แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

เชิญมาพักผ่อน คลายร้อนนั่งเล่น คุยกันเย็นๆ พร้อมเรื่องกีฬา สัพเพเหระ ทัศนะนานา ชีวิตชีวา สุขภาพทั่วไป บันเทิงขำขัน รอบเรื่องเมืองไทย ชวนเที่ยวที่ไหน อยากไปก็นัดมา ...โย่วๆ
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 421

โพสต์

new high แล้ว new high อีก
สังเกตได้ว่าตอนนี้ค่าเงินบาทแข็งมาก และเงินภูมิภาคก็แข็งค่าไปตามๆกัน
แต่ทว่า มีสิ่งที่น่าคิดคือ เงินที่ไหลเข้ามานั้นเป็นเงินระยะสั้นหรือเงินระยะยาว
เพราะอะไรถึงคิดแบบนั้น เพราะว่า เงินมันก็เหมือนน้ำ ก็ต้องมีเก็บกัก เมื่อ ไหลเข้ามา
ก็ต้องมีผลตอบแทนให้ ไม่งั้นก็ไหลออกไปหา สถานที่มีผลตอบแทนสูง (Search for yield)
อยู่ร่ำไป คือพูดๆง่ายตอนนี้เงินฝากมันได้ผลตอบแทนน้อย แต่ต้องการผลตอบแทนสูงๆๆ ก็ต้อง
หาว่าที่ไหน ผลตอบแทนสูงๆ ก็ไหลเข้าไป นั้นเอง
ซึ่งบ้างครั้ง การประเมินความเสี่ยงก็ต้องลดลง คือ พูดๆง่ายๆก็ต้องลดคุณภาพลงบ้าง หรือไม่ค่อย
สนใจเรื่องความเสี่ยงเท่าไร นั้นเอง
จุดนี้แหละที่น่าสงสัย แต่ไม่เป็นเช่นนั้นทั้งหมด เพราะก่อนหน้านี้ ประเทศไทย นั้น ยังไม่ได้ใช้รัฐธรรมนูญ
เพื่อเดินหน้าเข้าคูหาเลือกตั้ง ทำให้ กองทุนบางประเภท หรือ กองทุนของบางประเทศ นั้น ไม่สามารถ
นำเงินมาลงทุน หรือมีเงินลงทุนอยู่ก็ต้องทยอยขายนั้นเอง สังเกตได้ว่า หุ้นที่ขึ้นหลังจากประกาศ
รัฐธรรมนูญ (ไป Road show ที่ US) นั้นคือ พวก Market cap ใหญ่ ในSET50 หรือ SET100 เป็นตัวขับเคลื่อนตลาด
ในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมากนั้นเอง
ไม่เพียงแค่นั้น การเป่าประกาศเรื่องการจัดตั้งกองทุน Thailand future fund หรือ TFF ตัวนี้ ก็ต้องมีเงินต่างชาติ
ไหลเข้ามาคอยว่า ปีนี้ ได้เห็นแน่นอนสำหรับกองทุนนี้
แถมปีนี้ ก็น่าจะเปิดประมูลเรื่องของคลื่นความถี่อีกต่างหาก ที่หมดสัมปทานของเดิมไปคือ 900 หรือ 1800 เพื่อนำเงินมาชดเชยการขาดดุลของรัฐ (ตอนนี้ กสทช เป็นพระเอกเลย ในการหาเงินเข้ารัฐปีๆหนึ่งเพียบเลย ไล่ตั้งแต่ ประมูลคลื่นความถี่ 1800 และ 900 ประมูลผู้ได้รับสัมปทานทีวีดิจิตอล)
แถมตอนนี้ ประเทศก็โปรโมทเรื่องการท่องเที่ยว โดยข้อมูลจากนักท่องเที่ยวที่ใช้ท่าอากาศยานนานานในประเทศไทยนั้นเอง ที่เพิ่มขึ้นทุกปี จนตอนนี้ กำลังความสามารถในการรองรับนักท่องเที่ยวนั้นเกินไปไกลมากแล้ว
แต่หน่วยงานรับผิดชอบก็ยังไม่ค่อยใส่เกียร์ 7 แบบโกย เพื่อให้สามารถรองรับจุดนี้ได้เหมือน ยั้งรอคอยอะไรอยู่
ไม่เร่งแบบกดมิด อะไร ซักเท่าไร
ส่วนอีกเรื่องหนึ่งที่ฝากไว้คิดว่า บริษัทไหนเป็นตัวแทนของประเทศไทย ที่ออกต่างประเทศแล้วมีส่วนแบ่งได้
นอกจากบริษัทอาหาร เกษตรกรรม สินค้าโภคภัณฑ์ ซึ่ง ในระยะ 4-5 ปีมานี้ ไม่ได้แข่งกันในระดับประเทศแล้ว แต่แข่งขันในระดับโลกคือใหญ่ต้องใหญ่ หรือต้องใช้งานกันในระดับโลก มันก็น่าคิดอยู่เหมือนกัน ว่า ในเมื่อก่อนหน้านี้ บริษัทที่ใหญ่ เพียงแค่ตอบโตในประเทศเท่านั้นก็ หารายได้กันไม่หวั่นไม่ไหวแล้ว แต่ในปัจจุบัน ในประเทศไม่เพียงพอแล้ว ต้องการเติบโตในระดับนอกประเทศ เพื่อสนองต่อความต้องการของนักลงทุน หรือเปล่า เป็นเรื่องที่น่าคิดไว้เหมือนกัน
:)
:)
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 422

โพสต์

ย้อนอดีต ปีเลือกตั้ง
ถ้าย้อนอดีตในปีที่มีการเลือกตั้ง นั้นสิ่งที่แปลกอยู่อย่างหนึ่งคือ ปีนั้นๆอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจดี ในช่วงเวลาดังกล่าว เงินหมุนคล่องมากๆ ถ้ายิ่งการเมืองมาจากกรณีพิเศษด้วยแล้ว ก็ดีเป็นพิเศษในเรื่องตัวชี้วัดตัวนี้
ในด้านนี้น่าสนใจแต่ทว่า ในเรื่องผลตอบแทนในตลาด(ห)ลักทรัพย์แห่งประเทศไทย นั้นมีการวิจัยเรื่องการซื้อหุ้นก่อนและหลังการเลือกตั้ง ไว้หลายชิ้นมากมาย แต่ละยุคแต่ละสมัยที่มีการเลือกตั้งนั้น ผลการศึกษาค่อนข้างกระจัดกระจาย บางครั้งก็บอกว่าดี ในช่วงระยะเวลาก่อนการเลือกตั้ง ต้องซื้อนาน 3 เดือน บางครั้งก็ต้องซื้อ 6 เดือนหรือ 9 เดือนหรือ 12 เดือน บางครั้งที่มีการเลือกตั้งซื้อก่อนก็ไม่ได้ผลตอบแทนทีดีเท่าไร เรียกได้ว่ากระจัดกระจายอย่างมากในเรื่องนี้

ดังนั้นการลงทุนมีความเสี่ยงโปรดศึกษาก่อนการลงทุน ในเรื่องเหล่านี้ไว้ด้วยก็ดี

ปล หยิบข่าวมานิดหน่อย ค่าเงินบาทแข็ง กับค่าเงินรูปีของอินเดียก็แข็ง เรียกได้ว่าเป็นผู้นำในตอนนี้
ิอินเดียนั้น มีการเพิ่มทุนธนาคารพาณิชย์ในประเทศในช่วงปีนี้ เห็นหลัก
ส่วนของไทย นั้น คือ การประมูลคลื่น 900/1800 ที่หมดสัมปทานไป + กองทุนไทยแลนด์ฟิวเจอร์ฟันด์ +EEC (ภาคตะวันออกเป็นภาคต่อเนื่องจากโครงการในยุคน้าชาติชายที่เป็นนายก เปลี่ยนสนามรบเป็นสนามการค้า)
ประกอบกับเงินดอลล่าร์สหรัฐอ่อนค่าลงไปด้วย และไทย+อินเดียก็เป็นที่จับตาในเรื่องการดุลกับสหรัฐอเมริกา เหมือนก่อนหน้านี้ที่จีน ,เกาหลีใต้และญี่ปุ่นที่เป็นคู่ค้าสำหรับของสหรัฐ นั้นโดนไปก่อนหน้า ครั้นที่หัวนิ้วแม่โป้งเข้ารับตำแหน่ง
:)
:)
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 423

โพสต์

ทำไมต้องขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ
คำถามนี้น่าจะแนวทางในตอบ ของคำถามว่า ทำไมต้องขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ในช่วงเวลานี้
เรามาดูเป้าหมายทางเศรษฐกิจของประเทศไทยในปี 2561 ที่ทุกๆสำนักให้ในการตัวเลขที่วัดนั้นคือ GDP
ตอนนี้เราให้ไว้ที่ 4%-4% กว่าๆ ของปี 2561 เติบโตต่อเนื่องจากปี 2560 ในทุกสำนักเลย
เมื่อค่าแรงขั้นต่ำขยายตัวเพิ่มขึ้น นั้นคือ ราคาสินค้าขยับไปก่อนล่วงหน้า มีต้องจับจ่ายสินค้าเพิ่มขึ้น เงินในกระเป๋าประชาชนต้องใช้จ่ายมากขึ้น มีสามภาวะคือ ไม่ยอมใช้จ่าย หรือ ยังใช้จ่ายแต่ลดลงกว่าเดิม หรือ ใช้จ่ายเท่าเดิม
จุดนี้รัฐก็ต้องบอกผู้ผลิตว่า ตรึงราคาก่อน โดยออกมาตราการ สินค้าราคาประหยัด ออกมาให้เห็นหลายรูปแบบ เช่นธงฟ้า ร้านประชารัฐ บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เป็นต้น แต่ผู้ผลิตนั้นก็ผลิตสินค้าเดิม ราคาเดิม แต่ปริมาณลดลง ซึ่งไม่มีอะไรห้ามไว้นิ ว่าต้องผลิตในปริมาณเท่าเดิม งานนี้ก็สินค้าเท่าเดิมแต่ ปริมาณที่ผู้บริโภคได้ลดลง
เงินเฟ้อ ก็อาจจะเพิ่มขึ้นได้จาก แรงกดดัน ในเรื่องของค่าแรงที่เพิ่มขึ้น เป็นทางตรงหรือทางอ้อม
ส่วนในภาพของผู้ผลิต นั้นต้องการกำไรสูงสุด โดยไม่สนใจอะไร ก็ต้องลดต้นทุนให้ได้ ต้นทุนแรงงานนั้นเป็นต้นทุนหลัก ของบริษัทอยู่แล้ว ทั้งในรูปแบบของเงินเดือน สวัสดิการเงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ค่าล่วงเวลาพวกนี้ ก็ทำให้ต้องหาทางลดต้นทุน แล้วเพิ่มประสิทธิของบริษัท ก็เข้าทาง Digital Transform หรือ Thailand 4.0 ที่วางไว้ นั้นเอง
งานนี้เรียกได้ว่าทำในจังหวะที่ควรทำเลยทีเดียว
ไม่เพียงแค่ค่าแรงที่กดดันประเทศ ยังมีราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น จุดนี้ก็น่าสนใจว่า น้ำมันปรับราคาขึ้นแล้ว แต่ไซร้ราคาของยางพาราไม่ปรับเพิ่มขึ้น เมื่อเข้าไปดู เมื่อก่อนนี้ ราคาน้ำมันปรับเพิ่มขึ้น ก็ทำให้ผลพลอยได้ที่ได้จากการกลั่นของน้ำมันก็ราคาแพงขึ้นด้วย เมื่อแพงขึ้นก็เกิดการเปลี่ยนไปใช้งานวัสดุที่ทดแทนกันได้ ซึ่งก็คือยางพาราในบางส่วน ดังนั้น ความสัมพันธ์ของราคาน้ำมันกับราคายางพาราไปด้วยกัน แต่ในปัจจุบัน เริ่มจะเห็นทิศทางที่ไม่สัมพันธ์กัน ราคาน้ำมันเพิ่มขึ้น แต่ราคายางพารา ไม่ค่อยเพิ่มขึ้น หรือนิ่งบาง จุดนี้น่าสนใจว่า Supplier นั้นเพิ่มขึ้นจากผลของราคายางพาราสูงมากในช่วงหลายปีก่อนหน้านี้ พร้อมกับราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นหรือเปล่าหนอ
ถ้าราคายางพาราสูงขึ้น ก็ทำให้เศรษฐกิจของประเทศในส่วนของภาคเกษตรก็ดีขึ้นตามไปด้วยนั้นเอง
ซึ่ง อุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับยางพารานั้น ใช้แรงงานคนแบบเข้มข้นมากๆ ดังนั้นการขึ้นค่าแรงก็มีส่วนที่ส่งผลกระทบด้วย
มองส่องต่อไป การประมูลงานล่วงหน้าของภาครัฐ หรือ งานที่ทำอยู่นั้น อาจจะมีข้ออ้างในการปรับราคาค่าแรงขั้นต่ำทำให้ส่งงานได้ล่าช้า ขอขยายเวลา จุดนี้ก็น่าสนใจว่า เมื่อปรับราคาแรงขั้นต่ำไปแล้ว มันกระทบจริงหรือเปล่า
ในอดีต เมื่อปรับค่าแรงขั้นต่ำ ผู้ประกอบการก็ยกมาเป็นข้ออ้างในการส่งงานล่าช้า อันนี้รัฐก็ไม่ได้กำหนดออกมาชัดเจนว่า เมื่อเกิดเหตุการณ์การปรับค่าแรงขึ้น ต้องทำอย่างไรบ้าง ทำให้ชัดเจนกันไปดีกว่า ที่ต้องขอขยายระยะเวลาเป็นคร่าวเมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้นเหมือนในอดีตที่ผ่านมา
:)
:)
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 424

