจาก Current account + Capital account = Balance of Payment ถ้าเป็นบวก จะทำให้ Reserve บวกเพิ่มขึ้น และถ้าทำ reserve ได้เยอะๆ จะช่วยเรื่องเสียรภาพของค่าเงิน (ยกตัวอย่างประเทศไทยในปัจจุบัน ลองเอา International reserve ÷ import > 12 เดือน หมายความว่า เราอยู่ได้ด้วยการนำเข้าอย่างเดียว โดยไม่ต้องส่งออกเลยก็ได้ ไปปีนึงเลย ค่าเงินบาทถึงได้นิ่ง) เวียดนามเลยเริ่มพยายามจะทำแบบไทย สิบกว่าปีก่อนเวียดนามแทบไม่มี reserve เลย ถ้าเกิดความปั่นป่วนโดยไม่มี Reserve เลยจะกระทบกับค่าเงิน Đong
• ตอนนี้เวียดนามเริ่มสะสม reserve ซึ่งมาจากการลงทุน FDI ที่เข้าอย่างมหาศาล
• Trade positive 8 เดือนแรก เข้ามา $ 4,700 ล้าน ก็ทำให้ Current Account เป็นบวกเพิ่มขึ้น
• นอกจากนี้พวกคนเวียดนามโพ้นทะเล (Viet Kieu) ที่หนีสงครามออกไปเมื่อหลายสิบปีก่อน มีการส่งเงินกลับมาประเทศตัวเอง 14,000-15,000 ล้านต่อปี ทำให้ reserveเพิ่มขึ้น
• ตอนนี้ International reserve ÷ import อาจมีถึง 3-4 เดือนของการนำเข้า ซึ่งถือว่าไม่ได้แย่ เพราะ IMF บอกว่าคุณควรจะมีสัก 3 เดือน เป็นอย่างน้อย
• ถ้า Fundamental ดีขึ้นแบบนี้ไปเรื่อยๆ เงินเฟ้อต่ำ ค่าเงินไม่ผันผวน ส่งผลดีต่อตลาดหุ้น แน่นอน
Q6: ดอกเบี้ยของเวียดนามจะสูงตามดอกเบี้ยโลกที่มีแนวโน้มสูงขึ้นไหม
คุณเอก : เงินเฟ้อที่ธนาคารกลางของเวียดนามตั้งไว้ไม่เกิน 4% ซึ่งครึ่งปีแรกตอนนี้ใกล้แล้ว แบงก์ชาติเวียดนามเลยขึ้นดอกเบี้ย overnight ทันที จาก 0.5% ไปเป็น เกือบ4% นี่เป็นนโยบายระยะสั้นทำให้เงินเฟ้อลดลง และคุมราคาอาหาร อาหารสัตว์ในประเทศ น้ำมัน ตั๋วเครื่องบินทันที แล้วพอเงินเฟ้อนิ่งเมื่อไร เค้าถึงจะค่อยๆปล่อยสินเชื่อเพิ่มขึ้น เพื่อให้ระบบเศรษฐกิจหมุนต่อไปได้ แล้วค่อยยอมให้การไฟฟ้าขึ้นค่าไฟ หรือขึ้นค่าแรงได้
ดังนั้นถึงแม้ดอกเบี้ยทั่วโลกถึงสูง ก็ยังไม่กระทบอย่างมีนัยยะสำคัญ ยกเว้นดอกเบี้ยสหรัฐขึ้นไปอีกเป็น 5% จะกระทบ เพราะตอนนี้ดอกเบี้ยเวียดนามที่ risk free rate อยู่แถวๆ 2-3%
Q7: คนเวียดนามก็ลงทุน แต่คนรวยลงทุนหุ้น หรือ ทำธุรกิจ?
คุณแจ๊ค : สัดส่วนรายย่อยเวียดนามเยอะกว่าไทย แต่เงินเค้าน้อยกว่า ไม่ค่อยมีรายใหญ่เหมือนในไทย
ในอนาคตอาจมี VI เวียดนามที่มี port ใหญ่จนเราต้องเชิญมาไทย อนาคตจะมีกองทุนไทยที่ไปลงทุนในเวียดนามเพิ่มขึ้น ตอนนี้คนเวียดนามคิดเรื่องปากท้องก่อนมาลงทุนในหุ้น
ส่วนตัว มีหุ้น consumerไม่เยอะ แต่พอเห็นตัวเลขจากสไลด์ อาจจะต้องมีการปรับเปลี่ยนมาลงหุ้นกลุ่มนี้มากขึ้น
คนเวียดนามจะใช้จ่ายดีขึ้นกว่าคนจีนและคนไทย
คนจีนมีการบริโภคคิดเป็น 40% ของ GDP, ส่วนไทย 60%, แต่เวียดนามสูงถึง 70% ของ GDP
ตอนนี้ GDP ของเวียดนามน้อยกว่าไทยครึ่งนึง, รายได้ต่อหัวของเวียดนามน้อยกว่าไทย 3 เท่า, ถ้ารายได้ในอนาคตเพิ่มขึ้นก็จะมีการบริโภคมากขึ้น
Q8: มีการปรับสไตล์การลงทุน หรือ วิธีการเลือกหุ้นหรือไม่
คุณเอก : ตอนนี้ตลาดหุ้นเวียดนามยังอยู่ในตลาด Frontier แต่ถ้าเข้า MSCI Emerging Market เมื่อไหร่หุ้นขึ้นอีกเยอะ แต่เพราะอยู่เวียดนามมานาน เลยค่อนข้างเป็นห่วงเรื่อง Corporate Governance ของคนเวียดนามมากๆ อย่าง Crisis ที่ผ่านมา ธนาคารปล่อยเงินกู้ไปให้บริษัท แต่บริษัทดันเอาเงินไปซื้อที่ดิน เล่นหุ้นทำให้เกิดวิกฤต
แต่ผมซื้อสนามบิน กลุ่มผลิตไฟฟ้า, BSR, POW เน้นหุ้นใหญ่
ผมมองว่าอะไรที่ Long run Fundamental จะดีในอนาคต
Q9: เลือกหุ้นผิด หรือ มองผิดบ้างไหม
คุณแจ๊ค : ช่วง 4-5 ปีแรก ไม่ค่อยประสบความสำเร็จเพราะไม่ได้ใช้เวลาศึกษาเยอะ
ช่วงหลังคุมจำนวนหุ้น Focus ไม่เกิน 14-15 ตัว เน้นตัวที่มองอนาคตไกลๆออก เคยมีเอาออกสัก 2-3 ตัวเพราะมีผลกระทบจากกฎระเบียบ
SOE ที่เกิดขึ้นเยอะ ถ้าผ่าน IPO ไปช่วงนึง ผลประกอบการจะค่อยๆดีขึ้น และของดีๆที่ยังไม่ออกยังมีเยอะ เช่น Airline ,Tourism , consumption, Finance
ทางด้านการเงิน มีคนใช้บัญชีกับธนาคารแค่ 30% ถือว่าน้อยมาก แล้วพวกดิจิตอลจะเข้ามาได้ขนาดไหน เราลงทุนในธนาคารที่มี exposure ทางด้านนี้ด้วย
E-commerce ต้องรอ เพราะ logistic cost ยังสูงอยู่ (ขนาด Amazon ยังไม่มาเมืองไทยเลย)
อีกกลุ่มเน้น กลุ่มที่เกี่ยวกับ FDI , M&A target
Q10: คำถามจากคนที่มาสัมมนา
ในเรื่องการหาข้อมูล จำเป็นต้องเดินทางไปเวียดนามไหม
คุณเอก : ผมอยู่ที่เวียดนาม อ่านหนังสือพิมพ์ทุกฉบับที่เป็นภาษาอังกฤษ โดยเฉพาะ report จากViet cap , SSI ถ้าซื้อตามจะได้ผลตอบแทนในระยะสั้น
ส่วน คุณแจ๊ค ตอนไปเวียดนามใหม ๆ มีปัญหาคือ
1. ข้อมูลภาษาอังกฤษไม่เยอะ
2. Brokerไม่เก่ง
แต่ตอนนี้ Research ข้อมูลค่อนข้างแน่นและเป็นภาษาอังกฤษด้วย บางอันหาจาก Googleได้ แต่ต้อง apply เข้ากับคนเวียดนาม
การไปดูธุรกิจที่เวียดนามเพื่อเข้าใจว่าเขาคิดอย่างไร แต่ไม่จำเป็นต้องไปบ่อย ถ้าเราต้องเอาจริงเอาจังกับตลาดหุ้นเวียดนามจึงจะประสบความสำเร็จในการลงทุน
คุณเอก เห็นด้วยที่ คุณแจ๊ค บอกว่า อย่าคิดว่าคนเวียดนามเหมือนคนไทย การดีลงานกับคนเวียดนามยากกว่าคนไทยเยอะ ยกตัวอย่างความคิดของคนเวียดนามสมัยช่วงสงคราม เงินเฟ้อสูงๆ ได้เงิน Đong มา คนเวียดนามจะไปแลก US$ หรือ ซื้อทองเก็บ แต่คนไทยเอาเงินฝากธนาคาร เป็นต้น
Q11: กลุ่มนักลงทุนยังน้อยอยู่
คุณเอก : คุณเอก บอกว่าปี 2007 พวกแม่บ้านเล่นหุ้นมาก ไม่เข้าใจเรื่องลงทุน แล้วก็ออกจากตลาดไปหมดแล้ว หุ้นตอนนั้นขึ้นจาก Bubbleล้วนๆ ไม่มี fundamental รองรับเลย มาถึงวันนี้ทุกคนยังขยาดการเล่นหุ้นอยู่เลย
อีกเรื่องนึง Personal income tax หักภาษี 5%-35% กฎหมายเรื่องกองทุนหรือตัวช่วยลดภาษียังไม่มา แต่ในอนาคตถ้ากฎเกณฑ์พวกนี้มาเมื่อไร ในอีกสัก 10 ปี ตลาดหุ้นจะเติบโตกว่านี้แน่นอน
Experts talk: Update สถานการณ์ในตลาดหุ้นเวียดนาม โดย
1) คุณธาราบดี ซึ้งอดิชัยวิทย์ หรือ คุณเอก (ผู้จัดการทั่วไป ธนาคารกรุงเทพ สาขาประเทศเวียดนาม, ประสบการณ์14 ปีในการทำงานที่เวียดนาม และ 5 ปีในตลาดหุ้นเวียดนาม)
2) คุณวิศวกร ปันยารชุน หรือ คุณแจ๊ค (นักลงทุนหุ้นคุณค่า ประสบการณ์ 9 ปีในตลาดหุ้นเวียดนาม)
พิธีกร: คุณจิตติมา ทวาเรศ
สรุปเนื้อหาโดย Amorn & Pornchanok ( N’ Pae )
Q1: ถามคุณเอก ซึ่งทำงานอยู่ที่นั่น พึ่งบินมาเมืองไทยเมื่อวานว่า เวียดนามตอนนี้เป็นอย่างไร
คุณเอก : ผมอยู่ที่เวียดนามมา14 ปี สมัยก่อน ตอนมาแรกๆเจอแต่ยุง แมลงวัน และไฟดับทุกวัน
เดี๋ยวนี้เดินในสวนสาธารณะ หายุงหรือแมลงไม่ได้สักตัว และ ไม่มีไฟดับเลย
เมื่อ 10 กว่าปีก่อน ตลาดเวียดนามผันผวนมากเพราะ เงินเฟ้อสูง ดอกเบี้ยสูง ค่าเงิน Đong devalue แต่ตอนนี้กลับกัน เงินเฟ้อต่ำ ดอกเบี้ยต่ำ ค่าเงินเค้าค่อนข้างนิ่งมา 4-5 ปีแล้ว เมื่อเทียบกับเพื่อนบ้าน เช่น อินโดนีเซีย เงินเฟ้อลดลง เศรษฐกิจอีก 10-15 ปีข้างหน้าจะเป็นช่วงปีทองของเวียดนาม GDP น่าจะโตกว่านี้อีกเป็น 2-3 เท่าตัว เป็นสิ่งที่พิสูจน์ว่ารัฐบาลเวียดนามมาถูกทางแล้ว ดังนั้น Market cap ของตลาดหุ้นเวียดนามโตกว่านี้แน่นอน
มองเวียดนามเหมือนไทยสมัยปี 1990 ช่วงเราเป็นเสือตัวที่ห้าของเอเชีย
Fundamental ตอนนั้นของไทยเหมือนกันกับเวียดนามตอนนี้
ตอนปี 1998 ไทยเปิดเสรีทางด้าน financial market แล้วแป็ก เพราะโดนโจมตีค่าเงิน แต่เวียดนามฉลาดพอที่จะเรียนรู้จากข้อผิดพลาดของไทย แล้วเอาไปปรับปรุงแก้ไข
ตอนนี้ fundamental ต่างๆของเวียดนามดีกว่า เค้ากลายเป็นผู้ส่งออกมากกว่านำเข้า ผ่านไป 8 เดือนแรก (ปี 2018) เวียดนามเกินดุลการค้ากำไร $ 4,700 ล้านเหรียญถือเป็นครั้งแรกของเวียดนาม
2-3ปีก่อน ได้แค่ 2,000-3,000 ล้านเหรียญ และเดือนที่ผ่านมา (สิงหา) ส่งออก $ 23.5 Billion สูงกว่าส่งออกของไทยที่เฉลี่ยออกมาแล้วเดือนนึงยังไม่ถึง $ 21 Billion ต่อไปนี้เวียดนามเริ่มส่งออกมากกว่าไทยแล้ว
ตลาดหุ้นจะโตตาม Size ของ GDP และโตประมาณ 100-120% ตอนนี้ตลาดหุ้นเวียดนามอยู่ที่ 70% ของ GDP ถ้ามองยาวๆอีก 5-10 ปี จะไปได้อีกไกล
ส่วนไทย ประชาชนแก่ตัวลง บริโภคน้อยลง ไม่มีการลงทุน ส่งออกก็ไม่โต ตอนนี้เราพึ่งพาการลงทุนจากภาครัฐเป็นหลัก หนี้สาธารณะก็เพิ่มสูงขึ้น เพิ่มงบประมาณขาดดุล (การใช้งบประมาณขาดดุล จะต้อง finance ด้วยหนี้สาธารณะ)
แต่เวียดนาม วันนี้ประชากร 95 ล้านคน อยู่ในวัยหนุ่มสาว มีการบริโภคสูง ตลาดก็โตเร็ว
ชนชั้นกลางประมาณ 14 ล้านคนที่ครอบครัวมีรายได้เกิน $1,000 ต่อเดือน ถ้าดูจากประเทศที่กำลังพัฒนามีประชากรสัก 30-40%เป็นคนชั้นกลาง
ถ้าคนชั้นกลางมีมากขึ้น เกิด Urbanization ขึ้น และมี Modern Trade ตามมา
ส่วนประเทศไทย หนี้ครัวเรือน (Household debt) 80% ของ GDP การบริโภคจะเพิ่มขึ้นไม่ได้มาก (เพราะทุกบ้านมีหนี้ในการซื้อรถ ซื้อบ้านหมดแล้ว ไม่มีตังค์ไปซื้ออย่างอื่น)
แต่ เวียดนามมี consumer loan แค่ 8-10% (เค้ายังไม่มีการประกาศ household debt ออกมา) การบริโภคมีโอกาสโตมากขึ้น ส่งผลให้การลงทุนจะเพิ่มขึ้นมหาศาล
ตอนนี้มีแต่คนขอเงินกู้สร้างโรงงานแต่หาที่สร้างไม่ได้
ปีที่แล้วเงินลงทุนจากต่างชาติ ไหลมาลงทุน 36,000 ล้านเหรียญ เป็นเงิน FDI ล้วนๆ (ไม่ใช่เงินลงทุนเล่นหุ้น)
เป็น Project ที่ Commit ว่าจะสร้าง Fix asset ซึ่งจะเกิดการสร้างงานและก่อให้เกิดรายได้เพิ่มขึ้น เพิ่มการผลิตและส่งออก
การลงทุนปีนี้อีก 1.2 ล้านล้านบาท จะ generate รายได้ขนาดไหน ยิ่งถ้าลงทุนแบบนี้อย่างต่อเนื่อง อนาคต GDPของเวียดนามน่าจะใหญ่กว่าไทย
ตอนนี้ธนาคารกลางของเวียดนามมีนโยบายคุมเงินเฟ้อให้ต่ำ ดอกเบี้ยให้ต่ำแค่ 3-4% ทำให้ต้นทุนทางการเงินของคนที่ต้องกู้เงินลงทุนก็จะต่ำ ในขณะเดียวกันค่าเงิน Đong ไม่มีภาระต้อง Devalue เพราะนักลงทุนต้องการ (1) cost of capital ต่ำ เงินเฟ้อต่ำ (2) และยอดขายต้องสามารถ predict ได้ ดังนั้นจะเห็นได้ว่าสิ่งที่รัฐบาลเวียดนามพยายามทำมา ก็เพื่ออำนวยความสะดวกให้การเข้ามาลงทุนทั้งนั้นเลย
หุ้นตกแบบนี้ ต้องรีบซื้อสิครับ
Q2: ถามพี่แจ๊คว่าตลาดหุ้นตกหนักในปีนี้ ปัจจัยภายนอกมีผลกระทบต่อเวียดนามมากน้อยแค่ไหน
คุณแจ๊ค : ออกตัวไว้ก่อนว่าผมและคุณเอกอวยประเทศเวียดนามมาก (โปรดใช้วิจารณญาณในการรับฟัง) เพราะว่าตามประเทศนี้มานาน
โดยปกติตลาดหุ้นจะสะท้อนเศรษฐกิจล่วงหน้า 6 เดือน
1. ช่วงต้นปีเศรษฐกิจดีมาก ( GDP ครึ่งปีแรกสูงสุดในรอบสิบปี ดัชนีหุ้นเลยขึ้นเมื่อปีที่แล้ว 50%)
2. Moody’s Investor Service ได้ upgrade เวียดนามขึ้นมาขั้นนึง ทำให้ตลาดหุ้นโตต่อได้
3. ดัชนีที่สะท้อนความเชื่อมั่นของผู้บริโภคของเวียดนามดีกว่าไทย และสูงที่สุดในรอบสิบปี
4. มีการนำเงินลงทุน (FDI)เข้ามามาก ทำให้เวียดนามเป็น manufacturing hub ของโลก
ญี่ปุ่นมาช้าแต่อัดเงินหนักมาก ปัจจัยที่ต่างชาติมาลงทุนเยอะเป็นผลมาจากสิทธิประโยชน์ทางภาษีจาก FTA (Free trade agreement ) และเวียดนามมีแผนทำ FTA อีก 18 ประเทศ ทำให้มีการลงทุนจากต่างประเทศอีกเยอะ
