เล่าอะไรเรื่อยเปื่อย ครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 358
- ผู้ติดตาม: 0
เล่าอะไรเรื่อยเปื่อย ครับ
โพสต์ที่ 1
เรื่อยๆเปื่อยๆ อย่าว่ากันนะครับ ปกติไม่มีสาระอยู่แล้ว ขอไม่มีสาระอีกสักหน่อยแล้วกัน
ถ้ารำคาญก็ขออภัยไว้ล่วงหน้า อย่าเข้ามาอ่าน ให้ผมเพ้อเจ้อคนเดียวก็พอ
อยากเพ้อคนเดียว ถ้าหายเพ้อก็จะหายไป ถ้าเริ่มเพ้อก็จะเข้ามาใหม่ กราบอภัยล่วงหน้า
อิอิ
ถ้ารำคาญก็ขออภัยไว้ล่วงหน้า อย่าเข้ามาอ่าน ให้ผมเพ้อเจ้อคนเดียวก็พอ
อยากเพ้อคนเดียว ถ้าหายเพ้อก็จะหายไป ถ้าเริ่มเพ้อก็จะเข้ามาใหม่ กราบอภัยล่วงหน้า
อิอิ
มรณฺง เม ภวิสฺสติ ความตายจักมีแก่เรา
-
- Verified User
- โพสต์: 358
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เล่าอะไรเรื่อยเปื่อย ครับ
โพสต์ที่ 2
ช่วงนี้้กรีดยางเอง ไม่ได้จ้างใครเขา อยากลำบาก กลางคืนทำงาน กลางวันก็ใช้ชีวิตปกติ แค่นอนเร็วกว่าเดิม เงินที่ได้นิดเดียวแต่ก็ทำไปอย่างนั้นแหละ เรื่องเงินเรื่องรอง เรื่องหลักคือการเจริญสติ อยู่ไร่คนเดียวคิดจินตนาการว่าอยู่วัด กินข้าวมื้อเดียว กลางคืนตื่นนอนกรีดยางแทนการเดินจงกลม พอเหนื่อยก็พัก ไม่ได้ไปเที่ยวไหนเลย เคยโดนหลวงปู่ว่า ไปเที่ยวทำไมให้เหนื่อย ดูรูปเอาก็เหมือนกันแหละ ฮา แหม หลวงปู่ครับ คิดเถียงในใจไม่กล้าเถียงจริงๆ ได้ชมวิว ทานอาหารพื้นเมือง มันฟินจะตาย ไม่ได้แค่ดูวิวนี่ครับ
....
....
เอารูปเก่าที่ไปเที่ยวมาดู รูปนี้ถ่ายที่อิตาลี แต่เอ ตรงไหนวะ ลืมไปแล้ว จำได้บ้างไม่ได้บ้าง นี่แค่สิบปียังลืม ถ้านานกว่านี้คงจำอะไรไม่ได้เลย นึกถึงคำพูดหลวงปู่ขึ้นมาทันทีเลย
....
....
เอารูปเก่าที่ไปเที่ยวมาดู รูปนี้ถ่ายที่อิตาลี แต่เอ ตรงไหนวะ ลืมไปแล้ว จำได้บ้างไม่ได้บ้าง นี่แค่สิบปียังลืม ถ้านานกว่านี้คงจำอะไรไม่ได้เลย นึกถึงคำพูดหลวงปู่ขึ้นมาทันทีเลย
มรณฺง เม ภวิสฺสติ ความตายจักมีแก่เรา
-
- Verified User
- โพสต์: 358
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เล่าอะไรเรื่อยเปื่อย ครับ
โพสต์ที่ 3
เรื่องหลวงปู่ (หลวงปู่มีหลายท่าน เดาเอาเองนะครับว่าองค์ไหน)
ตอนไปกราบท่านครั้งแรกปี57ตอนงานมีตติ้งวีไอภาคอีสานพอจบงานก็ขึ้นไปกราบหลวงปู่ จริงๆเคยไปตอนปี46แล้วแต่ไม่เจอท่าน หลังจากนั้นก็ไปอยู่กับครูบาอาจารย์ท่านอื่นๆ แต่กับหลวงปู่ไม่กล้าไปเพราะได้ยินกิติศัพท์ท่านมานาน ตั้งแต่สมัยบวชตอนปี42 เพราะวัดที่บวชที่ราชบุรีพระไปอยู่กับหลวงปู่กันบ่อยๆแล้วจะพรรณาว่าหลวงปู่ดุชิบ ดุมากๆ ได้ฟังมา ผมเลยไม่กล้าไป กลัวจนขึ้นสมอง พอไปถึงตอนเช้า วันนั้นโชคดีที่ไม่ค่อยมีคนไป ผมกินข้าวเสร็จพอดีมองไปทางหลวงปู่หลวงปู่หันมาพอดีพร้อมกับกวักมือเรียก คลานเข้าไปกราบ ท่านถามซักไซ้ยิ่งกว่าสมัครงานอีก บ้านอยู่ไหน ทำอะไร กรีดยางได้วันละกี่แผ่น ได้เงินวันละเท่าไร เมื่อคืนนอนไหน แล้วจะไปไหนต่อ ไปถ้ำสหายหลวงปู่สอนอะไรบ้าง ฯลฯ ถามชนิดที่เรียกว่าไม่นึกว่าหลวงปู่จะสนใจเราขนาดนั้น
หลักจากนั้นเดือนกค.57 ได้ไปอยู่วัดครั้งแรก วันนึงตอนทำวัตรเย็นผมนั่งสมาธิ ฟังเทศน์หลวงตาไปด้วย จิตมันรวมเข้าอัปณาสมาธิ แล้วก็ถอยเข้าออกๆ เวลาเจริญปัญญาจิตมันชอบรวมรวมแล้วก็ไปพักอยู่เฉยๆ พอหมดกำลังก็ออกมาจิตมันก็เจริญปัญญาอีกอัตโนมัติ แล้วก็ไปพัก ถอยเข้าถอยออกอัตโนมัติ ตั้งแต่เป็นมานับร้อยครั้งไม่เห็นได้อะไร ทำไมไม่เห็นได้อะไรซักที ก้มลงกราบหลวงตาและก็หลวงปู่ คิดในใจพรุ่งนี้เช้าหลวงปู่ช่วยสอนทีนะครับ
ตอนเช้าหลวงปู่กวักมือเรียกไปสอน ท่านสอนจนเหนื่อย สอนทุกเรื่องเลย ตั้งแต่เรื่องการพูดจา การใช้เงิน ท่านถาม ท่านซัก เรื่องภาวนาท่านก็สอน อยู่ดีๆท่านก็บอกว่า "ไม่ต้องมารักเรา" ผมก็คิดในใจ อะไรของหลวงปู่วะ งง หลวงปู่มองหน้าแล้วยิ้มๆ แล้วก็พูดว่า "ไม่ต้องมาเกลียดเราเดี๋ยวไม่มีคนใส่บาตร" แล้วท่านก็ยิ้มๆ ผมก็งง คิดว่าอะไรของหลวงปู่วะ ก็ไม่ได้สนใจอะไร หลังจากนั้นผมสังเกตุว่าผมคิดถึงหลวงปู่จริงๆ คิดถึงทั้งวันทั้งคืน ไม่ว่าจะทำอะไรคิดถึงตลอด ไปอยู่วัดเจอหลวงปู่ก็ยังคิดถึง แปลกมากๆ ไปอยู่กับครูบาอาจารย์อื่นๆนานกว่านี้ ก็ไม่คิดถึงเท่าหลวงปู่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร
พูดถึงความดุท่านดุจริงๆ โดนดุประจำ เวลาท่านดุเราจะเเหยงๆ รอบที่แล้วโดนท่านดุซะลั่นเลย พออีกวันท่านก็ยิ้มเหมือนไม่มีไรเกิดขึ้น เหมือนลองใจ คือวันนั้นพระโทรมาใช้ให้เอาข้าวสาร20กระสอบขึ้นรถเอาไปโรงพยาบาล กำลังแบกข้าวสารหลวงปู่เดินมาเมื่อไรไม่รู้ ท่านถามจะเอาไปไหน ผมก็ตอบว่าเอาไปรพ. ท่านก็ตวาด รู้แล้ว! เอาไปไหน ผมก็อ้ำอึ้งๆเพราะไม่รู้ว่าเอาไปให้ใครที่รพ. ไม่ได้ถาม รถนี่ของใคร! ของผมครับ จอดแบบนี้ถ้าลมพัดประตูมาชนจะเป็นยังไง! แล้วท่านก็เดินไป ผมก็คิดในใจแบกข้าวสารจะเสร็จแล้วขี้เกียจขยับรถ ลมไม่มีคงไม่โดนประตูพัดใส่รถหรอก ก็แบกต่อจนใกล้เสร็จ ท่านก็เดินกลับมา แล้วก็ดุ ลั่นเลย อย่ามาอวดดีที่นี่ ไม่พอใจก็ไม่ต้องมาอยู่ ฯลฯ ผมนี่ใจแป้วเลย เราแบกข้าวสารคนเดียวนึกว่าท่านจะชม ที่ไหนกลับโดนดุ รุ่งเช้าอีกวันท่านก็ยิ้มเหมือนไม่มีไรเกิดขึ้น
ความรู้สึกว่าท่านเมตตาเรามาก ไปทำอะไรที่ไหน ถ้าไม่ดีไม่ถูกต้องท่านจะดุ เจอหน้าจะพูดลอยๆให้เราสะดุ้ง พูดเจ็บๆ บางทีเวลาพูดอะไรกับใครเหมือนท่านได้ยิน เหมือนมีหูทิพย์ แล้วท่านก็จะพูดให้เราเจ็บๆ
ขนาดในฝันท่านยังมาดุเลย คือเราไปอยู่วัดพอครบเจ็ดวันอาการของผู้ชายมันกำเริบ คือกามมันเล่นงาน ตอนกลางคืนนอนหลับฝันว่าไปเจอผู้หญิงกำลังจะทำแล้ว(มีเซ็กส์)หลวงปู่มาตวาดในฝัน สดุ้งตื่นนีกในใจหลวงปู่มาช่วยไว้แท้ๆเลย ไม่งั้นคงชู้ดแล้ว (ภาษาพระ หมายถึงฝันเปียก ชู้ดคือฝันเปียกครับ) อีกไม่กี่วันอาการก็กำเริบอีกท่านก็มาเข้าฝันอีกเป็นถึงสองรอบ ท่านเมตตาจริงๆ หลังจากนั้นก็ขึ้นไปอดอาหารบนเขาสองสามวันเพื่อดัดกาม เมื่อปี58พาแม่ไปเที่ยวเมืองจีน ไปเจอผู้หญิงคนนึงถูกใจมากรู้สึกชอบ แค่ชอบเฉยๆไม่ได้ทำไรเลย กลับมาเมืองไทยก็คิดถึง ตอนกลางคืนนอนหลับหลวงปู่มาเข้าฝัน ชี้หน้าด่าเราซะยับเลย ท่านด่าว่าไปหลงฮี๋หลงฮ่าเหวอะไร ดินน้ำลมไฟทั้งนั้น ทำไมไม่พิจารณา ไปหลงอยู่ได้! สะดุ้งตื่นเลยครับ
เรื่องภาวนาก็เป็นคือเราพิจารณาผมขนเล็บฟันหนังโดยที่ทำเงียบๆไม่ได้บอกใคร ตอนเช้าท่านก็จะพูดลอยๆว่าให้พิจารณาผมขนเล็บฟันหนังแล้วยิ้มๆ
ท่านเมตตาจริงๆ
พูดถึงครูบาอาจารย์ถ้าเราไม่ไปหาไปให้ท่านอบรมเราก็คงเหมือนเดิม นิสัยเลวๆอย่างไรก็คงเป็นเเบบนั้น เมื่อก่อนก็กินเหล้า ไม่มีใครกินด้วยก็กินคนเดียว กินเช้ากินเย็น พอเมาแล้วขาดสติก็เข้าซ่อง ไปมีเรื่องชกต่อยกับเค้า
อบายมุขทั้้งหวย สนุ๊ก ไพ่ ไฮโล ก็เล่น เงินหมดก็หาเงินเอาเปรียบเค้า
สารพัดนิสัยแย่ๆ เรื่องใจร้อนนี่ไว้ใจผม แค่มองหน้าก็ชกแล้ว หมูหมาตีประจำ เรื่องโทสะนี่เเรงมากๆ* ผ่านไปไม่กี่ปีนิสัยเปลี่ยนไปเหมือนเป็นคนละคน พอมองกลับไปคิดแล้วบุญหนักหนา ถ้าไม่ได้ครูบาอาจารย์อบรมก็คงเลวเหมือนเดิมนิสัยแย่ๆยังไงก็คงเป็นแบบนั้น
เรื่องการปฎิบัติภาวนาด้วยเหมือนกัน แรกๆไปวัดก็ไม่เข้าใจ ครูบาอาจารย์ท่านก็สอน เหนื่อยแค่ไหนก็ยังเมตตาตอบให้ แรกๆไปเรียนไปถาม ถามแต่ละอย่างน่าเขกหัว ไม่น่าถามก็ถาม ท่านก็ไม่โกรธ คงเห็นเราเอาจริง ท่านเมตตาเปิดช่องให้ถาม เรื่องภาวนาถามได้ทุกเรื่อง เราผ่านมาทุกขั้นตอน ท่านว่า
เดี๋ยวนี้ท่านให้กำลังใจ บางทีก็เล่าถึงภูมิธรรมชั้นนั้นขั้นนี้ให้ฟัง
แต่ก็อะนะ เล่าไปก็ไม่เข้าใจหรอก เหมือนบอกว่าวัดพระเเก้วเป็บแบบนั้น สวยอย่างนั้นอย่างนี้ ถ้าไม่เคยไปก็ได้แต่คิดเอา จินตนาการเอา ของจริงอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่คิดก็ได้ พอได้ไปเองก็รู้เลยหายสงสัย ไม่ต้องไปเชื่อใครเพราะเห็นเองเเล้ว
เรื่องกินเหล้านี่ ถ้ายังกินอยู่แม้แต่หยดเดียวไม่ต้องมาฝันถึงมรรคถึงผลนะครับ
อย่าว่าแต่ผิดศีลข้อ1-4เลย กินเหล้าแค่หยดเดียว ซึ่งไม่น่าจะเป็นอะไรแท้ๆ แปลกจริงๆ
*เรื่องโทสะ ผมนี่แย่มากๆเรื่องอารมณ์โกรธ นิดๆหน่อยๆไม่ได้เลยมันปรี้ด เคยชกต่อยกันประจำ บางทีก็เอามีดไล่ฟันเค้า ไม่กลัวใครเลย เวรแท้ๆ นิสัยนี้ผมไม่ชอบเลยครับ คงจะเป็นเพราะเกิดวันอาทิตย์ ตนุลัคน์(อังคาร) ไปอยู่เรือนอาทิตย์อีก ร้อนสามเด้ง เข้าโหราศาตร์นิดส์ อิอิ แต่สิ่งที่ตรงกันมากๆคือมีเกตุกุมลัคน์ ในเลข7ตัวก็มีเกตุกุมลัคน์เหมือนกัน ในลายมือก็มีเรื่องเกี่ยวกับพวกนี้อีก เเปลกดี
ตอนไปกราบท่านครั้งแรกปี57ตอนงานมีตติ้งวีไอภาคอีสานพอจบงานก็ขึ้นไปกราบหลวงปู่ จริงๆเคยไปตอนปี46แล้วแต่ไม่เจอท่าน หลังจากนั้นก็ไปอยู่กับครูบาอาจารย์ท่านอื่นๆ แต่กับหลวงปู่ไม่กล้าไปเพราะได้ยินกิติศัพท์ท่านมานาน ตั้งแต่สมัยบวชตอนปี42 เพราะวัดที่บวชที่ราชบุรีพระไปอยู่กับหลวงปู่กันบ่อยๆแล้วจะพรรณาว่าหลวงปู่ดุชิบ ดุมากๆ ได้ฟังมา ผมเลยไม่กล้าไป กลัวจนขึ้นสมอง พอไปถึงตอนเช้า วันนั้นโชคดีที่ไม่ค่อยมีคนไป ผมกินข้าวเสร็จพอดีมองไปทางหลวงปู่หลวงปู่หันมาพอดีพร้อมกับกวักมือเรียก คลานเข้าไปกราบ ท่านถามซักไซ้ยิ่งกว่าสมัครงานอีก บ้านอยู่ไหน ทำอะไร กรีดยางได้วันละกี่แผ่น ได้เงินวันละเท่าไร เมื่อคืนนอนไหน แล้วจะไปไหนต่อ ไปถ้ำสหายหลวงปู่สอนอะไรบ้าง ฯลฯ ถามชนิดที่เรียกว่าไม่นึกว่าหลวงปู่จะสนใจเราขนาดนั้น
หลักจากนั้นเดือนกค.57 ได้ไปอยู่วัดครั้งแรก วันนึงตอนทำวัตรเย็นผมนั่งสมาธิ ฟังเทศน์หลวงตาไปด้วย จิตมันรวมเข้าอัปณาสมาธิ แล้วก็ถอยเข้าออกๆ เวลาเจริญปัญญาจิตมันชอบรวมรวมแล้วก็ไปพักอยู่เฉยๆ พอหมดกำลังก็ออกมาจิตมันก็เจริญปัญญาอีกอัตโนมัติ แล้วก็ไปพัก ถอยเข้าถอยออกอัตโนมัติ ตั้งแต่เป็นมานับร้อยครั้งไม่เห็นได้อะไร ทำไมไม่เห็นได้อะไรซักที ก้มลงกราบหลวงตาและก็หลวงปู่ คิดในใจพรุ่งนี้เช้าหลวงปู่ช่วยสอนทีนะครับ
ตอนเช้าหลวงปู่กวักมือเรียกไปสอน ท่านสอนจนเหนื่อย สอนทุกเรื่องเลย ตั้งแต่เรื่องการพูดจา การใช้เงิน ท่านถาม ท่านซัก เรื่องภาวนาท่านก็สอน อยู่ดีๆท่านก็บอกว่า "ไม่ต้องมารักเรา" ผมก็คิดในใจ อะไรของหลวงปู่วะ งง หลวงปู่มองหน้าแล้วยิ้มๆ แล้วก็พูดว่า "ไม่ต้องมาเกลียดเราเดี๋ยวไม่มีคนใส่บาตร" แล้วท่านก็ยิ้มๆ ผมก็งง คิดว่าอะไรของหลวงปู่วะ ก็ไม่ได้สนใจอะไร หลังจากนั้นผมสังเกตุว่าผมคิดถึงหลวงปู่จริงๆ คิดถึงทั้งวันทั้งคืน ไม่ว่าจะทำอะไรคิดถึงตลอด ไปอยู่วัดเจอหลวงปู่ก็ยังคิดถึง แปลกมากๆ ไปอยู่กับครูบาอาจารย์อื่นๆนานกว่านี้ ก็ไม่คิดถึงเท่าหลวงปู่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร
พูดถึงความดุท่านดุจริงๆ โดนดุประจำ เวลาท่านดุเราจะเเหยงๆ รอบที่แล้วโดนท่านดุซะลั่นเลย พออีกวันท่านก็ยิ้มเหมือนไม่มีไรเกิดขึ้น เหมือนลองใจ คือวันนั้นพระโทรมาใช้ให้เอาข้าวสาร20กระสอบขึ้นรถเอาไปโรงพยาบาล กำลังแบกข้าวสารหลวงปู่เดินมาเมื่อไรไม่รู้ ท่านถามจะเอาไปไหน ผมก็ตอบว่าเอาไปรพ. ท่านก็ตวาด รู้แล้ว! เอาไปไหน ผมก็อ้ำอึ้งๆเพราะไม่รู้ว่าเอาไปให้ใครที่รพ. ไม่ได้ถาม รถนี่ของใคร! ของผมครับ จอดแบบนี้ถ้าลมพัดประตูมาชนจะเป็นยังไง! แล้วท่านก็เดินไป ผมก็คิดในใจแบกข้าวสารจะเสร็จแล้วขี้เกียจขยับรถ ลมไม่มีคงไม่โดนประตูพัดใส่รถหรอก ก็แบกต่อจนใกล้เสร็จ ท่านก็เดินกลับมา แล้วก็ดุ ลั่นเลย อย่ามาอวดดีที่นี่ ไม่พอใจก็ไม่ต้องมาอยู่ ฯลฯ ผมนี่ใจแป้วเลย เราแบกข้าวสารคนเดียวนึกว่าท่านจะชม ที่ไหนกลับโดนดุ รุ่งเช้าอีกวันท่านก็ยิ้มเหมือนไม่มีไรเกิดขึ้น
ความรู้สึกว่าท่านเมตตาเรามาก ไปทำอะไรที่ไหน ถ้าไม่ดีไม่ถูกต้องท่านจะดุ เจอหน้าจะพูดลอยๆให้เราสะดุ้ง พูดเจ็บๆ บางทีเวลาพูดอะไรกับใครเหมือนท่านได้ยิน เหมือนมีหูทิพย์ แล้วท่านก็จะพูดให้เราเจ็บๆ
ขนาดในฝันท่านยังมาดุเลย คือเราไปอยู่วัดพอครบเจ็ดวันอาการของผู้ชายมันกำเริบ คือกามมันเล่นงาน ตอนกลางคืนนอนหลับฝันว่าไปเจอผู้หญิงกำลังจะทำแล้ว(มีเซ็กส์)หลวงปู่มาตวาดในฝัน สดุ้งตื่นนีกในใจหลวงปู่มาช่วยไว้แท้ๆเลย ไม่งั้นคงชู้ดแล้ว (ภาษาพระ หมายถึงฝันเปียก ชู้ดคือฝันเปียกครับ) อีกไม่กี่วันอาการก็กำเริบอีกท่านก็มาเข้าฝันอีกเป็นถึงสองรอบ ท่านเมตตาจริงๆ หลังจากนั้นก็ขึ้นไปอดอาหารบนเขาสองสามวันเพื่อดัดกาม เมื่อปี58พาแม่ไปเที่ยวเมืองจีน ไปเจอผู้หญิงคนนึงถูกใจมากรู้สึกชอบ แค่ชอบเฉยๆไม่ได้ทำไรเลย กลับมาเมืองไทยก็คิดถึง ตอนกลางคืนนอนหลับหลวงปู่มาเข้าฝัน ชี้หน้าด่าเราซะยับเลย ท่านด่าว่าไปหลงฮี๋หลงฮ่าเหวอะไร ดินน้ำลมไฟทั้งนั้น ทำไมไม่พิจารณา ไปหลงอยู่ได้! สะดุ้งตื่นเลยครับ
เรื่องภาวนาก็เป็นคือเราพิจารณาผมขนเล็บฟันหนังโดยที่ทำเงียบๆไม่ได้บอกใคร ตอนเช้าท่านก็จะพูดลอยๆว่าให้พิจารณาผมขนเล็บฟันหนังแล้วยิ้มๆ
ท่านเมตตาจริงๆ
พูดถึงครูบาอาจารย์ถ้าเราไม่ไปหาไปให้ท่านอบรมเราก็คงเหมือนเดิม นิสัยเลวๆอย่างไรก็คงเป็นเเบบนั้น เมื่อก่อนก็กินเหล้า ไม่มีใครกินด้วยก็กินคนเดียว กินเช้ากินเย็น พอเมาแล้วขาดสติก็เข้าซ่อง ไปมีเรื่องชกต่อยกับเค้า
อบายมุขทั้้งหวย สนุ๊ก ไพ่ ไฮโล ก็เล่น เงินหมดก็หาเงินเอาเปรียบเค้า
สารพัดนิสัยแย่ๆ เรื่องใจร้อนนี่ไว้ใจผม แค่มองหน้าก็ชกแล้ว หมูหมาตีประจำ เรื่องโทสะนี่เเรงมากๆ* ผ่านไปไม่กี่ปีนิสัยเปลี่ยนไปเหมือนเป็นคนละคน พอมองกลับไปคิดแล้วบุญหนักหนา ถ้าไม่ได้ครูบาอาจารย์อบรมก็คงเลวเหมือนเดิมนิสัยแย่ๆยังไงก็คงเป็นแบบนั้น
เรื่องการปฎิบัติภาวนาด้วยเหมือนกัน แรกๆไปวัดก็ไม่เข้าใจ ครูบาอาจารย์ท่านก็สอน เหนื่อยแค่ไหนก็ยังเมตตาตอบให้ แรกๆไปเรียนไปถาม ถามแต่ละอย่างน่าเขกหัว ไม่น่าถามก็ถาม ท่านก็ไม่โกรธ คงเห็นเราเอาจริง ท่านเมตตาเปิดช่องให้ถาม เรื่องภาวนาถามได้ทุกเรื่อง เราผ่านมาทุกขั้นตอน ท่านว่า
เดี๋ยวนี้ท่านให้กำลังใจ บางทีก็เล่าถึงภูมิธรรมชั้นนั้นขั้นนี้ให้ฟัง
แต่ก็อะนะ เล่าไปก็ไม่เข้าใจหรอก เหมือนบอกว่าวัดพระเเก้วเป็บแบบนั้น สวยอย่างนั้นอย่างนี้ ถ้าไม่เคยไปก็ได้แต่คิดเอา จินตนาการเอา ของจริงอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่คิดก็ได้ พอได้ไปเองก็รู้เลยหายสงสัย ไม่ต้องไปเชื่อใครเพราะเห็นเองเเล้ว
เรื่องกินเหล้านี่ ถ้ายังกินอยู่แม้แต่หยดเดียวไม่ต้องมาฝันถึงมรรคถึงผลนะครับ
อย่าว่าแต่ผิดศีลข้อ1-4เลย กินเหล้าแค่หยดเดียว ซึ่งไม่น่าจะเป็นอะไรแท้ๆ แปลกจริงๆ
*เรื่องโทสะ ผมนี่แย่มากๆเรื่องอารมณ์โกรธ นิดๆหน่อยๆไม่ได้เลยมันปรี้ด เคยชกต่อยกันประจำ บางทีก็เอามีดไล่ฟันเค้า ไม่กลัวใครเลย เวรแท้ๆ นิสัยนี้ผมไม่ชอบเลยครับ คงจะเป็นเพราะเกิดวันอาทิตย์ ตนุลัคน์(อังคาร) ไปอยู่เรือนอาทิตย์อีก ร้อนสามเด้ง เข้าโหราศาตร์นิดส์ อิอิ แต่สิ่งที่ตรงกันมากๆคือมีเกตุกุมลัคน์ ในเลข7ตัวก็มีเกตุกุมลัคน์เหมือนกัน ในลายมือก็มีเรื่องเกี่ยวกับพวกนี้อีก เเปลกดี
มรณฺง เม ภวิสฺสติ ความตายจักมีแก่เรา
-
- Verified User
- โพสต์: 1165
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เล่าอะไรเรื่อยเปื่อย ครับ
โพสต์ที่ 4
ส่วนตัวเคยเจอท่านเพียงครั้งเดียวตอนต้นปีครับท่านมาสัดสาขาท่านที่จันทบุรี....ได้ใส่บาตรท่านรู้สึกดีใจมากครับ.....รู้สึกยินดีกับพี่ด้วยครับที่มีโอกาสได้ปฏิบัติและหลวงปู่แบนท่านคอยชี้แนะให้...(ถ้าผมเดาผิดอย่าว่าผมเลย)
ควรทุ่มเทเจริญให้มาก..ในงานที่เป็นประโยชน์อย่างแท้จริง..