โพสต์

V ในตลาดหุ้นกำลังเพิ่มขึ้น
วันที่ 2 มีนาคม 2561 นั้น การซื้อขายหลักทรัพย์นั้น กำหนดส่งมอบหลักทรัพย์และจ่ายเงิน จากเดิม T+3 วัน(ไม่นับเสาร์และอาทิตย์) ลดเหลือ T+2 ไม่รวมเสาร์แลอาทิตย์
นั้นคืออะไร เงินหมุนไปเร็วขึ้นกว่าเดิม 1 วัน
1 วันนี้ก็มีความหมายต่อใครหลากหลายคน ซึ่งในอดีต ก็มีให้เห็นแล้ว คราวแฮมเบอร์เกอร์ ก็บริษัทเลห์แมน ล้ม
เพราะขาดสภาพคล่องไม่กี่วันเท่านั้น ดังนั้น ลดเวลา การส่งมอบลง 1 วัน ก็ต้องเตรียมการไว้ล่วงหน้า
เมื่อเงินในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพิ่มความเร็วขึ้น มันส่งผลต่อเศรษฐกิจอย่างหลีกหนีไม่พ้น
นั้นคืออะไร นั้นกระแสน้ำจากเดิมที่ไหลช้า เมื่อระเบิดแก่ง(หินใต้น้ำ) ก็ทำให้น้ำไหลเร็วขึ้น ฉันใดก็ฉันนั้น
เมื่อเงินหมุนเร็วขึ้นก็ทำให้เศรษฐกิจดีขึ้นอย่างแน่นอน ไม่พอ การหมุนของเงินยังหลายรอบยิ่งดี นั้นคืออะไร
นั้นคือ รัฐก็ส่งเงินเข้าระบบอีก อัดเงินเข้าระบบผ่านการจัดซื้อจัดจ้างของรัฐ ที่เริ่มลงมือทำงาน เริ่มเปิดหวู
ไม่พอ ยังเพิ่มค่าจ้างขั้นต่ำอีกต่างหาก เรียกได้ว่า มาเป็นยกเลย มาที่จัดหนักจัดเต็มเลยทีเดียวรอบนี้
GDP 4% คงถึงอยู่แล้ว แต่ต้องบอกว่า ถึงแบบพึ่งพาลำแข้งของตัวเอง แต่ถ้าต้องการมากกว่านั้นมองไปข้างนอกด้วยก็ดี

ปล. ปลายปี2017 นั้น อังกฤษได้รับมอบเรือบรรทุกเครื่องบินลำใหม่ HMS Queen Elizabeth (R08)
ระวางขับน้ำ 65,000 tonnes (64,000 long tons; 72,000 short tons)
เครื่องยนต์ เป็น Two Rolls-Royce Marine 36MW MT30 gas turbine alternators and four 10MW diesel engines
บรรทุกเครื่องบินได้ 40 ลำ

:)
:)
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 425

โพสต์

ปรากฏการณ์แก้วเยติ
ปรากฏการณ์แก้วน้ำ ที่ขายกันเทน้ำเทท่าไปทุกทีที่มีตลาดนัด จะมีขายแก้วประเภทนี้เสมอ
ซึ่งปรากฏการณ์แก้วน้ำเยติ นั้นได้สังเกตเห็นประมาณเดือนพฤศจิกายน ต่อเดือนธันวาคม 2560
แก้วน้ำเยติเป็นแก้วน้ำขนาดค่อนข้างใหญ่ จุประมาณ ครึ่งลิตร (500 ซีซี) สามารถกักความร้อนหรือความเย็นได้
เป็นเวลานาน จนต้องมีคนไขข้อสงสัยว่าทำไมแก้วเยตินั้นสามารถกักเก็บความร้อนหรือความเย็นไว้ได้นานเพียงนั้น
เมื่อผ่าชันสูตรก็พบว่าภายใน ไม่มีอะไร มีแต่ช่องว่างระหว่างวัสดุที่ทำแก้วเท่านั้น ช่องว่างนี้แหละเป็นตัวกักเก็บอุณหภูมิมิให้ถ่ายเทความร้อนไปด้านนอกนั้นเอง
ราคาของแก้วเยตินั้น ร้อยปลายๆ ถึงสองร้อยกว่าบาท จนถึงสามร้อยก็มีวางขายกัน ขึ้นอยู่กับรุ่นของแก้ว หรือลายของแก้วเป็นสำคัญ
ปรากฏการณ์นี้เป็นที่น่าสังเกตว่า ทำไมถึงเกิดขึ้นได้ สินค้ามาขายดีตอนใกล้ปีใหม่ หลังปีใหม่ก็ยังคงมีกระแสของแก้วหลงเหลืออยู่ ทำไมเป็นเช่นนี้ เวลาเป็นเครื่องที่ตอบคำถามที่ได้ว่า เป็นเพราะอะไร แต่สิ่งสำคัญ ราคาที่ถูกกว่าแน่นอน ถูกกว่าของเดิมที่กระบอกเก็บความเย็นที่ใช้งานกันอยู่นั้นเอง (กระบอกเก็บความเย็นมีหลากหลายยี่ห้อ แต่พนักงานบริษัทชอบถือกัน เรียกได้ว่าอวดหรือมีอันจะกินก็ของสตาร์บัค ราคาร้อยบาทปลายๆ ถึงหลักพันบาทเลยทีเดียว
แต่หลังๆมีเจ้าอื่นๆ ก็ทำสินค้าซึ่งติดยี่ห้อของตัวเองมาขายเหมือนกัน
ทั้งราคาและคุณภาพของแก้วเยติ ทำให้กระบอกเก็บความร้อนขายไม่ออกไปเลยทีเดียว ถ้าหากใครไปห้องสะดวกซื้อ Bigc ตอนปลายปี ซื้อครบสินค้า 400 บาท สามารถแลกซื้อกระบอกเก็บความร้อนได้ที่ราคากระบอกละ 99 บาท ความจุ 400 และ 500 ซีซี แลกได้ 10 กระบอกต่อ 1 ใบเสร็จ เอามาลดราคาแบบนี้กันเลยทีเดียว ถ้าหากดูจากยี่ห้ออื่นๆ ก็ราคาต้องมีอย่างน้อยๆ 3xx-4xx บาท แต่ความจุไม่ใช่ขนาดนี้ คือประมาณ 200-300 ซีซีเท่านั้นเอง
บ้างสิ่งบางอย่างนั้น ถ้าไม่ได้สังเกตอาจจะไม่เห็นความเปลี่ยนแปลง อย่างเช่นกรณีนี้ก็เป็นไปได้
:)
:)
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 426

โพสต์

เขียนถึงกระแสละครหน่อย เรื่อง บุพเพสันนิวาส ทำไมดังเป็นพลุแต่ในช่วงวันพุธและพฤหัสบดี
พอดีมีกระแสของละคร นานทีปรากฏการณ์เป็น Talk of the town เหมือนเพลงคุ๊กกี้เสี่ยงทาย ที่ไปที่ไหนก็เปิด
ขนาดล่าสุดไปเรื่องงาน TME 2018 เปิดกันทั้งงาน ตั้งแต่เช้ายันเลิก วันแรกยันวันสุดท้าย อะไรจะขนาดนั้นก็ไม่รู้เพลงนี้ ซึ่งละครเรื่องนี้ก็อยู่ในกระแสที่ปลุกช่องเวลาละครของช่องน้อยสี ตืนขึ้นมา จากกระไปชนรายการถอดหน้ากาก
ที่อยู่ในฤดูกาลที่ 4 แล้วซึ่งกระแสตอบรับไม่ ว้าวเหมือน 1-2 ฤดูกาลก่อน เดี๋ยวค่อยเล่าว่ารายการใหม่วันจันทร์และอังคารน่าสนใจ ทำการแสดงได้ดี จน ว้าว แทน
เอาล่ะละครเรื่อง บุพเพสันนิวาสทำไม ว้าวเป็นที่โจษขานทั้งบ้านทั้งเมืองตอนนี้ มันมีประเด็นอยู่ที่ว่า
1. นอกกรอบ นอกกฏระเบียบ ในสมัยก่อน โดยวิญญาณจากยุคปัจจุบันที่วัฒนธรรมของสาวไทยได้เปลี่ยนไป ไปหน้ามือเป็น หลังเท้า แต่ต้องไป อยู่ในยุคตอนปลายของกรุงศรีอยุธยา ในสมัยของ พระนารายณ์มหาราช ของไทย ซึ่งเป็นยุคทองของกรุงศรีอยุธยาในเรื่องการค้าขาย
อันนี้ถ้าย้อนกลับไป ยังจำครั้นที่ หนังสือ Harry potter ออกมาแรกๆๆ ได้ไหม สิ่งหนึ่งที่เด็กยุคนั้น (พวกเราตอนนี้) ชอบมาคือ การแหกกฏระเบียบต่างๆที่มีไว้นั้นเอง เหมือนกันแป๊บเลย กับละครเรื่องนี้
2. คำมันโดนใจ เช่นคำว่า อ้อเจ้า เป็นคำโบราณแต่ทว่า โดนใจกันทั้งบ้านทั้งเมือง
คนก็งงว่า ละครใช้คำนนี้ได้ไง แต่สุดท้ายมันก็มีคำแปล เพราะว่าเป็นคำโบราณ
มันสะท้อนถึงภาษาที่มีการเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา ซึ่ง คำนี้ในสมัยปัจจุบันไม่ได้ใช้แล้ว แต่ในละครใช้
เลยกลายเป็น โดน นั้นเอง
3. มันมาได้ถูกเวลา เพราะรายการคู่แข่งนั้น กระแสเริ่มลดลง ไม่ ว้าว เหมือนตอนแรก ที่เรตติ้งนี้ ทะลุเพดาน เลยทีเดียว ละครเรื่องไหน ช่องไหน นางเอกหรือพระเอกที่เป็นคู่ขวัญ เล่น ก็แพ้หมด กระแสละครเดี้ยงทุกช่องเลย
แต่ตอนนี้กระแสมันเบาลงไปแล้ว เพราะ รายการไม่ได้หยุดพักเลย ออกอากาศต่อเนื่อง มันทำให้คำว่า ว้าวในตอนแรกๆ ลดลงหรือเปล่าหนอ
ส่วนแขกที่รับเชิญนั้น ถ้ายุค 80-90 ที่มีกำลังซื้อนั้นแบบเบอร์แรกๆของประเทศไทย จะมารายการนี้ไหมหนอ
คำถามนี้มันเกิดขึ้นมานานแล้ว แต่ยังไม่เห็นละ (พวกพี่เบิร์ด พี่มาช่า พี่คริสติน่า พี่โจ้ - ก้อง นูโว พี่ก๊อต บลาๆๆๆ )
แต่อีกด้านในยุค 80-90 ก็เริ่มมาล้ว (พี่เจมส์ ,VR Joy มา 1 ท่านแล้ว ทำนองนี้)
ดังนั้น ถ้าหากแม่เหล็กมา ก็จะดีหรือเปล่าหนอ