Industrial park เวียดนามวางแผนไว้ว่าจะมีถึง 300-400 แห่ง ในขณะที่เมืองไทยมีไม่ถึง 50 แห่ง
ตลาดหุ้น peak ตอนเดือน มีค คุณแจ๊คเริ่มรู้สึกไม่ดี เพราะทุกคนมองดีมากๆกันหมด
แต่ไม่คิดว่าเป็นฟองสบู่ของตลาดหุ้น เพราะ PE ตอนนั้น20 เท่า ก็ยังไม่ถือว่าสูงแต่หุ้นบางตัวขึ้นมา 100% แล้ว มองย้อนกลับไปสมัยก่อน 2007-2008 เทรดกันที่ PE 40 กว่าเท่า แต่ขนาดตลาดเล็กกว่านี้ 4-5 เท่า
ประเด็นคือมูลค่าซื้อขายตอนช่วง มีค 2018 เท่าๆกับปี 2008 แสดงว่าตลาดหุ้นร้อนแรงเกินไป
ดังนั้นพอมีข่าวเกี่ยวกับ emerging market มากระทบ และก่อนหน้านั้น MSCI มีการ reallocation asset โดยเพิ่มสัดส่วนจีนเข้าไป เลยต้องลดสัดส่วนลงทุนในประเทศใน Emerging Market รวมทั้งข่าวค่าเงินประเทศใน Emerging market มีปัญหาอย่างเช่น อาเจนติน่า ตุรกี แต่จากเหตุการณ์นั้น ประเทศเวียดนามกับไทย ถือว่าโดนกระทบน้อยมาก รวมกับข่าวเก็งกำไรค่าเงิน
ฝรั่งกำไรพอสมควรหลังจากลงทุนมา 3-4 ปี เลยขายทำกำไรออกมา ทำให้หุ้นเวียดนามตก 20% กว่า
ตอนนี้ ถ้ามองผ่านสายตาผู้จัดการกองทุนของ Dragon capital ที่มองว่าตลาดเวียดนามมี PE ค่อนข้าง Ok แล้ว
บลจ หลายๆที่ในไทยออกกองทุนออกมาตอน performance ดีๆเมื่อปลายปี2017 ตอนนั้นยังน่าสนใจ ยิ่งตอนนี้ตลาดหุ้นลงมา 20% ทำให้ดูน่าสนใจขึ้นไปอีก
Q3 : ถามคุณเอกและคุณแจ๊คว่าตอนหุ้นตกแรง ได้ทำอะไรไปบ้าง การเคลื่อนไหวของหุ้นใหญ่ กลาง เล็กในตลาดเป็นอย่างไรในช่วงนั้น
คุณเอก: หุ้นประเภท VietCom bank, SSI ที่มี fundamental แข็งแรง ราคาจะไม่ค่อยตก ต่างจากพวกที่พื้นฐานไม่แข็งแรงอย่างเช่นพวก Vietin Bank (CTG) แบบนี้จะตกแรง ผมเล่นแต่หุ้นที่เป็น Fundamental ตัว Top อย่างเดียว
และผมขายหุ้นไปช่วง1,200 ตอนนี้กลับเข้ามาซื้อเพิ่มไปเรื่อยๆ
คุณแจ๊ค ส่วนคุณแจ๊คบอกว่า ผมไม่ได้ขายเลย เงินส่วนใหญ่ยังอยู่ที่นั่น โครงสร้างตลาดหุ้นเวียดนามขึ้นไป 3-4 ปีแล้ว แต่ขึ้นเฉพาะหุ้นขนาดใหญ่ (Big Cap) เป็นพวก VN30 ขึ้น แต่หุ้น Mid-small cap ไม่ค่อยขึ้น
สถาบัน กองทุนไม่ค่อยถือหุ้น Mid-small cap และการเคลื่อนไหวของนักลงทุนต่างประเทศมีผลต่อดัชนีโดยตรง นักลงทุนรายย่อยที่เวียดนามจะซื้อตาม
มีข้อสังเกตว่า ช่วงที่ผ่านมา หุ้น Mid – small cap กำไรดีไม่เท่ากับหุ้น Big cap
และช่วงครึ่งปีแรกหุ้นที่ขึ้นเป็น Big cap – โดยหุ้นกลุ่ม Real estate, Bank
ตอนนี้ผมเท่าทุน (หุ้นขึ้นตอนต้นปี และ ตอนนี้ตกกลับมาที่เดิม) เพราะไม่ได้ขายออก แต่โดยรวมถือว่า ok เพราะตลาดขึ้นมาสองปีแล้ว ผลประกอบการก็ดี
Q4 : ถามพี่เอก ภาพรวมของพอร์ตเป็นอย่างไร
คุณเอก : ตลาดหุ้นเวียดนามอยู่ในกลุ่มตลาดชายขอบ (Frontier market) , แต่ว่าบริษัทเล็กๆจะมี transparency หรือ Corporate Governance สู้ไทยไม่ได้ จึงค่อนข้างระวัง เลยเล่นหุ้นพวกตัว Top เอาไว้ก่อน ซึ่งจะถูกติดตามอย่างดีจากนักวิเคราะห์ และรัฐบาล ผบห จะทำอะไรที่หวือหวามากไม่ได้
ผมจะเลือกเฉพาะหุ้นที่โตตาม GDP ที่โตไปเรื่อยๆ
ซึ่งเหมือนไทย ตอนนั้น หลังวิกฤตต้มยำกุ้ง ก็ซื้อ SCG, PTT ในช่วงเศรษฐกิจไทยเริ่มโต ผมซื้อ Top of sector หรือไม่ก็ซื้อพวกกองดัชนี หรือ ETF ไปเลย
ผมไม่ได้กู้เงินมาลงทุน เลยไม่มีความเสี่ยง
และขอขยายความเรื่อง FDI ว่าทำไมมีการลงทุนจากต่างประเทศเข้ามามากมายขนาดนี้
เพราะมี Factors ที่สนับสนุนการเข้ามาลงทุนของ FDI มีดังนี้ ซึ่งเวียดนามมีทั้งหมดคือ
1. การเมืองต้องนิ่ง ระบบ incentive ต่างๆที่เคยสัญญาไว้กับนักลงทุนจะต้องไม่เปลี่ยนแปลงกลางทาง
2. ตลาด (ประชากร) ใหญ่พอสมควร มีการเติบโตของตลาดภายในประเทศ (เพราะการไปลงทุนเปิดโรงงาน ต้องขายคนระดับร้อยล้านคน ได้วอลุ่ม ได้กำไร)
3. มีแรงงานเพียงพอ
4. ต้นทุนการผลิตในภาพรวม ต้องถูกกว่าที่เดิม ถึงจะคุ้มค่าในการย้ายฐานมา
5. มี FTA ( อย่างที่พี่แจ๊คบอก ) ตัวนี้สำคัญมากๆ เพราะเอื้อประโยชน์ในการส่งออกมากๆ ยกตัวอย่าง เวียดนามเป็นฐานในส่งออกไปยุโรป อเมริกา พอมี FTA ได้ภาษีนำเข้าถูกว่าที่อื่น เช่น ปลาทูน่ากระป๋อง เวียดนามส่งไปเสียภาษีแค่ 10% และ เวียดนามจะทยอยลดเหลือ 0% แต่ ไทยโดนเก็บภาษี 25% ในอนาคตไทยจะสู้กับเวียดนามอย่างไง
6. Infrastructure ต้องดี ถนนหนทางต้องดี ไฟไม่ดับ น้ำต้องไหล
ทำไมนักลงทุนต่างชาติไม่มาไทย เพราะไทยมีแค่ Infrastructure เพียงอย่างเดียวที่ดี ที่เหลืออีก 5 อย่างไม่มีเลย
ผมมั่นใจในตลาดหุ้นเวียดนาม และมั่นใจว่าไม่เกิด crisis เหมือนเกิดที่ไทยเมื่อปี 1998 เพราะอะไร ...มาดูกัน
สมัยนั้นไทย (ปี 1998) เราเสียหายมากเพราะมีการปล่อยให้กู้ USD ได้อย่างเสรี โดยส่วนใหญ่เป็นเงินกู้ระยะสั้น แล้วพอกู้มาเยอะๆ เอามาเปลี่ยนเป็นเงินบาท เอาไปฝากประจำ กู้มา 6% เอาไปฝากได้ 11% ได้กำไร 5% โดยไม่ต้องเอาเงินมาทำมาหากิน แล้วอีกด้านไปเปิด Thai baht offshore พอเราทำแบบนั้น ... Soros เห็นโอกาสเลยโจมตีค่าเงินบาท เพราะฝั่งนึงดึงเงินกลับ อีกฝั่งปล่อยกู้ hedge ตัวเอง...ทำให้เกิด Crisis ขึ้นมา
แต่สำหรับเวียดนามให้กู้เงินดอลลาร์กับธุรกิจได้ โดยมีเงื่อนไขดังนี้
1. ต้องเป็นผู้ส่งออกเท่านั้น เพราะไม่เค้าไม่ต้องการให้ภาระของการกู้เงิน USD ไปเป็นภาระต่อ international reserve ของเค้า ธุรกิจต้องสามารถนำ USD ที่กู้ไป กลับมาคืนหนี้ตัวเองได้
2. ลงทุนในเวียดนาม ต้นทุนการกู้ USD ถูกกว่ากู้ Đong ธุรกิจสามารถกู้ USD มาใช้ในเวียดนามได้ แต่ต้องขออนุมัติจาก แบงค์ชาติ เวียดนามก่อน เพราะทุกปีเค้ามีโควต้า เพื่อการจัดการ FX
3. การทำ Đong offshore จะถูกห้ามเด็ดขาด จะเปิด LC เป็นเงิน Đong, จะไปทำ non-US forward ไม่ได้ทั้ง นั้นทางการไม่รับรู้
จากทั้งสามข้อนี้เป็นการปิดประตูความเสี่ยง จะเกิดCrisisได้อย่างไร
ทำให้ผมมั่นใจว่า อีก 10-15ปี เวียดนามจะแซงไทย
Q5: ถามพี่แจ๊ค ความเสี่ยงที่เคยประสบมา และ มีการปิดความเสี่ยงไหม
คุณแจ๊ค : ความเสี่ยงในเรื่องการลงทุนมี 4 ข้อ
1. Regulation เวียดนามมีการเปลี่ยนแปลงบ่อย เราต้องตาม update เราต้องมองทั้งผลกระทบในแง่บวกและลบ
2. ข้อสังเกตผมเอง คนเวียดนามมีความกล้าแบบบ้าบิ่น พบว่าคนเวียดนามมีความอยากทำธุรกิจมากกว่าคนจีน ตอนขอ FTA เขาไม่มีความพร้อมแต่สมัครคนแรกเลย เพราะเค้าเห็นโอกาสทางการค้า ยกตัวอย่างหุ้น Vincom ตอนที่เข้าไปซื้อทำอสังหา ทำห้างคล้าย CPN+LH (ตอนที่ซื้อก็ไม่คิดว่าจะเป็นแบบนี้) แต่วันดีคืนดีขยายมาทำรถยนต์เอง Vin Fast, ทำยา Vin Phar, ทำมือถือ รวมถึง Vintech เอา AI มาใช้ หรืออย่าง Mobile world ทำมือถือ ขยายไปค้าปลีก ทำ Supermarket
มองว่าเป็นข้อดี ก็ใช่ หรือมองว่าเป็นข้อเสียก็มีการ take risk เต็มที่
3. ความล่าช้าในการ privatize SOE
4. ค่าเงินมีความเสี่ยงต่อการลงทุน
ส่วน คุณเอก แชร์มุมมองความเสี่ยงในแง่ Macro
1. เรื่องความสัมพันธ์กับจีน จริงๆแล้วเวียดนามมีการรบกับจีนตั้งแต่ราชวงศ์ถัง ตอนนี้มีปัญหาเรื่องทะเลจีนใต้อีก แต่คู่ค้าของจีนคือเวียดนาม มูลค่าการค้าแซงไทยแล้ว มันเป็นความสัมพันธ์ที่ซับซ้อน
เวียดนามขาดดุลการค้ากับจีนเป็นล้านล้านต่อปี และเวียดนามนำเข้าสินค้าจากจีนมากที่สุด
มันรุนแรงมากในสมัยก่อน มีกรณีที่การเผาโรงงานของบริษัทคนจีนในเวียดนาม เพราะมีป้ายหน้าโรงงานเป็นภาษาจีน แต่ตอนนี้มีไม่มีโอกาสเกิดอีก เพราะรัฐบาล commit กับบริษัทต่างชาติที่มาลงทุนแล้วว่าจะไม่ให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก
แต่จริงๆเวียดนามไม่สู้กับจีนหรอก เพราะเค้าสู้ไม่ได้
แต่ถ้ามีการสู้รบกับจีนจริงๆ ค่าเงิน Đong จะดิ่งนรกเลย 5-10% ในวันเดียว เพราะเค้าเคยอยู่ในสงครามมาก่อน เค้าจะรีบทิ้งเงิน Đong ทันที
รัฐบาลก็รู้พยามยาม Keep stability ไม่ค่อยใช้กำลังทหาร พูดจากับจีนดีขึ้น
2. Public Debt ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา อาศัยกู้ ODA – Official Development Assistance (World Bank สนับสนุนเงินกู้ให้กับเวียดนาม) เอามาสร้างถนน โรงไฟฟ้า เป็นเงินกู้ จาก World bank , ADB , BOJ ระยะเวลากู้ 30 ปี ดอกเบี้ยต่ำ โดยกู้จากญี่ปุ่นเยอะที่สุด
ปีก่อน หนี้สาธารณะทะลุ 65% ซึ่งเป็นเพดานสูงสุดที่ National Assembly กำหนดไว้แล้ว
ตลอด1-2 ปี รัฐบาลเวียดนามพยายามลดการขาดดุลลง เลยเป็นเหตุผลที่มีการขายหุ้น Sabeco, Vinamilk ออกมาบางส่วนเพื่อลดหนี้สาธารณะลง ซึ่งที่ผ่านมาทำได้ดี ลดหนี้จาก 65% >>> 62.7%
ต่อไป Public debt อาจไม่ใช่ปัญหาเพราะสามารถขายหุ้น SOE ออกมาได้อีกเยอะ
3. Balance of Payment และ International Reserve ปีที่แล้วเงินไหลเข้าเวียดนามดูจาก Current account + Capital account = Balance of Payment ถ้าเป็นบวก จะทำให้ Reserve บวกเพิ่มขึ้น และถ้าทำ reserve ได้เยอะๆ จะช่วยเรื่องเสียรภาพของค่าเงิน (ยกตัวอย่างประเทศไทยในปัจจุบัน ลองเอา International reserve ÷ import > 12 เดือน หมายความว่า เราอยู่ได้ด้วยการนำเข้าอย่างเดียว โดยไม่ต้องส่งออกเลยก็ได้ ไปปีนึงเลย ค่าเงินบาทถึงได้นิ่ง) เวียดนามเลยเริ่มพยายามจะทำแบบไทย สิบกว่าปีก่อนเวียดนามแทบไม่มี reserve เลย ถ้าเกิดความปั่นป่วนโดยไม่มี Reserve เลยจะกระทบกับค่าเงิน Đong
• ตอนนี้เวียดนามเริ่มสะสม reserve ซึ่งมาจากการลงทุน FDI ที่เข้าอย่างมหาศาล
• Trade positive 8 เดือนแรก เข้ามา $ 4,700 ล้าน ก็ทำให้ Current Account เป็นบวกเพิ่มขึ้น
• นอกจากนี้พวกคนเวียดนามโพ้นทะเล (Viet Kieu) ที่หนีสงครามออกไปเมื่อหลายสิบปีก่อน มีการส่งเงินกลับมาประเทศตัวเอง 14,000-15,000 ล้านต่อปี ทำให้ reserveเพิ่มขึ้น
• ตอนนี้ International reserve ÷ import อาจมีถึง 3-4 เดือนของการนำเข้า ซึ่งถือว่าไม่ได้แย่ เพราะ IMF บอกว่าคุณควรจะมีสัก 3 เดือน เป็นอย่างน้อย
• ถ้า Fundamental ดีขึ้นแบบนี้ไปเรื่อยๆ เงินเฟ้อต่ำ ค่าเงินไม่ผันผวน ส่งผลดีต่อตลาดหุ้น แน่นอน
Q6: ดอกเบี้ยของเวียดนามจะสูงตามดอกเบี้ยโลกที่มีแนวโน้มสูงขึ้นไหม
คุณเอก : เงินเฟ้อที่ธนาคารกลางของเวียดนามตั้งไว้ไม่เกิน 4% ซึ่งครึ่งปีแรกตอนนี้ใกล้แล้ว แบงก์ชาติเวียดนามเลยขึ้นดอกเบี้ย overnight ทันที จาก 0.5% ไปเป็น เกือบ4% นี่เป็นนโยบายระยะสั้นทำให้เงินเฟ้อลดลง และคุมราคาอาหาร อาหารสัตว์ในประเทศ น้ำมัน ตั๋วเครื่องบินทันที แล้วพอเงินเฟ้อนิ่งเมื่อไร เค้าถึงจะค่อยๆปล่อยสินเชื่อเพิ่มขึ้น เพื่อให้ระบบเศรษฐกิจหมุนต่อไปได้ แล้วค่อยยอมให้การไฟฟ้าขึ้นค่าไฟ หรือขึ้นค่าแรงได้
ดังนั้นถึงแม้ดอกเบี้ยทั่วโลกถึงสูง ก็ยังไม่กระทบอย่างมีนัยยะสำคัญ ยกเว้นดอกเบี้ยสหรัฐขึ้นไปอีกเป็น 5% จะกระทบ เพราะตอนนี้ดอกเบี้ยเวียดนามที่ risk free rate อยู่แถวๆ 2-3%
Q7: คนเวียดนามก็ลงทุน แต่คนรวยลงทุนหุ้น หรือ ทำธุรกิจ?
