ไม่แน่ใจว่าจำถูกไหมนะครับ Peter Lynch เคยกล่าวประมาณว่า หุ้น Turnaround มักไม่ค่อยมีที่ Turnaround ได้จริงๆ มีน้อยๆๆๆๆๆ มากๆๆ ที่ turn ได้ ^ ^leky เขียน:เคยอ่านโพสต์ของคุณ Pak ครั้งแรกในหุ้น NC เข้าใจว่าเป็นหุ้นที่เค้าลงทุนตัวแรก ๆ ยังเคยบอกเค้าเลยว่าลีลาการโพสต์ออกหนังสือได้สบาย หลังจากนั้นก็ออกหนังสือจริง ๆromee เขียน:สอนใจผมได้หลายข้อมากครับพี่b4solidb4solid เขียน:เข้าไปอ่านเรืองของคุณ pak ใน pantip กันรึยังครับ
https://pantip.com/topic/36654654
ทั้งเรื่องจัดหนักเกินลิมิตรของพอร์ต, เรื่องturnarounds seldom turn, การกระจายความเสี่ยง.
(เรื่องพวกนี้ เขามีบทวิจัยทั้งนั้นนะครับ แต่ผมว่าเราติดนิสัย ถ้าอยากรวยเร็วก็ต้องอัดหนัก และเห็นคนสำเร็จ เซเลบ ในช่วงตลาดขาขึ้นรอบใหญ่)
ส่วนเรื่อง กลต. ผมไม่ขอตอบดีกว่าฮะ ลูกยังเล็ก พอร์ตยังเด็ก เก๊ากลัววววว
ก็เอาใจช่วยคุณpakในเรื่องนี้ละกันครับ
อ่านแล้วก็เห็นใจครับ อยากให้พ้นวิกฤติตรงนี้ไปได้ครับ หุ้นที่โดน SP นี่ มันเหมือนโดนแช่แข็งอาจจะทำอะไรไม่ได้เลยหลาย ๆ ปี หรืออาจจะจบด้วยการหายไปเลยก็ได้
แต่เท่าที่ติดตามดู แนวการลงทุนแบบนี้ มันเสี่ยงมากอยู่แล้วน่ะครับ ทั้งลักษณะของหุ้นแบบนี้ ที่มีโอกาสเทิร์นจริงได้น้อย คำว่าเทิร์นของผมคือธุรกิจดีขึ้นจริงนะครับ ยกตัวอย่างเช่น KAMART MALEE ที่เหลือเท่าที่เห็น ๆ มาก็แค่เล่นข่าวหลอกแด็กซ์รายย่อย ยังไม่นับว่าถ้าจะซื้อเน้น ๆ แบบจัดหนัก ก็เรียกว่าเพิ่มความเสี่ยงเข้าไปอีก
ถ้าเราไปซื้อหุ้นแบบนี้ ต้องทำใจเป็นกลางมาก ๆ นะครับ แยกแยะให้ออกเลยว่า เราได้กำไรมาเพราะอะไรกันแน่ มันเทิร์นจริงหรือว่าแค่ฟลุ๊กเท่านั้น
แบบที่ผมน่าจะเคยโพสต์ถึงการซื้อหุ้น N-PARK ของผมในอดีต ขนาดไม่ได้โดน SP แค่โดนแช่แข็งที่ราคา 3 สต.เป็นปี ผมยังรู้สึกอึดอัด ทำอะไรไม่ได้
ถึงแม้สุดท้ายผมจะขายทำกำไรได้หมดที่ราคาแถว 5-6 สต. แต่ผมยอมรับกับตัวเองเลยว่า "โชคดีมาก ๆ"
หลังจากวันนั้น ผมก็พยายามไม่ไปยุ่งกับหุ้นแบบนี้อีกเลย จะมีไปซื้อบ้างก็แบบเล็ก ๆ น้อย ๆ แค่ขำ ๆ ครับ
VI หาดใหญ่
- AnieLee
- Verified User
- โพสต์: 1436
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 2851
####################################################
ความสำเร็จจากการลงทุน ไม่ได้เกิดจาก "การซื้อของดี" แต่มาจาก "การซื้อของได้ดี" ต่างหาก
ความสำเร็จจากการลงทุน ไม่ได้เกิดจาก "การซื้อของดี" แต่มาจาก "การซื้อของได้ดี" ต่างหาก
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 2852
ความรู้ทางการเงิน การลงทุน และการบัญชี (9/7/60)จาก อ สรรพงษ์
5 Forces & Business Models กับงบการเงิน และอัตราส่วนการเงิน (ตอน 1) มี 5 ตอน
1. Rival Competition การแข่งขันภายใน ธุรกิจทุกประเภทเราควรศึกษาเรื่องการแข่งขันในเบื้องต้นเสมอ ต้องมองให้ได้ขั้นแรกว่าเป็นตลาดแบบใด ส่วนมากเป็นตลาดแบบคู่แข่งมากราย (Monopolistic) ถึงสมบูรณ์ (Perfect) ในตลาดคู่แข่งมากราย การสร้างแบรนด์สำคัญมาก Brands ถือเป็น Moats ที่สำคัญที่สุด ซึ่งใน Business Model คือ Value Proposition การนำเสนอคุณค่านั่นเอง ซึ่งไม่เพียง Product Value เท่านั้น แต่รวมถึง Customer Value ด้วย ธุรกิจนอกจากมีแบรนด์ที่แกร่งแล้วยังต้องมี Activiteis กิจกรรมที่สำคัญในการส่งมอบคุณค่าให้ลูกค้า หลายธุรกิจดูดี แบรนด์เป็นที่รู้จัก แต่อาจล้มเหลวหรือตายได้ หากกระบวนการที่สำคัญนี้ล้มเหลว จากแบรนด์ที่แกร่งก็อ่อนแอได้หลายบริษัทอาจกำหนดในพันธกิจว่าต้องเป็นมืออาชีพ ต้องรักษาคุณภาพ สิ่งเหล่านี้เราดูได้ผ่านอัตราส่วนการเงิน
Brand ดี และแกร่ง ย่อมเกิด Loyalty ความภักดีต่อสินค้า Growth จะมั่งคงในช่วง growth stage และรักษาระดับยอดขายได้มั่นคง ในช่วง Maturity stage รักษาส่วนแบ่งการตลาดได้ดีและมีแนวโน้มมากขึ้นสามารถก้าวเป็นผู้นำตลาดได้การมีควมภักดีในสินค้า ย่อมสร้างความแข็งแกร่งในอำนาจสร้างอำนาจต่อรองกับลูกค้าได้ รักษาฐานลูกค้าเดิมได้ เราจะพบว่า AT ART GM จะค่อนข้างคงที่ไม่ผันผวน ถ้า ผันผวนไม่ค่อยนิ่ง (การวัดนิ่งผมเคยกล่าวแล้วนะครับว่าหาอย่างไร ไม่ใช่ 1.5 ตลอด อะไรแบบนั้น) ค่า AT ART GM ที่ผันผวน แสดงถึง customer porfolio ที่ไม่แน่นอน AT อาจลดได้ถ้ามีการลงทุนใน PPE เพิ่ม แต่ภาวะจะเกิดไม่นาน เพราะกิจการที่มี Brand ที่แกร่งจะสามารถรักษายอดขายตามมาได้ไม่ยาก ไม่ใช่ลดยาวนานสองปีสามปี และยังบอกถึงความเป็นมืออาชีพทั้งด้านการตลาด และการบริหาร เพราะธุรกิจย่อมไม่ตัดสินในลงทุน (Capital Budgeting Desion Making) หากขาดโอกาสทางการตลาดและผลตอบแทนที่คุ้มค่า ซึ่งจะไปสะท้อนไปที่ ROA ที่ดีและนิ่งด้วย หลายคนที่อบรมกับผม จึงมักจะได้ยินว่าผมเน้นว่ากิจการที่ดี เหมาะกับการลงทุนระยะยาวคืออัตราส่วนสำคัญควรนิ่ง
ความรู้ทางการเงิน การลงทุน และการบัญชี (9/7/60)
5 Forces & Business Models กับงบการเงิน และอัตราส่วนการเงิน (ตอน 2)
2. New Entarnces หลังจากดูเรื่อง Rival Competition การแข่งขันภายในแล้วต่อมาคือ การเข้ามาของคู่แข่งรายใหม่ ธุรกิจที่มีการเข้าง่าย จะเพิ่มคู่แข่งรายใหม่ เข้ามาตลอด ทำให้แรงกดดันด้าน Rival Competition เพิ่มมากขึ้น อาจทำให้สินค้าที่มีอยู่ต้องปรับกลยุทธ์ตลอดเวลาเพื่อรักษาฐานลูกค้าไว้ การรักษาการเติบโตก็ยากขึ้น ดังนั้นในแรงกดดันด้านนี้หากอุตสาหกรรมมี Moats คือ Regulation & Economy of Scales of Supply Side จะช่วยป้องกันการกดดันการแข่งขันไม่ให้เพิ่มสูงขึ้น การแข่งขันส่วนมากมักจะใช้ราคาเป็นกลยุทธ์เจาะและแย่งฐานลูกค้า ซึ่งทำให้กระทบไปถึง Margin ได้ Business Model ที่สำคัญคือ Resources-Assets มีAssets-PPE ในงบการเงินต้องมีขนาดใหญ่ ดังนั้นบริษัทขนาดเล็ก Market Cap น้อยๆ (เช่น < 50,000 ลบ) หรือที่อยู่ใน MAI จะถูกกดดันเรื่อง New Entarnces ง่ายมาก ยกเว้นในอุตสาหกรรมมี Regulation ดังนั้นธุรกิจที่มีแรงกดดันด้านนี้มาต้องย้อนกลับไปที่ Rival Competition ต้องสร้าง แบรนด์ให้แกร่ง จึงอยู่ได้อย่างเข้มแข็งในอุตสาหกรรม ในกิจการที่ต้องลงทุนมาก ขนาดของการลงทุนมีผลทำให้เกิด Economy of Scales ต้นทุนการผลิตจะต่ำ บริษัทจะป้องกันคู่แข่งขันเข้าใหม่โดยการตั้งราคาสินค้าต่ำมี GM ต่ำ ดังนั้นธุรกิจที่เข้าง่าย การเลือกลงทุนในขนาดธุรกิจนั้นสำคัญ ธุรกิจอาจไม่มี margin สูง แต่บริษัทที่ดี ต้องรักษาระดับอัตรากำไรช่วงต่างๆให้นิ่ง แสดงถึงการป้องกันการเข้าใหม่ของคู่แข่งได้ดี และที่สำคัญที่สุดคือต้องมี solvency ที่แกร่งจะได้เปรียบ การลงทุนในธุรกิจที่เข้าง่ายออกง่ายนั้น Margin ต่างๆ ไม่ต้องสูงสุด แต่ควรผันผวนน้อยและมี solvency ที่ดี
ที่กล่าวเช่นนี้เพราะเมื่อขนาดธุรกิจที่ใหญ่ ทำให้ fixed cost สูงตาม การผลิตมากทำให้ต้นทุนคงที่ต่อหน่วยต่ำลง คนเข้าใหม่หากขนาดไม่ใหญ่ก็จะขายสินค้าได้น้อย และอาจมีต้นทุนสูงกว่า การเข้ามาแย่งตลาดจะเสียเปรียบ (สำหรับกรณีสินค้าที่เป็นสินค้า staple สินค้า commodity) cost leadership ยังเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญของธุรกิจประเภทนี้
ความรู้ทางการเงิน การลงทุน และการบัญชี (11/7/60)
5 Forces & Business Models กับงบการเงิน และอัตราส่วนการเงิน (ตอน 3)
3. Bargaining Power of Buyers ผ่านไป 2 forces แล้ว แรงกดดันที่สามก็คือด้านลูกค้า อำนาจต่อรองกับลูกค้า ในที่นี้คือมองที่ราคาเป็นหลัก รองมาก็เป็นเรื่อง condition ต่างๆ เช่น ระยะเวลาชำระเงิน ส่วนลด เป็นต้น ปราการที่ช่วยป้องกันด้านนี้ที่สำคัญคือการมี Network Effect or Economy of Scales of Demand Side ที่กล่าวเช่นนี้เพราะ การที่ลูกค้าใช้ต่อๆ เนื่องกัน (Network Effect เช่น face book เป็นรูปแบบหนึ่งของ Network Effect คล้ายกับการบอกต่อกันนั่นเอง ในทางการตลาด คือ Evangelism หนึ่งใน 4E ที่เคยกล่าวไว้ 4P-4C-4E) การบอกต่อๆกัน ใช้ต่อเนื่องกัน เธอมี ฉันมี ทำให้ฐานตลาดแข็งแกร่ง เมื่อฐานตลาดแข็งแกร่ง อำนาจต่อรองจากลูกค้า Bargaining Power of Buyers จะไม่มาก แรงกดดันการต่อรองราคา เงื่อนไขการขายจะไม่มาก ทำให้กิจการบริหารการขายมีเป้าหมายได้ชัดเจนมากขึ้น สามารถกำหนด Target Customer ได้ชัดเจน ทำและสร้าง Customer relationship การสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าได้ดี ซึ่งทั้ง Target Customer และ Customer relationship เป็นส่วนหนึ่งของ Business Models ทั้งหมดนี้จะสะท้อนผ่านงบการเงินที่ AR ยอดขาย Sales และกำไรขั้นต้น ดังนั้นสิ่งเหล่านี้เราดูได้ผ่านอัตราส่วนการเงินคือ
ART - Account Receivable Turnover ควรต้องนิ่ง และไม่ยาวเกินไป การที่ลูกค้าเกิดจากการยอมรับกันต่อเนื่องในวงกว้าง ย่อมยอมรับเงื่อนไขการขายที่กำหนดตามมาตรฐานกิจการ ดังนั้นอัตรส่วนนี้ ART จะค่อนข้างนิ่ง หรือในมุมหนึ่งการที่ลูกค้าไม่ได้มี Bargaining Power of Buyers ย่อมไม่ต่อรองเงื่อนไขการขายต่างๆ เช่น term การชำระเงิน รวมทั้งยังสะท้อนถึงการมีลูกค้าที่มี loyalty ต่อกิจการ ต่อสินค้า เพราะการสูญเสียฐานลูกค้าบ่อยๆ ทำให้กิจการนั้นๆ ต้องง้องอนลูกค้า หาลูกค้าใหม่ตลอดเวลาเพื่อชดเชยและเพิ่มมากขึ้นอีก ทางที่จะดึงลูกค้าคู่แข่ง และรักษาลูกค้าคือ ลดราคา แจกของแถม ขยายเวลาการจ่ายเงิน กลยุทธ์เหล่านี้มักนำมาใช้กันมาก และกลยุทธ์เหล่านี้เองทำให้ ART ไม่นิ่ง
GM อัตรากำไรขั้นต้นก็จะนิ่ง เมื่ออำนาจการต่อรองจากลูกค้ามีมาก ด้านราคาก็จะสะท้อนเช่นกัน การลดราคาย่องมีผลต่อกำไรจากการขาย เพราะต้นทุนลดทันทีได้ยาก GM จะชัดเจนว่าไม่นิ่ง และมีแนวโน้มลดลงอย่างชัดเจน ดังนั้นการดูแรงกดดันด้านนี้ Bargaining Power of Buyers ให้พิจารณา ART และ GM
ความรู้ทางการเงิน การลงทุน และการบัญชี (11/7/60)
5 Forces & Business Models กับงบการเงิน และอัตราส่วนการเงิน (ตอน 4)
4. Bargaining Power of Suppliers ต่อจากแรงกดดันด้านลูกค้าก็มาพิจารณาด้านคู่ค้าคือเจ้าหนี้การค้า ซึ่งคือคนขายวัตถุดิบ ในกิจการทั่วไปคือผู้ผลิตสินค้า ความต้องการวัตถุดิบในการผลิตเป็นสิ่งสำคัญ ต้นทุนการผลิตที่สำคัญคือต้นทุนวัตถุดิบ ซึ่งถือเป็น primary cost กิจการที่อยู่ในตลาดผู้แข่งขันมากราย (Monopolistic) เป็นตลาดทะเลแดง Red Ocean กลยุทธ์หลักคือ ราคาใช้โดยต้องมีลักษณะ Low Cost Leadership จึงได้เปรียบ ถ้าเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ในตลาด ย่อมต้องซื้อวัตถุดิบในการผลิตมาก ทำให้สามรถต่อรองราคากับ suppliers ได้ง่ายทั้งราคาและ term การชำระเงิน ในงบการเงินรายการสินค้าคงเหลือและเจ้าหนี้การค้าจะสะท้อนออกมา ปกติกิจการจะไม่ผลิตสินค้าเก็บไว้เกินปริมาณที่คาดว่าจะขายได้ รายการสินค้าคงเหลือจะสะท้อนทั้งสองด้าน คือด้านผลิต และขาย จากแรงกดดันของ buyer รอบที่ยาวมากขึ้นจาก สินค้าสำเร็จรูปที่สูงขึ้นก็เป็นอีกตัวที่ยืนยันเพิ่มจากการดู ART และ GM นั่นคือดู IT (Inventory Turnover) หากดูองค์ประกอบแล้วพบว่า FG - Finishrd Goods เพิ่มมาก แสดงว่าลูกค้าซื้อน้อยลง ผลิตเหลือขายไม่ออก ในอีกมุมด้าน suppliers จะสะท้อนที่ สินค้าคงเหลือ Inventory ในด้านวัตถุดิบ ผู้ผลิตจะไม่ซื้อมากกว่าที่ควรผลิต ถ้าต้องซื้อมากทำให้รอบหมุนลดลง เวลายาวขึ้น ก็เป็นตัวชี้ทางอ้อม คนขายวัตถุดิบสามารถต่อรองมากกว่า ซื้อน้อยไม่ขายหรือขายราคาสูงขึ้น เมื่อกิจการอยากได้ต้นทุนลดลงก็ต้องยอมซื้อครั้งละมากๆ ทำให้รอบหมุน IT ลดลง เวลาหมุนเวียนสินค้าคงเหลือนานขึ้น และการซื้อสินค้าหากกิจการมีอำนาจต่อรองคือมี Bargaining Power of Suppliers ย่อมต่อรองได้ทั้งราคาและปริมาณ Moats ทางด้านนี้คือกิจการใดที่มี Economy of Scales of Supply Side จะได้เปรียบ ขนาดการผลิตที่ใหญ่นี้เป็น Moats ทั้งด้าน New Entrances & Bargaining Power of Suppliers โดยทั่วไปกิจการที่มีขนดใญ่มักจะได้เปรียบในเรื่องต้นทุนคงที่ต่อหน่วยผลิตมากกว่ากิจการขนาดเล็กในเรื่องการประหยัดต่อขนาด โดยเฉพาะสินค้าทุน และสินค้าพื้นฐาน การซื้อวัตถุดิบนี้จะสัมพันธ์กับเจ้าหนี้การค้า ระยะเวลาอาจไม่ใช่ตัวชี้วัดที่ชัดเจน เพราะระยะเวลาการจ่ายยาวนั้นมีได้ทั้งสองกรณีคือ มีอำนาจต่อรอง หรือไม่มีเงินจ่ายจึงยืดเยื้อการจ่ายให้ช้า ซึ่งกรณีหลังนี้นี้ย่อมไม่ดีกับธุรกิจ เพราะจะไม่ค่อยมีใครอยากคบค้าด้วย ระยะยาวทำให้ต้นทุนซื้อวัตถุดิบสูงกว่าคู่แข่งขัน