ตอนนี้เรียกได้ว่า ละครเริ่มกลับมา ในระยะนี้ ต้องรอดูกันต่อไปว่า ศึกนี้เป็นเช่นไร
แต่ทว่า มันไม่ใช่ว่า ผลประกอบการดี ตามที่บอกละ เพราะมันส่วนหนึ่ง ซึ่งอุตสาหกรรมนี้ มันแย่
เพราะการมาของ ํyoutube และ netflix ที่แย่ง eye ball ไปนั้นเอง

ระยะเวลาตอบท่านได้ว่า เป็นเช่นไร
:)
:)
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 427

โพสต์

เขียนเรื่องของ กรมศุลกากร หน่อย ที่มีประกาศเรื่อง การปฏิบัติพิธีการศุลกากรของติดตัวผู้โดยสารที่นำติดตัวเข้ามาในหรือส่งออกไปนอกราชอาณาจักรพร้อมกับตนทางท่าอากาศยาน (เลขที่ 60/2561 )ประกาศวันที่ 5 มีนาคม 2561
http://www.customs.go.th/cont_strc_down ... 4b4c464b4a
และ หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการปฏิบัติพิธีการศุลกากรในการตรวจปล่อยผู้โดยสารและหีบห่อสัมภาระระหว่างสนามบินภายในประเทศ โดยวิธีการ Check Through (เลขที่ 59/2561) ประกาศวันที่ 5 มีนาคม 2561
http://www.customs.go.th/cont_strc_down ... 4b4c464b49
สังเกตว่า ประกาศสองฉบับนี้มุ่งเน้นไปที่ ตัวประชาชนที่หิ้วของเข้าออกจากท่าอากาศยานระหว่างประเทศของไทยนั้นเอง ซึ่ง มันไปเกี่ยวข้องกับ Duty Free ที่คนไทย ซื้อของ Duty free ในประเทศ แล้วหิ้วออกไป แล้วหิ้วกลับเข้ามานั้นเอง ทำให้รัฐสูญเสียภาษี แต่เรื่องนี้ไม่พอ มันไปเกี่ยวข้องกับการประมูลพื้นที่ Duty Free ของ AOT ที่กำลังเกิดขึ้นนั้นเอง เป็นเกมที่ซ้อนไป ถ้าใครมองก็เหมือน ไปที่ตัวประชาชน แต่ทว่า เบื้องหลังมันเป็นเรื่องนี้

ดังนั้น คิดหลายชั้น ว่าใครเสียผลประโยชน์ แล้วทำไมไม่ลดภาษีให้ซักดีกว่า ทำให้มันลดลง จนกระทั่ง ไม่ต้องหิ้วกันไปหิ้งกันมา ดีกว่าไหม เมื่อลดภาษีลง จำนวนการขายเพิ่มขึ้น ก็เก็บภาษีได้เพิ่มขึ้นเอง
แค่นี้แหละ แต่ใครกล้าดำเนินการ แหละ เป็นเรื่องที่น่าคิดต่อไป
:)
:)
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 428

โพสต์

การขึ้นดอกเบี้ย
การขึ้นดอกเบี้ย นั้น หลังๆ ธนาคารกลางของแต่ละประเทศ โยนหินถามทาง ก่อน เพื่อให้ตลาดปรับตัว ก่อนที่ประกาศจริง เป็นแบบนี้มาหลายปีแล้ว ในช่วงหลังๆ ไม่ใช่ว่า ประกาศโดยที่ไม่มีเค้ารางมาก่อน
ซึ่งการขึ้นดอกเบี้ยนั้น มีผลกระทบต่อการลงทุน อย่างหลีกเลี่ยงไมไ่ด้ เนื่องจากดอกเบี้ยเป็นต้นทุนตัวหนึ่ง ในการดำเนินการกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ไล่ตั้งแต่การลงทุน คือ การฝากเงินกับธนาคาร/ฝากกับสหกรณ์ทั้งหลาย เปรียบเทียบกับการลงทุน คือไม่ต้องออกแรง ไม่ต้องศึกษาอะไรมากมาย กับสิ่งที่ต้องศึกษาเพราะมีการขาดทุน-กำไร ถ้าขาดทุนก็ขาดทุนมาก กำไรก็รวยเละเทะ ต้องลงทั้งเวลาลงทั้งแรง ลงสมองด้วย
การขึ้นดอกเบี้ยในครั้งนี้ ขอสังเกตคือ ธนาคารเริ่มขึ้นไปก่อน ทำไมธนาคารขึ้นไปก่อน การประกาศ เพราะว่า มองมุมของคนฝากเงิน มีพฤติกรรมที่ หากโยนหินถามทางจากธนาคารกลาง แล้ว พวกนี้จะเปลี่ยนแปลงการฝากเงินจากระยะยาว เป็นการฝากเงินระยะสั้น ทำให้ธนาคารที่ต้องการเงินฝากระยะยาวต้องทำการขึ้นดอกเบี้ย
หรือการขึ้นดอกเบี้ยสะท้อนถึงความเสี่ยงของการระดมทุน ก็เป็นไปได้ เพราะธนาคารไม่ต้องเพิ่มต้นทุนตัวเอง (จากการรับฝากเงิน แต่ทว่ามันมีความจำเป็น ที่ต้องการแหล่งเงินทุน ในช่วงเวลานั้นเพื่อนำไปปล่อยกู้หรือลงทุนอย่างอื่นๆ)
การขึ้นดอกเบี้ยนั้น ส่วนใหญ่ขึ้นเพราะลดแรงกดดันด้านเงินเฟ้อ หรือ ความร้อนแรงจากเศรษฐกิจ แต่ทว่าในปัจจุบัน มันเป็นเช่นนั้นหรือเปล่า เป็นเรื่องที่น่าคิด หรือ เป็นไปตามเกมของประเทศมหาอำนาจ ก็น่าคิด ว่าก่อนหน้านี้ปั้มเงินออกมาพร้อมทั้งลดดอกเบี้ยพร้อมกัน แต่ ในปัจจุบันเริ่มลดการปั้มเงินและเพิ่มอัตราดอกเบี้ยไปพร้อมกัน
:)
:)
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 429

โพสต์

หุ้น 10 เด้ง
ตั้งแต่ ปี 2554 ที่เกิดเหตุน้ำท่วมใหญ่ (มหาอุทกภัย) ในประเทศไทย นั้น
บริษัทจดทะเบียนในช่วงระยะเวลาดังกล่าว ก็เกิดเหตุการณ์หลากหลายเหตุการณ์
แต่เหตุการณ์หนึ่งคือ พวกธุรกิจปล่อยให้กู้สินเชื่อต่างๆ ประสบปัญหาเรื่องขาดทุน
เนื่องจากลูกค้าไม่ได้จ่ายเงินค่างวดในช่วงเวลาดังกล่าว ก็มีมาตรการผ่อนปรนออกมา
ซึ่งนักลงทุนเห็นตอนนั้นแล้ว บอกได้ว่า ราคาหุ้นของบริษัทพวกนี้ลงไปเรียกได้ เละเทะเทกระจาดเลย
ไม่เพียงแค่นั้น มีการเปลี่ยนแปลง ผู้บริหารระดับสูง และอะไรอีกหลายหลากอย่าง
แต่ทว่า มาในวันนี้ 26 มีนาคม 2561 นั้นบริษัทเหล่านั้นได้กลายเป็นพวกหุ้น 10 เด้งไปแล้ว
ลองย้อนไปในปลายปี 2554 ดูแล้วท่านคิดซื้อหุ้น ที่ไม่เห็นอนาคต บริษัทใกล้เจ๊ง ไม่มีเงินจ่ายหนี้สินที่กู้มา
หรือเปล่า
แต่เมื่อเวลาผ่านไปแล้ว ก็มีคำถามว่า ท่านกล้าที่ถือครองหุ้นของบริษัท ได้นานขนาดนี้หรือไม่
ผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านอุปสรรคหลายหลากอย่างประกาศ ร่วมกับบริษัทหรือไม่ ก็น่าคิดอยู่

เขียนเพื่อให้อ่าน เตือนความทรงจำกันละกัน ว่ามีวิกฤติถ้าหากมองให้ถูกต้องมันคือโอกาสเสมอ
ทุกอย่างต้องมองว่า อะไรคือ แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ หรือที่ปลายอุโมงค์นั้นคือทางตัน
:)
:)
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 430

โพสต์

ขอบ่นละกัน กับการขอข้อมูลธนาคาร สำหรับการเปิดใช้งาน
เราก็รู้อยู่ว่า การรับข้อมูลจากธนาคารนั้น โน้นนี้นั้น แต่ทว่า เราก็โหลดข้อมูลตามช่องทางที่เปิดไว้
แต่ขอเพิ่มจำนวนข้อมูลที่สามารถรับข้อมูลได้ โดยต้องเสียคนในการรับข้อมูลอีก ไม่สามารถใช้คอมพิวเตอร์ได้
เจ้าหน้าที่ของธนาคารโทรมา ก็บอกว่าอยู่ในคิวในการพัฒนา (ซึ่งเราเองมองว่ามันสามารถทำได้ ไม่ติดอะไร เพราะ สิ่งที่ให้นั้นเพิ่มเติมจากเดิม 7 ข้อมูล หรือไฟส์เท่านั้น เป็นมากกว่านั้น) เลยถามไปว่าเมื่อไร
คราวนี้แหละมาเป็นชุดเลยว่า ทางทีมพัฒนามีรายการที่พัฒนามากกว่า 100 รายการ
(นึกในใจ เอ๋ แล้วธนาคาต่างๆออกมาโปรโมท เป็น smart banking หรือ Bank 4.0 แล้วนั้นคืออะไร)
(นึกในใจต่อ แล้วที่บอกว่า เข้าใจลูกค้า นั้นคืออะไรฟ่ะ )
แล้วบอกว่ามีแผนในการพัฒนาแต่ไม่รู้ว่า เมื่อไร (อ้าว! บอกแบบนี้มันคืออะไร คือแปลได้ว่าไม่ทำให้ใช่ไหมเนี่ย)
แล้วมาบอกต่อมีผู้ใช้งานหลายเจ้าก็ติดต่อมา เรื่องนี้เหมือนกัน แต่ทว่า อยู่ในคิว (สรุปคือ มีคนขอไปแล้วหลายครั้ง แต่ไม่ได้ซักครั้งหนึ่ง)
แล้วพูดไปพูดมา ถ้าขอข้อมูลย้อนหลังได้ไหม
ตอบกลับมาว่า ได้แต่ช้าหน่อยละกัน แต่ทำให้ Case by case (ในใจเดี๋ยวขอข้อมูลทั้งปี ละกันว่าอย่างไรหนอ)

งานนี้สรุปคือ ไม่ลงมือทำ/ไม่พัฒนาให้ จบไหม ปล่อยให้ลูกค้าดึงข้อมูลไปตาม ยถากรรม
เนี่ยแหละ โฆษณากับสิ่งที่ได้พบเจอะเจอมาคนละเรื่องเดียวกัน

:)
:)
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 431

โพสต์

การกินตัวเอง เพื่อเติบโต
การกินตัวเองเพื่อเติบโตนั้น มันคือการที่ยอมเฉือนรายได้ในปัจจุบัน เพื่อที่ตัวบริษัทเติบโตต่อไปในอนาคต
โดยเมื่อการทำเช่นนี้แล้ว คู่แข่งต้องล้มหายตายจากไปด้วย ไม่ใช่ว่าคู่แข่งก็ยังคงอยู่ (คำว่าคู่แข่งในที่นี้อาจจะเป็นไม่ใช่คู่แข่งโดยตรง แต่เป็นผู้แข่งในด้านสินค้าทดแทนหรือใช้สอยได้เหมือนกันซักทีเดียว)