คุณแจ๊ค : สัดส่วนรายย่อยเวียดนามเยอะกว่าไทย แต่เงินเค้าน้อยกว่า ไม่ค่อยมีรายใหญ่เหมือนในไทย
ในอนาคตอาจมี VI เวียดนามที่มี port ใหญ่จนเราต้องเชิญมาไทย อนาคตจะมีกองทุนไทยที่ไปลงทุนในเวียดนามเพิ่มขึ้น ตอนนี้คนเวียดนามคิดเรื่องปากท้องก่อนมาลงทุนในหุ้น
ส่วนตัว มีหุ้น consumerไม่เยอะ แต่พอเห็นตัวเลขจากสไลด์ อาจจะต้องมีการปรับเปลี่ยนมาลงหุ้นกลุ่มนี้มากขึ้น
คนเวียดนามจะใช้จ่ายดีขึ้นกว่าคนจีนและคนไทย
คนจีนมีการบริโภคคิดเป็น 40% ของ GDP, ส่วนไทย 60%, แต่เวียดนามสูงถึง 70% ของ GDP
ตอนนี้ GDP ของเวียดนามน้อยกว่าไทยครึ่งนึง, รายได้ต่อหัวของเวียดนามน้อยกว่าไทย 3 เท่า, ถ้ารายได้ในอนาคตเพิ่มขึ้นก็จะมีการบริโภคมากขึ้น
Q8: มีการปรับสไตล์การลงทุน หรือ วิธีการเลือกหุ้นหรือไม่
คุณเอก : ตอนนี้ตลาดหุ้นเวียดนามยังอยู่ในตลาด Frontier แต่ถ้าเข้า MSCI Emerging Market เมื่อไหร่หุ้นขึ้นอีกเยอะ แต่เพราะอยู่เวียดนามมานาน เลยค่อนข้างเป็นห่วงเรื่อง Corporate Governance ของคนเวียดนามมากๆ อย่าง Crisis ที่ผ่านมา ธนาคารปล่อยเงินกู้ไปให้บริษัท แต่บริษัทดันเอาเงินไปซื้อที่ดิน เล่นหุ้นทำให้เกิดวิกฤต
แต่ผมซื้อสนามบิน กลุ่มผลิตไฟฟ้า, BSR, POW เน้นหุ้นใหญ่
ผมมองว่าอะไรที่ Long run Fundamental จะดีในอนาคต
Q9: เลือกหุ้นผิด หรือ มองผิดบ้างไหม
คุณแจ๊ค : ช่วง 4-5 ปีแรก ไม่ค่อยประสบความสำเร็จเพราะไม่ได้ใช้เวลาศึกษาเยอะ
ช่วงหลังคุมจำนวนหุ้น Focus ไม่เกิน 14-15 ตัว เน้นตัวที่มองอนาคตไกลๆออก เคยมีเอาออกสัก 2-3 ตัวเพราะมีผลกระทบจากกฎระเบียบ
SOE ที่เกิดขึ้นเยอะ ถ้าผ่าน IPO ไปช่วงนึง ผลประกอบการจะค่อยๆดีขึ้น และของดีๆที่ยังไม่ออกยังมีเยอะ เช่น Airline ,Tourism , consumption, Finance
ทางด้านการเงิน มีคนใช้บัญชีกับธนาคารแค่ 30% ถือว่าน้อยมาก แล้วพวกดิจิตอลจะเข้ามาได้ขนาดไหน เราลงทุนในธนาคารที่มี exposure ทางด้านนี้ด้วย
E-commerce ต้องรอ เพราะ logistic cost ยังสูงอยู่ (ขนาด Amazon ยังไม่มาเมืองไทยเลย)
อีกกลุ่มเน้น กลุ่มที่เกี่ยวกับ FDI , M&A target
Q10: คำถามจากคนที่มาสัมมนา
ในเรื่องการหาข้อมูล จำเป็นต้องเดินทางไปเวียดนามไหม
คุณเอก : ผมอยู่ที่เวียดนาม อ่านหนังสือพิมพ์ทุกฉบับที่เป็นภาษาอังกฤษ โดยเฉพาะ report จากViet cap , SSI ถ้าซื้อตามจะได้ผลตอบแทนในระยะสั้น
ส่วน คุณแจ๊ค ตอนไปเวียดนามใหม ๆ มีปัญหาคือ
1. ข้อมูลภาษาอังกฤษไม่เยอะ
2. Brokerไม่เก่ง
แต่ตอนนี้ Research ข้อมูลค่อนข้างแน่นและเป็นภาษาอังกฤษด้วย บางอันหาจาก Googleได้ แต่ต้อง apply เข้ากับคนเวียดนาม
การไปดูธุรกิจที่เวียดนามเพื่อเข้าใจว่าเขาคิดอย่างไร แต่ไม่จำเป็นต้องไปบ่อย ถ้าเราต้องเอาจริงเอาจังกับตลาดหุ้นเวียดนามจึงจะประสบความสำเร็จในการลงทุน
คุณเอก เห็นด้วยที่ คุณแจ๊ค บอกว่า อย่าคิดว่าคนเวียดนามเหมือนคนไทย การดีลงานกับคนเวียดนามยากกว่าคนไทยเยอะ ยกตัวอย่างความคิดของคนเวียดนามสมัยช่วงสงคราม เงินเฟ้อสูงๆ ได้เงิน Đong มา คนเวียดนามจะไปแลก US$ หรือ ซื้อทองเก็บ แต่คนไทยเอาเงินฝากธนาคาร เป็นต้น
Q11: กลุ่มนักลงทุนยังน้อยอยู่
คุณเอก : คุณเอก บอกว่าปี 2007 พวกแม่บ้านเล่นหุ้นมาก ไม่เข้าใจเรื่องลงทุน แล้วก็ออกจากตลาดไปหมดแล้ว หุ้นตอนนั้นขึ้นจาก Bubbleล้วนๆ ไม่มี fundamental รองรับเลย มาถึงวันนี้ทุกคนยังขยาดการเล่นหุ้นอยู่เลย
อีกเรื่องนึง Personal income tax หักภาษี 5%-35% กฎหมายเรื่องกองทุนหรือตัวช่วยลดภาษียังไม่มา แต่ในอนาคตถ้ากฎเกณฑ์พวกนี้มาเมื่อไร ในอีกสัก 10 ปี ตลาดหุ้นจะเติบโตกว่านี้แน่นอน
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3175
สรุปงานสัมมนา ช่วง Gurus talk: วิเคราะห์ Business Model 4 หุ้น (ตอน 1 of 2 )
16 กันยายน 2561
วิทยากร
1. อ. ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร (นักลงทุนหุ้นคุณค่า ผู้จุดประกายการลงทุนหุ้นเวียดนาม)
2. คุณณัฐกิติ์ สุนทรบุระ (กูรูการลงทุนหุ้นเวียดนาม), คุณณัฐ
3. คุณภาคย์ภูมิ ศิริหงษ์ทอง (กูรูการลงทุนหุ้นเวียดนาม), คุณบอล
พิธีกร: คุณจิตติมา ทวาเรศ
สรุปโดย เป้ และพี่อมร (ขอแบ่งเป็น 2 โพส)
ได้แก่
1.Airports Corporation Of Vietnam (ACV)
2.PetroVietnam Power Corporation (POW)
3.Viet Nam Engine And Agricultural Machinery Corporation (VEA)
4.FECON CORPORATION (FCN)
Q: รบกวน ดร. นิเวศน์ ช่วยขยายความที่กล่าวถึงการลงทุนในเวียดนาม ในงาน Money Talk @ SET เดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ที่บอกว่าอยากจะเอาเงินกลับแล้ว
ดร. นิเวศน์: อันนั้นพูดทีเล่นที่จริง แต่ความรู้สึกจริงๆแล้ว ตลาดหุ้นเวียดนามยังเป็นตลาดแห่งอนาคต และยังเป็นตลาดที่พวกเราสามารถสร้างความมั่งคั่งได้คล้ายๆกับที่เราสร้างจากตลาดหุ้นไทยในช่วง 10-20 ปีที่ผ่านมา และน่าจะดีกว่าเมืองไทยด้วยซ้ำ เพราะตอนนี้ตลาดเมืองไทยค่อนข้างอิ่มตัวแล้ว และหาหุ้นเติบโดยากขึ้นขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้จะหาหุ้นที่จะเติบโตระยะยาวจากธุรกิจจริงๆได้ยากขึ้นเรื่อยๆ เพราะเศรษฐกิจสมัยใหม่ จะมีพวกเศรษฐกิจ digital ที่โต แต่การเติบโตของเศรษฐกิจของจริง ที่เติบโตไปพร้อมกับดารเติบโตของการบริโภคของประชากร จะหาได้จากตลาดเวียดนาม ชัดเจนกว่าตลาดไทย
อยู่เมืองไทยจะเป็นแนวโน้มแบบญี่ปุ่น มีแต่คนแก่ จะหาสินค้าที่ขายคนแก่ยากมากๆ ยกเว้นเป็นธุรกิจที่เป็นผู้นำของโลก ซึ่งเมืองไทยไม่มีสินค้าแบบนี้
การเติบโตของเศรษฐกิจของจริง เวียดนามจะสามารถผลิตสินค้ามาแข่งกับเมืองไทยได้ เศรษฐกิจของเค้ากำลังพุ่งพล่าน ลองสังเกตดูว่าสินค้าประเภทนี้ในเวียดนามยังโตปีละ 20-30% ส่งออกได้เพิ่มขึ้นอีกเดือนละ 20% รวมไปถึงสินค้าประเภทเสื้อผ้า มือถือ เครื่องใช้ไฟฟ้า กุ้ง หอย ปู ปลา เทียบกับในไทยที่ทุกอย่างค่อยๆ ลดลง จากที่เคยเป็นผู้ส่งออกอันดับหนึ่งในบางรายการ
ยกตัวอย่างง่ายๆ ถ้าหาสินค้าที่ขายภายในประเทศ ให้กับประชากรของเค้าที่มีหลักร้อยล้านคน และสามารถขยายได้อย่างมั่นคงไปเรื่อย กิจการประเภทนี้ก็จะเป็นกิจการที่น่าสนใจ
การค้าปลีกในเวียดนาม ยังอยู่ใน stage ที่ว่าคนยังไม่ได้ใช้อีกเยอะเลย ยังมีห้างที่คนยังไม่ได้เดินแบบ Big C, Lotus ที่เป็นเรื่องเป็นราว นี่ยังไม่ได้พูดถึงร้าน convenient stores และยังมีอีกหลายอย่างที่ยังขาดอยู่เยอะแยะ ที่เราต้องหาผู้ชนะให้ได้
แต่ที่ผมผิดหวัง แล้วพูดออกไปแบบนั้น เพราะผมเองไม่ได้ใช้เวลากับมันที่จะเลือกธุรกิจ ตอนที่เข้าไปซื้อก็เข้าไปซื้อด้วยความรีบรอ้น เพราะมองเห็นศักยภาพว่านี่คือสวรรค์แห่งใหม่เลย พอลงทุนไปแล้วถึงได้รู้ว่าต้องทำการบ้าน แต่โดยรวมแล้ว การลงทุนในเวียดนามของผมไม่ได้ขาดทุน แต่ได้กำไรน้อย คือปีนึงเฉลี่ยประมาณ 5% สุดท้ายดีกว่าการฝากเงิน นับเป็นการกระจายความเสี่ยง ถือรับปันผลสบายๆ
ตอนที่ผมไปเวียดนามตอนนั้นดัชนีอยู่ 500 กว่าจุด เราซื้อหุ้นไปร้อยกว่าตัว แต่ไม่ perform ทั้งๆที่ดัชนีขึ้นไปถึง 1200 จุด หุ้นในพอร์ตบวกประมาณ 10-20% เพราะไปเลือกหุ้นที่ไม่ค่อยมีคนเล่น สภาพคล่องน้อย ตัวเล็ก แต่ราคายังถูก ทุกวันนี้ราคาถูก ปันผลดี พอช่วงหุ้นตกลงมา หุ้นเราก็อยู่ที่เดิม
ทำให้ผมมาคิดว่า การที่ไปเวียดนามนี่ ผมไปถูกประเทศแล้ว แค่กลยุทธ์ผิด และเราไม่ทำการบ้านหนักพอ ยังไม่ได้ไปนั่งดูรายตัว เพื่อตั้งขายหรือซื้อเพิ่ม ตอนนี้ปล่อยไปก่อนเพื่อรอให้คนชั้นกลางเข้ามาเล่นหุ้นเพิ่ม รอผลประกอบการดี หุ้นก็จะขึ้นไปเองตามผลประกอบการ
นาทีนี้ ถ้าผมยังเป็นคนหนุ่มสาว ที่ต้องการจะรวยจากหุ้นจริงๆ ก็ต้องไปลงทุนที่เวียดนาม เพราะมองเห็นภาพอนาคตชัดเจน ตอนนี้ตลาดหุ้นเวียดนามยังไม่ efficient หุ้นตัวยังไม่ใหญ่มาก มี market cap นิดเดียว ถ้าเราเข้าไปซื้อตอนนี้ ถือไว้สัก 5-10 ปี รอ market cap เพิ่มขึ้น เราก็มีสิทธิ์ประสบความสำเร็จจากหุ้นได้ หรือถ้าเราไม่มีเวลาศึกษา การซื้อกองทุนทิ้งไว้ ก็ยังเป็นโอกาสที่ดีเช่นกัน
คุณณัฐ: เสริมว่าการลงทุนในตลาดเวียดนามช่วงนี้ ยังไม่อยากให้ไปอิงกับดัชนีมากนัก เนื่องจาก 20% ของ market cap เป็นหุ้นกลุ่มแบงก์ และอีก 20% เป็นหุ้น 3 ตัวของกลุ่ม Vin Group คือ VIC, VHM, และ VRE ทั้งสองอย่างรวมกันก็เป็น 40% ของ market cap เข้าไปแล้ว ดังนั้นการขึ้นลงของดัชนี อาจจะไม่ได้สะท้อนสภาพความเป็นจริงของตลาดหุ้นโดยรวมซะทีเดียว
ดังนั้น แทนที่จะไปอิงกับดัชนี เรามาตั้งเป้าเลือกหุ้นรายตัวเพื่อสร้างผลตอบแทนสัก 10-20% น่าจะดีกว่า
1) Airports Corporation of Vietnam (ACV)
คุณณัฐ: ตัวนี้เทียบเท่ากับ AOT ของบ้านเรา เป็นเจ้าของสนามบิน 22 แห่ง กระจายไปทั่วประเทศ โดยมีการแบ่งกลุ่มสนามบินที่เค้าดูแลออกเป็น 3 กลุ่มด้วยกัน ตามระดับ service charge .. กลุ่ม A, B, C A มี service charge สูงสุด และรองลงมาตามลำดับ
รายได้แบ่งเป็น Aero revenue 80% (เกี่ยวกับการ take off/landing fee) และ non-Aero revenue 20-22% เช่นค่าเช่าร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึก และเก็บส่วนแบ่งรายได้จากร้าน duty free
Outlook รายได้ของปีนี้ น่าจะดีมากเนื่องจาก ACV ได้มีการทะยอยปรับขึ้นค่า fee ตั้งแต่ตุลาปีที่แล้ว ถึง กรกฎาปีนี้ ทำให้ earning, revenue growth ในปีนี้จะอยู่ในเกณฑ์ที่ดีมาก
สำหรับโครงการที่เป็นไฮไลท์ในอนาคต 2 แห่งคือ
1) การก่อสร้าง Terminal 3 ที่สนามบิน Tan Son Nhat (TSN, ที่ HCMC)
2) การสร้างสนามบินแห่งใหม่ Long Thanh international airport ที่จังหวัด Dong Nai ที่อาจจะใช้ควบคู่ไปกับสนามบิน TSN เพราะถึงแม้ว่าจะมีการสร้าง Terminal แห่งที่ 3 ขึ้นมา ก็อาจจะไม่สามารถรองรับจำนวนผู้โดยสารที่เพิ่มมากขึ้นในอีก 7-8 ปี ข้างหน้าได้
คุณบอล: จุดแข็งของตัวนี้ คือผลประโยชน์ที่จะได้รับจากการที่จำนวนนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างปะรเทศเพิ่มมากขึ้น
ข้อแตกต่างระหว่าง AOT กับ ACV คือ AOT มีแต่สนามบินเกรด A เท่านั้น ส่วนสนามบินรองๆที่ไม่ค่อยมีกำไรจะไม่อยู่กับ AOT
จาก trend
1) การเติบโตของจำนวนผู้โดยสาร
นักท่องเที่ยวต่างชาติไปเวียดนามเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ (ตอนนี้ประมาณ 1/3 ของบ้านเรา) ในขณะที่ market cap ของ จะอยู่ที่ ACV 1/4 ของ AOT เท่านั้น ทำให้ยังมี room ที่เติบโตได้อีกมาก โดยเฉพาะจากจำนวนนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะจีนที่เข้าไปเวียดนามมากขึ้น โตระดับ 10% ++ ต่อปี
