การลงทุนแบบเน้นคุณค่า เน้นที่ปัจจัยพื้นฐานเป็นหลัก
-
MarginofSafety
- Verified User
- โพสต์: 5786
- ผู้ติดตาม: 0
|0 คอมเมนต์
วันนี้เห็นนักวิเคราะห์ท่านหนึ่งหยิบดัชนีตัวนี้มาให้ดู
บอกว่าดัชนีความกลัวเริ่มปรับตัวลง แสดงว่าความกังวลเริ่มลดลง
เลยหยิบ Graph มาให้ดูกันเล่นๆครับ
จะเห็นว่า VIX กับ S&P500 แปลผกผัน (Negative Correlation) กันอย่างมีนัยสำคัญ
เดาเล่นๆว่า หาก SET ปรับตัวตามตลาดต่างประเทศ น่าจะมี Rebound ให้เห็นกันบ้าง
ดูกันเล่นๆนะครับ อย่าจริงจังมาก

"Winners never quit, and quitters never win."
-
yoyo
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 4833
- ผู้ติดตาม: 0
|0 คอมเมนต์
ถ้าเจ้า VIX นี่เป็น lead indicator คงดีนะครับพี่ HVI จะได้ดักทางล่วงหน้าได้ แต่นี่เราก็ยังไม่รู้อยู่ดีว่าวันพรุ่งนี้นักลงทุนจะกลัวหรือกล้า เลยยังซื้อขายหุ้นตามไม่ถูกซะที
ปล. พี่ HVI นี่อ่านเยอะจังนะครับ เจออะไรใหม่ๆมาให้เพื่อนได้อ่านกันอยู่ประจำเลย
-
nanchan
- Verified User
- โพสต์: 2938
- ผู้ติดตาม: 0
|0 คอมเมนต์
Ole Ole Ole
เฝ้าดูไป โดยใจที่เป็นกลาง
-
สามัญชน
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 5162
- ผู้ติดตาม: 0
|0 คอมเมนต์
มีใครนำทฤษฎี chaos มาทำนายดัชนีไหมครับน้องเฮ็ด......
เคยเห็นฮาริ เซลดอนใช้ทฤษฎีอนาคตประวัติศาสตร์ทำนายจิตวิทยามวลชนได้อย่างแม่นยำ ว่ากันว่าใช้ chaos เป็นรากฐาน(โดยไม่รู้ตัว)นะครับ
ทุกความเห็นย่อมเปลี่ยนไปตามความรู้ การเรียนรู้ย่อมไม่มีจุดสิ้นสุด
-
สามัญชน
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 5162
- ผู้ติดตาม: 0
|0 คอมเมนต์
สีเขียวคือความกลัวใช่ไหมครับ ผมดูแล้วรู้สึกมันเพิ่งจะเริ่มขึ้นนะ และยังขึ้นได้อีกเยอะ ไม่ใช่ลง .... หรือเปล่า ??????
ทุกความเห็นย่อมเปลี่ยนไปตามความรู้ การเรียนรู้ย่อมไม่มีจุดสิ้นสุด
-
MarginofSafety
- Verified User
- โพสต์: 5786
- ผู้ติดตาม: 0
|0 คอมเมนต์
[quote="สามัญชน"]มีใครนำทฤษฎี chaos มาทำนายดัชนีไหมครับน้องเฮ็ด......
เคยเห็นฮาริ เซลดอนใช้ทฤษฎีอนาคตประวัติศาสตร์ทำนายจิตวิทยามวลชนได้อย่างแม่นยำ
"Winners never quit, and quitters never win."
-
MarginofSafety
- Verified User
- โพสต์: 5786
- ผู้ติดตาม: 0
|0 คอมเมนต์
[quote="สามัญชน"]สีเขียวคือความกลัวใช่ไหมครับ
"Winners never quit, and quitters never win."
-
MarginofSafety
- Verified User
- โพสต์: 5786
- ผู้ติดตาม: 0
|0 คอมเมนต์
[quote="ba_2l"]Read Less, More TV
"Winners never quit, and quitters never win."
-
สามัญชน
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 5162
- ผู้ติดตาม: 0
|0 คอมเมนต์
เห็นดร.นิเวศน์(หรือบัฟเฟตต์ ไม่แน่ใจ)เคยบอกว่า ราคาหุ้นจะไต่กำแพงแห่งความกังวล
ความกลัวกับความกังวลน่าจะเป็นอะไรที่คล้ายๆกันและไปด้วยกันได้ กลัวทำให้เกิดกังวล กังวลก็ก่อให้เกิดความกลัว แต่กรณีนี้เท่ากับมันสวนทางกันเลยนะ ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น........