ในงบการเงินจะสะท้อนผ่านที่ เจ้าหนี้การค้า AP Account Payable และสินค้าคงเหลือ ในส่วนที่เป็นวัถุดิบ ซึ่งป็นส่วนหนึ่งใน Business Models คือ Resources-Raw Material (Resources ที่สำคัญมีสองอย่างใน BMC คือ PPE & RM)
อัตราส่วนการเงินที่สำคัญคือ APT และ IT (Account Payable Turnover & Inventory Turover) ต้องนิ่ง ต่ำเกินไป (รอบเวลาหมุนเวียนนานเกินไป) การจ่ายนานเกินไป พร้อมกับรอบสินค้าที่นาน แสดงถึงการขาดสภาพคล่องมากกว่าการได้เปรียบในการทำธุรกิจ
GM ควรต้องคงที่ และนิ่ง การมีอำนาจต่อรองกับ suppliers ที่สำคัญคือการคงระดับราคาวัตถุดิบได้ในช่วงเวลาหนึ่งๆ (ยกเว้นอุตสาหกรรมวัฏจักรราคา) เพื่อให้สามารถแข่งขันในอุตสาหกรมได้
ความรู้ทางการเงิน การลงทุน และการบัญชี (11/7/60)
5 Forces & Business Models กับงบการเงิน และอัตราส่วนการเงิน (ตอน 5)
5. Substitue Products แรงกดดันสุดท้ายคือ สินค้าทดแทน ไม่ใช้สินค้าของคู่แข่งขันนะครับ อันนั้นคือส่วนของแรงกดดันภายในจากการแข่งขัน สินค้าในตลาดเดียวกัน บริษัทต้องป้องกันการแย่งตลาด รักษาสัดส่วนของส่วนแบ่งการตลาด (market share) และยังต้องเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดด้วย แต่สินค้าทดแทน ไม่ได้มีใครในอุตสาหกรรมมาแย่งส่วนแบ่งในตลาด แต่ยอกขายหายไปจากตลาดเลย เช่นตลาดขายสิ่งพิมพ์หนังสือ ยอดขายลดหายไปเพราะ ผู้บริโภคเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค ไปใช้ด้านสื่อทางดิจิตอลแทน เหมือนตลาดเพลงที่ยอดจำหน่ายเทป หายไปเป็นซีดี สุดท้ายหายไปให้การดาวน์โหลดผ่านอินเตอร์เน็ตแทน ธุรกิจที่เกี่ยวข้อง เช่นผลิตเทป ผลิตซีดี วอล์คกี้ท๊อกกี้ ซาวด์เบ้าท์ ต้องล่มสลายไป เป็นต้น ปัจจัยที่ 5 นี้ไม่ใช่เพียงการคุกคามและกดดันบริษัท แต่สะเทือนทั้งอุตสาหกรรม การสะท้อนผ่านงบการเงินไม่ใช่เพียงรายการเฉพาะเท่านั้น ส่วนมากกระทบภาพรวม และเป็นทั้งอุตสาหกรรม Moats ที่สำคัญ Chalie Munger เขียนไว้ต่างกันในแต่ละบทความ แต่ถ้าสรุปรวมกันคือ Innovation (Intelectual Property) และ Switching Cost นวัตกรรม และต้นทุนในการเปลี่ยนการใช้งานสินค้า จะชะลอการเปลี่ยนแปลงออกไปไม่ให้เกิดเร็วขึ้น สุดท้ายก็ต้องเปลี่ยนอยู่ดี เพียงแต่ไม่กระทันหัน) แรงสะเทือนต่อธุรกิจและอุตสาหกรรมคือ
AT ลดลงอย่างเร็ว หากเกิดจากการแข่งขัน มักไม่ค่อยลดลงเร็ว เพราะทุกรายล้วนต้องพยายามต่อสู้รักษาสัดส่วนทางการตลาดตนไว้ ยอดขายจะค่อยลดลง และไปเพิ่มให้คู่แข่งขัน แต่กรณีผู้บรู้โภคเปลี่ยนแปลงการใช้งาน ทุกบริษัทในอุตสาหกรรมจะลดลงเหมือนกัน การมี Moat จะช่วยชะลอการลด การเปลี่ยนแปลงให้เกิดช้าลง ใครปรับตัวได้ก่อนก็จะเสียหายน้อยกว่า ดังนั้น moats ช่วยชะลอการเปลี่ยนแปลงเพื่อให้ธุรกิจมีเวลาปรับตัว อุตสาหกรรมหรือธุรกิจที่ไม่มี moat มักจะรับการเปลี่ยนแปลงไม่ทันและล่มสลายไปเร็ว
ROA เมื่อ AT ลดลงอย่างเร็ว ย่อมกระทบต่อ ROA และส่งผลถึง ROE ในที่สุด
GM OM NM อัตรากำไรทุกตัวลดลงอย่างรวดเร็ว
สรุปคือธุรกิจ/อุตสาหกรรมเข้าสู่ sunset stage นั่นเอง
สิ่งที่อยากบอกฝากไว้คือ ถ้าอ่านงบการเงินเป็นและถูกแล้ว สามารถบอกทุกอย่างได้ ผมพบมามากทีเดียวทีบอกว่าบริษัทนี้ดี อนาคตดี มี Business Model ดีอย่างนั้นอย่างนี้ แต่งบการเงินออกมาคนละเรื่องไม่สะท้อนเลย แบบนี้ผมเชื่องบการเงินมากกว่าคำบอกเล่าครับ อาจจะพลาดได้ แต่ไม่มาก ดีกว่าซื้อไปบนงบที่เน่าๆ ในมุมผมคิดว่าเสี่ยงเกินไป ต้องมาคอยดูคอยตาม คัทลอสให้ทันเสียเวลาเปล่าๆ ชอบลงทุนแล้วสามารถนอนหลับฝันดี
5 Forces & Business Models กับงบการเงิน และอัตราส่วนการเงิน (ตอน 1) มี 5 ตอน
1. Rival Competition การแข่งขันภายใน ธุรกิจทุกประเภทเราควรศึกษาเรื่องการแข่งขันในเบื้องต้นเสมอ ต้องมองให้ได้ขั้นแรกว่าเป็นตลาดแบบใด ส่วนมากเป็นตลาดแบบคู่แข่งมากราย (Monopolistic) ถึงสมบูรณ์ (Perfect) ในตลาดคู่แข่งมากราย การสร้างแบรนด์สำคัญมาก Brands ถือเป็น Moats ที่สำคัญที่สุด ซึ่งใน Business Model คือ Value Proposition การนำเสนอคุณค่านั่นเอง ซึ่งไม่เพียง Product Value เท่านั้น แต่รวมถึง Customer Value ด้วย ธุรกิจนอกจากมีแบรนด์ที่แกร่งแล้วยังต้องมี Activiteis กิจกรรมที่สำคัญในการส่งมอบคุณค่าให้ลูกค้า หลายธุรกิจดูดี แบรนด์เป็นที่รู้จัก แต่อาจล้มเหลวหรือตายได้ หากกระบวนการที่สำคัญนี้ล้มเหลว จากแบรนด์ที่แกร่งก็อ่อนแอได้หลายบริษัทอาจกำหนดในพันธกิจว่าต้องเป็นมืออาชีพ ต้องรักษาคุณภาพ สิ่งเหล่านี้เราดูได้ผ่านอัตราส่วนการเงิน
Brand ดี และแกร่ง ย่อมเกิด Loyalty ความภักดีต่อสินค้า Growth จะมั่งคงในช่วง growth stage และรักษาระดับยอดขายได้มั่นคง ในช่วง Maturity stage รักษาส่วนแบ่งการตลาดได้ดีและมีแนวโน้มมากขึ้นสามารถก้าวเป็นผู้นำตลาดได้การมีควมภักดีในสินค้า ย่อมสร้างความแข็งแกร่งในอำนาจสร้างอำนาจต่อรองกับลูกค้าได้ รักษาฐานลูกค้าเดิมได้ เราจะพบว่า AT ART GM จะค่อนข้างคงที่ไม่ผันผวน ถ้า ผันผวนไม่ค่อยนิ่ง (การวัดนิ่งผมเคยกล่าวแล้วนะครับว่าหาอย่างไร ไม่ใช่ 1.5 ตลอด อะไรแบบนั้น) ค่า AT ART GM ที่ผันผวน แสดงถึง customer porfolio ที่ไม่แน่นอน AT อาจลดได้ถ้ามีการลงทุนใน PPE เพิ่ม แต่ภาวะจะเกิดไม่นาน เพราะกิจการที่มี Brand ที่แกร่งจะสามารถรักษายอดขายตามมาได้ไม่ยาก ไม่ใช่ลดยาวนานสองปีสามปี และยังบอกถึงความเป็นมืออาชีพทั้งด้านการตลาด และการบริหาร เพราะธุรกิจย่อมไม่ตัดสินในลงทุน (Capital Budgeting Desion Making) หากขาดโอกาสทางการตลาดและผลตอบแทนที่คุ้มค่า ซึ่งจะไปสะท้อนไปที่ ROA ที่ดีและนิ่งด้วย หลายคนที่อบรมกับผม จึงมักจะได้ยินว่าผมเน้นว่ากิจการที่ดี เหมาะกับการลงทุนระยะยาวคืออัตราส่วนสำคัญควรนิ่ง
ความรู้ทางการเงิน การลงทุน และการบัญชี (9/7/60)
5 Forces & Business Models กับงบการเงิน และอัตราส่วนการเงิน (ตอน 2)
2. New Entarnces หลังจากดูเรื่อง Rival Competition การแข่งขันภายในแล้วต่อมาคือ การเข้ามาของคู่แข่งรายใหม่ ธุรกิจที่มีการเข้าง่าย จะเพิ่มคู่แข่งรายใหม่ เข้ามาตลอด ทำให้แรงกดดันด้าน Rival Competition เพิ่มมากขึ้น อาจทำให้สินค้าที่มีอยู่ต้องปรับกลยุทธ์ตลอดเวลาเพื่อรักษาฐานลูกค้าไว้ การรักษาการเติบโตก็ยากขึ้น ดังนั้นในแรงกดดันด้านนี้หากอุตสาหกรรมมี Moats คือ Regulation & Economy of Scales of Supply Side จะช่วยป้องกันการกดดันการแข่งขันไม่ให้เพิ่มสูงขึ้น การแข่งขันส่วนมากมักจะใช้ราคาเป็นกลยุทธ์เจาะและแย่งฐานลูกค้า ซึ่งทำให้กระทบไปถึง Margin ได้ Business Model ที่สำคัญคือ Resources-Assets มีAssets-PPE ในงบการเงินต้องมีขนาดใหญ่ ดังนั้นบริษัทขนาดเล็ก Market Cap น้อยๆ (เช่น < 50,000 ลบ) หรือที่อยู่ใน MAI จะถูกกดดันเรื่อง New Entarnces ง่ายมาก ยกเว้นในอุตสาหกรรมมี Regulation ดังนั้นธุรกิจที่มีแรงกดดันด้านนี้มาต้องย้อนกลับไปที่ Rival Competition ต้องสร้าง แบรนด์ให้แกร่ง จึงอยู่ได้อย่างเข้มแข็งในอุตสาหกรรม ในกิจการที่ต้องลงทุนมาก ขนาดของการลงทุนมีผลทำให้เกิด Economy of Scales ต้นทุนการผลิตจะต่ำ บริษัทจะป้องกันคู่แข่งขันเข้าใหม่โดยการตั้งราคาสินค้าต่ำมี GM ต่ำ ดังนั้นธุรกิจที่เข้าง่าย การเลือกลงทุนในขนาดธุรกิจนั้นสำคัญ ธุรกิจอาจไม่มี margin สูง แต่บริษัทที่ดี ต้องรักษาระดับอัตรากำไรช่วงต่างๆให้นิ่ง แสดงถึงการป้องกันการเข้าใหม่ของคู่แข่งได้ดี และที่สำคัญที่สุดคือต้องมี solvency ที่แกร่งจะได้เปรียบ การลงทุนในธุรกิจที่เข้าง่ายออกง่ายนั้น Margin ต่างๆ ไม่ต้องสูงสุด แต่ควรผันผวนน้อยและมี solvency ที่ดี
ที่กล่าวเช่นนี้เพราะเมื่อขนาดธุรกิจที่ใหญ่ ทำให้ fixed cost สูงตาม การผลิตมากทำให้ต้นทุนคงที่ต่อหน่วยต่ำลง คนเข้าใหม่หากขนาดไม่ใหญ่ก็จะขายสินค้าได้น้อย และอาจมีต้นทุนสูงกว่า การเข้ามาแย่งตลาดจะเสียเปรียบ (สำหรับกรณีสินค้าที่เป็นสินค้า staple สินค้า commodity) cost leadership ยังเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญของธุรกิจประเภทนี้
ความรู้ทางการเงิน การลงทุน และการบัญชี (11/7/60)
5 Forces & Business Models กับงบการเงิน และอัตราส่วนการเงิน (ตอน 3)
3. Bargaining Power of Buyers ผ่านไป 2 forces แล้ว แรงกดดันที่สามก็คือด้านลูกค้า อำนาจต่อรองกับลูกค้า ในที่นี้คือมองที่ราคาเป็นหลัก รองมาก็เป็นเรื่อง condition ต่างๆ เช่น ระยะเวลาชำระเงิน ส่วนลด เป็นต้น ปราการที่ช่วยป้องกันด้านนี้ที่สำคัญคือการมี Network Effect or Economy of Scales of Demand Side ที่กล่าวเช่นนี้เพราะ การที่ลูกค้าใช้ต่อๆ เนื่องกัน (Network Effect เช่น face book เป็นรูปแบบหนึ่งของ Network Effect คล้ายกับการบอกต่อกันนั่นเอง ในทางการตลาด คือ Evangelism หนึ่งใน 4E ที่เคยกล่าวไว้ 4P-4C-4E) การบอกต่อๆกัน ใช้ต่อเนื่องกัน เธอมี ฉันมี ทำให้ฐานตลาดแข็งแกร่ง เมื่อฐานตลาดแข็งแกร่ง อำนาจต่อรองจากลูกค้า Bargaining Power of Buyers จะไม่มาก แรงกดดันการต่อรองราคา เงื่อนไขการขายจะไม่มาก ทำให้กิจการบริหารการขายมีเป้าหมายได้ชัดเจนมากขึ้น สามารถกำหนด Target Customer ได้ชัดเจน ทำและสร้าง Customer relationship การสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าได้ดี ซึ่งทั้ง Target Customer และ Customer relationship เป็นส่วนหนึ่งของ Business Models ทั้งหมดนี้จะสะท้อนผ่านงบการเงินที่ AR ยอดขาย Sales และกำไรขั้นต้น ดังนั้นสิ่งเหล่านี้เราดูได้ผ่านอัตราส่วนการเงินคือ
ART - Account Receivable Turnover ควรต้องนิ่ง และไม่ยาวเกินไป การที่ลูกค้าเกิดจากการยอมรับกันต่อเนื่องในวงกว้าง ย่อมยอมรับเงื่อนไขการขายที่กำหนดตามมาตรฐานกิจการ ดังนั้นอัตรส่วนนี้ ART จะค่อนข้างนิ่ง หรือในมุมหนึ่งการที่ลูกค้าไม่ได้มี Bargaining Power of Buyers ย่อมไม่ต่อรองเงื่อนไขการขายต่างๆ เช่น term การชำระเงิน รวมทั้งยังสะท้อนถึงการมีลูกค้าที่มี loyalty ต่อกิจการ ต่อสินค้า เพราะการสูญเสียฐานลูกค้าบ่อยๆ ทำให้กิจการนั้นๆ ต้องง้องอนลูกค้า หาลูกค้าใหม่ตลอดเวลาเพื่อชดเชยและเพิ่มมากขึ้นอีก ทางที่จะดึงลูกค้าคู่แข่ง และรักษาลูกค้าคือ ลดราคา แจกของแถม ขยายเวลาการจ่ายเงิน กลยุทธ์เหล่านี้มักนำมาใช้กันมาก และกลยุทธ์เหล่านี้เองทำให้ ART ไม่นิ่ง
