Rome VS ประเทศไทย กับการลงทุน/เฉลิมเดช ลีวงศ์เจริญ

บทความต่างๆที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม

โพสต์ โพสต์
Thai VI Article
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1593
ผู้ติดตาม: 2

Rome VS ประเทศไทย กับการลงทุน/เฉลิมเดช ลีวงศ์เจริญ

โพสต์ที่ 1

โพสต์

โค้ด: เลือกทั้งหมด

ประวัติศาสตร์ 1,200 ปีของกรุงโรมตั้งแต่เริ่มต้นเมื่อปี 753 ก่อนคริสต์ศักราชจนถึงจุดจบในปี ค.ศ. 476 มีความสำคัญต่อคนในยุคปัจจุบันมาก เนื่องจากแนวคิด ทัศนคติ หลักปรัชญา การปกครอง การเมือง กฎหมาย ศาสนา ตลอดจนหลักเศรษฐศาสตร์ในโลกยุคปัจจุบัน ส่วนใหญ่ได้รับอิทธิพลมาจากแนวคิดของคนโรมันแทบทั้งสิ้นโดยเฉพาะคนในฝั่งซีกโลกตะวันตก

การเกิดขึ้นของกรุงโรมเป็นสิ่งที่แตกต่างจากอาณาจักรโบราณที่ส่วนใหญ่ปกครองโดยคนกลุ่มเล็กๆ ที่มีอำนาจปกครองแบบเด็ดขาด

โรมแรกเริ่มเป็นเพียงหมู่บ้านเล็กๆ ก่อนหน้านั้นดินแดนในคาบสมุทรอิตาลีมีคนอาศัยอยู่ก่อนหลายเผ่าพันธุ์ โรมเป็นที่แรกๆ ในโลกที่ใช้นโยบายแบบเปิดในการรวบรวมคนหลายเผ่าให้อยู่ร่วมกัน โดยที่แต่ละเผ่าส่งตัวแทนของตนเองเข้าร่วมปกครอง และใช้การอภิปรายและออกเสียงลงคะแนนในเรื่องสำคัญในการปกครอง เช่น การใช้เงิน การเก็บภาษี การทำสงคราม เป็นต้น

นโยบายดังกล่าวส่งผลให้โรมและอณาจักรโรมันขยายตัวอย่างรวดเร็ว รวมถึงจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เนื่องจากกลุ่มคนที่เข้าร่วมเป็นพวกเดียวกับโรมันมักจะได้สิทธิเป็น Roman citizens ด้วย

กรุงโรมถือเป็น Global City แห่งแรกของโลก เป็นที่ๆ คนหลากหลายเผ่าพันธุ์อาศัยอยู่รวมกัน ทำให้โรมได้ประโยชน์จากจำนวนพลเมืองที่มากขึ้น แรงงานและกำลังทหารมากขึ้น ได้รับความรู้ต่างๆ มากมายจากผู้คนหลายวัฒนธรรม ส่งผลให้โรมสามารถขยายดินแดนได้อย่างรวดเร็วจากคาบสมุทรอิตาลี ได้ดินแดนเพิ่มเติมบริเวณเกาะซิซิลี และสเปน ตลอดจนดินแดนแถบแอฟริกาเหนือจากการรบชนะพวก Carthage ได้ดินแดนคาบสมุทรบอลข่านจากการเข้าปกครองพวกกรีก เข้ายึดครองดินแดนแถบประเทศตุรกีในปัจจุบัน ยึดครองดินแดนแถบประเทศฝรั่งเศสและบางส่วนของอังกฤษและเยอรมันหลังจาก Julius Caesar พิชิตพวก Gaul เข้าปกครองอียิปต์สมัย Octavian รบชนะคลีโอพัตรากับ Mark Antony

การขยายดินแดนอย่างต่อเนื่องในช่วง 800 ปีแรกถือเป็นยุคทองของโรมันที่ขยายตัวอย่างรวดเร็วเปรียบเสมือน Growth stocks ที่โตต่อเนื่องอย่างยาวนาน

การที่โรมขยายดินแดนส่งผลให้รายได้ของโรมจากการเก็บภาษีจากดินแดนต่างๆ เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว อาณาจักรที่ต่อต้านและรบแพ้ ผู้คนทั้งหมดจะถูกกวาดต้อนเป็นเชลยทาส ประชากรกว่า 1 ใน 3 ของโรมันเป็นทาส ส่งผลให้โรมมีแรงงานราคาถูกจำนวนมากในการผลิตสินค้าเกษตรตลอดจนภาคบริการ

สิ่งที่น่าสนใจคือนโยบายแบบเปิดของโรมอนุญาตให้ทาสที่ทำงานเก่งจนร่ำรวยสามารถปลดตัวเองจากการเป็นทาสได้ด้วย ส่งผลให้ทุกคนมีแรงจูงใจในการทำงานให้ประสบความสำเร็จจนเป็นอิสระได้

ในแง่การลงทุน ผมคิดว่าประเทศไทยมีบางอย่างที่คล้ายกับโรม เรื่องแรกที่ส่งผลให้ประเทศไทยพัฒนาได้เร็วกว่าเพื่อนบ้าน ทั้งๆ ที่คนไทยส่วนใหญ่ไม่ได้ขยันไปกว่าหรือมีความสามารถมากกว่าเพื่อนบ้านคือ ประเทศไทยใช้นโยบายแบบเปิด เป็นชาติที่ต้องการให้ประชากรหลายเชื้อชาติเข้ามาอยู่รวมกันเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งในการต่อสู้กับชาติที่อยู่มาก่อนอย่างพม่าและเขมร