ในต่างประเทศก็พบกันบ่อยเช่น ตอนที่ Sony ออก Blue Ray แล้วต้องโยนธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ แผ่น DVD หรือ CD ทิ้ง หรือการพัฒนาเครื่องเล่นเกม Play Station แต่ทว่าไม่สามารถเอาเครื่องเก่าๆของตัวเองมาเล่นบนเครื่องใหม่นี้ได้

เมื่อเกิดการกินตัวเอง เพื่อเติบโตต่อไป ต้องทำตัวเช่นไร ก็ต้องคิดว่า บริษัทที่เราลงทุนหรือเป็นเป้าหมายนั้น ทำไปเพื่ออะไร แล้วสิ่งที่ได้รับมาคืออะไร แล้วไม่เพียงแค่นี้ คู่แข่งทั้งทางตรงกับทางอ้อมเป็นเช่นไร
เติบโตไปพร้อมกับเรา หรือ ล้มหายตายจากไปเลยเลย
ดังนั้น การกินตัวเอง ไม่แปลก แต่กินแล้ว เติบโตต่อไปหรือเปล่า ก็น่าคิดยอยู่
:)
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 432

โพสต์

กระแสออเจ้า มาทันเวลาพอดีหรือเปล่า

นักลงทุนหลายต่อหลายท่าน เมื่อเห็นกระแสของละครย้อนอดีต ตอนแรก งง ว่า อะไรคือ ออเจ้า ทำไมกระแสแรงขนาดนี้ มันต้องทำให้บริษัทกลับมาสู่เส้นทางปกติได้หรือเปล่า
แต่ผมมองอีกด้านหนึ่ง กระแสออเจ้า มาได้ถูกเวลาอย่างมากๆ เพราะ อะไรที่บอกแบบนั้น กระแสมันเริ่มจากงานอุ่นไอรัก ที่ก่อนออเจ้าออกอากาศประมาณ 1-2 อาทิตย์ มีสัญญาณอะไรบางอย่างเกิดขึ้น คือ คนไทยแต่งชุดไทยไปไหนต่อไป กระแสการเช่าชุดไทยมาก่อน กระแสละคร ซึ่งที่เห็นได้ชัดเจนคือตอนที่ไปทำ Passport ในวันหยุดราชการ
ถึงกับมีประชาชนแต่งชุดไทยมาทำ Passport เลยทีเดียว
ต่อจากงานอุ่นไอรัก ก็ตามมาด้วย กระแสออเจ้า
อันนี้ถ้าย้อนกลับไปในอดีต ยุคจอมพล ป. พิบูลสงครามเป็นนายก เลยทีเดียว
สิ่งหนึ่งที่ซ่อนภายในกระแสนี้ คือกระแสชาตินิยม ที่ไม่ค่อยได้เห็นตั้งแต่ ภาพยนต์สุริโยทัย หรือ ภาพยนต์ ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช หรือภาพยนต์บางระจัน รวมถึง ละครบางระจัน ที่ออกฉายเลยทีเดียว
แต่ทว่า กระแสออเจ้ารอบนี้ยิ่งกว่า ช่วงละครหรือภาพยนต์ที่กล่าวมา เพราะอะไร เพราะ ผู้คนออกเดินทางไปลพบุรี หรือ อยุธยา (สถานที่จริงๆ ในประวัติศาสตร์เพิ่มขึ้น)
กลับมาที่เรื่องของเวลา ละครจบในช่วงเวลาของเทศกาลสงกรานต์พอดี ซึ่งเป็นเทศกาลสำคัญของไทย

ตอนนี้ทุกคนกำลังคอยดูว่า กระแสดังกล่าว จะเริ่มตลาดวายเมื่อไร ในเมือปลุกกระแสมาแบบนี้เลย
ย้อนกลับไป เมื่อปีที่แล้ว ละครเรื่องนาคี อันนี้ก็สร้างกระแสไปเที่ยวสถานที่จริงตอนจนเรียกได้ว่า
อะไรที่เกี่ยวข้องพญานาค ต้องไปกราบไหว้ หรือ ต้องไป ให้รู้ว่าคืออะไรเลย จากกระแสละคร
ไม่เพียงแค่นั้น เทศกาลที่เกี่ยวกับพญานาคเป็นที่รู้จักเพิ่มขึ้นในแวดวงสังคมไทย

่ก้าวต่อไปของละครเรื่องนี้คือ ยังมีละครเรื่องอื่น ที่มีกระแสดีแบบนี้ในปีนี้ หรือไม่
ถ้าหากไม่มี ละครนี้คือละครแห่งปีที่ ทุกเวทีประกวดรางวัลที่เกี่ยวกับโทรทัศน์ ได้รับรางวัลแน่นอน
เป็นสิ่งที่น่าติดตามอย่างยิ่ง
:)
:)
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 433

โพสต์

ภาค 2 ของสงครามซีเรีย
ตอนนี้อยู่ระหว่างภาค 2 ของสงครามซีเรีย ทำไมถึงต้องเป็นภาคที่ 2 นั้น เพราะว่า ตอนนี้คนที่หนุนหลังของแต่ละฝ่ายออกโรงลงมาต่อสู้กัน (แสดงยุทธโธปกรณ์) ที่ประเทศซีเรีย กัน
โดยภาคแรก นั้นแบ่งเป็นสองภาคย่อยคือ
ย่อย1 คือสงครามตัวแทน โดยฝ่ายรัฐบาล นั้น หนุนโดยรัสเซีย และฝ่ายต่อต้านหนุนด้วยชาติตะวันตก ที่ใกล้ชิดกับ อเมริกา ย่อย1 นี้ รัฐบาลเสียศูนย์อย่างหนักเลย จนถอยรนตลอดเลย จนกระทั่ง
ย่อย 2 รัสเซียส่งของหนักไปช่วยเหลือ คือ ตั้งฐานทัพ แล้วจัดการเอง อันนี้แสดงให้เห็นถึงอาวุธของรัสเซีย
ไล่ตั้งแต่ เครื่องบินทิ้งระเบิด ตั้งแต่ยุคสงครามเย็น (ยังใช้งานได้อยู่ละน่า) จนถึงปัจจุบันที่ใช้งานอยู่ บินอ้อมมาทิ้งระเบิดและปิดกลับฐานทีมั่นในรัสเซียหรือภายนอกประเทศ
เรื่อบรรทุกเครื่องบินของรัสเซียที่มีลำเดียว แต่ทว่าไม่ใช้บรรทุกเครื่องบินอย่างเดียว แต่สามารถเป็นเรือรบได้ในตัวเอง
โดยบรรทุกเครื่องบินรบมาเต็มอัตรา เพื่อไปทิ้งระเบิด ฐานที่มั่นกลุ่มต่อต้าน
มีการแสดงการยิงจรวดร่อน ซึ่งประจำการตั้งแต่สมัยยังไม่โซเวียต ยิงจากเรือรบ และ เรือดำน้ำ (US แสดงให้เห็นบ่อยในช่วงหลังๆที่มีสงคราม)
ส่งทหารประจำการในซีเรีย แถมส่งเครื่องบินรบไปประจำการอีกต่างหาก
ไม่เพียงแค่นั้น มีภาพของรถถังที่แข็งแกร่งของ รัสเซีย ในการสู้รบครั้งนี้ เรื่องได้ว่าทนต่อการโดยยิง RPG ได้เลยทีเดียว ส่วนของอีกฝ่ายโดยแล้วยุบ เลยทีเดียว
มาตอนนี้ก็ฝ่ายรัฐบาลตีโต้ เริ่มยึดพื้นที่คืนได้
จนกระทั่งเหตุที่ต้องเกิดภาค 2 คือ ข้อหาการใช้อาวุธเคมี ที่ทำลายฝ่ายต่อต้าน
เลยเกิดภาค 2 เกิดขึ้น
งานนี้มีสามชาติ ส่งมาประกวดคือ US,อังกฤษและฝรั่งเศส
แต่ที่น่าแปลกใจว่า อังกฤษกับฝรั่งเศสไม่ส่งเรือบรรทุกเครื่องบินของตัวเองมาด้วย ส่งแค่เครื่องบินมาทิ้งระเบิดเท่านั้น แถมอังกฤษนั้นไม่ขออนุมัติการโจมตรีจากสภาเสียก่อนด้วย งานเลยเข้าอยู่
รอบนี้เป็นการออกของ คือ ส่งเครื่องบินไปทิ้งระเบิด และ จรวจร่อน ยิงไปเป้าหมายโรงงานสร้างอาวุธเคมี

ตอนนี้เลยต้องดูว่า รบกันจริงหรือ แค่สร้างสถานการณ์เท่านั้น
:)
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 434

โพสต์

อิทธิฤกษ์ออเจ้าตอนจบ
ผลการออกสลากกินแบ่งรัฐบาล งวดประจำวันที่ 16 เมษายน 2561
รางวัลที่ 1 คือ 739229 มูลค่า 3,000,000 บาท
ตอนจบของละครบุพเพสันนิวาส เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2561 นั้น
ผู้แสดงที่เป็นเจ้าพระยาโกษาธิบดี (ปาน) สอบถาม เจ้านางการะเกศ
ว่าเจ้ามาจากไหน แม่นางตอบว่า มาจากอนาคต ซึ่งเวลาล่วงเลยไป 329 ปี จากกาลที่อยู่
เลขนี้ดังทั่วบ้านทั่วเมือง (เราไม่นิยมการเล่นใต้ดินหรือบนดิน) ต้องบอกว่า
ไปแผงลอตเตอรี่ไหนก็ไม่มีเลขดังกล่าวเลย เรียกได้ว่าเกลี้ยงแผงตั้งแต่หัววันเลยทีเดียว
สังเกตว่า ไม่โดน3 ตัวท้ายแต่โดน 2 ตัวท้ายแทน
งานนี้ ออเจ้าคงดังไปทั่วพระนครกรุงเทพ ยิ่งกว่าเดิมละเนี่ย
เรียกได้ว่า กระแสไม่น่าจะตกในเร็ววัน รอลุ้นงวดหน้าละกัน ว่าใบ้อะไรอีกหรือไม่
:)
:)
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 435

โพสต์

มองไปข้างหน้าแล่ไปข้างหลัง
ตอนนี้เริ่มมีคำถามที่เกิดขึ้นในใจจากการที่ได้พูดคุยกับเจ้าของกิจการเล็กๆแห่งหนึ่ง ที่อยู่ในกระแสของเทคโนโลยี
บริษัท แห่งนี้มีเป้าหมายที่ชัดเจนในการทำธุรกิจคือ ไม่มีฝ่ายขาย และไม่ใช่ Outsource ในการขายด้วย
อันนี้ขัดแย้งกับความรู้สึกของคนทั่วไปว่า เปิดบริษัทก็ต้องมีขาย บลาบล๊า .... แต่บริษัทนี้ไม่ต้องมีฝ่ายขาย
แต่อยู่ด้วยลำแข้งของตัวเอง
แล้วรายได้มันมาจากไหน ขายได้หรือเปล่า คำตอบคือ เมื่อคุณเก่งจริง คุณแกร่ง คุณสามารถนำเสนอตัวตนที่แท้จริงในสังคมได้ และมันอยู่ในกระแสของโลกที่ต้องไป ไม่ต้องมีฝ่ายขายหรอก เดี๋ยวมันก็วิ่งมาเอง ถ้าคุณเก่งจริง แกร่งจริง เพราะมันปากต่อปาก เล่ากันสู่กันฟัง เหมือนหลายๆปรากฏการณ์ที่นักลงทุนเห็นๆ ป่าล้อมเมือง อยู่เพลงอะไรฟ่ะดังขึ้นมาได้ ลำไย แบบนี้
บริษัทนี้ ไม่ต้องการนักลงทุนที่กดดัน ต้อง make profit แต่ค่อยๆเติบโต ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ให้ได้ โดยตัวของมันเอง เรียกได้ว่า แนวความคิดนั้นถูกต้องเลยทีเดียว
ในเมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วไซร้ มองย้อนกลับไปดูข้างหลังของนักลงทุน ว่าเรานั้นมาจากไหน ลงทุนอะไรมา ทำไมบริษัทต้องเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ลองคิดดูละกัน
:)
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 436