ทุกความเห็นย่อมเปลี่ยนไปตามความรู้ การเรียนรู้ย่อมไม่มีจุดสิ้นสุด
-
MarginofSafety
- Verified User
- โพสต์: 5786
- ผู้ติดตาม: 0
|0 คอมเมนต์
[quote="สามัญชน"]เห็นดร.นิเวศน์(หรือบัฟเฟตต์
"Winners never quit, and quitters never win."
-
สามัญชน
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 5162
- ผู้ติดตาม: 0
|0 คอมเมนต์
หมายความว่า ราคาจะขึ้นไปเรื่อยๆแม้จะมีความกังวลเป็นกำแพงคอยกั้นเป็นระดับๆก็ตาม
ไม่แน่ใจเหมือนกันครับว่าตีความถูกไหม 555 :lol:
แบบว่าตีความตามตัวอักษรอ่ะครับ อิอิ
ที่จริงมั่วหนะครับ....

ทุกความเห็นย่อมเปลี่ยนไปตามความรู้ การเรียนรู้ย่อมไม่มีจุดสิ้นสุด
-
ForrestGump
- Verified User
- โพสต์: 1435
- ผู้ติดตาม: 0
|0 คอมเมนต์
ที่ผมเข้าใจ ไต่กำแพงแห่งความกังวล คือ ถ้าคนกังวล จะทำให้ระมัดระวังตัว การซื้อหุ้นก็จะค่อยๆ ซื้อไปตามพื้นฐาน ไม่ใช่ซื้อด้วยความโลภแบบไม่มีเหตุผล ถ้าแบบนั้น ราคาระดับสูงจะอยู่ได้ไม่นาน และตกแรงในที่สุด ถึงจะน่ากลัวอย่างแท้จริง
จากบทความเรื่อง ข่าวร้าย ของ ดร.นิเวศน์ครับ
แต่หุ้นตกที่ผ่านมา ประโยคที่ผมได้ยินบ่อยมากคือ รู้งี้ๆๆๆๆ วันหลังนะ จะไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว ไม่เอาแล้ว ถ้าได้คืนนะ ฯลฯ
กฎข้อที่1 อย่ายอมขาดทุน กฎข้อที่2 กลับไปดูกฎข้อที่ 1
-
สามัญชน
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 5162
- ผู้ติดตาม: 0
|0 คอมเมนต์
ที่ผมเข้าใจ ไต่กำแพงแห่งความกังวล คือ ถ้าคนกังวล จะทำให้ระมัดระวังตัว การซื้อหุ้นก็จะค่อยๆ ซื้อไปตามพื้นฐาน ไม่ใช่ซื้อด้วยความโลภแบบไม่มีเหตุผล ถ้าแบบนั้น ราคาระดับสูงจะอยู่ได้ไม่นาน และตกแรงในที่สุด ถึงจะน่ากลัวอย่างแท้จริง
เยี่ยมครับ ......
กังวล -----> ระมัดระวัง
กลัว ------> ทิ้งหุ้นเลย
อืม........แม้จะอยู่กลุ่มคล้ายๆกัน แต่ด้วยระดับความรุนแรงที่แตกต่างกัน ทำให้ผลลัพภ์ออกมาต่างกันลิบลับ ใช่ไหมครับ.....
ทุกความเห็นย่อมเปลี่ยนไปตามความรู้ การเรียนรู้ย่อมไม่มีจุดสิ้นสุด
-
MarginofSafety
- Verified User
- โพสต์: 5786
- ผู้ติดตาม: 0
|0 คอมเมนต์
แปะบทความดังกล่าวมาให้อ่านกันก่อนแล้วกัน เดี๋ยวมาแจมครับ...