-
- Verified User
- โพสต์: 358
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เล่าอะไรเรื่อยเปื่อย ครับ
โพสต์ที่ 5
อยู่บ้านภาวนายากมากมีเรื่องกวนใจตลอด บางทีขาดสติไปทำนู่นทำนี่ สุดท้ายก็มาวุ่นวายใจทีหลัง ไปอยู่วัดตัดเรื่องยุ่งๆไปเยอะมากส่วนใหญ่ที่มีมาคือพระใช้ให้ทำนู่นทำนี่ แต่ก็ยังดีกว่าอยู่บ้าน ไปอยู่วัดนานๆกลับมาบ้านก็ขยันภาวนาดีพอสักพักก็กลับมาขี้เกียจเหมือนเดิม เพศฆราวาสนี่ถึงได้ภาวนายาก คนที่ภาวนาดีๆเก่งๆจึงน้อยมาก ส่วนใหญ่ก็ถือศีลอยู่วัด ส่วนน้อยมากๆที่ปฏิบัติภาวนาอยู่บ้านจริงๆ
คนที่คิดจะปฏิบัติจริงจังถ้าเป็นไปได้อย่ามีสามีหรือภรรยานะครับ ตัวยุ่งเลย อยู่คนเดียวดีที่สุด ถ้าจะต้องมีก็อย่ามีลูก มีลูกนี่จบเลย กวนที่สุดเลี้ยงกว่าจะโต ชีวิตเราหายไปเป็นสิบๆปี วุ่นวายทั้งกายและใจมาก
ผมเองก็มีแฟนเหมือนกันคบมานานแต่ไม่ได้เเต่งงาน นานๆเจอกันที ขนาดนี้ยังกวนเลย โทรมากวนตลอด เดี๋ยวก็อยากไปนั่นไปนี่ พาไปหน่อย โอ๊ย เวรแท้ๆ ถ้าย้อนอดีตกลับไปได้จะไม่มีใครเลย จะขอบวชไม่สึก ถ้าไม่สึกป่านนี้ก็เกือบ20พรรษาแล้วล่ะ คงพ้นทุกข์ไปได้เยอะแล้ว
มันคงเป็นเวรกรรมของผมแหละ บวชอยู่ดีๆก็จำใจต้องสึก ในใจไม่อยากเลย วันสึกนี่น้ำตาไหลเลย ไม่เคยสบายใจเท่ากับตอนบวชมาก่อน กินก็น้อย นอนก็น้อย สมบัติสิ่งของไม่มีอะไรเลย แต่ทำไมมีความสุขอย่างนี้นะ เดี๋ยวนี้กินก็กินเยอะ สรรหามาเลย ข้าวของก็เต็มบ้านเลย อยากได้อะไรก็ซื้อๆ แต่ทำไมไม่เห็นสุขเลย สู้ตอนบวชไม่ได้
ตอนบวชด้วยความที่ชีวิตลำบากมาก หลังสวดมนต์ทำวัตรเย็นผมจะอธิฐานทุกวัน ถ้าต้องสึกออกไปขอให้ได้งานดีๆทำ ขอให้ได้คู่ครองที่ดี มีศีลมากกว่าหรือเสมอเรา ถ้ามีลูกก็ขอให้ได้ลูกเป็นพระอรหันต์ ขอไปหมด เหมือนมันไม่มีที่พึ่ง ตอนนั้นยังไม่เข้าใจ ยังภาวนาไม่เป็น เดี๋ยวนี้พอนึกกลับไปก็อายตัวเอง ทำไมโลภอย่างนี้นะ
ตอนที่บวช พอถึงก่อนวันออกพรรษา ฝันว่ามีผู้หญิงคนนึงมาหาที่กุฏิ ตอนเช้าผู้หญิงคนนี้ก็มาหาจริงๆ มากับพี่สาวเค้า ตอนนั้นก็เฉยๆไม่ได้เอะใจอะไร เรื่องฝันเรื่องออกรู้เห็นเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับผมมาก เรื่องมากกว่านี้ก็เคยเห็น คนจะตายบางทีก็ยังรู้เลย หวยนี่จั๋งๆทุกงวด
พอสึกออกมาก็เจอผู้หญิงคนนี้ ก็โทรคุยพอคุยแล้วรู้สึกถูกใจ มันเป็นความรู้สึกประหลาด อยากคุย อยากเจอ บางทีคิดถึงปุ้บเค้าจะโทรมาปั้บ บางทีเค้าคิดถึงเราก็จะโทรไปทันทีเหมือนกัน (เดี๋ยวนี้ก็ยังเป็นอยู่
)เคยฝันว่างูกัด ก็เอะใจว่าคนนี้จะเป็นเนื้อคู่เราจริงๆหรือ ก็พาไปวัดไปไหว้พระ ไหว้เสร็จก็อธิษฐาน ถ้าเค้าเป็นเนื้อคู่เราจริงๆขอให้ได้เซียมซีเลขเดียวกัน ผมก็เขย่าก่อน ได้เลข16(อันนี้ยังจำได้ดี) เค้าก็เขย่าบ้าง เค้านั่งห่างออกไปสัก10เมตรได้ ไม่ได้บอกเค้าเรื่องที่เราอธิษฐาน รอให้เค้าเขย่าเสร็จ เราก็เดินเข้าไปดู ปรากฎว่าได้เลขเดียวกันจริงๆ คือเลข16
แปลกดี หลังจากนั้นเพิ่งมารู้ทีหลังว่าเค้าเกิดก่อนเรา1วัน เค้าเกิด14ค่ำเดือน8 ส่วนเราเกิด15ค่ำเดือน8 ปีมะโรง ที่แปลกกว่านั้นคือพ่อเราก็เกิด 14ค่ำเดือน8เหมือนกัน แปลกดี
บางทีมองย้อนกลับไปเหมือนชีวิตถูกลิขิตไว้ เวลานี้ต้องเจอเเบบนี้ๆ เราจะทำตามหรือไม่ทำตามอยู่ที่เราตัดสินใจ ถ้าตัดสินใจอย่างนี้ก็จะมีผลผูกพันธ์ต่อเนื่องกันมาถึงปัจจุบัน ไม่มีใครรู้อนาคต ตอนนั้นเราคิดว่าดี พอเวลาผ่านไปอาจจะกลายเป็นไม่ดีก็ได้ เพราะฉนั้นมองอะไรให้มองยาวๆ อย่าเพิ่งด่วนสรุป ตัวอย่างมีให้เห็นมากมาย ขึ้นอยู่กับว่าเรามองออกหรือป่าว เคยเจอคนถูกหวยเค้าดีใจใหญ่เลย มีความสุขมาก ไปซื้อรถไม่กี่วันรถคว่ำตาย ถ้าเค้ามองเห็นอนาคตการถูกหวยนี่เค้าอาจจะร้องไห้ก็ได้นะ ว่าไม่อยากถูก ไม่ขอถูกดีกว่า
เหมือนการทำมาหากิน บางคนขายของดีก็รวยเอาๆ ทีนี้ไปไหนไม่ได้เลย ห่วงร้านห่วงลูกค้า ปวดฉี่ก็ต้องกลั้น สุดท้ายเป็นโรคปัสสะวะอักเสบ ตกลงที่ขายดีๆได้เงินเยอะๆนี่มันดีจริงเหรอ?
ตอนเด็กๆผมเคยคิดว่าตัวเองโชคร้าย เกิดมาจน ไม่มีพ่อ อยู่กับแม่สองคน อยู่ด้วยความลำบากมาก พอเวลาผ่านไปเรากลับคิดว่านั่นคือสิ่งที่โชคดีที่สุด ถ้าไม่ลำบากก็คงไม่เข้าหาธรรมะ คงไม่ได้เจอครูบาอาจารย์ชั้นเลิศ บางทียังคิดเลยนะว่าถ้าต้องเกิดอีกขอลำบากเเบบเดิม แล้วก็ขอให้เจอครูบาอาจารย์เหมือนเดิม ทำไมต้องลำบาก? ถ้าไม่ลำบากมันก็ไม่มีปัญญา ไม่อยากเกิด ไม่เห็นทุกข์ พอเข้ามาวัดมาก็ไม่อดทน ถ้าผ่านมาแล้วมันสบายทนได้ทุกสภาวะ อดอยากก็ทนได้ อดนอนก็ทนได้ คนรวยๆไม่เคยลำบากมาอยู่วัดส่วนใหญ่มันทนไม่ได้ นิดๆหน่อยๆไม่เอาแล้วกลับบ้านดีกว่า
...
...
ไปกราบสรงน้ำหลวงพ่อวันสงกรานต์ที่ผ่านมา ผมไปกราบท่านครั้งแรกปี49 แล้วสรงน้ำท่านประจำทุกปีตั้งแต่ปี52 รอบนี้ท่านบอกว่าเข้าพรรษาให้ลองเคร่งครัดถือศีล8อยู่บ้านดูซิ ให้ทำจริงๆจังๆ ผมก็คิดว่าปีนี้จะตั้งใจจริงๆสักที ที่ผ่านมาทำๆหยุดๆ ตื่นตีสาม สวดมนต์ไหว้พระเดินจงกลม หกโมงทำกับข้าว ทานข้าว แปดโมงออกทำงานไร่ ร้อนๆก็ไม่ไหวเหมือนกัน ครึ่งชม.ก็จะตายเอา ร่างกายไม่เหมือนเดิม พอล้าๆก็ไม่อยากตื่น ตื่นสาย ไม่เหมือนอยู่วัด เหนื่อยยังไงก็ต้องตื่นเพราะมีครูบาอาจารย์คอยสอดส่อง เหมือนตอนไปอยู่กับหลวงปู่ ตีสามตื่น กลางวันทำงานทั้งวันเหนื่อยมาก แต่มันกลับอยู่ได้สบาย นอนก็น้อย ทำงานก็หนัก มาอยู่ไร่ นอนก็มาก ทำงานน้อย แดดออกหน่อยร้อนแระ เข้ามาพักดีกว่า จะทำอันนี้ก็เดี๋ยวไว้ก่อนๆ สุดท้ายก็ไม่ได้ทำ
...
ตอนในหลวงจะสวรรคต1วัน ผมฝันว่าต้นไม้ใหญ่ล้ม เป็นภาพมุมสูงมองลงมาเหมือนดูแผนที่ ต้นไม้ต้นใหญ่ต้นเดียวล้มโค่นลง แต่ก็มีต้นไม้เล็กๆผุดขึ้นเต็มแผนที่เลย
เล่าให้ฟังเฉยๆครับ
คนที่คิดจะปฏิบัติจริงจังถ้าเป็นไปได้อย่ามีสามีหรือภรรยานะครับ ตัวยุ่งเลย อยู่คนเดียวดีที่สุด ถ้าจะต้องมีก็อย่ามีลูก มีลูกนี่จบเลย กวนที่สุดเลี้ยงกว่าจะโต ชีวิตเราหายไปเป็นสิบๆปี วุ่นวายทั้งกายและใจมาก
ผมเองก็มีแฟนเหมือนกันคบมานานแต่ไม่ได้เเต่งงาน นานๆเจอกันที ขนาดนี้ยังกวนเลย โทรมากวนตลอด เดี๋ยวก็อยากไปนั่นไปนี่ พาไปหน่อย โอ๊ย เวรแท้ๆ ถ้าย้อนอดีตกลับไปได้จะไม่มีใครเลย จะขอบวชไม่สึก ถ้าไม่สึกป่านนี้ก็เกือบ20พรรษาแล้วล่ะ คงพ้นทุกข์ไปได้เยอะแล้ว
มันคงเป็นเวรกรรมของผมแหละ บวชอยู่ดีๆก็จำใจต้องสึก ในใจไม่อยากเลย วันสึกนี่น้ำตาไหลเลย ไม่เคยสบายใจเท่ากับตอนบวชมาก่อน กินก็น้อย นอนก็น้อย สมบัติสิ่งของไม่มีอะไรเลย แต่ทำไมมีความสุขอย่างนี้นะ เดี๋ยวนี้กินก็กินเยอะ สรรหามาเลย ข้าวของก็เต็มบ้านเลย อยากได้อะไรก็ซื้อๆ แต่ทำไมไม่เห็นสุขเลย สู้ตอนบวชไม่ได้
ตอนบวชด้วยความที่ชีวิตลำบากมาก หลังสวดมนต์ทำวัตรเย็นผมจะอธิฐานทุกวัน ถ้าต้องสึกออกไปขอให้ได้งานดีๆทำ ขอให้ได้คู่ครองที่ดี มีศีลมากกว่าหรือเสมอเรา ถ้ามีลูกก็ขอให้ได้ลูกเป็นพระอรหันต์ ขอไปหมด เหมือนมันไม่มีที่พึ่ง ตอนนั้นยังไม่เข้าใจ ยังภาวนาไม่เป็น เดี๋ยวนี้พอนึกกลับไปก็อายตัวเอง ทำไมโลภอย่างนี้นะ
ตอนที่บวช พอถึงก่อนวันออกพรรษา ฝันว่ามีผู้หญิงคนนึงมาหาที่กุฏิ ตอนเช้าผู้หญิงคนนี้ก็มาหาจริงๆ มากับพี่สาวเค้า ตอนนั้นก็เฉยๆไม่ได้เอะใจอะไร เรื่องฝันเรื่องออกรู้เห็นเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับผมมาก เรื่องมากกว่านี้ก็เคยเห็น คนจะตายบางทีก็ยังรู้เลย หวยนี่จั๋งๆทุกงวด
พอสึกออกมาก็เจอผู้หญิงคนนี้ ก็โทรคุยพอคุยแล้วรู้สึกถูกใจ มันเป็นความรู้สึกประหลาด อยากคุย อยากเจอ บางทีคิดถึงปุ้บเค้าจะโทรมาปั้บ บางทีเค้าคิดถึงเราก็จะโทรไปทันทีเหมือนกัน (เดี๋ยวนี้ก็ยังเป็นอยู่
)เคยฝันว่างูกัด ก็เอะใจว่าคนนี้จะเป็นเนื้อคู่เราจริงๆหรือ ก็พาไปวัดไปไหว้พระ ไหว้เสร็จก็อธิษฐาน ถ้าเค้าเป็นเนื้อคู่เราจริงๆขอให้ได้เซียมซีเลขเดียวกัน ผมก็เขย่าก่อน ได้เลข16(อันนี้ยังจำได้ดี) เค้าก็เขย่าบ้าง เค้านั่งห่างออกไปสัก10เมตรได้ ไม่ได้บอกเค้าเรื่องที่เราอธิษฐาน รอให้เค้าเขย่าเสร็จ เราก็เดินเข้าไปดู ปรากฎว่าได้เลขเดียวกันจริงๆ คือเลข16
แปลกดี หลังจากนั้นเพิ่งมารู้ทีหลังว่าเค้าเกิดก่อนเรา1วัน เค้าเกิด14ค่ำเดือน8 ส่วนเราเกิด15ค่ำเดือน8 ปีมะโรง ที่แปลกกว่านั้นคือพ่อเราก็เกิด 14ค่ำเดือน8เหมือนกัน แปลกดี
บางทีมองย้อนกลับไปเหมือนชีวิตถูกลิขิตไว้ เวลานี้ต้องเจอเเบบนี้ๆ เราจะทำตามหรือไม่ทำตามอยู่ที่เราตัดสินใจ ถ้าตัดสินใจอย่างนี้ก็จะมีผลผูกพันธ์ต่อเนื่องกันมาถึงปัจจุบัน ไม่มีใครรู้อนาคต ตอนนั้นเราคิดว่าดี พอเวลาผ่านไปอาจจะกลายเป็นไม่ดีก็ได้ เพราะฉนั้นมองอะไรให้มองยาวๆ อย่าเพิ่งด่วนสรุป ตัวอย่างมีให้เห็นมากมาย ขึ้นอยู่กับว่าเรามองออกหรือป่าว เคยเจอคนถูกหวยเค้าดีใจใหญ่เลย มีความสุขมาก ไปซื้อรถไม่กี่วันรถคว่ำตาย ถ้าเค้ามองเห็นอนาคตการถูกหวยนี่เค้าอาจจะร้องไห้ก็ได้นะ ว่าไม่อยากถูก ไม่ขอถูกดีกว่า
เหมือนการทำมาหากิน บางคนขายของดีก็รวยเอาๆ ทีนี้ไปไหนไม่ได้เลย ห่วงร้านห่วงลูกค้า ปวดฉี่ก็ต้องกลั้น สุดท้ายเป็นโรคปัสสะวะอักเสบ ตกลงที่ขายดีๆได้เงินเยอะๆนี่มันดีจริงเหรอ?
ตอนเด็กๆผมเคยคิดว่าตัวเองโชคร้าย เกิดมาจน ไม่มีพ่อ อยู่กับแม่สองคน อยู่ด้วยความลำบากมาก พอเวลาผ่านไปเรากลับคิดว่านั่นคือสิ่งที่โชคดีที่สุด ถ้าไม่ลำบากก็คงไม่เข้าหาธรรมะ คงไม่ได้เจอครูบาอาจารย์ชั้นเลิศ บางทียังคิดเลยนะว่าถ้าต้องเกิดอีกขอลำบากเเบบเดิม แล้วก็ขอให้เจอครูบาอาจารย์เหมือนเดิม ทำไมต้องลำบาก? ถ้าไม่ลำบากมันก็ไม่มีปัญญา ไม่อยากเกิด ไม่เห็นทุกข์ พอเข้ามาวัดมาก็ไม่อดทน ถ้าผ่านมาแล้วมันสบายทนได้ทุกสภาวะ อดอยากก็ทนได้ อดนอนก็ทนได้ คนรวยๆไม่เคยลำบากมาอยู่วัดส่วนใหญ่มันทนไม่ได้ นิดๆหน่อยๆไม่เอาแล้วกลับบ้านดีกว่า
...
...
ไปกราบสรงน้ำหลวงพ่อวันสงกรานต์ที่ผ่านมา ผมไปกราบท่านครั้งแรกปี49 แล้วสรงน้ำท่านประจำทุกปีตั้งแต่ปี52 รอบนี้ท่านบอกว่าเข้าพรรษาให้ลองเคร่งครัดถือศีล8อยู่บ้านดูซิ ให้ทำจริงๆจังๆ ผมก็คิดว่าปีนี้จะตั้งใจจริงๆสักที ที่ผ่านมาทำๆหยุดๆ ตื่นตีสาม สวดมนต์ไหว้พระเดินจงกลม หกโมงทำกับข้าว ทานข้าว แปดโมงออกทำงานไร่ ร้อนๆก็ไม่ไหวเหมือนกัน ครึ่งชม.ก็จะตายเอา ร่างกายไม่เหมือนเดิม พอล้าๆก็ไม่อยากตื่น ตื่นสาย ไม่เหมือนอยู่วัด เหนื่อยยังไงก็ต้องตื่นเพราะมีครูบาอาจารย์คอยสอดส่อง เหมือนตอนไปอยู่กับหลวงปู่ ตีสามตื่น กลางวันทำงานทั้งวันเหนื่อยมาก แต่มันกลับอยู่ได้สบาย นอนก็น้อย ทำงานก็หนัก มาอยู่ไร่ นอนก็มาก ทำงานน้อย แดดออกหน่อยร้อนแระ เข้ามาพักดีกว่า จะทำอันนี้ก็เดี๋ยวไว้ก่อนๆ สุดท้ายก็ไม่ได้ทำ
...
