ระดับของการเก็งกำไร/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

บทความต่างๆที่ตีพิมพ์ใน ThaiVI คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม

โพสต์ โพสต์
Thai VI Article
สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
โพสต์: 1593
ผู้ติดตาม: 2

ระดับของการเก็งกำไร/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์ที่ 1

โพสต์

โค้ด: เลือกทั้งหมด

    การถือเงินสดคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ที่สูงกว่าปกติมากของผมในช่วงกว่า 2 ปีที่ผ่านมานั้นเป็นเรื่องที่น่า “อึดอัดใจ” โดยเฉพาะในช่วงหลัง ๆ  ที่ราคาหุ้นที่ผมสนใจไม่ได้ปรับลงมาจนน่าสนใจที่จะลงทุน  จริงอยู่  ในช่วงแรก ๆ  ที่มีเงินสดมากขึ้นนั้น  ผมรู้สึกดีว่ามีเงินพร้อมที่จะเข้าลงทุนซื้อหุ้นถ้ามีโอกาส  อย่างไรก็ตาม  เมื่อเวลาผ่านไปและหุ้นก็ไม่ตกลงมาแต่กลับปรับตัวขึ้นไปด้วย  ผมก็รู้สึกเสียดายที่มีหุ้นน้อยไปหน่อย  แต่ซักพักเดียวหุ้นก็กลับตกลงมาที่เดิมซึ่งผมก็ยังไม่ซื้อเพราะอยากรอให้มันตกลงมาถึงจุดที่น่าสนใจจริง ๆ   แต่แล้วมันก็ปรับตัวขึ้นไปอีก  ดูเหมือนว่าหุ้นนั้น  “ไม่พร้อมที่จะลง”  คล้าย ๆ  กับว่ามีคนพร้อมที่จะเข้าไปช้อนซื้อหุ้นทุกครั้งที่มันปรับตัวลงมาถึงจุดหนึ่ง  ดู ๆ  ไปราวกับว่าผมกำลังกลายเป็นคนที่ดูหุ้นแบบนักเท็คนิคที่รอจังหวะซื้อหุ้นที่ปรับตัวลงมา  เพียงแต่ว่าผมต้องการซื้อแล้วถือยาว  ไม่ได้ต้องการ “เล่นรอบ”  ผมต้องการลงทุนเพื่อหาผลตอบแทนจากเงินสดที่ให้ดอกเบี้ยเพียงไม่ถึง 1% ต่อปี  ความคิดแบบ  “นักลงทุน”  ทำให้ผมรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ “เสียโอกาส” มากกับการถือเงินสด  แรงขับดันให้หาหุ้นเพื่อที่จะลงทุนนั้นสูงแต่ผมก็ต้อง “ข่มใจ”  ให้ได้  ผมพยายาม “ใจเย็น”  รอไปเรื่อย ๆ  ไม่รีบร้อนที่จะซื้อหุ้นถ้าราคาหุ้นยังไม่ถูกพอที่จะทำให้ “ปลอดภัย”  หรือพูดในภาษา VI ก็คือ  หุ้นยังมี Margin of Safety ไม่พอ

    นอกจากการดูในเรื่องของตัวเลขที่จะบอกว่าหุ้นถูกพอหรือยัง  ผมยังต้องดูสถานการณ์ของตลาดหุ้นด้วยว่ามันอยู่ใน “โหมด” ไหน  เพราะนี่จะเป็นสิ่งที่บอกว่าหุ้นน่าจะมีราคาแพงหรือถูกได้ในระดับหนึ่ง  ตัวอย่างเช่น  ถ้าคนยังรู้สึก “ฮึกเหิม”  มองโลกในแง่ดี  มีความหวังเต็มเปี่ยม  คนยังมองหุ้นในแง่ที่ดีมาก  ความเป็นไปได้ก็คือ  หุ้นก็น่าจะมีราคาแพงกว่าปกติ  ตรงกันข้าม  ถ้าคนรู้สึกแย่หรือสิ้นหวัง  มองโลกในแง่ร้ายและกลัวการลงทุนในหุ้น  ราคาหุ้นก็จะถูกกว่าปกติ  การที่จะดูว่าตลาดหุ้นเป็นโหมดไหนนั้น  ผมคิดว่าเราจะต้องดูสัญญาณต่าง ๆ  ที่จะบอกถึงระดับของความรู้สึกของคนในตลาดหุ้น  ซึ่งผมจะเรียกมันว่า  “ระดับของการเก็งกำไร” ที่จะถูกแสดงออกมาในเรื่องต่าง  ๆ  ที่จะกล่าวต่อไปนี้  โดยที่ผมสรุปว่าระดับของการเก็งกำไรของตลาดหุ้นไทยก็ยังสูงอยู่  และนั่นก็ทำให้ผมต้องพยายามข่มใจต่อไปว่าเราไม่ควรที่จะรีบซื้อหุ้น  เพราะหุ้นอาจจะมีโอกาสตกลงมาได้เมื่อความรู้สึกอยากเก็งกำไรนั้นลดลงหรือหายไป  ซึ่งบางครั้งก็สามารถเกิดขึ้นได้ในชั่ว  “ข้ามคืน”