รวมทั้ง demand การเดินทางในประเทศด้วยเครื่องบินมากขึ้น เนื่องจากถนนหนทางยังไม่ค่อยดีนัก
2) ถ้าแกะดูรายได้ของ ACV ที่มีแนวโน้มว่าจะสามารถเคลียร์ประเด็นข้อพิพาษกับรัฐบาลเรื่องการจัดเก็บรายได้จากการใช้ runways ว่าเป็นของใคร ระหว่างเข้ารัฐบาล หรือ เข้ากระเป๋า ACV (ปัจจุบันทาง ACV เก็บแค่ค่า passenger fee)
นอกจากนี้ยังมีโอกาสที่จะเพิมรายได้จาก non-Aero revenue ที่ปัจจุบันอยู่ที่เพียง 22% ของรายได้ทั้งหมด ในขณะที่ค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมอยู่ที่ประมาณ 40% (AOT ก็จะอยู่ประมาณนี้)
ถ้าผู้โดยสารเพิ่มขึ้น โอกาสในการขายก็มากขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นกระบวนการ bidding ร้านค้าต่างๆ ยังไม่เป็น international มากนัก (หมายถึงยังไม่มีผู้เล่นรายใหญ่ หรือต่างชาติเข้ามาประมูลร้านแข่ง) ถ้าเค้าเปิดเสรีเมื่อไร สัดส่วนที่รายได้ที่เป็น revenue sharing ตรงนี้ อาจจะโตขึ้นจาก 10-15% เป็น 30% ก็ย่อมมีความเป็นไปได้สูง
แต่ในแง่ของราคาหุ้น ACV ตอนนี้ ถือว่าค่อนข้างแพง มี EV/EBITDA = 17x
แต่ว่า ตอนนี้ AOT น่าจะแพงที่สุดในโลกทั้งในเชิง market cap และ EV/EBITDA
คุณณัฐ เสริมว่า ตอนนี้รายได้ค่าเช่าหนักไปทาง fixed rate ซะเยอะ ในขณะที่ revenue sharing มีมาร์จิ้นสูงกว่า และยังมีพื้นที่ที่ติดสัญญาเช่าเดิมตั้งแต่สมัยยังเป็น SOE อยู่ ซึ่งเป็นการเก็บค่าเช่าที่ถูกมาก เมื่อถึงเวลาต่ออายุสัญญาจะมีการเปิดประมูลพื้นที่เช่าใหม่ ก็มีโอกาสที่จะได้รับค่าเช่าเป็น market rate มากขึ้น
นอกจากนี้ จากการเข้าพอ ผบห เมื่อ 2 เดือนก่อน จะมีการทำ international bidding ให้รายใหญ่ หรือต่างชาติเข้ามาประมูล ทำให้น่ามีรายได้เพิ่มขึ้น
กำลังซื้อคนเวียดนามมากขึ้น มีแนวโน้มที่จะไปซื้อสินค้าใน duty free มากขึ้น
สุดท้ายทางรัฐบาลวางแผนจะส่งมอบ runways ให้กับ ACV ภายใน 1H19 ทำให้สามารถรับรู้รายได้จากส่วนนี้ภายในปีหน้า แต่ต้องติดตามว่าการส่งมอบจะออกมาในรูปแบบไหนระหว่างเป็นพื้นที่ให้เช่า หรือเป็นสัมปทาน เนื่องจาก จะส่งผลต่ออัตรากำไรที่แตกต่างกันออกไป
แต่ว่า runways ที่ Noi Bai จะต้องปิดซ่อมปรับปรุง ซึ่งวางแผนจะทำในช่วง 3Q19 (low season) ซึ่งอาจจะกระทบกับผลประกอบการในไตรมาสดังกล่าว
ข้อควรระวังคือ
- ACV อาจจะไม่ได้ผลประโยชน์อย่างเต็มที่จากจำนวน ผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้น สาเหตุเนื่องจากว่า ACV เองเป็นเพียงผู้ถิหุ้นส่วนน้อยและไม่ได้มีสิทธิ์บริหาร terminals ที่ international airports 2 แห่งที่มีความสำคัญมาก คือที่ Danang (ACV ถือ 20%) และที่ Cam Ranh (หรือ Nha Trang) (ACV ถือ 10%) เนื่องจากทั้ง 2 แห่งนี้มีอัตราการเติบโตของนักท่องเที่ยวต่างชาติสูงกว่าที่ HCMC และ Hanoi อย่างมาก เพราะชาวต่างชาติที่เดินทางผ่านสนามบิน Danang และ Cam Ranh คิดเป็นสัดส่วน 20% ของนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมดที่เดินทางเข้ามาในเวียดนาม
- ACV มี CAPEX cycle รอบใหญ่รออยู่ ถึงแม้จะไม่ใช้ในเร็วๆนี้ นั่นก็คือตัว Long Thanh international airport ที่ประมาณงบการก่อสร้างสูงถึง US$ 15 bn ซึ่งยังไม่มีความชัดเจนในเรื่องของการระดมทุน รวมไปถึง cost of fund จะเป็นเท่าไร และช่วงแรกในการดำเนินงานจะขาดทุนหนักขนาดไหน จริงๆแล้วทาง ACV เคยพยายามจะหา strategic partner มาซื้อหุ้นเพิ่มทุน และลงทุนก่อสร้างโดยตรง นั่นคือ airport de France แต่ไม่สามารถตกลงราคาหุ้นกันได้ ทำให้ทางรั่งเศสถอนตัวออกไป ACV จึงต้องลงทุนเองคนเดียว หรือจนกว่าจะมี partner ใหม่เข้ามาแทน
ดร. นิเวศน์:
Market cap : AOT= 920,000 ล้านบาท , ACV = 260,000 ล้านบาท (28% ของ AOT เอง)
PE: AOT = 38x , ACV = 33x
ราคาถูกกว่า AOT นิดหน่อย จนถือว่าพอๆกัน
Profit margin: AOT = 42%, ACV = 37%
ROE: AOT = 18% , ACV = 21%
นักท่องเที่ยวต่างชาติที่ไปเวียดนามโตปีละ 15-20% ในขณะที่มาไทย เติบโตเพียงปีละ 5-10% เอง ของเวียดนามจำนวนนักท่องเที่ยวยังโตได้อีกเยอะ ยิ่งมีการลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ เค้าก็เดินทางกันเข้ามามากขึ้น จะเห็นว่ามีเกาหลี จีน ไต้หวัน ญี่ปุ่น เข้าไปเยอะ จะส่งผลให้การท่องเที่ยวของเวียดนามเจริญเติบโต เพียงแค่เวียดนามยังไม่มี infrastructure ที่เพียงพอ และยังเป็นสังคมคอมมิวนิสต์ที่จะอะไรก็ยังถูกควบคุมอยู่มาก
ผมเคยถือ AOT มานานมาก ในสมัยก่อน แล้วหุ้นไม่ไปไหนเลย ถือจนเบื่อเลยขายทิ้ง แต่เมื่อ 4-5 ปี อยู่นักท่องเที่ยวมาจากไหนไม่รู้ แห่กันเข้ามาท่องเที่ยวเมืองไทย นักท่องเที่ยวจีนที่มาไทยตอนแรกๆโตปีละ 20-30% ทำให้หุ้น AOT เติบโตขึ้นมาอย่างมาก หุ้นเปลี่ยนไปเลย
พอคนจีนเข้ามาพรดพราด ทุกอย่างเลยไหลลงมากลายเป็นกำไรให้ AOT หมดเพราะต้นทุนเท่าเดิม
เพราะฉะนั้น ถ้าจะถือ ACV ต้องมองว่าอนาคตรัฐบาลเวียดนามจะเป็นแบบไหน เพราะหุ้นสนามบินจะจนหรือรวยขึ้นอยู่กับนโยบายรัฐบาล รวมไปถึงเรื่องของการให้บริหารสนามบินไหน การเก็บค่าธรรมเนียมอะไรต่างๆ อย่างนี้เป็นต้น
ก็ลองไปดูเอาละกัน
16 กันยายน 2561
วิทยากร
1. อ. ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร (นักลงทุนหุ้นคุณค่า ผู้จุดประกายการลงทุนหุ้นเวียดนาม)
2. คุณณัฐกิติ์ สุนทรบุระ (กูรูการลงทุนหุ้นเวียดนาม), คุณณัฐ
3. คุณภาคย์ภูมิ ศิริหงษ์ทอง (กูรูการลงทุนหุ้นเวียดนาม), คุณบอล
พิธีกร: คุณจิตติมา ทวาเรศ
สรุปโดย เป้ และพี่อมร (ขอแบ่งเป็น 2 โพส)
ได้แก่
1.Airports Corporation Of Vietnam (ACV)
2.PetroVietnam Power Corporation (POW)
3.Viet Nam Engine And Agricultural Machinery Corporation (VEA)
4.FECON CORPORATION (FCN)
Q: รบกวน ดร. นิเวศน์ ช่วยขยายความที่กล่าวถึงการลงทุนในเวียดนาม ในงาน Money Talk @ SET เดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ที่บอกว่าอยากจะเอาเงินกลับแล้ว
ดร. นิเวศน์: อันนั้นพูดทีเล่นที่จริง แต่ความรู้สึกจริงๆแล้ว ตลาดหุ้นเวียดนามยังเป็นตลาดแห่งอนาคต และยังเป็นตลาดที่พวกเราสามารถสร้างความมั่งคั่งได้คล้ายๆกับที่เราสร้างจากตลาดหุ้นไทยในช่วง 10-20 ปีที่ผ่านมา และน่าจะดีกว่าเมืองไทยด้วยซ้ำ เพราะตอนนี้ตลาดเมืองไทยค่อนข้างอิ่มตัวแล้ว และหาหุ้นเติบโดยากขึ้นขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้จะหาหุ้นที่จะเติบโตระยะยาวจากธุรกิจจริงๆได้ยากขึ้นเรื่อยๆ เพราะเศรษฐกิจสมัยใหม่ จะมีพวกเศรษฐกิจ digital ที่โต แต่การเติบโตของเศรษฐกิจของจริง ที่เติบโตไปพร้อมกับดารเติบโตของการบริโภคของประชากร จะหาได้จากตลาดเวียดนาม ชัดเจนกว่าตลาดไทย
อยู่เมืองไทยจะเป็นแนวโน้มแบบญี่ปุ่น มีแต่คนแก่ จะหาสินค้าที่ขายคนแก่ยากมากๆ ยกเว้นเป็นธุรกิจที่เป็นผู้นำของโลก ซึ่งเมืองไทยไม่มีสินค้าแบบนี้
การเติบโตของเศรษฐกิจของจริง เวียดนามจะสามารถผลิตสินค้ามาแข่งกับเมืองไทยได้ เศรษฐกิจของเค้ากำลังพุ่งพล่าน ลองสังเกตดูว่าสินค้าประเภทนี้ในเวียดนามยังโตปีละ 20-30% ส่งออกได้เพิ่มขึ้นอีกเดือนละ 20% รวมไปถึงสินค้าประเภทเสื้อผ้า มือถือ เครื่องใช้ไฟฟ้า กุ้ง หอย ปู ปลา เทียบกับในไทยที่ทุกอย่างค่อยๆ ลดลง จากที่เคยเป็นผู้ส่งออกอันดับหนึ่งในบางรายการ
ยกตัวอย่างง่ายๆ ถ้าหาสินค้าที่ขายภายในประเทศ ให้กับประชากรของเค้าที่มีหลักร้อยล้านคน และสามารถขยายได้อย่างมั่นคงไปเรื่อย กิจการประเภทนี้ก็จะเป็นกิจการที่น่าสนใจ
การค้าปลีกในเวียดนาม ยังอยู่ใน stage ที่ว่าคนยังไม่ได้ใช้อีกเยอะเลย ยังมีห้างที่คนยังไม่ได้เดินแบบ Big C, Lotus ที่เป็นเรื่องเป็นราว นี่ยังไม่ได้พูดถึงร้าน convenient stores และยังมีอีกหลายอย่างที่ยังขาดอยู่เยอะแยะ ที่เราต้องหาผู้ชนะให้ได้
แต่ที่ผมผิดหวัง แล้วพูดออกไปแบบนั้น เพราะผมเองไม่ได้ใช้เวลากับมันที่จะเลือกธุรกิจ ตอนที่เข้าไปซื้อก็เข้าไปซื้อด้วยความรีบรอ้น เพราะมองเห็นศักยภาพว่านี่คือสวรรค์แห่งใหม่เลย พอลงทุนไปแล้วถึงได้รู้ว่าต้องทำการบ้าน แต่โดยรวมแล้ว การลงทุนในเวียดนามของผมไม่ได้ขาดทุน แต่ได้กำไรน้อย คือปีนึงเฉลี่ยประมาณ 5% สุดท้ายดีกว่าการฝากเงิน นับเป็นการกระจายความเสี่ยง ถือรับปันผลสบายๆ
ตอนที่ผมไปเวียดนามตอนนั้นดัชนีอยู่ 500 กว่าจุด เราซื้อหุ้นไปร้อยกว่าตัว แต่ไม่ perform ทั้งๆที่ดัชนีขึ้นไปถึง 1200 จุด หุ้นในพอร์ตบวกประมาณ 10-20% เพราะไปเลือกหุ้นที่ไม่ค่อยมีคนเล่น สภาพคล่องน้อย ตัวเล็ก แต่ราคายังถูก ทุกวันนี้ราคาถูก ปันผลดี พอช่วงหุ้นตกลงมา หุ้นเราก็อยู่ที่เดิม
ทำให้ผมมาคิดว่า การที่ไปเวียดนามนี่ ผมไปถูกประเทศแล้ว แค่กลยุทธ์ผิด และเราไม่ทำการบ้านหนักพอ ยังไม่ได้ไปนั่งดูรายตัว เพื่อตั้งขายหรือซื้อเพิ่ม ตอนนี้ปล่อยไปก่อนเพื่อรอให้คนชั้นกลางเข้ามาเล่นหุ้นเพิ่ม รอผลประกอบการดี หุ้นก็จะขึ้นไปเองตามผลประกอบการ
นาทีนี้ ถ้าผมยังเป็นคนหนุ่มสาว ที่ต้องการจะรวยจากหุ้นจริงๆ ก็ต้องไปลงทุนที่เวียดนาม เพราะมองเห็นภาพอนาคตชัดเจน ตอนนี้ตลาดหุ้นเวียดนามยังไม่ efficient หุ้นตัวยังไม่ใหญ่มาก มี market cap นิดเดียว ถ้าเราเข้าไปซื้อตอนนี้ ถือไว้สัก 5-10 ปี รอ market cap เพิ่มขึ้น เราก็มีสิทธิ์ประสบความสำเร็จจากหุ้นได้ หรือถ้าเราไม่มีเวลาศึกษา การซื้อกองทุนทิ้งไว้ ก็ยังเป็นโอกาสที่ดีเช่นกัน
คุณณัฐ: เสริมว่าการลงทุนในตลาดเวียดนามช่วงนี้ ยังไม่อยากให้ไปอิงกับดัชนีมากนัก เนื่องจาก 20% ของ market cap เป็นหุ้นกลุ่มแบงก์ และอีก 20% เป็นหุ้น 3 ตัวของกลุ่ม Vin Group คือ VIC, VHM, และ VRE ทั้งสองอย่างรวมกันก็เป็น 40% ของ market cap เข้าไปแล้ว ดังนั้นการขึ้นลงของดัชนี อาจจะไม่ได้สะท้อนสภาพความเป็นจริงของตลาดหุ้นโดยรวมซะทีเดียว
ดังนั้น แทนที่จะไปอิงกับดัชนี เรามาตั้งเป้าเลือกหุ้นรายตัวเพื่อสร้างผลตอบแทนสัก 10-20% น่าจะดีกว่า
1) Airports Corporation of Vietnam (ACV)
คุณณัฐ: ตัวนี้เทียบเท่ากับ AOT ของบ้านเรา เป็นเจ้าของสนามบิน 22 แห่ง กระจายไปทั่วประเทศ โดยมีการแบ่งกลุ่มสนามบินที่เค้าดูแลออกเป็น 3 กลุ่มด้วยกัน ตามระดับ service charge .. กลุ่ม A, B, C A มี service charge สูงสุด และรองลงมาตามลำดับ
รายได้แบ่งเป็น Aero revenue 80% (เกี่ยวกับการ take off/landing fee) และ non-Aero revenue 20-22% เช่นค่าเช่าร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึก และเก็บส่วนแบ่งรายได้จากร้าน duty free