ตอนในหลวงจะสวรรคต1วัน ผมฝันว่าต้นไม้ใหญ่ล้ม เป็นภาพมุมสูงมองลงมาเหมือนดูแผนที่ ต้นไม้ต้นใหญ่ต้นเดียวล้มโค่นลง แต่ก็มีต้นไม้เล็กๆผุดขึ้นเต็มแผนที่เลย
เล่าให้ฟังเฉยๆครับ
มรณฺง เม ภวิสฺสติ ความตายจักมีแก่เรา
-
- Verified User
- โพสต์: 1219
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เล่าอะไรเรื่อยเปื่อย ครับ
โพสต์ที่ 6
มาติดตามเรื่องเล่าด้วยคนครับ
เยี่ยมมากเลยครับพี่
...
ผมมีทั้งภรรยาและลูกซึ่งเป็นสิ่งที่พี่ต้นให้หลีกเลี่ยงหากรักที่จะปฏิบัติธรรมแบบจริงจัง
แต่ไม่ทันแล้วครับ ผมเลยใช้ประโยชน์เรื่องการตามดูความหงุดหงิดตอนเด็กๆทำอะไรขัดใจเราไปแทน
ถ้าไม่เคยรู้เรื่องการดูจิตนี่ผมว่า ผมคงปรี๊ดแตกไปนับครั้งไม่ถ้วนแล้วครับ
ของผมเลยขอปฏิบัติแบบไม่จริงจังไปพลางๆก่อนน๊ะครับ
อ้อ...ถ้าพี่ฝันเห็นตัวเลข อย่าลืมกระซิบผมน๊ะครับ แฮ่...
เยี่ยมมากเลยครับพี่
...
ผมมีทั้งภรรยาและลูกซึ่งเป็นสิ่งที่พี่ต้นให้หลีกเลี่ยงหากรักที่จะปฏิบัติธรรมแบบจริงจัง
แต่ไม่ทันแล้วครับ ผมเลยใช้ประโยชน์เรื่องการตามดูความหงุดหงิดตอนเด็กๆทำอะไรขัดใจเราไปแทน
ถ้าไม่เคยรู้เรื่องการดูจิตนี่ผมว่า ผมคงปรี๊ดแตกไปนับครั้งไม่ถ้วนแล้วครับ
ของผมเลยขอปฏิบัติแบบไม่จริงจังไปพลางๆก่อนน๊ะครับ
อ้อ...ถ้าพี่ฝันเห็นตัวเลข อย่าลืมกระซิบผมน๊ะครับ แฮ่...
ซื้อหุ้นตัวที่เมื่อมองไปในอนาคตแล้ว ที่ปัจจุบันราคายัง undervalue ที่สุด
-
- Verified User
- โพสต์: 842
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เล่าอะไรเรื่อยเปื่อย ครับ
โพสต์ที่ 7
กำลังเพลินธรรมะท่านcobain_vi พอดี
ขอแทรกข่าววัดดอยธรรมเจดีย์ สกลนคร ฝากท่านเกล้าและเพื่อนๆนะครับ
วันที่7พค.นี้ หลวงปู่แบนท่านจะหล่อพระไปไว้ที่รพ.สกลนคร ให้ผู้ป่วย(ปกติจะใช้คำว่าคนไข้,ผู้ป่วยฮะ คนป่วยจะฟังดูปี้ป่นยังไงไม่รุ) และญาติไว้บูชา
น่าจะเป็นครั้งท้ายๆของหลวงปู่แบนแล้วนะครับ
ขอเชิญผู้มีวาสนาบารมีในกุศลธรรมในครั้งนี้ ไปร่วมด้วยตนเอง หรืออนุโมทนาด้วยเทอญ
สาธุ สาธุ สาธุ
ข่าวนี่กัลยาณมิตรของผมท่านนึงบอกมาครับ ไม่แน่ใจว่ากระจายข่าวแล้วจะทำให้วุ่นวายเกินไปหรือไม่ ขออโหสิกรรมให้ผมด้วยนะครับ
ขอแทรกข่าววัดดอยธรรมเจดีย์ สกลนคร ฝากท่านเกล้าและเพื่อนๆนะครับ
วันที่7พค.นี้ หลวงปู่แบนท่านจะหล่อพระไปไว้ที่รพ.สกลนคร ให้ผู้ป่วย(ปกติจะใช้คำว่าคนไข้,ผู้ป่วยฮะ คนป่วยจะฟังดูปี้ป่นยังไงไม่รุ) และญาติไว้บูชา
น่าจะเป็นครั้งท้ายๆของหลวงปู่แบนแล้วนะครับ
ขอเชิญผู้มีวาสนาบารมีในกุศลธรรมในครั้งนี้ ไปร่วมด้วยตนเอง หรืออนุโมทนาด้วยเทอญ
สาธุ สาธุ สาธุ
ข่าวนี่กัลยาณมิตรของผมท่านนึงบอกมาครับ ไม่แน่ใจว่ากระจายข่าวแล้วจะทำให้วุ่นวายเกินไปหรือไม่ ขออโหสิกรรมให้ผมด้วยนะครับ
samatah
-
- Verified User
- โพสต์: 4596
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เล่าอะไรเรื่อยเปื่อย ครับ
โพสต์ที่ 9
จะเข้ามาอ่านเรื่อยๆ ติดตามครับพี่ สาธุ
สีลํ พลํ อปฺปฏิมํ สีลํ อาวุธมุตฺตมํ
สีลํ อาภรณํ เสฏฺฐํ สีลํ กวจมพฺภุตํ
ศีลเป็นกำลังไม่มีที่เปรียบ ศีลเป็นอาวุธสูงสุด
ศีลเป็นเครื่องประดับอย่างประเสริฐสุด ศีลเป็นเกราะอย่างอัศจรรย์
สีลํ อาภรณํ เสฏฺฐํ สีลํ กวจมพฺภุตํ
ศีลเป็นกำลังไม่มีที่เปรียบ ศีลเป็นอาวุธสูงสุด
ศีลเป็นเครื่องประดับอย่างประเสริฐสุด ศีลเป็นเกราะอย่างอัศจรรย์
- mongkol
- Verified User
- โพสต์: 272
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เล่าอะไรเรื่อยเปื่อย ครับ
โพสต์ที่ 10
อนุโมทนาครับ
ถ้าคุณโคเบน สนใจปฏิบัตรจริงจัง ลองฟังของหลวงพ่อปราโมทย์ดูมั๊ยครับ
หาฟังในยูทูบได้เลย
ผมว่าเหมาะกับจริตคนยุคปัจจุบัน น่าจะปรับใช้ได้เยอะ
ต้นไม้เล็กผุดขึ้นสื่อถึงสิ่งใดหรือครับ
หมายถึงต้นไม้ใหญ่ ทำให้ต้นไม้เล็กทั้งหลายมีปัญญามากขึ้นรึเปล่าครับ
มาเล่าต่อนะครับ
ถ้าคุณโคเบน สนใจปฏิบัตรจริงจัง ลองฟังของหลวงพ่อปราโมทย์ดูมั๊ยครับ
หาฟังในยูทูบได้เลย
ผมว่าเหมาะกับจริตคนยุคปัจจุบัน น่าจะปรับใช้ได้เยอะ
ต้นไม้เล็กผุดขึ้นสื่อถึงสิ่งใดหรือครับ
หมายถึงต้นไม้ใหญ่ ทำให้ต้นไม้เล็กทั้งหลายมีปัญญามากขึ้นรึเปล่าครับ
มาเล่าต่อนะครับ
แก่นแท้ คือ "ความว่าง" นี่เอง
- tum_H
- Verified User
- โพสต์: 1857
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เล่าอะไรเรื่อยเปื่อย ครับ
โพสต์ที่ 11
ดูหัวข้อแล้วไม่เหมาะนะครับ เพราะไม่เรื่อยเปื่อย มีสาระดี (เพิ่งเจอกระทู้นี้)
มีโอกาสได้ไปทำบุญตักบาตร ฟังธรรม ทานข้าวที่วัดดอยธรรมเจดีย์ จ.สกลนคร กับหลวงปู่แบนเหมือนกันครับ บอกตามตรงว่าอัศจรรย์มากๆ ก่อนไปก็ตามอ่านในเวบต่างๆว่าเวลาตักบาตรประมาณกี่โมง ส่วนใหญ่บอก 7 โมงเช้า (สงสัยคงนานมาแล้ว) แต่จริงๆประมาณ 06.45 นะครับ (สงสัยวันธรรมดา) แต่ดีที่ไม่ประมาทเลยไปก่อนเวลานิดหน่อย
วันนั้นพอถึงวัด จอดรถแล้ว รีบบึ่งไปศาลาเลยครับ พอถึงศาลา หลวงปู่เดินตรงออกมาเลย เดินปรี่เข้ามาเลยครับ ผมนี่ขาอ่อนเลย คิดในใจว่า ซวยแล้ว ไม่น่าอธิฐานไว้เลย หลวงปู่ท่านจ้องมาชั่วครู่ แล้วก็ยิ้มอย่างมีเมตตา ผมก็ได้แต่นั่งพนมมือและยิ้มเหมือนกัน เพราะสมปรารถนา วันรุ่งขึ้นไปเร็วกว่าเดิม เจอหลวงปู่ยืนจ้องอยู่ใต้ร่มไม้ มาแต่ไกลเลยครับ สักพักท่านจึงขึ้นรถไปแป๊บนึ่ง
ฟังแต่พี่ cobain เล่า ไปเจอกับตัวเองเนี่ย รู้ซึ้งเลยครับ มีบุญจริงๆที่ได้ไปตักบาตรในครั้งนั้น ยิ่งตอนนั่งฟังธรรม สอึกไปอีกครั้ง เพราะมีประเด็นในใจก่อนมานิดหน่อย หลวงปู่ท่านเลยเทศน์ว่า “คนที่ตั้งใจละบาปอกุศล แม้คิดชั่วหรือทำเพียงเล็กน้อย ก็ร้อนลุ่มกระวนกระวาย” บอกเลยว่าวันนั้น เย็นไปทั้งตัวเลย ได้มาเจอกับตัว ยอมรับว่าอัศจรรย์มากๆครับ
บางอย่างก็เป็นเรื่องแปลก หลังๆมาเนี่ยยิ่งเจอมาขึ้น แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมากมายนะครับ พยายามเจริญสติไปเรื่อยๆ ทุกวันนี้เลยรู้สึกว่ามีความสุขมาก ที่ได้สละภาระหน้าที่การงานต่างๆออกไปได้เสียที จนตอนนี้เห็นจิตของตัวเองได้ดีขึ้นมากๆครับ
มีโอกาสได้ไปทำบุญตักบาตร ฟังธรรม ทานข้าวที่วัดดอยธรรมเจดีย์ จ.สกลนคร กับหลวงปู่แบนเหมือนกันครับ บอกตามตรงว่าอัศจรรย์มากๆ ก่อนไปก็ตามอ่านในเวบต่างๆว่าเวลาตักบาตรประมาณกี่โมง ส่วนใหญ่บอก 7 โมงเช้า (สงสัยคงนานมาแล้ว) แต่จริงๆประมาณ 06.45 นะครับ (สงสัยวันธรรมดา) แต่ดีที่ไม่ประมาทเลยไปก่อนเวลานิดหน่อย
วันนั้นพอถึงวัด จอดรถแล้ว รีบบึ่งไปศาลาเลยครับ พอถึงศาลา หลวงปู่เดินตรงออกมาเลย เดินปรี่เข้ามาเลยครับ ผมนี่ขาอ่อนเลย คิดในใจว่า ซวยแล้ว ไม่น่าอธิฐานไว้เลย หลวงปู่ท่านจ้องมาชั่วครู่ แล้วก็ยิ้มอย่างมีเมตตา ผมก็ได้แต่นั่งพนมมือและยิ้มเหมือนกัน เพราะสมปรารถนา วันรุ่งขึ้นไปเร็วกว่าเดิม เจอหลวงปู่ยืนจ้องอยู่ใต้ร่มไม้ มาแต่ไกลเลยครับ สักพักท่านจึงขึ้นรถไปแป๊บนึ่ง
ฟังแต่พี่ cobain เล่า ไปเจอกับตัวเองเนี่ย รู้ซึ้งเลยครับ มีบุญจริงๆที่ได้ไปตักบาตรในครั้งนั้น ยิ่งตอนนั่งฟังธรรม สอึกไปอีกครั้ง เพราะมีประเด็นในใจก่อนมานิดหน่อย หลวงปู่ท่านเลยเทศน์ว่า “คนที่ตั้งใจละบาปอกุศล แม้คิดชั่วหรือทำเพียงเล็กน้อย ก็ร้อนลุ่มกระวนกระวาย” บอกเลยว่าวันนั้น เย็นไปทั้งตัวเลย ได้มาเจอกับตัว ยอมรับว่าอัศจรรย์มากๆครับ
บางอย่างก็เป็นเรื่องแปลก หลังๆมาเนี่ยยิ่งเจอมาขึ้น แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมากมายนะครับ พยายามเจริญสติไปเรื่อยๆ ทุกวันนี้เลยรู้สึกว่ามีความสุขมาก ที่ได้สละภาระหน้าที่การงานต่างๆออกไปได้เสียที จนตอนนี้เห็นจิตของตัวเองได้ดีขึ้นมากๆครับ
ชาตินี้เป็นที่สุดแล้ว บัดนี้ไม่มีความเกิดอีก
-
- Verified User
- โพสต์: 358
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เล่าอะไรเรื่อยเปื่อย ครับ
โพสต์ที่ 12
มรณานุสติ
ผมเป็นคนชอบนึกถึงความตายบ่อยมาก ไม่รู้ทำไม เป็นตั้งแต่เด็ก ครั้งแรกที่รู้ว่าต้องตายตอนนั้นอายุประมาณ5ขวบ แม่ค้าก๋วยจั้บแถวบ้านตาย(เคยเล่าไว้ในเวปนี้เเหละ แต่อยู่ไหนไม่รู้แล้ว) ผมรู้ว่าคนเราเกิดมาต้องตายเป็นครั้งแรกใจมันสลดหงอย ซึมอยู่เป็นอาทิตย์เลย หลังจากนั้นก็นึกถึงบ่อยๆ มีอีกครั้งนึงตอนแปดขวบกำลังอาบน้ำ ได้ยินเสียงตามสาย(บ้านนอกสมัยก่อนตอนเช้าๆจะมีข่าวกระจายเสียงตามหมู่บ้าน ) ตอนข่าวจบจะมีธรรมะสั้นๆต่อท้าย ครั้งนั้นเสียงเค้าพูดว่า"เหตุเกิดผลก็เกิด เหตุดับผลก็ดับ...." ได้ยินแล้วใจมันดีดผางขึ้นมา กำลังจะอาบน้ำ จิตตั้งมั่นเด่นดวง ตั้งมั่น แล้วก็เฉยๆไปเพราะตอนนั้นภาวนาไม่เป็น พอช่วงวัยรุ่นก็ลืมๆไป
ผมลองสังเกตุดูเรื่องการพิจารณาความตายของตัวเอง พบว่าบางครั้งต้องมีอะไรมากระทบเช่นรู้ข่าวการตายของคนอื่น แล้วจะเข้ามาพิจารณาความตายของตัวเอง อีกแบบนึงคือพิจารณาความตายขึ้นเอง(คิดขึ้นมา)โดยไม่ต้องมีปัญจัยอะไรมากระตุ้น และอีกแบบนึงไม่ต้องคิดอยู่ๆมันพิจารณาเอง
ผมเคยเผชิญหน้ากับความตายหลายๆครั้งตั้งแต่เกิดมา แม่เล่าให้ฟังว่าวันคลอดไม่ยอมหายใจ หมอต้องต่อท่ออ้อกซิเจน ตัวนี่เขียวแล้ว แม่ว่านึกว่าเอ็งคงไม่รอด หลังจากนั้นก็หวุดหวิดตายหลายรอบ ตกน้ำตอน4ขวบ โดนรถชนตอน5ขวบ เป็นสารพัดโรค ขี้โรค แต่ไม่ถึงตาย แค่ทรมาน ฯลฯ
การนึกถึงความตายนั้นผมลองสังเกตุดูตัวเองพบว่า
1 คิดเเล้วสลดสังเวชใจ คิดว่าอีกหน่อยตัวเองต้องตาย พอเลิกคิดก็ฟุ้งซ่านไปตามอารมณ์เหมือนเดิม แต่ก็ยังดีที่ได้คิดอินทรีย์มันยังอ่อน แต่ก็ยังดีกว่าที่ไม่เคยคิด
2 คิดแล้วสลดสังเวชแล้วรีบขยันภาวนา คิดว่าความตายจะมาเมื่อไรไม่รู้ ไม่ประมาท รีบภาวนา เตรียมตัวรับมือกับมัน แบบนี้ดีมาก
สองแบบนี้แบบหลังอินทรีย์มากกว่าแบบแรก ครูบาอาจารย์บอกว่ามันเป็นสมถะ เป็นที่สุดแล้ว บางคนภาวนาใจไม่สงบคิดถึงอะไรๆก็ไม่สงบ บริกรรมก็แล้ว สุดท้ายให้ลองนึกถึงความตายดู ส่วนใหญ่จะสงบทุกคนเพราะมันเป็นที่สุดแล้วที่ความตาย
3 คิดพิจารณา(อัตโนมัติ)แล้วใจสงบ จิตเข้าสมาธิตามมา ตื้นบ้างลึกบ้างแล้วแต่ แบบนี้ผมเป็นบ่อย
4 สงบแล้วพิจารณาทางด้านปัญญา อันนี้นานๆเป็นที (นาน=เป็นปีๆ หลายปี ) เมื่อก่อนไม่เข้าใจเวลาพิจารณาความตายทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจ(อัตโนมัติ) จิตมันชอบเข้าไปพัก บางทีก็อัปณาสมาธิ บางครั้งก็อุปจารสมาธิ บางครั้งก็ขณิกะคือเเว้บๆ แล้วก็ไปพักอยู่เฉยๆพอหมดกำลังแล้วก็ถอนออกมา (ตามตำราการพิจารณาความตายเป็นสมถะ ไม่ถึงวิปัสสนา) ส่วนใหญ่ก็ได้แค่ชั้นสมถะจริงๆ ไม่ถึงวิปัสนาจริงๆ แต่มีอยู่ครั้งนึงผมจำได้ไม่ลืมเลย กำลังจะนอนหัวกำลังเอนนอน จิตมันไปพิจารณาความตายอัตโนมัติ ไม่มีอะไรจงใจให้เกิด(คงเป็นเพราะเราพิจารณาบ่อย) เป็นกุศลพ้นเจตนา อสังขาริก(พูดตามตำรา) จิตมันเข้าไปพักในอัปณาสมาธิ (ร่างกายหายไปเหลือแต่จิตดวงเดียว จะเรียกว่าอรูปก็ไม่ผิด พักเสร็จแล้วมันเดินปัญญาอัตโนมัติ (นี่ก็เป็นกุศลพ้นเจตนาเช่นกัน คือมันเดินวิปัสสนาเอง) เกิดเป็นความรู้ขึ้นมาทั้งโลกธาตุเป็นดินน้ำลมไฟ พ้นปัจจัยปรุงแต่ง ไม่มีอะไรปรุงแต่งถึง เป็นธาตุเดิม ร่างกายเราก็เป็นดินน้ำลมไฟ เสมอกันกับภายนอก นอกในเสมอกันด้วยธาตุ4เดิม จิตก็ทวนเข้าหาจิต ....(อันนี้เป็นคำพูดอธิบายนะครับ ของจริงละเอียดกว่านี้มาก) ที่เล่ามานี่เกิดชั่วขณะจิตเดียว พริบตาเดียว จะว่าไวกว่าฟ้าเเล็บก็ไม่ผิดตั้งแต่จิตพักเข้าอัปณาแล้วเดินปัญญาต่อ มันไวมากครับ อัศจรรย์มาก จิตมันกระจายเต็มโลกธาตุก็ไม่ผิด จะว่าดับไม่มีเหลือก็ไม่ผิด คำพูดสองอย่างนี่คนละขั้วเลย แต่สภาวะของจริงคืออันเดียวกัน หลังจากนั้นจิตก็กลับมาที่เดิมเหมือนตอนก่อนเกิดสภาวะนี้
เวลาเกิดสภาวะแบบนี้ขึ้นมานี่คุ้มค่ามากที่สุดแล้วครับ ภาวนามาแทบตายพากเพียรมาก็เพื่อสิ่งนี้แหละ ก่อนหน้านี้ก็เคยเป็นตอนปี2555 วันที่14เมษา จำได้เพราะเป็นวันสงกรานต์พอดี ไปสรงน้ำหลวงพ่อ ช่วงสงกรานต์ไปทุกปี ระหว่างรอหลวงพ่อลงมาที่ศาลาก็กวาดใบไม้รอท่าน กวาดอยู่ดีๆ จิตมันก็รวมอาการก็เป็นเหมือนที่เล่าผ่านมาเพียงแต่ว่าครั้งนั้นมันไวมาก ดูไม่ทัน เอาไปเล่าให้หลวงพ่อฟังก็อธิบายไม่ถูก แต่ละครั้งจะไม่ได้จงใจเจตนา ความคาดหมายไม่มี ความอยากใดๆก็ไม่มี มีแต่ความตั้งมั่นของจิต และทุกครั้งจิตจะเป็นกลางอย่างแท้จริง การกระทำของจิตหรือสังขารจะไม่มี(เวลาเราโกรธคือจิตไปทำงานคือโกรธ เวลาจิตไปโลภก็คือจิตทำงานหรือไหลไปโลภ) แต่จิตเป็นกลางคือจิตไม่ได้ไหลไปไหน จิตตั้งอยู่ที่จิตจริงๆ ไม่มีการทำงานหรือการกระทำใดๆของจิต ไม่ไหลออกนอก ไม่ไหลเข้าข้างใน(เพ่ง) จะว่าจิตเฉยๆก็ไม่ใช่
......
.....
