สรุปความรู้งานVIครั้งที่ 2/59(Investment by looking around)
-
- Verified User
- โพสต์: 332
- ผู้ติดตาม: 0
สรุปความรู้งานVIครั้งที่ 2/59(Investment by looking around)
โพสต์ที่ 1
เนื่องด้วยมีโอกาสได้ไปร่วมงานสังสรรค์ VI ประจำปี 2559 ครั้งที่ 2 ในวันที่ 4 กันยายน 2559 ที่ผ่านมา จึงอยากจะสรุปความรู้ที่ได้จากงานครั้งนี้บางส่วนเผื่อเป็นประโยชน์ต่อเพื่อนนักลงทุนท่านอื่นๆที่ไม่ได้มาร่วมงานนี้ครับ
(เนื่องจากมีเวลาไม่มากนักผมขออนุญาตสรุปเฉพาะเนื้อหาช่วงเช้าเป็นหลักและช่วงถามตอบตอนท้ายก่อนครับ ส่วนเนื้อหาในช่วงของคุณเอก CEO Snailwhite ขออนุญาตพักไว้ก่อนครับถ้ามีเวลาจะนำมาสรุปเพิ่มเติมให้อีกทีครับ)
งานสังสรรค์ VI ประจำปี 2559 ครั้งที่ 2
“มองหาไอเดียการลงทุนผ่านชีวิตประจำวัน (Investment by Looking Around)”
Agenda
9:30 – 9:45 น. คุณชาย มโนภาส_นายกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย) กล่าวต้อนรับ
9:45 – 12:00 น. สัมภาษณ์หัวข้อ “เที่ยวยังไงให้ได้ตังค์”
โดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร และ คุณเฉลิมเดช ลีวงศ์เจริญ (Investment Biker)
13:30 - 16:00 น. เสวนาหัวข้อ “กลยุทธ์สร้างแบรนด์พันล้าน ผ่านนักท่องเที่ยวจีน”
โดย คุณเอก - สราวุฒิ พรพัฒนารักษ์ CEO
(บริษัท ดู เดย์ ดรีม จำกัด) (ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ SNAILWHITE)
P’ชาย มโนภาสเกริ่นนำ
1.Trend ที่สำคัญอย่างหนึ่งในปัจจุบันคือ นักท่องเที่ยวจากประเทศจีน โดยในปีที่ผ่านมาประเทศไทยมีนักท่องเที่ยว 30 ล้านคน ซึ่งมาจากจีนประมาณ 8 ล้านคน โดยในปีนี้ตั้งเป้านักท่องเที่ยว 10 ล้านคน
โดยในปี 2015 นั้นมีนักท่องเที่ยวเดินทางออกจากประเทศจีน 120 ล้านคนซึ่งคิดเป็นประมาณ 10% ของประชากรชาวจีน ซึ่งในอนาคตนั้นก็มีโอกาสที่จะมีนักท่องเที่ยวจากประเทศจีนเพิ่มขึ้นจากประชากรที่มีรายได้เพิ่มขึ้น โดยลองเปรียบเทียบกับประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างประเทศ America ที่มีประชากรในระดับ Middle Class อยู่ประมาณ 50% ของจำนวนประชากร
2.การที่เราสามารถสังเกตอะไรได้ก่อนที่ตลาดหุ้นจะเห็นนั้น สามารถสร้างความได้เปรียบ ในบางกรณีนั้นการที่เราสังเกตเห็นอะไรเล็กๆน้อยๆ ก็อาจจะสามารถเปลี่ยนสถานะของเราให้มั่งคั่งขึ้นได้ ยกตัวอย่างเช่น ใน 1-2 ปีที่ผ่านมา Trend ที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวนั้น มีกล้องบางชนิดที่เริ่มได้รับความนิยม ทำให้บริษัทที่เน้นขายสินค้าประเภทนี้สามารถขายสินค้าได้กำไรในช่วงที่ผ่านมาค่อนข้างดีเป็นต้น
3.ข้อมูลเกี่ยวกับ Infrastructure ในประเทศไทย สนามบินสุวรรณภูมิ Phase 2 สามารถรองรับนักท่องเที่ยวเพิ่มจาก 45-->60 ล้านคน และในปี 2568 Phase 3 จะรองรับได้ถึง 95 ล้านคน ในขณะที่ Vietnam นั้นสนามบิน Longton นั้นก็มีแผนขยายเพื่อรองรับนักเดินทางเป็น 95-100 ล้านคน ใน 10-15 ปีข้างหน้า
สัมภาษณ์หัวข้อ “เที่ยวยังไงให้ได้ตังค์”
โดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร และ คุณเฉลิมเดช ลีวงศ์เจริญ (Investment Biker)
1.ประวัติโดยสังเขป พี่เชาว์ Investment Biker
พื้นเพเป็นคนระยอง ที่บ้านทำเกี่ยวกับสวนยาง จบการศึกษาขั้นมัธยมจากเตรียมอุดมศึกษาจากนั้นจบปริญญาตรีวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และจบ MBA ที่ USA ทำงานที่สหรัฐอเมริกาเป็นเวลา 10 ปีก่อนที่จะกลับมาประเทศไทยในปี 2005 ทำงานในสายงาน Investment Banking 5 ปี ก่อนที่จะออกมาลงทุนเต็มเวลา 3 ปี ผ่านการสอบ CFA ระดับ 3 ช่วงเริ่มต้นลงทุนมีโอกาสได้อ่านหนังสือท่านอาจารย์นิเวศน์ทำให้เริ่มเข้าใจเกี่ยวกับการลงทุนได้ดีขึ้น
ลงทุนมาครบ 11 ปี ชนะตลาด 10 ปีจาก 11 ปี โดยเริ่มลงทุนจากเงินเก็บในการทำงานที่อเมริกาและเพิ่มเติมเงินลงทุนจากการทำงานที่ไทย
2.อะไรที่ทำให้คนส่วนน้อยในตลาดลงทุนประสบความสำเร็จ
2.1 คนส่วนใหญ่ประมาณ 90% นั้นมักจะมองกระจกหลัง (มองอดีต) โดยอาจจะฟัง Opp Day,อ่านรายงานประจำปี, อ่านงบการเงิน, Company visit มีเพียงคนส่วนน้อยในตลาดที่พยายามจะมองไปข้างหน้าหรือมองไปยังอนาคต (คนที่เดาอนาคตออก คือคนที่จะประสบความสำเร็จ)
2.2 Fact vs Opinion
ความจริงคือความจริง, ความเห็นคือความจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้
โดยส่วนใหญ่นั้นหนังสือพิมพ์,Opp day ข้อมูล 90% คือความเห็น เราควรที่จะต้องแยกให้ออกระหว่างความจริงกับความเห็น ยกตัวอย่างเช่น Market efficient คือ Opinion และพยายามลงทุนโดยที่มี Bias ให้น้อย
3.วิธีการลงทุนที่ดีที่สุด คือหาอนาคตให้เจอ โดยอนาคตนั้นวิธีการหาคือหาสิ่งที่อยู่รอบตัวเรา เปรียบเปรยเหมือนดังเช่นในปัจจุบันเพื่อนๆหลายคนตามหา pokemon go ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะอยู่ตามร้านสะดวกซื้อหรือตามแหล่งชุมชนต่างๆเช่นห้างสรรพสินค้า ชีวิตจริงนั้นการตามหาหุ้น 10 เด้งนั้น ก็คล้ายคลึงกัน โดยยกตัวอย่างหุ้น 10 เด้งในอดีตนั้นก็มีหุ้นหลายๆตัวที่มาจากร้านหรือห้างสรรพสินค้าที่เราใช้บริการนั่นเอง โดยหน้าที่ของเราก็คือการหาบริษัทผู้ชนะหรือผู้ที่เติบโตต่อในอนาคต
4.ตระกร้า 3 ถาดของP’เชาว์
4.1 DCA (Durability competitive advantage) หาธุรกิจที่มีป้อมปราการ ,หาธุรกิจที่แน่นอน
ยกตัวอย่างของบริษัทที่มี DCA เช่น 1.)Top of the mind อยู่ในหัวใจคนซื้อเป็นลำดับแรก เช่นหมากฝรั่ง Wrigley,แปรงสีฟัน Oral B เป็นต้น 2.)มีความยาก เช่นธุรกิจยา มีสิทธิบัตร (Patent), ธุรกิจ Software 3.)Network Effect ยกตัวอย่างเช่น Google, Facebook, Instagram, Wechat 4.)ธุรกิจมีขนาดใหญ่และทำให้คู่แข่งเข้ามาได้ยาก
DCA นั้นสามารถวัดได้ที่ Pricing Power (ความสามารถในการตั้งราคาสินค้า) เช่น เครื่องดื่มบางประเภทในไทยนั้นแข่งกันตัดราคาสินค้า ทำให้มองว่าธุรกิจนั้นไม่มี DCA เป็นต้น
โดยหุ้นในถาดนี้นั้น อาจจะมีจำนวนไม่เยอะแค่ 10-20 ตัวในตลาดหลักทรัพย์
4.2 Growth เป็น Trend ที่ธุรกิจกำลังจะมาใน 3-5 ปีข้างหน้า (โดยใน 5 ปีข้างหน้าธุรกิจไหนจะโตได้เร็ว) ซึ่งอาจจะต้องกล้าได้กล้าเสีย โดยต้อง Bet กับโอกาส โดยประเด็นที่สำคัญคืออย่าซื้อหุ้นในราคาที่แพงเกินไป โดย Target คือ Top line Revenue (รายได้) โต 15% เป็นอย่างน้อย ซึ่งในบางที EPS (Earning Per Share) อาจจะโตถึง 40-50%
4.3 DCA+Growth ซึ่งหุ้นมักจะแพงเพราะคนส่วนใหญ่ในตลาดหุ้นมักจะทราบ
โดยปกติจะมีหุ้นที่เข้าถาด ทั้งหมด 10% จากหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ทั้งหมด ซึ่งวิธีการนี้จะทำให้ลงทุนมีประสิทธิภาพสูง ใช้เวลาไม่มากนักในการติดตาม โดยยึดหลักคล้ายๆหลัก 80/20 Focus ในสิ่งที่ใช่เป็นหลัก
5.หุ้น 10 เด้ง จากประสบการณ์ส่วนใหญ่จะอยู่ถาดที่ 1 (ธุรกิจที่มี DCA) ซึ่งจะเป็นหุ้นที่ Low Expectation
ถามว่าเป็นไปได้ยังไงที่จะเอาของมูลค่า 10 บาท มาขายในราคา 1 บาท
คำตอบ คือ มีความจริงบางอย่างที่เรามองเห็นแต่คนส่วนใหญ่ในตลาดมองไม่เห็น
อะไรก็ตามที่คุณถูกแต่คนส่วนใหญ่ผิด
human being non linear thinking โดยคนส่วนใหญ่นั้นจะมองย้อนหลังว่าถ้าธุรกิจโต10% 5 ปี ก็จะคิดว่าจะโตต่อไปในระดับที่เหมือนเดิม แต่อาจจะมีบางธุรกิจที่ 5 ปีที่ผ่านมาอาจจะไม่ค่อยโตเนื่องจากปัจจัยอะไรบางอย่าง แต่ในอีก 5 ปีถัดมาธุรกิจอาจจะโต 20% ก็เป็นไปได้
ซึ่งปัจจัยที่สำคัญอีกอย่างก็คือในบางครั้งเราอาจจะหาหุ้น 10 เด้งเจอ แต่ถ้าถือแค่ 5% ของ Port แล้วขายก็อาจจะไม่มีนัยสำคัญอะไรกับเราเท่าไร ซึ่งเราควรที่จะทำยังไงให้ซื้อได้ในสัดส่วนที่มากอย่างมีนัยสำคัญกับ Port ของ เราด้วยเช่น 30-50% ของ Port เป็นต้น โดยยกตัวอย่าง Warren Buffett เองนั้นครั้งหนึ่งก็เคยลงทุนอย่างมีนัยสำคัญกับหุ้นอย่างบริษัท GEICO (Car Insurance), AMEX (American Express)
6.Dhandho Investment
(ไพ่เก้าเก) ตาไหนที่ใช่จัดเต็ม, ตาไหนที่ไม่ใช่ให้ละเว้น
ลงทุนเฉพาะในตาที่มีโอกาสสูงๆ ละเว้นในตาที่ไม่ใช่
โดยถ้าลงทุนโดยใช้วิธีนี้ แล้วเจอหุ้น 10 เด้งก็น่าจะทำให้ฐานะเรามั่งมีได้ไม่ยาก
(ผู้ที่สนใจวิธีการลงทุนในแบบ Dhandho Investment สามารถอ่านความรู้เพิ่มเติมได้จากหนังสือ “นักลงทุนดันโด The Dhandho Investor ที่แปลและเรียบเรียงโดยพี่ web พรชัยครับ)
7.ต้องมองหา Turning Point ของธุรกิจให้เจอ โดย timing นั้นดู Turning point เป็นหลัก โดย monitor หุ้นหรือบริษัทที่อยู่ในตะกร้า รอจังหวะที่รายได้,กำไรของบริษัทเริ่มจะ take off
8.Jim Roger (Street Smarts) คนส่วนใหญ่มักจะสนใจหุ้นที่ขึ้นมา 3-4 เด้ง แต่นั่นไม่ใช่การลงทุนที่ดี จริงๆแล้วเราควรที่จะซื้อหรือลงทุนหุ้นก่อนที่หุ้นนั้นจะมีการขึ้น 3-4 เด้ง
ให้คิดไว้ว่าตอนที่เราซื้อหุ้นนั้นเป็น phase ที่เขาปล่อยของกันแล้วหรือเปล่า ซึ่งถ้าเราซื้อ ณ ราคานี้ (หุ้นขึ้นมา 3-4 เด้ง) ถ้าเราซื้อถูกหุ้นก็อาจจะขึ้นได้ต่ออีก 4-5 เด้ง แต่ถ้าเราพลาดหุ้นก็อาจจะลงได้มากถึง 50% หรือมากกว่า ซึ่งนั่นจะคุ้มกับความเสี่ยงหรือไม่
9.Case การลงทุนที่น่าสนใจในต่างประเทศ
9.1 Chinese Consumer Trend (แนวคิดคล้ายคลึงกับ P’ชาย มโนภาส)
โดยมองว่าในปัจจุบันยังเป็นแค่จุดเริ่มต้นของภูเขาน้ำแข็ง โดยตอนนี้นั้นยังมีคนจีนอีกหลายร้อยล้านคนที่มีโอกาสในการจับจ่ายในอนาคต ยกตัวอย่างสินค้าที่ได้รับประโยชน์จากการที่คนจีนไปซื้อสินค้าก็ได้แก่เครื่องสำอางเกาหลี Amore Pacific, หรือเครื่องสำอางของ Shisedo, บริษัท Unicharm หรืออย่างพวกวิตามินเสริมของ Blackmores เองราคาหุ้นก็พุ่งขึ้นไปถึง 5 เท่า
Case บริษัท Okamoto (สินค้าของบริษัทคือถุงยางอนามัย) บริษัทมี P/E 10 กว่าเท่า ในขณะที่ Product สามารถขึ้นราคาสินค้าได้จากการพัฒนาสินค้าให้มีความบางลง เช่นจากแต่ก่อน ขนาดหนา 0.05 mm.ทำให้บางลงเหลือ 0.02 mm.หรือ0.01 mm. แต่กลับทำให้สามารถขายได้ราคาแพงขึ้น โดยบริษัทใช้วัตถุดิบจาก Poly Urethane แล้วสามารถทำให้ผลิตออกมาได้บางได้ โดยที่ใช้แล้วไม่แตก โดยในช่วง 10 ปีย้อนหลังบริษัทไม่โต สืบเนื่องจากปริมาณการใช้ถุงยางในประเทศญี่ปุ่นที่ลดลงเรื่อยๆ เพิ่งจะมี Turning Point เมื่อประมาณ 3 ปีก่อน ที่คนจีนเริ่มนิยมใช้สินค้าของบริษัทเนื่องจากผลิตภัณฑ์ที่ขายในประเทศจีนไม่ค่อยได้มาตรฐาน ทำให้บริษัทกำไรเติบโตขึ้น จนทำให้ราคาหุ้นสะท้อนกับกำไรที่เพิ่มขึ้นตามมา
