The Power of Habit
- kotaro
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1495
- ผู้ติดตาม: 0
The Power of Habit
โพสต์ที่ 1
เมื่อเช้าผมฟัง podcast มีท่านนึงแนะนำหนังสือเล่มนี้ The power of habit โดยบอกว่าเป็นหนังสือที่เปลี่ยนชีวิตคนมากมาย ผมฟังแล้วรู้สึกเห็นด้วยมากๆ เลยอยากมาแนะนำต่อครับ
ผมอ่านหนังสือเล่มนี้จบเมื่อ 2 เดือนก่อน สั่งจาก amazon มาอ่าน โดยหลังอ่านจบ สิ่งที่เปลี่ยนแปลงตัวเองได้คือ การออกไปวิ่งทุกเช้า ( แม้นจริงๆจะไม่ได้ทุกวันแต่ก็เกือบทุกวัน) ตอนไปซื้อรองเท้าวิ่ง ภรรยาบอกอย่าซื้อเลย เพราะคงวิ่งได้แค่ 2-3 วัน เหมือนนิสัยสมัยก่อนๆที่เป็นแบบนี้ประจำๆ
แต่ตอนนี้ วิ่งได้ 2 เดือนกว่าแล้วครับ ^^ ต้องให้เครดิตหนังสือเล่มนี้เลย
หนังสือเล่มนี้ ติด Best seller แต่งโดย Charles Duhigg ตอนเขียนกระทู้นี้ ลองค้นดูพบว่ามีหนังสือแปลเป็นไทยด้วยครับ ชื่อไทยคือ "สร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ด้วยนิสัยแค่ 1%" เห็นชื่อแปลก็งงนิดหน่อย ที่มีคำว่า 1% ติดมาด้วย ทั้งๆที่ต้้นฉบับไม่มีนะครับ และในเนื้อหา เท่าที่จำได้ ก็ไม่ได้เน้นที่ 1% อะไรนี้ด้วย
เนื้อหาเล่มนี้ เล่าถึง กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ของการสร้างนิสัยของคนเรา เป็นไหมครับ นิสัยบางอย่าง ที่เราอยากได้ หรือเราอยากจะเลิก แต่ลองทำแล้วมันยากมากๆ ทำแล้วไม่สำเร็จ เช่น การลดน้ำหนัก การออกกำลังกาย ทำแป็บๆ เดี่ยวก็เลิก หรือ การเลิกสูบบุหรี่ การเลิกสุรา หรือแม้กระทั้ง การเลิกจ้องจอดูหุ้น เป็นต้น
ในหนังสือเล่มนี้ อธิบายกลไก การสร้างนิสัยไว้อย่างน่าสนใจว่า นิสัยเกิดจาก สิ่งชี้นำ (Cues) กับ รางวัลที่ได้รับ (Rewards) เช่น หนูได้ยินเสียงกระดิ่ง(cues) ก็จะวิ่งไปในเขาวงกตที่สร้างไว้ เพื่อไปหาอาหาร (rewards)
นิสัยเปลี่ยนได้ ถ้าเราเข้าใจว่า นิสัย(habit) ทำงานยังไง
Cues-->Habit-->Reward
ในหนังสือ
ยกตัวอย่างเคสของ Claude C.Hopkins ในยุค 1900 ที่เป็นนักบริหารธุรกิจเกี่ยวกับโฆษณาที่เก่งมากๆ เป็นคนที่ทำให้คนอเมริกันหันมา ซื้อเบียร์ยี่ห้อ Schlitz เพียงเพราะโฆษณาที่ว่า Schlitz beer ทำความสะอาดขวดแบบทันทีก่อนบรรจุ (ทั้งที่จริงๆ เบียร์ยี่ห้ออื่นๆ ก็ทำความสะอาดขวดแบบนี้เหมือนกัน) Hopkins ยังทำให้ผู้หญิงอเมริกันนับล้านคนซื้อสบู่ Palmolive มาใช้ เพราะการโฆษณาที่บอกว่า Cleopatra ก็ใช้สบู่นี้เหมือนกัน (แน่นอนนักประวัติศาสตร์ต้องคัดค้าน)