GM อัตรากำไรขั้นต้นก็จะนิ่ง เมื่ออำนาจการต่อรองจากลูกค้ามีมาก ด้านราคาก็จะสะท้อนเช่นกัน การลดราคาย่องมีผลต่อกำไรจากการขาย เพราะต้นทุนลดทันทีได้ยาก GM จะชัดเจนว่าไม่นิ่ง และมีแนวโน้มลดลงอย่างชัดเจน ดังนั้นการดูแรงกดดันด้านนี้ Bargaining Power of Buyers ให้พิจารณา ART และ GM
ความรู้ทางการเงิน การลงทุน และการบัญชี (11/7/60)
5 Forces & Business Models กับงบการเงิน และอัตราส่วนการเงิน (ตอน 4)
4. Bargaining Power of Suppliers ต่อจากแรงกดดันด้านลูกค้าก็มาพิจารณาด้านคู่ค้าคือเจ้าหนี้การค้า ซึ่งคือคนขายวัตถุดิบ ในกิจการทั่วไปคือผู้ผลิตสินค้า ความต้องการวัตถุดิบในการผลิตเป็นสิ่งสำคัญ ต้นทุนการผลิตที่สำคัญคือต้นทุนวัตถุดิบ ซึ่งถือเป็น primary cost กิจการที่อยู่ในตลาดผู้แข่งขันมากราย (Monopolistic) เป็นตลาดทะเลแดง Red Ocean กลยุทธ์หลักคือ ราคาใช้โดยต้องมีลักษณะ Low Cost Leadership จึงได้เปรียบ ถ้าเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ในตลาด ย่อมต้องซื้อวัตถุดิบในการผลิตมาก ทำให้สามรถต่อรองราคากับ suppliers ได้ง่ายทั้งราคาและ term การชำระเงิน ในงบการเงินรายการสินค้าคงเหลือและเจ้าหนี้การค้าจะสะท้อนออกมา ปกติกิจการจะไม่ผลิตสินค้าเก็บไว้เกินปริมาณที่คาดว่าจะขายได้ รายการสินค้าคงเหลือจะสะท้อนทั้งสองด้าน คือด้านผลิต และขาย จากแรงกดดันของ buyer รอบที่ยาวมากขึ้นจาก สินค้าสำเร็จรูปที่สูงขึ้นก็เป็นอีกตัวที่ยืนยันเพิ่มจากการดู ART และ GM นั่นคือดู IT (Inventory Turnover) หากดูองค์ประกอบแล้วพบว่า FG - Finishrd Goods เพิ่มมาก แสดงว่าลูกค้าซื้อน้อยลง ผลิตเหลือขายไม่ออก ในอีกมุมด้าน suppliers จะสะท้อนที่ สินค้าคงเหลือ Inventory ในด้านวัตถุดิบ ผู้ผลิตจะไม่ซื้อมากกว่าที่ควรผลิต ถ้าต้องซื้อมากทำให้รอบหมุนลดลง เวลายาวขึ้น ก็เป็นตัวชี้ทางอ้อม คนขายวัตถุดิบสามารถต่อรองมากกว่า ซื้อน้อยไม่ขายหรือขายราคาสูงขึ้น เมื่อกิจการอยากได้ต้นทุนลดลงก็ต้องยอมซื้อครั้งละมากๆ ทำให้รอบหมุน IT ลดลง เวลาหมุนเวียนสินค้าคงเหลือนานขึ้น และการซื้อสินค้าหากกิจการมีอำนาจต่อรองคือมี Bargaining Power of Suppliers ย่อมต่อรองได้ทั้งราคาและปริมาณ Moats ทางด้านนี้คือกิจการใดที่มี Economy of Scales of Supply Side จะได้เปรียบ ขนาดการผลิตที่ใหญ่นี้เป็น Moats ทั้งด้าน New Entrances & Bargaining Power of Suppliers โดยทั่วไปกิจการที่มีขนดใญ่มักจะได้เปรียบในเรื่องต้นทุนคงที่ต่อหน่วยผลิตมากกว่ากิจการขนาดเล็กในเรื่องการประหยัดต่อขนาด โดยเฉพาะสินค้าทุน และสินค้าพื้นฐาน การซื้อวัตถุดิบนี้จะสัมพันธ์กับเจ้าหนี้การค้า ระยะเวลาอาจไม่ใช่ตัวชี้วัดที่ชัดเจน เพราะระยะเวลาการจ่ายยาวนั้นมีได้ทั้งสองกรณีคือ มีอำนาจต่อรอง หรือไม่มีเงินจ่ายจึงยืดเยื้อการจ่ายให้ช้า ซึ่งกรณีหลังนี้นี้ย่อมไม่ดีกับธุรกิจ เพราะจะไม่ค่อยมีใครอยากคบค้าด้วย ระยะยาวทำให้ต้นทุนซื้อวัตถุดิบสูงกว่าคู่แข่งขัน
ในงบการเงินจะสะท้อนผ่านที่ เจ้าหนี้การค้า AP Account Payable และสินค้าคงเหลือ ในส่วนที่เป็นวัถุดิบ ซึ่งป็นส่วนหนึ่งใน Business Models คือ Resources-Raw Material (Resources ที่สำคัญมีสองอย่างใน BMC คือ PPE & RM)
อัตราส่วนการเงินที่สำคัญคือ APT และ IT (Account Payable Turnover & Inventory Turover) ต้องนิ่ง ต่ำเกินไป (รอบเวลาหมุนเวียนนานเกินไป) การจ่ายนานเกินไป พร้อมกับรอบสินค้าที่นาน แสดงถึงการขาดสภาพคล่องมากกว่าการได้เปรียบในการทำธุรกิจ
GM ควรต้องคงที่ และนิ่ง การมีอำนาจต่อรองกับ suppliers ที่สำคัญคือการคงระดับราคาวัตถุดิบได้ในช่วงเวลาหนึ่งๆ (ยกเว้นอุตสาหกรรมวัฏจักรราคา) เพื่อให้สามารถแข่งขันในอุตสาหกรมได้
ความรู้ทางการเงิน การลงทุน และการบัญชี (11/7/60)
5 Forces & Business Models กับงบการเงิน และอัตราส่วนการเงิน (ตอน 5)
5. Substitue Products แรงกดดันสุดท้ายคือ สินค้าทดแทน ไม่ใช้สินค้าของคู่แข่งขันนะครับ อันนั้นคือส่วนของแรงกดดันภายในจากการแข่งขัน สินค้าในตลาดเดียวกัน บริษัทต้องป้องกันการแย่งตลาด รักษาสัดส่วนของส่วนแบ่งการตลาด (market share) และยังต้องเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดด้วย แต่สินค้าทดแทน ไม่ได้มีใครในอุตสาหกรรมมาแย่งส่วนแบ่งในตลาด แต่ยอกขายหายไปจากตลาดเลย เช่นตลาดขายสิ่งพิมพ์หนังสือ ยอดขายลดหายไปเพราะ ผู้บริโภคเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค ไปใช้ด้านสื่อทางดิจิตอลแทน เหมือนตลาดเพลงที่ยอดจำหน่ายเทป หายไปเป็นซีดี สุดท้ายหายไปให้การดาวน์โหลดผ่านอินเตอร์เน็ตแทน ธุรกิจที่เกี่ยวข้อง เช่นผลิตเทป ผลิตซีดี วอล์คกี้ท๊อกกี้ ซาวด์เบ้าท์ ต้องล่มสลายไป เป็นต้น ปัจจัยที่ 5 นี้ไม่ใช่เพียงการคุกคามและกดดันบริษัท แต่สะเทือนทั้งอุตสาหกรรม การสะท้อนผ่านงบการเงินไม่ใช่เพียงรายการเฉพาะเท่านั้น ส่วนมากกระทบภาพรวม และเป็นทั้งอุตสาหกรรม Moats ที่สำคัญ Chalie Munger เขียนไว้ต่างกันในแต่ละบทความ แต่ถ้าสรุปรวมกันคือ Innovation (Intelectual Property) และ Switching Cost นวัตกรรม และต้นทุนในการเปลี่ยนการใช้งานสินค้า จะชะลอการเปลี่ยนแปลงออกไปไม่ให้เกิดเร็วขึ้น สุดท้ายก็ต้องเปลี่ยนอยู่ดี เพียงแต่ไม่กระทันหัน) แรงสะเทือนต่อธุรกิจและอุตสาหกรรมคือ
AT ลดลงอย่างเร็ว หากเกิดจากการแข่งขัน มักไม่ค่อยลดลงเร็ว เพราะทุกรายล้วนต้องพยายามต่อสู้รักษาสัดส่วนทางการตลาดตนไว้ ยอดขายจะค่อยลดลง และไปเพิ่มให้คู่แข่งขัน แต่กรณีผู้บรู้โภคเปลี่ยนแปลงการใช้งาน ทุกบริษัทในอุตสาหกรรมจะลดลงเหมือนกัน การมี Moat จะช่วยชะลอการลด การเปลี่ยนแปลงให้เกิดช้าลง ใครปรับตัวได้ก่อนก็จะเสียหายน้อยกว่า ดังนั้น moats ช่วยชะลอการเปลี่ยนแปลงเพื่อให้ธุรกิจมีเวลาปรับตัว อุตสาหกรรมหรือธุรกิจที่ไม่มี moat มักจะรับการเปลี่ยนแปลงไม่ทันและล่มสลายไปเร็ว
ROA เมื่อ AT ลดลงอย่างเร็ว ย่อมกระทบต่อ ROA และส่งผลถึง ROE ในที่สุด
GM OM NM อัตรากำไรทุกตัวลดลงอย่างรวดเร็ว
สรุปคือธุรกิจ/อุตสาหกรรมเข้าสู่ sunset stage นั่นเอง
สิ่งที่อยากบอกฝากไว้คือ ถ้าอ่านงบการเงินเป็นและถูกแล้ว สามารถบอกทุกอย่างได้ ผมพบมามากทีเดียวทีบอกว่าบริษัทนี้ดี อนาคตดี มี Business Model ดีอย่างนั้นอย่างนี้ แต่งบการเงินออกมาคนละเรื่องไม่สะท้อนเลย แบบนี้ผมเชื่องบการเงินมากกว่าคำบอกเล่าครับ อาจจะพลาดได้ แต่ไม่มาก ดีกว่าซื้อไปบนงบที่เน่าๆ ในมุมผมคิดว่าเสี่ยงเกินไป ต้องมาคอยดูคอยตาม คัทลอสให้ทันเสียเวลาเปล่าๆ ชอบลงทุนแล้วสามารถนอนหลับฝันดี
-
- Verified User
- โพสต์: 1803
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 2853
จะว่าไปมันต้องดูระดับความรุนแรงของปัญหาที่เกิดขึ้นกับกิจการก่อนน่ะครับAnieLee เขียน:
ไม่แน่ใจว่าจำถูกไหมนะครับ Peter Lynch เคยกล่าวประมาณว่า หุ้น Turnaround มักไม่ค่อยมีที่ Turnaround ได้จริงๆ มีน้อยๆๆๆๆๆ มากๆๆ ที่ turn ได้ ^ ^
ถ้าเป็นพวกปัญหาชั่วคราว แก้ไขได้ไม่ยาก เช่น ปัญหาจากราคาวัตถุดิบบางอย่างที่ควบคุมไม่ได้ทำให้งบออกมาแย่ หรือพวกสินค้าคอมโมที่ราคาขึ้น ๆ ลง ๆ แบบนี้อาจจะมีโอกาสเทิร์นได้ไม่ยาก
แต่ในความหมายของหุ้นเทิร์นที่ผมเคยอ่านมานะครับ หุ้นที่เข้าข่ายต้องมีอะไรที่มันแย่หนักน่ะครับ แบบว่ากิจการอาจจะล้มหายไปเลยก็ได้ ถ้าจะยกตัวอย่างในตลาดหุ้นไทย ก็เช่น KAMART กับ MALEE สองตัวนี้จะค่อนข้างชัด แล้วก็คือหุ้นที่เทิร์นได้จริง
แต่ในตลาดหุ้นไทย เท่าที่ผมสังเกต ส่วนใหญ่นะ มักเป็นแค่หุ้นเล่น story อาจจะมีบางช่วงเวลาที่งบอาจจะดูดีขึ้นบ้าง แต่ระยะยาวแล้วก็แย่เหมือนเดิม
หุ้นพวกนี้มักมีลักษณะร่วมบางอย่างที่คล้าย ๆ กัน เช่น การเพิ่มทุนหรือแจก W บ่อย ๆ การที่ไม่มีผถห.ใหญ่ที่ชัดเจนหรือมีฟรีโฟลทปริมาณมาก ๆ ผบห.มักมีการให้ข่าวดีออกสื่อ พร้อม ๆ กับราคาหุ้นที่วิ่งขึ่นไป
พูดตรง ๆ ก็คือ เข้าข่ายมโนกันซะเป็นส่วนใหญ่ครับ
"Become a risk taker, not a risk maker"
-
- Verified User
- โพสต์: 1803
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 2854
พูดถึงแรงจูงใจของเจ้าของก็สำคัญนะครับ บางทีผมจะพยายามดูเจตนาของเจ้าของว่า เค้าต้องการอะไรกับกิจการของเค้า
อันนึงที่สำคัญก็คือสัดส่วนที่เจ้าของหรือผบห.ถือหุ้น รวมถึงฟรีโฟลทด้วย
มันก็ตรงไปตรงมาครับ ว่าถ้าเค้าถือหุ้นในสัดส่วนที่มาก เค้าก็ย่อมอยากให้ราคาหุ้นสูงขึ้น หุ้นพวกนี้ส่วนหนึ่งมักจะมีฟรีโฟลทที่ไม่มากจนเกินไป เช่นน้อยกว่า 50%
ถ้าสังเกตให้ดีหุ้นพวกที่เป็นข่าวในลักษณะเชิงลบแบบ "หลอกแดกซ์" มักจะตรงกันข้าม บางตัวฟรีโฟลท 99-100% ก็มีครับ แบบนี้ต้องระวัง เพราะผบห.อยากทำอะไรก็ทำเพราะตัวเองไม่เดือดร้อน อยากเพิ่มทุน อยากไปลงทุนมั่ว ๆ
ในกรณีของหุ้นที่เจ้าของถือในสัดส่วนมาก ๆ เราก็ต้องดูให้ออกด้วยครับว่าเค้าต้องการอะไรในการอยู่ในตลท.
หุ้นบางตัวมันก็ตรงกันข้ามกับที่บอกไป คือถึงเจ้าของจะถือหุ้นในสัดส่วนที่มาก แต่เค้ากลับไม่สนใจราคาหุ้น อาจจะด้วยเหตุผลลึก ๆ หลายอย่าง เช่น รวยแล้ว อายุเยอะ ขาดแรงจูงใจ หรือมีอะไรสีเทา ๆ เช่น มีการผ่องถ่ายผลประโยชน์ออกจากบ.ด้วยวิธีการใดวิธีการหนึ่ง ซึ่งบางทีหุ้นแบบนี้เจ้าของอาจจะตั้งใจที่จะทำให้ราคาหุ้นมันไม่น่าสนใจ เพราะจะได้ไม่มีคนมายุ่งกับหุ้นของเค้า ไม่ว่าหุ้นจะราคาสูงต่ำ เค้าก็ยังคงเป็นเจ้าของและผ่องถ่ายผลประโยชน์ออกจากบ.ด้วยวิธีการอื่น
หุ้นบางตัวนี่ออกอาการชัดเจนเลยว่า "ไม่เห็นหัวผถห." ทั้ง ๆ ที่ใคร ๆ ก็ทราบว่า ทำอย่างไรหุ้นถึงจะมีราคาสูงขึ้น หุ้นพวกนี้บางตัวผลประกอบการไม่เลว บางตัวจัดได้ว่าดีด้วยซ้ำ แต่จะใช้วิธีที่ "กดผถห." เช่น การจ่ายเงินปันผลในจำนวนที่น้อยเมื่อเทียบกับกำไรที่ทำได้ หุ้นบางตัวทำน่าเกลียดถึงขนาดออกนโยบายการจ่ายเงินปันผลเป็นจำนวนเงินน้อย ๆ ที่ตายตัว โดยไม่ได้มีการปรับให้เหมาะสม
นอกจากนั้นพวกหุ้น IPO ก็ต้องระวังครับ หุ้นบางตัวอยู่ในธุรกิจที่แนวโน้มกำลังจะแย่ แต่พยายามเอาเข้าตลาดเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กิจการแล้วเจ้าของพยายามขายทิ้งลดสัดส่วนการถือหุ้นออกไปครับ
นอกจากนั้น คำพูดของผบห. เราอย่าได้ไปเชื่อมากนักโดยเฉพาะเรื่องดี ๆ มันเป็นความจริงอยู่เรื่องหนึ่งครับว่า
"ผบห.ชอบบอกข่าวดี แต่เก็บข่าวร้าย" หรือ "ข่าวดีมักมีแนวโน้มที่จะบอกว่าดีกว่าความเป็นจริง ในขณะที่ข่าวร้ายมักจะมีแนวโน้มที่จะบอกร้ายกว่าความเป็นจริง" ครับ
ฉะนั้นข่าวพวกนี้ฟังได้ เอามาวิเคราะห์ได้ แต่อย่าได้พยายาม bias ครับ และเราอย่าหวังว่าจะไปคาดคั้นเอาความจริงให้ได้ว่ามันเป็นอย่างไร เพราะเราไม่มีอำนาจที่จะไปตรวจสอบข้อมูลตรงนั้นได้ เช่น ผบห.ไปทำเรื่องผิด ๆ มา แล้วบอกว่าขอไม่รับเงินเดือน แต่เบื้องหลังจ่ายเงินเป็นผลประโยชน์อย่างอื่นหรือเปล่า อันนี้เราไม่มีทางรู้ครับ
อันนึงที่สำคัญก็คือสัดส่วนที่เจ้าของหรือผบห.ถือหุ้น รวมถึงฟรีโฟลทด้วย
มันก็ตรงไปตรงมาครับ ว่าถ้าเค้าถือหุ้นในสัดส่วนที่มาก เค้าก็ย่อมอยากให้ราคาหุ้นสูงขึ้น หุ้นพวกนี้ส่วนหนึ่งมักจะมีฟรีโฟลทที่ไม่มากจนเกินไป เช่นน้อยกว่า 50%
ถ้าสังเกตให้ดีหุ้นพวกที่เป็นข่าวในลักษณะเชิงลบแบบ "หลอกแดกซ์" มักจะตรงกันข้าม บางตัวฟรีโฟลท 99-100% ก็มีครับ แบบนี้ต้องระวัง เพราะผบห.อยากทำอะไรก็ทำเพราะตัวเองไม่เดือดร้อน อยากเพิ่มทุน อยากไปลงทุนมั่ว ๆ
ในกรณีของหุ้นที่เจ้าของถือในสัดส่วนมาก ๆ เราก็ต้องดูให้ออกด้วยครับว่าเค้าต้องการอะไรในการอยู่ในตลท.