9.2 Case Looking Around
ลูกสาวที่เรียนอยู่ชั้นประถมศึกษา ไปเลือกซื้อกระเป๋าในร้าน Stationeries โดยลูกสาวเลือกซื้อกระเป๋า Smiggle ที่ใช้แล้วคล้ายๆเครื่องมือช่าง กระเป๋า Smiggle เป็นที่นิยมในเด็กๆ สินค้านี้เป็นของบริษัท ของบริษัท Premier Investment ที่อยู่ใน Australia โดยเมื่อเปิดดูงบบริษัทโต 46% สินค้าของบริษัทค่อยๆขยายไปในต่างประเทศเช่น Singapore เป็นต้น
หรือ case ที่ลูกสาวไปเจอสินค้าปากกาลบได้ของบริษัท Pentel ในขณะที่เดินอยู่ในร้าน Don Quixote ในประเทศญี่ปุ่นเป็นต้น
9.3 Case ประเทศ Sri Lanka พี่เชาว์มีโอกาสได้ไปประเทศนี้ในช่วงเดือนพ.ค.ที่ผ่านมา เนื่องจากเคยเป็นเมืองขึ้นของประเทศอังกฤษทำให้ได้รับอิทธิพลหลายๆอย่างจากอังกฤษ สำหรับกิจการที่น่าสนใจ ยกตัวอย่างเช่น Hemas Holding ซึ่งประกอบธุรกิจหลายอย่างโดยรายได้หลักๆมาจากการขายสินค้า Consumer เช่นยาสีฟัน และกิจการ Healthcare เช่นการผลิตยา,จัดจำหน่ายยาและธุรกิจโรงพยาบาล โดยกิจการมีรายได้และกำไรเพิ่มขึ้นอย่างน้อยปีละ 20% มาหลายปีต่อเนื่อง
หรือยกตัวอย่างเช่นบริษัท Ceylon Cold Stores ที่มีสินค้าคือน้ำขิงอัดลมEGB (Elephant House Gingle Beer) ที่ได้รับความนิยมในประเทศนี้เป็นอย่างสูง ซึ่งรายได้ของบริษัทก็เติบโตขึ้นเรื่อยๆ
9.4 Case ประเทศ Indonesia ประเทศที่มีประชากรหนาแน่น โดยปัจจุบันนั้นมีร้านสะดวกซื้อที่มีจำนวนสาขามากอยู่ 2 brand คือ Indomaret และ Alfamart ซึ่งทั้งคู่นั้นเป็นของพี่น้องกัน โดยปัจจุบัน Market Cap อยู่ที่หลัก 10000 ล้าน เพราะกำไรยังไม่ค่อยดีนัก ปัจจุบันมีสาขาประมาณ 10000 แห่ง กำไรไม่ค่อยโตมา 5 ปี ถ้ามองบริษัทก็มี DCA อยู่ เพียงแต่ Net Margin ยังไม่ค่อยดีนัก 2-3% ซึ่งถ้าสามารถปรับปรุง Net Margin ให้สูงขึ้นเช่น 5-6% ในอนาคตก็น่าจะทำให้กำไรของบริษัทเพิ่มขึ้นได้
10.สรุปสิ่งที่ฝากไว้
10.1 พยายาม List สิ่งที่คุณอยากได้,อยากมีทั้งหมด ยกตัวอย่างเช่นมีสุขภาพที่ดี,มีคนรัก จากนั้นจัด Priority ลำดับความสำคัญแล้วใช้เวลาส่วนใหญ่กับ 5 เรื่องแรกที่สำคัญที่สุด ชีวิตคนนั้นสั้นนัก เพราะฉะนั้นพยายาม Focus กับเรื่องที่สำคัญเท่านั้น
10.2 ทำทุกวันให้ดีที่สุด ก่อนนอนลองนั่งสมาธิสัก 5-10 นาทีแล้วนั่งคิดว่าวันนี้ชีวิตดีขึ้นไหม
Steve Jobs เคยกล่าวไว้ในอดีต
“You can’t connect the dots looking forward; you can only connect them looking backwards. So you have to trust that the dots will somehow connect in your future. You have to trust in something — your gut, destiny, life, karma, whatever. This approach has never let me down, and it has made all the difference in my life.”
สำหรับภาษาไทยนั้นผมขอยกคำอธิบายขยายความมาจาก https://pawoot.wordpress.com/2013/09/05 ... -the-dots/
มีคำพูดของ Steve Jobs ที่น่าประทับใจเป็นสิ่งที่สร้างแรงบันดาลใจ ให้เดินไปข้างหน้าตราบใดที่เรายังมีลมหายใจ เขาบอกไว้ว่า..“Connecting the Dot” ..ทุกสิ่งที่เราเรียนรู้และลงมือทำในวันนี้ แม้ไม่ก่อให้เกิดผลทันที แต่วันหนึ่งข้างหน้าจะเป็นประโยชน์ เราสามารถเรียนรู้จากอดีต แต่เราไม่สามารถคาดเดาอนาคตได้ ทุกสิ่งที่เราตั้งใจเรียนรู้และทำในวันนี้จะเป็นประโยชน์ในวันข้างหน้า…”
ชีวิตจึงเป็นการเชื่อมต่อจุดให้เป็นภาพ จุดคือการเรียนรู้ด้วยสมองซ้าย แล้วเก็บจุดเหล่านั้นไว้ใน Memory file ดังนั้นการได้เปิดโลก เปิดหูเปิดตา รับรู้อะไรใหม่ๆ ตลอดเวลา จึงเป็นการเพิ่มจุดให้กับตัวเรา เมื่อเวลาผ่านไปจุดเหล่านั้นจะมีเต็มไปหมดในสมองของเรา เมื่อถึงคราวที่จะหยิบนํามาใช้ อย่าเอามาใช้แบบเป็นจุดๆ ต้องเอาจุดเหล่านั้นมาร้อยเรียงวางลงบนผืนผ้า ถ้าวางเรียงจุดได้เก่ง ก็จะรู้ว่าจะต้องเรียงจุดไหนก่อนและจุดไหนอยู่หลัง “แต่หากคุณประสบการณ์น้อย จุดของคุณก็จะน้อยด้วย” สุดท้ายใช้สมองขวาเชื่อมโยงจุดเหล่านั้นให้เป็นภาพ ไม่ว่าจะเป็นดอกไม้ ภูเขา หรือภาพเครื่องบิน
ยิ่งจุดเยอะเท่าไร เราก็มีความสามารถในการสร้างภาพ สร้างเรื่องราว สร้างอะไรใหม่ๆ หรือแก้ปัญหาอะไรต่างๆ ได้ง่ายมากขึ้น เพราะเรามีจุดหรือมีประสบการณ์มาก
นอกจากนี้นั้นข้อดีอีกอย่างของการนั่งสมาธิ คือจะทำให้หลับลึก ตื่นมา Happy (สุขภาพดี) โดยที่นักลงทุนเก่งๆหลายท่านก็มักจะนั่งสมาธิเพื่อฝึกจิต
10.3 Fact vs Opinion จงมองไปที่ Fact ไม่ใช่ Opinion (เข้าใจทุกอย่างตามความเป็นจริง)
Ultimate Goal ทุกอย่างเป็นเช่นนั้นเอง
10.4 คนที่กลับจากmeeting วันนี้จะมีคนจำนวนมากที่อาจจะไม่ประสบความสำเร็จในด้านการลงทุน โดยก็จะมีคนล้มเหลว ล้มเลิกในระหว่างทางไปเรื่อยๆ ซึ่งถ้าเราเป็นคนหนึ่งที่เจอการลงทุนที่ล้มเหลว ขอให้เพื่อนๆนึกถึงตอนแรกว่าเรามาลงทุนไปเพื่ออะไร เช่นเราลงทุนเพื่อครอบครัว,ลูก เพื่อหากำลังใจและเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ
11.Case Study หุ้นในอดีต
ช่วงหลายปีก่อน สมัยทำงานอยู่แถวอโศกมีโอกาสได้ไปเดินแถวนั้น พบว่าผู้หญิงกำลังมุงกันเพื่อซื้อเครื่องสำอางหลายสิบคน ซึ่งหลังจากนั้นทำการศึกษาข้อมูลก็พบว่าบริษัทที่ขายเครื่องสำอางนั้นเป็นบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับเครื่องใช้ไฟฟ้าในอดีต หลังจากนั้นก็อ่านรายงานประจำปี และพยายามโทรไปถามที่บริษัทเพื่อสอบถามข้อมูลการดำเนินงานของธุรกิจและ เป้าของธุรกิจในปีต่อๆไป แล้วจากนั้นก็พยายามที่จะขอนัดเข้าไปคุยรายละเอียดในการดำเนินงานเพิ่มเติมซึ่ง( ตอนนั้นถือว่าเป็นคนแรกในรอบ 10 ปีที่เข้าไปคุยที่บริษัท) ทำให้เริ่มเข้าใจในตัวกิจการมากขึ้นว่าสินค้าเครื่องสำอางช่วงนั้นเริ่มขายดีมากทำให้ของเริ่มขาดตลาด และมีเป้าเติบโตหลัก 100% ในปีถัดไป โดยข้อมูล ณ ช่วงนั้นบริษัทมี Market cap หลัก 200-300 ล้านบาท จากนั้นไปลองหาข้อมูลเทียบกับบริษัทเรื่องสำอางอื่นๆที่อยู่นอกตลาด พบว่ามีบางบริษัทมียอดขายหลัก 10000 ล้านบาทและกำไรสุทธิ 2000 ล้านบาท ถ้าเทียบกับหลักของ Dhando Investment แล้วพบว่า แม้ความจริงยังมีความไม่แน่นอน แต่มีความเป็นไปได้สูง จึงตัดสินใจที่จะลงทุนในสัดส่วนที่มีนัยสำคัญของ Port ซึ่งหลังจากนั้นบริษัทก็มียอดขายเพิ่มขึ้นหลายเท่า
12.หุ้นต่างประเทศ
วิธีการไปเที่ยวให้ได้ประโยชน์ต่อการลงทุน
12.1 ก่อนที่จะไปเที่ยวให้พยายามศึกษาประวัติศาสตร์ประเทศนั้นๆก่อนจะไป เพื่อจะได้เข้าใจ background ของประเทศ
12.2 พยายามพูดคุยกับคนในพื้นที่ (Local) ให้เยอะ เพราะข้อมูลดีๆหลายๆอย่างเราอาจจะได้รับทราบจากการพูดคุย
12.3 ลองพยายามฝึกสังเกตในร้านสะดวกซื้อและ Supermarket ว่าสินค้าชนิดไหนที่ขายดีในประเทศนั้นๆ
ตัวอย่างจุดแข็งของประเทศต่างๆ 1.)New Zealand, Australia : Natural 2.)Sri Lanka มีประชากรค่อนข้างเยอะ 3.)Thailand : Travel
13.วิธีการลงทุนที่ประสิทธิภาพสูง แล้วใช้เวลาไม่เยอะก็คือเน้นเฉพาะที่เราเห็นธุรกิจได้ก็พอ
14.Valuation หุ้น ส่วนใหญ่กลับมาที่ basic พื้นฐานคือคิด P/E แบบง่ายๆ ส่วนหนึ่งคือเมื่อเราเข้าใจหลักการ DCF (Discount Cash Flow) แล้วจะพบว่า key สำคัญนั้นอยู่ที่การคาดการณ์ Assumption ต่างๆ บางทีแค่ Vary ตัวแปรบางตัวผลลัพธ์ที่ได้ก็แตกต่างกันได้มาก แต่การศึกษา DCF ก็อาจจะมีข้อดีตรงที่ทำให้เราเข้าใจได้ง่ายๆว่าตัวแปรไหนที่มีความสำคัญต่อกำไรของบริษัท เช่นการเพิ่มราคาขายของสินค้า 5% อาจจะส่งผลทำให้กำไรบางบริษัทเพิ่มได้ถึง 50% เป็นต้น
สำหรับชีวิตจริงนั้นอาจจะทำเป็นงบรายไตรมาส,AR,Supplier Monior ไปเรื่อยๆ โดยจัดเป็น Watching lit ที่สนใจตามจำนวนที่สนใจเช่นสัก 20 บริษัท โดยอาจจะ monitor เฉพาะ P/E ที่ไม่สูงมากเช่น 10-20 เท่า เพื่อรอหาจังหวะที่บริษัทจะเริ่ม take off
15.พยายามศึกษาหุ้นเยอะๆในอดีต หรือกรณีศึกษาของบริษัท โดยยกตัวอย่างตอนที่พี่เชาว์สมัยอยู่ที่ America นั้นก็อ่าน Wall Street Journal บ่อยๆ ซึ่งจะมีข้อมูลของบริษัทอย่าง P&G, GE ทำให้เข้าใจปัจจัยที่ประสบความสำเร็จของธุรกิจ
หรือบางครั้งก็ไปอ่านหุ้นย้อนหลังที่ประสบความสำเร็จในอดีต เป็น Case study จะทำให้รู้ว่ามีแค่ 10% ของบริษัทเท่านั้นที่ดี โดยยกตัวอย่างบริษัทที่เป็นผู้ชนะ (Winners) ได้แก่ Facebook,Microsoft, Pfizer หรือสินค้าบางอย่างที่มักมีขายตามสนามบิน เช่นเหล้า,บุหรี่เป็นต้น
16.บทเรียนที่อยากจะ share ความผิดพลาด
ในบางครั้งเราอาจจะเห็นโอกาสแต่ไม่ได้ไปคว้ามัน จากประสบการณ์ที่ผ่านมาบางครั้งเราอาจจะเคยถือหุ้นของบริษัทที่ประสบความสำเร็จแต่ระหว่างทางพยายามไปคิดแล้วเปลี่ยนตัว ซึ่ง ณ วันนั้นเราอาจตัดสินใจไม่ดี เพราะฉะนั้นกลับมามองเน้นที่ DCA และขยันขึ้นเพื่อให้เราสามารถมองไปยังอนาคตได้แม่นยำมากขึ้น (ต้องรู้แบบลึกซึ้งและใช้เวลาเยอะขึ้นเพื่อจะได้สามารถหา Turning point ของบริษัทได้)
17.ประเทศที่อยู่ใน Watching List ที่น่าสนใจ
17.1 ประเทศ Frontier Market (Ex.เคนยา, แทนซาเนีย, บอสวานา) มีโอกาสที่เศรษฐกิจจะโตในระดับ 10%
17.2 ประเทศ Asia ใต้ เช่น บังคลาเทศ,ศรีลังกา ประชากรทั้ง 2 ประเทศมีจำนวนมาก และพลเมืองเริ่มที่จะมีเงินมากขึ้น ในบางบริษัทอาจจะเจอหุ้น P/E ระดับ 20 เท่าแต่ Growth ในระดับ 30% ได้
17.3 Russia เป็นหนึ่งในประเทศที่หุ้น P/E ต่ำที่สุด โดยมีบางอุตสาหกรรมที่น่าสนใจ ยกตัวอย่างเช่นห้างค้าปลีกที่โตระดับ 15-25%
นอกจาก Russia แล้วประเทศอื่นๆที่มี P/E ไม่สูงนักก็มีอย่างเช่น Singapore, Taiwan, Hongkong เป็นต้น
17.4 Vietnam มีจุดเด่นในแง่เศรษฐกิจที่มีการเติบโตสูง ประเทศที่เปลี่ยนจาก Communist เป็นประชาธิปไตย เบื้องต้นยังหาบริษัทที่มี DCA ค่อนข้างยาก ในบางอุตสาหกรรมเช่นบริษัทยานั้นมีกระจายอยู่เต็มประเทศ
