ผมลงทุนหุ้นอเมริกามาสามปีครึ่งนอกจากได้ผลตอบแทนเป็นที่น่าพึงพอใจแล้วยังได้ประสบการณ์หลายๆอย่าง ถ้าเปรียบเทียบเป็นนักฟุตบอลเหมือนได้ออกไปค้าแข้งต่างประเทศที่ต้องปรับตัวให้เข้ากับสภาวะแวดล้อมใหม่ให้เร็วที่สุดแล้วสร้างผลงาน ทำให้รู้สึกสนุกกับการลงทุนต่างประเทศที่ทำให้เรามีมุมมองในการลงทุนที่หลากหลายมากขึ้น
วันนี้เลยอยากมาแชร์ประสบการณ์ให้กับทุกๆท่านได้เรียนรู้กันดังนี้:
- ผมใช้บริการหลักทรัพย์ไทยพาณิชย์ Offshore ในการลงทุนหุ้นอเมริกา ค่าใช้จ่ายในการซื้อขายหุ้นเป็นเงินหลักพันบาทเมื่อลงทุนหนึ่งล้านบาทดังนี้
ค่าโอนเงินแล้วแปลงเป็นเงินดอลลาร์ 1,000 บาท (เพิ่งยกเลิกเดือนที่แล้ว)
ค่าคอมมิชชั่น คิดที่ 8 Cents ต่อ 1 หุ้นแต่มีขั้นต่ำที่ $30 แม้ว่าจะซื้อหุ้น Amazon หุ้นละ $1,600 จำนวน 10 หุ้นเป็นเงินถึง $16,000 หรือประมาณ 500,000 บาทแล้วก็ตามแต่ก็ต้องเสียขั้นต่ำที่ $30
ดังนั้นถ้าเราเทรดหุ้นบ่อยจะเสียค่าธรรมเนียมจำนวนมาก เนาะนำให้ลงทุนระยะยาว
- ถามข้อมูลหุ้นจากโบรคเกอร์ไปแต่ไม่ค่อยได้รับข้อมูลที่ต้องการมากนัก เลยเน้นศึกษาหาเอกสาร 10-K หรือ Annual Report อ่านเอง บวกใช้ Jitta Morningstar และ SeekingAlpha ในการหาข้อมูลเพิ่ม
- ตลาดหุ้นอเมริกามีประสิทธิภาพมากที่เห็นได้ชัดคือช่วงวันที่ประกาศผลประกอบการ ถ้าบริษัททำได้เกินกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้หุ้นจะปรับตัวขึ้นอย่างสวยหรู 10% ถึง 15% แต่ถ้าทำไม่ได้หุ้นก็จะปรับตัวลดลง 30% ก็มี
- ไม่มีกรอบราคาวิ่งขึ้นลงหรือเรียกว่า Ceiling หรือ Floor ทำให้ตื่นเต้นกว่าการลงทุนหุ้นไทยเพราะถ้าหุ้นมีผลประกอบการแย่มากๆหุ้นอาจจะลงไปถึง 50% ในวันเดียว
- เป็นตลาดหุ้นที่เหมาะสำหรับการลงทุนระยะยาวเพราะมีหุ้นหลายตัวที่มีแนวโน้มจะเป็นหุ้นที่ชนะในระยะยาวหลาย 10 ปีด้วยธุรกิจที่แข็งแกร่งและมีความสามารถในการขยายธุรกิจไปทั่วโลก ซื้อแล้วเก็บให้ลูกหลานได้เลย เช่นหุ้น Google Amazon Facebook Microsoft Mcdonald Starbuck Visa Mastercard Domino Pizza Coke Nike Disney เป็นต้น
- หุ้นที่มีขนาดใหญ่มากๆแล้วเช่น Facebook มาร์เก็ตแค๊ป 15 ล้านล้านบาทไทยยังสามารถเติบโตกำไรสุทธิในไตรมาสล่าสุดสูงถึง 60% YOY เป็นการยืนยันอีกครั้งว่าหุ้นอเมริกาเวลากินรวบจะกินครอบคลุมทั้งโลก
- นักลงทุนมือใหม่อาจจะยังไม่เหมาะที่จะไปลงทุนที่อเมริกาเพราะตลาดหุ้นมีคู่แข่งนักลงทุนระดับโลกและสถาบันการเงินชั้นนำแข่งซื้อหุ้นกับเราอยู่ เพราะฉะนั้นถ้าเรายังไม่มีความรู้แนะนำให้เริ่มลงทุนหุ้นไทยไปก่อนแล้วเมื่อมีประสบการณ์สามถึงห้าปีค่อยกระจายการลงทุนไปที่อเมริกา