    สัญญาณแรกที่ผมเห็นอยู่อย่างชัดเจนว่าแรงเก็งกำไรในตลาดหุ้นไทยยังสูงก็คือ หุ้น IPO  หรือหุ้นที่เพิ่งเข้ามาจดทะเบียนซื้อขายในตลาดเป็นครั้งแรก  ก่อนหน้านี้ราว ๆ  ซัก 2-3 ปี  หุ้น IPO โดยเฉพาะตัวเล็กและ/หรือมีฟรีโฟลทน้อยนั้น  เมื่อเข้าซื้อขายในวันแรกก็มักจะปรับตัวขึ้นไปสูงมาก  บางตัวขึ้นไปถึง 200% ทั้ง ๆ  ที่กิจการไม่ได้มีความโดดเด่นอะไรนัก  ยิ่งตัวเล็กก็ยิ่งปรับตัวขึ้นสูง  หาเหตุผลไม่ได้นอกจาก  “การเก็งกำไร”  ของนักลงทุนโดยเฉพาะรายย่อยในตลาดหลักทรัพย์  ในช่วงเร็ว ๆ  นี้  แม้ว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์จะไม่ได้ร้อนแรงอะไร  ราคาการซื้อขายหุ้น IPO ในวันแรกเองก็ยังปรับตัวขึ้นไปในระดับอย่างน้อย 20-30%  ก็ยังเป็นเรื่องปกติ  การขาดทุนสำหรับคนที่ได้หุ้นจองนั้นแทบจะไม่เคยเกิดขึ้น  นี่ก็แสดงให้เห็นว่าการเก็งกำไรในตลาดหุ้นยังค่อนข้างสูงแม้ว่าอาจจะไม่เท่าเดิม

    สัญญาณที่สองที่เห็นได้ชัดก็คือ  การเล่นหุ้นที่มีผลประกอบการ “ดี” ที่มีการประกาศออกมาโดยเฉพาะของหุ้น “ตัวเล็ก”  อาการที่เห็นนั้นคล้าย ๆ  กับมีกลุ่มนักลงทุนส่วนบุคคลบางกลุ่มหรือหลาย ๆ  กลุ่มที่คอยหาหุ้นที่จะเข้ามาเล่น “เก็งกำไร”  หุ้นที่ประกาศผลประกอบการดีน่าประทับใจและเป็นหุ้นที่มีฟรีโฟลทไม่สูงจะถูก  “ไล่ราคา”  ให้ขึ้นไปสูงลิ่วทั้ง ๆ  ที่ราคาหุ้นก็แพงมากอยู่แล้ววัดจากค่า PE และอื่น ๆ   ปริมาณการซื้อขายในช่วงที่มีการประกาศงบก็มักจะสูงลิ่วและราคาหุ้นนั้นบ่อยครั้งก็ผันผวนและปรับตัวกลับลงมาในช่วงเวลาสั้น ๆ   ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครต้องการซื้อแล้วถือยาว  เพราะมูลค่าตลาดของหุ้นตัวนั้นดูเหมือนว่าจะสูงกว่าพื้นฐานมาก  ทุกคนเข้าไปเทรดหุ้นเพื่อหวังผลกำไรอย่างรวดเร็ว  และนี่ก็คือสัญญาณว่าระดับของการเก็งกำไรในตลาดหุ้นก็ยังสูงพอสมควรทีเดียว