18.อีก 1 วิธีในการหาหุ้นของบริษัทที่มีโอกาสเติบโต ก็คือ Theme การลงทุนจากการศึกษาสินค้าในร้านสะดวกซื้อ เราอาจลองศึกษาหาหุ้นหรือบริษัทที่มีสินค้าขายอยู่ในร้านสะดวกซื้อ เพราะการที่สินค้าของบริษัทสามารถแทรกเข้าไปอยู่ใน shelf ของสินค้าในร้านสะดวกซื้อได้ ก็คล้ายๆกับการที่นางงามที่ผ่านการถูกคัดเลือกเบื้องต้นแล้ว เราอาจพบบริษัทหลายๆบริษัทที่ขายสินค้านั้นแล้วพบว่ามีโอกาสที่จะโตในระดับ 10-15% ซึ่งถ้าเราเลือกการลงทุนได้ดีก็มีโอกาสที่จะสามารถชนะ Index fund (ซึ่งถ้าสังเกตดีๆ จะพบหุ้น 10 เด้งในอดีตหลายๆตัวในนั้น)
หรือในร้าน Watson เองก็มีสินค้าที่น่าสนใจหลายๆตัวที่บริษัทอาจจะ Listed ในต่างประเทศเช่น Japan เป็นต้น
19.Key หลักในการลงทุนคือ ธุรกิจมันต้องแม่น โดยที่ควรจะโตอย่างน้อย 20% 5 ปีต่อเนื่อง
หรือบริษัทที่ Free Cash Flow ดีมาก แทบไม่มีหนี้ มีเงินสดเต็มไปหมด เพราะถ้ามีหนี้เต็มไปหมด เราดูบริษัทแล้วต้องลุ้นอยู่ตลอด
20.เมื่อไรจะถึง Recession หนักๆนั้น สามารถคาดเดาได้ยาก สิ่งที่เราจะทำได้คือหุ้นของบริษัทที่เราเลือกควรจะสามารถทนทานต่อสภาพแวดล้อมนั้นๆ ไม่ใช่พอเกิดวิกฤติขึ้นบริษัทก็ล้มหายตายจาก โดยปัจจัยที่อาจนำมาพิจารณาก็คือ กระแสเงินสดจากการดำเนินงานของบริษัทเป็นอย่างไรและปันผลของบริษัทในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเป็นยังไง
มองว่าโลกนี้ทั้งหมดนั้นเปรียบเสมือนบ่อปลา โดยที่น้ำก็เปรียบเสมือนกระแสเงิน ถ้าใส่น้ำ (กระแสเงิน ) เข้าไปปลาก็จะสดชื่น แต่ถ้ามีการเอาน้ำออก ปลาก็จะถูกจับได้ โดยที่โลกนี้นั้นสามารถ link หรือเชื่อมโยงกันได้หมด บางทีการกระทำบางอย่างที่เราเห็นอาจจะเป็นแค่การเล่นละครก็เป็นได้
21.คำแนะนำสำหรับผู้ที่เพิ่งเริ่มลงทุนในตลาดหุ้น
21.1 ถ้าเพิ่งเริ่มลงทุนจะขยันมากกว่าตอนนี้ 5-10 เท่า โดยจะพยายามอ่านข้อมูลที่เกี่ยวข้องวันละ 8-10 ชั่วโมง จริงอยู่ที่เริ่มลงทุนตอนนี้นั้นยากกว่าแต่ก่อน แต่ทุกปีมีโอกาสเสมอๆ อยู่ที่คุณขยันพอหรือเปล่า?
21.2 การได้รับข้อมูลหุ้นตาม SMS,Line,หนังสือพิมพ์ ให้ลองนึกถึงแรงจูงใจของคนกลุ่มดังกล่าวด้วย ว่าเขาให้ข้อมูลเราเพื่ออะไร ในบางครั้งเขาอาจจะให้ข้อมูลเราเพื่อที่จะซื้อหุ้นต่อจากเขาในราคาที่สูงกว่าหรือไม่?
หรืออย่างบทวิเคราะห์ที่เราได้รับ คนที่เขาเขียนบทวิเคราะห์อยู่เพื่ออะไร
ถ้าเราเข้าใจในแรงจูงใจดังกล่าวจะทำให้เรามีสติมากขึ้นเวลาที่เราได้รับข้อมูลดังกล่าว
22.วิธีการดูผู้บริหารว่าจริงใจหรือไม่จริงใจ
จริงๆแล้วการฟังผู้บริหารพูดนั้น บางทีผู้บริหารบางท่านนั้นก็อาจจะให้ข้อมูลที่ไม่ถูกได้อย่างแนบเนียน เพราะฉะนั้นเราเองก็ควรจะกลับไปมองที่ Fact เพราะร้อยละ 90 ของข้อมูลที่พูดนั้นมักจะเป็นข้อมูล Opinion ความเห็นของผู้บริหาร
โดยธรรมชาติของบริษัทส่วนใหญ่เวลาหุ้นต่ำๆมักจะไม่ค่อยเชิญให้เข้ามา company visit แต่พอหุ้นขึ้นมา 3-4 เด้ง แล้วถึงมักจะเชิญเข้าไปฟังหรือ visit
โดยบางครั้งนั้นเราอาจจะใช้วิธีถามข้อมูลจากผู้บริหารของบริษัทคู่แข่ง เพราะแม้จะเป็นแค่ Opinion แต่เราอาจจะได้ทราบจุดด้อยของบริษัทที่เราสนใจ
23.Trend ที่น่าสนใจในอนาคต
23.1 Technology ยกตัวอย่างเช่น Facebook (แม้จะกำไรโต 60% แต่หุ้นก็ P/E สูงมากระดับ 100 เท่า)
23.2 Electric Vehicle ,Robot, ยารักษาโรคเช่น ยารักษามะเร็ง, Vitamin
24.บริษัทของJack Ma เองอาจจะเป็นภัยคุกคามกับบริษัทพวกยี่ปั๊ว,ซาปั๊วในอนาคต รวมไปถึงหุ้นหรือบริษัทที่เกี่ยวข้องกับช่องทางจัดจำหน่าย (Channel) อาทิเช่น Walmart,Tesco แต่ในมุมกลับบริษัทของ Jack Ma เองอาจจะส่งผลดีต่อผู้ผลิตสินค้าเป็นชิ้นๆที่มี Product, Brand ที่ดี ที่อาจจะทำให้บริษัทเติบโตได้ทั่วโลกในระดับ 100 เท่าในช่วงเวลาไม่กี่ปี
(เป็นโอกาสของบริษัทที่ Product เจ๋ง,นวัตกรรมที่ดี)
25.ธุรกิจที่อาจได้รับผลกระทบจาก Disruptive Technology ในอนาคต อาทิเช่น รถยนต์,Bank, Petrochem,น้ำมัน
26.Full Time Investor นั้น ถ้าเป็นไปได้ควรจะมี Port อย่างน้อย 100 ล้าน เพราะถ้าได้ผลตอบแทน 3% ก็คือ 3 ล้านบาท ซึ่งน่าจะ cover กับรายจ่ายได้ ถ้ามี Port แค่ระดับ 20 ล้านนั้นยังค่อนข้างเสี่ยง เราควรจะเผื่อไว้เยอะๆดีกว่า ซึ่งจริงๆแล้วผลตอบแทนของการลงทุน ในช่วงที่ทำงานไปด้วยกับช่วงที่ออกมาลงทุนเต็มตัวก็ไม่ค่อยต่างกันสักเท่าไร
Lifestyle จริงๆแล้วก็ไม่ค่อยต่างกันนัก แถมบางทีทำงานเราอาจจะได้ไปเที่ยวกับเพื่อนรุ่นใกล้เคียงกันแต่ลาออกมาเราอาจจะต้องไปเที่ยวกับคนในวัยที่แตกต่างกัน เพราะคนในวัยทำงานส่วนใหญ่ก็จะไม่ค่อยว่างมาเที่ยวในวันธรรมดาเป็นต้น
27.ชีวิตมีหลายด้าน เช่นด้านร่างกาย, ด้านครอบครัว, การเงิน, การงาน เวลาเป็นสิ่งที่มีค่าเพราะฉะนั้นอย่าลืมเอาเวลาที่มีค่าไปทำในสิ่งอื่นๆที่สำคัญหรืออยากทำมากกว่าด้วยครับ
1.ประวัติโดยสังเขป ท่านอาจารย์นิเวศน์
จบปริญญาเอกด้านการเงินจาก University of Mississippi สหรัฐอเมริกา กลับมาจากอเมริกาตอนอายุ 32 ปี หลังจากกลับมา ทำงานอยู่ในสายงานทางด้านการเงิน ช่วงทำงานนั้นประหยัดอดออมทำให้ตอนออกจากสถาบันการเงินช่วงวิกฤติต้มยำกุ้งนั้นตอนอายุ 40 กว่าๆ มีเงินเก็บ 10 ล้านบาท ช่วงออกจากงานใหม่ๆนั้นก็ทดลองทำธุรกิจหลายอย่าง แต่ยังไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร สืบเนื่องจากช่วงนั้นมีแต่ความฮึกเหิม แต่ขาดความรู้ที่เกี่ยวข้องอาทิเช่น ขาดความรู้ด้าน Marketing
จนมาเริ่มลงทุนในตลาดหุ้น ช่วงแรกๆนั้นเน้นหุ้นที่มี Cash Flow ที่ดี มีปันผล คิดเป็นประมาณ 10% ของราคาหุ้น มีหนี้น้อยๆ และขายสินค้าให้ต่างประเทศเป็นต้น. P/E ประมาณ 5 เท่า โดยที่กำไรต่อหุ้นเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ถึงแม้จะเกิดวิกฤติ และช่วงนั้นลงทุนซื้อโดยไม่มีความคิดที่จะขาย (ช่วงนั้นศึกษาหาความรู้จากการอ่านหนังสือแนว value investing แล้วนำมาประยุกต์ใช้) พยายามลงทุนระยะยาวในบริษัทที่มั่นคงและกำไรเติบโต
2. พยายามฝึกสังเกตแล้วตั้งคำถาม อย่างอาจารย์เองเวลาไปบรรยายจะพยายามสังเกตเช่นคนฟังอายุประมาณเท่าไร และสนใจที่จะฟังไหม เหมือนกับเวลาอาจารย์เดินไปซื้อของในร้านขายของ ก็จะพยายามมองอย่างละเอียด เช่นพบเห็นสินค้าหนึ่งในร้านสะดวกซื้อ ก็จะคิดต่อว่าสินค้าชนิดนี้คนไทยจะกินเพิ่มขึ้นในอนาคตไหม สินค้าชนิดนี้เป็นสินค้า Niche Market หรือเปล่า ,สินค้าชนิดนี้ถ้าไปขายในต่างประเทศเช่นเมืองจีนจะเป็นอย่างไร คนจีนจะกินหรือเปล่า เทียบกับวัฒนธรรมคนจีนจะเป็นอย่างไรเป็นต้น
หรืออย่างเวลาได้รับของฝากจากเพื่อนๆ เช่นของฝากจากญี่ปุ่น ก็จะพยายามนึกว่าถ้าสินค้าชนิดนั้นมาผลิตในเมืองไทยและมาขายเยอะๆ สินค้านั้นคนไทยยังจะนิยมอยู่หรือไม่เป็นต้น
โดยสรุปของวิธีการคือ
See around-->Thinking around & Imagination-->Comparison
มองรอบๆอย่างละเอียด-->คิดและจินตนาการตาม-->ทำการเปรียบเทียบ
3. Case Study หุ้นในอดีต
บริษัทร้านสะดวกซื้อเมื่อ 10 ปีที่แล้ว เริ่มเติบโตอย่างรวดเร็ว (ในอดีตที่ซอยรางน้ำมีแค่ 1 สาขา) ช่วงนั้นมีสาขารวมประมาณ 3000-4000 สาขา เริ่มเป็นผู้ชนะที่เด็ดขาดในช่วงนั้นเนื่องจากคู่แข่งก็เริ่มลดจำนวนสาขาลง ,Market Size ของบริษัทประมาณ 30000 ล้าน มองว่าน้อยเกินไป ไม่สมศักดิ์ศรีของบริษัท มองว่ามีโอกาสที่บริษัทจะมี Size เป็น Market Cap ระดับต้นๆ ของประเทศ
โดยช่วงนั้นหุ้นตัวนี้ เองก็มีการเปิดสาขาเพิ่มตลอดแต่ไม่มีกำไรเนื่องจากมีการขาดทุนในธุรกิจที่ต่างประเทศ (จนช่วงหลังที่มีการขายธุรกิจที่ขาดทุนในต่างประเทศ และมีการขยายสาขาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆก็ทำให้กำไรเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนกลายมาเป็น 1 ในหุ้น 10 เด้งในที่สุด)
4. ระยะหลังๆ อาจารย์พยายามศึกษาเรื่องพฤติกรรมของมนุษย์ โดยยกตัวอย่างเช่น ประชากรสตรีส่วนใหญ่จะรักสวยรักงาม ทำให้อย่างบางประเทศ เช่น South Korea ประชากรส่วนใหญ่ที่มีกำลังทรัพย์ในการใช้จ่าย ก็นิยมที่จะทำศัลยกรรมเพื่อให้รูปลักษณ์ตัวเองสวยขึ้น ในระยะหลังๆ มีข้อมูลบางอย่างที่บ่งชี้ว่าพฤติกรรมมนุษย์นั้นถูกกำหนดมาจากยีนพฤติกรรม เช่นการเอาตัวรอดหรือการเผยแพร่เผ่าพันธุ์
5.DCA นั้นในระยะหลังๆโลกนั้นมีการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างเยอะ โดยก่อนหน้านี้นั้นก็มีธุรกิจหลายอย่างที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงทาง Technology ยกตัวอย่างเช่นธุรกิจร้านขายหนังสือ หรือธุรกิจร้านที่ขายสินค้าประเภท IT หรืออย่าง case ห้างWallmart ในอเมริกาที่ได้รับผลกระทบจากธุรกิจ E-Commerce เพราะฉะนั้นระยะหลังๆจะพยายามพิจารณาว่าธุรกิจนั้นๆมีโอกาสที่จะถูกทำลายจาก High Technology หรือ E-Commerce หรือไม่
ของที่ราคาแพงมากๆ/ของที่ราคาถูกมากๆ นั้นมีโอกาสที่จะปลอดภัยกว่า ยกตัวอย่างเช่น Luxury Brand Louis Vuitton, Airmade เป็นต้น
6.Growth นั้นเปรียบเสมือนน้ำหนัก Not all growth are equal
น้ำหนักเพิ่มอย่าไปคิดว่า Growth ถ้าเป็นอาจารย์นั้น Growth ต้องเป็นความสูง เพราะในบางครั้งกำไรของบริษัทอาจจะโตเนื่องจากเพราะอุตสาหกรรมกำลังขึ้น
เพราะฉะนั้นในบางทีเราควรจะไปซื้อหุ้นที่กำลังจะผอม -->รอจนอุตสาหกรรมเริ่มดี -->กำไร
สำหรับในหัวข้อนี้ผมขออนุญาตนำบทความ อ้วน-ผอม-สูง ที่ท่านอาจารย์เคยเขียนไว้มา share อีกครั้งเพื่อขยายความเพิ่มเติมครับ Credit : Web Stock2morrow.com
อ้วน - ผอม - สูง : ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
นักลงทุนจำนวนมากชอบลงทุนในบริษัทที่ ?โตเร็ว? โดยที่คำว่าโตเร็วนั้น ส่วนมากก็จะดูว่ากำไรโตแบบก้าวกระโดดจากปีก่อน หุ้นที่ ?โตเร็ว? เหล่านี้จำนวนมากก็จะมีราคาพุ่งขึ้นไปทำให้มูลค่าตลาดของหุ้นเพิ่มสูงขึ้น คนที่เข้าไปซื้อหุ้นที่ ?โตเร็ว? ก่อนคนอื่นก็มักจะได้กำไรไปเป็นกอบเป็นกำ แต่คนที่เข้าไปซื้อหุ้น ?โตเร็ว? หลังจากที่ราคาหุ้นขึ้นไปแล้วในหลาย ๆ ครั้งกลับขาดทุน บางครั้งขาดทุนอย่างหนัก เพราะหุ้น ?โตเร็ว? หลาย ๆ ตัวนั้น เมื่อเวลาผ่านไป กลับโตช้าลงมาก บางตัวกำไรถดถอยลง และราคาหุ้นก็ตกต่ำลง บริษัทมีมูลค่าหุ้นน้อยลงไปมาก คนที่เข้าไปลงทุนในหุ้น ?โตเร็ว? ที่ขาดทุนหนักนี้ บางทีอาจจะติด ?กับดัก? ของหุ้น ?โตเร็ว? ลองมาดูกันว่าเกิดอะไรขึ้น และอะไรคือ ?กับดัก?