- หุ้นใหญ่ๆส่วนมากมีสัดส่วนการถือครองหุ้นโดยนักลงทุนสถาบันในสัดส่วนที่สูงมาก ยกตัวอย่างเช่นหุ้น Google นักลงทุนสถาบันถือครองทั้งหมด 70% อันดับหนึ่งคือVanguard Group ถืออยู่ $22,000 ล้าน ทำให้ไม่ค่อยมีใครมาปั่นหุ้น เป็นที่น่าสังเกตว่าคนอเมริกันลงทุนในหุ้นผ่านกองทุนในสัดส่วนที่สูงมาก
- ช่วยปรับสภาพสมดุลของพอร์ตในยามที่ตลาดหุ้นไทยไม่ขยับไปไหนการลงทุนที่อเมริกาก็สามารถช่วยให้พอร์ตยังเติบโตเป็นบวกได้ หรือเรียกว่าเป็นการกระจายความเสี่ยงในการลงทุน
สุดท้ายอยากเน้นอีกครั้งว่าบทความนี้ไม่ได้เป็นการชักชวนให้ไปลงทุนที่อเมริกาแบบไม่มีความรู้ แต่อยากให้นักลงทุนไทยศึกษาหาความรู้ดีๆก่อนโดยเฉพาะแนวทางแบบวีไอ เพื่อออกไปลงทุนแล้วทำเงินเข้าประเทศ ผมเห็นโอกาสของคนไทยจริงๆครับ
แชร์ประสบการณ์ลงทุนหุ้นอเมริกา - Billionaire VI
- luckyman
- Verified User
- โพสต์: 2153
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แชร์ประสบการณ์ลงทุนหุ้นอเมริกา - Billionaire VI
โพสต์ที่ 2
ขอบคุณครับ
สอบถามเรื่องเงินปันผลหน่อยครับ เราจะได้รับอย่างไรครับ
และเสียภาษีหัก ณที่จ่ายไหม
และเวลาขายเสีย cap gain tax ไหม
สอบถามเรื่องเงินปันผลหน่อยครับ เราจะได้รับอย่างไรครับ
และเสียภาษีหัก ณที่จ่ายไหม
และเวลาขายเสีย cap gain tax ไหม
website for the value investor
=> https://hoonapp.com
=> https://hoonapp.com
-
- Verified User
- โพสต์: 262
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แชร์ประสบการณ์ลงทุนหุ้นอเมริกา - Billionaire VI
โพสต์ที่ 3
เขาโอนเข้าพอร์ทให้โดยตรงครับ และจะะโดนหักภาษี ณ ที่จ่าย 30 % แต่ถ้าทำเรื่องยืนยันตัวตนเพื่อขอลดภาษีก็จะเหลือ 15 % เพราะไทยกับอเมริกามีสนธิสัญญา ถ้าเป็นนักลงทุนจะได้สิทธิตรงนี้ ปกติหุ้น USA จ่ายปันผลทุกไตรมาสครับ
- luckyman
- Verified User
- โพสต์: 2153
- ผู้ติดตาม: 0
Re: แชร์ประสบการณ์ลงทุนหุ้นอเมริกา - Billionaire VI
โพสต์ที่ 4
thanks crubkjarrung เขียน:เขาโอนเข้าพอร์ทให้โดยตรงครับ และจะะโดนหักภาษี ณ ที่จ่าย 30 % แต่ถ้าทำเรื่องยืนยันตัวตนเพื่อขอลดภาษีก็จะเหลือ 15 % เพราะไทยกับอเมริกามีสนธิสัญญา ถ้าเป็นนักลงทุนจะได้สิทธิตรงนี้ ปกติหุ้น USA จ่ายปันผลทุกไตรมาสครับ
website for the value investor
=> https://hoonapp.com
=> https://hoonapp.com