เมื่อตอนสงกรานต์ที่ผ่านมาผมได้ไปกราบหลวงพ่อกับเพื่อน ท่านบอกว่าในพรรษานี้อยู่บ้านให้ลองภาวนารักษาศีล8ดูจริงๆจังๆดูซิ ท่านบอกหลายครั้งแล้วเรื่องภาวนา อย่าขี้เกียจ ท่านอุตส่าห์บอกตอนนี้เลยพักภาวนาอยู่ที่ไร่ จ.ระยอง หลวงพ่อท่านสั่งให้รักษาศีล8 ให้ภาวนาเต็มที่ดู คำพูดครูบาอาจารย์ท่านสั่งมาถ้าเราไม่ทำนี่คือประมาท ผ่านมาเดือนนึงเเล้วยังกระท่อนกระเเท่น สู้ตอนอยู่วัดไม่ได้ ความขี้เกียจนี่ทำยังไงก็ไม่หายเสียที ตื่นเช้าตีสามสวดมนต์ทำวัตรเข้า เดินจงกลมนั่งสมาธิ เสร็จแล้วไปนอนต่ออีก ฮา ตอนเช้าไปตลาดซื้อกับข้าวที่ตลาด เสร็จแล้ว ทำงานในไร่ ทำๆไปอย่างนั้นแหละ ดีกว่านั่งนอนเฉยๆ อีกหน่อยก็ขายที่บวชเเล้วต้นไม้คงจะไม่ทันโต พอแดดร้อนๆเข้ามาพักภาวนา ท่องปาฏิโมกข์ เดือนนึงแล้วได้ไม่เท่าไร ยากจริงๆ สำเนียงออกเสียงยาก(มคธ) บ่ายสามทำข้อวัตร (ถูบ้านขัดห้องน้ำ) เย็นๆออกทำงานไร่ หนึ่งทุ่มสวดมนต์ทำวัตรเย็น พยายามทำให้เหมือนว่าเราบวชอยู่วัดจริงๆ เป็นฆราวาสนี่จะทำแบบเคร่งครัดเหมือนพระนี่ยากจริงๆ นี่ขนาดอยู่คนเดียวไม่มีคนกวนยังยากมากๆ
.....
.....
ผมเป็นคนชอบนึกถึงความตายบ่อยมาก ไม่รู้ทำไม เป็นตั้งแต่เด็ก ครั้งแรกที่รู้ว่าต้องตายตอนนั้นอายุประมาณ5ขวบ แม่ค้าก๋วยจั้บแถวบ้านตาย(เคยเล่าไว้ในเวปนี้เเหละ แต่อยู่ไหนไม่รู้แล้ว) ผมรู้ว่าคนเราเกิดมาต้องตายเป็นครั้งแรกใจมันสลดหงอย ซึมอยู่เป็นอาทิตย์เลย หลังจากนั้นก็นึกถึงบ่อยๆ มีอีกครั้งนึงตอนแปดขวบกำลังอาบน้ำ ได้ยินเสียงตามสาย(บ้านนอกสมัยก่อนตอนเช้าๆจะมีข่าวกระจายเสียงตามหมู่บ้าน ) ตอนข่าวจบจะมีธรรมะสั้นๆต่อท้าย ครั้งนั้นเสียงเค้าพูดว่า"เหตุเกิดผลก็เกิด เหตุดับผลก็ดับ...." ได้ยินแล้วใจมันดีดผางขึ้นมา กำลังจะอาบน้ำ จิตตั้งมั่นเด่นดวง ตั้งมั่น แล้วก็เฉยๆไปเพราะตอนนั้นภาวนาไม่เป็น พอช่วงวัยรุ่นก็ลืมๆไป
ผมลองสังเกตุดูเรื่องการพิจารณาความตายของตัวเอง พบว่าบางครั้งต้องมีอะไรมากระทบเช่นรู้ข่าวการตายของคนอื่น แล้วจะเข้ามาพิจารณาความตายของตัวเอง อีกแบบนึงคือพิจารณาความตายขึ้นเอง(คิดขึ้นมา)โดยไม่ต้องมีปัญจัยอะไรมากระตุ้น และอีกแบบนึงไม่ต้องคิดอยู่ๆมันพิจารณาเอง
ผมเคยเผชิญหน้ากับความตายหลายๆครั้งตั้งแต่เกิดมา แม่เล่าให้ฟังว่าวันคลอดไม่ยอมหายใจ หมอต้องต่อท่ออ้อกซิเจน ตัวนี่เขียวแล้ว แม่ว่านึกว่าเอ็งคงไม่รอด หลังจากนั้นก็หวุดหวิดตายหลายรอบ ตกน้ำตอน4ขวบ โดนรถชนตอน5ขวบ เป็นสารพัดโรค ขี้โรค แต่ไม่ถึงตาย แค่ทรมาน ฯลฯ
การนึกถึงความตายนั้นผมลองสังเกตุดูตัวเองพบว่า
1 คิดเเล้วสลดสังเวชใจ คิดว่าอีกหน่อยตัวเองต้องตาย พอเลิกคิดก็ฟุ้งซ่านไปตามอารมณ์เหมือนเดิม แต่ก็ยังดีที่ได้คิดอินทรีย์มันยังอ่อน แต่ก็ยังดีกว่าที่ไม่เคยคิด
2 คิดแล้วสลดสังเวชแล้วรีบขยันภาวนา คิดว่าความตายจะมาเมื่อไรไม่รู้ ไม่ประมาท รีบภาวนา เตรียมตัวรับมือกับมัน แบบนี้ดีมาก
สองแบบนี้แบบหลังอินทรีย์มากกว่าแบบแรก ครูบาอาจารย์บอกว่ามันเป็นสมถะ เป็นที่สุดแล้ว บางคนภาวนาใจไม่สงบคิดถึงอะไรๆก็ไม่สงบ บริกรรมก็แล้ว สุดท้ายให้ลองนึกถึงความตายดู ส่วนใหญ่จะสงบทุกคนเพราะมันเป็นที่สุดแล้วที่ความตาย
3 คิดพิจารณา(อัตโนมัติ)แล้วใจสงบ จิตเข้าสมาธิตามมา ตื้นบ้างลึกบ้างแล้วแต่ แบบนี้ผมเป็นบ่อย
4 สงบแล้วพิจารณาทางด้านปัญญา อันนี้นานๆเป็นที (นาน=เป็นปีๆ หลายปี ) เมื่อก่อนไม่เข้าใจเวลาพิจารณาความตายทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจ(อัตโนมัติ) จิตมันชอบเข้าไปพัก บางทีก็อัปณาสมาธิ บางครั้งก็อุปจารสมาธิ บางครั้งก็ขณิกะคือเเว้บๆ แล้วก็ไปพักอยู่เฉยๆพอหมดกำลังแล้วก็ถอนออกมา (ตามตำราการพิจารณาความตายเป็นสมถะ ไม่ถึงวิปัสสนา) ส่วนใหญ่ก็ได้แค่ชั้นสมถะจริงๆ ไม่ถึงวิปัสนาจริงๆ แต่มีอยู่ครั้งนึงผมจำได้ไม่ลืมเลย กำลังจะนอนหัวกำลังเอนนอน จิตมันไปพิจารณาความตายอัตโนมัติ ไม่มีอะไรจงใจให้เกิด(คงเป็นเพราะเราพิจารณาบ่อย) เป็นกุศลพ้นเจตนา อสังขาริก(พูดตามตำรา) จิตมันเข้าไปพักในอัปณาสมาธิ (ร่างกายหายไปเหลือแต่จิตดวงเดียว จะเรียกว่าอรูปก็ไม่ผิด พักเสร็จแล้วมันเดินปัญญาอัตโนมัติ (นี่ก็เป็นกุศลพ้นเจตนาเช่นกัน คือมันเดินวิปัสสนาเอง) เกิดเป็นความรู้ขึ้นมาทั้งโลกธาตุเป็นดินน้ำลมไฟ พ้นปัจจัยปรุงแต่ง ไม่มีอะไรปรุงแต่งถึง เป็นธาตุเดิม ร่างกายเราก็เป็นดินน้ำลมไฟ เสมอกันกับภายนอก นอกในเสมอกันด้วยธาตุ4เดิม จิตก็ทวนเข้าหาจิต ....(อันนี้เป็นคำพูดอธิบายนะครับ ของจริงละเอียดกว่านี้มาก) ที่เล่ามานี่เกิดชั่วขณะจิตเดียว พริบตาเดียว จะว่าไวกว่าฟ้าเเล็บก็ไม่ผิดตั้งแต่จิตพักเข้าอัปณาแล้วเดินปัญญาต่อ มันไวมากครับ อัศจรรย์มาก จิตมันกระจายเต็มโลกธาตุก็ไม่ผิด จะว่าดับไม่มีเหลือก็ไม่ผิด คำพูดสองอย่างนี่คนละขั้วเลย แต่สภาวะของจริงคืออันเดียวกัน หลังจากนั้นจิตก็กลับมาที่เดิมเหมือนตอนก่อนเกิดสภาวะนี้
เวลาเกิดสภาวะแบบนี้ขึ้นมานี่คุ้มค่ามากที่สุดแล้วครับ ภาวนามาแทบตายพากเพียรมาก็เพื่อสิ่งนี้แหละ ก่อนหน้านี้ก็เคยเป็นตอนปี2555 วันที่14เมษา จำได้เพราะเป็นวันสงกรานต์พอดี ไปสรงน้ำหลวงพ่อ ช่วงสงกรานต์ไปทุกปี ระหว่างรอหลวงพ่อลงมาที่ศาลาก็กวาดใบไม้รอท่าน กวาดอยู่ดีๆ จิตมันก็รวมอาการก็เป็นเหมือนที่เล่าผ่านมาเพียงแต่ว่าครั้งนั้นมันไวมาก ดูไม่ทัน เอาไปเล่าให้หลวงพ่อฟังก็อธิบายไม่ถูก แต่ละครั้งจะไม่ได้จงใจเจตนา ความคาดหมายไม่มี ความอยากใดๆก็ไม่มี มีแต่ความตั้งมั่นของจิต และทุกครั้งจิตจะเป็นกลางอย่างแท้จริง การกระทำของจิตหรือสังขารจะไม่มี(เวลาเราโกรธคือจิตไปทำงานคือโกรธ เวลาจิตไปโลภก็คือจิตทำงานหรือไหลไปโลภ) แต่จิตเป็นกลางคือจิตไม่ได้ไหลไปไหน จิตตั้งอยู่ที่จิตจริงๆ ไม่มีการทำงานหรือการกระทำใดๆของจิต ไม่ไหลออกนอก ไม่ไหลเข้าข้างใน(เพ่ง) จะว่าจิตเฉยๆก็ไม่ใช่
......
.....
เมื่อตอนสงกรานต์ที่ผ่านมาผมได้ไปกราบหลวงพ่อกับเพื่อน ท่านบอกว่าในพรรษานี้อยู่บ้านให้ลองภาวนารักษาศีล8ดูจริงๆจังๆดูซิ ท่านบอกหลายครั้งแล้วเรื่องภาวนา อย่าขี้เกียจ ท่านอุตส่าห์บอกตอนนี้เลยพักภาวนาอยู่ที่ไร่ จ.ระยอง หลวงพ่อท่านสั่งให้รักษาศีล8 ให้ภาวนาเต็มที่ดู คำพูดครูบาอาจารย์ท่านสั่งมาถ้าเราไม่ทำนี่คือประมาท ผ่านมาเดือนนึงเเล้วยังกระท่อนกระเเท่น สู้ตอนอยู่วัดไม่ได้ ความขี้เกียจนี่ทำยังไงก็ไม่หายเสียที ตื่นเช้าตีสามสวดมนต์ทำวัตรเข้า เดินจงกลมนั่งสมาธิ เสร็จแล้วไปนอนต่ออีก ฮา ตอนเช้าไปตลาดซื้อกับข้าวที่ตลาด เสร็จแล้ว ทำงานในไร่ ทำๆไปอย่างนั้นแหละ ดีกว่านั่งนอนเฉยๆ อีกหน่อยก็ขายที่บวชเเล้วต้นไม้คงจะไม่ทันโต พอแดดร้อนๆเข้ามาพักภาวนา ท่องปาฏิโมกข์ เดือนนึงแล้วได้ไม่เท่าไร ยากจริงๆ สำเนียงออกเสียงยาก(มคธ) บ่ายสามทำข้อวัตร (ถูบ้านขัดห้องน้ำ) เย็นๆออกทำงานไร่ หนึ่งทุ่มสวดมนต์ทำวัตรเย็น พยายามทำให้เหมือนว่าเราบวชอยู่วัดจริงๆ เป็นฆราวาสนี่จะทำแบบเคร่งครัดเหมือนพระนี่ยากจริงๆ นี่ขนาดอยู่คนเดียวไม่มีคนกวนยังยากมากๆ
.....
.....
มรณฺง เม ภวิสฺสติ ความตายจักมีแก่เรา
- tum_H
- Verified User
- โพสต์: 1857
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เล่าอะไรเรื่อยเปื่อย ครับ
โพสต์ที่ 13
ขออนุโมทนาครับพี่cobain_vi เขียน:อีกหน่อยก็ขายที่บวชเเล้วต้นไม้คงจะไม่ทันโต
ผมว่าตอนนี้ผมปฏิบัติเองที่บ้านก็คล้ายๆกับพี่เลย แต่จะไปทำบุญด้วย เพราะอยากไปฟังเทศน์จากอาจารย์ต่างๆ ไปฟังท่านด่าแล้วรู้สึกว่ามันเกิดแรงฮึดและกำลังใจขึ้นมากตลอด เมื่อก่อนขี้เกียจ หลังๆทำทีล่ะน้อย ค่อยๆเพิ่ม รู้สึกว่าความเพียรมันมากขึ้นๆ
ฟังเรื่องกามราคะจาก พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต แล้วรู้สึกว่าเบาตัวลง , ฟังเรื่องความเพียรจาก หลวงพ่อจันทร์เรียน คุณวโร แล้วเกิดแรงฮึดขึ้นมามาก จากนั่งสมาธิได้ครั้งล่ะ 2 ชม ก็ได้เพิ่มเป็น 3 ชม ต่อครั้ง (แต่ก็ยังน้อยอยู่ ยิ่งถ้าจิตไม่รวมน่ะ อื้อหือ) ไปหาครูอาจารย์แต่ล่ะครั้ง ความเพียรก็เพิ่มขึ้นตาม หลวงพ่อจันทร์เรียน คุณวโร ท่านว่า พระของท่านนั่งสมาธิได้ 6-12 ชม ต่อครั้ง มันก็เกิดแรงฮึดว่า เราจะค่อยๆทำให้ได้อย่างนี้
อ่านปฏิปทาของหลวงปู่เจี๊ยะ จุนโท ท่านว่า สู้ตายโว้ย ก็จริงของท่านจริงๆ เพราะต้องสู้ยันตายถึงจะชนะอย่างครูอาจารย์ทั้งหลายที่กล่าวมา ดังนั้นหากวันนี้ยังไม่เห็นผล ก็ไม่ต้องท้อ เพราะความเพียรแค่นี้ จะเห็นผลได้อย่างไร ปัญญามันจะเกิดและกำกับเราแบบนี้
เมื่อก่อน สติปัฏฐาน 4 ไม่เข้าใจหรอก กาย เวทนา จิต ธรรม อ่านแล้วก็ได้ตามบาลี แต่พอเอากายมาตั้งตรงแล้วนั่งสมาธิ สติปัฏฐาน 2 มันก็เกิดเอง ปัญญามันก็รู้เองขึ้นมาว่า อ่อ นี่นะหรือ สติปัฏฐาน 2 ถ้าเราเพียรพยายามทำ ฝึกจนชำนาญ เราก็จะถึงได้ สติปัฏฐาน 3,4 เอง
สติปัฏฐาน 2 ตัวเด่นคือ เวทนา จะเห็นชัดเจนมาก ฝึกไปๆ สุดท้ายพอกิเลสมันเห็นเราเอาจริง มันจะเข้าลุมเราใหญ่เลย คือมันจะไม่ยอมให้เราชนะมันแน่ๆ พอเวทนาเกิด ปัญญามันจะเกิดตามขึ้นว่า อ่อ เวทนา ที่แสนเจ็บปวดนี้ ช่างน้อยนัก เมื่อเทียบกับทุกข์ของการเกิด เข้าสู่อริยสัจ ของพระพุทธเจ้าขึ้นมาเอง
เมื่อเราได้ชนะสักครั้งแล้ว กำลังใจเราจะหึกเหิมมากๆ ถึงแม้ครั้งต่อไปจะกลับมาแพ้อีก แต่ปัญญามันจะกำกับขึ้นมาเองว่า แพ้เพราะอะไร ความท้อถอยจะไม่มี แต่จะเกิดปัญญาว่า อ่อ แพ้เพราะแบบนี้ เอาใหม่ ลองใหม่ ขึ้นมาแทน
ตราบใดก็ตามที่ความเพียรยังน้อยอยู่ ความพ่ายแพ้ย่อมเป็นเรื่องปรกติ เมื่อปัญญารู้อย่างนี้ ย่อมไม่ส่งผลต่อใจ แต่กลับทำให้เกิดปัญญาการแก้ไขเกิดขึ้นว่า เอาอีก ยังเพียรน้อยอยู่ ครูอาจารย์ก็ต้องทำแบบนี้จนกว่าจะชนะเหมือนกัน
ยิ่งฆราวาสอย่างเราๆ หากหวังอริยผล ต้องสู้ยันตายจริงๆเหมือนกันครับ
ชาตินี้เป็นที่สุดแล้ว บัดนี้ไม่มีความเกิดอีก
-
- Verified User
- โพสต์: 358
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เล่าอะไรเรื่อยเปื่อย ครับ
โพสต์ที่ 14
ขออนุญาติบอกนิดนึงว่าที่ผมเล่ามานี่ไม่ได้ต้องการอวดอะไร ไม่ได้หวังอะไรจากใคร ไม่ได้คิดจะไปเปิดคอร์สเก็บตังค์แพงๆ ฮา คิดอยู่อย่างเดียวว่าอยากจะทดแทนบุญคุณเวปแห่งนี้ที่ทำให้ผมได้พออาศัยลอกหุ้น(ฮา) โดยเฉพาะในห้องร้อยคนร้อยหุ้น พอจะได้เลี้ยงชีพ
บางคนก็ใจดีเห็นผมไม่ค่อยได้ติดตามก็มาบอกหุ้นให้ เงินที่ได้มาที่เหลือใช้ผมเอาไปทำบุญหมดนะครับ ไม่เคยคิดสะสมอะไรมากมาย เพราะรู้แล้วว่าวันนึงมันก็ต้องกลายเป็นของคนอื่นต่อไป ของทุกอย่างเป็นของโลกแม้แต่ตัวเราเองก็เป็นของโลก ถ้าเราสละเองเราจะได้ยกระดับจิตใจตัวเอง แต่ถ้าเราโดนธรรมชาติบังคับให้สละ
เราจะไม่ได้อะไรเลย อีกอย่างนึงถ้าวันข้างหน้าผมได้มีโอกาสบวช เวลาบวชจะมาเล่าอะไรแบบนี้ไม่ได้มันผิดวินัย ถ้าจะเล่าก็ต้องเล่าตอนเป็นฆราวาสนี่แหละ
และก็ผมจะเล่าเท่าที่ผมรู้ ที่เคยผ่านมาแล้ว สิ่งใดที่ได้ฟังมาก็จะบอกว่าเคยฟังมาท่านเล่ามาเป็นแบบนี้นะๆ อันไหนที่ยังไม่เคยถ้าเป็นเรื่องคาดเดาก็จะบอกว่าผมคิดว่าอย่างนี้นะ ผมจะไม่เล่าอะไรที่ไม่เคยผ่านมาด้วยตัวเองคาดเดาเอาเอง แบบนี้จะไม่เล่านะครับ เพราะอันตรายไปเล่าสิ่งที่เราคาดเดา คาดหมาย แบบนี้ไม่ควรเล่า เพราะอันตรายต่อผู้ได้ฟัง ทำให้คนอื่นเข้าใจผิดนี่บาปมาก
บางคนเข้าใจผิด คิดว่าผมไปอยู่วัดบ่อยๆ คงไปทำบุญกับพระเยอะๆ ไม่ใช่เลยนะครับ ผมไปอยู่วัดครูบาอาจารย์ทำบุญก็ทำบุญใส่บาตรทั้วๆไป เงินที่ถวายพระก็นิดเดียว 500 1000 บาท ยกเว้นว่าถ้าท่านจะทำอะไรที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม เช่นสร้างโรงพยาบาล แบบนี้จะร่วมทำบุญกับท่านเยอะ ผมถือคติเป็นพระต้องจน อย่าเอา
อะไรไปกระตุ้นกิเลสท่าน และพระดีไม่ได้ต้องการอะไร เคยไปปวารณาครูบาอาจารย์เหมือนกันนะครับ กลับโดนท่านสอนด้วยซ้ำว่าอย่าไปปวาราณาส่งๆ พระไม่ดีมันเยอะ เราไม่ต้องการอะไร ไม่ขาดอะไร นี่ พระดีต้องเป็นเเบบนี้
ผมจะระวังมากเลยนะครับเรื่องการถวายเงิน ไม่เคยถวายเงินพระส่งๆเลย เจ้าประคู้นขอถวายเงิน...แล้วขอให้ลูกช้างเฮงๆ หมดทุกข์หมดโศก โชคลาภไหลมาเทมา เพี้ยง แบบนี้ไม่เคยเลยนะครับ หรือว่าเรามีโอกาสมาวัดแล้วต้องทำบุญสักอย่าง ออกจากวัดเราอาจจะตายก็ได้ งั้นทำบุญถวายเงินเยอะๆเลย เผื่อไม่มีโอกาสกลับมา เจอพระบอกแบบนี้ให้หนีห่างเลย พระเห็นแก่ได้ ตลบแตลงพลิกแพลงพูดหาลาภใส่ตัวแบบนี้
พระบางองค์รู้จักกันมานานถ้าเห็นว่าไม่ได้ใช้อะไรก็จะไม่ให้ ถ้าพอทราบว่าต้องการใช้เช่นต้องการซื้อตั๋วรถไปจะพรรษาที่อื่น ถ้ารู้ก็จะถวายปัจจัย แต่ก็ไม่เคยเลยที่ท่านจะมาขอหรือบอกเรา เราต้องเป็นคนสังเกตุเอาเอง อนาคตถ้าผมบวชได้มีโอกาสเจอกันก็ไม่ต้องเอาอะไรมาให้นะครับ ผมไม่ได้ต้องการอะไร