โพสต์

ดูในมือถือว่า คุณใช้ Application อะไรบ้าง
ปัจจุบัน คนในเมืองส่วนใหญ่ เกือบทั้งหมด ถือ Smart Phone ไม่ว่าจะเป็น Anroid หรือ iOS ก็ตาม
ตอนแรก Application ที่สร้างมาใช้งานนั้น เรียกได้ว่า มีอะไรใหม่ คนก็โหลดและลองกัน ใช้แล้วดีก็บอกต่อ
พอไปได้ซักระยะหนึ่ง สังเกตจาก App store เริ่มไม่มีเรื่อง Top Gain /Top ... ทั้งหลายแล้ว
มันเกิดอะไรขึ้นหนอ แสดงว่า Application นั้น อิ่มตัวแล้วหรือเปล่า คนใช้งาน ไม่ต้องการ Application ที่มาเกินไปหรือเปล่า ต้องการ Application ที่เพียงพอ หรือพอใจสำหรับตัวเองเท่านั้นหรือเปล่า
มีเพียงแค่ Application ที่ใช้งานได้จริงๆเท่านั้น เพียงพอต่อการดำรงชีวิตแล้ว
มันเกิดอะไรขึ้นละเนี่ย แต่หากใครอยู่ในวงการ Computer มาก่อน ก็เคยมีปรากฏการณ์แบบนี้เกิดขึ้นแล้ว
ยิ่งยุคเพลง พันธทิพย์ ก็ยิ่ง บอกไว้ว่า ไม่ไปพันธ์ทิพย์ เพราะ .... เลยทีเดียว ซึ่งถ้าใครไปเดินเรียกได้ว่า
แผ่น... เพียบ แต่ปัจจุบันไม่เหลือแล้ว เพราะ โหลดได้แล้ว แถมมีมือถืออีกต่างหาก ด้วย

Application ที่มากับแผ่นในตอนนี้เรียกได้ว่า รักษาทุกโรค ใช้ได้ทุกงาน เพียงแค่ Click จนมีกระแสเรียกว่า ใช้ดีบอกต่อ แต่ก็อยู่ได้ไม่นาน ก็ซาลงไป ไม่ว่า Application อะไรก็ตาม มันคือมากเกินไป เกินความจำเป็นในการใช้งาน
ทำให้ พื้นที่จัดเก็บภายเครื่องคอมพิวเตอร์ไม่เพียงพอนั้นเอง ก็สอดคล้องกับปัจจุบันที่มือถือ พื้นที่จัดเก็บมีจำกัด คือ ต่ำสุดที่เจอะเจอในตลาดคือ 4 หรือ 8GB เรียกได้ว่าลง Anroid ก็แทบไม่เหลืออะไรให้ติดตั้ง Application อื่นๆที่โหลดมาแล้ว ต้องซื้อ SD Card เพิ่มเข้าไปอีก ตอนแรกก็คิดว่า OK กันแต่ใช้ไปใช้มา ก็บ่นกัน สาระพัน เลยทีเดียว

ตอนนี้เลยกลายเป็นว่า กระแสการเกิดขึ้นของ Application เริ่มลดลง การใช้ Application ก็เริ่มเป็น Application เดิมๆ แต่สิ่งหนึ่งที่กำลังจะมาคือ Portal แหล่งรวมข้อมูลของแหล่า Application พื้นฐานเหล่านั้น เช่น Access ค่าน้ำ รวมค่าไฟฟ้าได้ เป็นต้น มันต้องรวมมือกันระหว่างหน่วยงาน แบบนี้แหละถึงเกิดขึ้นได้ และตอบโจทย์ผู้ใช้งาน นั้นเหมือนยุคหนึ่งที่ Portal มาแรง แต่อันนี้คือการคาดการณ์ว่ากำลังจะเกิดขึ้น เท่านั้น รอดูกันต่อไปว่าเป็นเช่นไร
:)
:)
nut776
Verified User
โพสต์: 3350
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 437

โพสต์

miracle เขียน:ปรากฏการณ์แก้วเยติ
ปรากฏการณ์แก้วน้ำ ที่ขายกันเทน้ำเทท่าไปทุกทีที่มีตลาดนัด จะมีขายแก้วประเภทนี้เสมอ
ซึ่งปรากฏการณ์แก้วน้ำเยติ นั้นได้สังเกตเห็นประมาณเดือนพฤศจิกายน ต่อเดือนธันวาคม 2560
แก้วน้ำเยติเป็นแก้วน้ำขนาดค่อนข้างใหญ่ จุประมาณ ครึ่งลิตร (500 ซีซี) สามารถกักความร้อนหรือความเย็นได้
เป็นเวลานาน จนต้องมีคนไขข้อสงสัยว่าทำไมแก้วเยตินั้นสามารถกักเก็บความร้อนหรือความเย็นไว้ได้นานเพียงนั้น
เมื่อผ่าชันสูตรก็พบว่าภายใน ไม่มีอะไร มีแต่ช่องว่างระหว่างวัสดุที่ทำแก้วเท่านั้น ช่องว่างนี้แหละเป็นตัวกักเก็บอุณหภูมิมิให้ถ่ายเทความร้อนไปด้านนอกนั้นเอง
ราคาของแก้วเยตินั้น ร้อยปลายๆ ถึงสองร้อยกว่าบาท จนถึงสามร้อยก็มีวางขายกัน ขึ้นอยู่กับรุ่นของแก้ว หรือลายของแก้วเป็นสำคัญ
ปรากฏการณ์นี้เป็นที่น่าสังเกตว่า ทำไมถึงเกิดขึ้นได้ สินค้ามาขายดีตอนใกล้ปีใหม่ หลังปีใหม่ก็ยังคงมีกระแสของแก้วหลงเหลืออยู่ ทำไมเป็นเช่นนี้ เวลาเป็นเครื่องที่ตอบคำถามที่ได้ว่า เป็นเพราะอะไร แต่สิ่งสำคัญ ราคาที่ถูกกว่าแน่นอน ถูกกว่าของเดิมที่กระบอกเก็บความเย็นที่ใช้งานกันอยู่นั้นเอง (กระบอกเก็บความเย็นมีหลากหลายยี่ห้อ แต่พนักงานบริษัทชอบถือกัน เรียกได้ว่าอวดหรือมีอันจะกินก็ของสตาร์บัค ราคาร้อยบาทปลายๆ ถึงหลักพันบาทเลยทีเดียว
แต่หลังๆมีเจ้าอื่นๆ ก็ทำสินค้าซึ่งติดยี่ห้อของตัวเองมาขายเหมือนกัน
ทั้งราคาและคุณภาพของแก้วเยติ ทำให้กระบอกเก็บความร้อนขายไม่ออกไปเลยทีเดียว ถ้าหากใครไปห้องสะดวกซื้อ Bigc ตอนปลายปี ซื้อครบสินค้า 400 บาท สามารถแลกซื้อกระบอกเก็บความร้อนได้ที่ราคากระบอกละ 99 บาท ความจุ 400 และ 500 ซีซี แลกได้ 10 กระบอกต่อ 1 ใบเสร็จ เอามาลดราคาแบบนี้กันเลยทีเดียว ถ้าหากดูจากยี่ห้ออื่นๆ ก็ราคาต้องมีอย่างน้อยๆ 3xx-4xx บาท แต่ความจุไม่ใช่ขนาดนี้ คือประมาณ 200-300 ซีซีเท่านั้นเอง
บ้างสิ่งบางอย่างนั้น ถ้าไม่ได้สังเกตอาจจะไม่เห็นความเปลี่ยนแปลง อย่างเช่นกรณีนี้ก็เป็นไปได้
:)
นึกว่า แก้วเยติ ไว้ทำ น้ำที่แข็งเป็นวุ้นๆ สะอีก
ผมเข้าใจผิดหรือนี่ ถถถถ
show me money.
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 438

โพสต์

การเรียนรู้/การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม
เอาละมาพูดถึงเรื่องการเรียนรู้ของมนุษย์กับการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมซักหน่อย
การเรียนรู้ของมนุษย์นั้น เป็นการเรียนรู้ที่มาจากหลายหลากแหล่งความรู้ ไล่ตั้งแต่ประสบการณ์ตรงของตัวเอง
เพื่อตอบสนองความต้องการของตัวเอง /เรียนรู้จากประสบการณ์ของคนอื่นๆ ที่เคยพบพานเหตุการณ์นั้นๆ โดยเป็นการปรึกษา ให้เรานั้นเกิดการเรียรรู้ /เรียนรู้จากผู้ที่ประสบความสำเร็จ ในด้านนั้นๆ เช่นด้านการลงทุนเช่น Huge Fund ก็ โซรอส ด้าน VI( ปัจจัยพื้นฐาน) ก็บัฟเฟต การลงทุนในสำหรับกองทุนรวมก็ ปีเตอร์ ลินซ์ เป็นต้น
การเรียนรู้ของมนุษย์นั้นแต่ละครั้ง เมื่อเรียนรู้แล้ว ต้องเกิดการทำ ถ้าหากไม่ลงมือทำก็ไม่เกิด ประสบการณ์เรียนรู้ จำใส่หัวไปเดี๋ยวมันก็หายไป ถ้าหากไม่ได้ใช้งานนั้นเอง
ตอนแรกของการเรียนรู้เมื่อเรียนรู้เสร็จ แล้วลงมือทำในช่วงแรก จุดนี้มันช้า แต่เริ่มเร็วขึ้นเมื่อมีประสบการณ์ (การเกิดซ้ำๆ ในบริบทเดิมๆ บริบทคล้ายๆเดิม) จนกระทั่งอิ่มตัว ทำให้การเรียนรู้ของคนเหมือน S curve ไปด้วย
เมื่อเกิดการเรียนรู้แล้วก็ส่งผลต่อพฤิตกรรมของคนที่ต้องปรับเปลี่ยนไปด้วย หลังจากการเรียนรู้ เพราะว่า การลงมือทำนั้นเอง

ดังนั้น มีเกิดสิ่งใหม่มานั้น ต้องดูว่า การเรียนรู้มันช้าหรือเร็วนั้นเอง แล้วผลของการเรียนรู้นั้น ส่งผลต่ออะไร นั้นเอง
ทุกอย่างจบลงที่ ลงมือทำ ลงมือการถ่ายทอดประสบการณ์ที่พบพานมานั้นเอง
:)
:)
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 439

โพสต์

ฺBig Data ของภาครัฐ
ตอนนี้ Big data ของภาครัฐ เดินหน้าใส่เกียร์ 5 เลยทีเดียว แต่ทว่าสิ่งหนึ่งที่น่ากลัวคือ
ข้อมูลส่วนบุคคล ที่รัฐ ยังไม่มีกฏหมายคุ้มครองในเรื่องนี้ ดังนั้น ทำ Big data ไปตอนนี้ต้องดูเรื่อง
Data Privacy ไปด้วย กฏหมายยังอยู่ในช่วงร่างกฤษฏีกา (ครม รับหลักการของกฏหมายแล้ว)
กฏหมายฉบับนี้ทำให้ สิ่งที่เรียกว่า Insurance บูโรทัง (เหมือนๆ เครดิต บูโรทัง) ไม่เกิดขึ้นในประเทศไทย
มีแต่เก็บข้อมูลไว้เท่านั้น ไม่ได้ประมวลผลออกมาว่า เจ้าของทรัพย์สินที่ทำประกันภัยนั้น มีพฤติกรรมอย่างไร
เช่น ถ้าหากในอุตสาหกรรมประกันภัยรถยนต์นั้น ได้ประโยชน์ทันที ได้รู้ว่า พฤติกรรมการขับรถของเจ้าของ เป็นเช่นไรในอดีต สามารถคำนวณเบี้ยได้ถูกต้องทัน ณ วันที่เข้ามาใช้บริการ (ตอนนี้ ถ้าหากเจ้าของรถยนต์ย้ายค่ายประวัติก็โดน reset นับ 1 ใหม่) เข้าไปดูได้แต่ใช้งานไม่ได้ ถ้าประชาชนรู้ว่าใช้งาน ก็โดนฟ้องศาลปกครอง
เนื่องจากข้อมูลนี้ ผู้ครอบครองหรือ คปภ มิใช้บริษัทประกันภัยทุกแห่งเป็นเจ้าของข้อมูล บริษัทประกันภัย ส่งข้อมูลให้แก่ คปภ ทำเป็นที่เก็บข้อมูลเท่านั้น