สมมุติว่าเรามีข้อมูลน้ำหนักของคน ๆ หนึ่งซึ่งเราไม่เคยเห็นตัวเลยและไม่รู้ข้อมูลอย่างอื่นเลย เวลาต่อมา เราพบว่าน้ำหนักของคน ๆ นี้เพิ่มขึ้น จาก 50 เป็น 60 กิโลกรัม สิ่งที่เรามักจะบอกก็คือ เขาโตขึ้นหรือหนักขึ้น แต่การที่เขาโตขึ้นนั้น อาจจะเป็นเพราะเขาอ้วนขึ้นหรือสูงขึ้นก็ได้ ในอีกกรณีหนึ่ง ถ้าเวลาผ่านไป น้ำหนักเขาไม่เพิ่มขึ้นเลย สิ่งที่เราน่าจะสรุปก็คือ เขาไม่โตเลย แต่นี่อาจจะเป็นข้อสรุปที่ผิดก็ได้ เพราะเขาอาจจะสูงขึ้นแต่ผอมลงน้ำหนักจึงเท่าเดิม กรณีสุดท้ายก็คือ น้ำหนักเขาน้อยลง สิ่งที่เรามักจะคิดก็คือ เขาคงผอมลง คำตอบนี้คงจะถูกมากกว่าผิด แต่จริง ๆ แล้ว คนก็อาจจะเตี้ยลงได้ถ้าเขาเริ่มแก่ตัวลง
ผมยกเรื่องน้ำหนักของคนมาพูดนั้น เพื่อที่จะบอกว่า การโตนั้น มีทั้งแบบที่มี ?คุณภาพ? นั่นก็คือ เป็นการโตแบบ ?สูง? ซึ่งจะเป็นการโตแบบ ?ยั่งยืน? คือโตแล้วโตเลย น้ำหนักของคนที่สูงนั้น โดยทั่วไปก็มักจะหนักกว่าคนที่ตัวเตี้ยกว่า ดังนั้น ในระยะยาวแล้ว คนที่ตัวสูงก็จะมีน้ำหนักมากกว่าคนตัวเตี้ย คนสูง 180 เซนติเมตรนั้น โดยทั่วไปอย่างน้อยก็มักจะมีน้ำหนักไม่ต่ำกว่า 70-80 กิโลกรัม และในบางกรณีอาจจะหนักได้ถึง 100 กิโลกรัมขึ้นไป แต่คนที่สูงเพียง 160 เซนติเมตรนั้น ส่วนใหญ่ก็มักจะหนักประมาณ 5-60 กิโลกรัมโอกาสที่จะหนักถึง 70 กิโลกรัมก็จะน้อย แม้ว่าบางครั้งอาจจะหนักถึง 80 กิโลกรัมขึ้นไปก็มีแต่ก็ยากที่จะหนักเป็น 100 กิโลกรัม นั่นก็คือ คนตัวเตี้ยบางคนอาจจะอ้วนเป็นพิเศษในบางช่วงเวลา แต่สุดท้ายก็มักจะผอมลงและน้ำหนักกลับมาอยู่ในภาวะปกติ ข้อสรุปสั้น ๆ ก็คือ ศักยภาพในด้านของน้ำหนักของคนตัวเตี้ยนั้นมีจำกัด ดังนั้น ถ้าจะหาคนที่มีน้ำหนักมากขึ้นและมากขึ้นเรื่อย ๆ เราต้องมองหาคนที่จะสูงขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ใช่คนที่อ้วนขึ้นเรื่อย ๆ เพราะคนที่อ้วนขึ้นนั้น ส่วนใหญ่มักจะเกิดจากภาวะที่อาหารอุดมสมบูรณ์เป็นพิเศษ แต่ในอนาคตเมื่อเกิดภาวะขาดแคลน คน ๆ นั้นก็จะผอมลง
เมื่อเปรียบเทียบกับหุ้นหรือบริษัท หุ้นที่ ?อ้วน? ขึ้น ก็คือบริษัทที่มีกำไรมากขึ้น แต่กำไรนั้นเป็นกำไรที่เกิดขึ้นจากภาวะ ?อาหารอุดมสมบูรณ์? เช่น ราคาผลิตภัณฑ์ปรับตัวสูงขึ้นโดยที่ต้นทุนอาจจะปรับตัวน้อยกว่า ทำให้กำไรดีขึ้นมาก แต่ปริมาณหรือหน่วยการผลิตหรือการขายอาจจะเท่าเดิม ลักษณะแบบนี้ ถ้าราคาสินค้าปรับตัวกลับลงมาเท่าเดิมในปีต่อมา กำไรก็จะถดถอยลงได้ซึ่งก็จะเหมือนกับว่า บริษัท ?ผอมลง? ดังนั้น หุ้นที่โตขึ้นเพราะ ?อ้วน? ในที่สุดก็อาจจะหดตัวลงเพราะ ?ผอม? คนที่ลงทุนตอนที่บริษัท ?ผอม? และขายตอนที่บริษัท ?อ้วน? จะได้กำไรมาก ตรงกันข้าม คนที่ลงทุนตอนบริษัท ?อ้วน? มักจะขาดทุนเพราะในไม่ช้าบริษัทก็มักจะ ?ผอม? ลง และนี่ก็คือ กับดักของหุ้นที่ ?โตแบบอ้วน?
บริษัทที่จะเติบโตอย่างแท้จริงนั้น จะต้องเติบโตแบบ ?สูง? นี่ก็คือ การที่ยอดขายและกำไรของบริษัทจะต้องเพิ่มขึ้นทั้งด้านของเม็ดเงินและจำนวนหน่วยการขาย นอกจากนั้น การเติบโตนั้น จะต้องเป็นการเติบโตที่ ?ยั่งยืน? ต่อเนื่องเป็นเวลาหลาย ๆ ปี ประเด็นสำคัญก็คือ ยอดขายที่เกิดขึ้นนั้น แต่ละปีจะต้องเพิ่มขึ้นไม่ลดลง โดยที่ปัจจัยภายนอกจะต้องมีอิทธิพลค่อนข้างน้อยมาก ข้อที่ควรสังเกตก็คือ การเติบโตแบบ ?สูง? นั้น มักจะไม่เร็วมาก การ ?สูง? ขึ้นปีละ 10 % ถือว่าอยู่ในขั้นใช้ได้ การสูงขึ้นปีละ 15% นั้นถือว่าค่อนข้างดีมาก และการสูงถึงปีละ 20% ในระยะยาวนั้น แทบเป็นไปไม่ได้สำหรับบริษัทในประเทศไทย ส่วนการ ?อ้วน? นั้น เกิดขึ้นได้ง่ายกว่ามากและหลายบริษัทอาจจะอ้วนได้เป็นหลายสิบเปอร์เซ็นต์ในเวลาสั้น ๆ แต่ตราบใดที่บริษัทไม่ ?สูง? ขึ้น โอกาสที่บริษัทจะหดตัวลงก็เกิดขึ้นได้เสมอ
ก่อนที่จะจบเรื่องของหุ้นโตเร็วนี้ ผมคงต้องเพิ่มเติมประเด็นสำคัญที่จะต้องดูอีกอย่างน้อย 2-3 เรื่องก็คือ การเติบโตทั้งหมดที่พูดถึงนี้ ต้องเป็นการเติบโตจากภายในบริษัทเอง นั่นก็คือ โตขึ้นจากเงินกำไรสะสมของบริษัท ไม่ใช่เป็นการที่บริษัทเพิ่มทุนหรือกู้เงินเข้ามามากกว่าปกติเพื่อ ?เบ่ง? ให้บริษัทโตขึ้น นอกจากนั้น การเติบโตของบริษัทจะต้องให้ผลกำไรที่คุ้มค่ากับเม็ดเงินที่ลงทุน นั่นก็คือ กำไรต่อส่วนของผู้ถือหุ้นต้องอยู่ในระดับอย่างน้อย 10- 15% ต่อปีขึ้นไป มิฉะนั้นแล้ว การเติบโตก็จะไม่เป็นประโยชน์กับผู้ถือหุ้น
ในฐานะของ Value Investor ถ้าเราจะไม่ติดกับดักของหุ้นโตเร็ว เราจะต้องสามารถแยกแยะได้ว่า บริษัทที่เรากำลังวิเคราะห์อยู่นั้น กำลังจะโตหรือไม่และเป็นการโตแบบอ้วนหรือเป็นการโตแบบสูง หรือทั้งสูงทั้งอ้วนและสูงเท่าไรอ้วนเท่าไร การให้มูลค่าหรือให้คุณค่าของการเติบโตนั้นก็เป็นเรื่องที่สำคัญมากเช่นกัน เราควรให้คุณค่าแก่ความสูงมากกว่าความอ้วนมาก เพราะความสูงเป็นสิ่งที่จะอยู่ต่อไป แต่ความอ้วนนั้น เป็นสิ่งที่มักจะเกิดชั่วคราว ดังนั้น คุณค่าที่เราให้ควรจะน้อย และนี่ก็คือเรื่องของค่า PE ของหุ้น นั่นหมายความว่า หุ้นที่โตเพราะอ้วนนั้น ค่า PE อาจจะให้ได้ไม่เกิน 5-10 เท่า ในขณะที่ค่า PE ของหุ้นที่โตเพราะสูงอาจจะให้ค่า PE ได้ถึง 10-15 เท่า เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องของศิลปะของนักลงทุนแต่ละคน ข้อเตือนใจสุดท้ายของผมก็คือ จงระวังหุ้นอ้วน
7. สำหรับธุรกิจไหนที่โตจริง (True Growth) ยอดขายมักจะไม่ค่อยลง ส่วนใหญ่จะโตขึ้นเรื่อยๆ โดยในอดีตอาจารย์เองก็เคยซื้อหุ้นของบริษัทหนึ่ง แล้วทำการ monitor ผลการดำเนินงาน ยอดขายและกำไรราย Quarter ตามปรากฏว่าแทบทุก Q ของบริษัทนั้นโตขึ้นตลอด (โดยใน worst Q นั้นยังโตประมาณ 3%) ซึ่งโอกาสที่หุ้นจะลงก็ต้องเกิด Panic เป็นหลัก
8.เนื่องจากอาจารย์เกิดมาจาก Survival Instinct สัญชาตญาณการอยู่รอด จึงทำให้อาจารย์ค่อนข้างเน้นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความไม่แน่นอน Un-certainty ค่อนข้างมาก โดยถ้าเป็นธุรกิจที่มีความเสี่ยงหรือความไม่แน่นอนสูง ท่านอาจารย์ก็เลือกที่จะไม่เลือกลงทุน โดยถือคติ โตช้าหน่อยไม่เป็นไรแต่ปลอดภัย ซึ่งวิธีการนี้นั้นในสายตาของนักลงทุนบางท่านอาจจะดูเหมือนช้า
9.พยายามใส่เงินเยอะๆ ในแง่ Wealth ของเราในการลงทุน โดยลงทุนแบบมั่นใจเพื่อหวังผลตอบแทนที่ค่อนข้างสูง ในหุ้นไม่มากบริษัทจนเกินไป
10.ในปัจจุบันนั้นตลาดหุ้นบ้านเรานั้นราคาหุ้นหลายๆบริษัทก็ค่อนข้างสูง (P/E ค่อนข้างสูง) ทำให้ถ้าเราอยากที่จะได้ผลตอบแทนที่ดี (อยากอ้วน) ก็ต้องขยับขยายไปลงทุนในต่างประเทศ เพราะอาหารอุดมสมบูรณ์ ทำให้สัตว์ทุกชนิดสามารถโตได้หมด (เศรษฐกิจในบางประเทศโตปีละ 5-7% เทียบกับในไทยที่โตเพียงแค่ปีละ 2-3% ทำให้มีบริษัทโตค่อนข้างเยอะ)
11.ภาพใหญ่ (Macro) ของประเทศเป็นเรื่องสำคัญมาก ยกตัวอย่างเช่นประเทศ Japan การลงทุนแบบ Bottom up ค่อนข้างยากลำบาก (ผ่านเวลาไป20ปี แต่ตลาดหุ้นตกไปถึง 50%) มีปันผลเฉลี่ยแค่ 1% ในขณะที่ถ้าเราไปหาการลงทุนในประเทศอื่นๆที่ดีๆ เราอาจจะได้return เฉลี่ยปีละ 20-30%
12.วิเคราะห์ตัวเราเอง และวิเคราะห์เรื่องอื่นๆ
บทความของท่านอาจารย์นิเวศน์ เรื่องนักเลือก ที่มา http://www.settrade.com/blog/nivate/2016/08/29/1787
ในความหมายคือเราต้องวิเคราะห์ตัวเราเอง-->เพื่อขีดเส้นทาง-->เลือกจะสู้ใน area ไหน
เช่นเราอาจขาดปัจจัยบางอย่างที่จะ success อย่างนักสู้ เราเองก็อาจจะเลือกที่จะเป็นนักเลือกโดยเกาะไปนักสู้ที่เก่งๆ อย่างเช่นการเลือกคู่ชีวิตเป็นต้น
การที่เราพยายามสู้ใน field ที่เสียเปรียบ พยายามเท่าไรก็ไม่ work บางทีการที่จะประสบความสำเร็จเราอาจจะไม่ต้องพยายามเยอะจนเกินไปเพราะเรารู้สึกสนุกที่จะทำกับมัน walking around,looking around ไปเรื่อยๆแล้ววิเคราะห์โดยจากนั้นก็รอดูผลการดำเนินงานของบริษัทที่เราเลือก
13.ปัจจุบันเป็น Trend Technology ซึ่ง Technology อาจจะทำให้ DCA พังทลายลงได้
DCA-->TCA (Temporary Competitive Advantage) โดยยกตัวอย่างเช่นบางอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับหนังสือ, Media,TV เป็นต้น
14.หุ้นดีหรือหุ้น sexyนั้น อาจจะเป็นสถานการณ์ชั่วคราว ช่วงยุคทองของนักลงทุนที่ผ่านมา อาจจะทำให้นักลงทุนหลายๆท่านเข้าใจผิดความเป็นจริง ยกตัวอย่างเช่นในปี 1990-2000 ในอเมริกาที่ผ่านมา บางคนมีเงินเป็นหลัก 1000 ล้านทั้งๆที่ดูแล้วก็ไม่ได้มีคุณสมบัติพิเศษแต่อย่างใด ซึ่ง ณ ตอนนั้น Peter Lynch เองก็มองว่าเป็นสถานการณ์ชั่วคราว สุดท้ายราคาหุ้นของบางบริษัทก็ลงไปถึง 80-90%
ถ้าลองศึกษาประวัติศาสตร์ดู จะพบว่าประวัติศาสตร์ทรงพลังมาก อย่าไปมองหาเหตุผลมาก
บางทีการที่ได้ผลตอบแทนเฉลี่ย 10% ข้างหน้าก็อาจจะพอใจแล้ว
(ในปัจจุบันอาจารย์เริ่มถือเงินสดมากขึ้น โดยมีเป้าหมายในการลงทุนคือ 1.)อย่าขาดทุน 2.)ยังสามารถเอาชนะตลาดได้)