Outlook รายได้ของปีนี้ น่าจะดีมากเนื่องจาก ACV ได้มีการทะยอยปรับขึ้นค่า fee ตั้งแต่ตุลาปีที่แล้ว ถึง กรกฎาปีนี้ ทำให้ earning, revenue growth ในปีนี้จะอยู่ในเกณฑ์ที่ดีมาก
สำหรับโครงการที่เป็นไฮไลท์ในอนาคต 2 แห่งคือ
1) การก่อสร้าง Terminal 3 ที่สนามบิน Tan Son Nhat (TSN, ที่ HCMC)
2) การสร้างสนามบินแห่งใหม่ Long Thanh international airport ที่จังหวัด Dong Nai ที่อาจจะใช้ควบคู่ไปกับสนามบิน TSN เพราะถึงแม้ว่าจะมีการสร้าง Terminal แห่งที่ 3 ขึ้นมา ก็อาจจะไม่สามารถรองรับจำนวนผู้โดยสารที่เพิ่มมากขึ้นในอีก 7-8 ปี ข้างหน้าได้
คุณบอล: จุดแข็งของตัวนี้ คือผลประโยชน์ที่จะได้รับจากการที่จำนวนนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างปะรเทศเพิ่มมากขึ้น
ข้อแตกต่างระหว่าง AOT กับ ACV คือ AOT มีแต่สนามบินเกรด A เท่านั้น ส่วนสนามบินรองๆที่ไม่ค่อยมีกำไรจะไม่อยู่กับ AOT
จาก trend
1) การเติบโตของจำนวนผู้โดยสาร
นักท่องเที่ยวต่างชาติไปเวียดนามเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ (ตอนนี้ประมาณ 1/3 ของบ้านเรา) ในขณะที่ market cap ของ จะอยู่ที่ ACV 1/4 ของ AOT เท่านั้น ทำให้ยังมี room ที่เติบโตได้อีกมาก โดยเฉพาะจากจำนวนนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะจีนที่เข้าไปเวียดนามมากขึ้น โตระดับ 10% ++ ต่อปี
รวมทั้ง demand การเดินทางในประเทศด้วยเครื่องบินมากขึ้น เนื่องจากถนนหนทางยังไม่ค่อยดีนัก
2) ถ้าแกะดูรายได้ของ ACV ที่มีแนวโน้มว่าจะสามารถเคลียร์ประเด็นข้อพิพาษกับรัฐบาลเรื่องการจัดเก็บรายได้จากการใช้ runways ว่าเป็นของใคร ระหว่างเข้ารัฐบาล หรือ เข้ากระเป๋า ACV (ปัจจุบันทาง ACV เก็บแค่ค่า passenger fee)
นอกจากนี้ยังมีโอกาสที่จะเพิมรายได้จาก non-Aero revenue ที่ปัจจุบันอยู่ที่เพียง 22% ของรายได้ทั้งหมด ในขณะที่ค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมอยู่ที่ประมาณ 40% (AOT ก็จะอยู่ประมาณนี้)
ถ้าผู้โดยสารเพิ่มขึ้น โอกาสในการขายก็มากขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นกระบวนการ bidding ร้านค้าต่างๆ ยังไม่เป็น international มากนัก (หมายถึงยังไม่มีผู้เล่นรายใหญ่ หรือต่างชาติเข้ามาประมูลร้านแข่ง) ถ้าเค้าเปิดเสรีเมื่อไร สัดส่วนที่รายได้ที่เป็น revenue sharing ตรงนี้ อาจจะโตขึ้นจาก 10-15% เป็น 30% ก็ย่อมมีความเป็นไปได้สูง
แต่ในแง่ของราคาหุ้น ACV ตอนนี้ ถือว่าค่อนข้างแพง มี EV/EBITDA = 17x
แต่ว่า ตอนนี้ AOT น่าจะแพงที่สุดในโลกทั้งในเชิง market cap และ EV/EBITDA
คุณณัฐ เสริมว่า ตอนนี้รายได้ค่าเช่าหนักไปทาง fixed rate ซะเยอะ ในขณะที่ revenue sharing มีมาร์จิ้นสูงกว่า และยังมีพื้นที่ที่ติดสัญญาเช่าเดิมตั้งแต่สมัยยังเป็น SOE อยู่ ซึ่งเป็นการเก็บค่าเช่าที่ถูกมาก เมื่อถึงเวลาต่ออายุสัญญาจะมีการเปิดประมูลพื้นที่เช่าใหม่ ก็มีโอกาสที่จะได้รับค่าเช่าเป็น market rate มากขึ้น
นอกจากนี้ จากการเข้าพอ ผบห เมื่อ 2 เดือนก่อน จะมีการทำ international bidding ให้รายใหญ่ หรือต่างชาติเข้ามาประมูล ทำให้น่ามีรายได้เพิ่มขึ้น
กำลังซื้อคนเวียดนามมากขึ้น มีแนวโน้มที่จะไปซื้อสินค้าใน duty free มากขึ้น
สุดท้ายทางรัฐบาลวางแผนจะส่งมอบ runways ให้กับ ACV ภายใน 1H19 ทำให้สามารถรับรู้รายได้จากส่วนนี้ภายในปีหน้า แต่ต้องติดตามว่าการส่งมอบจะออกมาในรูปแบบไหนระหว่างเป็นพื้นที่ให้เช่า หรือเป็นสัมปทาน เนื่องจาก จะส่งผลต่ออัตรากำไรที่แตกต่างกันออกไป
แต่ว่า runways ที่ Noi Bai จะต้องปิดซ่อมปรับปรุง ซึ่งวางแผนจะทำในช่วง 3Q19 (low season) ซึ่งอาจจะกระทบกับผลประกอบการในไตรมาสดังกล่าว
ข้อควรระวังคือ
- ACV อาจจะไม่ได้ผลประโยชน์อย่างเต็มที่จากจำนวน ผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้น สาเหตุเนื่องจากว่า ACV เองเป็นเพียงผู้ถิหุ้นส่วนน้อยและไม่ได้มีสิทธิ์บริหาร terminals ที่ international airports 2 แห่งที่มีความสำคัญมาก คือที่ Danang (ACV ถือ 20%) และที่ Cam Ranh (หรือ Nha Trang) (ACV ถือ 10%) เนื่องจากทั้ง 2 แห่งนี้มีอัตราการเติบโตของนักท่องเที่ยวต่างชาติสูงกว่าที่ HCMC และ Hanoi อย่างมาก เพราะชาวต่างชาติที่เดินทางผ่านสนามบิน Danang และ Cam Ranh คิดเป็นสัดส่วน 20% ของนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมดที่เดินทางเข้ามาในเวียดนาม
- ACV มี CAPEX cycle รอบใหญ่รออยู่ ถึงแม้จะไม่ใช้ในเร็วๆนี้ นั่นก็คือตัว Long Thanh international airport ที่ประมาณงบการก่อสร้างสูงถึง US$ 15 bn ซึ่งยังไม่มีความชัดเจนในเรื่องของการระดมทุน รวมไปถึง cost of fund จะเป็นเท่าไร และช่วงแรกในการดำเนินงานจะขาดทุนหนักขนาดไหน จริงๆแล้วทาง ACV เคยพยายามจะหา strategic partner มาซื้อหุ้นเพิ่มทุน และลงทุนก่อสร้างโดยตรง นั่นคือ airport de France แต่ไม่สามารถตกลงราคาหุ้นกันได้ ทำให้ทางรั่งเศสถอนตัวออกไป ACV จึงต้องลงทุนเองคนเดียว หรือจนกว่าจะมี partner ใหม่เข้ามาแทน
ดร. นิเวศน์:
Market cap : AOT= 920,000 ล้านบาท , ACV = 260,000 ล้านบาท (28% ของ AOT เอง)
PE: AOT = 38x , ACV = 33x
ราคาถูกกว่า AOT นิดหน่อย จนถือว่าพอๆกัน
Profit margin: AOT = 42%, ACV = 37%
ROE: AOT = 18% , ACV = 21%
นักท่องเที่ยวต่างชาติที่ไปเวียดนามโตปีละ 15-20% ในขณะที่มาไทย เติบโตเพียงปีละ 5-10% เอง ของเวียดนามจำนวนนักท่องเที่ยวยังโตได้อีกเยอะ ยิ่งมีการลงทุนโดยตรงจากต่างชาติ เค้าก็เดินทางกันเข้ามามากขึ้น จะเห็นว่ามีเกาหลี จีน ไต้หวัน ญี่ปุ่น เข้าไปเยอะ จะส่งผลให้การท่องเที่ยวของเวียดนามเจริญเติบโต เพียงแค่เวียดนามยังไม่มี infrastructure ที่เพียงพอ และยังเป็นสังคมคอมมิวนิสต์ที่จะอะไรก็ยังถูกควบคุมอยู่มาก
ผมเคยถือ AOT มานานมาก ในสมัยก่อน แล้วหุ้นไม่ไปไหนเลย ถือจนเบื่อเลยขายทิ้ง แต่เมื่อ 4-5 ปี อยู่นักท่องเที่ยวมาจากไหนไม่รู้ แห่กันเข้ามาท่องเที่ยวเมืองไทย นักท่องเที่ยวจีนที่มาไทยตอนแรกๆโตปีละ 20-30% ทำให้หุ้น AOT เติบโตขึ้นมาอย่างมาก หุ้นเปลี่ยนไปเลย
พอคนจีนเข้ามาพรดพราด ทุกอย่างเลยไหลลงมากลายเป็นกำไรให้ AOT หมดเพราะต้นทุนเท่าเดิม
เพราะฉะนั้น ถ้าจะถือ ACV ต้องมองว่าอนาคตรัฐบาลเวียดนามจะเป็นแบบไหน เพราะหุ้นสนามบินจะจนหรือรวยขึ้นอยู่กับนโยบายรัฐบาล รวมไปถึงเรื่องของการให้บริหารสนามบินไหน การเก็บค่าธรรมเนียมอะไรต่างๆ อย่างนี้เป็นต้น
ก็ลองไปดูเอาละกัน
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3176
สัมมนา “วันรวมพลคนลงทุนหุ้นเวียดนาม”
Gurus talk: วิเคราะห์ Business Model 4 หุ้น (2 of 2)
สรุปโดย เป้ และ พี่อมร
2) Petro Vietnam Power Corporation (POW)
คุณบอล>>> ตัวนี้เป็นบริษัทลูกของ Petro Vietnam (PVN) คล้ายๆ PTT บ้านเรา มี Installed Capacity = 4,200 MW (แต่ในแง่ของ Equity Capacity = 3,900 MW), market cap = 50,000 ล้านบาท
มาดูที่ภาพรวมอุตสาหกรรมไฟฟ้าของเวียดนาม โรงไฟฟ้าจะขึ้นกับภาครัฐค่อนข้างมาก
ความต้องการของไฟฟ้าของเวียดนามต้องการใช้ไฟมากขึ้น สร้างโรงงานตามตัวเลข FDI ที่มากขึ้น เดินห้างมากขึ้น ซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้ามากขึ้น
ที่ผ่านมา demand ความต้องการใช้ไฟฟ้าเวียดนามโต 10%++ แต่โรงไฟฟ้าสร้างตามไม่ทัน โตแค่ 4-5% เท่านั้น
ถึงแม้ว่าค่าไฟเวียดนามจะถูกควบคุมจนตอนนี้ราคาถูกกว่าเพื่อนบ้านเยอะ แต่สุดท้ายค่าไฟก็ต้องขึ้น เพราะถ้าไม่ขึ้น จะไม่จูงให้ผู้ประกอบการโรงไฟฟ้าเข้ามาลงทุน
สรุปง่ายๆว่าภาพรวมความต้องการไฟฟ้าของเวียดนามมี Demand > Supply
POW มีกำลังการผลิตไฟฟ้าในพอร์ตเป็นอัน 2 หรือ 3 ของเวียดนาม
• 60% เป็นโรงไฟฟ้าแก๊สธรรมชาติ จากหลุมแก๊สในประเทศ
• 20% เป็นโรงไฟฟ้าถ่านหิน
• 10% เป็นโรงไฟฟ้าพลังน้ำ
ธุรกิจโรงไฟฟ้า ถึงแม้ว่ารัฐบาล (EVN – Electricity Vietnam) คุม แต่อีกมุมคือมีความแน่นอน คิดเรื่องธุรกิจไฟฟ้าคือ P x Q (P ราคาขาย, Q ปริมาณ) ปริมาณอาจจะผันผวนบ้าง ถ้าน้ำมาเยอะ EVN อาจจะโยกไปรับซื้อไฟจากเขื่อนมากขึ้น ต้องขึ้นอยู่แล้ว
ล่าสุดทาง POW ได้รับอนุมัติให้สร้าง โรงไฟฟ้า NT3, NT 4 ที่มีกำลังการผลิตไฟรวมกัน 1,500 MW แต่อาจจะมีช้าไปบ้างเพราะต้องใช้เชื้อเพลิง LNG ที่นำเข้าจากต่างประเทศ และโรงเก็บ LNG สร้างไม่ทัน ยังไม่รวมโครงการในอนาคตอีกเยอะ ซึ่งอาจจะขึ้นไประดับ 10,000 MW
ระบบการรับซื้อไฟฟ้าของเวียดนาม มี 2 แบบ
1. แบบ PPA โดยกำหนด IRR ที่ 12%
2. แบบ CGM (Competitive Generation Market)
คุณณัฐ>>> เสริมเรื่องรายละเอียดจาก Power Development Plan VII ของเวียดนามที่มีการแบ่งการซื้อขายไฟเป็นลำดับขั้น ขั้นแรกคือรับซื้อไฟตาม PPA เหมือนเมืองไทย จะทำให้รู้ว่าในแต่ละปี โรงไฟฟ้าแต่ละแห่งจะมีกำไรเท่าไร เพราะจ่ายไฟไปตามค่าความพร้อมจ่าย อีกส่วนนึงเป็น CGM (Competitive Generation Market) ทาง EVN (EGAT เมืองไทย) จะเป้ดให้มีการประมูลขึ้นตามแต่ละช่วงเวลา โดยคนที่ bid ค่าไฟต่ำสุดจะเป็นผู้ชนะ และไล่ไปรายอื่นที่ให้ราคาสูงกว่าเรื่อยๆจนครบ ทำให้ low cost generator(s) จะได้ benefit สูงสุด
ข้อควรระวัง:
(1) ความเสี่ยงของ PPA โรง NT1 & NT 2 จะหมดในปี 2022 แน่นอนว่าจะมีการต่ออายุ PPA อยู่แล้ว แต่ต้องลุ้นว่าตัวต่ออายุฉบับใหม่จะเกิดทัน ก่อนที่ฉบับเก่าจะหมดอายุหรือไม่ เพราะถ้าไม่ทัน เค้าจะต้องขายไฟผ่านช่องทาง CGM ซึ่งต้องไปดูว่าต้นทุนค่าไฟของเค้าสู้ได้หรือไม่สำหรับช่องทางนี้ มันเคยมีเคสแบบนี้เกิดมาแล้วใน ปี 2016 ที่ PPA ของโรงไฟฟ้า Phalai (PPC) หมดแล้วต่ออายุไม่ทัน ทำให้ PPC ต้องขายไฟผ่านช่องทาง CGM แต่ต้นทุนสู้ไม่ได้ เลยทำให้ขายในราคาขาดทุนอยู่พักนึง จนกลับมาต่ออายุ PPA ใหม่ได้
(2) โรงไฟฟ้า NT3, NT 4 ทั้งสองโรงไฟฟ้าใช้ LNG เป็นต้นทุนเชื้อเพลิง แต่ POW ยังไม่มีประสบการณ์ในการบริหารโรงไฟฟ้าที่ใช้ LNG เรื่องแบบนี้เคยเกิดกับ POW ที่ทางบริษัทแม่ PVN โอน Vung Ang ที่เป็นโรงไฟฟ้าถ่านหินมาให้บริหารจัดการ แต่เกิดเจอปัญหาทางเทคนิค ทำให้ Utilize เหลือแค่ 30% อยู่พักนึง กว่าจะแก้ได้ต้องใช้เวลานาน