    ในระดับของตลาดเองนั้น  ปริมาณการซื้อขายหุ้นต่อวันของตลาดหุ้นไทยก็ยังสูงลิ่วถึงกว่า 50,000 ล้านบาทเป็นส่วนใหญ่  บางวันก็ขึ้นเป็นแสนล้านบาท  เทียบกับตลาดหุ้นเพื่อนบ้านแล้ว  ของเราคึกคักกว่ามาก  ว่าที่จริงตลาดหุ้นไทยมีปริมาณการซื้อขายสูงที่สุดในอาเซียนทั้ง ๆ  ที่ขนาดตลาดเราเป็นเพียงครึ่งหนึ่งของตลาดหุ้นสิงคโปร์   การมีการซื้อขายเปลี่ยนมือกันเร็วมากนั้นเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าตลาดมีระดับของการเก็งกำไรสูง  ยิ่งถ้าดู “เนื้อใน”  หรือดูว่าหุ้นประเภทไหนมีการซื้อขายมากกว่าปกติก็ยิ่งพบว่าตลาดหุ้นไทยนั้น  หุ้นที่นักเล่นหุ้นซื้อขายกันมากจะ  “กระจุก”  อยู่ในหุ้นน้อยตัว  หุ้นที่ซื้อขายมากที่สุด 10 อันดับนั้นมักจะครอบคลุมการซื้อขายถึง 30-40% ของหุ้นทั้งหมด  หุ้นตัวที่มีการซื้อขายสูงสุดนั้นบ่อยครั้งเกิน 10% ของการซื้อขายทั้งตลาด  พูดง่าย ๆ  คนเข้าไป “เล่น”  หุ้นร้อนวันต่อวันจำนวนมาก  คนที่เข้าไปซื้อเพื่อลงทุนมีจำนวนน้อยกว่าโดยเปรียบเทียบกับตลาดที่ไม่ค่อยมีการเก็งกำไรอย่างในตลาดหุ้นอาเซียนอื่น ๆ

    หุ้น “มีสตอรี่”  หรือหุ้นที่มีเรื่องราวที่น่าตื่นเต้นในแง่ของการเติบโตที่โดดเด่นเองนั้น  ในอดีต 2-3 ปีที่ผ่านมานั้น  สามารถ  “ขายฝัน”  ได้มากมาย  ตัวอย่างเช่น  หุ้นในกลุ่มพลังงานทดแทนที่เมื่อมีการประกาศว่าบริษัทได้สิทธิในการขายไฟฟ้าหรือจะเข้าสู่ธุรกิจพลังงานทดแทน  ราคาหุ้นก็วิ่งขึ้นไปรุนแรงแล้ว  ซึ่งแสดงให้เห็นว่าตลาดหุ้นในช่วงนั้นมีการเก็งกำไรที่สูงมาก  อย่างไรก็ตาม  เมื่อเวลาผ่านไปและผลการดำเนินงานไม่ได้เป็นไปตามที่คาด  ราคาหุ้นกลุ่มนั้นก็ปรับตัวลง  ทำให้ดูเหมือนว่าหุ้นมีสตอรี่จะขายไม่ได้ดีเหมือนเดิม  การเก็งกำไรในเรื่องนี้ลดลงแต่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่ได้หมดไป  ว่าที่จริงตลาดในช่วงเร็ว ๆ  นี้ก็ดูเหมือนว่าจะหาสตอรี่ใหม่ ๆ  เพื่อ “ไล่ราคาหุ้น”  และดูเหมือนว่านักลงทุนก็ยังพร้อมที่จะเข้ามาเล่น  “เก็งกำไร”  ในสตอรี่ใหม่ ๆ  ที่ฟังดู  “น่าเชื่อถือ”  อยู่  ตัวอย่างของสตอรี่ใหม่นั้นอาจจะไม่เน้นเรื่องของอุตสาหกรรมแล้ว  แต่เน้นเรื่องความสามารถของบริษัทที่จะโตเป็น “ทวีคูณ”  ในตลาดใหม่ที่น่าสนใจ  เป็นต้น