ผมขออนุญาตเรียบเรียงเนื้อหาใหม่ตามที่ผมเข้าใจครับ รวมไปถึงอาจจะอธิบายเพิ่มเติมในบางจุดเพื่อให้เพื่อนๆท่านอื่นๆเข้าใจเนื้อหาได้ง่ายขึ้นครับ ซึ่งลำดับของเนื้อหาอาจจะไม่ตรงกับที่ทางวิทยากรได้พูด ในกรณีที่อาจจะไม่ตรงกับเนื้อหาที่วิทยากรต้องการสื่อสาร ผมขอความกรุณาเพื่อนๆท่านอื่นที่ไปฟังในวันดังกล่าวหรือท่านวิทยากรช่วยแนะนำเพิ่มเติมหรือแก้ไขให้ด้วยครับ
(ขอความกรุณาเพื่อนๆที่นำข้อมูลไปใช้ต่อกรุณาศึกษาและกลั่นกรองข้อมูลด้วยตนเองอย่างละเอียดก่อนด้วยครับ และ case กรณีศึกษาหลายๆcase ที่เขียนอธิบายนั้นเป็นเหตุการณ์ในอดีตซึ่งอาจจะไม่สามารถนำมาใช้ลงทุนในสภาวะปัจจุบันได้)
นอกจากข้อมูลข้างบนแล้วผมขออนุญาต share สรุปเนื้อหาที่เคยจดบันทึกไว้ในอดีตรวมไปถึงบทความของพี่ที่รู้จักบางท่านที่ share ไว้ครับเผื่ออาจจะเป็นประโยชน์สำหรับเพื่อนๆนักลงทุนท่านอื่นๆครับ
Seminar ความรู้หลักสูตร VI
สรุปความรู้หลักสูตรVI รุ่น4 (Part1 แนวคิดการลงทุน อ.นิเวศน์) (อ.นิเวศน์)
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f ... 6#p1576846
สรุปความรู้หลักสูตรVI รุ่น4 (Part2 วิเคราะห์อุตสาหกรรม P'IH) (P’Invisible Hand)
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f ... 8#p1578288
สรุปความรู้หลักสูตรVIรุ่น4(Part3วิเคราะห์งบการเงิน Pฉัตรชัย) (P’Chatchai)
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f ... 2#p1579422
Seminar ให้ความรู้ในด้านการลงทุน
สรุปความรู้งาน วิศวกรลงทุนหุ้นคุณค่า 8 Oct 2015 (อ.นิเวศน์,P’พีรนาถ, P’Mario)
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f ... 8#p1693718
สรุปความรู้จากการร่วมงาน 10ปี Thaivi 60 ปีปูชนียาจารย์ 19/8/2013 (อ.นิเวศน์, P’หมอพงษ์ศักดิ์,P’ประชา)
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f ... 9#p1563549
สรุปความรู้ที่ได้จากงานเดินหมากลงทุนในหุ้นกับสุมาอี้ 25 ม.ค.55 (P’สุมาอี้)
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f ... 89#p955189
สรุปความรู้สัมมนา Super Exclusive K.Chinn,hong,moomoo 28 Jan 12 (P’Chinn,N’Hongvalue,P’Moomoo)
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f ... 20#p957320
K.hongvalue ถาม K.chinn ตอบ (From blog K.hongvalue) (N’Hongvalue,P’Chinn)
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f ... 83#p952883
สรุปความรู้ที่ได้จากงานเสวนาของ K.Hongvalue วันที่ 14 ธ.ค.54 (N’Hongvalue)
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f ... 59#p942359
สรุปความรู้สัมมนา Money Talk at SET (21 Jul 13) (อ.นิเวศน์,P’ดนัย,P’วสันต์,ดร.วิพุธ,P’วรวรรณ,P’วรวุฒิ)
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f ... 1#p1555251
Meeting VI ตามจังหวัดหรือภูมิภาคต่างๆ
สรุปความรู้จากงาน Meeting VI ชลบุรีครั้งที่ 7 (18/5/57) (P’ลูกอีสาน,P’Sai,P’Chaiyut)
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f ... 2#p1621362
สรุปความรู้งาน meeting VI ชลบุรีครั้งที่ 10 (29 พ.ค.59) (P’Chaiyut,P’Ake Thamrong, P’Sai, P’Investment Biker, P’Champ_st)
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f ... 8#p1725418
สรุปความรู้งาน meeting VI เหนือตอนล่าง Jul 2015 (P’ลูกอีสาน)
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f ... 5#p1684785
สรุปความรู้จากงาน Meeting VI ภาคอีสานครั้งที่ 3 ขอนแก่น(21/9/2013) (P’ลูกอีสาน,P’อาร์ท)
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f ... 4#p1573024
สรุปความรู้ที่ได้จากงาน VI meeting ภาคใต้ Q3 54 (P’ลูกอีสาน,P’Ty,P’Worapong)
http://board.thaivi.org/search.php?st=0 ... u&start=30
สรุปความรู้จากงาน Meeting VI ภาคใต้ Q2/56 (P’ลูกอีสาน,P’Ty,P’Worapong)
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f ... 0#p1567630
ขอขอบคุณวิทยากรทุกๆท่าน (ท่านอาจารย์นิเวศน์, พี่ชาย มโนภาส, พี่เชาว์, พี่เอก) ที่กรุณาให้ความรู้คำแนะนำในด้านการลงทุนแก่ผมและนักลงทุนท่านอื่นๆเป็นอย่างสูงครับ
ขอขอบคุณทีมงานทุกท่านครับ พี่บอล,พี่กานต์,พี่ Eaw, พี่ไม้ฟืน,พี่ theenuch และพี่ๆทีมงานท่านอื่นๆครับ (ผมอาจจะจำหน้าได้ไม่ครบทุกท่านในวันงาน)
ขอขอบคุณทาง web Thaivi ที่ช่วยจัดงานในครั้งนี้ที่ช่วยจัดงานดีๆที่ให้ความรู้กับผมและเพื่อนๆนักลงทุนท่านอื่นๆ ผมได้ความรู้จาก websit แห่งนี้จากการอ่านwebboard และบทความเก่าๆช่วยทำให้มีความรู้ในด้านการลงทุนและweb แห่งนี้ทำให้ผมได้รู้จักกัลยาณมิตรอีกหลายๆท่านซึ่งช่วยให้ผมมีความรู้ในด้านการลงทุนที่ดีขึ้น
สุดท้ายนี้ขออนุญาตขอบคุณเพื่อนๆพี่ท่านอื่นที่ทำเพื่อ web thaivi ด้วยครับ ยกตัวอย่างเช่น P’ i-salmon,P’ Amornkowa ผมและเพื่อนๆได้รับประโยชน์จากความรู้ที่พวกพี่ถ่ายทอดให้ครับ
ขอบคุณทุกท่านครับ
earthcu/11 Sep 16
(เนื่องจากมีเวลาไม่มากนักผมขออนุญาตสรุปเฉพาะเนื้อหาช่วงเช้าเป็นหลักและช่วงถามตอบตอนท้ายก่อนครับ ส่วนเนื้อหาในช่วงของคุณเอก CEO Snailwhite ขออนุญาตพักไว้ก่อนครับถ้ามีเวลาจะนำมาสรุปเพิ่มเติมให้อีกทีครับ)
งานสังสรรค์ VI ประจำปี 2559 ครั้งที่ 2
“มองหาไอเดียการลงทุนผ่านชีวิตประจำวัน (Investment by Looking Around)”
Agenda
9:30 – 9:45 น. คุณชาย มโนภาส_นายกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย) กล่าวต้อนรับ
9:45 – 12:00 น. สัมภาษณ์หัวข้อ “เที่ยวยังไงให้ได้ตังค์”
โดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร และ คุณเฉลิมเดช ลีวงศ์เจริญ (Investment Biker)
13:30 - 16:00 น. เสวนาหัวข้อ “กลยุทธ์สร้างแบรนด์พันล้าน ผ่านนักท่องเที่ยวจีน”
โดย คุณเอก - สราวุฒิ พรพัฒนารักษ์ CEO
(บริษัท ดู เดย์ ดรีม จำกัด) (ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ SNAILWHITE)
P’ชาย มโนภาสเกริ่นนำ
1.Trend ที่สำคัญอย่างหนึ่งในปัจจุบันคือ นักท่องเที่ยวจากประเทศจีน โดยในปีที่ผ่านมาประเทศไทยมีนักท่องเที่ยว 30 ล้านคน ซึ่งมาจากจีนประมาณ 8 ล้านคน โดยในปีนี้ตั้งเป้านักท่องเที่ยว 10 ล้านคน
โดยในปี 2015 นั้นมีนักท่องเที่ยวเดินทางออกจากประเทศจีน 120 ล้านคนซึ่งคิดเป็นประมาณ 10% ของประชากรชาวจีน ซึ่งในอนาคตนั้นก็มีโอกาสที่จะมีนักท่องเที่ยวจากประเทศจีนเพิ่มขึ้นจากประชากรที่มีรายได้เพิ่มขึ้น โดยลองเปรียบเทียบกับประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างประเทศ America ที่มีประชากรในระดับ Middle Class อยู่ประมาณ 50% ของจำนวนประชากร
2.การที่เราสามารถสังเกตอะไรได้ก่อนที่ตลาดหุ้นจะเห็นนั้น สามารถสร้างความได้เปรียบ ในบางกรณีนั้นการที่เราสังเกตเห็นอะไรเล็กๆน้อยๆ ก็อาจจะสามารถเปลี่ยนสถานะของเราให้มั่งคั่งขึ้นได้ ยกตัวอย่างเช่น ใน 1-2 ปีที่ผ่านมา Trend ที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวนั้น มีกล้องบางชนิดที่เริ่มได้รับความนิยม ทำให้บริษัทที่เน้นขายสินค้าประเภทนี้สามารถขายสินค้าได้กำไรในช่วงที่ผ่านมาค่อนข้างดีเป็นต้น
3.ข้อมูลเกี่ยวกับ Infrastructure ในประเทศไทย สนามบินสุวรรณภูมิ Phase 2 สามารถรองรับนักท่องเที่ยวเพิ่มจาก 45-->60 ล้านคน และในปี 2568 Phase 3 จะรองรับได้ถึง 95 ล้านคน ในขณะที่ Vietnam นั้นสนามบิน Longton นั้นก็มีแผนขยายเพื่อรองรับนักเดินทางเป็น 95-100 ล้านคน ใน 10-15 ปีข้างหน้า
สัมภาษณ์หัวข้อ “เที่ยวยังไงให้ได้ตังค์”
โดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร และ คุณเฉลิมเดช ลีวงศ์เจริญ (Investment Biker)
1.ประวัติโดยสังเขป พี่เชาว์ Investment Biker
พื้นเพเป็นคนระยอง ที่บ้านทำเกี่ยวกับสวนยาง จบการศึกษาขั้นมัธยมจากเตรียมอุดมศึกษาจากนั้นจบปริญญาตรีวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และจบ MBA ที่ USA ทำงานที่สหรัฐอเมริกาเป็นเวลา 10 ปีก่อนที่จะกลับมาประเทศไทยในปี 2005 ทำงานในสายงาน Investment Banking 5 ปี ก่อนที่จะออกมาลงทุนเต็มเวลา 3 ปี ผ่านการสอบ CFA ระดับ 3 ช่วงเริ่มต้นลงทุนมีโอกาสได้อ่านหนังสือท่านอาจารย์นิเวศน์ทำให้เริ่มเข้าใจเกี่ยวกับการลงทุนได้ดีขึ้น
ลงทุนมาครบ 11 ปี ชนะตลาด 10 ปีจาก 11 ปี โดยเริ่มลงทุนจากเงินเก็บในการทำงานที่อเมริกาและเพิ่มเติมเงินลงทุนจากการทำงานที่ไทย
2.อะไรที่ทำให้คนส่วนน้อยในตลาดลงทุนประสบความสำเร็จ
2.1 คนส่วนใหญ่ประมาณ 90% นั้นมักจะมองกระจกหลัง (มองอดีต) โดยอาจจะฟัง Opp Day,อ่านรายงานประจำปี, อ่านงบการเงิน, Company visit มีเพียงคนส่วนน้อยในตลาดที่พยายามจะมองไปข้างหน้าหรือมองไปยังอนาคต (คนที่เดาอนาคตออก คือคนที่จะประสบความสำเร็จ)
2.2 Fact vs Opinion