หุ้นบางตัวมันก็ตรงกันข้ามกับที่บอกไป คือถึงเจ้าของจะถือหุ้นในสัดส่วนที่มาก แต่เค้ากลับไม่สนใจราคาหุ้น อาจจะด้วยเหตุผลลึก ๆ หลายอย่าง เช่น รวยแล้ว อายุเยอะ ขาดแรงจูงใจ หรือมีอะไรสีเทา ๆ เช่น มีการผ่องถ่ายผลประโยชน์ออกจากบ.ด้วยวิธีการใดวิธีการหนึ่ง ซึ่งบางทีหุ้นแบบนี้เจ้าของอาจจะตั้งใจที่จะทำให้ราคาหุ้นมันไม่น่าสนใจ เพราะจะได้ไม่มีคนมายุ่งกับหุ้นของเค้า ไม่ว่าหุ้นจะราคาสูงต่ำ เค้าก็ยังคงเป็นเจ้าของและผ่องถ่ายผลประโยชน์ออกจากบ.ด้วยวิธีการอื่น
หุ้นบางตัวนี่ออกอาการชัดเจนเลยว่า "ไม่เห็นหัวผถห." ทั้ง ๆ ที่ใคร ๆ ก็ทราบว่า ทำอย่างไรหุ้นถึงจะมีราคาสูงขึ้น หุ้นพวกนี้บางตัวผลประกอบการไม่เลว บางตัวจัดได้ว่าดีด้วยซ้ำ แต่จะใช้วิธีที่ "กดผถห." เช่น การจ่ายเงินปันผลในจำนวนที่น้อยเมื่อเทียบกับกำไรที่ทำได้ หุ้นบางตัวทำน่าเกลียดถึงขนาดออกนโยบายการจ่ายเงินปันผลเป็นจำนวนเงินน้อย ๆ ที่ตายตัว โดยไม่ได้มีการปรับให้เหมาะสม
นอกจากนั้นพวกหุ้น IPO ก็ต้องระวังครับ หุ้นบางตัวอยู่ในธุรกิจที่แนวโน้มกำลังจะแย่ แต่พยายามเอาเข้าตลาดเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กิจการแล้วเจ้าของพยายามขายทิ้งลดสัดส่วนการถือหุ้นออกไปครับ
นอกจากนั้น คำพูดของผบห. เราอย่าได้ไปเชื่อมากนักโดยเฉพาะเรื่องดี ๆ มันเป็นความจริงอยู่เรื่องหนึ่งครับว่า
"ผบห.ชอบบอกข่าวดี แต่เก็บข่าวร้าย" หรือ "ข่าวดีมักมีแนวโน้มที่จะบอกว่าดีกว่าความเป็นจริง ในขณะที่ข่าวร้ายมักจะมีแนวโน้มที่จะบอกร้ายกว่าความเป็นจริง" ครับ
ฉะนั้นข่าวพวกนี้ฟังได้ เอามาวิเคราะห์ได้ แต่อย่าได้พยายาม bias ครับ และเราอย่าหวังว่าจะไปคาดคั้นเอาความจริงให้ได้ว่ามันเป็นอย่างไร เพราะเราไม่มีอำนาจที่จะไปตรวจสอบข้อมูลตรงนั้นได้ เช่น ผบห.ไปทำเรื่องผิด ๆ มา แล้วบอกว่าขอไม่รับเงินเดือน แต่เบื้องหลังจ่ายเงินเป็นผลประโยชน์อย่างอื่นหรือเปล่า อันนี้เราไม่มีทางรู้ครับ
"Become a risk taker, not a risk maker"
-
- Verified User
- โพสต์: 1803
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 2855
พิมพ์ตกไปนิดนึงครับleky เขียน:
"ผบห.ชอบบอกข่าวดี แต่เก็บข่าวร้าย" หรือ "ข่าวดีมักมีแนวโน้มที่จะบอกว่าดีกว่าความเป็นจริง ในขณะที่ข่าวร้ายมักจะมีแนวโน้มที่จะบอกร้ายน้อยกว่าความเป็นจริง" ครับ
"Become a risk taker, not a risk maker"
- นายมานะ
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1116
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 2856
สต.ว่าต้องแยกหุ้น turnaround กับหุ้นปั่นออกจากกันก่อนครับ หลายคนชอบเหมารวมกันว่าเป็นกลุ่มเดียวกัน จริงๆ หุ้น turnaround ในนิยามของอ.ลินช์น่าจะหมายถึงหุ้นที่มีเหตุการณ์เลวร้าย "ชั่วคราว" แล้วน่าจะกลับมาได้ ซึ่งหลายๆ ครั้งมันก็กลับมาไม่ได้อย่างที่ปู่บอกว่า turnarounds seldom turn
ส่วนในเคสของ polar หรือหุ้นที่มีเจ้ามืออีกหลายตัว มันไม่ใช่หุ้นที่เลวร้ายชั่วคราว แล้วกำลังจะกลับมาดี แต่มันเป็นหุ้นที่พื้นฐานไม่ได้มีอะไรเลยแต่แรก แค่มีเจ้ามือสร้างสตอรี่พร้อมๆ กับไล่ราคาไปสูงๆ โดยมีเจตนาจะกินเงินจากรายย่อยแต่แรก แล้วนักลงทุนไทยบางคนก็ไปนิยามการลงทุนแนวนี้ว่าเป็นหุ้น turnaround ซึ่งส่วนตัวมองว่าไม่ใช่นิยามตั้งต้นของมันครับ
ส่วนในเคสของ polar หรือหุ้นที่มีเจ้ามืออีกหลายตัว มันไม่ใช่หุ้นที่เลวร้ายชั่วคราว แล้วกำลังจะกลับมาดี แต่มันเป็นหุ้นที่พื้นฐานไม่ได้มีอะไรเลยแต่แรก แค่มีเจ้ามือสร้างสตอรี่พร้อมๆ กับไล่ราคาไปสูงๆ โดยมีเจตนาจะกินเงินจากรายย่อยแต่แรก แล้วนักลงทุนไทยบางคนก็ไปนิยามการลงทุนแนวนี้ว่าเป็นหุ้น turnaround ซึ่งส่วนตัวมองว่าไม่ใช่นิยามตั้งต้นของมันครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 2857
น่าจะเรียกว่าลงทุนในหุ้นปั่นมากกว่านายมานะ เขียน:สต.ว่าต้องแยกหุ้น turnaround กับหุ้นปั่นออกจากกันก่อนครับ หลายคนชอบเหมารวมกันว่าเป็นกลุ่มเดียวกัน จริงๆ หุ้น turnaround ในนิยามของอ.ลินช์น่าจะหมายถึงหุ้นที่มีเหตุการณ์เลวร้าย "ชั่วคราว" แล้วน่าจะกลับมาได้ ซึ่งหลายๆ ครั้งมันก็กลับมาไม่ได้อย่างที่ปู่บอกว่า turnarounds seldom turn
ส่วนในเคสของ polar หรือหุ้นที่มีเจ้ามืออีกหลายตัว มันไม่ใช่หุ้นที่เลวร้ายชั่วคราว แล้วกำลังจะกลับมาดี แต่มันเป็นหุ้นที่พื้นฐานไม่ได้มีอะไรเลยแต่แรก แค่มีเจ้ามือสร้างสตอรี่พร้อมๆ กับไล่ราคาไปสูงๆ โดยมีเจตนาจะกินเงินจากรายย่อยแต่แรก แล้วนักลงทุนไทยบางคนก็ไปนิยามการลงทุนแนวนี้ว่าเป็นหุ้น turnaround ซึ่งส่วนตัวมองว่าไม่ใช่นิยามตั้งต้นของมันครับ
ถ้าหุ้นturnarround น่าจะเป็น malee, kamart น่าจะใช่มากกว่าครับ
- AnieLee
- Verified User
- โพสต์: 1436
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 2858
ขอบคุณครับทุกท่าน
เอาบทความ "กล่องของขวัญ" ที่เพิ่งเรียบเรียงมาฝากครับ
ตลาดหุ้นเปรียบเหมือนเป็นเหมือนเกมส์ซื้อกล่องของขวัญมหาสมบัติ ที่ภายในอาจมีเงินทองมากมาย หรืออาจจะมีระเบิด สัตว์ร้ายซ่อนอยู่ หรือเป็นทรัพย์สินทั่วไปที่มีมูลค่าเท่าราคาของขวัญ หรือเป็นเพียงกล่องเปล่าๆ โดยมีกล่องของขวัญที่มีสีสรรต่างๆ หลายหลาก สวยงามตามแต่ละคนจะมอง ขึ้นกับคนทำกล่องของขวัญแต่งสีสรรและปรุงแต่งลวดลายต่างๆ มีทั้งผู้ที่ทำด้วยใจจริงหรือใจที่ไม่ซื่อตรงเพื่อหลอกขาย
ผู้คนที่เข้ามาในตลาดหุ้น ก็เหมือนผู้ที่เข้ามาแสวงหาสมบัติ ผจญภัย เพลิดเพบินกับสีสรรหลายหลากของกล่องของขวัญที่งดงาม ด้วยความหวังที่จะได้พบขุมทรัพย์ก้อนโต บางคนอาจละเลยถึงภัยที่อาจซ่อนในกล่อง หรืออาจจะพบเพียงกล่องเปล่าไม่มีมูลค่าไรเลยก็ได้ จะมีคนเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่สามารถขุดหากล่องของขวัญล้ำค่าที่มีกองอยู่มากมายหลายร้อยกล่อง โดยที่กล่องล้ำค่าที่ว่า ก็มีน้อยมากเช่นกัน บางทีกล่องที่สีสรรธรรมดา อาจเป็นของล้ำค่า ในขณะที่กล่องที่มีสีสรรสวยงาม อาจมีระเบิดซ่อนอยู่หรือเป็นแค่กล่องเปล่า แต่ก็อาจมีกล่องที่สีสรรงดงามจริงและมีของล้ำค่าจริงๆ ก็ได้ ทั้งนี้เป็นหน้าที่ของผู้คนที่เข้ามาในตลาดกล่องของขวัญที่ต้องพยายามขุดคุ้ย เสาะหา กล่องของขวัญที่มีสมบัติล้ำค่า และต้องคอยระวังที่จะพบเภทภัยที่อาจอยู่ในกล่อง หากโชคร้าย เงินที่ซื้อกล่องของขวัญก็อาจสูญหายไปเลย เพราะไม่มีอะไรในกล่องนั้นก็ได้
โดย AnieLee นักผจญภัยในตลาดกล่องของขวัญ
เอาบทความ "กล่องของขวัญ" ที่เพิ่งเรียบเรียงมาฝากครับ
ตลาดหุ้นเปรียบเหมือนเป็นเหมือนเกมส์ซื้อกล่องของขวัญมหาสมบัติ ที่ภายในอาจมีเงินทองมากมาย หรืออาจจะมีระเบิด สัตว์ร้ายซ่อนอยู่ หรือเป็นทรัพย์สินทั่วไปที่มีมูลค่าเท่าราคาของขวัญ หรือเป็นเพียงกล่องเปล่าๆ โดยมีกล่องของขวัญที่มีสีสรรต่างๆ หลายหลาก สวยงามตามแต่ละคนจะมอง ขึ้นกับคนทำกล่องของขวัญแต่งสีสรรและปรุงแต่งลวดลายต่างๆ มีทั้งผู้ที่ทำด้วยใจจริงหรือใจที่ไม่ซื่อตรงเพื่อหลอกขาย
ผู้คนที่เข้ามาในตลาดหุ้น ก็เหมือนผู้ที่เข้ามาแสวงหาสมบัติ ผจญภัย เพลิดเพบินกับสีสรรหลายหลากของกล่องของขวัญที่งดงาม ด้วยความหวังที่จะได้พบขุมทรัพย์ก้อนโต บางคนอาจละเลยถึงภัยที่อาจซ่อนในกล่อง หรืออาจจะพบเพียงกล่องเปล่าไม่มีมูลค่าไรเลยก็ได้ จะมีคนเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่สามารถขุดหากล่องของขวัญล้ำค่าที่มีกองอยู่มากมายหลายร้อยกล่อง โดยที่กล่องล้ำค่าที่ว่า ก็มีน้อยมากเช่นกัน บางทีกล่องที่สีสรรธรรมดา อาจเป็นของล้ำค่า ในขณะที่กล่องที่มีสีสรรสวยงาม อาจมีระเบิดซ่อนอยู่หรือเป็นแค่กล่องเปล่า แต่ก็อาจมีกล่องที่สีสรรงดงามจริงและมีของล้ำค่าจริงๆ ก็ได้ ทั้งนี้เป็นหน้าที่ของผู้คนที่เข้ามาในตลาดกล่องของขวัญที่ต้องพยายามขุดคุ้ย เสาะหา กล่องของขวัญที่มีสมบัติล้ำค่า และต้องคอยระวังที่จะพบเภทภัยที่อาจอยู่ในกล่อง หากโชคร้าย เงินที่ซื้อกล่องของขวัญก็อาจสูญหายไปเลย เพราะไม่มีอะไรในกล่องนั้นก็ได้
โดย AnieLee นักผจญภัยในตลาดกล่องของขวัญ
####################################################
ความสำเร็จจากการลงทุน ไม่ได้เกิดจาก "การซื้อของดี" แต่มาจาก "การซื้อของได้ดี" ต่างหาก
ความสำเร็จจากการลงทุน ไม่ได้เกิดจาก "การซื้อของดี" แต่มาจาก "การซื้อของได้ดี" ต่างหาก
-
- Verified User
- โพสต์: 1258
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 2859
วันนี้ไปประชุมผู้ถือหน่วยลงทุนกองอสังหาแห่งนึงมา ผมไม่ค่อยได้รู้ประวัติที่ผ่านมาเท่าไหร่ เจ้าของเดิมขายสินทรัพย์เข้ากองทุน แล้วทำสัญญาเป็นผู้เช่าสินทรัพย์นั้นจากกองทุน แต่หลังจากนั้นก็ผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าตามสัญญา วาระสำคัญที่ บลจ เรียกประชุมวันนี้คือเรื่องขายสินทรัพย์ที่มีผู้เสนอซื้อมา เพื่อปิดกองและเฉลี่ยคืนเงินให้ผู้ถือหน่วย แต่อนิจจาพอเริ่มประชุม บลจ บอกผู้เสนอซื้อแจ้งเรื่องยกเลิกการซื้อมาเมื่อวานนี้ บรรยากาศมาคุ ตึงเครียด สินทรัพย์ก็สภาพทรุดโทรมลง มูลค่าด้อยลงกว่าตอนออกกองไปเรื่อยๆ สรุปที่ประชุมได้แต่ให้ บลจ ไปจัดหาผู้เช่ารายใหม่ต่อไป
เจอคุณลุงคนนึงในห้องน้ำ แกบอกว่าทางธนาคารที่เป็น บ.แม่ ของ บลจ. มาเสนอให้จองซื้อหน่วยลงทุน แกเข้าใจว่าจะได้ผลตอบแทนที่แน่นอนและมากกว่าดอกเบี้ยเงินฝาก แต่ก็มามีปัญหา ไม่ได้เงินปันผลมาหลายปีแล้ว น่าเห็นใจจริงๆครับ
เจอคุณลุงคนนึงในห้องน้ำ แกบอกว่าทางธนาคารที่เป็น บ.แม่ ของ บลจ. มาเสนอให้จองซื้อหน่วยลงทุน แกเข้าใจว่าจะได้ผลตอบแทนที่แน่นอนและมากกว่าดอกเบี้ยเงินฝาก แต่ก็มามีปัญหา ไม่ได้เงินปันผลมาหลายปีแล้ว น่าเห็นใจจริงๆครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 4241
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 2860
^ เดาว่า กองทุนอสังหาฯ ตามข่าวที่แจ้งตลาดฯ วันนี้ครับ
วันที่/เวลา 14 ก.ค. 2560 18:19:16
หัวข้อข่าว แจ้งมติที่ประชุมผู้ถือหน่วยลงทุน ครั้งที่ 1/2560
หลักทรัพย์ SBPF
แหล่งข่าว SBPF
รายละเอียดแบบเต็ม คลิกที่นี่เพื่อดาวน์โหลดรายละเอียดข่าวรูปแบบเต็ม
มติที่ประชุมผู้ถือหลักทรัพย์
เรื่อง : มติผู้ถือหน่วยลงทุน
วันประชุม : 14 ก.ค. 2560
มติที่ประชุม : ไม่อนุมัติ
วาระที่เปลี่ยนแปลงจากที่ขอมติ :วาระที่ 4 พิจารณาข้อเสนอซื้อทรัพย์สินของกองทุนรวม
(เพื่อพิจารณา)
เนื่องจาก เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2560 บริษัท เฟดเดอรัล เซอร์วิส จำกัด
ผู้เสนอซื้อทรัพย์สินของกองทุนรวมได้แจ้งยกเลิกข้อเสนอซื้อทรัพย์สินของกองทุนรวม
จึงไม่มีเรื่องให้พิจารณาและลงมติในวาระนี้
วาระที่ 5 พิจารณาทางเลือกอื่นในการดำเนินการ (เพื่อพิจารณา)
ตามที่ผู้เสนอซื้อทรัพย์สินของกองทุนรวมได้แจ้งยกเลิกข้อเสนอซื้อทรัพย์สินของกองทุนรวม เมื่อวันที่ 13
กรกฎาคม 2560 ที่ประชุมจึงได้อภิปรายเกี่ยวกับแนวทางการบริหารจัดการทรัพย์สินของกองทุนรวมต่อไป จากนั้น
ประธานฯ
จึงได้สรุปความเห็นของผู้ถือหน่วยลงทุนและเสนอญัตติใหม่ให้ที่ประชุมพิจารณาขายทรัพย์สินของกองทุนรวม
ในราคาซื้อขายสุทธิ (ไม่รวมค่านายหน้า ภาษี ค่าธรรมเนียม
และค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องในการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์) ไม่ต่ำกว่า 500,000,000 บาท (ห้าร้อยล้านบาท)
โดยให้บริษัทจัดการดำเนินการสรรหาและเข้าทำสัญญาซื้อขายทรัพย์สินกับผู้ซื้อทรัพย์สินตามเงื่อนไขดังกล่าว
และแจ้งผลการดำเนินการดังกล่าวให้ผู้ถือหน่วยลงทุนทราบผ่านทางตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
โดยมีเงื่อนไขดังต่อไปนี้
1. เพื่อประโยชน์ในการสรรหาผู้ซื้อทรัพย์สินใหม่
ให้กองทุนรวมมีสิทธิจ่ายค่านายหน้าสำหรับการขายทรัพย์สินของกองทุนรวมได้ในอัตราไม่เกินร้อยละ 3
ของราคาซื้อขายทรัพย์สินที่ตกลงกัน และ
2. ให้บริษัทจัดการดำเนินการสรรหาผู้ซื้อทรัพย์สินใหม่ภายใน 4 เดือนนับแต่วันที่ประชุมผู้ถือหน่วยลงทุน
ครั้งที่ 1/2560
ทั้งนี้ ในกรณีที่ประชุมไม่อนุมัติให้ขายทรัพย์สินของกองทุนรวมตามแนวทางข้างต้น
บริษัทจัดการจะนำทรัพย์สินของกองทุนรวมออกให้เช่า
โดยบริษัทจัดการจะดำเนินการสรรหาและเข้าทำสัญญาให้เช่าทรัพย์สินกับผู้เช่าทรัพย์สิน
และแจ้งผลการดำเนินการดังกล่าวให้ผู้ถือหน่วยลงทุนทราบผ่านทางตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
ที่ประชุมมีมติไม่อนุมัติให้ขายทรัพย์สินของกองทุนรวมตามแนวทางที่เสนอ ด้วยคะแนนเสียง ดังนี้
เห็นด้วยกับการขายทรัพย์สิน จำนวน 27,988,620 หน่วย หรือ คิดเป็นร้อยละ* 44.7915
ไม่เห็นด้วยกับการขายทรัพย์สิน จำนวน 34,337,820 หน่วย หรือ คิดเป็นร้อยละ* 54.9524
งดออกเสียง จำนวน 160,000 หน่วย หรือ คิดเป็นร้อยละ* 0.2561
*ร้อยละของจำนวนหน่วยลงทุนทั้งหมดที่มาประชุมและมีสิทธิออกเสียงลงคะแนน
// Stay Hungry, Stay Foolish.
// Stay Calm, Stay Invest.
// Price is what you pay, Value is what you get.
// Stay Calm, Stay Invest.
// Price is what you pay, Value is what you get.