(3) อยู่ที่ช่องทาง CGM เอง เนื่องจากเชื้อเพลิงของ POW ส่วนมากเป็นแก๊ส ที่ซื้อขายกับบริษัทแม่ PVN ซึ่งมีแหล่งแก๊สธรรมชาติอยู่นอกชายฝั่ง ราคาตอนนี้ซื้อขายกันที่ US$ 4-6 /mmbtu แต่แหล่งแก๊สค่อยๆหมดลงเรื่อยๆ ทำให้ต้องซื้อจากแหล่งที่พัฒนาขึ้นมาใหม่ กระทบต้นทุนค่าเชื้อเพลิงที่เพิ่มขึ้นมาเป็น US$ 7-11 /mmbtu พอต้นทุนการผลิตไฟสูงขึ้น อาจจะส่งผลให้ลดความสามารถในการแข่งขันในช่องทาง CGM ได้
ดร นิเวศน์>>> บอกว่า น่าสนใจ ราคาไม่แพง บริษัทมั่นคง มี market cap 50,000 ล้านบาท เปรียบเทียบยอดขายประมาณ 40,000-50,000 ล้านบาทต่อปี ดูตัวเลขหลายๆอย่างแล้วมองว่าคล้าย RATCH มาก , DE ratio เท่ากัน แต่ราคาหุ้น RATCH แพงไปหน่อย (แพงกว่า 50%), PE พอๆกันที่ 13-14x, profit margin RATCH = 13%, POW = 10%, installed capacity พอกันที่ประมาณ 10% ของประเทศ, ใช้แก๊สเหมือนกัน
ตอนนี้การใช้ไฟในไทยไม่ค่อยโตแล้ว ยังมีซื้อไฟจากเขื่อนที่ลาวอีก สุดท้ายการใช้ไฟของไทยจะไม่ค่อยโต แก๊สธรรมชาติบ้านเราก็กำลังหมด แต่เรามีการควบคุมการรับซื้อไฟดีกว่าในเวียดนาม
แต่ความต้องการใช้ไฟของเวียดนามยังโตได้อีก การใช้ไฟไม่มีปัญหา ถ้าการใช้ไฟมาก รัฐต้องกระตุ้นให้คนมาลงทุน ด้วยการเพิ่มผลตอบแทนให้มากขึ้น ราคาไม่น่าจะถูกบีบจากรัฐมากนัก
ตัวนี้จัดเป็นหุ้นสาธารณูปโภค หวังให้ราคาเพิ่มมากๆก็ไม่ได้ เพราะอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาล
ผมลงหุ้นไฟฟ้า NT2 เยอะที่สุด รับปันผล 10% ทุกปี แต่ราคาหุ้นไม่ไปไหน เพราะแม่ไม่ให้โต ตัวนี้เป็นลูกของ POW อีกที พอแม่เข้าตลาดเอง แม่ก้อจะโตเอง หุ้นแบบนี้จะหวังให้หุ้นเปลี่ยนชีวิต น่าจะยาก
แต่โดยตัวของ POW เองดูแล้วน่าจะมีศักยภาพ อาจจะมีโอกาสที่ Market cap ขึ้นไปเท่า RATCH หรือถึง 100,000 ล้านบาท
คุณบอล>>> เสริมเรื่องหุ้นโรงไฟฟ้าในเวียดนามว่ามีแบบ Single plant (เหมือน NT2) และแบบ Holding company (เช่น POW, Genco 3) ซึ่ง valuation ของพวก Holding ปกติจะแพงกว่า เมื่อแลกกับการมี growth ที่จะโรงไฟฟ้าเติมเข้ามาในพอร์ตได้เรื่อยๆ
การคิด valuation โรงไฟฟ้าอาจจะประเมินจาก replacement value = EV (Enterprise Value) ÷ MW เหมือนกับคิดว่าถ้าวันนี้เราจะสร้างโรงไฟฟ้า 3,900 MW แบบเดียวกับที่ POW มี เราจะต้องใช้เงินเท่าไร ในเคสของ POW จะตกอยู่ที่ US$ 0.7-0.8 million /MW หรือประมาณ 20 กว่าล้านบาทต่อ MW ซึ่งถ้าเทียบราคาแบบนี้กับที่เมืองไทย ถือว่าสร้างได้ถูกมาก และถ้าเทียบกันเองในเวียดนาม ถ้าจะสร้างโรงไฟฟ้าแก๊สจะใช้เงินประมาณ US$ 1 million /MW, ถ่านหิน US$ 1.5 million /MW, โรงไฟฟ้าพลังน้ำใช้ US$ 2.x million /MW
ถ้าสร้างใหม่เทียบกับการซื้อหุ้นบริษัท ซื้อหุ้นราคานี้ถูกกว่าการไปสร้างโรงไฟฟ้าเอง
Market 50,000 ล้านบาท, Cash flow 80,000 ล้านบาท
เป็นบริษัทที่มีวินัยทางการเงินดี ตัดค่าเสื่อมค่อนข้างเร็ว มีเงินเข้ามา ก็เอาไปจ่ายหนี้
NT3, NT4 สร้างได้โดยไม่ต้องเพิ่มทุนเลย เพราะว่า cash flow ดีมาก
แต่ปันผลไม่เยอะ ไม่เหมือน NT2 ที่ได้ 7-10%
คุณณัฐ>>> จะชอบคิด valuation โรงไฟฟ้าด้วย EV/EBITDA มากกว่า replacement cost เพราะ โรงไฟฟ้ามันมีการเสื่อมสภาพ ทำให้ความพร้อมจ่ายลดลงด้วย และไม่ใช่ธุรกิจที่รันไปได้ตลอดเรื่อย เพราะมันมี PPA อยู่
โรงไฟฟ้าเก่า ความพร้อมจ่ายก็ลดลง
ส่วน NT2 รัฐมีข่าวสองปีก่อน ว่า จะให้ NT2 สร้างโรงไฟฟ้า NT3 ให้ ทำให้ราคาวิ่งเพิ่มขึ้นมา แต่ EVN เปลี่ยนใจให้ หุ้น NT2 ร่วงลงมา
ดร บอกว่า อ่าวไม่รู้เลย ไม่งั้นขายหุ้น NT2 ไปแล้ว (ฮา) เลยอยากย้ำว่าที่เวียดนาม เรื่อง regulation มีผลต่อราคาหุ้นเยอะ ต้องตามให้ดี
###
3) Vietnam Engine and Agricultural Machinery Corporation (VEA หรือ VEAM) เป็นหุ้นขนาดกลาง
คุณบอล>>> VEAM ตอนนี้มี market cap 30,000-40,000 ล้านบาท เริ่มจะไม่เป็นขนาดกลางแล้ว
ย้อนไปช่วงปี 1995 สมัยนั้นเวียดนามยังปิดประเทศอยู่ แต่ผู้ผลิตรถยนต์อยากจะเข้ามาลงทุน เลยบอกว่าต้องให้ VEAM ไปถือหุ้นในบริษัทผลิตรถยนต์เหล่านั้น
แต่สำหรับธุรกิจหลักที่ทำรถไถ จักรกลการเกษตร รถ truck ทั้งๆที่เป็นธุรกิจอันดับต้นๆของประเทศ แต่ขาดทุนมากมาย ไม่น่าสนใจ
จุดที่เป็นเสน่ห์ของหุ้นตัวนี้ คือ VEAM ถือในหุ้นบริษัทรถยนต์ Honda , Toyota และ Ford โดย Honda ในเวียดนามนี่จะรวมทั้ง รถยนต์ และ มอเตอร์ไซด์เข้าไปด้วย ไม่ได้แยกกัน
ภาพรวมตลาดรถยนต์ Honda , Toyota , Ford มีmarket share 40% ของทั้งประเทศ ทำให้บริษัท VEAM ดูน่าสนใจ
รายได้กำไร 80% ของ VEAM มาจากมอเตอร์ไซด์ ซึ่งตอนนี้ตลาดค่อนข้าง stable
ส่วนรถยนต์ตอนนี้ตลาดกำลังโตปีละ 20% ถือเป็น Growth driver ให้แก่ VEAM ซึ่งจะได้ส่วนแบ่งกำไรตามจำนวนหุ้นที่ถืออยู่ในบริษัทรถยนต์ต่างๆ
จากนโยบายลดภาษีนำเข้ารถยนต์ แล้วไปเพิ่มค่าตรวจสอบนู่น นี่ วุ่นวายไปหมด แต่ตอนนี้คลื่นลมเริ่มสงบ รถประกอบในและนอกประเทศ ราคาขายรวมๆลดลง 10% แนวโน้มอุตสาหกรรมรถยนต์ดีขึ้น เพราะ demand เพิ่ม
เสน่ห์คือ ราคาถูก ปันผล 7-8% PE 8 เท่า ซึ่ง inline กับบริษัทแม่ Toyota, Honda PE ก็ประมาณนี้
ถ้าจะซื้อตัวนี้ต้อง bet กับตลาดรถยนต์ที่กำลังจะเติบโตขึ้นมา
คุณณัฐ>>> โครงสร้างตลาดรถมอเตอร์ไซต์ของเวียดนาม เหมือนไทยมากคือ Honda นำตลาด, ตามด้วย Yamaha (20%) และตอนนี้ตลาดมอเตอร์ไซต์ของ ไทย เวียดนาม เริ่ม mature
แต่คนอาจจะเปลี่ยนไปใช้แบบ scooter ที่นิยมมาก ราคาต่อคันแพงขึ้น
ข้อควรระวัง:
(1) มีผลขาดทุนในธุรกิจหลัก อย่างต่อเนื่อลมาตลอด คงแก้ยาก เพราะคู่แข่งเป็นต่างชาติที่เป็นรายใหญ่
(2) เวลาซื้อหุ้น VEAM คือเราต้องการ value ของธุรกิจที่ไปลงทุนในบริษัทรถยนต์ ซึ่งข้อมูลส่วนนี้ไม่ค่อยเปิดเผย
(3) รัฐถือหุ้นใหญ่ 88% แต่มีแผนต้องการ divest หุ้นออกมาให้เหลือ 51% ภายในปีหน้า ต้องดู partner รายใหม่ ว่าจะมาช่วยเสริมอย่างไร
คุณบอล>>> นอกจากบริษัมรถยนต์ต่างชาติแล้ว VEAM ยังถือหุ้นในบริษัท THACO ซึ่งเป็นรถยนต์สัญชาติเวียดนามที่มี market share อันดับหนึ่ง รองมาอาจจะเป็น Vin group ที่กำลังทำ Vin fast ซึ่งน่าจะมีการส่งเสริมโดยรัฐบาลเวียดนาม
ดร นิเวศน์>>> บอกว่าไม่น่าสนใจ ตัวเลขแปลกประหลาด เหมือนหุ้นจะถูก corner เพราะหุ้นอยู่ในมือคนที่จะเทรดน้อยมาก แค่ 4-5% ราคาอาจจะเพี้ยนง่าย, และ market cap 50,000 ล้านบาท ดูยิ่งใหญ่เกินไปหน่อย
นอกจากนี้ถ้ารถไฟฟ้า EV มาแรง ก็อาจจะได้รับผลกระทบ
เทคโนโลยีรถยนต์ก็ไม่มีอะไรที่แตกต่างกัน ที่เมืองไทยผลิตได้ถูกกว่า
ดูตัวเลขแล้วแปลกใจ สมมติว่ารายได้ 8000 ล้านบาท กำไร 7000 ล้านบาท โดยที่ตัวธุรกิจหลักไม่มีอะไรเลย ยกเว้นว่าได้กำไรมาจาก Equity method จากบริษัทที่เข้าไปซื้อหลายๆบริษัท
หลายๆเรื่องทำให้มองเห็นแต่ความเสี่ยงในการไปลงทุนตัวนี้
คุณบอล>>> เสริมที่อาจารย์บอกว่าเหมือนหุ้นจะถูก corner ก็ดูว่าอาจจะเป็นไปได้ เพราะ Free float น้อย เป็นไซส์ที่ market cap ใหญ่พอที่ต่างชาติเข้ามาซื้อได้ง่าย ถ้าไปย้อนดู paper ของ Vietcap ปีที่แล้ว หุ้นตัวนี้มี fund flow เข้ามากที่สุด เลยอาจจะทำให้ราคาขึ้นได้เร็ว
นอกจากนี้เทคโนโลยีพวกรถ Self-Driving ไม่แปลกใจว่าอีก 3-5 ปี จะเข้ามาในตลาดเยอะ ทำให้อาจจะถูก disrupt ได้
###
4) FECON Foundation Engineering and Underground Construction (FCN)
คุณณัฐ>>> FCN ทำรับเหมามีงาน 3 ประเภทหลักๆ คือ
1. คล้าย seafco คือทำ piling, foundation, soil improvement
2. ก่อสร้าง underground work หรือใต้ดินที่มีความซับซ้อน เช่น อุโมงค์ สถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน ร่วมทุนกับบริษัทญี่ปุ่น
3. Infrastructure เช่นถนน high way
ในแง่ของรายได้ ปีที่แล้ว 65% ของ revenue มาจาก piling, foundation, soil improvement
10% มาจาก underground work, และ 15% มาจาก Infrastructure
โดยที่ Gross Profit ในส่วนงาน underground work จะสูงสุด อยู่ที่ 18-20%, ส่วน Gross Profit ในส่วนงานด้านอื่นจะอยู่ในช่วง 10-15% ขึ้นกับลักษณะของงาน
สำหรับ Backlog จากที่ได้คุยกับผู้บริหาร มีมากถึง Đong 2,800 bn (foundation 50%, underground work 20%, infrastructure 20%)
คุณบอล>>> ในด้านของจุดแข็ง FCN มีธุรกิจที่เชื่อมกับ Infrastructure เยอะ เช่นรถไฟฟ้าใต้ดินเส้นแรกเปิดมาก็หลายสิบกิโล
งานฐานราก link กับ โรงไฟฟ้า ปิโตรเคมี โรงกลั่น
FCN ถือว่าเป็นเจ้าที่ค่อนข้างใหญ่ market share ติด top อันดับสอง สูสีกับอันดับหนึ่ง ทำให้เวลาไป Bid ใหญ่ๆได้ เจ้าเล็กๆไปไม่ได้ จะเหลือแค่คู่แข่งรายใหญ่แค่ 3-4 ราย ทำให้ได้งานที่มี margin สูงได้
ช่วงหลังๆมีไปทำ Solar farm เฟสแรก 150 MW กับ เฟสสอง180 MW มี partner ระดับโลกซึ่งเค้ามีเงินทุนหนา แต่ก็อาจจะทำให้ FCN ต้องลงทุนตามไปด้วย
โรงไฟฟ้า มีการลงทุนจากต่างประเทศเยอะ เพราะมีการใช้ไฟมากขึ้น
PE 8x ซึ่งต่ำ แต่คุณบอลเสริมว่าตัวนี้ชอบเรียกเพิ่มทุนกระจาย อาจจะมี dilute
ดร นิเวศน์>>> ตัวนี้ผมเป็น ผถห ใหญ่คนนึง FCN market cap แค่ 2,000 ล้านบาท เทียบกับ
Seafco ยอดขาย 2,000 ล้านบาท แต่ FCN มียอดขาย 3,000 ล้านบาท
FCN หนี้ไม่เยอะ แต่ส่วนใหญ่เป็นหนี้การค้า >> ซึ่งถือว่าเป็นจุดอ่อน
PE น้อยกว่า Seafco 3 เท่า มีกองทุนกองนึง ถือเป็นสัดส่วนที่เยอะ
แต่ Seafco เน้นเจาะเสาเข็มอย่างเดียว ทำให้ margin 13% ดีกว่า FCN ซึ่งอยู่ที่ 7-8 %
Seafco มี market cap 6,000 ล้าน แต่ FCN market cap แค่ 1/ 3 ในขณะที่มียอดขายสูงกว่า, กำไรเยอะกว่า
จุดอ่อน คือ หนี้ระยะสั้นเยอะ เพราะที่เวียดนามคนตอกเสาเข็มรับเงินเป็นคนสุดท้าย (งงเด้ๆ)
ต่างจาก ไทย ซึ่งคนตอกเสาเข็มรับเงินเป็นรายแรก เพราะที่เวียดนามคนตอกเสาเข็มจะได้เงินเมื่อตึกเสร็จก่อน เค้าจึงต้องคอย finance เงินมาเพื่อรับงานใหม่ๆ
ดูอย่างไรหุ้นตัวนี้ก็ถูก หวังว่าหุ้นจะขึ้นในอนาคต
แต่หุ้นเวียดนาม มักไม่มีต่างชาติมาซื้อเพราะ market cap เล็ก สภาพคล่องน้อย แต่การที่ FCN เป็นบริษัทเอกชน ต้องพยายามหางานตลอดเวลา ต่างจากหุ้น State enterprise ที่ผู้บริหารอายุเยอะ ไม่ค่อย aggressive
คุณณัฐ>>> เสริมว่ามีข้อเสียของหุ้นตัวนี้ คือระยะเวลาที่ FCN รับเงินนาน, และยิ่ง revenue ของ FCN สูงมากขึ้นเท่าไร ยิ่งต้อง working cap สูงมากขึ้นเท่านั้น, ต้องมีการกู้ระยะสั้นมากขึ้น และเพิ่มทุน