ความจริงคือความจริง, ความเห็นคือความจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้
โดยส่วนใหญ่นั้นหนังสือพิมพ์,Opp day ข้อมูล 90% คือความเห็น เราควรที่จะต้องแยกให้ออกระหว่างความจริงกับความเห็น ยกตัวอย่างเช่น Market efficient คือ Opinion และพยายามลงทุนโดยที่มี Bias ให้น้อย
3.วิธีการลงทุนที่ดีที่สุด คือหาอนาคตให้เจอ โดยอนาคตนั้นวิธีการหาคือหาสิ่งที่อยู่รอบตัวเรา เปรียบเปรยเหมือนดังเช่นในปัจจุบันเพื่อนๆหลายคนตามหา pokemon go ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะอยู่ตามร้านสะดวกซื้อหรือตามแหล่งชุมชนต่างๆเช่นห้างสรรพสินค้า ชีวิตจริงนั้นการตามหาหุ้น 10 เด้งนั้น ก็คล้ายคลึงกัน โดยยกตัวอย่างหุ้น 10 เด้งในอดีตนั้นก็มีหุ้นหลายๆตัวที่มาจากร้านหรือห้างสรรพสินค้าที่เราใช้บริการนั่นเอง โดยหน้าที่ของเราก็คือการหาบริษัทผู้ชนะหรือผู้ที่เติบโตต่อในอนาคต
4.ตระกร้า 3 ถาดของP’เชาว์
4.1 DCA (Durability competitive advantage) หาธุรกิจที่มีป้อมปราการ ,หาธุรกิจที่แน่นอน
ยกตัวอย่างของบริษัทที่มี DCA เช่น 1.)Top of the mind อยู่ในหัวใจคนซื้อเป็นลำดับแรก เช่นหมากฝรั่ง Wrigley,แปรงสีฟัน Oral B เป็นต้น 2.)มีความยาก เช่นธุรกิจยา มีสิทธิบัตร (Patent), ธุรกิจ Software 3.)Network Effect ยกตัวอย่างเช่น Google, Facebook, Instagram, Wechat 4.)ธุรกิจมีขนาดใหญ่และทำให้คู่แข่งเข้ามาได้ยาก
DCA นั้นสามารถวัดได้ที่ Pricing Power (ความสามารถในการตั้งราคาสินค้า) เช่น เครื่องดื่มบางประเภทในไทยนั้นแข่งกันตัดราคาสินค้า ทำให้มองว่าธุรกิจนั้นไม่มี DCA เป็นต้น
โดยหุ้นในถาดนี้นั้น อาจจะมีจำนวนไม่เยอะแค่ 10-20 ตัวในตลาดหลักทรัพย์
4.2 Growth เป็น Trend ที่ธุรกิจกำลังจะมาใน 3-5 ปีข้างหน้า (โดยใน 5 ปีข้างหน้าธุรกิจไหนจะโตได้เร็ว) ซึ่งอาจจะต้องกล้าได้กล้าเสีย โดยต้อง Bet กับโอกาส โดยประเด็นที่สำคัญคืออย่าซื้อหุ้นในราคาที่แพงเกินไป โดย Target คือ Top line Revenue (รายได้) โต 15% เป็นอย่างน้อย ซึ่งในบางที EPS (Earning Per Share) อาจจะโตถึง 40-50%
4.3 DCA+Growth ซึ่งหุ้นมักจะแพงเพราะคนส่วนใหญ่ในตลาดหุ้นมักจะทราบ
โดยปกติจะมีหุ้นที่เข้าถาด ทั้งหมด 10% จากหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ทั้งหมด ซึ่งวิธีการนี้จะทำให้ลงทุนมีประสิทธิภาพสูง ใช้เวลาไม่มากนักในการติดตาม โดยยึดหลักคล้ายๆหลัก 80/20 Focus ในสิ่งที่ใช่เป็นหลัก
5.หุ้น 10 เด้ง จากประสบการณ์ส่วนใหญ่จะอยู่ถาดที่ 1 (ธุรกิจที่มี DCA) ซึ่งจะเป็นหุ้นที่ Low Expectation
ถามว่าเป็นไปได้ยังไงที่จะเอาของมูลค่า 10 บาท มาขายในราคา 1 บาท
คำตอบ คือ มีความจริงบางอย่างที่เรามองเห็นแต่คนส่วนใหญ่ในตลาดมองไม่เห็น
อะไรก็ตามที่คุณถูกแต่คนส่วนใหญ่ผิด
human being non linear thinking โดยคนส่วนใหญ่นั้นจะมองย้อนหลังว่าถ้าธุรกิจโต10% 5 ปี ก็จะคิดว่าจะโตต่อไปในระดับที่เหมือนเดิม แต่อาจจะมีบางธุรกิจที่ 5 ปีที่ผ่านมาอาจจะไม่ค่อยโตเนื่องจากปัจจัยอะไรบางอย่าง แต่ในอีก 5 ปีถัดมาธุรกิจอาจจะโต 20% ก็เป็นไปได้
ซึ่งปัจจัยที่สำคัญอีกอย่างก็คือในบางครั้งเราอาจจะหาหุ้น 10 เด้งเจอ แต่ถ้าถือแค่ 5% ของ Port แล้วขายก็อาจจะไม่มีนัยสำคัญอะไรกับเราเท่าไร ซึ่งเราควรที่จะทำยังไงให้ซื้อได้ในสัดส่วนที่มากอย่างมีนัยสำคัญกับ Port ของ เราด้วยเช่น 30-50% ของ Port เป็นต้น โดยยกตัวอย่าง Warren Buffett เองนั้นครั้งหนึ่งก็เคยลงทุนอย่างมีนัยสำคัญกับหุ้นอย่างบริษัท GEICO (Car Insurance), AMEX (American Express)
6.Dhandho Investment
(ไพ่เก้าเก) ตาไหนที่ใช่จัดเต็ม, ตาไหนที่ไม่ใช่ให้ละเว้น
ลงทุนเฉพาะในตาที่มีโอกาสสูงๆ ละเว้นในตาที่ไม่ใช่
โดยถ้าลงทุนโดยใช้วิธีนี้ แล้วเจอหุ้น 10 เด้งก็น่าจะทำให้ฐานะเรามั่งมีได้ไม่ยาก
(ผู้ที่สนใจวิธีการลงทุนในแบบ Dhandho Investment สามารถอ่านความรู้เพิ่มเติมได้จากหนังสือ “นักลงทุนดันโด The Dhandho Investor ที่แปลและเรียบเรียงโดยพี่ web พรชัยครับ)
7.ต้องมองหา Turning Point ของธุรกิจให้เจอ โดย timing นั้นดู Turning point เป็นหลัก โดย monitor หุ้นหรือบริษัทที่อยู่ในตะกร้า รอจังหวะที่รายได้,กำไรของบริษัทเริ่มจะ take off
8.Jim Roger (Street Smarts) คนส่วนใหญ่มักจะสนใจหุ้นที่ขึ้นมา 3-4 เด้ง แต่นั่นไม่ใช่การลงทุนที่ดี จริงๆแล้วเราควรที่จะซื้อหรือลงทุนหุ้นก่อนที่หุ้นนั้นจะมีการขึ้น 3-4 เด้ง
ให้คิดไว้ว่าตอนที่เราซื้อหุ้นนั้นเป็น phase ที่เขาปล่อยของกันแล้วหรือเปล่า ซึ่งถ้าเราซื้อ ณ ราคานี้ (หุ้นขึ้นมา 3-4 เด้ง) ถ้าเราซื้อถูกหุ้นก็อาจจะขึ้นได้ต่ออีก 4-5 เด้ง แต่ถ้าเราพลาดหุ้นก็อาจจะลงได้มากถึง 50% หรือมากกว่า ซึ่งนั่นจะคุ้มกับความเสี่ยงหรือไม่
9.Case การลงทุนที่น่าสนใจในต่างประเทศ
9.1 Chinese Consumer Trend (แนวคิดคล้ายคลึงกับ P’ชาย มโนภาส)
โดยมองว่าในปัจจุบันยังเป็นแค่จุดเริ่มต้นของภูเขาน้ำแข็ง โดยตอนนี้นั้นยังมีคนจีนอีกหลายร้อยล้านคนที่มีโอกาสในการจับจ่ายในอนาคต ยกตัวอย่างสินค้าที่ได้รับประโยชน์จากการที่คนจีนไปซื้อสินค้าก็ได้แก่เครื่องสำอางเกาหลี Amore Pacific, หรือเครื่องสำอางของ Shisedo, บริษัท Unicharm หรืออย่างพวกวิตามินเสริมของ Blackmores เองราคาหุ้นก็พุ่งขึ้นไปถึง 5 เท่า
Case บริษัท Okamoto (สินค้าของบริษัทคือถุงยางอนามัย) บริษัทมี P/E 10 กว่าเท่า ในขณะที่ Product สามารถขึ้นราคาสินค้าได้จากการพัฒนาสินค้าให้มีความบางลง เช่นจากแต่ก่อน ขนาดหนา 0.05 mm.ทำให้บางลงเหลือ 0.02 mm.หรือ0.01 mm. แต่กลับทำให้สามารถขายได้ราคาแพงขึ้น โดยบริษัทใช้วัตถุดิบจาก Poly Urethane แล้วสามารถทำให้ผลิตออกมาได้บางได้ โดยที่ใช้แล้วไม่แตก โดยในช่วง 10 ปีย้อนหลังบริษัทไม่โต สืบเนื่องจากปริมาณการใช้ถุงยางในประเทศญี่ปุ่นที่ลดลงเรื่อยๆ เพิ่งจะมี Turning Point เมื่อประมาณ 3 ปีก่อน ที่คนจีนเริ่มนิยมใช้สินค้าของบริษัทเนื่องจากผลิตภัณฑ์ที่ขายในประเทศจีนไม่ค่อยได้มาตรฐาน ทำให้บริษัทกำไรเติบโตขึ้น จนทำให้ราคาหุ้นสะท้อนกับกำไรที่เพิ่มขึ้นตามมา
9.2 Case Looking Around
ลูกสาวที่เรียนอยู่ชั้นประถมศึกษา ไปเลือกซื้อกระเป๋าในร้าน Stationeries โดยลูกสาวเลือกซื้อกระเป๋า Smiggle ที่ใช้แล้วคล้ายๆเครื่องมือช่าง กระเป๋า Smiggle เป็นที่นิยมในเด็กๆ สินค้านี้เป็นของบริษัท ของบริษัท Premier Investment ที่อยู่ใน Australia โดยเมื่อเปิดดูงบบริษัทโต 46% สินค้าของบริษัทค่อยๆขยายไปในต่างประเทศเช่น Singapore เป็นต้น
หรือ case ที่ลูกสาวไปเจอสินค้าปากกาลบได้ของบริษัท Pentel ในขณะที่เดินอยู่ในร้าน Don Quixote ในประเทศญี่ปุ่นเป็นต้น
9.3 Case ประเทศ Sri Lanka พี่เชาว์มีโอกาสได้ไปประเทศนี้ในช่วงเดือนพ.ค.ที่ผ่านมา เนื่องจากเคยเป็นเมืองขึ้นของประเทศอังกฤษทำให้ได้รับอิทธิพลหลายๆอย่างจากอังกฤษ สำหรับกิจการที่น่าสนใจ ยกตัวอย่างเช่น Hemas Holding ซึ่งประกอบธุรกิจหลายอย่างโดยรายได้หลักๆมาจากการขายสินค้า Consumer เช่นยาสีฟัน และกิจการ Healthcare เช่นการผลิตยา,จัดจำหน่ายยาและธุรกิจโรงพยาบาล โดยกิจการมีรายได้และกำไรเพิ่มขึ้นอย่างน้อยปีละ 20% มาหลายปีต่อเนื่อง
หรือยกตัวอย่างเช่นบริษัท Ceylon Cold Stores ที่มีสินค้าคือน้ำขิงอัดลมEGB (Elephant House Gingle Beer) ที่ได้รับความนิยมในประเทศนี้เป็นอย่างสูง ซึ่งรายได้ของบริษัทก็เติบโตขึ้นเรื่อยๆ
9.4 Case ประเทศ Indonesia ประเทศที่มีประชากรหนาแน่น โดยปัจจุบันนั้นมีร้านสะดวกซื้อที่มีจำนวนสาขามากอยู่ 2 brand คือ Indomaret และ Alfamart ซึ่งทั้งคู่นั้นเป็นของพี่น้องกัน โดยปัจจุบัน Market Cap อยู่ที่หลัก 10000 ล้าน เพราะกำไรยังไม่ค่อยดีนัก ปัจจุบันมีสาขาประมาณ 10000 แห่ง กำไรไม่ค่อยโตมา 5 ปี ถ้ามองบริษัทก็มี DCA อยู่ เพียงแต่ Net Margin ยังไม่ค่อยดีนัก 2-3% ซึ่งถ้าสามารถปรับปรุง Net Margin ให้สูงขึ้นเช่น 5-6% ในอนาคตก็น่าจะทำให้กำไรของบริษัทเพิ่มขึ้นได้
10.สรุปสิ่งที่ฝากไว้
10.1 พยายาม List สิ่งที่คุณอยากได้,อยากมีทั้งหมด ยกตัวอย่างเช่นมีสุขภาพที่ดี,มีคนรัก จากนั้นจัด Priority ลำดับความสำคัญแล้วใช้เวลาส่วนใหญ่กับ 5 เรื่องแรกที่สำคัญที่สุด ชีวิตคนนั้นสั้นนัก เพราะฉะนั้นพยายาม Focus กับเรื่องที่สำคัญเท่านั้น
10.2 ทำทุกวันให้ดีที่สุด ก่อนนอนลองนั่งสมาธิสัก 5-10 นาทีแล้วนั่งคิดว่าวันนี้ชีวิตดีขึ้นไหม
Steve Jobs เคยกล่าวไว้ในอดีต
“You can’t connect the dots looking forward; you can only connect them looking backwards. So you have to trust that the dots will somehow connect in your future. You have to trust in something — your gut, destiny, life, karma, whatever. This approach has never let me down, and it has made all the difference in my life.”