ดังนั้น ถ้าหาก กฏหมายฉบับนี้ไม่เกิด BIG DATA ของภาครัฐ เกิดขึ้นแต่ก็ไม่ได้นำไปต่อยอดทางธุรกิจ เรียกได้ว่า อาจจะทำไป ใช้งานได้เฉพาะในหน่วยงานของรัฐเท่านั้น ซึ่งถ้าหากเพิ่มพูนมูลค่าทางเศรษฐกิจ ควรที่เปิดให้ภาคเอกชนได้ใช้ข้อมูลดังกล่าว ให้เกิดประโยชน์สูงที่สุด เหมือน ที่ BOT เปิดเผยข้อมูล โดยใช้ API ในการเรียกข้อมูลอยู่ในปัจจุบันนี้

อีกประการหนึ่งที่น่าห่วงใน BIG DATA ภาครัฐ ที่ต้องเจอเจอะคือ โครงสร้างข้อมูลมันมาหลากหลาย เรียกได้เก็บคนละอย่างคนละแบบ แล้วมันซับซ้อนกัน หรือ มาเป็นแบบไม่ใช่ข้อมูลดิบ มาเป็นข้อมูลสรุป มาให้ (เหมือนที่สำนักสถิติแห่งชาติทำในอดีตถึงปัจจุบัน ทำเป็นสรุปมาให้) อันนี้ก็เอาไปใช้ประโยชน์อะไรก็ไม่ได้

ไม่เพียงเท่านั้น คำว่า BIG DATA ไม่ใช่ว่า ทำ Application ขึ้นมาใช้งาน แต่ทว่าเป็นการนำสิ่งที่อยู่ เก็บมาตั้งแต่ ยุครัฐบาลเอาระบบ IT มาใช้งาน มาประมวลผล ว่าพฤติกรรมในอดีตจนถึงปัจจุบันเป็นเช่นไร ไม่ใช่ว่าขอเงินงบประมาณมาทำ Application ต่างๆ นานา เพื่อแก้ไขปัญหาในกระบวนการทำงาน แต่คำว่า BIG DATA มันคือการนำข้อมูลที่เก็บบนหิ้ง นำมาวิเคราะห์ หาความสัมพันธ์ ระหว่างกัน (ภาคต่อของ BI=Business intelligence ในอดีต)
แต่คราวนี้มันหาความสัมพันธ์ไม่ใช่เฉพาะ ข้อมูลได้เท่านั้น มันหาความสัมพันธ์ที่เป็นรูปภาพ ,เสียง ข้อความ ,DNA ที่เป็น object (object อันนี้คือ สิ่งที่ โปรแกรมสามารถอธิบายพฤติกรรม,คุณสมบัติ ,สิ่งที่สามารถทำงานได้ หรือ function การทำงาน ได้ ตัวอย่างเช่น object :รถยนต์ มีคุณสมบัติคือ สี,รุ่น.... พฤติกรรมคือ จอด,เดินหน้า,ถอยหลัง ..... สิ่งที่ทำได้ พาเราไปในสถานที่ที่ต้องการ,ซ่อมบำรุงมันให้อยู่ เป็นต้น)
ตัวอย่างที่เอามาวิเคราะห์เรื่อง object มีใน Youtube เช่นวิเคราะห์ ภาพยนต์ว่ามีฉากที่คนประทับใจไหม ,เสียงที่ทำให้คนอารมณ์ดี หรือ นอนกหลับสนิท เป็นต้น

เอาแหละ ให้ข้อมูลเพียงพอแล้ว ต้องดูกันต่อไปว่า BIG DATA ที่รัฐ เน้นหนักเน้นหนาในเรือ่งแผนการปฏิรูปที่ออกมานั้นเดินหน้าไปถึงฝันได้แค่ไหน เพราะมันซ่อนในทุกด้านของการปฏิรูปเลย

:)
:)
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 440

โพสต์

ชุดที่หนึ่ง ช่วงความถี่วิทยุ ๑๗๔๐ - ๑๗๕๕ MHz คู่กับ ๑๘๓๕ - ๑๘๕๐ MHz
ชุดที่สอง ช่วงความถี่วิทยุ ๑๗๕๕ - ๑๗๗๐ MHz คู่กับ ๑๘๕๐ - ๑๘๖๕ MHz
ชุดที่สาม ช่วงความถี่วิทยุ ๑๗๗๐ - ๑๗๘๕ MHz คู่กับ ๑๘๖๕ - ๑๘๘๐ MHz
ผู้ขอรับใบอนุญาตแต่ละรายมีสิทธิยื่นประมูลคลื่นความถี่ได้ไม่เกินหนึ่งชุดคลื่นความถี่ หรือ๒ x ๑๕ MHz เท่านั้น
โดยถ้าหากประมูล 3 รายก็ใช้ชุดที่หนึ่งกับชุดที่สองในการประมูล
ถ้าหากประมูล 2 รายใช้ชุดที่หนึ่งในการประมูล
ถ้าหากประมูล 1 รายใช้ชุดที่หนึ่งในการประมูล
ราคาเริ่มต้น 37,457,000,000 บาทต่อชุด
ราคาเพิ่มขึ้น 75,000,000 บาทต่อการเคาะ 1 ครั้ง โดยราคาเพิ่มขึ้นแน่นอน 1 ครั้ง
จ่าย 3 งวด : 50/25/25
ถ้าหากไม่เอา จ่าย 5,620,000,000 บาท
หลักประกันซอง 1,880,000,000 บาท
ผู้ชนะการประมูลมีคลื่น 1800 ใช้งานได้ถึง จนถึงวันที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๗๖ (15 ปีโดยประมาณ)
ต้องไปดูว่าใครที่ต้องการคลื่นชุด 1800 MHz บางละเนี่ย

อ้างอิง
ประกาศคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่สำหรับกิจการโทรคมนาคม ย่าน ๑๗๔๐ - ๑๗๘๕ /๑๘๓๕ - ๑๘๘๐ MHz
http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/ ... /103/1.PDF
:)
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 441

โพสต์

เตือนสตินักลงทุนกันหน่อยละกัน ในช่วงเวลานี้
ก่อนหน้านี้กระแสเรื่อง Disruption มาแรงมากๆ แต่ทว่า ความเป็นจริงแล้ว การ Disruption ได้แต่ละสิ่งแต่ละอย่างนั้น มันมีสิ่งอะไรที่ประกอบละ
สิ่งที่ประกอบ มันต้องมี
1. Pain point ของสังคมที่แก้ไขแบบว่า ใช่ /โดน /ตรงประเด็นมากๆๆ
นั้นคืออะไร โจทย์ทางธุรกิจ พบ/เจอะเจอกับบริษัทที่นำเทคโนโลยี่ หรือเทคนิคมาตอบโจทย์นั้นเอง
2. timing เวลาเหมาะสม ในการดำเนินการธุรกิจใหม่ที่ทำตัวเป็น Disruption ตัวธุรกิจเดิม
อันนี้ต้องบอกได้ว่าเกี่ยวข้องกับ Ecosystem คือสิ่งแวดล้อมที่เหมาะกับการเติบโตของ Disruption นั้นเอง
ไม่ใช่แค่มีช่องว่างแล้วแทรกตัวเข้าไปแต่ทว่า มันไม่ใช่แค่ช่องว่าง แต่เป็นทางเดินไปสู่ความสำเร็จเลยก็ว่าได้
3. พฤติกรรมของผู้บริโภคหรือใช้งาน ที่ไปเปลี่ยนแปลงได้น้อยมากๆ ถ้ามันเหมาะสมแล้วก็ใช้งานได้เลย

ตัวอย่างที่ยกมาคือ รถยนต์ไฟฟ้าทำไมตอนนี้ที่เมืองไทยยัไม่มาแรงเหมือนที่อื่นๆ เพราะว่า
รถยนต์ไม่ใช่ประเด็นแต่เป็นประเด็นคือ Ecosystem ที่ยังไม่พร้อม
ระยะเวลาในการเติมพลังงาน สถานที่ในการพักระหว่างทางรอ
มันก็น่าคิดว่า ถ้าหาก GAP มันหมดไปแล้ว มันมาแน่นอน แต่ช้าไปหน่อยหรือเปล่าน่าคิด

อีกตัวอย่างหนึ่งคือ AR/VR แว่นตา อันนี้ต้องบอกว่า มาช้ามาก อยู่ในแวดดวงของการฝึกอบรมพนักงาน (Training) หรือการจำลองเท่านั้น เป็นแค่เฉพาะเจาะจง ไม่สามารถทำตลาดเป็นตลาดทั่วไปได้ในเร็วนี้ๆ
อันนี้ขาดอะไร ขาดพฤติกรรมของผู้บริโภค นั้นเอง
มีคนกำลังคิดว่า แล้วอสังหา มาใช้งานในด้านตัวอย่างของคอนโดมิเนี่ยม กับ บ้าน แต่ทว่า อย่าลืมว่า
คนทั่วไปซื้อของที่มีมูลค่าสูงก็ต้องให้เห็นก่อนว่าเป็นเช่นไร นั้นเอง
เห็นจำลองแล้ว โอเค แต่สร้างจริงอีกเรื่อง ก็ไม่ต้องไปรับโอนกันนั้นเอง

สำหรับกิจการบ้างแห่ง ก็แทงกั๊ก คือ ตัวเองทำโลกเดิมแล้วมีเงินเหลือไปลงทุน นั้นเอง แทงกั๊กไว้
ในต่างประเทศก็ให้เห็นแล้วคือ yahoo เดิมนั้นเอง
:)
:)
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 442

โพสต์

ผู้ปิดทองหลังพระของบริษัทจดทะเบียน
ถ้าหากใครอ่านรายงานผู้ตรวจสอบบัญชี ตั้งแต่ปี 2559 ซึ่งเป็นปีที่นักลงทุน งงเป็นไก่ตาแตกว่า
อะไรเนี่ย รายงานผู้ตรวจบัญชีทำไมยาวมากกว่าเดิม ของเดิมมี 6 วรรค หรือ 3 วรรค ยาวไม่เกิน 1-2 หน้ากระดาษแบบ A4 แต่ทำไมตอนนี้ (ปี 2559) มาที 3-6 หน้าเป็นอย่างต่ำ นักตรวจสอบบัญชีสารยายอะไรกันเนี่ย
แล้วทำไมต้องสารยายแบบนั้นด้วย นักลงทุนเอง ก็บอกว่าอ่านแล้วไม่เข้าใจว่า มันคืออะไรในช่วงเวลานั้น
แต่ถ้าหากอ่านดีๆ มันคือ ขุมทรัพย์ เป็นตัวชี้ ความเสี่ยงของบริษัท ว่า มีความเสี่ยงในเรื่องอะไรที่ นักตรวจสอบบัญชี เน้น แต่ไม่ได้ หมายความมันมีทุจริต ในจุดนั้น แต่ที่เน้นเพราะว่า มูลค่ามันมากในงบการเงิน จึงต้องเขียนออกมาซักหน่อย เพื่อเน้นว่า นักตรวจสบัญชีนั้น ได้ดำเนินการตรวจลงรายละเอียดแล้ว