    ระดับของการเก็งกำไรในตลาดที่พอจะใช้วัดได้อีกเรื่องหนึ่งก็คือ  หนังสือพ็อกเก็ตบุคเกี่ยวกับหุ้นและการลงทุน  การสัมมนา  และการพูดคุยในเวบไซ้ต์หุ้นและสื่อสังคมต่าง ๆ    หากคนเล่นหุ้นสนใจการลงทุนแบบที่แสดงว่าจะทำกำไรได้ง่าย ๆ  และรวดเร็วมาก  เช่น  แนวการลงทุนแบบเทคนิคหรือการลงทุนในตราสารอนุพันธ์ต่าง ๆ  นั่นก็แสดงว่าพวกเขากำลังสนใจเข้ามาเล่นเก็งกำไรมากกว่าการลงทุน  ซึ่งในประเด็นนี้ก็ค่อนข้างชัดเจนว่าหนังสือแนวนี้กำลังวางแผงมากขึ้นเปรียบเทียบกับหนังสือแนว VI หรือการลงทุนแบบพื้นฐาน  เช่น เดียวกัน   งานสัมนาและการพูดคุยในเวบไซ้ต์เกี่ยวกับหุ้นเองก็แสดงให้เห็นว่าคนรุ่นใหม่ที่สนใจซื้อขายหุ้นในตลาดจำนวนมากนั้น  ต้องการเข้ามาเล่นเก็งกำไรมากกว่าที่จะเข้ามาลงทุนระยะยาวที่ต้องศึกษาหาความรู้อย่างเข้มข้น  คำที่เห็นหรือใช้บ่อย ๆ  ก็คือ  หุ้นตัวนั้นเป็นอะไร  ทำไมลงหรือขึ้น  ใครเป็นจ้าว?

    โดยสรุปแล้วผมคิดว่า  อาการที่กล่าวข้างต้นเป็นเครื่องแสดงว่าระดับของการเก็งกำไรของตลาดหุ้นไทยนั้นยังค่อนข้างสูงแม้ว่าจะลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับเมื่อ 2-3 ปีก่อน  ตัวเลขความถูกความแพงของหุ้นโดยเฉพาะหุ้นขนาดเล็กฟรีโฟลทต่ำก็ยังแสดงว่ามีราคาแพงไม่ว่าจะเป็นหุ้นที่โดดเด่นหรือหุ้นที่ไมได้พื้นฐานอะไรนักแต่มีระดับของการเก็งกำไรสูง   และนั่นก็เป็นเหตุผลที่ผมเองอยู่ในอาการ “อึดอัด” ที่ต้องถือเงินสดที่แทบไม่ได้ผลตอบแทนโดยไม่รู้ว่าจะซื้อหุ้นเมื่อไร  บางทีผมอาจจะต้องรอจนคนเบื่อและแทบเลิกเล่นหุ้นไปเลยก่อนที่จะเข้าซื้อหุ้น   หรือไม่ก็อาจจะซื้อหุ้นทั้ง ๆ ที่มี Margin of Safety น้อย  เวลาจะเป็นเครื่องบอก  เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ  นักลงทุนนั้นต้อง Flexible หรือมีความยืดหยุ่น  มีข้อยกเว้นเสมอ  แต่ต้องคิดรอบด้านก่อนทำ
[/size]
ภาพประจำตัวสมาชิก
theerasak24
Verified User
โพสต์: 614
ผู้ติดตาม: 0

Re: ระดับของการเก็งกำไร/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์ที่ 2

โพสต์

ขอบคุณครับ
"เป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่จะยังคงทำสิ่งต่างๆ ต่อไปตราบใดที่มันยังให้ความรื่นรมย์และคุณก็ทำมันได้ดี"
Sp_Park
Verified User
โพสต์: 47
ผู้ติดตาม: 0

Re: ระดับของการเก็งกำไร/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์ที่ 3

โพสต์

ขอบคุณครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
neuhiran
Verified User
โพสต์: 815
ผู้ติดตาม: 0

Re: ระดับของการเก็งกำไร/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์ที่ 4

โพสต์

ขอบคุณครับ :D :D
PY_investor
Verified User
โพสต์: 24
ผู้ติดตาม: 0

Re: ระดับของการเก็งกำไร/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์ที่ 5

โพสต์

ขอบคุณครับ
ภาพประจำตัวสมาชิก
HOWLS
Verified User
โพสต์: 340
ผู้ติดตาม: 0

Re: ระดับของการเก็งกำไร/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์ที่ 6

โพสต์

'บางทีผมอาจจะต้องรอจนคนเบื่อและแทบเลิกเล่นหุ้นไปเลยก่อนที่จะเข้าซื้อหุ้น หรือไม่ก็อาจจะซื้อหุ้นทั้ง ๆ ที่มี Margin of Safety น้อย เวลาจะเป็นเครื่องบอก เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ นักลงทุนนั้นต้อง Flexible หรือมีความยืดหยุ่น มีข้อยกเว้นเสมอ แต่ต้องคิดรอบด้านก่อนทำ'