เวลาเราปฏิบัติธรรม มันจะค่อยๆดีขึ้นๆเรื่อยๆ ค่อยๆฉลาดขึ้น มันจะดีขึ้นอัตโนมัติ ค่อยๆสะสมไปทีละเล็กน้อย มันจะชำนาญขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่ว่า แหม อยากได้ธรรมะ ไปอยู่วัดสองเดือนเเล้วเราต้องได้ ปัญญาตัดโฉะ ทีเดียว สบายแระ ไม่ใช่อย่างนั้นนะครับ มันจะค่อยๆซึมซับ จะดีค่อยๆดีขึ้น บางคนก็ช้าบางคนก็เร็วแล้วแต่ว่าเราเคยทำมามากน้อยแค่ไหน เห็นครูบาอาจารย์บางองค์ภาวนาง่าย สองพรรษาก็ได้ธรรมะ บางองค์ห้าพรรษาได้อนาคาฯ บางท่านเจ็ดพรรษาได้อรหันต์ เพราะว่าท่านทำมาเยอะ บางคนทำมาน้อยภาวนากันแทบตายเป็นสิบๆปีไม่ได้อะไร เป็นฆราวาสยิ่งยากแต่ยังไงก็ต้องสู้ เพราะทางหลุดพ้นมีทางเดียว ไม่เอาตอนนี้ สุดท้ายก็ต้องกับมาทำแบบนี้อยู่ดีเพราะไม่มีทางอื่น แล้วจะมัวเสียเวลากับเรื่องอื่นๆอยู่ทำไม
เรื่องการทำสมาธื เท่าทีฟังๆมารู้สึกว่าจะเข้าใจผิดกันเยอะ ว่าถ้าจะให้ดีที่สุดต้องนั่งสมาธิให้ได้นานๆ ยิ่งนานยิ่งดี จะได้มีปัญญาเร็วๆ ง่ายๆ ความจริงมันก็มีส่วนถูก แต่ไม่ใช่ทั้งหมด บางคนนั่งนานหลายชั่วโมงแต่จิตไม่เคยได้สมาธิเลย อย่าว่าแต่สมาธิที่ใช้เจริญปัญญา สมาธิแบบสงบ(ฌาณ)ก็ไม่ได้เข้าใกล้เลย บางคนนั่งแป้บเดียวห้านาที แต่จิตเข้าสมาธิได้ลึก พร้อมทั้งเจริญปัญญาในขณะนั้นไปด้วย อย่าเอาไปเที่ยบกับครูบาอาจารย์ระดับท่านมันพ้นวิสัยคาดเดาของเราไปแล้วนะครับ บางทีเราเห็นท่านนั่งสมาธิแต่ทางในท่านอาจจะไปเที่ยวนรก สวรรค์ หรือซักซ้อมสมาธิเข้าออกให้ชำนาญ หรือเจริญปัญญาในส่วนอื่นๆอยู่ก็ได้ เคยถามท่านอยู่เหมือนกันท่านว่านั่งถึงสี่ทุ่มทุกวันแล้วก็พัก ตีสองก็เอาใหม่จนถึงเวลาทำวัตรเช้า ทำแบบนี้ทุกวัน ถามว่าทำไปทำไม ท่านบอกให้มันชำนาญ(ผมไม่ได้ถามว่าชำนาญด้านไหน ไม่กล้าถาม ท่านเป็นพระอรหันต์แล้วจะให้ชำนาญด้านไหนก็จนปัญญาคิดคาดเดา) ผมเองนั่งไม่เคยเกินชั่วโมงเลยเพราะปวดหลังแต่ไม่ใช่ปัญหา เพราะผมดูลมหายใจเเป้บเดียวจิตก็รวมแล้ว เมื่อก่อนชำนาญกว่านี้อีก และหลายๆครั้งที่เวลามีปัญญาพบว่าล้วนไม่ได้เกิดตอนนั่งสมาธิเลย บางทีก็ล้างจาน พรวนดิน กวาดลานวัด ฯลฯ ปัญญาที่แท้จริงมันเกิดตอนไหนก็ได้นะครับ บางองค์ก็เกิดตอนนั่งสมาธิ บางองค์ก็เกิดตอนบิณฑบาตร บางองค์ก็ตอนล้างบาตร แล้วแต่ว่ามันพอตอนไหน ก็ตอนนั้นแหละ
แต่ถ้านั้งสมาธิได้นานด้วย มีสมาธิทั้งสองแบบ แล้วเจริญปัญญาในขณะนั่งสมาธิด้วย แบบนี้สุดยอดเลยนะครับ
อีกเรื่องนึงที่คนชอบเข้าใจผิดคิดว่าตอนที่เราเจริญปัญญาได้คือตอนที่เรานั่งสมาธิอยู่ ความจริงไม่ได้เป็นอย่างนั้นนะครับ การเจริญปัญญาไม่จำเป็นต้องนั้งสมาธิ และก็ไม่จำเป็นด้วยว่าต้องได้สมาธิ ไม่จำเป็นว่าจะต้องทำฌาณก่อน เจริญปัญญาตอนไหนก็ได้ ไม่ต้องทำฌาณก่อนก็เจริญปัญญาได้ ครูบาอาจาย์สอนมา และผมก็เคยทำมาพบว่าไม่ต้องทำฌาณก่อนก็เจริญปัญญาได้ เจริญปัญญาก่อนเดี๋ยวฌาณมันตามมาเองทีหลัง หรือทำฌาณก่อนแล้วค่อยเจริญปัญญาก็ได้ หรือเจริญปัญญาแล้วจิตพลิกเข้าฌาณแล้วกลับมาเจริญปัญญาอัตโนมัติสลับไปมาแบบนี้ก็ได้ ผมเคยมาแล้วทั้งสามแบบ แล้วทำยังไง? ก็พิจารณาร่างกายเราก็ได้ ว่ามันดีมันสวยงามตรงไหน พิจาณา ผมขนเล็บฟันหนังก็ได้ พิจารณษอาการ32ก็ได้ พิจารณาเจตสิกก็ได้ เวทนา สัญญา สังขารการปรุงแต่งของจิตของร่างกายเราก็ได้ พิจารณาวิญญาณก็ได้ พิจารณาอายตนะก็ได้ พิจารณาความรู้ที่เกิดขึ้นทางตาทางหูทางจมูกทางลิ้นท่างกายก็ได้ว่ามันเกิดได้อย่างไร คนตายก็มีตามีหูมีจมูกฯลฯแต่ทำไมมีมีจุกขุวิญญาณฯลฯ คนตายก็มีอะไรครบทุกอย่างแต่ทำไมไม่มีมโณวิญญาณ พิจารณาแบบนี้ก็ได้ อะไรก็ได้อย่าให้ออกนอกกายเรา พิจารณาในส่วนร่างกายเราอะไรก็ได้ รูป จิต เจตสิก สามอย่างนี้ ส่วนนิพพานไว้ให้พระอริยะท่านทำ เราไม่เคยเห็นมันทำไม่ได้
อีกเรื่องนึงคนชอบถามว่าสติปัฐฐานสี่ เราใช้แบบไหนเจริญปัญญา ถ้าคนเพื่งเริ่มจะเอาอันไหนก็ได้คอยสังเกตุ เราชอบแบบไหน เวลาเราเจริญแบบไหนแล้วเราชอบ เราชำนาญ อันไหนที่เกิดบ่อยเอาอันนั้น แต่พอเราภาวนาไปเรื่อยๆ เราจะพบว่าทั้งสี่แบบเราไม่ได้หมายเลย อะไรก็ได้ อันไหนชัดก็อันนั้นแหละทั้งสี่แบบอ้ันไหนก็ได้ จะว่าชำนาญทั้งสี่แบบไหมมันก็คล้ายๆจะเป็นแบบนั้น เช่นเดินๆอยู่จิตไปเห็นร่างกายเคลื่อนไหว หรือเห็นเวทนาที่เกิดขึ้น หรือเห็นจิตทำงาน อะไรแบบนี้ มันอยู่ที่สติเราว่าไปชัดอยู่กับอันไหน จะอันไหนก็ได้เหมือนกันหมด ทั้งสี่อย่างอันเดียวกันหมดคือสตินั่นเอง มันจะไม่ได้แยกเหมือนตอนเราภาวนาใหม่ๆตอนที่ไม่ขำนาญว่าจะดูแต่กายอย่างเดียว หรือจะดูจิตอย่างเดียว ไม่ไช่อย่างนั้น
บางคนก็ใจดีเห็นผมไม่ค่อยได้ติดตามก็มาบอกหุ้นให้ เงินที่ได้มาที่เหลือใช้ผมเอาไปทำบุญหมดนะครับ ไม่เคยคิดสะสมอะไรมากมาย เพราะรู้แล้วว่าวันนึงมันก็ต้องกลายเป็นของคนอื่นต่อไป ของทุกอย่างเป็นของโลกแม้แต่ตัวเราเองก็เป็นของโลก ถ้าเราสละเองเราจะได้ยกระดับจิตใจตัวเอง แต่ถ้าเราโดนธรรมชาติบังคับให้สละ
เราจะไม่ได้อะไรเลย อีกอย่างนึงถ้าวันข้างหน้าผมได้มีโอกาสบวช เวลาบวชจะมาเล่าอะไรแบบนี้ไม่ได้มันผิดวินัย ถ้าจะเล่าก็ต้องเล่าตอนเป็นฆราวาสนี่แหละ
และก็ผมจะเล่าเท่าที่ผมรู้ ที่เคยผ่านมาแล้ว สิ่งใดที่ได้ฟังมาก็จะบอกว่าเคยฟังมาท่านเล่ามาเป็นแบบนี้นะๆ อันไหนที่ยังไม่เคยถ้าเป็นเรื่องคาดเดาก็จะบอกว่าผมคิดว่าอย่างนี้นะ ผมจะไม่เล่าอะไรที่ไม่เคยผ่านมาด้วยตัวเองคาดเดาเอาเอง แบบนี้จะไม่เล่านะครับ เพราะอันตรายไปเล่าสิ่งที่เราคาดเดา คาดหมาย แบบนี้ไม่ควรเล่า เพราะอันตรายต่อผู้ได้ฟัง ทำให้คนอื่นเข้าใจผิดนี่บาปมาก
บางคนเข้าใจผิด คิดว่าผมไปอยู่วัดบ่อยๆ คงไปทำบุญกับพระเยอะๆ ไม่ใช่เลยนะครับ ผมไปอยู่วัดครูบาอาจารย์ทำบุญก็ทำบุญใส่บาตรทั้วๆไป เงินที่ถวายพระก็นิดเดียว 500 1000 บาท ยกเว้นว่าถ้าท่านจะทำอะไรที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม เช่นสร้างโรงพยาบาล แบบนี้จะร่วมทำบุญกับท่านเยอะ ผมถือคติเป็นพระต้องจน อย่าเอา
อะไรไปกระตุ้นกิเลสท่าน และพระดีไม่ได้ต้องการอะไร เคยไปปวารณาครูบาอาจารย์เหมือนกันนะครับ กลับโดนท่านสอนด้วยซ้ำว่าอย่าไปปวาราณาส่งๆ พระไม่ดีมันเยอะ เราไม่ต้องการอะไร ไม่ขาดอะไร นี่ พระดีต้องเป็นเเบบนี้
ผมจะระวังมากเลยนะครับเรื่องการถวายเงิน ไม่เคยถวายเงินพระส่งๆเลย เจ้าประคู้นขอถวายเงิน...แล้วขอให้ลูกช้างเฮงๆ หมดทุกข์หมดโศก โชคลาภไหลมาเทมา เพี้ยง แบบนี้ไม่เคยเลยนะครับ หรือว่าเรามีโอกาสมาวัดแล้วต้องทำบุญสักอย่าง ออกจากวัดเราอาจจะตายก็ได้ งั้นทำบุญถวายเงินเยอะๆเลย เผื่อไม่มีโอกาสกลับมา เจอพระบอกแบบนี้ให้หนีห่างเลย พระเห็นแก่ได้ ตลบแตลงพลิกแพลงพูดหาลาภใส่ตัวแบบนี้
พระบางองค์รู้จักกันมานานถ้าเห็นว่าไม่ได้ใช้อะไรก็จะไม่ให้ ถ้าพอทราบว่าต้องการใช้เช่นต้องการซื้อตั๋วรถไปจะพรรษาที่อื่น ถ้ารู้ก็จะถวายปัจจัย แต่ก็ไม่เคยเลยที่ท่านจะมาขอหรือบอกเรา เราต้องเป็นคนสังเกตุเอาเอง อนาคตถ้าผมบวชได้มีโอกาสเจอกันก็ไม่ต้องเอาอะไรมาให้นะครับ ผมไม่ได้ต้องการอะไร
เวลาเราปฏิบัติธรรม มันจะค่อยๆดีขึ้นๆเรื่อยๆ ค่อยๆฉลาดขึ้น มันจะดีขึ้นอัตโนมัติ ค่อยๆสะสมไปทีละเล็กน้อย มันจะชำนาญขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่ว่า แหม อยากได้ธรรมะ ไปอยู่วัดสองเดือนเเล้วเราต้องได้ ปัญญาตัดโฉะ ทีเดียว สบายแระ ไม่ใช่อย่างนั้นนะครับ มันจะค่อยๆซึมซับ จะดีค่อยๆดีขึ้น บางคนก็ช้าบางคนก็เร็วแล้วแต่ว่าเราเคยทำมามากน้อยแค่ไหน เห็นครูบาอาจารย์บางองค์ภาวนาง่าย สองพรรษาก็ได้ธรรมะ บางองค์ห้าพรรษาได้อนาคาฯ บางท่านเจ็ดพรรษาได้อรหันต์ เพราะว่าท่านทำมาเยอะ บางคนทำมาน้อยภาวนากันแทบตายเป็นสิบๆปีไม่ได้อะไร เป็นฆราวาสยิ่งยากแต่ยังไงก็ต้องสู้ เพราะทางหลุดพ้นมีทางเดียว ไม่เอาตอนนี้ สุดท้ายก็ต้องกับมาทำแบบนี้อยู่ดีเพราะไม่มีทางอื่น แล้วจะมัวเสียเวลากับเรื่องอื่นๆอยู่ทำไม
เรื่องการทำสมาธื เท่าทีฟังๆมารู้สึกว่าจะเข้าใจผิดกันเยอะ ว่าถ้าจะให้ดีที่สุดต้องนั่งสมาธิให้ได้นานๆ ยิ่งนานยิ่งดี จะได้มีปัญญาเร็วๆ ง่ายๆ ความจริงมันก็มีส่วนถูก แต่ไม่ใช่ทั้งหมด บางคนนั่งนานหลายชั่วโมงแต่จิตไม่เคยได้สมาธิเลย อย่าว่าแต่สมาธิที่ใช้เจริญปัญญา สมาธิแบบสงบ(ฌาณ)ก็ไม่ได้เข้าใกล้เลย บางคนนั่งแป้บเดียวห้านาที แต่จิตเข้าสมาธิได้ลึก พร้อมทั้งเจริญปัญญาในขณะนั้นไปด้วย อย่าเอาไปเที่ยบกับครูบาอาจารย์ระดับท่านมันพ้นวิสัยคาดเดาของเราไปแล้วนะครับ บางทีเราเห็นท่านนั่งสมาธิแต่ทางในท่านอาจจะไปเที่ยวนรก สวรรค์ หรือซักซ้อมสมาธิเข้าออกให้ชำนาญ หรือเจริญปัญญาในส่วนอื่นๆอยู่ก็ได้ เคยถามท่านอยู่เหมือนกันท่านว่านั่งถึงสี่ทุ่มทุกวันแล้วก็พัก ตีสองก็เอาใหม่จนถึงเวลาทำวัตรเช้า ทำแบบนี้ทุกวัน ถามว่าทำไปทำไม ท่านบอกให้มันชำนาญ(ผมไม่ได้ถามว่าชำนาญด้านไหน ไม่กล้าถาม ท่านเป็นพระอรหันต์แล้วจะให้ชำนาญด้านไหนก็จนปัญญาคิดคาดเดา) ผมเองนั่งไม่เคยเกินชั่วโมงเลยเพราะปวดหลังแต่ไม่ใช่ปัญหา เพราะผมดูลมหายใจเเป้บเดียวจิตก็รวมแล้ว เมื่อก่อนชำนาญกว่านี้อีก และหลายๆครั้งที่เวลามีปัญญาพบว่าล้วนไม่ได้เกิดตอนนั่งสมาธิเลย บางทีก็ล้างจาน พรวนดิน กวาดลานวัด ฯลฯ ปัญญาที่แท้จริงมันเกิดตอนไหนก็ได้นะครับ บางองค์ก็เกิดตอนนั่งสมาธิ บางองค์ก็เกิดตอนบิณฑบาตร บางองค์ก็ตอนล้างบาตร แล้วแต่ว่ามันพอตอนไหน ก็ตอนนั้นแหละ
แต่ถ้านั้งสมาธิได้นานด้วย มีสมาธิทั้งสองแบบ แล้วเจริญปัญญาในขณะนั่งสมาธิด้วย แบบนี้สุดยอดเลยนะครับ
อีกเรื่องนึงที่คนชอบเข้าใจผิดคิดว่าตอนที่เราเจริญปัญญาได้คือตอนที่เรานั่งสมาธิอยู่ ความจริงไม่ได้เป็นอย่างนั้นนะครับ การเจริญปัญญาไม่จำเป็นต้องนั้งสมาธิ และก็ไม่จำเป็นด้วยว่าต้องได้สมาธิ ไม่จำเป็นว่าจะต้องทำฌาณก่อน เจริญปัญญาตอนไหนก็ได้ ไม่ต้องทำฌาณก่อนก็เจริญปัญญาได้ ครูบาอาจาย์สอนมา และผมก็เคยทำมาพบว่าไม่ต้องทำฌาณก่อนก็เจริญปัญญาได้ เจริญปัญญาก่อนเดี๋ยวฌาณมันตามมาเองทีหลัง หรือทำฌาณก่อนแล้วค่อยเจริญปัญญาก็ได้ หรือเจริญปัญญาแล้วจิตพลิกเข้าฌาณแล้วกลับมาเจริญปัญญาอัตโนมัติสลับไปมาแบบนี้ก็ได้ ผมเคยมาแล้วทั้งสามแบบ แล้วทำยังไง? ก็พิจารณาร่างกายเราก็ได้ ว่ามันดีมันสวยงามตรงไหน พิจาณา ผมขนเล็บฟันหนังก็ได้ พิจารณษอาการ32ก็ได้ พิจารณาเจตสิกก็ได้ เวทนา สัญญา สังขารการปรุงแต่งของจิตของร่างกายเราก็ได้ พิจารณาวิญญาณก็ได้ พิจารณาอายตนะก็ได้ พิจารณาความรู้ที่เกิดขึ้นทางตาทางหูทางจมูกทางลิ้นท่างกายก็ได้ว่ามันเกิดได้อย่างไร คนตายก็มีตามีหูมีจมูกฯลฯแต่ทำไมมีมีจุกขุวิญญาณฯลฯ คนตายก็มีอะไรครบทุกอย่างแต่ทำไมไม่มีมโณวิญญาณ พิจารณาแบบนี้ก็ได้ อะไรก็ได้อย่าให้ออกนอกกายเรา พิจารณาในส่วนร่างกายเราอะไรก็ได้ รูป จิต เจตสิก สามอย่างนี้ ส่วนนิพพานไว้ให้พระอริยะท่านทำ เราไม่เคยเห็นมันทำไม่ได้
อีกเรื่องนึงคนชอบถามว่าสติปัฐฐานสี่ เราใช้แบบไหนเจริญปัญญา ถ้าคนเพื่งเริ่มจะเอาอันไหนก็ได้คอยสังเกตุ เราชอบแบบไหน เวลาเราเจริญแบบไหนแล้วเราชอบ เราชำนาญ อันไหนที่เกิดบ่อยเอาอันนั้น แต่พอเราภาวนาไปเรื่อยๆ เราจะพบว่าทั้งสี่แบบเราไม่ได้หมายเลย อะไรก็ได้ อันไหนชัดก็อันนั้นแหละทั้งสี่แบบอ้ันไหนก็ได้ จะว่าชำนาญทั้งสี่แบบไหมมันก็คล้ายๆจะเป็นแบบนั้น เช่นเดินๆอยู่จิตไปเห็นร่างกายเคลื่อนไหว หรือเห็นเวทนาที่เกิดขึ้น หรือเห็นจิตทำงาน อะไรแบบนี้ มันอยู่ที่สติเราว่าไปชัดอยู่กับอันไหน จะอันไหนก็ได้เหมือนกันหมด ทั้งสี่อย่างอันเดียวกันหมดคือสตินั่นเอง มันจะไม่ได้แยกเหมือนตอนเราภาวนาใหม่ๆตอนที่ไม่ขำนาญว่าจะดูแต่กายอย่างเดียว หรือจะดูจิตอย่างเดียว ไม่ไช่อย่างนั้น
มรณฺง เม ภวิสฺสติ ความตายจักมีแก่เรา
-
- Verified User
- โพสต์: 358
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เล่าอะไรเรื่อยเปื่อย ครับ
โพสต์ที่ 15
เมื่ออาทิตย์ที่แล้วผมกินยาผิด ไปหยิบของเก่าที่หมดอายุแล้ว ไม่ได้ดูมันมองไม่ค่อยเห็น (เป็นยาแก้พวกโรคหอบหืด ขยายหลอดลม แก้แพ้ ผมเป็นโรคหอบหืดตั้งแต่อายุ14ทุกวันนี้ก็ยังต้องพ่นยาทุกวัน) ตอนดึกหัวใจจะวาย มันตื่นมาพร้อมกับอาการเจ็บหน้าอก หัวใจจะหยุดเต้น มันเจ็บทรมานมาก อยู่ในไร่คนเดียว ฝนก็ตกหนัก เคยจะตายมาหลายครั้ง แต่ละครั้งรู้สึกว่าเรายังภาวนาไม่ถึงขึ้น แม้ว่าจะไม่ดิ้นรนทางใจเหมือนเมื่อก่อน แต่ก็ยังมี มันยังไม่อยากตาย คิดว่าเราน่าจะภาวนาได้ดีกว่านี้ แล้วคนที่ไม่เคยฝึกจะเเค่ไหน เวลาจะตายจริงๆเวทนาทางกายจะหายไป เหลือแต่เวทนาทางใจล้วนๆ คนไม่เคยฝึกนี่ครูบาอาจารย์ท่านว่าร้อยละร้อยไปอบายหมด ดูๆไปคงเป็นอย่างนั้นจริงๆ จะตายบ่อยๆนี่ก็ดีนะครับ เหมือนมันมาเตือนอยู่บ่อยๆ
......
เมื่อตอนเรียนจบทำงานใหม่ๆ แม่ก็จะชอบบอกว่ามีครอบครัวแล้วมีลูกเสียสิ ตอนแก่ๆจะได้มีคนดูแล พอเจอเพื่อนเค้ามีครอบครัวมีลูกกันหมดเพื่อนก็จะมากดดันต่อว่ามึงมีเมียมีลูกเสียสิ ชีวิตจะได้สมบูรณ์ ตอนแก่จะได้มีคนดูแล ทุกคนพร้อมใจกันกดดันโดยไม่ได้นัดหมาย ฮา กดดันทุกครั้งที่เจอกัน เป็นอยู่หลายปี โชคดีที่ผมไม่บ้าจี้ตามเค้า บางทีก็ตอบโต้ไปบ้าง ว่า
-พวกเอ็งเชื่อหรือวะว่าลูกเอ็งจะมาดูแลจริงๆ ทำสัญญากันไว้ตั้งแต่เกิดเหรอ ลองดูคนรอบๆข้างที่แก่สิ มีลูกมาดูแลจริงไหม แล้วที่ว่าดูแลน่ะดูแลจริงหรือ?
-ทำไมจะต้องหวังพึ่งคนอื่น พึ่งตัวเองไม่ได้เหรอ?