สำหรับภาษาไทยนั้นผมขอยกคำอธิบายขยายความมาจาก https://pawoot.wordpress.com/2013/09/05 ... -the-dots/
มีคำพูดของ Steve Jobs ที่น่าประทับใจเป็นสิ่งที่สร้างแรงบันดาลใจ ให้เดินไปข้างหน้าตราบใดที่เรายังมีลมหายใจ เขาบอกไว้ว่า..“Connecting the Dot” ..ทุกสิ่งที่เราเรียนรู้และลงมือทำในวันนี้ แม้ไม่ก่อให้เกิดผลทันที แต่วันหนึ่งข้างหน้าจะเป็นประโยชน์ เราสามารถเรียนรู้จากอดีต แต่เราไม่สามารถคาดเดาอนาคตได้ ทุกสิ่งที่เราตั้งใจเรียนรู้และทำในวันนี้จะเป็นประโยชน์ในวันข้างหน้า…”
ชีวิตจึงเป็นการเชื่อมต่อจุดให้เป็นภาพ จุดคือการเรียนรู้ด้วยสมองซ้าย แล้วเก็บจุดเหล่านั้นไว้ใน Memory file ดังนั้นการได้เปิดโลก เปิดหูเปิดตา รับรู้อะไรใหม่ๆ ตลอดเวลา จึงเป็นการเพิ่มจุดให้กับตัวเรา เมื่อเวลาผ่านไปจุดเหล่านั้นจะมีเต็มไปหมดในสมองของเรา เมื่อถึงคราวที่จะหยิบนํามาใช้ อย่าเอามาใช้แบบเป็นจุดๆ ต้องเอาจุดเหล่านั้นมาร้อยเรียงวางลงบนผืนผ้า ถ้าวางเรียงจุดได้เก่ง ก็จะรู้ว่าจะต้องเรียงจุดไหนก่อนและจุดไหนอยู่หลัง “แต่หากคุณประสบการณ์น้อย จุดของคุณก็จะน้อยด้วย” สุดท้ายใช้สมองขวาเชื่อมโยงจุดเหล่านั้นให้เป็นภาพ ไม่ว่าจะเป็นดอกไม้ ภูเขา หรือภาพเครื่องบิน
ยิ่งจุดเยอะเท่าไร เราก็มีความสามารถในการสร้างภาพ สร้างเรื่องราว สร้างอะไรใหม่ๆ หรือแก้ปัญหาอะไรต่างๆ ได้ง่ายมากขึ้น เพราะเรามีจุดหรือมีประสบการณ์มาก
นอกจากนี้นั้นข้อดีอีกอย่างของการนั่งสมาธิ คือจะทำให้หลับลึก ตื่นมา Happy (สุขภาพดี) โดยที่นักลงทุนเก่งๆหลายท่านก็มักจะนั่งสมาธิเพื่อฝึกจิต
10.3 Fact vs Opinion จงมองไปที่ Fact ไม่ใช่ Opinion (เข้าใจทุกอย่างตามความเป็นจริง)
Ultimate Goal ทุกอย่างเป็นเช่นนั้นเอง
10.4 คนที่กลับจากmeeting วันนี้จะมีคนจำนวนมากที่อาจจะไม่ประสบความสำเร็จในด้านการลงทุน โดยก็จะมีคนล้มเหลว ล้มเลิกในระหว่างทางไปเรื่อยๆ ซึ่งถ้าเราเป็นคนหนึ่งที่เจอการลงทุนที่ล้มเหลว ขอให้เพื่อนๆนึกถึงตอนแรกว่าเรามาลงทุนไปเพื่ออะไร เช่นเราลงทุนเพื่อครอบครัว,ลูก เพื่อหากำลังใจและเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ
11.Case Study หุ้นในอดีต
ช่วงหลายปีก่อน สมัยทำงานอยู่แถวอโศกมีโอกาสได้ไปเดินแถวนั้น พบว่าผู้หญิงกำลังมุงกันเพื่อซื้อเครื่องสำอางหลายสิบคน ซึ่งหลังจากนั้นทำการศึกษาข้อมูลก็พบว่าบริษัทที่ขายเครื่องสำอางนั้นเป็นบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับเครื่องใช้ไฟฟ้าในอดีต หลังจากนั้นก็อ่านรายงานประจำปี และพยายามโทรไปถามที่บริษัทเพื่อสอบถามข้อมูลการดำเนินงานของธุรกิจและ เป้าของธุรกิจในปีต่อๆไป แล้วจากนั้นก็พยายามที่จะขอนัดเข้าไปคุยรายละเอียดในการดำเนินงานเพิ่มเติมซึ่ง( ตอนนั้นถือว่าเป็นคนแรกในรอบ 10 ปีที่เข้าไปคุยที่บริษัท) ทำให้เริ่มเข้าใจในตัวกิจการมากขึ้นว่าสินค้าเครื่องสำอางช่วงนั้นเริ่มขายดีมากทำให้ของเริ่มขาดตลาด และมีเป้าเติบโตหลัก 100% ในปีถัดไป โดยข้อมูล ณ ช่วงนั้นบริษัทมี Market cap หลัก 200-300 ล้านบาท จากนั้นไปลองหาข้อมูลเทียบกับบริษัทเรื่องสำอางอื่นๆที่อยู่นอกตลาด พบว่ามีบางบริษัทมียอดขายหลัก 10000 ล้านบาทและกำไรสุทธิ 2000 ล้านบาท ถ้าเทียบกับหลักของ Dhando Investment แล้วพบว่า แม้ความจริงยังมีความไม่แน่นอน แต่มีความเป็นไปได้สูง จึงตัดสินใจที่จะลงทุนในสัดส่วนที่มีนัยสำคัญของ Port ซึ่งหลังจากนั้นบริษัทก็มียอดขายเพิ่มขึ้นหลายเท่า
12.หุ้นต่างประเทศ
วิธีการไปเที่ยวให้ได้ประโยชน์ต่อการลงทุน
12.1 ก่อนที่จะไปเที่ยวให้พยายามศึกษาประวัติศาสตร์ประเทศนั้นๆก่อนจะไป เพื่อจะได้เข้าใจ background ของประเทศ
12.2 พยายามพูดคุยกับคนในพื้นที่ (Local) ให้เยอะ เพราะข้อมูลดีๆหลายๆอย่างเราอาจจะได้รับทราบจากการพูดคุย
12.3 ลองพยายามฝึกสังเกตในร้านสะดวกซื้อและ Supermarket ว่าสินค้าชนิดไหนที่ขายดีในประเทศนั้นๆ
ตัวอย่างจุดแข็งของประเทศต่างๆ 1.)New Zealand, Australia : Natural 2.)Sri Lanka มีประชากรค่อนข้างเยอะ 3.)Thailand : Travel
13.วิธีการลงทุนที่ประสิทธิภาพสูง แล้วใช้เวลาไม่เยอะก็คือเน้นเฉพาะที่เราเห็นธุรกิจได้ก็พอ
14.Valuation หุ้น ส่วนใหญ่กลับมาที่ basic พื้นฐานคือคิด P/E แบบง่ายๆ ส่วนหนึ่งคือเมื่อเราเข้าใจหลักการ DCF (Discount Cash Flow) แล้วจะพบว่า key สำคัญนั้นอยู่ที่การคาดการณ์ Assumption ต่างๆ บางทีแค่ Vary ตัวแปรบางตัวผลลัพธ์ที่ได้ก็แตกต่างกันได้มาก แต่การศึกษา DCF ก็อาจจะมีข้อดีตรงที่ทำให้เราเข้าใจได้ง่ายๆว่าตัวแปรไหนที่มีความสำคัญต่อกำไรของบริษัท เช่นการเพิ่มราคาขายของสินค้า 5% อาจจะส่งผลทำให้กำไรบางบริษัทเพิ่มได้ถึง 50% เป็นต้น
สำหรับชีวิตจริงนั้นอาจจะทำเป็นงบรายไตรมาส,AR,Supplier Monior ไปเรื่อยๆ โดยจัดเป็น Watching lit ที่สนใจตามจำนวนที่สนใจเช่นสัก 20 บริษัท โดยอาจจะ monitor เฉพาะ P/E ที่ไม่สูงมากเช่น 10-20 เท่า เพื่อรอหาจังหวะที่บริษัทจะเริ่ม take off
15.พยายามศึกษาหุ้นเยอะๆในอดีต หรือกรณีศึกษาของบริษัท โดยยกตัวอย่างตอนที่พี่เชาว์สมัยอยู่ที่ America นั้นก็อ่าน Wall Street Journal บ่อยๆ ซึ่งจะมีข้อมูลของบริษัทอย่าง P&G, GE ทำให้เข้าใจปัจจัยที่ประสบความสำเร็จของธุรกิจ
หรือบางครั้งก็ไปอ่านหุ้นย้อนหลังที่ประสบความสำเร็จในอดีต เป็น Case study จะทำให้รู้ว่ามีแค่ 10% ของบริษัทเท่านั้นที่ดี โดยยกตัวอย่างบริษัทที่เป็นผู้ชนะ (Winners) ได้แก่ Facebook,Microsoft, Pfizer หรือสินค้าบางอย่างที่มักมีขายตามสนามบิน เช่นเหล้า,บุหรี่เป็นต้น
16.บทเรียนที่อยากจะ share ความผิดพลาด
ในบางครั้งเราอาจจะเห็นโอกาสแต่ไม่ได้ไปคว้ามัน จากประสบการณ์ที่ผ่านมาบางครั้งเราอาจจะเคยถือหุ้นของบริษัทที่ประสบความสำเร็จแต่ระหว่างทางพยายามไปคิดแล้วเปลี่ยนตัว ซึ่ง ณ วันนั้นเราอาจตัดสินใจไม่ดี เพราะฉะนั้นกลับมามองเน้นที่ DCA และขยันขึ้นเพื่อให้เราสามารถมองไปยังอนาคตได้แม่นยำมากขึ้น (ต้องรู้แบบลึกซึ้งและใช้เวลาเยอะขึ้นเพื่อจะได้สามารถหา Turning point ของบริษัทได้)
17.ประเทศที่อยู่ใน Watching List ที่น่าสนใจ
17.1 ประเทศ Frontier Market (Ex.เคนยา, แทนซาเนีย, บอสวานา) มีโอกาสที่เศรษฐกิจจะโตในระดับ 10%
17.2 ประเทศ Asia ใต้ เช่น บังคลาเทศ,ศรีลังกา ประชากรทั้ง 2 ประเทศมีจำนวนมาก และพลเมืองเริ่มที่จะมีเงินมากขึ้น ในบางบริษัทอาจจะเจอหุ้น P/E ระดับ 20 เท่าแต่ Growth ในระดับ 30% ได้
17.3 Russia เป็นหนึ่งในประเทศที่หุ้น P/E ต่ำที่สุด โดยมีบางอุตสาหกรรมที่น่าสนใจ ยกตัวอย่างเช่นห้างค้าปลีกที่โตระดับ 15-25%
นอกจาก Russia แล้วประเทศอื่นๆที่มี P/E ไม่สูงนักก็มีอย่างเช่น Singapore, Taiwan, Hongkong เป็นต้น
17.4 Vietnam มีจุดเด่นในแง่เศรษฐกิจที่มีการเติบโตสูง ประเทศที่เปลี่ยนจาก Communist เป็นประชาธิปไตย เบื้องต้นยังหาบริษัทที่มี DCA ค่อนข้างยาก ในบางอุตสาหกรรมเช่นบริษัทยานั้นมีกระจายอยู่เต็มประเทศ
18.อีก 1 วิธีในการหาหุ้นของบริษัทที่มีโอกาสเติบโต ก็คือ Theme การลงทุนจากการศึกษาสินค้าในร้านสะดวกซื้อ เราอาจลองศึกษาหาหุ้นหรือบริษัทที่มีสินค้าขายอยู่ในร้านสะดวกซื้อ เพราะการที่สินค้าของบริษัทสามารถแทรกเข้าไปอยู่ใน shelf ของสินค้าในร้านสะดวกซื้อได้ ก็คล้ายๆกับการที่นางงามที่ผ่านการถูกคัดเลือกเบื้องต้นแล้ว เราอาจพบบริษัทหลายๆบริษัทที่ขายสินค้านั้นแล้วพบว่ามีโอกาสที่จะโตในระดับ 10-15% ซึ่งถ้าเราเลือกการลงทุนได้ดีก็มีโอกาสที่จะสามารถชนะ Index fund (ซึ่งถ้าสังเกตดีๆ จะพบหุ้น 10 เด้งในอดีตหลายๆตัวในนั้น)
หรือในร้าน Watson เองก็มีสินค้าที่น่าสนใจหลายๆตัวที่บริษัทอาจจะ Listed ในต่างประเทศเช่น Japan เป็นต้น
19.Key หลักในการลงทุนคือ ธุรกิจมันต้องแม่น โดยที่ควรจะโตอย่างน้อย 20% 5 ปีต่อเนื่อง
หรือบริษัทที่ Free Cash Flow ดีมาก แทบไม่มีหนี้ มีเงินสดเต็มไปหมด เพราะถ้ามีหนี้เต็มไปหมด เราดูบริษัทแล้วต้องลุ้นอยู่ตลอด
20.เมื่อไรจะถึง Recession หนักๆนั้น สามารถคาดเดาได้ยาก สิ่งที่เราจะทำได้คือหุ้นของบริษัทที่เราเลือกควรจะสามารถทนทานต่อสภาพแวดล้อมนั้นๆ ไม่ใช่พอเกิดวิกฤติขึ้นบริษัทก็ล้มหายตายจาก โดยปัจจัยที่อาจนำมาพิจารณาก็คือ กระแสเงินสดจากการดำเนินงานของบริษัทเป็นอย่างไรและปันผลของบริษัทในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเป็นยังไง
มองว่าโลกนี้ทั้งหมดนั้นเปรียบเสมือนบ่อปลา โดยที่น้ำก็เปรียบเสมือนกระแสเงิน ถ้าใส่น้ำ (กระแสเงิน ) เข้าไปปลาก็จะสดชื่น แต่ถ้ามีการเอาน้ำออก ปลาก็จะถูกจับได้ โดยที่โลกนี้นั้นสามารถ link หรือเชื่อมโยงกันได้หมด บางทีการกระทำบางอย่างที่เราเห็นอาจจะเป็นแค่การเล่นละครก็เป็นได้
21.คำแนะนำสำหรับผู้ที่เพิ่งเริ่มลงทุนในตลาดหุ้น
21.1 ถ้าเพิ่งเริ่มลงทุนจะขยันมากกว่าตอนนี้ 5-10 เท่า โดยจะพยายามอ่านข้อมูลที่เกี่ยวข้องวันละ 8-10 ชั่วโมง จริงอยู่ที่เริ่มลงทุนตอนนี้นั้นยากกว่าแต่ก่อน แต่ทุกปีมีโอกาสเสมอๆ อยู่ที่คุณขยันพอหรือเปล่า?