สองปีก่อน มีการขยายไปรับงาน infrastructure แบบ BOT โดยมีการไปถือหุ้นในโปรเจคนั้นๆด้วย เริ่มแรกอาจจะถือหุ้นสัก 30-40% พองานใกล้เสร็จก็ลดการถือหุ้นลงเหลือ 10-15% >> ดังนั้น ยิ่งถ้าไปรับงาน infrastructure – BOT มากขึ้นเท่าไร ก็จะยิ่งต้องลงเงินในส่วนนี้เพิ่มมากขึ้นเท่านั้น
ต้นปีที่แล้ว FCN มีหุ้นจดทะเบียนและชำระแล้ว 54 ล้านหุ้น ปลายปีหน้าหุ้นจำนวนนี้จะเพิ่มเป็น 110 ล้านหุ้น เพราะ 3 เหตุผล
(1) มีการทำ Right offering ตอนปลายปี
(2) มีการเพิ่มทุน มี private placement ต้นปีหน้า
(3) กลางปีหน้าจะมี convertible bond ครบอายุ
คุณบอล>>> ฝากว่า หุ้นที่ดู PEต่ำๆ แต่เราต้องดูเหตุผลเหล่านี้ประกอบด้วย ถ้ามีเพิ่มทุน อาจจะทำให้ PE เพิ่มขึ้น เพราะเงินเพิ่มทุนที่เข้ามา แต่ไม่สามารถสร้างกำไรได้ทัน
Gurus talk: วิเคราะห์ Business Model 4 หุ้น (2 of 2)
สรุปโดย เป้ และ พี่อมร
2) Petro Vietnam Power Corporation (POW)
คุณบอล>>> ตัวนี้เป็นบริษัทลูกของ Petro Vietnam (PVN) คล้ายๆ PTT บ้านเรา มี Installed Capacity = 4,200 MW (แต่ในแง่ของ Equity Capacity = 3,900 MW), market cap = 50,000 ล้านบาท
มาดูที่ภาพรวมอุตสาหกรรมไฟฟ้าของเวียดนาม โรงไฟฟ้าจะขึ้นกับภาครัฐค่อนข้างมาก
ความต้องการของไฟฟ้าของเวียดนามต้องการใช้ไฟมากขึ้น สร้างโรงงานตามตัวเลข FDI ที่มากขึ้น เดินห้างมากขึ้น ซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้ามากขึ้น
ที่ผ่านมา demand ความต้องการใช้ไฟฟ้าเวียดนามโต 10%++ แต่โรงไฟฟ้าสร้างตามไม่ทัน โตแค่ 4-5% เท่านั้น
ถึงแม้ว่าค่าไฟเวียดนามจะถูกควบคุมจนตอนนี้ราคาถูกกว่าเพื่อนบ้านเยอะ แต่สุดท้ายค่าไฟก็ต้องขึ้น เพราะถ้าไม่ขึ้น จะไม่จูงให้ผู้ประกอบการโรงไฟฟ้าเข้ามาลงทุน
สรุปง่ายๆว่าภาพรวมความต้องการไฟฟ้าของเวียดนามมี Demand > Supply
POW มีกำลังการผลิตไฟฟ้าในพอร์ตเป็นอัน 2 หรือ 3 ของเวียดนาม
• 60% เป็นโรงไฟฟ้าแก๊สธรรมชาติ จากหลุมแก๊สในประเทศ
• 20% เป็นโรงไฟฟ้าถ่านหิน
• 10% เป็นโรงไฟฟ้าพลังน้ำ
ธุรกิจโรงไฟฟ้า ถึงแม้ว่ารัฐบาล (EVN – Electricity Vietnam) คุม แต่อีกมุมคือมีความแน่นอน คิดเรื่องธุรกิจไฟฟ้าคือ P x Q (P ราคาขาย, Q ปริมาณ) ปริมาณอาจจะผันผวนบ้าง ถ้าน้ำมาเยอะ EVN อาจจะโยกไปรับซื้อไฟจากเขื่อนมากขึ้น ต้องขึ้นอยู่แล้ว
ล่าสุดทาง POW ได้รับอนุมัติให้สร้าง โรงไฟฟ้า NT3, NT 4 ที่มีกำลังการผลิตไฟรวมกัน 1,500 MW แต่อาจจะมีช้าไปบ้างเพราะต้องใช้เชื้อเพลิง LNG ที่นำเข้าจากต่างประเทศ และโรงเก็บ LNG สร้างไม่ทัน ยังไม่รวมโครงการในอนาคตอีกเยอะ ซึ่งอาจจะขึ้นไประดับ 10,000 MW
ระบบการรับซื้อไฟฟ้าของเวียดนาม มี 2 แบบ
1. แบบ PPA โดยกำหนด IRR ที่ 12%
2. แบบ CGM (Competitive Generation Market)
คุณณัฐ>>> เสริมเรื่องรายละเอียดจาก Power Development Plan VII ของเวียดนามที่มีการแบ่งการซื้อขายไฟเป็นลำดับขั้น ขั้นแรกคือรับซื้อไฟตาม PPA เหมือนเมืองไทย จะทำให้รู้ว่าในแต่ละปี โรงไฟฟ้าแต่ละแห่งจะมีกำไรเท่าไร เพราะจ่ายไฟไปตามค่าความพร้อมจ่าย อีกส่วนนึงเป็น CGM (Competitive Generation Market) ทาง EVN (EGAT เมืองไทย) จะเป้ดให้มีการประมูลขึ้นตามแต่ละช่วงเวลา โดยคนที่ bid ค่าไฟต่ำสุดจะเป็นผู้ชนะ และไล่ไปรายอื่นที่ให้ราคาสูงกว่าเรื่อยๆจนครบ ทำให้ low cost generator(s) จะได้ benefit สูงสุด
ข้อควรระวัง:
(1) ความเสี่ยงของ PPA โรง NT1 & NT 2 จะหมดในปี 2022 แน่นอนว่าจะมีการต่ออายุ PPA อยู่แล้ว แต่ต้องลุ้นว่าตัวต่ออายุฉบับใหม่จะเกิดทัน ก่อนที่ฉบับเก่าจะหมดอายุหรือไม่ เพราะถ้าไม่ทัน เค้าจะต้องขายไฟผ่านช่องทาง CGM ซึ่งต้องไปดูว่าต้นทุนค่าไฟของเค้าสู้ได้หรือไม่สำหรับช่องทางนี้ มันเคยมีเคสแบบนี้เกิดมาแล้วใน ปี 2016 ที่ PPA ของโรงไฟฟ้า Phalai (PPC) หมดแล้วต่ออายุไม่ทัน ทำให้ PPC ต้องขายไฟผ่านช่องทาง CGM แต่ต้นทุนสู้ไม่ได้ เลยทำให้ขายในราคาขาดทุนอยู่พักนึง จนกลับมาต่ออายุ PPA ใหม่ได้
(2) โรงไฟฟ้า NT3, NT 4 ทั้งสองโรงไฟฟ้าใช้ LNG เป็นต้นทุนเชื้อเพลิง แต่ POW ยังไม่มีประสบการณ์ในการบริหารโรงไฟฟ้าที่ใช้ LNG เรื่องแบบนี้เคยเกิดกับ POW ที่ทางบริษัทแม่ PVN โอน Vung Ang ที่เป็นโรงไฟฟ้าถ่านหินมาให้บริหารจัดการ แต่เกิดเจอปัญหาทางเทคนิค ทำให้ Utilize เหลือแค่ 30% อยู่พักนึง กว่าจะแก้ได้ต้องใช้เวลานาน
(3) อยู่ที่ช่องทาง CGM เอง เนื่องจากเชื้อเพลิงของ POW ส่วนมากเป็นแก๊ส ที่ซื้อขายกับบริษัทแม่ PVN ซึ่งมีแหล่งแก๊สธรรมชาติอยู่นอกชายฝั่ง ราคาตอนนี้ซื้อขายกันที่ US$ 4-6 /mmbtu แต่แหล่งแก๊สค่อยๆหมดลงเรื่อยๆ ทำให้ต้องซื้อจากแหล่งที่พัฒนาขึ้นมาใหม่ กระทบต้นทุนค่าเชื้อเพลิงที่เพิ่มขึ้นมาเป็น US$ 7-11 /mmbtu พอต้นทุนการผลิตไฟสูงขึ้น อาจจะส่งผลให้ลดความสามารถในการแข่งขันในช่องทาง CGM ได้
ดร นิเวศน์>>> บอกว่า น่าสนใจ ราคาไม่แพง บริษัทมั่นคง มี market cap 50,000 ล้านบาท เปรียบเทียบยอดขายประมาณ 40,000-50,000 ล้านบาทต่อปี ดูตัวเลขหลายๆอย่างแล้วมองว่าคล้าย RATCH มาก , DE ratio เท่ากัน แต่ราคาหุ้น RATCH แพงไปหน่อย (แพงกว่า 50%), PE พอๆกันที่ 13-14x, profit margin RATCH = 13%, POW = 10%, installed capacity พอกันที่ประมาณ 10% ของประเทศ, ใช้แก๊สเหมือนกัน
ตอนนี้การใช้ไฟในไทยไม่ค่อยโตแล้ว ยังมีซื้อไฟจากเขื่อนที่ลาวอีก สุดท้ายการใช้ไฟของไทยจะไม่ค่อยโต แก๊สธรรมชาติบ้านเราก็กำลังหมด แต่เรามีการควบคุมการรับซื้อไฟดีกว่าในเวียดนาม
แต่ความต้องการใช้ไฟของเวียดนามยังโตได้อีก การใช้ไฟไม่มีปัญหา ถ้าการใช้ไฟมาก รัฐต้องกระตุ้นให้คนมาลงทุน ด้วยการเพิ่มผลตอบแทนให้มากขึ้น ราคาไม่น่าจะถูกบีบจากรัฐมากนัก
ตัวนี้จัดเป็นหุ้นสาธารณูปโภค หวังให้ราคาเพิ่มมากๆก็ไม่ได้ เพราะอยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาล
ผมลงหุ้นไฟฟ้า NT2 เยอะที่สุด รับปันผล 10% ทุกปี แต่ราคาหุ้นไม่ไปไหน เพราะแม่ไม่ให้โต ตัวนี้เป็นลูกของ POW อีกที พอแม่เข้าตลาดเอง แม่ก้อจะโตเอง หุ้นแบบนี้จะหวังให้หุ้นเปลี่ยนชีวิต น่าจะยาก
แต่โดยตัวของ POW เองดูแล้วน่าจะมีศักยภาพ อาจจะมีโอกาสที่ Market cap ขึ้นไปเท่า RATCH หรือถึง 100,000 ล้านบาท
คุณบอล>>> เสริมเรื่องหุ้นโรงไฟฟ้าในเวียดนามว่ามีแบบ Single plant (เหมือน NT2) และแบบ Holding company (เช่น POW, Genco 3) ซึ่ง valuation ของพวก Holding ปกติจะแพงกว่า เมื่อแลกกับการมี growth ที่จะโรงไฟฟ้าเติมเข้ามาในพอร์ตได้เรื่อยๆ
การคิด valuation โรงไฟฟ้าอาจจะประเมินจาก replacement value = EV (Enterprise Value) ÷ MW เหมือนกับคิดว่าถ้าวันนี้เราจะสร้างโรงไฟฟ้า 3,900 MW แบบเดียวกับที่ POW มี เราจะต้องใช้เงินเท่าไร ในเคสของ POW จะตกอยู่ที่ US$ 0.7-0.8 million /MW หรือประมาณ 20 กว่าล้านบาทต่อ MW ซึ่งถ้าเทียบราคาแบบนี้กับที่เมืองไทย ถือว่าสร้างได้ถูกมาก และถ้าเทียบกันเองในเวียดนาม ถ้าจะสร้างโรงไฟฟ้าแก๊สจะใช้เงินประมาณ US$ 1 million /MW, ถ่านหิน US$ 1.5 million /MW, โรงไฟฟ้าพลังน้ำใช้ US$ 2.x million /MW
ถ้าสร้างใหม่เทียบกับการซื้อหุ้นบริษัท ซื้อหุ้นราคานี้ถูกกว่าการไปสร้างโรงไฟฟ้าเอง
Market 50,000 ล้านบาท, Cash flow 80,000 ล้านบาท
เป็นบริษัทที่มีวินัยทางการเงินดี ตัดค่าเสื่อมค่อนข้างเร็ว มีเงินเข้ามา ก็เอาไปจ่ายหนี้
NT3, NT4 สร้างได้โดยไม่ต้องเพิ่มทุนเลย เพราะว่า cash flow ดีมาก
แต่ปันผลไม่เยอะ ไม่เหมือน NT2 ที่ได้ 7-10%
คุณณัฐ>>> จะชอบคิด valuation โรงไฟฟ้าด้วย EV/EBITDA มากกว่า replacement cost เพราะ โรงไฟฟ้ามันมีการเสื่อมสภาพ ทำให้ความพร้อมจ่ายลดลงด้วย และไม่ใช่ธุรกิจที่รันไปได้ตลอดเรื่อย เพราะมันมี PPA อยู่
โรงไฟฟ้าเก่า ความพร้อมจ่ายก็ลดลง
ส่วน NT2 รัฐมีข่าวสองปีก่อน ว่า จะให้ NT2 สร้างโรงไฟฟ้า NT3 ให้ ทำให้ราคาวิ่งเพิ่มขึ้นมา แต่ EVN เปลี่ยนใจให้ หุ้น NT2 ร่วงลงมา
ดร บอกว่า อ่าวไม่รู้เลย ไม่งั้นขายหุ้น NT2 ไปแล้ว (ฮา) เลยอยากย้ำว่าที่เวียดนาม เรื่อง regulation มีผลต่อราคาหุ้นเยอะ ต้องตามให้ดี
###
3) Vietnam Engine and Agricultural Machinery Corporation (VEA หรือ VEAM) เป็นหุ้นขนาดกลาง
คุณบอล>>> VEAM ตอนนี้มี market cap 30,000-40,000 ล้านบาท เริ่มจะไม่เป็นขนาดกลางแล้ว
ย้อนไปช่วงปี 1995 สมัยนั้นเวียดนามยังปิดประเทศอยู่ แต่ผู้ผลิตรถยนต์อยากจะเข้ามาลงทุน เลยบอกว่าต้องให้ VEAM ไปถือหุ้นในบริษัทผลิตรถยนต์เหล่านั้น
แต่สำหรับธุรกิจหลักที่ทำรถไถ จักรกลการเกษตร รถ truck ทั้งๆที่เป็นธุรกิจอันดับต้นๆของประเทศ แต่ขาดทุนมากมาย ไม่น่าสนใจ
จุดที่เป็นเสน่ห์ของหุ้นตัวนี้ คือ VEAM ถือในหุ้นบริษัทรถยนต์ Honda , Toyota และ Ford โดย Honda ในเวียดนามนี่จะรวมทั้ง รถยนต์ และ มอเตอร์ไซด์เข้าไปด้วย ไม่ได้แยกกัน
ภาพรวมตลาดรถยนต์ Honda , Toyota , Ford มีmarket share 40% ของทั้งประเทศ ทำให้บริษัท VEAM ดูน่าสนใจ
รายได้กำไร 80% ของ VEAM มาจากมอเตอร์ไซด์ ซึ่งตอนนี้ตลาดค่อนข้าง stable
ส่วนรถยนต์ตอนนี้ตลาดกำลังโตปีละ 20% ถือเป็น Growth driver ให้แก่ VEAM ซึ่งจะได้ส่วนแบ่งกำไรตามจำนวนหุ้นที่ถืออยู่ในบริษัทรถยนต์ต่างๆ
จากนโยบายลดภาษีนำเข้ารถยนต์ แล้วไปเพิ่มค่าตรวจสอบนู่น นี่ วุ่นวายไปหมด แต่ตอนนี้คลื่นลมเริ่มสงบ รถประกอบในและนอกประเทศ ราคาขายรวมๆลดลง 10% แนวโน้มอุตสาหกรรมรถยนต์ดีขึ้น เพราะ demand เพิ่ม
เสน่ห์คือ ราคาถูก ปันผล 7-8% PE 8 เท่า ซึ่ง inline กับบริษัทแม่ Toyota, Honda PE ก็ประมาณนี้
ถ้าจะซื้อตัวนี้ต้อง bet กับตลาดรถยนต์ที่กำลังจะเติบโตขึ้นมา
คุณณัฐ>>> โครงสร้างตลาดรถมอเตอร์ไซต์ของเวียดนาม เหมือนไทยมากคือ Honda นำตลาด, ตามด้วย Yamaha (20%) และตอนนี้ตลาดมอเตอร์ไซต์ของ ไทย เวียดนาม เริ่ม mature
แต่คนอาจจะเปลี่ยนไปใช้แบบ scooter ที่นิยมมาก ราคาต่อคันแพงขึ้น
ข้อควรระวัง:
(1) มีผลขาดทุนในธุรกิจหลัก อย่างต่อเนื่อลมาตลอด คงแก้ยาก เพราะคู่แข่งเป็นต่างชาติที่เป็นรายใหญ่
(2) เวลาซื้อหุ้น VEAM คือเราต้องการ value ของธุรกิจที่ไปลงทุนในบริษัทรถยนต์ ซึ่งข้อมูลส่วนนี้ไม่ค่อยเปิดเผย
(3) รัฐถือหุ้นใหญ่ 88% แต่มีแผนต้องการ divest หุ้นออกมาให้เหลือ 51% ภายในปีหน้า ต้องดู partner รายใหม่ ว่าจะมาช่วยเสริมอย่างไร
คุณบอล>>> นอกจากบริษัมรถยนต์ต่างชาติแล้ว VEAM ยังถือหุ้นในบริษัท THACO ซึ่งเป็นรถยนต์สัญชาติเวียดนามที่มี market share อันดับหนึ่ง รองมาอาจจะเป็น Vin group ที่กำลังทำ Vin fast ซึ่งน่าจะมีการส่งเสริมโดยรัฐบาลเวียดนาม