-เอ็งแน่ใจนะว่าลูกเอ็งจะไม่ตายก่อน
บางทีก็เอาคำพูดครูบาอาจารย์มาเถียงเค้าว่า
-มีคนดูแล เอาสายโน่นสายนี่ยัดเพื่อที่จะมีชีวิตทรมานต่อไปเรื่อยๆ แล้วสุดท้ายตายไหม? ตายอยู่ดี ถ้าไม่มีคนดูแลเดี๋ยวมันก็ตายแล้ว ดีเสียอีกตายไวๆจะได้ไม่ทรมานนาน ไม่เกิน7วันก็ตายแล้ว
-เอาเวลาไปเลี้ยงคนอื่นไปดูแลคนอื่น มันมาจากไหนก็ไม่รู้ เราเองยังไม่รู้เลยว่ามาจากไหน เวลาหายไปเป็นสิบๆปี พอมันโตแล้วเราก็แก่ ชีวิตที่ควรเป็นของเรา แทนที่จะเอาเวลาไปฝึกจิตใจตัวเองหรือให้กับตัวเองต้องเอาไปให้คนอื่น แล้วก็ไม่เห็นได้อะไรเลย ดีไม่ดีไปทุกข์กับมันอีก บางทีก็ต้องไปเลี้ยงลูกมันต่อ เลี้ยงมันอยู่นี่แหละ
-บางทีเค้าก็บอกว่าเงินทอง ที่ดินจะเอาไปให้ใคร มีลูกเสียสิจะได้ให้ลูก ผมบอกว่าใช้เองสิ จะไปให้คนอื่นอื่นทำไม เอาไปช่วยเหลือคนอื่นก็ได้ คนที่ต้องการมีเยอะเเยะ เค้าก็จะบอกว่าให้ลูกสิเพราะเป็นลูกเรา ให้คนอื่นจะเหมือนลูกเราได้ไง (มองอะไรก็เห็นแต่ตัวเรา ลูกของเรา จะช่วยก็ต้องช่วยลูกหลานเรา ) บางทีผมก็ขี้เกียจเถียงก็เงียบๆไปเลย
.......
บางทีเราตัดสินใจอะไรไม่ได้ หรืออยากรู้ว่าถ้าเราเดินทางนี้หรือจะทำอย่างนี้เราจะเป็นอย่างไร หลายๆครั้งผมชอบไปเสี่ยงเซียมซี ก่อนไปก็อธิษฐาน สวนมนต์ไหว้พระ อธิษฐานไปจากบ้านก็ได้หรืออธิษฐานที่ตอนเสี่ยงเลยก็ได้ ไม่ต้องเขย่าเพราะเสียงมันจะไปรบกวนคนอื่นเค้า ให้หลับตาหยิบออกมาเลย ก่อนหยิบก็ทำจิตให้ว่าง หรือดูลมหายใจเข้าออกก็ได้ เเล้วจะพบว่าแม่นจนน่าอัศจรรย์ (วัดที่ผมไปบ่อยที่สุดคือวัดพนัญเชิง) ชอบไปไหว้พระ ถ้าจะเสี่ยงเซียมซีก็มักจะเป็นที่นี่(จริงๆขึ้นอยู่กับเรา ไปวัดไหนก็ได้ พระพุทธเจ้าองค์เดียวกัน) เวลาว่างๆผมชอบไปไหว้พระมันมีความรู้สึกว่ารักท่าน อยากเห็น อยากกราบ นั่งมองท่านได้เป็นชม.ๆ ไม่รู้เป็นไร เป็นมานานแล้ว บางทีก็คิดฟุ้งซ่านไปว่าถ้าให้เจอใครก็ได้ที่มีชีวิตอยู่หรือไม่มีชีวิตอยู่แล้ว บุคคลแรกที่จะขอเจอคือพระพุทธเจ้า
.......
ตอนเด็กเเม่ชอบพาไปวัดไปทำบุญ ชอบไปวิ่งเล่นในวัด พอไปบ่อยๆมันคุ้นเคย สังเกตุดูพระก็มักจะเมตตาเรามากกว่าเด็กคนอื่นๆ รู้สึกได้ เมื่อก่อนก็คิดว่าท่านคงเห็นเราไม่มีพ่อ ก็เลยเมตตาเรามากกว่าคนอื่นๆ แต่ก็ไม่ใช่เพราะตอนโตไปเข้าหาครูบาอาจารย์ ไปเจอพระก็รู้สึกว่าท่านเมตตาเรา
ใครที่มีลูกให้พาไปวัดบ่อยๆ พาเค้าไปไหว้พระ สวดมนต์ ไปทำบุญใส่บาตรบ่อยๆ หรือเปิดธรรมะๆให้เค้าฟังก็ได้ให้เค้าคุ้นเคยนะครับ
....
ธรรมชาติของจิตมันชอบหลงไปทางตาหูจมูก หลงไปคิด หลงลืมตัวเอง ธรรมชาติมันเป็นอย่างนั้น ลองบริกรรมไม่ให้มันออกไปคิดบังคับมันด้วยคำบริกรรม โห อกจะเเตก ทุกข์มาก ทรมานที่สุด ใจมันไม่ชอบ มันชอบออกไปเพลิดเพลิน ถ้ากั้นไม่ให้ออกไปเมื่อไรทุกข์ทันที ยิ่งมาพิจารณาร่างกายจิตใจ มันยิ่งไม่ชอบ ไม่กล้ายอมรับความจริง มันกลัวจะรู้ความจริง มันทนรับความจริงไม่ได้ มันเลยต้องออกไปเพลินเพลิน ถ้าเราหลงออกนอกเมื่อไร เมื่อนั้นมันดีใจสุดขีด มันหลงสุดขีด หลงจนลืมไปว่าเราหลงอยู่ ถ้าเราบังคับกลับมาเมื่อไร มาอยู่กับร่างกาย จิตใจ มันจะทุกข์สุดขีดเช่นกัน เพราะฉนั้นการปฏิบัติเพื่อที่จะรู้ความจริงนี่ต้องอดทนมากๆ
......
ผมเข้าหาครูบาอาจารย์มาหลายปี สิ่งนึงที่สังเกตุได้คือ แทบทุกท่านจะไม่ชอบให้เราไปอ่านหนังสือ ครูบาอาจารย์บางท่านนี่แค่เห็นซีดีธรรมมะหรือเห็นเราถือหนังสือไม่ได้ เห็นเมื่อไรโดนดุทันที ท่านบอกว่าอ่านไปก็ได้แต่ความจำ ยิ่งได้จำมากยิ่งภาวนายาก ถ้าภาวนาได้ก่อนไปอ่านทีหลังไม่เป็นไร เมื่อก่อนผมก็อ่านมากเข่นกัน แต่โชคดีที่จำได้ไม่นาน แป๊บเดียวก็ลืม(โชคดีมากเป็นคนจำอะไรได้ไม่นาน บางทีใครมาทำไม่ดีกับเรา ไม่เคยจำเลย) หนังสือซีดีที่อ่านและฟังส่วนใหญ่ก็เป็นของครูบาอาจารย์ที่เป็นพระ ของฆราวาสอ่านน้อยมาก (เคยแค่อ่านของลุงหวีด ท่านก.เขาสวนหลวง แค่นั้น) นอกนั้นไม่เคยเลย บางคนก็ชวนไปหาอาจารย์ท่านนั้นท่านนี้ที่เป็นฆราวาส ผมจะปฏิเสธตลอด ไม่เคยไปหาไปเรียน หรือแม้แต่อ่านหนังสือของเค้าเลย ขนาดพระสงฆ์เรายังแสกนแล้วแสกนอีก ไม่ใช่ไปหาส่งๆ เห็นใครบอกว่าเป็นพระอรหันต์แล้วจะเเตกตื่นไปหาไปกราบ เอาของไปถวายท่าน ไม่ได้เป็นอย่างนั้น.
ซีดีที่ฟังบ่อยที่สุดก็จะเป็นของหลวงพ่อปราโมทย์ ฟังตั้งแต่ปี49(แผ่นที่10หรือ12นี่แหละ )แผ่นแรกๆเสียงไม่ค่อยชัด แต่ก็ฟังทุกแผ่นๆนึงฟังไม่ต่ำกว่าร้อยรอบ (เฉพาะซีดีที่ท่านเทศน์ที่วัด ส่วนศาลาลุงชินหรือนอกสถานที่ไม่เคยฟังเลย) รองลงมาก็เป็นซีดีของหลวงตา หลวงปู่เทสก์ หลวงปู่แบน(หลังๆฟังบ่อยมาก) ฯลฯ
ฟังเพลินๆ ทำงานบ้านหรือทำอะไรก็ฟังไปด้วยทำงานไปด้วย แล้วก็พิจารณาตามท่านไปด้วย
เวลาสวดมนต์ก็ชอบพิจารณาบทสวดเหมือนกันโดยเฉพาะพระสูตรผมชอบมาก ต้องสวดทุกครั้งโดยเฉพาะอาทิตตยปริยยสูตร ท่องไปพิจารณาไป สวดมนต์นี่ได้อะไรมากกว่าที่คิดนะครับ ไม่ได้แค่ฝึกสมาธิอย่างเดียว บางทีได้เจริญปัญญาด้วย เช่น รูปเป็นของร้อน ตาเป็นของร้อน ความรู้ทางตาก็เป็นของร้อน ไม่เที่ยง ทนอยู่ไม่ได้ ราคะ โทสะ โมหะ เกิดขึ้นเพราะสิ่งเหล่านี้ฯลฯ เราควรเบื่อหน่าย ท่องไปลองพิจารณาตามไปด้วยนะครับ อย่าเห็นว่าไม่สำคัญ เพราะเราต้องพิจารณาของพวกนี้แหละ ภาวนามาถึงจุดนึงมันหนีไม่พ้น ยังไงก็ต้องมาพิจารณาสิ่งเหล่านี้
....
ความคิดความปรุงแต่งนี่น่ากลัวมาก ทำให้เราหลงได้ไม่มีที่สิ้นสุด มันหลอกล่อให้เราปรุงแต่งไปเรื่อยๆ จะมีรถไฟฟ้าไร้คนขับแล้ว อีกสิบปีจะมีนั่นจะมีนี่ โห ตื่นเต้นๆ โถ ลืมไป ตัวเองจะอยู่ถึงหรือป่าวก็ไม่รู้ จะอยู่ข้ามปีได้หรือป่าว จะตายวันตายพรุ่งอยู่แล้ว ถ้าเป็นเด็กๆก็ว่าไปอย่าง ลึกๆเพราะมันพอใจ อะไรก็ตามสุดท้ายมาเข้าตัวเองหมด ที่อยากนั่นอยากนี่ ตื่นเต้นเรื่องนั้นเรื่องนี้ เพราะหวังว่าจะเข้ามาสนองตัวเอง ตัวเองจะได้ดี ได้สบาย มีความสุข บางทีก็ปรุงต่อไปถึงลูกหลาน ไม่จบไม่สิ้น ความคิดนี่น่ากลัวจริงๆ
.....
กัลญาณมิตรมีความสำคัญมาก ผมโชคดีมากเพราะได้กัลญาณมิตรชั้นเลิศ คอยอบรมสั่งสอน ให้ข้อคิด แต่ละคำเห็นด้วยทุกประการค้านอะไรไม่ได้เลย เมื่อก่อนบางเรื่องก็ไม่เข้าใจ ตัวอย่างเช่น เมื่อก่อนชอบคิดว่าอยากมีเงินเยอะๆจะได้สบาย อยากนอนตื่นสาย ไม่อยากลำบากอีกแล้ว(โง่ถึงขนาดที่คิดว่า ได้กิน ได้เที่ยว ได้ใช้ของหรูหรา ไม่ต้องทำงาน นั่งๆนอนๆคือความสบาย) อยากเที่ยวเล่นเพลิดเพลินไปเรื่อยๆ พอมาเจอครูบาอาจารย์ ท่านบอก " กินๆ นอนๆ แล้วก็สืบพันธ์ ไม่ได้ทำอะไรให้เกิดประโยชน์ แม้กระทั่งตัวเองก็ไม่ได้อะไร แล้วก็ตายไปเปล่าๆ หาแก่นสารสาระอะไรไม่ได้เลย เค้าเรียกว่าคนรกโลก รกแผ่นดิน อย่าคิดนะว่ากินๆนอนๆไม่เปลืองทรัพยากรโลก! "
"มีเงินมากแค่ไหนก็ต้องทำงาน อาจจะเป็นงานที่ไม่ได้เงิน แต่เป็นงานที่ได้ช่วยเหลือผู้อื่น อย่าอยู่เฉยๆ หายใจทิ้งไปโดยเปล่าประโยชน์ ชีวิตเราเป็นของหายาก ได้มายาก ได้มาแล้วต้องทำความดีให้ถึงที่สุด ความดีแม้แต่เพียงเล็กน้อยก็อย่าไปเกี่ยง ทำให้เต็มที่ ทำให้สุดกำลัง"
"การเสียสละนี่เป็นสิ่งสำคัญ ยิ่งเสียสละมาก ไม่เห็นแก่ตัวเอง ยิ่งภาวนาง่าย ภาวนาได้ไว เพราะฉนั้นอย่าเห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อย อย่าเห็นแก่การหลับการนอน ใจมันจะเข้มแข็ง ไม่อ่อนแอ"
"ตื่นได้ ตื่นเสีย ตื่นสมมุติ คิดเป็นจริงเป็นจัง เป็นตัวเป็นตนขึ้นมาจริงๆ เพราะความหลง ไม่รู้เท่าทัน สถานีโลกทุกคนผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ไม่มีใครตกค้างเลยสักคน แล้วก็ไม่มีใครได้อะไรไปจริงๆ ทุกอย่างเป็นภาพมายา เป็นของสมมุติ "
แรกๆเข้าหาครูบาอาจารย์ก็กลัว เพราะไม่มั่นใจในตัวเอง กลัวท่านรู้จิต กลัวท่านดุ กลัวสารพัด ค่อยๆพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ เดี๋ยวนี้ไม่กลัวแล้ว มีแต่ความคิดถึง เคารพท่าน
ถ้าเราหาคนที่ดีกว่าเรา คุณธรรมสูงกว่าเราไม่ได้ อยู่คนเดียวดีกว่า ฟังซีดีอ่านหนังสือธรรมะไปนี่แหละ ไม่ต้องไปคลุกคลีกับใคร เมื่อก่อนผมติดเพื่อนมาก ตื่นมาต้องควานหาแล้วว่าเพื่อนอยู่ไหน จะไปเที่ยวเล่นไหนกันดี เดี๋ยวนี้ไม่ได้คบใครเลย มันจะห่างๆออกมาเองวันๆไม่มีใครโทรมาเพราะเราไม่เคยโทรหาใคร ไม่มีใครมาหาเพราะเราไม่ไปหาใคร มันพอใจที่จะอยู่คนเดียว ไม่มีความเหงา ไม่อยากเจอใคร ไม่อยากให้ใครมากวน อยากจะภาวนาเงียบๆนคนเดียว มีความรู้สึกว่าการอยู่กับคนอื่นคือภาระ ต้องคอยระวังคำพูดไม่ให้ไปล่วงเกิน ฯลฯ ถ้าอยู่คนเดียวสบาย ไม่ได้ว่าใคร ไม่ได้ทำร้ายใคร ไม่ได้ยืมเงินใคร (ฮา) กลายเป็นการรักษาศีล5อัตโนมัติ ความคิด มุมมองก็ไม่เหมือนเดิน มันจะห่างๆออกมา ห่างจากความวุ่นวาย ความกระทบกระทั่งกัน แม้แต่ความทุกข์ก็อยู่ห่างๆ มาไม่ถึงเรา มีเหตุการณ์วุ่นวายอะไรมาก็เหมือนอยู่ห่างๆ เหมือนเราอยู่คนละโลก
#สุดยอดการลงทุนที่แท้จริงคือ ศีล สมาธิ ปัญญา ลงทุนน้อยไม่เสียเงินแม้แต่บาทเดียว แต่ผลที่ได้สุดแสนคุ้ม (ยิ่งกว่าดันโด ยิ่งกว่าหุ้นแสนเด้งอีกนะ)
#ดูงบการเงินเก่งแค่ไหน ก็สู้ดูจิตใจของตัวเองไม่ได้
.....
ใครที่เขียนอะไรมา ผมต้องขออนุญาติไม่ตอบนะครับ เดี๋ยวจะยาวไป
ขอโทษด้วยจริงๆ ขอฟุ้งซ่านคนเดียวพอ
ถ้าใครจะถามอะไรก็ทาง pm เท่านั้นนะครับ พอตอบได้ก็ตอบ
......
เมื่อตอนเรียนจบทำงานใหม่ๆ แม่ก็จะชอบบอกว่ามีครอบครัวแล้วมีลูกเสียสิ ตอนแก่ๆจะได้มีคนดูแล พอเจอเพื่อนเค้ามีครอบครัวมีลูกกันหมดเพื่อนก็จะมากดดันต่อว่ามึงมีเมียมีลูกเสียสิ ชีวิตจะได้สมบูรณ์ ตอนแก่จะได้มีคนดูแล ทุกคนพร้อมใจกันกดดันโดยไม่ได้นัดหมาย ฮา กดดันทุกครั้งที่เจอกัน เป็นอยู่หลายปี โชคดีที่ผมไม่บ้าจี้ตามเค้า บางทีก็ตอบโต้ไปบ้าง ว่า
-พวกเอ็งเชื่อหรือวะว่าลูกเอ็งจะมาดูแลจริงๆ ทำสัญญากันไว้ตั้งแต่เกิดเหรอ ลองดูคนรอบๆข้างที่แก่สิ มีลูกมาดูแลจริงไหม แล้วที่ว่าดูแลน่ะดูแลจริงหรือ?
-ทำไมจะต้องหวังพึ่งคนอื่น พึ่งตัวเองไม่ได้เหรอ?
-เอ็งแน่ใจนะว่าลูกเอ็งจะไม่ตายก่อน
บางทีก็เอาคำพูดครูบาอาจารย์มาเถียงเค้าว่า
-มีคนดูแล เอาสายโน่นสายนี่ยัดเพื่อที่จะมีชีวิตทรมานต่อไปเรื่อยๆ แล้วสุดท้ายตายไหม? ตายอยู่ดี ถ้าไม่มีคนดูแลเดี๋ยวมันก็ตายแล้ว ดีเสียอีกตายไวๆจะได้ไม่ทรมานนาน ไม่เกิน7วันก็ตายแล้ว
-เอาเวลาไปเลี้ยงคนอื่นไปดูแลคนอื่น มันมาจากไหนก็ไม่รู้ เราเองยังไม่รู้เลยว่ามาจากไหน เวลาหายไปเป็นสิบๆปี พอมันโตแล้วเราก็แก่ ชีวิตที่ควรเป็นของเรา แทนที่จะเอาเวลาไปฝึกจิตใจตัวเองหรือให้กับตัวเองต้องเอาไปให้คนอื่น แล้วก็ไม่เห็นได้อะไรเลย ดีไม่ดีไปทุกข์กับมันอีก บางทีก็ต้องไปเลี้ยงลูกมันต่อ เลี้ยงมันอยู่นี่แหละ
-บางทีเค้าก็บอกว่าเงินทอง ที่ดินจะเอาไปให้ใคร มีลูกเสียสิจะได้ให้ลูก ผมบอกว่าใช้เองสิ จะไปให้คนอื่นอื่นทำไม เอาไปช่วยเหลือคนอื่นก็ได้ คนที่ต้องการมีเยอะเเยะ เค้าก็จะบอกว่าให้ลูกสิเพราะเป็นลูกเรา ให้คนอื่นจะเหมือนลูกเราได้ไง (มองอะไรก็เห็นแต่ตัวเรา ลูกของเรา จะช่วยก็ต้องช่วยลูกหลานเรา ) บางทีผมก็ขี้เกียจเถียงก็เงียบๆไปเลย
.......
บางทีเราตัดสินใจอะไรไม่ได้ หรืออยากรู้ว่าถ้าเราเดินทางนี้หรือจะทำอย่างนี้เราจะเป็นอย่างไร หลายๆครั้งผมชอบไปเสี่ยงเซียมซี ก่อนไปก็อธิษฐาน สวนมนต์ไหว้พระ อธิษฐานไปจากบ้านก็ได้หรืออธิษฐานที่ตอนเสี่ยงเลยก็ได้ ไม่ต้องเขย่าเพราะเสียงมันจะไปรบกวนคนอื่นเค้า ให้หลับตาหยิบออกมาเลย ก่อนหยิบก็ทำจิตให้ว่าง หรือดูลมหายใจเข้าออกก็ได้ เเล้วจะพบว่าแม่นจนน่าอัศจรรย์ (วัดที่ผมไปบ่อยที่สุดคือวัดพนัญเชิง) ชอบไปไหว้พระ ถ้าจะเสี่ยงเซียมซีก็มักจะเป็นที่นี่(จริงๆขึ้นอยู่กับเรา ไปวัดไหนก็ได้ พระพุทธเจ้าองค์เดียวกัน) เวลาว่างๆผมชอบไปไหว้พระมันมีความรู้สึกว่ารักท่าน อยากเห็น อยากกราบ นั่งมองท่านได้เป็นชม.ๆ ไม่รู้เป็นไร เป็นมานานแล้ว บางทีก็คิดฟุ้งซ่านไปว่าถ้าให้เจอใครก็ได้ที่มีชีวิตอยู่หรือไม่มีชีวิตอยู่แล้ว บุคคลแรกที่จะขอเจอคือพระพุทธเจ้า
.......
ตอนเด็กเเม่ชอบพาไปวัดไปทำบุญ ชอบไปวิ่งเล่นในวัด พอไปบ่อยๆมันคุ้นเคย สังเกตุดูพระก็มักจะเมตตาเรามากกว่าเด็กคนอื่นๆ รู้สึกได้ เมื่อก่อนก็คิดว่าท่านคงเห็นเราไม่มีพ่อ ก็เลยเมตตาเรามากกว่าคนอื่นๆ แต่ก็ไม่ใช่เพราะตอนโตไปเข้าหาครูบาอาจารย์ ไปเจอพระก็รู้สึกว่าท่านเมตตาเรา
ใครที่มีลูกให้พาไปวัดบ่อยๆ พาเค้าไปไหว้พระ สวดมนต์ ไปทำบุญใส่บาตรบ่อยๆ หรือเปิดธรรมะๆให้เค้าฟังก็ได้ให้เค้าคุ้นเคยนะครับ
....