ความโลภ ความกลัว
วอเร็น บัฟเฟตต์ เคยพูดเกี่ยวกับการลงทุนว่า ในขณะที่คนส่วนใหญ่กำลังโลภ เราต้องพยายามกลัว และในขณะที่คนทั่วไปกำลังรู้สึกกลัวนั้น เราต้องพยายามโลภ
ในช่วงนี้คนจำนวนมากในตลาดหุ้นคงจะโลภ เพราะการทำเงินดูเหมือนจะง่ายและเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ ภาวะเศรษฐกิจ การเมือง การเงิน ตลาดหุ้นและผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนดูเหมือนจะมีทิศทางเดียวคือดีขึ้นและจะดีขึ้นเรื่อย ๆ เช่นเดียวกับดัชนีตลาดหลักทรัพย์และปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มสูงขึ้นมหาศาล และนี่คือสิ่งที่ทำให้นักลงทุนเกิดความโลภ
Value Investor จำนวนมากก็คือปุถุชนดังนั้นความโลภจึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยากโดยเฉพาะเมื่อเห็นเพื่อน ๆ นักลงทุนและนักเก็งกำไรทำเงินจากการลงทุนในหุ้นบางตัวหรือบางกลุ่มได้อย่างรวดเร็ว แต่คำแนะนำของผมก็คือในภาวะอย่างนี้เราต้องพยายามกลัว เช่น กลัวว่าหุ้นจะปรับตัวลง กลัวว่าหุ้นที่ราคาขึ้นไปมาก ๆ จะตกลงมาเมื่อเกิดเหตุการณ์บางอย่างที่ไม่คาดฝัน กลัวว่าเศรษฐกิจที่ร้อนแรงจะชะลอตัวลง กลัวว่าผลการดำเนินงานของกิจการจะไม่เป็นไปดังคาดและพยายามหาเรื่องอื่น ๆ มากลัวอีกหลายเรื่อง
แต่สิ่งหนึ่งที่สำคัญก็คือ อย่ากลัวจนต้องขายหุ้นทิ้ง ถอนการลงทุนจากตลาดหุ้นเพื่อที่จะรอให้ดัชนีปรับตัวลงมาเพื่อ รอซื้อหุ้นถูก เพราะการออกจากตลาดหุ้นอาจจะทำให้เสียโอกาสกำไรมหาศาลหากตลาดไม่ปรับตัวลงแต่กลับปรับตัวขึ้นไปอีกมาก Value Investor พันธุ์แท้จะไม่ออกจากตลาดหุ้นถ้าไม่คิดว่าหุ้นทั้งตลาดมีราคาแพงเกินไปมาก ซึ่งในความเห็นของผมไม่ใช่เวลานี้
คำถามก็คือ เราควรกลัวแค่ไหน? กลยุทธ์การลงทุนควรจะเป็นอย่างไร?
ผมคงไม่สามารถตอบคำถามให้แต่ละคนได้ เพราะความโลภและความกลัวของแต่ละคนคงไม่เหมือนกัน แต่จะให้แนวทางคร่าว ๆ ว่าในความเห็นของผมซึ่งค่อนข้างจะอนุรักษ์นิยม และไม่ใช่คนที่โลภมากเท่าไรนัก ผมคิดว่า:
การลงทุนในหุ้นกลุ่มรีแฮบโก้หลายหุ้นในขณะนี้เป็นการลงทุนที่เกิดจากความโลภ และคนลงทุนไม่ได้คิดถึงความกลัวหรือไม่ได้ พยายาม กลัวเท่าที่ควร เหลุผลก็คือ บริษัทที่เข้าอยู่ในแผนฟื้นฟูนั้นถึงแม้ว่าหลาย ๆ บริษัทจะมีโอกาสออกจากแผนได้ แต่ฐานะการเงินก็ยังไม่ดีนัก หนี้ยังคงมากในขณะที่ส่วนของผู้ถือหุ้นมักจะมีน้อย ที่สำคัญกำไรที่เกิดขึ้นยังไม่ใช่กำไรจริงที่เกิดจากผลการดำเนินงานปกติ ส่วนใหญ่มักจะเป็นกำไรที่เกิดจากการปรับโครงสร้างหนี้ กำไรที่เกิดจากการทำธุรกิจที่เกิดขึ้นก็มักจะยังไม่มีความแน่นอนว่าจะสามารถดำรงอยู่ได้ในระยะยาว สรุปได้ว่าธุรกิจยังไม่มีความแน่นอน