การเป็นชาติที่เปิดส่งผลให้ไทยเป็นประเทศไม่กี่แห่งในโลกที่คนต่างถิ่นสามารถอพยพเข้ามาอยู่ร่วมกันอย่างไม่ยากเย็น อาจเป็นเพราะคนไทยส่วนใหญ่เป็นลูกหลานของคนต่างถิ่นที่เข้ามาอยู่ในไทยเช่นกันใน generations ก่อนหน้า

สิ่งนี้ถือเป็นจุดแข็งของไทยที่ยากจะเลียนแบบ โลกในยุคที่ความรู้ เงิน เครื่องจักร คน แรงงานสามารถเคลื่อนที่ได้อย่างรวดเร็ว การเป็นประเทศแบบเปิดอย่างไทยน่าจะส่งผลให้ไทยได้ประโยชน์จากจำนวนแรงงานราคาถูกที่หลั่งไหลมาจากประเทศเพื่อนบ้าน ทำให้สินค้าและบริการของไทยมีต้นทุนต่ำ แข่งขันได้ ส่งผลให้ค่าครองชีพไทยต่ำเป็นอันดับท้ายๆ ของโลก

การเป็นชาติที่ต้อนรับคนต่างถิ่นส่งผลดีต่อภาคการท่องเที่ยว ไทยปรับตัวเก่งจนแทบจะเป็นชาติเดียวที่เข้ากับนักท่องเที่ยวจีนได้อย่างรวดเร็ว

การเป็นสังคมเปิด ผู้คนยอมรับคนจากหลายวัฒนธรรม เป็นประเทศที่อยู่สบาย ค่าครองชีพต่ำ อาจส่งผลให้ผู้คนหลั่งไหลเข้ามาอยู่ในไทยมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งคนใน AEC ที่เข้ามาทำงานในไทย ตลอดจนคนญี่ปุ่น คนยุโรปที่เข้ามาอยู่ไทยเป็นบ้านหลังที่สอง อาจส่งผลขับเคลื่อนให้ประเทศไทยสามารถเติบโตต่อเนื่องได้อีกนาน คล้ายๆ กับโรมก็เป็นได้

Happy Investing
[/size]
yoko
Verified User
โพสต์: 4337
ผู้ติดตาม: 0

Re: Rome VS ประเทศไทย กับการลงทุน/เฉลิมเดช ลีวงศ์เจริญ

โพสต์ที่ 2

โพสต์

ขอบคุณครับ
น่จะมีภาคต่อคือการล่มสลายของโรม :mrgreen:
kit556
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 272
ผู้ติดตาม: 0

Re: Rome VS ประเทศไทย กับการลงทุน/เฉลิมเดช ลีวงศ์เจริญ

โพสต์ที่ 3

โพสต์

บางตำราว่า โรมแทบไม่ได้ทิ้งมรดกใดๆให้แก่โลก นอกจากระบบการปกครอง กับระบบกฎหมาย วิทยาการด้านอื่นๆทั้งหมด เช่นคณิตศาสตร์ ดาราศาสตร์ วิทยาศาสตร์แขนงต่างๆ รับต่อมาจากกรีก อาหรับ เปอเซียร์ ในยุคก่อนหน้า

ความเจริญทั้งหมดจริงๆแล้วเป็นความยิ่งใหญ่ ที่เกิดจากรัฐทหารที่สูบทรัพยากรจากดินแดนที่ขยายไปเรื่อยๆ (พูดแบบไม่น่าฟัง ก็โจรดีๆนี่เอง เพราะปล้นตลอดไม่ได้ผลิตอะไรเอง) ปัญหาคือดินแดนที่ผนวกเข้ามา อย่างไรก็ไม่สามารถดูแลให้หลอมรวมเข้ากับจักวรรดิได้ตลอด เพราะฉนั้นก็ต้องเร่งขยายดินแดนต่อไปเรื่อยๆ เพื่อนำมาเลี้ยงทั้งศูนย์กลางโรมเอง กับเลี้ยงกองทหารที่ทิ้งไว้ควบคุมดินแดนที่ยึดมา

การขยายดินแดน ถึงจุดๆหนึ่งก็จะช้าลง (คือปล้นหมดซอย ทั้งซอยไม่มีบ้านไหนเหลือให้ยกเค้าแล้ว)สุดท้ายการขยายดินแดนไม่สามารถส่งทรัพยาการมากให้ทันกับการใช้จ่าย ทำให้ขนาดเงิน ก็แก้ปัญหาด้วยการผสมโลหะเงินเข้าไปในเหรียญ ทำให้สัดส่วนโลหะในเหรียญที่เดิมต้องเป็นทอง 100% กลายเป็นเหรียญโลหะเงินเป็นหลักและผลิตออกมาเยอะเท่าที่ต้องการจ่ายให้กับการเลี้ยงกองทัพ ซึ่งสุดท้ายวิธีนี้ก็ไม่แก้ปัญหาอะไร จนกลายเป็นหนัง Fall of the Roman Empire นักแสดงนำเช่น พระเอกหน้าคม Omar Sharif ,Christopher Plummer (พระเอก Sound of Music ) และนางเอก Sophia Loren

ตอนจบ (ในหนัง) รัฐทหารอย่างโรมันที่เริ่มเสื่อมถอยก็ปกครองรัฐบริวารด้วยวิธีที่เข้มงวดขึ้น รัฐเล็กๆทนไม่ไหวเกิดแข็งข้อ และรัฐพันธมิตรค่อยๆตีจาก แต่จากจุดเสื่อม กว่าอาณาจักรใหญ่อย่างโรมันจะล่มสลายก็กินเวลาอีกนับ 100 ปี

Beginning of the end
Kritsada
โพสต์โพสต์