- AnieLee
- Verified User
- โพสต์: 1436
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 2861
สงสารเค้านะครับKaiser เขียน:วันนี้ไปประชุมผู้ถือหน่วยลงทุนกองอสังหาแห่งนึงมา ผมไม่ค่อยได้รู้ประวัติที่ผ่านมาเท่าไหร่ เจ้าของเดิมขายสินทรัพย์เข้ากองทุน แล้วทำสัญญาเป็นผู้เช่าสินทรัพย์นั้นจากกองทุน แต่หลังจากนั้นก็ผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าตามสัญญา วาระสำคัญที่ บลจ เรียกประชุมวันนี้คือเรื่องขายสินทรัพย์ที่มีผู้เสนอซื้อมา เพื่อปิดกองและเฉลี่ยคืนเงินให้ผู้ถือหน่วย แต่อนิจจาพอเริ่มประชุม บลจ บอกผู้เสนอซื้อแจ้งเรื่องยกเลิกการซื้อมาเมื่อวานนี้ บรรยากาศมาคุ ตึงเครียด สินทรัพย์ก็สภาพทรุดโทรมลง มูลค่าด้อยลงกว่าตอนออกกองไปเรื่อยๆ สรุปที่ประชุมได้แต่ให้ บลจ ไปจัดหาผู้เช่ารายใหม่ต่อไป
เจอคุณลุงคนนึงในห้องน้ำ แกบอกว่าทางธนาคารที่เป็น บ.แม่ ของ บลจ. มาเสนอให้จองซื้อหน่วยลงทุน แกเข้าใจว่าจะได้ผลตอบแทนที่แน่นอนและมากกว่าดอกเบี้ยเงินฝาก แต่ก็มามีปัญหา ไม่ได้เงินปันผลมาหลายปีแล้ว น่าเห็นใจจริงๆครับ
เมืองไทยควรมีวิชาวางแผนและจัดการการเงินเบื้องต้นในหลักสูตรระดับมัธยมปลายฯ ก็ดีนะครับ แต่ความจริงคือ ไม่มีวิชาแนวนี้ในหลักสูตรเลยครับ ป.ตรี ที่ไม่ใช่เกี่ยวกับบริหารฯ ก็น่าจะไม่มีวิชาเกี่ยวกับการเงินในหลักสูตรสอนเลยครับ ทั้งๆ ที่ น่าเป็นวิชาพื้นฐานในการดำรงชีวิตนะครับ
####################################################
ความสำเร็จจากการลงทุน ไม่ได้เกิดจาก "การซื้อของดี" แต่มาจาก "การซื้อของได้ดี" ต่างหาก
ความสำเร็จจากการลงทุน ไม่ได้เกิดจาก "การซื้อของดี" แต่มาจาก "การซื้อของได้ดี" ต่างหาก
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 2862
Nomuraมีสัมมนาวันนี้เลยนำfileมาแชร์ให้ครับ
https://www.nomuradirect.com/upload/Str ... 045675.pdf
https://www.nomuradirect.com/upload/Eco ... 045804.pdf
https://www.nomuradirect.com/upload/Sec ... 045949.pdf
https://www.nomuradirect.com/upload/Str ... 045675.pdf
https://www.nomuradirect.com/upload/Eco ... 045804.pdf
https://www.nomuradirect.com/upload/Sec ... 045949.pdf
-
- Verified User
- โพสต์: 1803
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 2863
กองทุนอสังหาแบบนี้มีให้เห็นตัวอย่างหลายกองครับ ถ้าเราไปตามติดเรื่องราวดูนะครับ มันชวนให้คิดถึงไปว่า เรื่องราวทั้งหมด เค้าต้องการให้เป็นแบบนี้ตั้งแต่แรกอยู่แล้วKaiser เขียน:วันนี้ไปประชุมผู้ถือหน่วยลงทุนกองอสังหาแห่งนึงมา ผมไม่ค่อยได้รู้ประวัติที่ผ่านมาเท่าไหร่ เจ้าของเดิมขายสินทรัพย์เข้ากองทุน แล้วทำสัญญาเป็นผู้เช่าสินทรัพย์นั้นจากกองทุน แต่หลังจากนั้นก็ผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าตามสัญญา วาระสำคัญที่ บลจ เรียกประชุมวันนี้คือเรื่องขายสินทรัพย์ที่มีผู้เสนอซื้อมา เพื่อปิดกองและเฉลี่ยคืนเงินให้ผู้ถือหน่วย แต่อนิจจาพอเริ่มประชุม บลจ บอกผู้เสนอซื้อแจ้งเรื่องยกเลิกการซื้อมาเมื่อวานนี้ บรรยากาศมาคุ ตึงเครียด สินทรัพย์ก็สภาพทรุดโทรมลง มูลค่าด้อยลงกว่าตอนออกกองไปเรื่อยๆ สรุปที่ประชุมได้แต่ให้ บลจ ไปจัดหาผู้เช่ารายใหม่ต่อไป
เจอคุณลุงคนนึงในห้องน้ำ แกบอกว่าทางธนาคารที่เป็น บ.แม่ ของ บลจ. มาเสนอให้จองซื้อหน่วยลงทุน แกเข้าใจว่าจะได้ผลตอบแทนที่แน่นอนและมากกว่าดอกเบี้ยเงินฝาก แต่ก็มามีปัญหา ไม่ได้เงินปันผลมาหลายปีแล้ว น่าเห็นใจจริงๆครับ
เท่าที่ผมสังเกตดูกองพวกนี้จะมีลักษณะคล้าย ๆ กันบางอย่าง ตั้งแต่มักจะเป็นการขายขาดสินทรัพย์ของเจ้าของเดิม เหมือนจะรู้อยู่แต่แรกว่ามันมีปัญหา ก็แน่นอนครับ ถ้าของดีใครจะอยากขายขาด และสินทรัพย์ที่ว่ามักจะเป็นสินทรัพย์เป็นอสังหาฯ ที่ใดที่หนึ่ง ไม่ใช่เป็นการกระจายความเสี่ยง
บางกองอาจจะมีการประกันรายได้ในช่วงแรก แต่พอหมดช่วงประกัน รายได้ก็ตกหนัก
"Become a risk taker, not a risk maker"
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 2864
บางครั้งก็ต้องดูบริษัทแม่ที่ออกproperty fund ,Reitว่าเป็นอย่างไร เวลาถือจะได้อุ่นใจleky เขียน:กองทุนอสังหาแบบนี้มีให้เห็นตัวอย่างหลายกองครับ ถ้าเราไปตามติดเรื่องราวดูนะครับ มันชวนให้คิดถึงไปว่า เรื่องราวทั้งหมด เค้าต้องการให้เป็นแบบนี้ตั้งแต่แรกอยู่แล้วKaiser เขียน:วันนี้ไปประชุมผู้ถือหน่วยลงทุนกองอสังหาแห่งนึงมา ผมไม่ค่อยได้รู้ประวัติที่ผ่านมาเท่าไหร่ เจ้าของเดิมขายสินทรัพย์เข้ากองทุน แล้วทำสัญญาเป็นผู้เช่าสินทรัพย์นั้นจากกองทุน แต่หลังจากนั้นก็ผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าตามสัญญา วาระสำคัญที่ บลจ เรียกประชุมวันนี้คือเรื่องขายสินทรัพย์ที่มีผู้เสนอซื้อมา เพื่อปิดกองและเฉลี่ยคืนเงินให้ผู้ถือหน่วย แต่อนิจจาพอเริ่มประชุม บลจ บอกผู้เสนอซื้อแจ้งเรื่องยกเลิกการซื้อมาเมื่อวานนี้ บรรยากาศมาคุ ตึงเครียด สินทรัพย์ก็สภาพทรุดโทรมลง มูลค่าด้อยลงกว่าตอนออกกองไปเรื่อยๆ สรุปที่ประชุมได้แต่ให้ บลจ ไปจัดหาผู้เช่ารายใหม่ต่อไป
เจอคุณลุงคนนึงในห้องน้ำ แกบอกว่าทางธนาคารที่เป็น บ.แม่ ของ บลจ. มาเสนอให้จองซื้อหน่วยลงทุน แกเข้าใจว่าจะได้ผลตอบแทนที่แน่นอนและมากกว่าดอกเบี้ยเงินฝาก แต่ก็มามีปัญหา ไม่ได้เงินปันผลมาหลายปีแล้ว น่าเห็นใจจริงๆครับ
เท่าที่ผมสังเกตดูกองพวกนี้จะมีลักษณะคล้าย ๆ กันบางอย่าง ตั้งแต่มักจะเป็นการขายขาดสินทรัพย์ของเจ้าของเดิม เหมือนจะรู้อยู่แต่แรกว่ามันมีปัญหา ก็แน่นอนครับ ถ้าของดีใครจะอยากขายขาด และสินทรัพย์ที่ว่ามักจะเป็นสินทรัพย์เป็นอสังหาฯ ที่ใดที่หนึ่ง ไม่ใช่เป็นการกระจายความเสี่ยง
บางกองอาจจะมีการประกันรายได้ในช่วงแรก แต่พอหมดช่วงประกัน รายได้ก็ตกหนัก
วิเคราะห์คล้ายๆกับซื้อหุ้นเลยครับ
ถ้าได้freeholdก็ยิ่งดีและตวรจะมีคนเช่าจั้งแต่70%ขึ้นไป
แต่ก็มีfreeholdบางกอง ช่วงแรกแทบไม่มีคนเช่า ราคาก็ตกเป็นเรื่องปกติ
หรือหากองที่ราคาลงมาเยอะ และเป็นfreeholdก็จะได้ส่วนต่างเยอะ
ถ้ามีคนเช่าเพิ่มก็ราคาขึ้นมา หนืออาจขายอาคารบาวที่ก็ได้เงินคืนแล้วครับ
แต่เห็นด้วยว่าหลายกองเป็นแบบที่พูดเลยชักชวนมาซื้อเหมือนตราสารหนี้
มารู้ทีหลังตอนมันแย่หลังหมดระยะประกันรายได้
ลองหาดูนะครับ
- นายมานะ
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1116
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 2865
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 2866
AGM IMPACT. 17/7/17 at Impact
เมื่อวานไปประชุมมา เลยมาฝากครับ
ผลการดำเนินงาน
รายได้จากการลงทุนปีที่ผ่านมา 1902.50 ล้านบาท
รวมกับรายได้อื่น รวม 1,911.78 ล้านบาท
เทียบกับปีที่แล้วลดลง10% มาจากการจับจ่ายใช้สอบลดลง
รวมถึงเหตุการณ์พิเศษเดือนตค มีระยะเวลาการถวายความอาลัย
เกิดลดการจัดงานรื่นเริง กระทบต่อรายได้ของอิมแพต
มีการเลื่อน และ ยกเลิกไปจำนวนนึง
ทำให้รายได้ลดลงไป
Impact มีรายได้ห้าประเภท
รายได้หลัก มาจาก
รายได้ให้เช่า หรือ ให้ใช้พื้นที่จัดงาน ประมาณ 82%
ที่เหลือ จะเป็น
รายได้จากค่าตอบแทนการให้ใช้พื้นที่จัดเลี้ยง7.5%
รายได้จากค่าเช่าหรือให้ใข้พื้นที่ระยะยาว 7%
รายได้ค่าบริการที่จอดรถ 3%
รายได้ค่าตอบแทนให้ใช้พิ้นที่โฆษณา 0.5%
ค่าใช้จ่าย 919.59%
มาจาก ต้นทุนการจัดงาน ผู้บริหารจัดการดี คิดเป็น 13%
รายได้จากการลงทุนสุทธิ 992ล้านบาท.
กำไรสุทธิ 998.66 ล้านบาท
GP from 86.24% to 86.92%
NP from 56.09% to 52.24%
อัตรากำไรสุทธิ จากปี59= 0.8 , ปี 17=0.67 บาทต่อหน่วยลงทุน
อัตราปันผลต่อหน่วยลดลงจาก 0.765 บาทต่อหน่วย เป็น 0.660 บาทต่อหน่วย
อัตราการเช่าพื้นที่เฉลี่ย ลดลงจาก 54% to 48%
คำถามและคำตอบ
Q: เมื่อเรามีรายได้ลดลง10%มีผลกระทบทำให้ไม่ได้รายได้ตามที่คาดหมาย
มาจากที่ควบคุมได้หรือควบคุมไม่ได้หรือครับ
เนื่องจากการลงทุนลดลงด้วย ผู้ถือหน่วยกังวลรายได้อนาคตเพราะ
กิจการที่เกิดประโยชน์มาจากการลงทุนเพิ่มในระยะกลางและระยะยาว
และแสดงถึงผู้บริหารมีประสิทธิภาพในการบริหารส่งผลต่อความเชื่อถือของนักลงทุน
A: ไม่ค่อยเข้าใจคำถามว่าถามเรื่องลงทุนในเรื่องไหน แต่จะอธิบายว่า
1.การลงทุนในหลักทรัพย์ในส่วนเงินสดส่วนเกิน ลงทุนลดลง
จริงๆตัวเลขเพิ่มขึ้น
2.ปีที่ผ่านมาเราไม่ได้ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์
เราต้องพิจารณาว่าที่จะลงทุนใหม่ต้องให้ผลตอบแทนที่เท่ากับหรือสูงกว่าเดิม
ตอนนี้ดูอยู่ แต่ยังไม่ถึงเวลา
อัตราการให้เช่า และ ค่าเช่า จะขึ้นทุกสองปี
เราได้มีการดูตามสถานการณ์ ช่วงวิกฤตก็ให้โปรโมชั่นเพื่อดึงลูกค้า
Q:
1 ถามว่า ปริมาณงานลดลงไป 3% แต่รายได้ลดไป10% อยากให้อธิบายว่าทำไมเป็นเช่นนั้น
ตอบ เรานับจำนวนงาน แต่สัดส่วนไม่เท่ากันขึ้นกับการเช่าพื้นที่และจำนวนวันที่ใช้
ไม่เป็นสัดส่วนกับจำนวนงานที่ลดลง
2 ถามว่า Q3 กำไรลดลงเข้าใจได้ แต่ ทำไม กำไร Q4 ลดลงมาก
ตอบว่า ผลกระทบการยกเลิกมาจากเหตุการณ์เดือน ดค ส่งผลให้มีการเลื่อนหรือยกเลิกในช่วงQ4(jan-mar 17)
3 ถาม ปีที่ผ่านมา อัตราการเช่าพื้นที่ลดลง 10% ปีนี้เป็นอย่างไร
ตอบว่า ถ้าเป็นงานขนาดใหญ่ยกเลิก ก็กระทบต่ออัตราการเช่าพื้นที่ด้วย
4 ถาม งบกำไรขาดทุน รายได้ลดลง 10% แต่ค่าใช้จ่ายบริหาร
เพิ่มขึ้นอย่างมาก ค่าธรรมเนียม 1% เป็น 1.75%
ปีนี้ เป็น 4.5% ต่อรองลดลงได้ไหม
ตอบว่า ตามกำหนดไว้ จริงๆอิงกับรายได้ที่จัดหาได้ และ กำไรที่ทำได้
กำไรลดลง ทำให้สัดส่วน%สูงขึ้น
ส่วนงบกำไรขาดทุนจะตอบในวาระต่อไป
วาระที่สาม งบการเงิน
ทรัพย์สิน 20,471 ลบ
เงินลงทุนอสังหา 19,619 ลบ
เงินลงทุนในหลักทรัพย์ตามมูลค่ายุติธรรม 552 ลบ
เงินสดและเงินฝากธนาคาร 206 ลบ
ลูกหนี้ จากการให้บริการพื้นที่ 81.83 ลบ
หนี้สินรวม 4,447 ลบ ประกอบไปด้วยเงินกู้ระยะยาว 3,890 ลบ
ทรัพย์สินสุทธิ 16,024 ลบ
รายได้ 1,911 ลบ
ค่าใช้จ่าย 919 ลบ
กำไรสุทธิ 998.66 ลบ
งบกระเเสเงินสดสุทธิจากการดำเนินงาน มาจากกำไรการดำเนินงาน
และมูลค่าเพิ่มขึ้นทรัพย์สิน 1205 ลบ
ส่วนงบกระแสเงินสดสุทธิจากกิจกรรมการจัดหาเงิน =-1254 ลบ
เงินสดและเงินฝากธนาคารลดลง 48.20 ลบ
Q: ค่าธรรมเนียมการบริหาร 166 ลบ เพิ่มจาก 66 ลบ
คิดเป็น% = 1.75 ปีนี้เพิ่มเป็น 4.5% ด้วยภาวะศกไม่ค่อยดี และ อัตราการใช้พื้นที่ไม่ถึง 50%
สามารถต่อรองค่าบริหารได้หรือไม่
A: เป็นไปตามข้อตกลง
ปีที่แล้วมีเหตุการณ์พิเศษ
ผู้บริหารอสังหา ได้พยายามเต็มที่แล้ว เราพิจารณาว่าเหมาะสม
รายได้ลด ค่าธรรมเนียมก็ลดลงด้วย
Q: Q4 กำไรลดลงเพราะอะไร
A: เหตุการณ์เดือน ตค กระทบต่อ ช่วง มค มีค 17
มีผลสืบเนื่องจากเหตุการณ์นั้น มีการเลื่อนหรือยกเลิก
กำไรเหลือ 187.76ลบ แต่เราจ่ายปันผลใกล้เคียงเดิม
โดยเอากำไรที่สำรองไว้ในช่วงQ1-Q3มาจ่าย ทำให้เฉลี่ยของปี เป็น 99%ของกำไรสุทธิ
Q: ตัวเลขค่าใช้จ่ายของการบริหาร ลดลงประมาณ 8000 ลบ หรือ หน่วยเป็นบาท
A: ผู้บริหารไม่ได้ตอบ ผมดูจากงบการเงินประมาณ แปดล้านบาทที่ลดลง
Update plan impact
เรื่องที่รถไฟฟ้าสายสีชมพู. ได้ยินข่าวว่าจะมาเข้าที่นี่ โดย BTS สายสีชมพู
ทางเรายินดีลงทุนเส้นพิเศษนี้
กำลังworkกันอยู่ ขึ้นกับรัฐบาลว่าเห็นด้วยกับที่เราเสนอหรือไม่
เรื่องต่อไป ถนนในเมืองทอง ตอนนี้หลังอิมแพตมีก่อสร้างค่อนข้างเยอะ
เรามีพื้นที่จอดรถเพิ่มด้วย เรามีแผนปรับปรุงถนนหลังเมืองทองให้ใหญ่ขึ้น
ทางเส้นประปา ให้เดินทางสดวกขึ้น พัฒนาโดยบางกอกแลนด์
ส่วนAssetใหม่ เราคิดว่ายังไม่ถึงเวลา เรามีสินทรัพย์อยู่ หรือรอได้
อาจซื้อเพิ่มจาก BLAND ราคาควรfairทั้งสองฝ่าย
ตอนนี้เราพยายามหาลูกค้าเพิ่มขึ้น มาจัดงานเพิ่มขึ้น
Q: 1.เงินประกันการเสียหาย คุ้มครองในส่วนเดือน ตค หรือไม่
ตอบ เราเรียกเก็บลูกค้าที่มาจัดงาน ตัวนี้จริงๆไม่ใช้เงินประกัน
ถ้าไม่เสียหายก็ส่งคืนลูกค้า
ปกติการทำประกันจะไม่cover เดือน ตค
2 เงินลงทุนในหลักทรัพย์ 1000 ลบ เป็น 3 กองทุน เป็นลงทุนระยะสั้นใช่ไหม
ตอบ เราไม่ได้ลงทุนระยะยาวเรารับจากลูกค้ามาล่วงหน้า
เมื่อมีส่วนเกิน เราไปลงทุนระยะสั้นเหมือนการพักเงินไว้
3 งานที่ยกเลิกในตค มีการคืนเงินมัดจำ100%ใช่ไหม
ตอบ ถ้าลูกค้าเกิดอยากยกเลิกแบบไม่มีเหตุผลก็จะเก็บส่วนนี้
แต่เหตุการณ์เดือนตค สามารถเลื่อนได้ ถ้าไม่จัดก็ส่งคืนให้หมด
Q: ตัวทส ของกองคืออิมแพค ล่าสุดเมื่อไหร่
อัตราการเช่าต่อตรมเป็นอย่างไร จะเพิ่มได้ขนาดไหน
A: ราคาประเมินล่าสุด 1 apr 17
ส่วนคำถามต่อมา รอผู้บริหารอสังหาริมทรัพย์มาอัปเดท
วาระที่สี่ พิจารณาเรื่องการจ่ายประโยชน์ผลตอบแทน
ปันผล 0.66 บาทต่อหน่วย ในรอบปี2016
คิดเป็นอัตรา 99% ของกำไรทั้งหมด
Q อยากรู้ว่าจะได้เงินปันผลต่อไตรมาส 0.25 บ เมื่อไหร่
A เราไม่ได้กำหนดอัตราเงินปันผล
แต่จะดูจากผลประกอบการ ไม่สามารถกำหนดว่าจะได้ 0.25บ ต่อ ไตรมาส
ราคาพาร์ 10.6 บาท ราคาตลาดอยู่ที่ 13.8บาท
เมื่อวานไปประชุมมา เลยมาฝากครับ
ผลการดำเนินงาน
รายได้จากการลงทุนปีที่ผ่านมา 1902.50 ล้านบาท
รวมกับรายได้อื่น รวม 1,911.78 ล้านบาท
เทียบกับปีที่แล้วลดลง10% มาจากการจับจ่ายใช้สอบลดลง
รวมถึงเหตุการณ์พิเศษเดือนตค มีระยะเวลาการถวายความอาลัย
เกิดลดการจัดงานรื่นเริง กระทบต่อรายได้ของอิมแพต
มีการเลื่อน และ ยกเลิกไปจำนวนนึง
ทำให้รายได้ลดลงไป
Impact มีรายได้ห้าประเภท
รายได้หลัก มาจาก
รายได้ให้เช่า หรือ ให้ใช้พื้นที่จัดงาน ประมาณ 82%
ที่เหลือ จะเป็น
รายได้จากค่าตอบแทนการให้ใช้พื้นที่จัดเลี้ยง7.5%
รายได้จากค่าเช่าหรือให้ใข้พื้นที่ระยะยาว 7%
รายได้ค่าบริการที่จอดรถ 3%
รายได้ค่าตอบแทนให้ใช้พิ้นที่โฆษณา 0.5%
ค่าใช้จ่าย 919.59%
มาจาก ต้นทุนการจัดงาน ผู้บริหารจัดการดี คิดเป็น 13%
รายได้จากการลงทุนสุทธิ 992ล้านบาท.