สรุป แบบ ไม่มีคำตอบ แต่คนอ่านต้องหาคำตอบเอาเอง :bow:
พัฒนาขึ้น ทุก ๆ วัน ...
soros
Verified User
โพสต์: 262
ผู้ติดตาม: 0

Re: ระดับของการเก็งกำไร/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์ที่ 7

โพสต์

HOWLS เขียน:'บางทีผมอาจจะต้องรอจนคนเบื่อและแทบเลิกเล่นหุ้นไปเลยก่อนที่จะเข้าซื้อหุ้น หรือไม่ก็อาจจะซื้อหุ้นทั้ง ๆ ที่มี Margin of Safety น้อย เวลาจะเป็นเครื่องบอก เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ นักลงทุนนั้นต้อง Flexible หรือมีความยืดหยุ่น มีข้อยกเว้นเสมอ แต่ต้องคิดรอบด้านก่อนทำ'

สรุป แบบ ไม่มีคำตอบ แต่คนอ่านต้องหาคำตอบเอาเอง :bow:
ผมว่าสรุปแบบมีคำตอบนะ คือ กฎทุกอย่างที่ผมเคยพูดมามีข้อยกเว้นเสมอ
จอหงวน
Verified User
โพสต์: 196
ผู้ติดตาม: 0

Re: ระดับของการเก็งกำไร/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์ที่ 8

โพสต์

อาจารย์จะลงทุนไปมากๆอีกทำไมครับ อายุล่วงเข้ามัจฌิมวัยแล้ว
ทรัพย์สินที่มีอยู่ รวมทั้งpassive income ใช้ไม่หมดอยู่แล้วครับ
น่าจะตั้งกองทุนเพื่อสังคมและนั่งบริหารกองทุนเพื่อคืนกำไรและตอบแทนสังคมบ้าง
ผมคิดว่ามรดกให้ลูกคนเดียวก็มากมายแล้ว
ทำเพื่อสังคมเถิดครับในมัจฌิมวัย
มีความสุขด้วยการให้เป็นเรื่องน่าภูมิใจและอิ่มบุญ
ภาพประจำตัวสมาชิก
astro345
Verified User
โพสต์: 479
ผู้ติดตาม: 0

Re: ระดับของการเก็งกำไร/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์ที่ 9

โพสต์

การแบ่งปันและให้ความรู้ ก็เป็นการให้อีกอย่างหนึ่ง ที่ไม่ได้ด้อยไปกว่าการให้ทรัพย์สินนะครับ วิธีการคืนให้สังคมของแต่ละบุคคลก็ไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน

ปล.ไม่ได้รู้จักหรือเป็นศิษย์ท่าน ดร.
khunsa
Verified User
โพสต์: 62
ผู้ติดตาม: 0

Re: ระดับของการเก็งกำไร/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์ที่ 10

โพสต์

เลือกหุ้นผมว่ายากแล้ว หาจุดซื้อขายนี่ยิ่งยากกว่า
แต่ต้องทนอยู่นิ่งๆ ให้ต/ทค่าเสียโอกาสมันทำร้าย นี่ยิ่งกว่าทรมาน

คารวะ ในการปล่อยวางคับ
วัวทะโมน
Verified User
โพสต์: 222
ผู้ติดตาม: 0

Re: ระดับของการเก็งกำไร/ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โพสต์ที่ 11

โพสต์

เห็นด้วยกับคุณ astro345นะครับ..... ทุกครั้งทีอาจารย์เข้าซื้อหุ้นมันคือบทเรียนที่น่าศึกษา ไม่ต่างจากการซื้อหุ้นของบัฟเฟตต์ในแต่ละครั้ง.....เพราะสไตล์ของทั้งสองคนถึงค่อนข้างนานเพราะฉะนั้นการซื้อแต่ละครั้งจึงต้องผ่านกระบวนการคิดมาพอสมควร....อาจจะผิดบ้างถูกบ้างแต่ผลเชิงประจักษ์มีอยู่...ดีกว่าเขียนหนังสือหรือlectureอีกครับ....เงินคงไม่ใช่สิ่งสำคัญ(ผมคิดว่าอจ.ก้อคงคิดแบบนั้น)
โพสต์โพสต์