ดร นิเวศน์>>> บอกว่าไม่น่าสนใจ ตัวเลขแปลกประหลาด เหมือนหุ้นจะถูก corner เพราะหุ้นอยู่ในมือคนที่จะเทรดน้อยมาก แค่ 4-5% ราคาอาจจะเพี้ยนง่าย, และ market cap 50,000 ล้านบาท ดูยิ่งใหญ่เกินไปหน่อย
นอกจากนี้ถ้ารถไฟฟ้า EV มาแรง ก็อาจจะได้รับผลกระทบ
เทคโนโลยีรถยนต์ก็ไม่มีอะไรที่แตกต่างกัน ที่เมืองไทยผลิตได้ถูกกว่า
ดูตัวเลขแล้วแปลกใจ สมมติว่ารายได้ 8000 ล้านบาท กำไร 7000 ล้านบาท โดยที่ตัวธุรกิจหลักไม่มีอะไรเลย ยกเว้นว่าได้กำไรมาจาก Equity method จากบริษัทที่เข้าไปซื้อหลายๆบริษัท
หลายๆเรื่องทำให้มองเห็นแต่ความเสี่ยงในการไปลงทุนตัวนี้
คุณบอล>>> เสริมที่อาจารย์บอกว่าเหมือนหุ้นจะถูก corner ก็ดูว่าอาจจะเป็นไปได้ เพราะ Free float น้อย เป็นไซส์ที่ market cap ใหญ่พอที่ต่างชาติเข้ามาซื้อได้ง่าย ถ้าไปย้อนดู paper ของ Vietcap ปีที่แล้ว หุ้นตัวนี้มี fund flow เข้ามากที่สุด เลยอาจจะทำให้ราคาขึ้นได้เร็ว
นอกจากนี้เทคโนโลยีพวกรถ Self-Driving ไม่แปลกใจว่าอีก 3-5 ปี จะเข้ามาในตลาดเยอะ ทำให้อาจจะถูก disrupt ได้
###
4) FECON Foundation Engineering and Underground Construction (FCN)
คุณณัฐ>>> FCN ทำรับเหมามีงาน 3 ประเภทหลักๆ คือ
1. คล้าย seafco คือทำ piling, foundation, soil improvement
2. ก่อสร้าง underground work หรือใต้ดินที่มีความซับซ้อน เช่น อุโมงค์ สถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน ร่วมทุนกับบริษัทญี่ปุ่น
3. Infrastructure เช่นถนน high way
ในแง่ของรายได้ ปีที่แล้ว 65% ของ revenue มาจาก piling, foundation, soil improvement
10% มาจาก underground work, และ 15% มาจาก Infrastructure
โดยที่ Gross Profit ในส่วนงาน underground work จะสูงสุด อยู่ที่ 18-20%, ส่วน Gross Profit ในส่วนงานด้านอื่นจะอยู่ในช่วง 10-15% ขึ้นกับลักษณะของงาน
สำหรับ Backlog จากที่ได้คุยกับผู้บริหาร มีมากถึง Đong 2,800 bn (foundation 50%, underground work 20%, infrastructure 20%)
คุณบอล>>> ในด้านของจุดแข็ง FCN มีธุรกิจที่เชื่อมกับ Infrastructure เยอะ เช่นรถไฟฟ้าใต้ดินเส้นแรกเปิดมาก็หลายสิบกิโล
งานฐานราก link กับ โรงไฟฟ้า ปิโตรเคมี โรงกลั่น
FCN ถือว่าเป็นเจ้าที่ค่อนข้างใหญ่ market share ติด top อันดับสอง สูสีกับอันดับหนึ่ง ทำให้เวลาไป Bid ใหญ่ๆได้ เจ้าเล็กๆไปไม่ได้ จะเหลือแค่คู่แข่งรายใหญ่แค่ 3-4 ราย ทำให้ได้งานที่มี margin สูงได้
ช่วงหลังๆมีไปทำ Solar farm เฟสแรก 150 MW กับ เฟสสอง180 MW มี partner ระดับโลกซึ่งเค้ามีเงินทุนหนา แต่ก็อาจจะทำให้ FCN ต้องลงทุนตามไปด้วย
โรงไฟฟ้า มีการลงทุนจากต่างประเทศเยอะ เพราะมีการใช้ไฟมากขึ้น
PE 8x ซึ่งต่ำ แต่คุณบอลเสริมว่าตัวนี้ชอบเรียกเพิ่มทุนกระจาย อาจจะมี dilute
ดร นิเวศน์>>> ตัวนี้ผมเป็น ผถห ใหญ่คนนึง FCN market cap แค่ 2,000 ล้านบาท เทียบกับ
Seafco ยอดขาย 2,000 ล้านบาท แต่ FCN มียอดขาย 3,000 ล้านบาท
FCN หนี้ไม่เยอะ แต่ส่วนใหญ่เป็นหนี้การค้า >> ซึ่งถือว่าเป็นจุดอ่อน
PE น้อยกว่า Seafco 3 เท่า มีกองทุนกองนึง ถือเป็นสัดส่วนที่เยอะ
แต่ Seafco เน้นเจาะเสาเข็มอย่างเดียว ทำให้ margin 13% ดีกว่า FCN ซึ่งอยู่ที่ 7-8 %
Seafco มี market cap 6,000 ล้าน แต่ FCN market cap แค่ 1/ 3 ในขณะที่มียอดขายสูงกว่า, กำไรเยอะกว่า
จุดอ่อน คือ หนี้ระยะสั้นเยอะ เพราะที่เวียดนามคนตอกเสาเข็มรับเงินเป็นคนสุดท้าย (งงเด้ๆ)
ต่างจาก ไทย ซึ่งคนตอกเสาเข็มรับเงินเป็นรายแรก เพราะที่เวียดนามคนตอกเสาเข็มจะได้เงินเมื่อตึกเสร็จก่อน เค้าจึงต้องคอย finance เงินมาเพื่อรับงานใหม่ๆ
ดูอย่างไรหุ้นตัวนี้ก็ถูก หวังว่าหุ้นจะขึ้นในอนาคต
แต่หุ้นเวียดนาม มักไม่มีต่างชาติมาซื้อเพราะ market cap เล็ก สภาพคล่องน้อย แต่การที่ FCN เป็นบริษัทเอกชน ต้องพยายามหางานตลอดเวลา ต่างจากหุ้น State enterprise ที่ผู้บริหารอายุเยอะ ไม่ค่อย aggressive
คุณณัฐ>>> เสริมว่ามีข้อเสียของหุ้นตัวนี้ คือระยะเวลาที่ FCN รับเงินนาน, และยิ่ง revenue ของ FCN สูงมากขึ้นเท่าไร ยิ่งต้อง working cap สูงมากขึ้นเท่านั้น, ต้องมีการกู้ระยะสั้นมากขึ้น และเพิ่มทุน
สองปีก่อน มีการขยายไปรับงาน infrastructure แบบ BOT โดยมีการไปถือหุ้นในโปรเจคนั้นๆด้วย เริ่มแรกอาจจะถือหุ้นสัก 30-40% พองานใกล้เสร็จก็ลดการถือหุ้นลงเหลือ 10-15% >> ดังนั้น ยิ่งถ้าไปรับงาน infrastructure – BOT มากขึ้นเท่าไร ก็จะยิ่งต้องลงเงินในส่วนนี้เพิ่มมากขึ้นเท่านั้น
ต้นปีที่แล้ว FCN มีหุ้นจดทะเบียนและชำระแล้ว 54 ล้านหุ้น ปลายปีหน้าหุ้นจำนวนนี้จะเพิ่มเป็น 110 ล้านหุ้น เพราะ 3 เหตุผล
(1) มีการทำ Right offering ตอนปลายปี
(2) มีการเพิ่มทุน มี private placement ต้นปีหน้า
(3) กลางปีหน้าจะมี convertible bond ครบอายุ
คุณบอล>>> ฝากว่า หุ้นที่ดู PEต่ำๆ แต่เราต้องดูเหตุผลเหล่านี้ประกอบด้วย ถ้ามีเพิ่มทุน อาจจะทำให้ PE เพิ่มขึ้น เพราะเงินเพิ่มทุนที่เข้ามา แต่ไม่สามารถสร้างกำไรได้ทัน
-
- Verified User
- โพสต์: 1258
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3177
หุ้นประกันภัยของพรีเซ็นเตอร์ครีมลดริ้วรอย ถึงวันนี้ราคายังดิ่งต่ออีก ท่าน ผถห คงต้องได้แต่ท่องสโลแกนบริษัท "ยิ้มได้เมื่อภัยมา"romee เขียน:งบก็จะออกกันหมดแล้ว หลายตัวก็ดีใจหาย หลายตัวก็ใจจะขาด แต่อยากมาเม้าถึงข้อสังเกตุอย่างนึงครับ
1.หุ้นตัวไหน ผบห.ขึ้นปก FORBE THAILAND ทีไร นั่นคงเป็นสัญญาณขายแน่นอน
ทั้งหุ้นเครื่องสำอางของคุณหมอหนุ่มหนวดงาม....ล่าสุดก็หุ้นประกันภัยเจ้านึง ที่ราคาดิ่งทำ newlow แล้วงบก็ตามมาขยี้ซ้ำกันอีก
ปกฉบับล่าสุด ผบห มาดเท่ห์ บริษัทกำลังจะเข้าตลาด ตั้งราคา IPO ค่อนข้างสูงทีเดียว ลุ้นๆว่าจะล้างอาถรรพ์ได้ไม๊
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
- AnieLee
- Verified User
- โพสต์: 1436
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3178
บริษัทที่กำลังเข้าตลาด ผมมองว่า ไม่ไหวๆๆๆ ฮ่าๆๆๆ น่าเอาเข้าตลาดมาตอนกิจการอิ่มตัวด้วยครับ คงเป็น cash cow companyKaiser เขียน:หุ้นประกันภัยของพรีเซ็นเตอร์ครีมลดริ้วรอย ถึงวันนี้ราคายังดิ่งต่ออีก ท่าน ผถห คงต้องได้แต่ท่องสโลแกนบริษัท "ยิ้มได้เมื่อภัยมา"romee เขียน:งบก็จะออกกันหมดแล้ว หลายตัวก็ดีใจหาย หลายตัวก็ใจจะขาด แต่อยากมาเม้าถึงข้อสังเกตุอย่างนึงครับ
1.หุ้นตัวไหน ผบห.ขึ้นปก FORBE THAILAND ทีไร นั่นคงเป็นสัญญาณขายแน่นอน
ทั้งหุ้นเครื่องสำอางของคุณหมอหนุ่มหนวดงาม....ล่าสุดก็หุ้นประกันภัยเจ้านึง ที่ราคาดิ่งทำ newlow แล้วงบก็ตามมาขยี้ซ้ำกันอีก
ปกฉบับล่าสุด ผบห มาดเท่ห์ บริษัทกำลังจะเข้าตลาด ตั้งราคา IPO ค่อนข้างสูงทีเดียว ลุ้นๆว่าจะล้างอาถรรพ์ได้ไม๊
ก็แอบสงสัยนะว่า บริษัทอยู่มาตั้งร้อยกว่าปี ทำไมเพิ่มมาเข้าตลาด (คล้ายๆ TOA เลย) ตลาดหุ้นไทยตั้งปี 2518 บริษัทเหล่านี้ น่าเข้าตั้งนานแล้ว เดาประเด็นว่า
1. เพื่อเป็นการจัดแบ่งมรดกให้ลูกหลาน การแบ่งออกเป็นหุ้นๆ ในตลาด มันง่ายดี สะดวก แทนที่จะเป็นกงสีที่ยากที่จะจัดการแบ่งให้ลงตัว
2. เพื่อให้หุ้นบริษัท ตีมูลค่าได้ ก็เป็นการเพิ่ม wealth ทางอ้อมด้วย
3. ลดความเสี่ยงในการขยายธุรกิจ แทนที่จะใช้เงินตนเอง ก็ใช้เงินคนอื่นแทนดีกว่า
งบ Q3/61 ใกล้ปิดงวดสิ้น กย กันแล้ว ราคาหุ้นคงเคลื่อนไหวกันก่อนหน้างบออกอย่างแน่นอน
ปล หุ้นบางตัว ก็ปิดงบไปแล้ว เพราะงวดปีบัญชีไม่ตรงกับที่ใช้ทั่วไป บางตัวงบออกต้นเดือนหน้าแล้วครับ ออกใกล้งบ Q3/61 ของธนาคารเลย งบกิจการนั้น ดีแน่นอน แฮะๆๆ
####################################################
ความสำเร็จจากการลงทุน ไม่ได้เกิดจาก "การซื้อของดี" แต่มาจาก "การซื้อของได้ดี" ต่างหาก
ความสำเร็จจากการลงทุน ไม่ได้เกิดจาก "การซื้อของดี" แต่มาจาก "การซื้อของได้ดี" ต่างหาก
- AnieLee
- Verified User
- โพสต์: 1436
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3179
You need only to win once. John Paulson
John Paulson ทำกำไรมหาศาลจากวิกฤติ Subprime เพราะคิดสวนกับคนส่วนใหญ่ นับว่าเป็น Big shot เท่าที่เค้าเคยทำมาเลยทีเดียว แต่ด้วยความสำเร็จนี้ ก็เป็นกับดักเช่นกัน หลังจากวิกฤกติการเงินผ่านไป เค้าก็มองหา Big shot อีกครั้ง และมองสวนกับคนส่วนใหญ่เช่นเดิม มองว่า น่าเกิดภาวะเงินเฟ้อมากในอนาคต จึงไปลงทุนในทอง และแล้วก็ขาดทุนยับ แต่ก็ไม่ได้หมดตัว มีเงินเหลือมากอยู่
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า การสวนกับคนส่วนใหญ่ตลอด ไม่ใช่ว่าจะถูกทุกครั้ง ก่อนสวน ดูให้ดีๆ ก่อนนะ หุหุ
John Paulson ทำกำไรมหาศาลจากวิกฤติ Subprime เพราะคิดสวนกับคนส่วนใหญ่ นับว่าเป็น Big shot เท่าที่เค้าเคยทำมาเลยทีเดียว แต่ด้วยความสำเร็จนี้ ก็เป็นกับดักเช่นกัน หลังจากวิกฤกติการเงินผ่านไป เค้าก็มองหา Big shot อีกครั้ง และมองสวนกับคนส่วนใหญ่เช่นเดิม มองว่า น่าเกิดภาวะเงินเฟ้อมากในอนาคต จึงไปลงทุนในทอง และแล้วก็ขาดทุนยับ แต่ก็ไม่ได้หมดตัว มีเงินเหลือมากอยู่
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า การสวนกับคนส่วนใหญ่ตลอด ไม่ใช่ว่าจะถูกทุกครั้ง ก่อนสวน ดูให้ดีๆ ก่อนนะ หุหุ
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
####################################################
ความสำเร็จจากการลงทุน ไม่ได้เกิดจาก "การซื้อของดี" แต่มาจาก "การซื้อของได้ดี" ต่างหาก
ความสำเร็จจากการลงทุน ไม่ได้เกิดจาก "การซื้อของดี" แต่มาจาก "การซื้อของได้ดี" ต่างหาก
-
- Verified User
- โพสต์: 18134
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 3180
สังเกตว่า คนดังต้องมีประสบการณ์แบบนี้ครับAnieLee เขียน:You need only to win once. John Paulson
John Paulson ทำกำไรมหาศาลจากวิกฤติ Subprime เพราะคิดสวนกับคนส่วนใหญ่ นับว่าเป็น Big shot เท่าที่เค้าเคยทำมาเลยทีเดียว แต่ด้วยความสำเร็จนี้ ก็เป็นกับดักเช่นกัน หลังจากวิกฤกติการเงินผ่านไป เค้าก็มองหา Big shot อีกครั้ง และมองสวนกับคนส่วนใหญ่เช่นเดิม มองว่า น่าเกิดภาวะเงินเฟ้อมากในอนาคต จึงไปลงทุนในทอง และแล้วก็ขาดทุนยับ แต่ก็ไม่ได้หมดตัว มีเงินเหลือมากอยู่
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า การสวนกับคนส่วนใหญ่ตลอด ไม่ใช่ว่าจะถูกทุกครั้ง ก่อนสวน ดูให้ดีๆ ก่อนนะ หุหุ