กำไรสุทธิ 998.66 ล้านบาท
GP from 86.24% to 86.92%
NP from 56.09% to 52.24%
อัตรากำไรสุทธิ จากปี59= 0.8 , ปี 17=0.67 บาทต่อหน่วยลงทุน
อัตราปันผลต่อหน่วยลดลงจาก 0.765 บาทต่อหน่วย เป็น 0.660 บาทต่อหน่วย
อัตราการเช่าพื้นที่เฉลี่ย ลดลงจาก 54% to 48%
คำถามและคำตอบ
Q: เมื่อเรามีรายได้ลดลง10%มีผลกระทบทำให้ไม่ได้รายได้ตามที่คาดหมาย
มาจากที่ควบคุมได้หรือควบคุมไม่ได้หรือครับ
เนื่องจากการลงทุนลดลงด้วย ผู้ถือหน่วยกังวลรายได้อนาคตเพราะ
กิจการที่เกิดประโยชน์มาจากการลงทุนเพิ่มในระยะกลางและระยะยาว
และแสดงถึงผู้บริหารมีประสิทธิภาพในการบริหารส่งผลต่อความเชื่อถือของนักลงทุน
A: ไม่ค่อยเข้าใจคำถามว่าถามเรื่องลงทุนในเรื่องไหน แต่จะอธิบายว่า
1.การลงทุนในหลักทรัพย์ในส่วนเงินสดส่วนเกิน ลงทุนลดลง
จริงๆตัวเลขเพิ่มขึ้น
2.ปีที่ผ่านมาเราไม่ได้ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์
เราต้องพิจารณาว่าที่จะลงทุนใหม่ต้องให้ผลตอบแทนที่เท่ากับหรือสูงกว่าเดิม
ตอนนี้ดูอยู่ แต่ยังไม่ถึงเวลา
อัตราการให้เช่า และ ค่าเช่า จะขึ้นทุกสองปี
เราได้มีการดูตามสถานการณ์ ช่วงวิกฤตก็ให้โปรโมชั่นเพื่อดึงลูกค้า
Q:
1 ถามว่า ปริมาณงานลดลงไป 3% แต่รายได้ลดไป10% อยากให้อธิบายว่าทำไมเป็นเช่นนั้น
ตอบ เรานับจำนวนงาน แต่สัดส่วนไม่เท่ากันขึ้นกับการเช่าพื้นที่และจำนวนวันที่ใช้
ไม่เป็นสัดส่วนกับจำนวนงานที่ลดลง
2 ถามว่า Q3 กำไรลดลงเข้าใจได้ แต่ ทำไม กำไร Q4 ลดลงมาก
ตอบว่า ผลกระทบการยกเลิกมาจากเหตุการณ์เดือน ดค ส่งผลให้มีการเลื่อนหรือยกเลิกในช่วงQ4(jan-mar 17)
3 ถาม ปีที่ผ่านมา อัตราการเช่าพื้นที่ลดลง 10% ปีนี้เป็นอย่างไร
ตอบว่า ถ้าเป็นงานขนาดใหญ่ยกเลิก ก็กระทบต่ออัตราการเช่าพื้นที่ด้วย
4 ถาม งบกำไรขาดทุน รายได้ลดลง 10% แต่ค่าใช้จ่ายบริหาร
เพิ่มขึ้นอย่างมาก ค่าธรรมเนียม 1% เป็น 1.75%
ปีนี้ เป็น 4.5% ต่อรองลดลงได้ไหม
ตอบว่า ตามกำหนดไว้ จริงๆอิงกับรายได้ที่จัดหาได้ และ กำไรที่ทำได้
กำไรลดลง ทำให้สัดส่วน%สูงขึ้น
ส่วนงบกำไรขาดทุนจะตอบในวาระต่อไป
วาระที่สาม งบการเงิน
ทรัพย์สิน 20,471 ลบ
เงินลงทุนอสังหา 19,619 ลบ
เงินลงทุนในหลักทรัพย์ตามมูลค่ายุติธรรม 552 ลบ
เงินสดและเงินฝากธนาคาร 206 ลบ
ลูกหนี้ จากการให้บริการพื้นที่ 81.83 ลบ
หนี้สินรวม 4,447 ลบ ประกอบไปด้วยเงินกู้ระยะยาว 3,890 ลบ
ทรัพย์สินสุทธิ 16,024 ลบ
รายได้ 1,911 ลบ
ค่าใช้จ่าย 919 ลบ
กำไรสุทธิ 998.66 ลบ
งบกระเเสเงินสดสุทธิจากการดำเนินงาน มาจากกำไรการดำเนินงาน
และมูลค่าเพิ่มขึ้นทรัพย์สิน 1205 ลบ
ส่วนงบกระแสเงินสดสุทธิจากกิจกรรมการจัดหาเงิน =-1254 ลบ
เงินสดและเงินฝากธนาคารลดลง 48.20 ลบ
Q: ค่าธรรมเนียมการบริหาร 166 ลบ เพิ่มจาก 66 ลบ
คิดเป็น% = 1.75 ปีนี้เพิ่มเป็น 4.5% ด้วยภาวะศกไม่ค่อยดี และ อัตราการใช้พื้นที่ไม่ถึง 50%
สามารถต่อรองค่าบริหารได้หรือไม่
A: เป็นไปตามข้อตกลง
ปีที่แล้วมีเหตุการณ์พิเศษ
ผู้บริหารอสังหา ได้พยายามเต็มที่แล้ว เราพิจารณาว่าเหมาะสม
รายได้ลด ค่าธรรมเนียมก็ลดลงด้วย
Q: Q4 กำไรลดลงเพราะอะไร
A: เหตุการณ์เดือน ตค กระทบต่อ ช่วง มค มีค 17
มีผลสืบเนื่องจากเหตุการณ์นั้น มีการเลื่อนหรือยกเลิก
กำไรเหลือ 187.76ลบ แต่เราจ่ายปันผลใกล้เคียงเดิม
โดยเอากำไรที่สำรองไว้ในช่วงQ1-Q3มาจ่าย ทำให้เฉลี่ยของปี เป็น 99%ของกำไรสุทธิ
Q: ตัวเลขค่าใช้จ่ายของการบริหาร ลดลงประมาณ 8000 ลบ หรือ หน่วยเป็นบาท
A: ผู้บริหารไม่ได้ตอบ ผมดูจากงบการเงินประมาณ แปดล้านบาทที่ลดลง
Update plan impact
เรื่องที่รถไฟฟ้าสายสีชมพู. ได้ยินข่าวว่าจะมาเข้าที่นี่ โดย BTS สายสีชมพู
ทางเรายินดีลงทุนเส้นพิเศษนี้
กำลังworkกันอยู่ ขึ้นกับรัฐบาลว่าเห็นด้วยกับที่เราเสนอหรือไม่
เรื่องต่อไป ถนนในเมืองทอง ตอนนี้หลังอิมแพตมีก่อสร้างค่อนข้างเยอะ
เรามีพื้นที่จอดรถเพิ่มด้วย เรามีแผนปรับปรุงถนนหลังเมืองทองให้ใหญ่ขึ้น
ทางเส้นประปา ให้เดินทางสดวกขึ้น พัฒนาโดยบางกอกแลนด์
ส่วนAssetใหม่ เราคิดว่ายังไม่ถึงเวลา เรามีสินทรัพย์อยู่ หรือรอได้
อาจซื้อเพิ่มจาก BLAND ราคาควรfairทั้งสองฝ่าย
ตอนนี้เราพยายามหาลูกค้าเพิ่มขึ้น มาจัดงานเพิ่มขึ้น
Q: 1.เงินประกันการเสียหาย คุ้มครองในส่วนเดือน ตค หรือไม่
ตอบ เราเรียกเก็บลูกค้าที่มาจัดงาน ตัวนี้จริงๆไม่ใช้เงินประกัน
ถ้าไม่เสียหายก็ส่งคืนลูกค้า
ปกติการทำประกันจะไม่cover เดือน ตค
2 เงินลงทุนในหลักทรัพย์ 1000 ลบ เป็น 3 กองทุน เป็นลงทุนระยะสั้นใช่ไหม
ตอบ เราไม่ได้ลงทุนระยะยาวเรารับจากลูกค้ามาล่วงหน้า
เมื่อมีส่วนเกิน เราไปลงทุนระยะสั้นเหมือนการพักเงินไว้
3 งานที่ยกเลิกในตค มีการคืนเงินมัดจำ100%ใช่ไหม
ตอบ ถ้าลูกค้าเกิดอยากยกเลิกแบบไม่มีเหตุผลก็จะเก็บส่วนนี้
แต่เหตุการณ์เดือนตค สามารถเลื่อนได้ ถ้าไม่จัดก็ส่งคืนให้หมด
Q: ตัวทส ของกองคืออิมแพค ล่าสุดเมื่อไหร่
อัตราการเช่าต่อตรมเป็นอย่างไร จะเพิ่มได้ขนาดไหน
A: ราคาประเมินล่าสุด 1 apr 17
ส่วนคำถามต่อมา รอผู้บริหารอสังหาริมทรัพย์มาอัปเดท
วาระที่สี่ พิจารณาเรื่องการจ่ายประโยชน์ผลตอบแทน
ปันผล 0.66 บาทต่อหน่วย ในรอบปี2016
คิดเป็นอัตรา 99% ของกำไรทั้งหมด
Q อยากรู้ว่าจะได้เงินปันผลต่อไตรมาส 0.25 บ เมื่อไหร่
A เราไม่ได้กำหนดอัตราเงินปันผล
แต่จะดูจากผลประกอบการ ไม่สามารถกำหนดว่าจะได้ 0.25บ ต่อ ไตรมาส
ราคาพาร์ 10.6 บาท ราคาตลาดอยู่ที่ 13.8บาท
-
- Verified User
- โพสต์: 4241
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 2867
Money Talk@mai Forum 2017 - เจาะหุ้นเด่น mai - กรกฎาคม 2560
https://www.youtube.com/watch?v=NVchkuNduxs
[youtube]https://www.youtube.com/watch?v=NVchkuNduxs[/youtube]
https://www.youtube.com/watch?v=NVchkuNduxs
[youtube]https://www.youtube.com/watch?v=NVchkuNduxs[/youtube]
// Stay Hungry, Stay Foolish.
// Stay Calm, Stay Invest.
// Price is what you pay, Value is what you get.
// Stay Calm, Stay Invest.
// Price is what you pay, Value is what you get.
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 2868
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 2869
TMBAM Global income Seminar
The expert global view for H2 17
From Pimco
Mr Todd Senior vice president of Pimco
ดร สมจินต์ ศรไพศาล CEO TMBAM
กองทุนGISนี้ โตในไทย เป็น 80,000 ล้านบาท เป็นกองETSใหญ่เป็นอันดับหนึ่งของไทย
และกองแม่ใหญ่สุดของ fix income ของโลกด้วย
วันนี้คุณTodd อยากอัปเดท สภาพศก
และจากมุมมองนี้มีกลยุทธ์อย่างไร
สุดท้าย กองนี้ขณะนี้มีกลยุทธ์อย่างไร
เริ่มต้นจากslideภาพห้องประชุม มีการประชุมทุกไตรมาสกับ นักวิเคราะห์
Circular outlook มองคลื่นใหญ่ 3-5ปี
และอีกแบบมองแค่ 6เดือน
มีมืออาชีพ และ portfolio manager ถึง 200 คน รวมถึง ดร เบน อดีต ประธานเฟด
คุณ กอร์ดอน บราว์ มาระดมความคิดเพื่อไม่ให้หลุดจากThemeใหญ่
ลองมาดูที่กล่าวขวัญ เกี่ยวกับหลักในการตัดสินใจ
Outlookใหญ่
Pimco 2006. Stable Disequilibrium ก่อนหน้านี้ลงทุนในพันธบัตรเป็นส่วนใหญ่
Pimco 2009. New Normal สภาพศก lower growth and inflation
วางกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับTheme
Pimco. 2014 new Neutral ทิศทางที่คนสนใจหลังศกดีขึ้น อัตราดบสูงขึ้น
อย่างช้าๆ และ ยังอยู่ในระดับต่ำ ลงทุนตามหลักคิดดังกล่าว ดูเป็น contrarien
กับคนส่วนใหญ่
Pimco 2016. Insecure stabilityเสถียรภาพดีขึ้นแต่มีความไม่แน่นอนซ่อนอยู่
มองว่าศกยังไม่ตกต่ำเร็วๆนี้ แต่ระยะไกลมีโอกาสตกต่ำ
เพิ่มdutationมากกว่าปกติ
Pimco 2017 Pivot Points เริ่มลดduration portลง
Euro dollar interest rate
New Neutral หมายถึงระดับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย โดยไม่ทำให้ศกแย่หรือดีขึ้น
ถ้าภาครัฐต้องการกระตุ้นศก ก็กดระดับดอกเบี้ยให้ต่ำกว่า neutral rate
ก่อนหน้าอยู่ที่4%
แต่ pimco คิดว่าน่าจะต่ำกว่านั้น ประมาณ 2-2.5%
Old Neutral = 4%
New Neutral = 2-3%
Look at bond market ช่วงนั้นถือตราสารหนี้ให้มีdurationสูงขึ้น
The global economy appears to be stable
G20 GDP growth ค่อนข้างแกว่งตัวขึ้นลงในระยะยาว
แต่ในระยะสั้นถ้ามองสภาพศก GDP growth 3-4 ปีที่ผ่านมาค่อนข้างเสถียร
และทำให้คนไม่ระมัดระวัง ดังนั้นทางpimcoจะระมัดระวังเพราะ
ในอดีต 2004 เติบโตค่อนข้างเสถึยร แต่ยังเจอวิกฤตในปี 2008
Global central bank currently hold over $20T in asset on their balance sheets
ถ้าเรามองสภาพถึงศก โดยเฉพาะธ กลาง หลังวิกฤต2008 ทรัพย์สิน ธ กลางขนาดใหญ่ขึ้นเยอะ
เขาต้องการให้สภาพคล่องเข้าไปสู่ระบบศก คนกล้าบริโภคมากขึ้น
ทำให้ balance sheet of FED ใหญ่ขึ้น เชื่อว่า กย นี้ เขาจะหยุดซื้อและที่ครบอายุ
เขาไม่ได้กลับไปซื้อใหม่ทำให้ balance sheet ลดลง
แต่ไม่ได้ลดลงข้ามคืน แต่ใช้เวลาที่จะลดเหลือ 3ล้านล้าน$
Risks are rising
ภาพนี้แสดงถึงปัจจัยไม่แน่นอน
เช่น ขนาดหนี้เยอะกว่าที่ควรเป็น
การเมืองประชานิยม จาก Brexit , Trump มาเป็นประธานาธิบดี
ในอีก 6-12 เดือนข้างหน้าโอกาสเกิด ศก ถดถอยแค่ 10% แต่อีก 3ปีข้างหน้า มีโอกาสถึง70%
Investment implications ส่งผลอย่างไร
1.Focus on valuation ระมัดระวังเรื่องการหามูลค่า การหาผลตอบแทน7-8%ยังได้
ในอดีตหามูลค่าง่ายกว่า ตอนนี้หายากแล้ว
2.preseve capital ลงทุนอย่างระมัดระวัง อย่าให้เงินทุนเสียหาร
3.Seek out relative value opportunities in rate and credit
มองแบบ bottome up
4.Exploit aglobal มองแบบ global
5.หลีกเลี่ยงทรัพย์สินบางอย่าง ถ้าภาครัฐมีการอุ้มชูทรัพย์สินบางอย่าง
เขาจะระมัดระวังในส่วนนี้มากขึ้น
Income investment themes
พูดถึงแนวทางการลงทุนเน้นกระเเสเงินที่ส่งให้ลูกค้า
พันธบัตรเยอรมัน 10ปี 0.6% ของอเมริกา 2-3%
แต่เราต้องการ 4% เลยต้องมีกลยุทธ์ในการลงทุน
Theme investment
1. Improving US growth. เน้นหลักทรัพย์ที่มีการค้ำประกัน เช่น Broad us credit
2. Emerging Market. เน้นลงทุนในMexico Brazil Russia
3. Downside risk protection. ปกป้องความเสี่ยงเช่นลงทุนในUS & Australian Duration
สภาพศกไม่ตรงกันเป็นการป้องกันความเสี่ยงของกองทุน
4. Policy divergence.
Global spread , rate and select currency
ความแตกต่างในทิศทางของนโยบายในแต่ละประเทศ
เช่น อเมริกา และ ญึ่ปุ่นมีทิศทางแตกต่าง ก็ไปหาประโยชน์ตรงนั้น
Housing recovery in US
ก่อนวิกฤต มีการกู้ยืมไปซื้อบ้านเยอะ พอหลังวิกฤต
Supply ใหม่เข้ามาน้อย เด็กหนุ่มสาวกลับไปบ้าน พอพ้นวิกฤตก็มาหาที่อยู่ใหม่
ทำให้อัตราการเติบโตของบ้าน 37%
แต่แตกต่างกันในแต่ละภูมิภาค การลงทุนใน mosgate back securitize
ต้องหาคนชำนาญ ซึ่ง Pimco มีทีมอยู่
เวลาพิจารณาซื้อ ดูที่มูลค่าบ้านต่ำกว่าหนี้หรือไม่
ตอนนี้มีแค่ 4-5% ช่วงวิกฤตมีถึง 40-50% ทำให้เกิดวิกฤต
Loan to value ตอนนี้เป็น 50% ถือว่าอสังหามีคุณภาพมากๆ
Non-agency MBS offer attractive risk/reward profile across a variety of housing scenarios
ทางบลจเชื่อว่าการลงทุน MBS แกนนอนราคาบ้านขึ้นหรือลง โดย ช่วงสีเทา
มูลค่าบ้านขึ้นถึง 4-8% MBS ให้ผลตอบแทน 5% ถือว่าดีมาก
ถึงแม้ราคาบ้านตกต่ำก็ยังได้ผลตอบแทน 2-3% มี downside risk ไม่มาก
การลงทุนในพันธบัตรออสเตรเลีย ต้องระวังค่าเงิน เขาระวังเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน
กลยุทธ์ของกองทุน
วัตถุประสงค์หลัก ให้ consistent income โดยที่มูลค่าเติบโตเป็นอันดับรอง
โดยมีกฎเกณฑ์ นักลงทุนยอมให้ยืดหยุ่นในการลงทุน ระยะเวลา0-8ปี
Corporate high yield max 50%
Emerging market max 20%
currency max 30% gross exposure
มองไปข้างหน้า 4-6 ปี จะได้ผลตอบแทน 4-6%
สุดท้ายขอขอบคุณ บลจ ทหารไทย และ Pimcoที่มาอับเดทข้อมูลครับ
The expert global view for H2 17
From Pimco
Mr Todd Senior vice president of Pimco
ดร สมจินต์ ศรไพศาล CEO TMBAM
กองทุนGISนี้ โตในไทย เป็น 80,000 ล้านบาท เป็นกองETSใหญ่เป็นอันดับหนึ่งของไทย
และกองแม่ใหญ่สุดของ fix income ของโลกด้วย
วันนี้คุณTodd อยากอัปเดท สภาพศก
และจากมุมมองนี้มีกลยุทธ์อย่างไร
สุดท้าย กองนี้ขณะนี้มีกลยุทธ์อย่างไร
เริ่มต้นจากslideภาพห้องประชุม มีการประชุมทุกไตรมาสกับ นักวิเคราะห์
Circular outlook มองคลื่นใหญ่ 3-5ปี
และอีกแบบมองแค่ 6เดือน
มีมืออาชีพ และ portfolio manager ถึง 200 คน รวมถึง ดร เบน อดีต ประธานเฟด
คุณ กอร์ดอน บราว์ มาระดมความคิดเพื่อไม่ให้หลุดจากThemeใหญ่
ลองมาดูที่กล่าวขวัญ เกี่ยวกับหลักในการตัดสินใจ
Outlookใหญ่
Pimco 2006. Stable Disequilibrium ก่อนหน้านี้ลงทุนในพันธบัตรเป็นส่วนใหญ่
Pimco 2009. New Normal สภาพศก lower growth and inflation
วางกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับTheme
Pimco. 2014 new Neutral ทิศทางที่คนสนใจหลังศกดีขึ้น อัตราดบสูงขึ้น
อย่างช้าๆ และ ยังอยู่ในระดับต่ำ ลงทุนตามหลักคิดดังกล่าว ดูเป็น contrarien
กับคนส่วนใหญ่
Pimco 2016. Insecure stabilityเสถียรภาพดีขึ้นแต่มีความไม่แน่นอนซ่อนอยู่
มองว่าศกยังไม่ตกต่ำเร็วๆนี้ แต่ระยะไกลมีโอกาสตกต่ำ
เพิ่มdutationมากกว่าปกติ
Pimco 2017 Pivot Points เริ่มลดduration portลง
Euro dollar interest rate
New Neutral หมายถึงระดับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย โดยไม่ทำให้ศกแย่หรือดีขึ้น
ถ้าภาครัฐต้องการกระตุ้นศก ก็กดระดับดอกเบี้ยให้ต่ำกว่า neutral rate
ก่อนหน้าอยู่ที่4%
แต่ pimco คิดว่าน่าจะต่ำกว่านั้น ประมาณ 2-2.5%
Old Neutral = 4%
New Neutral = 2-3%
Look at bond market ช่วงนั้นถือตราสารหนี้ให้มีdurationสูงขึ้น
The global economy appears to be stable
G20 GDP growth ค่อนข้างแกว่งตัวขึ้นลงในระยะยาว
แต่ในระยะสั้นถ้ามองสภาพศก GDP growth 3-4 ปีที่ผ่านมาค่อนข้างเสถียร
และทำให้คนไม่ระมัดระวัง ดังนั้นทางpimcoจะระมัดระวังเพราะ
ในอดีต 2004 เติบโตค่อนข้างเสถึยร แต่ยังเจอวิกฤตในปี 2008
Global central bank currently hold over $20T in asset on their balance sheets
ถ้าเรามองสภาพถึงศก โดยเฉพาะธ กลาง หลังวิกฤต2008 ทรัพย์สิน ธ กลางขนาดใหญ่ขึ้นเยอะ
เขาต้องการให้สภาพคล่องเข้าไปสู่ระบบศก คนกล้าบริโภคมากขึ้น
ทำให้ balance sheet of FED ใหญ่ขึ้น เชื่อว่า กย นี้ เขาจะหยุดซื้อและที่ครบอายุ
เขาไม่ได้กลับไปซื้อใหม่ทำให้ balance sheet ลดลง
แต่ไม่ได้ลดลงข้ามคืน แต่ใช้เวลาที่จะลดเหลือ 3ล้านล้าน$
Risks are rising
ภาพนี้แสดงถึงปัจจัยไม่แน่นอน
เช่น ขนาดหนี้เยอะกว่าที่ควรเป็น
การเมืองประชานิยม จาก Brexit , Trump มาเป็นประธานาธิบดี
ในอีก 6-12 เดือนข้างหน้าโอกาสเกิด ศก ถดถอยแค่ 10% แต่อีก 3ปีข้างหน้า มีโอกาสถึง70%