ในการเขียนครั้นนั้น การปรากฏกายของทีมงานผู้ปิดทองหลังพระปฏิมา ก็ปรากฏกายขึ้น นั้นคือ ฝ่ายตรวจสอบภายใน มาอยู่ในรายงานผู้ตรวจสอบบัญชีในคราบของขั้นตอน/กระบวนการตรวจสอบภายใน
ผู้ปิดทองหลังพระฝ่ายนี้ ทุกครั้งที่เปิด โครงสร้างองค์กร (เน้นว่าบริษัทจดทะเบียนในตลาด(ห)ลักทรัพย์แห่งประเทศไทยนั้น) ขึ้นตรงกับ Board ของบริษัท ลอยออกมาเลย เพราะอะไร ฝ่ายตรวจสอบนั้นรายงานตรงกับ คณะกรรมการอิสระ จุดนี้แหละที่นักลงทุนสงสัยว่า ทำไมต้องเป็นแบบนั้นละ จ้างมาก็เปลืองเงิน เสียเงินเสียทอง
แต่ทว่า บทบาทของฝ่ายตรวจสอบภายในนั้น โคตะระ สำคัญเลย

เมื่อก่อน หน่วยงานนี้ เรียกได้ว่าเป็นสุสานของพนักงานไม่เอาถ่านภายในองค์กร แถมคนนอกมองเลยว่า เอ๋! เราเจอะเจอหน่วยงานแค่จับผิด หรือ มีปัญหาทุจริต แล้วตั้งสอบสอนกัน หน่วยงานก็โพล่หัวออกมาให้เห็นซักที
แต่ปัจจุบัน เป็นผู้ที่ปิดทองหลังพระ เปิดเผยตัวไมไ่ด้ สูสิงกับใครก็ไมไ่ด้ เดี๋ยวมันจะล้ำเอียง ไม่เป็นอิสระ เมื่อไปตรวจสอบนั้นเอง

ฝ่ายตรวจสอบนั้น ตรวจสอบเพื่อให้ทุกฝ่ายมั่นใจว่า ความเสี่ยงไม่กระทบต่อบริษัท เอ๋! เดี๋ยวก่อน แล้วกรณีที่พูดกันให้กลัวคือ กรณีของโกดัก เกิดไหม บอกว่าเกิด เพราะความเสี่ยงนั้นไม่ได้ถูกค้นพบในเวลานั้นๆ และตอบสนองต่อความเสี่ยง ไม่ได้ทันถ่วงที (ทันเวลา เหมือนคนที่เป็นเส้นเลือดในสมองตีบ ต้องไปพบแพทย์ภายในเวลา 2 ชั่วโมงเพือ่ฉีดยาตัวหนึ่ง ให้ทุเลาเบาบางลงะนั้นเอง) หรือไม่ทันเวลานั้นเอง หรือไม่ผู้บริหาร(มองโลกในแง่ดี)ว่า ความเสี่ยงนั้นยังไม่เกิดขึ้นหรอก มันเป็นไปไมไ่ด้ที่เกิดขึ้น งานนี้ก็งานเข้าเหมือนกัน

ดังนั้น นักลงทุน ควรที่ลุกขึ้นถาม คณะกรรมการอิสระ ในเรื่องการตรวจสอบภายในบ้าง โดยกระทบมาจจากผู้ตรวจสอบัญชี ว่า ทีมงานลงไปตรวจสอบอย่างไร ถึงทำให้ ผู้ตรวจสอบบัญชี เขียนเป็นรายงานออกมาได้
มองอีกด้านหนึ่ง ให้คณะกรรมการอิสระ ทำงาน พูดกับผู้ถือหุ้นบ้าง ไม่ใช่ว่า ฝั่งฟากของผู้บริหารระดับ C Level มากล่อมให้ฟังเท่านั้น เดิี๋ยวเคลิ้มมากเกินไป ต้องหาคนที่คานอำนาจด้วย นั้นเอง

สังเหตได้ว่า ระยะหลัง หากบริษัทไหนที่เกร็ง ก็มีฝ่ายตรวจสภายในที่แข็งไปด้วย

เอวังด้วยประการฉะนี้
:)
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 443

โพสต์

ตัวเลขเติบโตทางเศรษฐกิจ

อันนี้มุมมองส่วนตัว ทั้งหมดจากด้านจิตวิทยาการลงทุน
ตัวเลขทางเศรษฐกิจนั้น ทางนักลงทุนสนใจตัวเลขคือ GDP อย่างมาก
สำหรับไทยนั้น ในระยะหลังคือ ตัวเลจ GDP ที่ประกาศในช่วงไตรมาส 1 ของทุกปีนั้น
ประกาศออกมาสูง กว่าแล้วค่อยปรับลง ตลอดมา ทำให้นักลงทุนมีมองมุมว่า
เดี๋ยวต้องปรับลดลง เหมือนเรื่องจิตวิทยาที่ว่า เราได้รับอิทธิพล จากเรื่องที่เกิดขึ้นล่าสุด นั้นเอง
สิ่งที่รัฐต้องสร้างในเรื่องนี้คือ ความเชื่อถือว่า ตัวเลขที่ประกาศ GDP นั้นเป็นตัวเลขจริง
ไม่ใช่ตัวเลขที่ประกาศออกมาปรับลดลงต่อเนื่องจน ไตรมาส 4 คือยอดทั้งปีนั้น เป็นตัวเลขที่ต่ำที่สุด

อีกอย่างหนึ่ง GDP เพิ่มขึ้น แต่ทว่า ทุกคนบ่นว่า เงินมันอยู่ไหนละ ไม่ได้ มีส่วนกับเงิน ตามที่ GDP บอกเลย
จุดนี้แหละที่น่าสนใจเพราะว่า ตัวเลขเงินเฟ้อ ถูกปรับจาก BOT ที่ไม่รวมราคาน้ำมันเข้าไปนั้นเอง
อันนี้ BOT เอาราคาน้ำมันออกจากตัวเลขเงินเฟ้อ มาตั้งแต่ครั้นที่น้ำลดลง ครั้นล่าสุดนั้นเอง
แต่พอ ราคาน้ำมันเพิ่มขึ้น กลับไม่เอาไปใส่คืนด้วย ทำให้เงินเฟ้อที่ประกาศออกมาต่ำเกินไป
ไม่เพียงแค่นั้น พนักงานได้ปรับเพิ่มเงินเดือนต่ำกว่าความเป็นจริงด้วย เพื่อให้ต้นทุนมันไม่เพิ่มมากชึ้น
กลับกลายเป็น งูกินหางในช่วงนี้ไปนั้นเอง

อีกสิ่งที่น่าบอกไว้คือ คนที่ทำให้ GDP เร่งขึ้นคือ รัฐเป็นตัวชักนำอยู่เสมอ เอกชนเริ่มมีเล็กน้อย
แต่การบริโภคนั้น ดูจาก การซื้อรถยนต์ มันก็แปลกๆ เพราะตอนนี้ 0% ประมาณ 84 เดือนในบางรุ่นและบางยี่ห้อ
แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกับภาพที่มันสวนทางกันแบบนี้หนอ มันก็แปลกดี บอกว่ารถยนต์ขายดี แต่ทว่า มี 0% ยาว 84 เดือนเลย แล้วใครได้อะไรจากการทำแบบนี้หนอ

ยิ่งนับวันยิ่ง ???? เหมือนกับคำว่า Thailand 4.0 และ Digital Transformation จริงๆ
:)
:)
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 444

โพสต์

2008 กลับมาหลอกหลอนหรือเปล่าหนอ
ยังจำได้ไหม เดือน ตุลาคม 2008 เป็นเดือนที่ติดลบทุกวันในเดือนนั้น
ติดลบไม่พอ SET ทิ้งไว้คือ เซอร์กิตเบรกเกอร์ ครั้งที่ 2 ในประวัติศาสตร์ อีกต่างหาก
ซึ่งวิกฤติในรอบนั้น เป็นวิกฤติมาจาก Sub Prime ต่อด้วย เลแมน ล้ม เข้า มาตรา 7

ปัญหาที่เกิดขึ้นนั้นอยู่ท้ายรัฐบาลของ บุช ผู้ลูก ต่อมา โอบาม่า มารับ ช่วงต่อ
ก็อัด QE เป็นต้นมา ทำให้เงินล้นโลก เมื่อเงินมันโดนอัดเข้าระบบเศรษฐกิจ ก็ต้องหาที่ไป
เงินก็มาหาผลตอบแทนที่สูงกว่า ในทุกสินทรัพย์ ทุกประเภท ทำให้ราคาทุกอย่างลดลง
เนื่องจากมันต้องแปลงเป็นเงินให้ได้ ไม่งั้นอดตาย

มาเทียบกับตอนนี้ เรียกได้ว่า ตอนนี้ยังมีเขียว แต่ทว่า เขียวแบบว่า เขียวเพราะอะไร ยังงงอยู่
ตอนนี้หวังว่า เราไม่ได้นั่งอยู่วิกฤติ ที่เริ่มต้นด้วย สงครามทางการค้า อาจจะจบด้วยสงครามหรือเปล่าต้องลุ้น
เพราะว่า ประเทศแต่ละประเทศนั้น สะสมอาวุธ ไม่เพียงแค่อาวุธธรรมดา แต่เป็นอาวุธ หนักเช่น เรือบรรทุก ฮ.,เรือบรรทุกเครื่องบิน ,เรือดำน้ำ .... เรื่อยมาเลยทีเดียว ออกทะเลไปซักไกลเลยเรา

ตอนนี้ได้แต่หวังว่า ลงมาขนาดนี้แล้ว มันจบ หรือ ต้องรอให้ขึ้นดอกเบี้ยเสียก่อนหนอ
:)
:)
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 445

โพสต์

วาระแห่งชาติ ที่ถ้ำหลวง
ตั้งแต่ปี 2554 เป็นต้นมา ไม่เห็นวาระแห่งชาติที่หลากหลายหน่วยงานทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ทหาร ตำรวจ ตชด ภาคประชาชน มาร่วมไม่ร่วมมือ เหมือนครั้งนี้เลย เรียกได้ว่า ทุุ่มทั้งหมดทั้งประเทศ ไม่เพียงแค่ประเทศไทยเท่านั้น
ต่างประเทศก็ส่งผู้เชี่ยวชาญ มาร่วมไม้ร่วมมือในปฏิบัติการพิเศษครั้งนี้ ที่ถ้ำหลวง

ต้องบอกว่า ไชโย ในเรื่องการค้นหาคือพบแล้ว แต่ยังไม่จบ ต้องรอนำตัวกลับออกมาจากถ้ำหลวง และรักษาพยาบาลต่อไปจนกลับสู่สังคมได้นั้นเอง
:)
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 446