ธรรมชาติของจิตมันชอบหลงไปทางตาหูจมูก หลงไปคิด หลงลืมตัวเอง ธรรมชาติมันเป็นอย่างนั้น ลองบริกรรมไม่ให้มันออกไปคิดบังคับมันด้วยคำบริกรรม โห อกจะเเตก ทุกข์มาก ทรมานที่สุด ใจมันไม่ชอบ มันชอบออกไปเพลิดเพลิน ถ้ากั้นไม่ให้ออกไปเมื่อไรทุกข์ทันที ยิ่งมาพิจารณาร่างกายจิตใจ มันยิ่งไม่ชอบ ไม่กล้ายอมรับความจริง มันกลัวจะรู้ความจริง มันทนรับความจริงไม่ได้ มันเลยต้องออกไปเพลินเพลิน ถ้าเราหลงออกนอกเมื่อไร เมื่อนั้นมันดีใจสุดขีด มันหลงสุดขีด หลงจนลืมไปว่าเราหลงอยู่ ถ้าเราบังคับกลับมาเมื่อไร มาอยู่กับร่างกาย จิตใจ มันจะทุกข์สุดขีดเช่นกัน เพราะฉนั้นการปฏิบัติเพื่อที่จะรู้ความจริงนี่ต้องอดทนมากๆ
......
ผมเข้าหาครูบาอาจารย์มาหลายปี สิ่งนึงที่สังเกตุได้คือ แทบทุกท่านจะไม่ชอบให้เราไปอ่านหนังสือ ครูบาอาจารย์บางท่านนี่แค่เห็นซีดีธรรมมะหรือเห็นเราถือหนังสือไม่ได้ เห็นเมื่อไรโดนดุทันที ท่านบอกว่าอ่านไปก็ได้แต่ความจำ ยิ่งได้จำมากยิ่งภาวนายาก ถ้าภาวนาได้ก่อนไปอ่านทีหลังไม่เป็นไร เมื่อก่อนผมก็อ่านมากเข่นกัน แต่โชคดีที่จำได้ไม่นาน แป๊บเดียวก็ลืม(โชคดีมากเป็นคนจำอะไรได้ไม่นาน บางทีใครมาทำไม่ดีกับเรา ไม่เคยจำเลย) หนังสือซีดีที่อ่านและฟังส่วนใหญ่ก็เป็นของครูบาอาจารย์ที่เป็นพระ ของฆราวาสอ่านน้อยมาก (เคยแค่อ่านของลุงหวีด ท่านก.เขาสวนหลวง แค่นั้น) นอกนั้นไม่เคยเลย บางคนก็ชวนไปหาอาจารย์ท่านนั้นท่านนี้ที่เป็นฆราวาส ผมจะปฏิเสธตลอด ไม่เคยไปหาไปเรียน หรือแม้แต่อ่านหนังสือของเค้าเลย ขนาดพระสงฆ์เรายังแสกนแล้วแสกนอีก ไม่ใช่ไปหาส่งๆ เห็นใครบอกว่าเป็นพระอรหันต์แล้วจะเเตกตื่นไปหาไปกราบ เอาของไปถวายท่าน ไม่ได้เป็นอย่างนั้น.
ซีดีที่ฟังบ่อยที่สุดก็จะเป็นของหลวงพ่อปราโมทย์ ฟังตั้งแต่ปี49(แผ่นที่10หรือ12นี่แหละ )แผ่นแรกๆเสียงไม่ค่อยชัด แต่ก็ฟังทุกแผ่นๆนึงฟังไม่ต่ำกว่าร้อยรอบ (เฉพาะซีดีที่ท่านเทศน์ที่วัด ส่วนศาลาลุงชินหรือนอกสถานที่ไม่เคยฟังเลย) รองลงมาก็เป็นซีดีของหลวงตา หลวงปู่เทสก์ หลวงปู่แบน(หลังๆฟังบ่อยมาก) ฯลฯ
ฟังเพลินๆ ทำงานบ้านหรือทำอะไรก็ฟังไปด้วยทำงานไปด้วย แล้วก็พิจารณาตามท่านไปด้วย
เวลาสวดมนต์ก็ชอบพิจารณาบทสวดเหมือนกันโดยเฉพาะพระสูตรผมชอบมาก ต้องสวดทุกครั้งโดยเฉพาะอาทิตตยปริยยสูตร ท่องไปพิจารณาไป สวดมนต์นี่ได้อะไรมากกว่าที่คิดนะครับ ไม่ได้แค่ฝึกสมาธิอย่างเดียว บางทีได้เจริญปัญญาด้วย เช่น รูปเป็นของร้อน ตาเป็นของร้อน ความรู้ทางตาก็เป็นของร้อน ไม่เที่ยง ทนอยู่ไม่ได้ ราคะ โทสะ โมหะ เกิดขึ้นเพราะสิ่งเหล่านี้ฯลฯ เราควรเบื่อหน่าย ท่องไปลองพิจารณาตามไปด้วยนะครับ อย่าเห็นว่าไม่สำคัญ เพราะเราต้องพิจารณาของพวกนี้แหละ ภาวนามาถึงจุดนึงมันหนีไม่พ้น ยังไงก็ต้องมาพิจารณาสิ่งเหล่านี้
....
ความคิดความปรุงแต่งนี่น่ากลัวมาก ทำให้เราหลงได้ไม่มีที่สิ้นสุด มันหลอกล่อให้เราปรุงแต่งไปเรื่อยๆ จะมีรถไฟฟ้าไร้คนขับแล้ว อีกสิบปีจะมีนั่นจะมีนี่ โห ตื่นเต้นๆ โถ ลืมไป ตัวเองจะอยู่ถึงหรือป่าวก็ไม่รู้ จะอยู่ข้ามปีได้หรือป่าว จะตายวันตายพรุ่งอยู่แล้ว ถ้าเป็นเด็กๆก็ว่าไปอย่าง ลึกๆเพราะมันพอใจ อะไรก็ตามสุดท้ายมาเข้าตัวเองหมด ที่อยากนั่นอยากนี่ ตื่นเต้นเรื่องนั้นเรื่องนี้ เพราะหวังว่าจะเข้ามาสนองตัวเอง ตัวเองจะได้ดี ได้สบาย มีความสุข บางทีก็ปรุงต่อไปถึงลูกหลาน ไม่จบไม่สิ้น ความคิดนี่น่ากลัวจริงๆ
.....
กัลญาณมิตรมีความสำคัญมาก ผมโชคดีมากเพราะได้กัลญาณมิตรชั้นเลิศ คอยอบรมสั่งสอน ให้ข้อคิด แต่ละคำเห็นด้วยทุกประการค้านอะไรไม่ได้เลย เมื่อก่อนบางเรื่องก็ไม่เข้าใจ ตัวอย่างเช่น เมื่อก่อนชอบคิดว่าอยากมีเงินเยอะๆจะได้สบาย อยากนอนตื่นสาย ไม่อยากลำบากอีกแล้ว(โง่ถึงขนาดที่คิดว่า ได้กิน ได้เที่ยว ได้ใช้ของหรูหรา ไม่ต้องทำงาน นั่งๆนอนๆคือความสบาย) อยากเที่ยวเล่นเพลิดเพลินไปเรื่อยๆ พอมาเจอครูบาอาจารย์ ท่านบอก " กินๆ นอนๆ แล้วก็สืบพันธ์ ไม่ได้ทำอะไรให้เกิดประโยชน์ แม้กระทั่งตัวเองก็ไม่ได้อะไร แล้วก็ตายไปเปล่าๆ หาแก่นสารสาระอะไรไม่ได้เลย เค้าเรียกว่าคนรกโลก รกแผ่นดิน อย่าคิดนะว่ากินๆนอนๆไม่เปลืองทรัพยากรโลก! "
"มีเงินมากแค่ไหนก็ต้องทำงาน อาจจะเป็นงานที่ไม่ได้เงิน แต่เป็นงานที่ได้ช่วยเหลือผู้อื่น อย่าอยู่เฉยๆ หายใจทิ้งไปโดยเปล่าประโยชน์ ชีวิตเราเป็นของหายาก ได้มายาก ได้มาแล้วต้องทำความดีให้ถึงที่สุด ความดีแม้แต่เพียงเล็กน้อยก็อย่าไปเกี่ยง ทำให้เต็มที่ ทำให้สุดกำลัง"
"การเสียสละนี่เป็นสิ่งสำคัญ ยิ่งเสียสละมาก ไม่เห็นแก่ตัวเอง ยิ่งภาวนาง่าย ภาวนาได้ไว เพราะฉนั้นอย่าเห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อย อย่าเห็นแก่การหลับการนอน ใจมันจะเข้มแข็ง ไม่อ่อนแอ"
"ตื่นได้ ตื่นเสีย ตื่นสมมุติ คิดเป็นจริงเป็นจัง เป็นตัวเป็นตนขึ้นมาจริงๆ เพราะความหลง ไม่รู้เท่าทัน สถานีโลกทุกคนผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ไม่มีใครตกค้างเลยสักคน แล้วก็ไม่มีใครได้อะไรไปจริงๆ ทุกอย่างเป็นภาพมายา เป็นของสมมุติ "
แรกๆเข้าหาครูบาอาจารย์ก็กลัว เพราะไม่มั่นใจในตัวเอง กลัวท่านรู้จิต กลัวท่านดุ กลัวสารพัด ค่อยๆพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ เดี๋ยวนี้ไม่กลัวแล้ว มีแต่ความคิดถึง เคารพท่าน
ถ้าเราหาคนที่ดีกว่าเรา คุณธรรมสูงกว่าเราไม่ได้ อยู่คนเดียวดีกว่า ฟังซีดีอ่านหนังสือธรรมะไปนี่แหละ ไม่ต้องไปคลุกคลีกับใคร เมื่อก่อนผมติดเพื่อนมาก ตื่นมาต้องควานหาแล้วว่าเพื่อนอยู่ไหน จะไปเที่ยวเล่นไหนกันดี เดี๋ยวนี้ไม่ได้คบใครเลย มันจะห่างๆออกมาเองวันๆไม่มีใครโทรมาเพราะเราไม่เคยโทรหาใคร ไม่มีใครมาหาเพราะเราไม่ไปหาใคร มันพอใจที่จะอยู่คนเดียว ไม่มีความเหงา ไม่อยากเจอใคร ไม่อยากให้ใครมากวน อยากจะภาวนาเงียบๆนคนเดียว มีความรู้สึกว่าการอยู่กับคนอื่นคือภาระ ต้องคอยระวังคำพูดไม่ให้ไปล่วงเกิน ฯลฯ ถ้าอยู่คนเดียวสบาย ไม่ได้ว่าใคร ไม่ได้ทำร้ายใคร ไม่ได้ยืมเงินใคร (ฮา) กลายเป็นการรักษาศีล5อัตโนมัติ ความคิด มุมมองก็ไม่เหมือนเดิน มันจะห่างๆออกมา ห่างจากความวุ่นวาย ความกระทบกระทั่งกัน แม้แต่ความทุกข์ก็อยู่ห่างๆ มาไม่ถึงเรา มีเหตุการณ์วุ่นวายอะไรมาก็เหมือนอยู่ห่างๆ เหมือนเราอยู่คนละโลก
#สุดยอดการลงทุนที่แท้จริงคือ ศีล สมาธิ ปัญญา ลงทุนน้อยไม่เสียเงินแม้แต่บาทเดียว แต่ผลที่ได้สุดแสนคุ้ม (ยิ่งกว่าดันโด ยิ่งกว่าหุ้นแสนเด้งอีกนะ)
#ดูงบการเงินเก่งแค่ไหน ก็สู้ดูจิตใจของตัวเองไม่ได้
.....
ใครที่เขียนอะไรมา ผมต้องขออนุญาติไม่ตอบนะครับ เดี๋ยวจะยาวไป
ขอโทษด้วยจริงๆ ขอฟุ้งซ่านคนเดียวพอ
ถ้าใครจะถามอะไรก็ทาง pm เท่านั้นนะครับ พอตอบได้ก็ตอบ
มรณฺง เม ภวิสฺสติ ความตายจักมีแก่เรา
-
- Verified User
- โพสต์: 358
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เล่าอะไรเรื่อยเปื่อย ครับ
โพสต์ที่ 18
เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาได้มีโอกาสไปกราบหลวงพ่อ ท่านกำลังสร้างศาลาใหม่ หลังเก่าเล็กเเละเก่ามากเกือบสี่สิบปีแล้วเวลามีงานนั่งกัน20คนก็เต็มแล้วท่านเลยสร้างให้ใหญ่กว่าเดิม ได้ไปเจอลุงคนนึงท่าทางแกภาวนาเก่งแกขึ้นมากราบหลวงพ่อเหมือนกัน ระหว่างรอหลวงพ่อก็คุยกันแต่ก็ไม่ได้คุยเรื่องภาวนาเลยคุยเรื่องทั่วๆไป อยู่ดีๆอาการหอบหืดผมก็มาหายใจไม่ออกเฉียบพลัน มันทรมานมาก อยู่ดีๆก็เป็น อาจจะเป็นเพราะบนวัดอากาศชื้นหนาวทั้งปี โชคดีที่ลุงแกมียาพ่น ลุงบอก ลุงก็เป็น ไอ้หนุ่มนี่ยังหนุ่มยังแน่นเมื่อก่อนสูบบุหรี่หรือป่าว? (แกถามผม )ได้ยาพ่นของลุงช่วยไว้บุญแท้ๆเลย
รู้อยู่ว่าลุงแกภาวนาเก่ง แต่ไม่รู้ว่าเเกเก่งกว่าเราตอนที่แกเล่าเรื่องภาวนาให้หลวงพ่อฟัง โอ้โห แกภาวนาไปไกลกว่าเราอีก แกบอกว่าไอ้หนุ่ม(หมายถึงผม)นี่ภาวนาเหมือนผมเปี้ยบเลย(แกเล่าให้หลวงพ่อฟัง แล้วชี้มือมาทางผม) เมื่อกี้ตอนพ่นยาไปบ้วนปากจิตมันเหลือนิดเดียว ไม่ยอมปล่อย แต่ผมปล่อยได้แล้ว ไอ้หนุ่มนี่ยังวางไม่ได้อีกนิดเดียวแท้ๆ (แหมลุงถ้ามันปล่อยได้ง่ายเหมือนพูดก็ดีน่ะสิ )
หลวงพ่อเลยบอกว่าต้น ว่างๆมาสนทนาธรรมกับลุงซิ แล้วก็ชี้มือมาทางเราแล้วบอกว่าลุงว่า นี่ก็นักภาวนาเหมือนกัน
เล่าให้ฟังเพราะว่าประทับใจมีคนภาวนาเก่งๆได้เจอคนภาวนาเก่งแล้วมันตื่นเต้น เคยเจอเเต่คนหาเงินเก่ง คนมีเงินเยอะๆใจมันเฉยๆ พอได้เจอคนภาวนาเก่งๆนี่ใจมันกระชุ่มกระชวย ยิ่งเค้าไปไกลกว่าเรายิ่งอยากไปให้ทันเค้า
ไปเจอใครในวัดหรือนอกวัดอย่าได้ไปประมาทเค้านะครับ บางคนมองเผินไม่รู้ คนบางคนเค้าภาวนาเก่ง มันจะเป็นกรรมเราเปล่าๆ
ปีที่ผ่านมาเพื่อนตายไปหลายคนอายุแค่42ก็ตายกันแล้ว ไม่ทันได้แก่ตาย ใจมันสังเวชนึกถึงตัวเองทุกที อีกหน่อยเราก็ต้องตายเหมือนเค้า เน่าเหมือนเค้า หนอนมากินเหมือนเค้า แล้วก็ถูกเค้าเอาไปเผาเหมือนกัน เงินทองหามาแทบตายก็ต้องตกเป็นของคนอื่นไม่ได้อะไรไปเลย มีแต่เสีย (คือเสียเวลาหามันมา)เสียเวลาหาเงินจะหาเงินได้ก็ต้องอ่านหนังสือก่อนเเล้วก็เก็บตังค์เอาไปลงทุน พอได้กำไรแล้วก็อยากได้เพิ่มขึ้นอีก ยิ่งชำนาญยิ่งเพลิน ตัวนี้สองเด้ง. ตัวนี้สามเด้ง มันคงสนุกที่ได้เห็นเงินเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตัวผมไม่เคยมีเงินมากๆเลยไม่รู้ว่ามันสุขแค่ไหน แต่ก็พอคาดการณ์ได้ว่ามันคงไม่เท่าไรหรอก เพราะเมื่อก่อนไม่เคยมีเงินมีแต่หนี้ทำงานแทบตายหาเงินมาใช้หนี้พอใช้หมดเเล้ว มันก็สุขจริงๆหมดทุกข์ไปเยอะ พอเริ่มมีเงินมากขึ้นๆทำไมไม่เห็นมันสุขเลยเห็นแต่ทุกข์ เห็นแต่ความที่ทำให้เราเนิ่นช้า ยิ่งมีมากอาจจะสุขหรืออาจจะทุกข์ก็ได้(เพราะไม่ได้ขึ้นกับเงินอย่างเดียว)ไม่แน่ คนที่มีเงินน้อยๆผมเห็นหลายคนเลยที่มีความสุขมากกว่าคนที่มีเงินเยอะๆ มันไม่แน่เสมอไป แต่ที่ผมเห็นส่วนใหญ่ยิ่งมีมากยิ่งวุ่นวายมาก ยิ่งขี้เกียจภาวนามาก ยิ่งเพลิดเพลินมาก ยิ่งห่างจากมรรคผลมาก เสียเวลาเนิ่นช้ามากๆ
รู้อยู่ว่าลุงแกภาวนาเก่ง แต่ไม่รู้ว่าเเกเก่งกว่าเราตอนที่แกเล่าเรื่องภาวนาให้หลวงพ่อฟัง โอ้โห แกภาวนาไปไกลกว่าเราอีก แกบอกว่าไอ้หนุ่ม(หมายถึงผม)นี่ภาวนาเหมือนผมเปี้ยบเลย(แกเล่าให้หลวงพ่อฟัง แล้วชี้มือมาทางผม) เมื่อกี้ตอนพ่นยาไปบ้วนปากจิตมันเหลือนิดเดียว ไม่ยอมปล่อย แต่ผมปล่อยได้แล้ว ไอ้หนุ่มนี่ยังวางไม่ได้อีกนิดเดียวแท้ๆ (แหมลุงถ้ามันปล่อยได้ง่ายเหมือนพูดก็ดีน่ะสิ )
หลวงพ่อเลยบอกว่าต้น ว่างๆมาสนทนาธรรมกับลุงซิ แล้วก็ชี้มือมาทางเราแล้วบอกว่าลุงว่า นี่ก็นักภาวนาเหมือนกัน
เล่าให้ฟังเพราะว่าประทับใจมีคนภาวนาเก่งๆได้เจอคนภาวนาเก่งแล้วมันตื่นเต้น เคยเจอเเต่คนหาเงินเก่ง คนมีเงินเยอะๆใจมันเฉยๆ พอได้เจอคนภาวนาเก่งๆนี่ใจมันกระชุ่มกระชวย ยิ่งเค้าไปไกลกว่าเรายิ่งอยากไปให้ทันเค้า
ไปเจอใครในวัดหรือนอกวัดอย่าได้ไปประมาทเค้านะครับ บางคนมองเผินไม่รู้ คนบางคนเค้าภาวนาเก่ง มันจะเป็นกรรมเราเปล่าๆ
ปีที่ผ่านมาเพื่อนตายไปหลายคนอายุแค่42ก็ตายกันแล้ว ไม่ทันได้แก่ตาย ใจมันสังเวชนึกถึงตัวเองทุกที อีกหน่อยเราก็ต้องตายเหมือนเค้า เน่าเหมือนเค้า หนอนมากินเหมือนเค้า แล้วก็ถูกเค้าเอาไปเผาเหมือนกัน เงินทองหามาแทบตายก็ต้องตกเป็นของคนอื่นไม่ได้อะไรไปเลย มีแต่เสีย (คือเสียเวลาหามันมา)เสียเวลาหาเงินจะหาเงินได้ก็ต้องอ่านหนังสือก่อนเเล้วก็เก็บตังค์เอาไปลงทุน พอได้กำไรแล้วก็อยากได้เพิ่มขึ้นอีก ยิ่งชำนาญยิ่งเพลิน ตัวนี้สองเด้ง. ตัวนี้สามเด้ง มันคงสนุกที่ได้เห็นเงินเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตัวผมไม่เคยมีเงินมากๆเลยไม่รู้ว่ามันสุขแค่ไหน แต่ก็พอคาดการณ์ได้ว่ามันคงไม่เท่าไรหรอก เพราะเมื่อก่อนไม่เคยมีเงินมีแต่หนี้ทำงานแทบตายหาเงินมาใช้หนี้พอใช้หมดเเล้ว มันก็สุขจริงๆหมดทุกข์ไปเยอะ พอเริ่มมีเงินมากขึ้นๆทำไมไม่เห็นมันสุขเลยเห็นแต่ทุกข์ เห็นแต่ความที่ทำให้เราเนิ่นช้า ยิ่งมีมากอาจจะสุขหรืออาจจะทุกข์ก็ได้(เพราะไม่ได้ขึ้นกับเงินอย่างเดียว)ไม่แน่ คนที่มีเงินน้อยๆผมเห็นหลายคนเลยที่มีความสุขมากกว่าคนที่มีเงินเยอะๆ มันไม่แน่เสมอไป แต่ที่ผมเห็นส่วนใหญ่ยิ่งมีมากยิ่งวุ่นวายมาก ยิ่งขี้เกียจภาวนามาก ยิ่งเพลิดเพลินมาก ยิ่งห่างจากมรรคผลมาก เสียเวลาเนิ่นช้ามากๆ
มรณฺง เม ภวิสฺสติ ความตายจักมีแก่เรา
-
- สมาชิกกิตติมศักดิ์
- โพสต์: 1575
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เล่าอะไรเรื่อยเปื่อย ครับ
โพสต์ที่ 19
อนุโมทนาด้วยนะครับ
อ่านแล้วได้แรงบันดาลใจให้ทำงานทางจิตให้มากขึ้นครับ
อ่านแล้วได้แรงบันดาลใจให้ทำงานทางจิตให้มากขึ้นครับ
ดู clip รายการ money talk ย้อนหลังได้ที่
http://www.facebook.com/MoneyTalkTV
http://www.facebook.com/MoneyTalkTV
-
- Verified User
- โพสต์: 358
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เล่าอะไรเรื่อยเปื่อย ครับ
โพสต์ที่ 20
ขอเล่าเรื่องคุณลุงท่านนี้อีกสักหน่อย ผมได้มีโอกาสเจอลุงอีกครั้งตอนไปช่วยทำศาลาหลังใหม่ ได้คุยยาวๆหลายเรื่อง