Investment implications ส่งผลอย่างไร
1.Focus on valuation ระมัดระวังเรื่องการหามูลค่า การหาผลตอบแทน7-8%ยังได้
ในอดีตหามูลค่าง่ายกว่า ตอนนี้หายากแล้ว
2.preseve capital ลงทุนอย่างระมัดระวัง อย่าให้เงินทุนเสียหาร
3.Seek out relative value opportunities in rate and credit
มองแบบ bottome up
4.Exploit aglobal มองแบบ global
5.หลีกเลี่ยงทรัพย์สินบางอย่าง ถ้าภาครัฐมีการอุ้มชูทรัพย์สินบางอย่าง
เขาจะระมัดระวังในส่วนนี้มากขึ้น
Income investment themes
พูดถึงแนวทางการลงทุนเน้นกระเเสเงินที่ส่งให้ลูกค้า
พันธบัตรเยอรมัน 10ปี 0.6% ของอเมริกา 2-3%
แต่เราต้องการ 4% เลยต้องมีกลยุทธ์ในการลงทุน
Theme investment
1. Improving US growth. เน้นหลักทรัพย์ที่มีการค้ำประกัน เช่น Broad us credit
2. Emerging Market. เน้นลงทุนในMexico Brazil Russia
3. Downside risk protection. ปกป้องความเสี่ยงเช่นลงทุนในUS & Australian Duration
สภาพศกไม่ตรงกันเป็นการป้องกันความเสี่ยงของกองทุน
4. Policy divergence.
Global spread , rate and select currency
ความแตกต่างในทิศทางของนโยบายในแต่ละประเทศ
เช่น อเมริกา และ ญึ่ปุ่นมีทิศทางแตกต่าง ก็ไปหาประโยชน์ตรงนั้น
Housing recovery in US
ก่อนวิกฤต มีการกู้ยืมไปซื้อบ้านเยอะ พอหลังวิกฤต
Supply ใหม่เข้ามาน้อย เด็กหนุ่มสาวกลับไปบ้าน พอพ้นวิกฤตก็มาหาที่อยู่ใหม่
ทำให้อัตราการเติบโตของบ้าน 37%
แต่แตกต่างกันในแต่ละภูมิภาค การลงทุนใน mosgate back securitize
ต้องหาคนชำนาญ ซึ่ง Pimco มีทีมอยู่
เวลาพิจารณาซื้อ ดูที่มูลค่าบ้านต่ำกว่าหนี้หรือไม่
ตอนนี้มีแค่ 4-5% ช่วงวิกฤตมีถึง 40-50% ทำให้เกิดวิกฤต
Loan to value ตอนนี้เป็น 50% ถือว่าอสังหามีคุณภาพมากๆ
Non-agency MBS offer attractive risk/reward profile across a variety of housing scenarios
ทางบลจเชื่อว่าการลงทุน MBS แกนนอนราคาบ้านขึ้นหรือลง โดย ช่วงสีเทา
มูลค่าบ้านขึ้นถึง 4-8% MBS ให้ผลตอบแทน 5% ถือว่าดีมาก
ถึงแม้ราคาบ้านตกต่ำก็ยังได้ผลตอบแทน 2-3% มี downside risk ไม่มาก
การลงทุนในพันธบัตรออสเตรเลีย ต้องระวังค่าเงิน เขาระวังเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน
กลยุทธ์ของกองทุน
วัตถุประสงค์หลัก ให้ consistent income โดยที่มูลค่าเติบโตเป็นอันดับรอง
โดยมีกฎเกณฑ์ นักลงทุนยอมให้ยืดหยุ่นในการลงทุน ระยะเวลา0-8ปี
Corporate high yield max 50%
Emerging market max 20%
currency max 30% gross exposure
มองไปข้างหน้า 4-6 ปี จะได้ผลตอบแทน 4-6%
สุดท้ายขอขอบคุณ บลจ ทหารไทย และ Pimcoที่มาอับเดทข้อมูลครับ
- romee
- Verified User
- โพสต์: 1850
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 2870
โหวววว อ่านเนื้อหาเน้นๆของพี่อมรข้างบนแล้วรู้สึกพี่ขยันมากอ่ะ
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=1&t=61064
นานๆจะเห็นกระทู้เอาพอร์ตมาขอคำปรึกษาครับ ถ้าเป็นสมัยก่อนเวบนี้คงวิจารณ์ ช่วยแนะนำ ทั้งแบบหวังดี และแบบซัดเต็มเหนี่ยว
นึกถึงตัวเองสมัยก่อน เคยเอาพอร์ตตัวเองPMให้พี่ๆในเวบนี้ดู หลายคนเงียบกริ๊บไม่ตอบกลับ....คงนึกในใจ พอร์ตเอ็งคงเกินเยียวยาแล้วล่ะ
ถ้าพี่ๆ เพื่อนๆในนี้ใครว่างก็ช่วยไปคอมเม้นแบบคนผ่านน้ำร้อน ผ่านดอย มาก่อนก็น่าจะดีนะฮะ เชื่อว่าพี่ๆเพื่อนๆในนี้ทุกคนใจดีช่วยได้หมด ยกเว้นเรื่องเงิน กับลงดอย
ปล.งบธนาคารทยอยออกมาแล้ว เข้าสู่ช่วงประกาศงบQ2แล้ววววว ลุ้นๆกันครับ ใครมีงบตัวไหนอยากเอามาเม้ากัน ก็แชร์กันได้นะคร๊าบ
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=1&t=61064
นานๆจะเห็นกระทู้เอาพอร์ตมาขอคำปรึกษาครับ ถ้าเป็นสมัยก่อนเวบนี้คงวิจารณ์ ช่วยแนะนำ ทั้งแบบหวังดี และแบบซัดเต็มเหนี่ยว
นึกถึงตัวเองสมัยก่อน เคยเอาพอร์ตตัวเองPMให้พี่ๆในเวบนี้ดู หลายคนเงียบกริ๊บไม่ตอบกลับ....คงนึกในใจ พอร์ตเอ็งคงเกินเยียวยาแล้วล่ะ
ถ้าพี่ๆ เพื่อนๆในนี้ใครว่างก็ช่วยไปคอมเม้นแบบคนผ่านน้ำร้อน ผ่านดอย มาก่อนก็น่าจะดีนะฮะ เชื่อว่าพี่ๆเพื่อนๆในนี้ทุกคนใจดีช่วยได้หมด ยกเว้นเรื่องเงิน กับลงดอย
ปล.งบธนาคารทยอยออกมาแล้ว เข้าสู่ช่วงประกาศงบQ2แล้ววววว ลุ้นๆกันครับ ใครมีงบตัวไหนอยากเอามาเม้ากัน ก็แชร์กันได้นะคร๊าบ
คุณไม่มีสิทธิ์ดูไฟล์ที่แนบมาในกระทู้
You only live once, but if you do it right, once is enough.
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 2871
ขอบคุณ คุณ Romeeครับ
เมื่อเช้าได้ดูคลิปดร นิเวศน์ เลยสรุปมาฝากวีไอมือใหม่ครับ
เจาะกลยุทธ์ของดร นิเวศน์ที่พูดในช่วงต้นปีที่ผ่านว่า
ทำอย่างไรให้ประสบความสำเร็จ
สามารถดูคลิปได้ตามlink ด้านล่าง
https://m.youtube.com/watch?v=0fPOXUubc6g
ถ้าดูจากเงินก้อนสุดท้ายที่นำมาลงทุนหลังออกจากงานตอนปี40
ไม่รวมรายได้หลังจากนั้นที่ไปทำงานที่ธ นครหลวงไทย
20ปีที่ผ่านมา ชนะตลาด15ครั้ง แพ้ตลาด 3ครั้ง และขาดทุน2ครั้ง
ผลตอบแทนได้ 300%
3กลยุทธ์ที่ ดร พูดในรายการคือ
1. หาบริษัทได้เปรียบในการแข่งขัน
-มี แบรนด์ที่แข็งแกร่ง
-มี ต้นทุนที่ต่ำกว่าคู่แข่งมากๆ
-ผูกขาดเจ้าเดียว เช่น เวลาคนออกไปท่องเที่ยวทั้งในประเทศ
และต่างประเทศ ก็ต้องใช้บริการสนามบิน ตอนนี้มีเจ้าเดียว
-ค้าปลีก มีแค่เจ้าใหญ่ สองเจ้า
2. ผลประกอบการโตอย่างสม่ำเสมอ เป็น การเติบโตจากภายในบริษัทเอง ไม่ใช่เกิดจากการซื้อกิจการ ต้องดูย้อนหลังหลายๆปี
ไม่ใช่บริษํทที่โตปีเดียว จากเหตุการณ์ไม่ปกติ เช่น นำ้ท่วม
3. ราคาไม่แพง โดยดูจาก ค่า P/E , P/B , Dividend
ตอนนี้ปัจจัยเรื่องราคาไม่แพง ซึ่งเป็นข้อสำคัญที่สุด ได้หายไปแล้ว
สมัย ช่วงวิกฤตวีไอรุ่นนั้นใช้ข้อนี้ทำให้ประสบความสำเร็จ
แต่ก็ยังสามารถหาหุ้นที่ดีได้จากสองปัจจัยที่เหลือ
ดังนั้นดร บอกว่า ช่วงที่ดีที่สุดของวีไอได้ผ่านพ้นไปแล้ว
ความเห็นส่วนตัว
อย่างไรก็ตามเราสามารถทำผลตอบแทนปานกลางได้จาก
สองปัจจัยที่เหลือ ถ้าเรามีความมุ่งมั่นพอ
บางครั้ง mr marketก็ให้เราในข้อที่สามถ้าเราหาเจอนะครับ
เมื่อเช้าได้ดูคลิปดร นิเวศน์ เลยสรุปมาฝากวีไอมือใหม่ครับ
เจาะกลยุทธ์ของดร นิเวศน์ที่พูดในช่วงต้นปีที่ผ่านว่า
ทำอย่างไรให้ประสบความสำเร็จ
สามารถดูคลิปได้ตามlink ด้านล่าง
https://m.youtube.com/watch?v=0fPOXUubc6g
ถ้าดูจากเงินก้อนสุดท้ายที่นำมาลงทุนหลังออกจากงานตอนปี40
ไม่รวมรายได้หลังจากนั้นที่ไปทำงานที่ธ นครหลวงไทย
20ปีที่ผ่านมา ชนะตลาด15ครั้ง แพ้ตลาด 3ครั้ง และขาดทุน2ครั้ง
ผลตอบแทนได้ 300%
3กลยุทธ์ที่ ดร พูดในรายการคือ
1. หาบริษัทได้เปรียบในการแข่งขัน
-มี แบรนด์ที่แข็งแกร่ง
-มี ต้นทุนที่ต่ำกว่าคู่แข่งมากๆ
-ผูกขาดเจ้าเดียว เช่น เวลาคนออกไปท่องเที่ยวทั้งในประเทศ
และต่างประเทศ ก็ต้องใช้บริการสนามบิน ตอนนี้มีเจ้าเดียว
-ค้าปลีก มีแค่เจ้าใหญ่ สองเจ้า
2. ผลประกอบการโตอย่างสม่ำเสมอ เป็น การเติบโตจากภายในบริษัทเอง ไม่ใช่เกิดจากการซื้อกิจการ ต้องดูย้อนหลังหลายๆปี
ไม่ใช่บริษํทที่โตปีเดียว จากเหตุการณ์ไม่ปกติ เช่น นำ้ท่วม
3. ราคาไม่แพง โดยดูจาก ค่า P/E , P/B , Dividend
ตอนนี้ปัจจัยเรื่องราคาไม่แพง ซึ่งเป็นข้อสำคัญที่สุด ได้หายไปแล้ว
สมัย ช่วงวิกฤตวีไอรุ่นนั้นใช้ข้อนี้ทำให้ประสบความสำเร็จ
แต่ก็ยังสามารถหาหุ้นที่ดีได้จากสองปัจจัยที่เหลือ
ดังนั้นดร บอกว่า ช่วงที่ดีที่สุดของวีไอได้ผ่านพ้นไปแล้ว
ความเห็นส่วนตัว
อย่างไรก็ตามเราสามารถทำผลตอบแทนปานกลางได้จาก
สองปัจจัยที่เหลือ ถ้าเรามีความมุ่งมั่นพอ
บางครั้ง mr marketก็ให้เราในข้อที่สามถ้าเราหาเจอนะครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 2872
CNS coporate AMATA at Nomura 20 July 17
คุณวิบูลย์ กรมดิษฐ์ CMO
คุณเด่นดาว SVP Accouting&Finance,IT&IR ตำแหน่งเยอะจัง
หน้าตาคุณเต่นดาวเหมาะกับ Accountingมาก
คุณ Yanisa IR Section Manager
รัฐบาลเริ่มโครงการ EEC ตอนช่วงปลายปี59
เพราะการไปทำเขตศกพิเศษชายขอบไม่ค่อยประสบความสำเร็จ
สักพักรัฐบาล ก็มาเน้นระเบียงเขตเศรษฐกิจพิเศษสามจังหวัด
ได้แก่ จังหวัด ชลบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรา
เบสิคอินฟราพร้อม เพียงแต่ไปอัปเดท ลงทุน 1.5 ล้านล้านบาทในช่วงระยะเวลา3ปี
ของใหม่ถ้าอยู่ใน10clusterจะได้สิทธิพิเศษทางภาษี
15ปี 0% corporate tax 5 ปีที่เหลือเสียครึ่งเดียว
อันที่สอง personal income tax 17% ซึ่งโดนใจนักลงทุนเอสแพคมาก
ซึ่งลดจาก 35%มากกว่าครึ่งนึง รัฐบาลไม่เคยให้ใคร
จำกัดเฉพาะนักวิจัย คนต่างประเทศ เท่านั้น
ถ้าไม่ทำแบบนี้เราจะไปสู้เพื่อนบ้านได้อย่างไร
S curve (new curve) ไม่ขายสินค้าดั้งเดิม
แต่ไปเน้นสินค้าเพิ่มมูลค่า ไปทำในจังหวัดทั้งสามแห่ง
โรโบติก , โลจิสติก แบบ E - commerce
ตอนนี้เราได้ลูกค้า Logistic แบบธรรมดา
เราขายได้200กว่าไร่
ยอดขายที่ดินก็สวิงขึ้นลง เวลาเปิดปฏิวัติก็หายไป
เลยไปเน้น รายได้แบบ recurring
เมื่อก่อนrecurring income คิดเป็น 20%เท่านั้นที่เหลือเป็น land sales
อนาคต recurring 80% เกิดจาก โรงงานให้เช่า
Smart factory (JV Hitachi ) ขายนำ้ ขายไฟ
หลังรัฐบาลทำโครงการEEC หัวใจพองโต จะส่งผลในQ3-4
Q1-2ไม่ค่อยเยอะ นอกจากมีตกค้างโอนจากปีที่แล้ว
การเจรจาไม่ใช่คุยกัน5-10วันก็จบ
เราขึ้นราคามาครั้งนึง โดยเปรียบเทียบกับเพื่อนบ้าน
เมื่อก่อนที่ดินของเราถูกมาก เมื่อเทียบกับของเขาเป็น leasing ไร่ละ 10 ล้านบาท
ถ้าเรายังเป็นแบบนี้ไม่มีเหตุการณ์พิเศษในหลายช่วง
เราก็สามารถไปได้
นักลงทุนบางส่วนเริ่มสบายใจ
หลังกฏหมาย EEC ถ้าผ่าน เราก็ดีขึ้น
ถ้าเมื่อก่อนไปลงทุนที่กาญจนบุรี ก็แย่เลย
ลูกค้ากำลังรอกฏหมายประกาศอยู่
เนื่องจาก road map ขยับไปอีก
ส่วน logistic e-commerce กำลังรอให้กฏหมายออกก่อน
จึงจะได้อานิสงค์ของ EEC
แต่ถ้าลูกค้าอยากอยู่ใกล้กรุงเทพ ก็เป็นสมุทรปราการ
ส่วนอยุธยาไม่ค่อยเหมาะ. จากเรื่องนำ้ท่วมคราวที่แล้ว
อมตะคิดถูกว่าลงทุนในแถบนี้ เราดูจากภูมิศาสตร์ และ พื้นที่
ตะวันออกไม่ใช่ที่ราบลุ่ม ไม่ใช่ที่เพาะปลูก อู่ข้าวอู่น้ำ
เราไปที่ไหนเราก็ใช้หลักการนี้
อู่ตะเภา ต้องเกิด เราhappy นักลงทุนจะเข้ามา
ในpipeline 1,000 กว่าไร่ logistic , aero space , robot
Automotive EV ตอนนี้ที่ทำแล้ว คือ BMW ประกอบในไทยแล้วรถEV
At amata city
ต้องลุ้นต่อไปครับว่า EEC จะเกิดหรือไม่
คุณวิบูลย์ กรมดิษฐ์ CMO
คุณเด่นดาว SVP Accouting&Finance,IT&IR ตำแหน่งเยอะจัง
หน้าตาคุณเต่นดาวเหมาะกับ Accountingมาก
คุณ Yanisa IR Section Manager
รัฐบาลเริ่มโครงการ EEC ตอนช่วงปลายปี59
เพราะการไปทำเขตศกพิเศษชายขอบไม่ค่อยประสบความสำเร็จ
สักพักรัฐบาล ก็มาเน้นระเบียงเขตเศรษฐกิจพิเศษสามจังหวัด
ได้แก่ จังหวัด ชลบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรา
เบสิคอินฟราพร้อม เพียงแต่ไปอัปเดท ลงทุน 1.5 ล้านล้านบาทในช่วงระยะเวลา3ปี
ของใหม่ถ้าอยู่ใน10clusterจะได้สิทธิพิเศษทางภาษี
15ปี 0% corporate tax 5 ปีที่เหลือเสียครึ่งเดียว
อันที่สอง personal income tax 17% ซึ่งโดนใจนักลงทุนเอสแพคมาก
ซึ่งลดจาก 35%มากกว่าครึ่งนึง รัฐบาลไม่เคยให้ใคร
จำกัดเฉพาะนักวิจัย คนต่างประเทศ เท่านั้น
ถ้าไม่ทำแบบนี้เราจะไปสู้เพื่อนบ้านได้อย่างไร
S curve (new curve) ไม่ขายสินค้าดั้งเดิม
แต่ไปเน้นสินค้าเพิ่มมูลค่า ไปทำในจังหวัดทั้งสามแห่ง
โรโบติก , โลจิสติก แบบ E - commerce
ตอนนี้เราได้ลูกค้า Logistic แบบธรรมดา
เราขายได้200กว่าไร่
ยอดขายที่ดินก็สวิงขึ้นลง เวลาเปิดปฏิวัติก็หายไป
เลยไปเน้น รายได้แบบ recurring
เมื่อก่อนrecurring income คิดเป็น 20%เท่านั้นที่เหลือเป็น land sales
อนาคต recurring 80% เกิดจาก โรงงานให้เช่า
Smart factory (JV Hitachi ) ขายนำ้ ขายไฟ
หลังรัฐบาลทำโครงการEEC หัวใจพองโต จะส่งผลในQ3-4
Q1-2ไม่ค่อยเยอะ นอกจากมีตกค้างโอนจากปีที่แล้ว
การเจรจาไม่ใช่คุยกัน5-10วันก็จบ
เราขึ้นราคามาครั้งนึง โดยเปรียบเทียบกับเพื่อนบ้าน
เมื่อก่อนที่ดินของเราถูกมาก เมื่อเทียบกับของเขาเป็น leasing ไร่ละ 10 ล้านบาท
ถ้าเรายังเป็นแบบนี้ไม่มีเหตุการณ์พิเศษในหลายช่วง
เราก็สามารถไปได้
นักลงทุนบางส่วนเริ่มสบายใจ
หลังกฏหมาย EEC ถ้าผ่าน เราก็ดีขึ้น
ถ้าเมื่อก่อนไปลงทุนที่กาญจนบุรี ก็แย่เลย
ลูกค้ากำลังรอกฏหมายประกาศอยู่