เรื่องที่หนังสือยกมามีอยู่ว่า มีเพื่อนเก่าของ Hopkins มาติดต่อให้โฆษณายาสีฟัน Pepsodent ตอนแรก Hopkins ปฏิเสธ เพราะว่าแม้ในอเมริกาตอนนั้น ประชาชนจะมีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพฟันมากๆ แต่ก็มีผู้ผลิตหลายเจ้าไม่ว่าเป็นผงสำหรับสีฟันหรือ elixirs ต่างก็เจ้งไปตามๆกัน
แต่เพื่อนคนนี้ก็รบเร้าเรื่อยมาตลอด จน Hopkins ตอบรับว่าจะทำโฆษณาให้ โดยขอสิ่งตอบแทนเป็น option 6 เดือน ที่จะแลกเป็นหุ้น เวลาผ่านไป 5 ปี ยาสีฟัน Pepsodent กลายเป็นหนึ่งในสินค้าที่นิยมที่สุด และได้จำหน่ายไปทั่วโลก
Hopkins ลงทุนอ่าน Textbook เกี่ยวกับเรื่องฟัน ในตอนกลางเล่ม Hopkins พบว่า มันมีเรื่องเกี่ยวกับ mucin plaques ซึ่ง Hopkins เรียกมันว่าแผ่นฟิลม์ และเอามาใช้โฆษณาว่า ยาสีฟันสามารถกำจัดแผ่นฟิลม์บนฟัน ทำให้ฟันสวย ซึ่งจริงๆ ไอ้ฟิลม์ที่ว่านี้ มันไม่เกี่ยวกับยาสีฟันเลย มันเกิดขึ้นเอง และอาจถูกกำจัดได้ด้วยแค่การกินแอปเปิ้ลเท่านั้น แต่ Hopkins สื่อสารไปว่า
ถ้าคุณลองใช้ลิ้นดุนฟันดู คุณก็จะรู้สึกถึงแผ่นฟิลม์ ซึ่งจะทำให้ฟันไม่ขาวและเป็นสาเหตุของฟันผุ
แน่นอนหลังจากโฆษณาออกไป ผู้บริโภคก็ลองทำตามดู แล้วก็รู้สึกว่ามีแผ่นฟิลม์อยู่ที่ฟัน ต้องใช้ยาสีฟัน หลังจากใช้แล้ว ได้รับรางวัลคือความรู้สึกว่าฟันสะอาด การประสบความสำเร็จของ Pepsodent ทำให้ Hopkins ได้เงินหลายล้านดอลล่าห์ และเป็นการลงทุนที่ดีที่สุดอันนึงของ Hopskins
เคล็ดลับของ Hopkins คือ
1. find a simple and obvious cue
2. clearly define the reward
Keep the cue,provide the same reward , insert a new routine.
ทำซ้ำๆไป new routine ที่ว่าคือ Habit นั่นเองครับ
ถ้าเราอยากสร้างนิสัยใหม่ๆ ก็หาก่อนว่าจะใช้ Cues อะไร ตัวผมต้องการไปวิ่งทุกเช้า ทุกคืนก่อนนอน ผมก็สร้าง Cuesง่ายๆของตัวเอง เป็นการจัดชุดทำงานใส่ไม้แขวนเสื้อไว้และแขวนไว้ปลายเตียง ตื่นเช้ามา ก็ถือชุดทำงานขึ้นรถ
แล้วออกไปวิ่ง วิ่งเสร็จก็ไปอาบน้ำที่ทำงานเลย
เอาเท่านี้ก่อนครับ ใครสนใจหนังสือแนวพัฒนาตนเอง เล่มนี้แนะนำอย่างยิ่งครับ
“Laughter is timeless. Imagination has no age. And dreams are forever.” ― Walt Disney Company