ลุงท่านนี้ภาวนาเก่งมาก ประทับใจ ตอนที่ผมได้ฟังแกเล่าเรื่องการภาวนาให้หลวงพ่อฟังภาษาที่ใช้ก็เป็นภาษาของแกเองบ่งบอกได้ว่าไม่ได้จำใครมา
แกเพิ่งเริ่มภาวนาเมื่อสักราวปี45-46มานี่เอง แกบอกว่าตื่นตั้งแต่ตีสามไม่ได้สวดมนต์บทยาวๆ สวดแค่นะโมเพราะแกจำบทสวดไม่ได้ แกเดินจงกลมเวลาไปวัดไม่ใช้ไฟฉายเดินแบบมืดๆนี่แหละ เดินไปทั่ววัดเลย แกบอกได้สติดี
ท่องมนต์ก็ไม่ได้เลย(แกเป็นคนไม่สวดมนต์เพราะแกท่องไม่ได้ คนแก่อายุ70เพิ่งมาเข้าวัดไม่ถึง20ปี ก็พอจะเข้าใจครับ) แต่ภาวนาทั้งวันทั้งคืน ผมถามว่าลุงภาวนาอย่างไร แกบอกว่าดูจิตอย่างเดียว ไม่ได้บริกรรม ไม่ได้พิจารณากาย(แกบอกว่ากายมันหยาบไป) ปฎิบัติภาวนาแค่ไม่ถึง20ปี ได้ถึงขนาดนี้นับว่าเร็วมากๆครับ
ไม่ได้บริกรรมพุทโธหรือดูลมหายใจก่อนด้วยแกบอกมันหยาบไป จิตแกละเอียดมาก แกบอกเเค่เห็นหน้าก็รู้แล้วว่าคนไหนภาวนาหรือไม่ อยู่ขั้นไหน คนไหนภาวนาคนไหนไม่ภาวนา รู้หมด ถ้าเป็นเราๆก็ต้องบริกรรมก่อนเพราะใจไม่สงบ คนที่ภาวนาไปนานๆจนชำนาญบางท่านไม่จำเป็นต้องบริกรรม
เพราะว่าจิตมันเป็นสมาธิบริบูรณ์แล้ว เวลาเกิดความรู้ความเห็นต่างๆก็เกิดขึ้นเองเพราะว่าจิตมีสมาธิสมบูรณ์แบบ100%
ถ้าเคยอ่านหนังสืออาจจะสงสัยว่าทำไมพระอนาคามีถึงได้มีอภิญญา ทำได้ง่ายๆก็เพราะว่าสมาธิสมบูรณ์แล้วนี่เอง
อย่างนึงที่คุณลุงท่านนี้เหมือนผมก็คือแกเจอผีบ่อยมากๆ แกเล่าให้ฟังว่าเจอผีบ่อยไม่รู้เป็นไรมันชอบมา บางตนก็ชอบแกล้ง แต่มีผีอยู่ชนิดนึงทุกวันนี้แกยังไม่รู้ว่ามันคือตัวอะไร มีลักษณกลมๆ มีไฟติดลุกทั้งตัวมองไกลๆเหมือนเป็นลูกไฟเดินได้ มีหาง มีไฟหยดเป็นทาง ผีตนนี้ชอบมาไล่กวด(เดินตาม)แก ผมก็เลยเล่าให้ลุงฟังว่าผมก็เคยเจอเหมือนกันตอนอยู่ม.2
มันวิ่งขึ้นวิ่งลงในอากาศนานเป็นชม. ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นตัวอะไร ทีแรกนึกว่าเป็นพวกอสุรกาย แต่ก็ไม่ใช่ เพราะหลังจากนั้นผมเอาไปเล่าให้ครูบาอาจารย์ท่านนึงฟังอยากรู้ว่าเป็นตัวอะไรท่านบอกว่ามันเรียกว่าผีโพง คือพวกที่เล่นฤทธิ์เล่นของแล้วแก้ตัวเองไม่ได้ ตายไปเลยต้องมาเป็นแบบนี้ อสุรกายจะเป็นอีกอย่างตัวจะใหญ่ ใครเห็นนี่ตายเลยมันมีฤทธิ์ถ้ากรีดร้องเมื่อไรเราตายเมื่อนั้น ครูบาอาจารย์ท่านนี้อายุยังน้อยเพิ่ง38-39เองแต่ว่าท่านเห็นเรื่องพวกนี้ยิ่งกว่าผมกับคุณลุงรวมกันอีก นาค พญาครุท เปรต ท่านเห็นมาหมด (ผมเล็บท่านกลายเป็นพระธาตุแล้ว) อาจารย์ท่านนี้ท่านก็พากเพียรมาอย่างโชกโชน เคยถามท่านว่าภาวนาใช้ความเพียรมากไหม ท่านบอกว่าเดินจงกลมวันละ16ชม. ถ้าไม่ล้มไม่เลิก ความรู้ท่านกว้างขวางมาก
ครูบาอาจารย์บางท่านก็ไม่ค่อยเล่า บางท่านก็เล่า อันนี้แล้วแต่จริตนิสัย แต่ผมโชคดีหลายๆท่านมักจะเมตตาผมเป็นพิเศษ อาจจะเป็นเพราะนิสัยผมอ่อนน้อมต่อครูบาอาจารย์(ด่าเท่าไรก็ไม่โกรธ ใช้ให้ทำอะไรก็ทำ ) แล้วก็ชอบภาวนาเหมือนกันมั้ง ครูบาอาจารย์จะดูออกใครภาวนาหรือไม่ หลอกท่านยากถึงจะจำคำพูดมาพูดก็ไม่เหมือน
เมื่อตอนก่อนเข้าพรรษาผมได้ไปส่งพระที่รู้จักกันไปแถวๆเพชรบูรณ์รอยต่อกับจ.เลย ที่แถวนั้นอาถรรพ์มากถ้าอ่านหนังเสือครูบาอาจารย์รุ่นเก่าๆจะทราบอาถรรพ์มากกว่าทางฝั่งทุ่งใหญ่ฯอีก วัดนี้มีพระรูปเดียวบิณทบาตรฝืดเคืองมากแทบไม่มีอะไรฉัน ผมไปนอนบนศาลาเก่า หลังจากสวดมนต์ไหว้พระนั่งสมาธิแล้วก็นอนนึกในใจเดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าจะไปเดินบิณทบาตรด้วยอยากรู้ว่าเค้าอยู่กันอย่างไร พอตอนเกือบหกโมงเช้ามีคนมาปลุกจับขาผมเขย่าๆเมือนี่บุ๋มลงไปเป็นรูปนิ้วเลย เเปลกดีเพิ่งจะเคยเจอแบบนี้ ปกติเคยโดนเขย่าแต่ไม่เห็นเป็นรอยบุ๋ม
กลับมาเล่าเรื่องคุณลุงท่านนี้ต่อ
แกเล่าตอนที่ได้ธรรมมะนี่อัศจรรย์มาก(แต่ขอไม่เล่านะครับ เดี๋ยวมันเป็นสัญญาจะภาวนาไม่ได้กัน) ลุงแกคุยเก่ง คุยสนุก แกขอบมาคุยกับผม บางทีก็โทรมาชวนไปเที่ยววัดครูบาอาจารย์ ดูๆไปเหมือนแกจะเมตตาผมอยากให้ได้ธรรมะไวๆเหมือนกับครูบาอาจารย์หลายๆท่าน
ถ้าท่านรู้ว่าเราสนใจปฎิบัติจริงจังท่านจะเมตตาเป็นพิเศษ ครูบาอาจารย์ท่านจะเป็นแบบนั้นคือคนไหนไม่เอาถ่านสอนแล้วเตือนแล้วไม่ทำก็ตัดหางปล่อยวัด คนไหนสนใจแต่ยังเหลาะๆแหละๆก็พอสอนบ้างเตือนบ้างดุบ้าง
อย่างการเล่าเรื่องผีถ้าไม่สนิทหรือรู้นิสัยกันจริงๆท่านจะไม่เล่าหรอกครับ เล่าไปมีแต่เสีย ไม่เกิดประโยชน์ คนไม่เคยเจอไม่เคยเห็นมันก็ว่าไม่มี ป่วยการไปเล่าดีไม่ดีมันไปล้อเลียนประมาทท่านอีก บางคนได้ยินแล้วไปหัวเราะบอกว่าผีไม่มีจริงถ้ามีพาไปดูหน่อย ก็อยากจะบอกว่าเค้ามาให้เราเห็นเองเราก็ไม่ได้อยากเห็นหรอก ถ้าจะบอกต้องไปบอกผีสิไม่ใช่ให้มาบอกเรา เราเองเรายังบังคับเค้าไม่ได้เลยเค้าจะมาก็มา เราไม่มีสิทธิ์ไปสั่งเค้าหรอก เค้าพอใจให้เราเห็นเอง เจอพวกคนพาลแบบนี้ก็เหนือยใจแต่ก็ช่างเค้าอย่าว่าแต่ผีเลยเราเองยังไม่อยากเข้าใกล้เลย ฮา
อันนี้เป็นความรู้นะครับเล่าให้ฟังเฉยๆคนที่ระลึกชาติได้มีหลายแบบ ถ้าเป็นพวกวิชชา3จะระลึกพร้อมกับตัดกิเลสภาพในอดีตจะผุดขึ้นมาชาตินี้ไปทำใครไว้โดนใครทำกับเราบ้าง ย้อนได้เป็นหลายๆชาติตามกำลังแต่ละคน บางท่านถึงกับน้ำตาร่วงเลยก็มีเพราะสลดสังเวชใจพร้อมกับความเข็ดขยาดไม่กล้าทำชั่วเบียดเบียนคนอื่นอีกตลอดไป ครูบาอาจารย์บางท่านๆระลึกได้ทีหลัง(ไม่ได้พร้อมกับตอนเกิดอริยมรรค)แบบนี้ไม่ได้เรียกว่าวิชชา3นะครับ ระลึกเพราะสมาธิ(ไม่จำเป็นต้องเป็นพระอรหันต์)เป็นโสดาก็ระลึกได้ เป็นพระอนาคาส่วนใหญ่ก็จะได้มากกว่าพวกโสดาเพราะสมาธิท่านสมบูรณ์แล้ว พวกที่เล่นอะไรได้เยอะๆมักจะเป็นพวกอนาคามีขึ้นไป อีกพวกนึงระลึกได้เพราะสมาธิอย่างเดียว(ไม่ได้เป็นพระอริยบุคคล) พวกนี้ก็ระลึกได้แต่ว่าไม่มากเท่าพระอริยะ
พูดถึงสมาธินี่ดีเหมือนกันครับ เล่นอะไรได้หลายอย่างยิ่งเป็นสมัยพุทธกาลเหาะเหินเดินอากาศ หูทิพย์ตาทิพย์ ทำได้หมดแต่ทำไม่ได้อยุ๋อย่างเดียวคือตัดกิเลส คือยังเป็นปุถุชนอยู่
บางคนสงสัยว่ามันจะเป็นไปได้อย่างไร แค่ให้จำแค่ชาตินี้แค่ไม่กี่ปียังจำไม่ได้ ถ้าจำในชาตินี้ใช้สัญญาความจำ แต่การระลึกชาติใช้จิตที่ประกอบด้วยสมาธิระลึก เวลาระลึกได้มันเป็นชั่วขณะจิตเดียวไม่ได้นั่งนึกนอนนึกนั่งคิดเหมือนที่เราทำกัน มันคนละอย่างกันครับ
ลุงท่านนี้ภาวนาเก่งมาก ประทับใจ ตอนที่ผมได้ฟังแกเล่าเรื่องการภาวนาให้หลวงพ่อฟังภาษาที่ใช้ก็เป็นภาษาของแกเองบ่งบอกได้ว่าไม่ได้จำใครมา
แกเพิ่งเริ่มภาวนาเมื่อสักราวปี45-46มานี่เอง แกบอกว่าตื่นตั้งแต่ตีสามไม่ได้สวดมนต์บทยาวๆ สวดแค่นะโมเพราะแกจำบทสวดไม่ได้ แกเดินจงกลมเวลาไปวัดไม่ใช้ไฟฉายเดินแบบมืดๆนี่แหละ เดินไปทั่ววัดเลย แกบอกได้สติดี
ท่องมนต์ก็ไม่ได้เลย(แกเป็นคนไม่สวดมนต์เพราะแกท่องไม่ได้ คนแก่อายุ70เพิ่งมาเข้าวัดไม่ถึง20ปี ก็พอจะเข้าใจครับ) แต่ภาวนาทั้งวันทั้งคืน ผมถามว่าลุงภาวนาอย่างไร แกบอกว่าดูจิตอย่างเดียว ไม่ได้บริกรรม ไม่ได้พิจารณากาย(แกบอกว่ากายมันหยาบไป) ปฎิบัติภาวนาแค่ไม่ถึง20ปี ได้ถึงขนาดนี้นับว่าเร็วมากๆครับ
ไม่ได้บริกรรมพุทโธหรือดูลมหายใจก่อนด้วยแกบอกมันหยาบไป จิตแกละเอียดมาก แกบอกเเค่เห็นหน้าก็รู้แล้วว่าคนไหนภาวนาหรือไม่ อยู่ขั้นไหน คนไหนภาวนาคนไหนไม่ภาวนา รู้หมด ถ้าเป็นเราๆก็ต้องบริกรรมก่อนเพราะใจไม่สงบ คนที่ภาวนาไปนานๆจนชำนาญบางท่านไม่จำเป็นต้องบริกรรม
เพราะว่าจิตมันเป็นสมาธิบริบูรณ์แล้ว เวลาเกิดความรู้ความเห็นต่างๆก็เกิดขึ้นเองเพราะว่าจิตมีสมาธิสมบูรณ์แบบ100%
ถ้าเคยอ่านหนังสืออาจจะสงสัยว่าทำไมพระอนาคามีถึงได้มีอภิญญา ทำได้ง่ายๆก็เพราะว่าสมาธิสมบูรณ์แล้วนี่เอง
อย่างนึงที่คุณลุงท่านนี้เหมือนผมก็คือแกเจอผีบ่อยมากๆ แกเล่าให้ฟังว่าเจอผีบ่อยไม่รู้เป็นไรมันชอบมา บางตนก็ชอบแกล้ง แต่มีผีอยู่ชนิดนึงทุกวันนี้แกยังไม่รู้ว่ามันคือตัวอะไร มีลักษณกลมๆ มีไฟติดลุกทั้งตัวมองไกลๆเหมือนเป็นลูกไฟเดินได้ มีหาง มีไฟหยดเป็นทาง ผีตนนี้ชอบมาไล่กวด(เดินตาม)แก ผมก็เลยเล่าให้ลุงฟังว่าผมก็เคยเจอเหมือนกันตอนอยู่ม.2
มันวิ่งขึ้นวิ่งลงในอากาศนานเป็นชม. ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นตัวอะไร ทีแรกนึกว่าเป็นพวกอสุรกาย แต่ก็ไม่ใช่ เพราะหลังจากนั้นผมเอาไปเล่าให้ครูบาอาจารย์ท่านนึงฟังอยากรู้ว่าเป็นตัวอะไรท่านบอกว่ามันเรียกว่าผีโพง คือพวกที่เล่นฤทธิ์เล่นของแล้วแก้ตัวเองไม่ได้ ตายไปเลยต้องมาเป็นแบบนี้ อสุรกายจะเป็นอีกอย่างตัวจะใหญ่ ใครเห็นนี่ตายเลยมันมีฤทธิ์ถ้ากรีดร้องเมื่อไรเราตายเมื่อนั้น ครูบาอาจารย์ท่านนี้อายุยังน้อยเพิ่ง38-39เองแต่ว่าท่านเห็นเรื่องพวกนี้ยิ่งกว่าผมกับคุณลุงรวมกันอีก นาค พญาครุท เปรต ท่านเห็นมาหมด (ผมเล็บท่านกลายเป็นพระธาตุแล้ว) อาจารย์ท่านนี้ท่านก็พากเพียรมาอย่างโชกโชน เคยถามท่านว่าภาวนาใช้ความเพียรมากไหม ท่านบอกว่าเดินจงกลมวันละ16ชม. ถ้าไม่ล้มไม่เลิก ความรู้ท่านกว้างขวางมาก
ครูบาอาจารย์บางท่านก็ไม่ค่อยเล่า บางท่านก็เล่า อันนี้แล้วแต่จริตนิสัย แต่ผมโชคดีหลายๆท่านมักจะเมตตาผมเป็นพิเศษ อาจจะเป็นเพราะนิสัยผมอ่อนน้อมต่อครูบาอาจารย์(ด่าเท่าไรก็ไม่โกรธ ใช้ให้ทำอะไรก็ทำ ) แล้วก็ชอบภาวนาเหมือนกันมั้ง ครูบาอาจารย์จะดูออกใครภาวนาหรือไม่ หลอกท่านยากถึงจะจำคำพูดมาพูดก็ไม่เหมือน
เมื่อตอนก่อนเข้าพรรษาผมได้ไปส่งพระที่รู้จักกันไปแถวๆเพชรบูรณ์รอยต่อกับจ.เลย ที่แถวนั้นอาถรรพ์มากถ้าอ่านหนังเสือครูบาอาจารย์รุ่นเก่าๆจะทราบอาถรรพ์มากกว่าทางฝั่งทุ่งใหญ่ฯอีก วัดนี้มีพระรูปเดียวบิณทบาตรฝืดเคืองมากแทบไม่มีอะไรฉัน ผมไปนอนบนศาลาเก่า หลังจากสวดมนต์ไหว้พระนั่งสมาธิแล้วก็นอนนึกในใจเดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าจะไปเดินบิณทบาตรด้วยอยากรู้ว่าเค้าอยู่กันอย่างไร พอตอนเกือบหกโมงเช้ามีคนมาปลุกจับขาผมเขย่าๆเมือนี่บุ๋มลงไปเป็นรูปนิ้วเลย เเปลกดีเพิ่งจะเคยเจอแบบนี้ ปกติเคยโดนเขย่าแต่ไม่เห็นเป็นรอยบุ๋ม
กลับมาเล่าเรื่องคุณลุงท่านนี้ต่อ
แกเล่าตอนที่ได้ธรรมมะนี่อัศจรรย์มาก(แต่ขอไม่เล่านะครับ เดี๋ยวมันเป็นสัญญาจะภาวนาไม่ได้กัน) ลุงแกคุยเก่ง คุยสนุก แกขอบมาคุยกับผม บางทีก็โทรมาชวนไปเที่ยววัดครูบาอาจารย์ ดูๆไปเหมือนแกจะเมตตาผมอยากให้ได้ธรรมะไวๆเหมือนกับครูบาอาจารย์หลายๆท่าน
ถ้าท่านรู้ว่าเราสนใจปฎิบัติจริงจังท่านจะเมตตาเป็นพิเศษ ครูบาอาจารย์ท่านจะเป็นแบบนั้นคือคนไหนไม่เอาถ่านสอนแล้วเตือนแล้วไม่ทำก็ตัดหางปล่อยวัด คนไหนสนใจแต่ยังเหลาะๆแหละๆก็พอสอนบ้างเตือนบ้างดุบ้าง
อย่างการเล่าเรื่องผีถ้าไม่สนิทหรือรู้นิสัยกันจริงๆท่านจะไม่เล่าหรอกครับ เล่าไปมีแต่เสีย ไม่เกิดประโยชน์ คนไม่เคยเจอไม่เคยเห็นมันก็ว่าไม่มี ป่วยการไปเล่าดีไม่ดีมันไปล้อเลียนประมาทท่านอีก บางคนได้ยินแล้วไปหัวเราะบอกว่าผีไม่มีจริงถ้ามีพาไปดูหน่อย ก็อยากจะบอกว่าเค้ามาให้เราเห็นเองเราก็ไม่ได้อยากเห็นหรอก ถ้าจะบอกต้องไปบอกผีสิไม่ใช่ให้มาบอกเรา เราเองเรายังบังคับเค้าไม่ได้เลยเค้าจะมาก็มา เราไม่มีสิทธิ์ไปสั่งเค้าหรอก เค้าพอใจให้เราเห็นเอง เจอพวกคนพาลแบบนี้ก็เหนือยใจแต่ก็ช่างเค้าอย่าว่าแต่ผีเลยเราเองยังไม่อยากเข้าใกล้เลย ฮา
อันนี้เป็นความรู้นะครับเล่าให้ฟังเฉยๆคนที่ระลึกชาติได้มีหลายแบบ ถ้าเป็นพวกวิชชา3จะระลึกพร้อมกับตัดกิเลสภาพในอดีตจะผุดขึ้นมาชาตินี้ไปทำใครไว้โดนใครทำกับเราบ้าง ย้อนได้เป็นหลายๆชาติตามกำลังแต่ละคน บางท่านถึงกับน้ำตาร่วงเลยก็มีเพราะสลดสังเวชใจพร้อมกับความเข็ดขยาดไม่กล้าทำชั่วเบียดเบียนคนอื่นอีกตลอดไป ครูบาอาจารย์บางท่านๆระลึกได้ทีหลัง(ไม่ได้พร้อมกับตอนเกิดอริยมรรค)แบบนี้ไม่ได้เรียกว่าวิชชา3นะครับ ระลึกเพราะสมาธิ(ไม่จำเป็นต้องเป็นพระอรหันต์)เป็นโสดาก็ระลึกได้ เป็นพระอนาคาส่วนใหญ่ก็จะได้มากกว่าพวกโสดาเพราะสมาธิท่านสมบูรณ์แล้ว พวกที่เล่นอะไรได้เยอะๆมักจะเป็นพวกอนาคามีขึ้นไป อีกพวกนึงระลึกได้เพราะสมาธิอย่างเดียว(ไม่ได้เป็นพระอริยบุคคล) พวกนี้ก็ระลึกได้แต่ว่าไม่มากเท่าพระอริยะ
พูดถึงสมาธินี่ดีเหมือนกันครับ เล่นอะไรได้หลายอย่างยิ่งเป็นสมัยพุทธกาลเหาะเหินเดินอากาศ หูทิพย์ตาทิพย์ ทำได้หมดแต่ทำไม่ได้อยุ๋อย่างเดียวคือตัดกิเลส คือยังเป็นปุถุชนอยู่
บางคนสงสัยว่ามันจะเป็นไปได้อย่างไร แค่ให้จำแค่ชาตินี้แค่ไม่กี่ปียังจำไม่ได้ ถ้าจำในชาตินี้ใช้สัญญาความจำ แต่การระลึกชาติใช้จิตที่ประกอบด้วยสมาธิระลึก เวลาระลึกได้มันเป็นชั่วขณะจิตเดียวไม่ได้นั่งนึกนอนนึกนั่งคิดเหมือนที่เราทำกัน มันคนละอย่างกันครับ
มรณฺง เม ภวิสฺสติ ความตายจักมีแก่เรา
-
- Verified User
- โพสต์: 4596
- ผู้ติดตาม: 0
Re: เล่าอะไรเรื่อยเปื่อย ครับ
โพสต์ที่ 21
สาธุ มาเล่าบ่อยๆ นะครับพี่ มีคนติดตามอยู่เยอะ
สีลํ พลํ อปฺปฏิมํ สีลํ อาวุธมุตฺตมํ
สีลํ อาภรณํ เสฏฺฐํ สีลํ กวจมพฺภุตํ
ศีลเป็นกำลังไม่มีที่เปรียบ ศีลเป็นอาวุธสูงสุด
ศีลเป็นเครื่องประดับอย่างประเสริฐสุด ศีลเป็นเกราะอย่างอัศจรรย์
สีลํ อาภรณํ เสฏฺฐํ สีลํ กวจมพฺภุตํ
ศีลเป็นกำลังไม่มีที่เปรียบ ศีลเป็นอาวุธสูงสุด
ศีลเป็นเครื่องประดับอย่างประเสริฐสุด ศีลเป็นเกราะอย่างอัศจรรย์