เนื่องจาก road map ขยับไปอีก
ส่วน logistic e-commerce กำลังรอให้กฏหมายออกก่อน
จึงจะได้อานิสงค์ของ EEC
แต่ถ้าลูกค้าอยากอยู่ใกล้กรุงเทพ ก็เป็นสมุทรปราการ
ส่วนอยุธยาไม่ค่อยเหมาะ. จากเรื่องนำ้ท่วมคราวที่แล้ว
อมตะคิดถูกว่าลงทุนในแถบนี้ เราดูจากภูมิศาสตร์ และ พื้นที่
ตะวันออกไม่ใช่ที่ราบลุ่ม ไม่ใช่ที่เพาะปลูก อู่ข้าวอู่น้ำ
เราไปที่ไหนเราก็ใช้หลักการนี้
อู่ตะเภา ต้องเกิด เราhappy นักลงทุนจะเข้ามา
ในpipeline 1,000 กว่าไร่ logistic , aero space , robot
Automotive EV ตอนนี้ที่ทำแล้ว คือ BMW ประกอบในไทยแล้วรถEV
At amata city
ต้องลุ้นต่อไปครับว่า EEC จะเกิดหรือไม่
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 2874
วันนี้ 7-11 เริ่มโปรแกรมแจกแสตมป์ซึ่งทำมาหลายปีติดต่อกัน
ถ้ามีการแจกแสตมป์ นักลงทุนก็จะถามว่าปีนี้ T.. ซึ่งมีบริษัทลูก
เป็น IT Distribution ว่าได้งานหรือเปล่า
แต่แนวโน้มการใช้แสตมป์ปีนี้ ถ้าใช้ความเห็นส่วนตัวผม
น่าจะใช้ต้องการแสตมป์น้อยลง
เหตุผลละว่าทำไมลูกค้าต้องการแสตมป์น้อยลง
1. สืบเนื่องมาจากโปรแกรมสะสมเหรียญแลกของในช่วงต้นปี
ซึ่งหมดโปรแกรมไปแล้วเมื่อวาน ผมสังเกตว่าชาวบ้าน
มาแลกของกันมากมาย แสดงว่าลูกค้าเริ่มคุ้นชินกับการใช้app 7-11
ผมคนนึงละที่ใช้เหมือนกัน ปีที่ผ่านมาก็มีการสะสมแสตมป์online
แต่ไม่คุ้นกัน ก็เลยมีคนใช้ไม่มาก แต่ปีนี้มีลูกค้ากลุ่มนึงซึ่ง
เคยใช้ app 7-11 สะสมเหรียญ. โดยแค่บอกเบอร์โทร ก็สะสมได้
พอมาเริ่มโปรแกรมแจกแสตมป์7-11 ก็สะสมผ่านappได้เลย
แถมยังได้เพิ่มอีก1บาท ถ้าสะสมผ่านM stamp บน app 7-11
2.การสะสมเป็นแสตมป์ เก็บรักษายาก อาจหาย เปียกนำ้หรือ ขาดได้
3.บางครั้งติดในเล่ม อาจโดนขโมย เพราะ แสตมป์คิดตี้น่ารักมาก
หรือ ง่ายต่อการทำหายทั้งเล่ม
4. คิดว่า cpall ต้องการให้ลูกค้าเก็บเป็น M stamp มากกว่า เพราะลดต้นทุน
ส่วนสาเหตุที่คนยังสะสมเป็นแสตมป์จริงอยู่
1. ชอบคิดตี้ เลยสะสมเป็นแสตมป์ดีกว่า
2.ไม่ชอบความยุ่งยาก
3.เป็นคนไม่ชอบเทคโนโลยี และ ต้อง app 7-11
4.ไม่มีมือถือ ทำให้ไม่สามารถเข้าร่วมสะสมแบบonline
คงต้องมาดูกันว่า อัตราการสะสมแสตมป์เป็นอย่างไร เพราะวันนี้เป็นวันแรก
ในการเริ่มสะสมแสตมป์
สังเกตว่าช่วงปีที่ผ่านมาจนถึงปีนี้ ทาง7-11 มีสินค้ามูลค่าสูงมาขายในร้าน
เริ่มตั้งแต่ ไอศครีม ฮาเก้นดาส กูลิโก๊ะ รวมถึง อุปกรณ์อิเลคทรอนิคส์
ได้แก่ กล้องบันทึกภาพบนรถยนต์. เครื่องเล่นMP3 เครื่องปิ้งขนมปัง
Power bank เป็นต้น ทำให้ยอดขายต่อบิลสูงขึ้น
ส่วนด้านเครื่อง all coffee ราคากาแฟสดแค่25-30 บาท รสชาดพอใช้ได้ก็ขายดี
ถ้าต้องการรสชาดที่ดีขึ้น ก็เป็นคัดสรร ราคาประมาณ40บาท
รวมถึงเบเกอรี่ ที่มีวางขาย. ก็ทานได้
นอกจากนี้ยังมีอีกสิบกว่าสาขามีที่นั่งให้ลูกค้าทานข้าว และการทำอาหารหลัง
Counter ถือเป็นการทดลองตลาด
ดูว่า สามารถสร้างยอดขายมากขึ้นเมื่อเทียบกับเอาพื้นที่มาวางของขาย
คงต้องติดตามดูต่อไป แต่ผมว่าตรงส่วนนี้ Family martทำได้ดีกว่า แต่ต้นทุนก็แพงกว่าด้วย
ต้องดูกันยาวๆไปว่า model แบบนี้ทำยอดขายต่อบิลเพิ่มถ้ดจากการขายสินค้ามูลค่าสูงหรือไม่
ถ้ามีการแจกแสตมป์ นักลงทุนก็จะถามว่าปีนี้ T.. ซึ่งมีบริษัทลูก
เป็น IT Distribution ว่าได้งานหรือเปล่า
แต่แนวโน้มการใช้แสตมป์ปีนี้ ถ้าใช้ความเห็นส่วนตัวผม
น่าจะใช้ต้องการแสตมป์น้อยลง
เหตุผลละว่าทำไมลูกค้าต้องการแสตมป์น้อยลง
1. สืบเนื่องมาจากโปรแกรมสะสมเหรียญแลกของในช่วงต้นปี
ซึ่งหมดโปรแกรมไปแล้วเมื่อวาน ผมสังเกตว่าชาวบ้าน
มาแลกของกันมากมาย แสดงว่าลูกค้าเริ่มคุ้นชินกับการใช้app 7-11
ผมคนนึงละที่ใช้เหมือนกัน ปีที่ผ่านมาก็มีการสะสมแสตมป์online
แต่ไม่คุ้นกัน ก็เลยมีคนใช้ไม่มาก แต่ปีนี้มีลูกค้ากลุ่มนึงซึ่ง
เคยใช้ app 7-11 สะสมเหรียญ. โดยแค่บอกเบอร์โทร ก็สะสมได้
พอมาเริ่มโปรแกรมแจกแสตมป์7-11 ก็สะสมผ่านappได้เลย
แถมยังได้เพิ่มอีก1บาท ถ้าสะสมผ่านM stamp บน app 7-11
2.การสะสมเป็นแสตมป์ เก็บรักษายาก อาจหาย เปียกนำ้หรือ ขาดได้
3.บางครั้งติดในเล่ม อาจโดนขโมย เพราะ แสตมป์คิดตี้น่ารักมาก
หรือ ง่ายต่อการทำหายทั้งเล่ม
4. คิดว่า cpall ต้องการให้ลูกค้าเก็บเป็น M stamp มากกว่า เพราะลดต้นทุน
ส่วนสาเหตุที่คนยังสะสมเป็นแสตมป์จริงอยู่
1. ชอบคิดตี้ เลยสะสมเป็นแสตมป์ดีกว่า
2.ไม่ชอบความยุ่งยาก
3.เป็นคนไม่ชอบเทคโนโลยี และ ต้อง app 7-11
4.ไม่มีมือถือ ทำให้ไม่สามารถเข้าร่วมสะสมแบบonline
คงต้องมาดูกันว่า อัตราการสะสมแสตมป์เป็นอย่างไร เพราะวันนี้เป็นวันแรก
ในการเริ่มสะสมแสตมป์
สังเกตว่าช่วงปีที่ผ่านมาจนถึงปีนี้ ทาง7-11 มีสินค้ามูลค่าสูงมาขายในร้าน
เริ่มตั้งแต่ ไอศครีม ฮาเก้นดาส กูลิโก๊ะ รวมถึง อุปกรณ์อิเลคทรอนิคส์
ได้แก่ กล้องบันทึกภาพบนรถยนต์. เครื่องเล่นMP3 เครื่องปิ้งขนมปัง
Power bank เป็นต้น ทำให้ยอดขายต่อบิลสูงขึ้น
ส่วนด้านเครื่อง all coffee ราคากาแฟสดแค่25-30 บาท รสชาดพอใช้ได้ก็ขายดี
ถ้าต้องการรสชาดที่ดีขึ้น ก็เป็นคัดสรร ราคาประมาณ40บาท
รวมถึงเบเกอรี่ ที่มีวางขาย. ก็ทานได้
นอกจากนี้ยังมีอีกสิบกว่าสาขามีที่นั่งให้ลูกค้าทานข้าว และการทำอาหารหลัง
Counter ถือเป็นการทดลองตลาด
ดูว่า สามารถสร้างยอดขายมากขึ้นเมื่อเทียบกับเอาพื้นที่มาวางของขาย
คงต้องติดตามดูต่อไป แต่ผมว่าตรงส่วนนี้ Family martทำได้ดีกว่า แต่ต้นทุนก็แพงกว่าด้วย
ต้องดูกันยาวๆไปว่า model แบบนี้ทำยอดขายต่อบิลเพิ่มถ้ดจากการขายสินค้ามูลค่าสูงหรือไม่
-
- Verified User
- โพสต์: 4241
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 2875
ชื่อหนังสือแบบนี้ ขายดีแน่ๆarica เขียน:หนังสือแปล ออกใหม่ ครับ
คนชอบรวยแบบ VI VI Quick (ไวไวควิก) ...
คล้ายๆ กับตอนโน้น ที่มี
หนังสือของคนไทย อะไร
นี่แหละ 1 ล้านไป 500 ล้าน
ประมาณนั้น
....
ถ้าหนังสือแบบ
How I become Financially
Independent in 20 years ....
รับรองขายไม่ออก ...
แต่ว่าเป็นทางที่แทบทุกคนเดินได้
และค่อนข้างเป็นไปได้สูงมากๆ
// Stay Hungry, Stay Foolish.
// Stay Calm, Stay Invest.
// Price is what you pay, Value is what you get.
// Stay Calm, Stay Invest.
// Price is what you pay, Value is what you get.
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 2876
ติวอินเวสเตอร์
ตอน สร้างพอร์ตด้วยการออมหุ้น
คุณ เบน มยุรี
ลงทุนในหุ้นไม่ยาก แต่ควบคุมอารมณ์ไม่ได้
เราหาทางออกตรงนั้นไม่ได้
อสังหาริมทรัพย์ การหาคนซื้อต่อยาก
หรือมีผู้เช่าออก หาคนแทน ต้องใช้เวลาด้วย
แต่หุ้นมีสภาพค่องดีกว่า อสัหหาริมทรัพย์
มีความเคลื่อนไหวของราคาหุ้น
พอมีอารมณ์ จะเกิดมีปัญหาในเรื่องการตัดสินใจ
ตลาดเอื้อให้ตัดสินใจผิดได้ง่าย
ในแง่การลงทุน จะเปลี่ยนความคิดของคุณ
วงจรเม่า
เริ่มจากมีเงิน แล้วมาลงทุน
ช่องทางการรับฝังช่าวจากไลน์ หรือ ข่าวต่างๆ
พอซื้อไปสักพักเริ่มลง
แต่จริงๆโอกาสขึ้นหรือลงเท่ากัน
กำลังcutจะเด้ง. กลับมาลงทุนใหม่
เราไม่รู้ว่าราคาตรงนี้แพงไปหรือเปล่า
คนเช่าต่างชาติมีสักกี่คน แต่ซับพลายเพิ่มอีกเท่าไหร่
กลับมาที่ตัวหุ้น. บริษัทนี้ทำอะไร การเติบโตมาจากอะไร
ราคาหุ้นขึ้นได้ มาจากผลประกอบการต้องโตขึ้น
ความสามารถในการทำกำไร ต้องดีด้วย
เช่น 5-6% เป็นความสามารถการทำกำไร
โจทย์แรกที่เข้ามา คือ ความเสี่ยงในการลงทุนเป็นเท่าไหร่
แล้วถึงมาดูผลตอบแทนทีหลัง
ถ้าเรามาเริ่มที่ผลตอบแทนก่อน จะเจอการลงทุนที่ความเสี่ยงสูง
เราต้องศึกษาบริษัทมีบริการใหม่ๆ หรือ เปิดสาขาเพิ่มหรือเปล่า
เราลงทุนแบบ dollar cost average เหมือนการลงทุนฝากธนาคาร
24เดือน ๆละไม่เกิน 25000 บาท
การลงทุนก็เหมือนให้ธนาคารตัดบัญชีทุกเดือนในการซื้อหุ้น
ไม่เลือกจังหวะในการลงทุน
ไม่เช่นนั้น ไปจับจังหวะ เช่น หุ้นตก ก็ไม่ซื้อ เพราะกลัวตกอีก
หุ้นขึ้นก็รอให้ตก สุดท้ายก็ไปซื้อปลายปีเหมือนเดิม
อีกกลุ่มใช้อารมณ์ในการตัดสินใจ สุดท้ายก็ได้ราคาแพงกว่า
สุดท้าย สรุปว่า DCA ดีที่สุด
โปรแกรม streaming จำกัดการลงทุนแค่100 ตัวแรก หรือ SET100
แต่efin tradeได้ 500กว่าตัว. ตัวอย่างเช่น
จอห์น ลงทุนจับจังหวะลงทุน. ถ้าหุ้นแพงไม่ซื้อ
ส่วนเดวิท ลงทุนอย่างมีวินัย ทำให้ต้นทุนต่อหน่วยถูกกว่า
ขณะที่ราคาเป็นขาขึ้น ต้นทุนเฉลี่ยจะสูงข้น
ส่วนถ้าราคาลงก่อนแล้วขึ้น ต้นทุนเฉลี่ยจะถูกกว่า
ถ้าลงทุนแบบมีวินัย ต้นทุนจะต่ำกว่า 1000จุด
ข้อดีของDCA
1.ตัดเรื่องอารมณ์ในการลงทุน
2.ลงทุนแบบมีวินัยสม่ำเสมอ
3.ไม่ต้องติดตามผลถี่
4.เหมาะกับแนวคิด ออมในหุ้น
ต้นทุนเฉลี่ยมักจะเบ้ไปทางซ้ายที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยกลาง
การกำหนดเงื่อนไขการลงทุนแบบดีซีเอทำเพียงครั้งเดียวลดความยุ่งยาก
ข้อเสีย
1.เป็นการกระจุกตัว ขาดการกระจายเสี่ยง
2.หากปัจจัยพื้นฐานเปลี่ยน เช่น เปลี่ยนผู้บริหาร อาจปรับพอร์ตไม่ทัน
แต่ถ้าบริษํทที่ผ่านร้อนหนาวมานาน จะเกิดปัญหาข้อนี้
-
ตอน สร้างพอร์ตด้วยการออมหุ้น
คุณ เบน มยุรี
ลงทุนในหุ้นไม่ยาก แต่ควบคุมอารมณ์ไม่ได้
เราหาทางออกตรงนั้นไม่ได้
อสังหาริมทรัพย์ การหาคนซื้อต่อยาก
หรือมีผู้เช่าออก หาคนแทน ต้องใช้เวลาด้วย
แต่หุ้นมีสภาพค่องดีกว่า อสัหหาริมทรัพย์
มีความเคลื่อนไหวของราคาหุ้น
พอมีอารมณ์ จะเกิดมีปัญหาในเรื่องการตัดสินใจ
ตลาดเอื้อให้ตัดสินใจผิดได้ง่าย
ในแง่การลงทุน จะเปลี่ยนความคิดของคุณ
วงจรเม่า
เริ่มจากมีเงิน แล้วมาลงทุน
ช่องทางการรับฝังช่าวจากไลน์ หรือ ข่าวต่างๆ
พอซื้อไปสักพักเริ่มลง
แต่จริงๆโอกาสขึ้นหรือลงเท่ากัน
กำลังcutจะเด้ง. กลับมาลงทุนใหม่
เราไม่รู้ว่าราคาตรงนี้แพงไปหรือเปล่า
คนเช่าต่างชาติมีสักกี่คน แต่ซับพลายเพิ่มอีกเท่าไหร่
กลับมาที่ตัวหุ้น. บริษัทนี้ทำอะไร การเติบโตมาจากอะไร
ราคาหุ้นขึ้นได้ มาจากผลประกอบการต้องโตขึ้น
ความสามารถในการทำกำไร ต้องดีด้วย
เช่น 5-6% เป็นความสามารถการทำกำไร
โจทย์แรกที่เข้ามา คือ ความเสี่ยงในการลงทุนเป็นเท่าไหร่
แล้วถึงมาดูผลตอบแทนทีหลัง
ถ้าเรามาเริ่มที่ผลตอบแทนก่อน จะเจอการลงทุนที่ความเสี่ยงสูง
เราต้องศึกษาบริษัทมีบริการใหม่ๆ หรือ เปิดสาขาเพิ่มหรือเปล่า
เราลงทุนแบบ dollar cost average เหมือนการลงทุนฝากธนาคาร
24เดือน ๆละไม่เกิน 25000 บาท
การลงทุนก็เหมือนให้ธนาคารตัดบัญชีทุกเดือนในการซื้อหุ้น
ไม่เลือกจังหวะในการลงทุน
ไม่เช่นนั้น ไปจับจังหวะ เช่น หุ้นตก ก็ไม่ซื้อ เพราะกลัวตกอีก
หุ้นขึ้นก็รอให้ตก สุดท้ายก็ไปซื้อปลายปีเหมือนเดิม
อีกกลุ่มใช้อารมณ์ในการตัดสินใจ สุดท้ายก็ได้ราคาแพงกว่า
สุดท้าย สรุปว่า DCA ดีที่สุด
โปรแกรม streaming จำกัดการลงทุนแค่100 ตัวแรก หรือ SET100
แต่efin tradeได้ 500กว่าตัว. ตัวอย่างเช่น
จอห์น ลงทุนจับจังหวะลงทุน. ถ้าหุ้นแพงไม่ซื้อ
ส่วนเดวิท ลงทุนอย่างมีวินัย ทำให้ต้นทุนต่อหน่วยถูกกว่า
ขณะที่ราคาเป็นขาขึ้น ต้นทุนเฉลี่ยจะสูงข้น
ส่วนถ้าราคาลงก่อนแล้วขึ้น ต้นทุนเฉลี่ยจะถูกกว่า
ถ้าลงทุนแบบมีวินัย ต้นทุนจะต่ำกว่า 1000จุด
ข้อดีของDCA
1.ตัดเรื่องอารมณ์ในการลงทุน
2.ลงทุนแบบมีวินัยสม่ำเสมอ
3.ไม่ต้องติดตามผลถี่
4.เหมาะกับแนวคิด ออมในหุ้น
ต้นทุนเฉลี่ยมักจะเบ้ไปทางซ้ายที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยกลาง
การกำหนดเงื่อนไขการลงทุนแบบดีซีเอทำเพียงครั้งเดียวลดความยุ่งยาก
ข้อเสีย
1.เป็นการกระจุกตัว ขาดการกระจายเสี่ยง
2.หากปัจจัยพื้นฐานเปลี่ยน เช่น เปลี่ยนผู้บริหาร อาจปรับพอร์ตไม่ทัน
แต่ถ้าบริษํทที่ผ่านร้อนหนาวมานาน จะเกิดปัญหาข้อนี้
-
- นายมานะ
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1116
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 2879
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f ... 2#p1768662
อยากให้เพื่อนๆ พี่ๆ ห้องนี้ไปช่วยแชร์ไอเดียกันครับ ^^
อยากให้เพื่อนๆ พี่ๆ ห้องนี้ไปช่วยแชร์ไอเดียกันครับ ^^
- นายมานะ
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 1116
- ผู้ติดตาม: 0
Re: VI หาดใหญ่
โพสต์ที่ 2880
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f=1&t=61097นายมานะ เขียน:http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f ... 2#p1768662
อยากให้เพื่อนๆ พี่ๆ ห้องนี้ไปช่วยแชร์ไอเดียกันครับ ^^
โทษครับข้างบนผิดลงค์ ขออภัยครับ