ที่สำคัญกว่าเรื่องฐานะและผลการดำเนินงานก็คือเรื่องราคาหุ้นของบริษัทในกลุ่มรีแฮปโก้หรือหุ้นที่เพิ่งออกจากการฟื้นฟูใหม่ ๆ ซึ่งหลายบริษัทมีราคาสูงขึ้นไปมาก หรือมูลค่าหุ้นของบริษัทมีค่าสูงขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ ประเด็นหลังนี้เป็นเรื่องที่สำคัญเพราะนักลงทุนที่ไม่ได้วิเคราะห์หุ้นอย่างลึกซึ้งจะมองไม่เห็น ทำให้เกิดความเข้าใจผิดคิดว่าหุ้นมีราคา ไม่แพง จึง น่าลงทุน เมื่อเปรียบเทียบกับการฟื้นตัวของกิจการ
หุ้นรีแฮปโก้ส่วนใหญ่มักจะมีการแปลงหนี้เป็นทุนจำนวนมาก ทำให้มีจำนวนหุ้นมากว่าปกติ หลาย ๆ บริษัทยังมีวอแรนต์ที่ยังไม่ได้ถูกใช้สิทธิแต่ก็มีโอกาสที่จะแปลงมาเป็นหุ้น หุ้นจำนวนมากเหล่านี้จะมาเป็นตัวหารหรือตัวแบ่งกำไรทำให้กำไรต่อหุ้นของบริษัททั้งในปัจจุบันและอนาคตต่ำลงมาก เพราะฉะนั้นแม้ว่าราคาหุ้นของบริษัทในกลุ่มรีแฮปโก้จะดูเหมือนต่ำไม่ถึง 10 บาทต่อหุ้น แต่ถ้าคิดถึงค่า P/E ที่คิดจากกำไรปกติของบริษัทแล้ว อาจจะบอกได้ว่าเป็นหุ้นที่มีราคาแพงมาก
การลงทุนในหุ้นของบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์หลาย ๆ บริษัทที่เพิ่งมีผลกำไรพุ่งพรวดจากการปรับโครงสร้างหนี้ และ/หรือจากการขายบ้านหรือคอนโดมีเนียมในช่วงนี้ผมรู้สึกว่าน่าจะเกิดจากความโลภมากกว่าความกลัว เนื่องจากราคาหุ้นของบริษัทเหล่านี้ได้ปรับตัวขึ้นไปมากเป็นหลาย ๆ เท่า ๆ จากราคาหุ้นที่ผ่านมาเพียงปีหรือสองปี
ความกลัวของผมในเรื่องของอสังหาริมทรัพย์นั้นมีหลายเรื่อง แต่ที่สำคัญก็คือเวลาที่อสังหาริมทรัพย์บูมนั้น ผู้ประกอบการสามารถเข้ามาเล่นในตลาดได้อย่างไม่จำกัด และทำได้อย่างรวดเร็ว ฟองสบู่ของอสังหาริมทรัพย์นั้นเป็นฟองที่เกิดได้เร็วและรุนแรงแค่ไหนคงไม่ต้องพูดถึงและเราได้เห็นมาแล้ว ดังนั้นก่อนที่ Value Investor จะลงทุนในธุรกิจนี้จึงควรพยายามกลัวไว้บ้างก็จะดีครับ
ดีกว่าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพราะผู้เล่นหน้าใหม่เข้าตลาดไม่ได้ก็คือธุรกิจหลักทรัพย์ซึ่งได้รับประโยชน์เต็มที่จากการที่ตลาดหุ้นบูมในช่วงนี้ แต่ก็เป็นธุรกิจที่ควรกลัวด้วยเหมือนกันเพราะธุรกิจหลักทรัพย์นั้นมีช่วงดีและช่วงเลวร้ายสลับกันมาตลอดและไม่สามารถคาดการณ์ได้ ดังนั้นการลงทุนในหุ้นของบริษัทหลักทรัพย์ที่มีราคาแพงคือมีค่า P/E สูงมาก ๆ จึงมีความเสี่ยงที่สูงและอาจทำให้เกิดความเสียหายมากได้ถ้าสถานการณ์เปลี่ยนไป