โพสต์

อาการของวิกฤติทางเศรษฐกิจ เมื่อปี 2540 กับปัจจุบัน
อันนี้คือรวบรวมสาเหตุที่เกิดปัญหาต้มยำกุ้งกับปัจจุบัน
1. การเพิ่มขึ้นของราคาที่ดิน แต่ในปัจจุบันเป็นการเพิ่มขึ้นของราคาคอนโดมิเนี่ยม
น่าสนใจว่า ราคาเพิ่มขึ้นกันแบบรวดเร็ว โดยเฉพาะพื้นที่ใจกลางเมือง
ฟองสบู่หรือไม่หนอ แต่ฝ่ายที่เกี่ยวข้องก็เจาะไปแล้ว ว่าห้ามปล่อยก็คนที่ซื้อหลังที่ 3
2. การใช้ margin ในการเล่นหุ้นในปี 2540 แต่ในปัจจุบันคือ Block trade
อันนี้เรียกได้ว่า เมื่อก่อน มีเงิน 100 ได้ margin 100 แต่ปัจจุบันมีเงิน 100 ทำ Block trade ได้ 10000
ถ้าราคาเพิ่มขึ้นก็ ไม่มีปัญหาอะไร แต่ราคาลดลง ก็ Force sale ดูไม่จืด
3. ทุนสำรองระหว่างประเทศ
อันนี้เหมือนกันคือ BOT เอามาแสดงให้เห็นว่าประเทศไทยแข็งแกร่ง
ก่อนต้มยำกุ้งบอกไว้ว่า ติดอันดับโลกว่า มีทุนสำรองเพียบ
ปัจจุบันก็เอาโชว์แบบนั้น
แต่ให้ไปดูข้อถนัดไปประกอบด้วยเด้อ
4. การขาดดุลทางการค้า แต่ปัจจุบันได้ดุลการค้า แบบมหาศาล
อันนี้คือความแตกต่างระหว่าง ต้มยำกุ้งกับปัจจุบัน แต่ทว่า คิดในรูปเงินดอลล่าร์เท่านั้น
ต้มยำกุ้ง ขาดดุลการค้า ในปัจจุบันเกิดดุลการค้า และ มีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวกเพียบเลย
5. จรรยาบรรณ และศีลธรรมในธุรกิจ และ มาตรฐานบัญชี
อันนี้ต้องบอกเลยว่า ไม่สามารถบอกได้ ในเรือ่ง จรรยาบรรณ และศีลธรรม
แต่ถ้าเป็นมาตรฐานบัญชี คือ ปี 2540 เราล้าหลัง แต่ปัจจุบันนี้ ต้องดูว่า ชาวบ้านเค้าใช้แล้ว
เราไม่ใช้ตามก็ถือว่าล้าหลัง เป็นช่องโหว่งได้ ในอนาคต ดังนั้นควรที่ใช้ ถึงแม้นว่าช้ากว่า 1 ปี
ไม่ใช่ช้าเป็น 2-5 ปี กว่าจะได้ใช้ดังเช่นในอดีต
6. BIBF ในปี 2535 แต่ปัจจุบันเป็น Bitcoin
อันนี้ต้องต้องดูกันต่อไป ว่าเป็นเช่นไร
Bitcoin นี้เสกดิจิตอล 0 หรือ 1 มีมูลค่าได้
แต่ BIBF นั้น เอาดอกเบี้ยต่ำจากต่างประเทศ (ต่ำติดดิน) มาปล่อยกู้ในประเทศที่ดอกเบี้ยแพง
แล้วกินส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ย
เปิดประตูเสรีทางการเงิน นั้นเอง
7. การขยายตัวของเศรษฐกิจร้อนแรง กับปัจจุบันขยายตัว ต่ำมากๆ
อันนี้ไม่ต้องพูดถึงมากอะไร
8. ประชากร ในตอนต้มยำกุ้ง ยังเป็นช่วงประชากรมีอัตราการเกิดสูงกว่าปัจจุบันนี้
ตอนนี้ กลายเป็นกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุแทนแล้ว
แรงงานขาดแคลน แล้วก็นำเครื่องจักรมาใช้งานแสดงคน

อันนี้ลองมองย้อนไปในอดีต ดูว่า ปัจจุบันแตกต่างกับอดีตอย่างไร
บางอย่าง ก็มองแล้วยังไม่ใช่ แต่ทว่า ต้องระวังไว้ก็ดี เพราะว่า
หลายต่อหลายอย่างนั้น เหมือนในอดีตแล้ว ที่เคยเกิดขึ้น
:)
:)
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 447

โพสต์

คณะกรรมการตรวจสอบ ทำไมต้องมีทุกบริษัทจดทะเบียน
คำถามนี้ นักลงทุนทุกท่านสงสัย ว่า กรรมการอิสระของบริษัท นั้นนั่งเป็นคณะกรรมการตรวจสอบ เกือบทั้งหมด
คณะกรรมการตรวจสอบชุดนี้ตอบคำถามในวาระการจัดหา ผู้ตรวจสอบบัญชี ของบริษัทเป็นหลัก
แต่ทำไมต้องมีหรือ
ต้องบอกว่า มีเป็นเรื่องของ การสร้างความเชื่อมั่นของบริษัท จึงต้องเชิญคนนอกที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญ
มานั่งในบริษัท ที่จดทะเบียน เพื่อ ให้ทุกภาค ทุกฝ่าย ทั้งภายในและภายนอก มีสิ่งที่ยึดเหนี่ยว ที่ช่องทางในการสร้างความเชื่อมั่น มีเรื่องทุจริตก็มีคนสอบสวนให้
คณะกรรมการตรวจสอบ นั้น ไม่เพียง จัดหาผู้ตรวสอบบัญชีเท่านั้น ยังมีหน่วยงานตรวจสอบภายในของบริษัท ขึ้นต้นด้วย หน่วยงานนี้ดูเรื่องความเสี่ยงของบริษัทเป็นหลัก ว่าบริษัทมีจุดควบคุมที่ดีพอ ในแต่ละหน่วยงาน แต่ละขั้นตอนการทำงาน หน่วยงานนี้ให้คำปรึกษา ว่าควรดำเนินการแก้ไขอย่างไร ปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานของแต่ละหน่วยงาน ของแต่ละฝ่ายอย่างไร
ดังนั้น คณะกรรมการตรวจสอบ ไม่ใช่ เป็นคณะกรรมการด้านบัญชี อย่างเดียว เท่านั้น ต้องเก่งด้านตรวจสอบภายในด้วย ซึ่งคณะกรรมการอิสระของบริษัทจดทะเบียน นั้น 1 ท่านต้องมีความรู้เรียกได้ว่า ระดับ เชี่ยวชาญ เลยทีเดียว
ในหนึ่งปี คณะกรรกมการตรวจสอบ ต้องคุยทั้ง ผู้ตรวจสอบบัญชี โดยที่ไม่มีคณะกรรมการบริหารเข้ารับฟ้ง ว่า มีเหตุขัดข้องที่ไม่สามารถดำเนินการได้ไหม และมีอะไรต้องปรับปรุงไหม บางอย่างผู้ตรวจสอบบัญชีการฝากให้หน่วยงานตรวจสอบภายในตรวจสอบให้ เนื่องจากเวลาน้อย หรือ เอกสารบางอย่างต้องอ่านเพิ่มเติม เพื่อให้แน่ใจว่า หน่วยงาน หรือ ขั้นตอนการทำงานนั้น น่าเชื่อถือหรือไม่ (บัญชีมีแต่ตัวเลข ไม่มีว่า กิจกรรมมันทำถูกต้องหรือไม่ ลงบัญชีถูกแต่กิจกรรมการทำงานผิดก็มีให้เห็น) หรือ หน่วยงานตรวจสอบภายใน ฝากให้ผู้สอบบัญชี ตรวจสอบข้อมูลบางอย่างเช่น เงินเดือนพนักงาน มีความผิดปกติหรือไม่ (เพราะบริษัทบอกว่าเป็นความลับ)

สารธยายมาตั้งนานในเรื่องคณะกรรมการตรวจสอบ ซึ่ง กลต และ ตลท ก็เน้น ว่า มีกรรมการอิสระที่นั่งเป็นคณะกรรมการตรวจสอบก็ต้องส่งเรื่องขอบเขต อำนาจ หน้าที่ มาให้ และเปิดเผยต่อนักลงทุน ว่าคณะกรรมการชุดนี้ทำอะไร
ไม่เพียงแค่นั้น ในรายงานประจำปี ก็มีเขียนไว้ ว่าคณะกรรมการตรวจสอบ นี้ ทำอะไร มีหน้าที่อะไร ขอบเขตแค่ไหน

สิ่งหนึ่งที่บอกเป็นลางได้คือ กรรมการตรวจสอบลาออก อันนี้ต้องดูให้ดี ว่าลาออกเพราะอะไร

ส่งท้ายคือ นักลงทุนต้องช่วยเหลือตัวเอง มิใช่รอผู้อื่นมาช่วยเหลือ
จงระวังไว้ดี เพราะมันเป็นเงินของท่าน
ไม่ใช่ว่ารุกอย่างเดียวต้องการกำไร แต่ลืมเกมรับคือระมัดระวังการศูนย์เสียเงินต้น
แต่ทว่าเวลามันสอนให้เรา ว่า เราควรรู้อะไรบ้าง ควรดูอะไรบาง นั้นเอง
แล้วเอาความผิดพลาดในอดีต มาสอนตัวเราเองว่า มันผิดพลาดที่จุดไหนหนอ
:)
:)
ภาพประจำตัวสมาชิก
thaloengsak
Verified User
โพสต์: 2716
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 448

โพสต์

ที่พึ่งที่ดีที่สุดของนักลงทุนก็คือ
ตัวนักลงทุนเอง
ลงทุนเพื่อชีวิต
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 449

โพสต์

thaloengsak เขียน:ที่พึ่งที่ดีที่สุดของนักลงทุนก็คือ
ตัวนักลงทุนเอง
ใช่เลยครับ เหมือน เหตุการณ์เรือล่มที่ภูเก็ตนั้น
ข่าวการช่วยเหลือทีมหมูป่าได้กลบข่าวนี้ไปเลยทีเดียว
เรื่องนี้ ละเอียดอ่อน ต่อ นักท่องเที่ยวจากประเทศจีนเลยทีเดียว
คำถามคือ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ลงมือช้ามาก ไล่ตั้งแต่กรมเจ้าท่า ที่เป็นเจ้าของเรื่อง
ส่วนหน่วยงานช่วยเหลือและค้นหาต้องชมอย่างมาก เพราะว่า กำลังอยู่ที่จังหวัดเชียงราย
แต่ต้องรับภาระกิจนี้เพิ่มเติมอีกต่างหาก

งานนี้คปภ ก็ยังไม่ขยับตัว ว่าดำเนินการช่วยเหลือนักท่องเที่ยวจากกรมธรรม์ที่มีอยู่อย่างไร
และบริษัทไหนที่รับผิดชอบแล้ว ดำเนินกาอย่างไร ไม่เห็นออกมาเหมือนครั้งก่อนหน้านี้
สงสัยข่าวไม่ใหญ่ แน่นอน เลยไม่มีใครดำเนินการ
:)
:)
miracle
Verified User
โพสต์: 18134
ผู้ติดตาม: 0

Re: แปลกใจ ช่วงนี้นักลงทุนคิดอะไรอยู่

โพสต์ที่ 450

โพสต์

EU กับการฟ้องเรื่องผูกขาดทางการค้า จาก MS สู่ GOOGLE

เรื่องนี้เป็นประเด็นที่เขียนในหนังสือหลายต่อหลายเล่ม ที่ได้อ่านมาและเปิดประเด็นไว้น่าสนใจอย่างมาก
ในสงครามของเครื่องคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะและพกพา (Desktop PC และ Notebook) นั้น
ตลาดนี้ผู้ที่ชนะในเรื่องระบบปฏิบัติการคือ Microsoft หรือ MS ไล่ตั้งแต่ MS-DOS จนเป็น MS Windows
ไม่ใช่ว่า MS ไม่มีคู่แข่ง แต่ทว่าคู่แข่งนั้น ไม่สามารถแข่งขันได้นั้นเอง คู่แข่งมีส่วนแบ่งการตลาดน้อย หรือเรียกได้ว่าเป็น ตลาดเฉพาะเจาะจงเลยทีเดียว
จุดนี้แหละที่ทำให้ MS โดน EU ฟ้องเรื่องผูกขาดทางการค้า และโดนค่าปรับ หลังจากโดน ก็ทำให้ MS
ขยับตัวลำบาก ไม่ทันต่อการเปลี่ยนแปลงในตลาด เพราะว่า ถ้าขยับแล้วส่วนแบ่งการตลาดมากไปก็โดนอีกครั้งหนึ่ง

มาในยุคของ Smart Phone คราวนี้ ผู้นำกลับกลายเป็น GOOGLE ที่มาในนามของ Anroid ก็โดน EU ฟ้องเหมือนกัน ว่าผูกขาดตลาด ไล่ตั้งแต่ GOOGLE Market ,Anroid เรียกได้ว่า โดน EU ปรับเหมือนกัน
ตอนนี้ GOOGLE กลายเป็นขยับอะไรลำบากเหมือน MS อีกครั้งหนึ่ง

จุดนี้น่าสนใจว่า ผู้ชนะเป็นผู้ได้ตลาดไปครองเกือบทั้งหมด แต่รัฐไม่ยอมให้ ผู้ชนะครอบครองตลาดได้ทั้งหมด
เพราะถ้าครองตลาดได้ทั้งหมด มันกลับกลายเป็นมีอำาจเหนือรัฐจริงหรือเปล่า มันก็น่าคิดอยู่เหมือนกัน
บางที่การใหญ่ของบริษัท มันก็ทำให้ สิ่งที่มองไม่เห็น เข้าควบคุมเหมือนกัน

คำถามที่สำคัญคือ GOOGLE จะเดินตามรอย MS หรือไม่ เป็นเรื่องที่น่าคิดอย่างยิ่งในตอนนี้
:)
:)