หุ้นของกิจการที่ผลิตและขายสินค้าโภคภัณฑ์ที่มีราคาขึ้นลงเป็นวัฎจักรเช่นหุ้นของบริษัทปิโตรเคมี หุ้นของบริษัทเรือ หุ้นของบริษัทที่ผลิตสินค้าเกี่ยวกับเกษตรกรรมที่กำลังมีราคาพุ่งขึ้นนั้น แม้ว่าจะมีคนบอกว่าราคาจะยังพุ่งขึ้นหรือสูงต่อไปอีกระยะหนึ่งนั้นก็เป็นหุ้นที่ควรพยายามกลัวด้วยเหมือนกัน
เพราะราคาของผลิตภัณฑ์ที่สูงมากนั้นอาจจะชักนำให้ผู้ผลิตขยายกำลังการผลิตอย่างรวดเร็วและทำให้ราคาตกลงมาเร็วกว่าที่คิด ทำให้กำไรของกิจการลดลงเร็วกว่าที่คาด และราคาหุ้นที่วิ่งขึ้นไปมากเกินพื้นฐานอาจจะตกกลับลงมาอยู่ในระดับที่เหมาะสม
ที่เขียนมาทั้งหมดนั้นไม่ได้เป็นการคาดการณ์ว่าหุ้นเหล่านั้นไม่ควรจะลงทุน มีความเป็นไปได้ว่าหุ้นที่ ร้อน เหล่านั้นจะร้อนต่อไปและคนที่เข้าไปลงทุนก็มีกำไรอย่างมากและรวดเร็วต่อไปและคนที่ โลภ เป็นผู้ชนะ แต่สำหรับ Value Investor ที่มุ่งมั่นในการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำและลงทุนระยะยาวมากนั้น เวลานี้ควรเป็นเวลาที่ต้อง พยายามกลัว เพื่อการเป็นผู้ชนะในระยะยาว
"Winners never quit, and quitters never win."
-
nanchan
- Verified User
- โพสต์: 2938
- ผู้ติดตาม: 0
|0 คอมเมนต์
ช่วงที่1
ปี96-97 ความกลัวไต่ระดับขึ้นพร้อมSPX
แสดงว่ายังมีความกังวลอยู่บ้าง
ช่วงที่2
ความกลัวลดลง แต่SPX ยังขึ้นต่อ
ช่วงนี้แสดงให้เห็นว่า คนเริ่มมั่นใจมากขึ้น ความกังวลเริ่มลดลง
จน11/11/98 ความกลัวกระเด็งขึ้นอย่างเร็วไปสูงมาก แสดงให้เห็นว่า
คนกลัวจนไร้เหตุผล จึงทำให้ไม่ลังเลที่จะเทขายให้SPXลดลงอย่างเร็ว
ช่วงที่3 ปลายปี98-00 Side way
อาจเนื่องจากความไร้เหตุผลที่แท้จริงของหุ้นที่ไร้เหตุผลทางพื้นฐานรองรับว่าทำไมมันจึงตก เมื่อได้คิดความกลัวก็เริ่มหายไป จึงทำให้ความกลัวลดลง
ความกล้าเข้ามาแทน SPX จึงขึ้นต่อได้ จากปัจจัยหนุนของช่วงที่1
ช่วงที่4 5/11/00-8/11/00 Diverเจ๊ง
ช่วงนี้ความกลัวลดลง แต่SPX ก็ไต่ขึ้นมาระดับสูง และก็SIde wayต่อ
ผมว่าช่วงนี้เป็นDiverเจ๊ง เพราะความกลัวลดลงแรง แต่SPXไม่ตอบสนองในทางขึ้น ตามธรรมชาติ เมื่อกลัวลด SPX จะขึ้น
ช่วงที่5 11/1101 - 8/11/02 ภาพปรากฎ
เมื่อDiverเจ๊งมา ก็มีสองทางคือรวยจัดกะจนจัด
ความกลัวเริ่มเข้ามาเยือนอย่างแท้จริง ตอบสนองภาพแห่งความกังวลก็เริ่มปรากฎ SPX จึงรูดลงตอบสนองความกลัวมาเรื่อยๆ และก็Side wayซักระยะ
ก่อนจะขึ้นไป
ช่วงที่6 11/11/03-2/11/06
ความกลัวลดลง SPXขึ้น เป็นปกติ
ช่วงที่7 จะเป็นไงต่อไปน้า...
ตอนนี้ความกลัวอยู่ระดับปานกลาง
ไม่มีกฎตายตัวในอารมณ์ที่สิงสถิตในราคาหุ้นที่ผันผวน
เฝ้าดูไป โดยใจที่เป็นกลาง
-
nanchan
- Verified User
- โพสต์: 2938
- ผู้ติดตาม: 0
|0 คอมเมนต์
ผมมั่วๆนะครับ อย่าใส่ใจอะไรมาก
เฝ้าดูไป โดยใจที่เป็นกลาง