21.2 การได้รับข้อมูลหุ้นตาม SMS,Line,หนังสือพิมพ์ ให้ลองนึกถึงแรงจูงใจของคนกลุ่มดังกล่าวด้วย ว่าเขาให้ข้อมูลเราเพื่ออะไร ในบางครั้งเขาอาจจะให้ข้อมูลเราเพื่อที่จะซื้อหุ้นต่อจากเขาในราคาที่สูงกว่าหรือไม่?
หรืออย่างบทวิเคราะห์ที่เราได้รับ คนที่เขาเขียนบทวิเคราะห์อยู่เพื่ออะไร
ถ้าเราเข้าใจในแรงจูงใจดังกล่าวจะทำให้เรามีสติมากขึ้นเวลาที่เราได้รับข้อมูลดังกล่าว
22.วิธีการดูผู้บริหารว่าจริงใจหรือไม่จริงใจ
จริงๆแล้วการฟังผู้บริหารพูดนั้น บางทีผู้บริหารบางท่านนั้นก็อาจจะให้ข้อมูลที่ไม่ถูกได้อย่างแนบเนียน เพราะฉะนั้นเราเองก็ควรจะกลับไปมองที่ Fact เพราะร้อยละ 90 ของข้อมูลที่พูดนั้นมักจะเป็นข้อมูล Opinion ความเห็นของผู้บริหาร
โดยธรรมชาติของบริษัทส่วนใหญ่เวลาหุ้นต่ำๆมักจะไม่ค่อยเชิญให้เข้ามา company visit แต่พอหุ้นขึ้นมา 3-4 เด้ง แล้วถึงมักจะเชิญเข้าไปฟังหรือ visit
โดยบางครั้งนั้นเราอาจจะใช้วิธีถามข้อมูลจากผู้บริหารของบริษัทคู่แข่ง เพราะแม้จะเป็นแค่ Opinion แต่เราอาจจะได้ทราบจุดด้อยของบริษัทที่เราสนใจ
23.Trend ที่น่าสนใจในอนาคต
23.1 Technology ยกตัวอย่างเช่น Facebook (แม้จะกำไรโต 60% แต่หุ้นก็ P/E สูงมากระดับ 100 เท่า)
23.2 Electric Vehicle ,Robot, ยารักษาโรคเช่น ยารักษามะเร็ง, Vitamin
24.บริษัทของJack Ma เองอาจจะเป็นภัยคุกคามกับบริษัทพวกยี่ปั๊ว,ซาปั๊วในอนาคต รวมไปถึงหุ้นหรือบริษัทที่เกี่ยวข้องกับช่องทางจัดจำหน่าย (Channel) อาทิเช่น Walmart,Tesco แต่ในมุมกลับบริษัทของ Jack Ma เองอาจจะส่งผลดีต่อผู้ผลิตสินค้าเป็นชิ้นๆที่มี Product, Brand ที่ดี ที่อาจจะทำให้บริษัทเติบโตได้ทั่วโลกในระดับ 100 เท่าในช่วงเวลาไม่กี่ปี
(เป็นโอกาสของบริษัทที่ Product เจ๋ง,นวัตกรรมที่ดี)
25.ธุรกิจที่อาจได้รับผลกระทบจาก Disruptive Technology ในอนาคต อาทิเช่น รถยนต์,Bank, Petrochem,น้ำมัน
26.Full Time Investor นั้น ถ้าเป็นไปได้ควรจะมี Port อย่างน้อย 100 ล้าน เพราะถ้าได้ผลตอบแทน 3% ก็คือ 3 ล้านบาท ซึ่งน่าจะ cover กับรายจ่ายได้ ถ้ามี Port แค่ระดับ 20 ล้านนั้นยังค่อนข้างเสี่ยง เราควรจะเผื่อไว้เยอะๆดีกว่า ซึ่งจริงๆแล้วผลตอบแทนของการลงทุน ในช่วงที่ทำงานไปด้วยกับช่วงที่ออกมาลงทุนเต็มตัวก็ไม่ค่อยต่างกันสักเท่าไร
Lifestyle จริงๆแล้วก็ไม่ค่อยต่างกันนัก แถมบางทีทำงานเราอาจจะได้ไปเที่ยวกับเพื่อนรุ่นใกล้เคียงกันแต่ลาออกมาเราอาจจะต้องไปเที่ยวกับคนในวัยที่แตกต่างกัน เพราะคนในวัยทำงานส่วนใหญ่ก็จะไม่ค่อยว่างมาเที่ยวในวันธรรมดาเป็นต้น
27.ชีวิตมีหลายด้าน เช่นด้านร่างกาย, ด้านครอบครัว, การเงิน, การงาน เวลาเป็นสิ่งที่มีค่าเพราะฉะนั้นอย่าลืมเอาเวลาที่มีค่าไปทำในสิ่งอื่นๆที่สำคัญหรืออยากทำมากกว่าด้วยครับ
1.ประวัติโดยสังเขป ท่านอาจารย์นิเวศน์
จบปริญญาเอกด้านการเงินจาก University of Mississippi สหรัฐอเมริกา กลับมาจากอเมริกาตอนอายุ 32 ปี หลังจากกลับมา ทำงานอยู่ในสายงานทางด้านการเงิน ช่วงทำงานนั้นประหยัดอดออมทำให้ตอนออกจากสถาบันการเงินช่วงวิกฤติต้มยำกุ้งนั้นตอนอายุ 40 กว่าๆ มีเงินเก็บ 10 ล้านบาท ช่วงออกจากงานใหม่ๆนั้นก็ทดลองทำธุรกิจหลายอย่าง แต่ยังไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร สืบเนื่องจากช่วงนั้นมีแต่ความฮึกเหิม แต่ขาดความรู้ที่เกี่ยวข้องอาทิเช่น ขาดความรู้ด้าน Marketing
จนมาเริ่มลงทุนในตลาดหุ้น ช่วงแรกๆนั้นเน้นหุ้นที่มี Cash Flow ที่ดี มีปันผล คิดเป็นประมาณ 10% ของราคาหุ้น มีหนี้น้อยๆ และขายสินค้าให้ต่างประเทศเป็นต้น. P/E ประมาณ 5 เท่า โดยที่กำไรต่อหุ้นเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ถึงแม้จะเกิดวิกฤติ และช่วงนั้นลงทุนซื้อโดยไม่มีความคิดที่จะขาย (ช่วงนั้นศึกษาหาความรู้จากการอ่านหนังสือแนว value investing แล้วนำมาประยุกต์ใช้) พยายามลงทุนระยะยาวในบริษัทที่มั่นคงและกำไรเติบโต
2. พยายามฝึกสังเกตแล้วตั้งคำถาม อย่างอาจารย์เองเวลาไปบรรยายจะพยายามสังเกตเช่นคนฟังอายุประมาณเท่าไร และสนใจที่จะฟังไหม เหมือนกับเวลาอาจารย์เดินไปซื้อของในร้านขายของ ก็จะพยายามมองอย่างละเอียด เช่นพบเห็นสินค้าหนึ่งในร้านสะดวกซื้อ ก็จะคิดต่อว่าสินค้าชนิดนี้คนไทยจะกินเพิ่มขึ้นในอนาคตไหม สินค้าชนิดนี้เป็นสินค้า Niche Market หรือเปล่า ,สินค้าชนิดนี้ถ้าไปขายในต่างประเทศเช่นเมืองจีนจะเป็นอย่างไร คนจีนจะกินหรือเปล่า เทียบกับวัฒนธรรมคนจีนจะเป็นอย่างไรเป็นต้น
หรืออย่างเวลาได้รับของฝากจากเพื่อนๆ เช่นของฝากจากญี่ปุ่น ก็จะพยายามนึกว่าถ้าสินค้าชนิดนั้นมาผลิตในเมืองไทยและมาขายเยอะๆ สินค้านั้นคนไทยยังจะนิยมอยู่หรือไม่เป็นต้น
โดยสรุปของวิธีการคือ
See around-->Thinking around & Imagination-->Comparison
มองรอบๆอย่างละเอียด-->คิดและจินตนาการตาม-->ทำการเปรียบเทียบ
3. Case Study หุ้นในอดีต
บริษัทร้านสะดวกซื้อเมื่อ 10 ปีที่แล้ว เริ่มเติบโตอย่างรวดเร็ว (ในอดีตที่ซอยรางน้ำมีแค่ 1 สาขา) ช่วงนั้นมีสาขารวมประมาณ 3000-4000 สาขา เริ่มเป็นผู้ชนะที่เด็ดขาดในช่วงนั้นเนื่องจากคู่แข่งก็เริ่มลดจำนวนสาขาลง ,Market Size ของบริษัทประมาณ 30000 ล้าน มองว่าน้อยเกินไป ไม่สมศักดิ์ศรีของบริษัท มองว่ามีโอกาสที่บริษัทจะมี Size เป็น Market Cap ระดับต้นๆ ของประเทศ
โดยช่วงนั้นหุ้นตัวนี้ เองก็มีการเปิดสาขาเพิ่มตลอดแต่ไม่มีกำไรเนื่องจากมีการขาดทุนในธุรกิจที่ต่างประเทศ (จนช่วงหลังที่มีการขายธุรกิจที่ขาดทุนในต่างประเทศ และมีการขยายสาขาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆก็ทำให้กำไรเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนกลายมาเป็น 1 ในหุ้น 10 เด้งในที่สุด)
4. ระยะหลังๆ อาจารย์พยายามศึกษาเรื่องพฤติกรรมของมนุษย์ โดยยกตัวอย่างเช่น ประชากรสตรีส่วนใหญ่จะรักสวยรักงาม ทำให้อย่างบางประเทศ เช่น South Korea ประชากรส่วนใหญ่ที่มีกำลังทรัพย์ในการใช้จ่าย ก็นิยมที่จะทำศัลยกรรมเพื่อให้รูปลักษณ์ตัวเองสวยขึ้น ในระยะหลังๆ มีข้อมูลบางอย่างที่บ่งชี้ว่าพฤติกรรมมนุษย์นั้นถูกกำหนดมาจากยีนพฤติกรรม เช่นการเอาตัวรอดหรือการเผยแพร่เผ่าพันธุ์
5.DCA นั้นในระยะหลังๆโลกนั้นมีการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างเยอะ โดยก่อนหน้านี้นั้นก็มีธุรกิจหลายอย่างที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงทาง Technology ยกตัวอย่างเช่นธุรกิจร้านขายหนังสือ หรือธุรกิจร้านที่ขายสินค้าประเภท IT หรืออย่าง case ห้างWallmart ในอเมริกาที่ได้รับผลกระทบจากธุรกิจ E-Commerce เพราะฉะนั้นระยะหลังๆจะพยายามพิจารณาว่าธุรกิจนั้นๆมีโอกาสที่จะถูกทำลายจาก High Technology หรือ E-Commerce หรือไม่
ของที่ราคาแพงมากๆ/ของที่ราคาถูกมากๆ นั้นมีโอกาสที่จะปลอดภัยกว่า ยกตัวอย่างเช่น Luxury Brand Louis Vuitton, Airmade เป็นต้น
6.Growth นั้นเปรียบเสมือนน้ำหนัก Not all growth are equal
น้ำหนักเพิ่มอย่าไปคิดว่า Growth ถ้าเป็นอาจารย์นั้น Growth ต้องเป็นความสูง เพราะในบางครั้งกำไรของบริษัทอาจจะโตเนื่องจากเพราะอุตสาหกรรมกำลังขึ้น
เพราะฉะนั้นในบางทีเราควรจะไปซื้อหุ้นที่กำลังจะผอม -->รอจนอุตสาหกรรมเริ่มดี -->กำไร
สำหรับในหัวข้อนี้ผมขออนุญาตนำบทความ อ้วน-ผอม-สูง ที่ท่านอาจารย์เคยเขียนไว้มา share อีกครั้งเพื่อขยายความเพิ่มเติมครับ Credit : Web Stock2morrow.com
อ้วน - ผอม - สูง : ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
นักลงทุนจำนวนมากชอบลงทุนในบริษัทที่ ?โตเร็ว? โดยที่คำว่าโตเร็วนั้น ส่วนมากก็จะดูว่ากำไรโตแบบก้าวกระโดดจากปีก่อน หุ้นที่ ?โตเร็ว? เหล่านี้จำนวนมากก็จะมีราคาพุ่งขึ้นไปทำให้มูลค่าตลาดของหุ้นเพิ่มสูงขึ้น คนที่เข้าไปซื้อหุ้นที่ ?โตเร็ว? ก่อนคนอื่นก็มักจะได้กำไรไปเป็นกอบเป็นกำ แต่คนที่เข้าไปซื้อหุ้น ?โตเร็ว? หลังจากที่ราคาหุ้นขึ้นไปแล้วในหลาย ๆ ครั้งกลับขาดทุน บางครั้งขาดทุนอย่างหนัก เพราะหุ้น ?โตเร็ว? หลาย ๆ ตัวนั้น เมื่อเวลาผ่านไป กลับโตช้าลงมาก บางตัวกำไรถดถอยลง และราคาหุ้นก็ตกต่ำลง บริษัทมีมูลค่าหุ้นน้อยลงไปมาก คนที่เข้าไปลงทุนในหุ้น ?โตเร็ว? ที่ขาดทุนหนักนี้ บางทีอาจจะติด ?กับดัก? ของหุ้น ?โตเร็ว? ลองมาดูกันว่าเกิดอะไรขึ้น และอะไรคือ ?กับดัก?
สมมุติว่าเรามีข้อมูลน้ำหนักของคน ๆ หนึ่งซึ่งเราไม่เคยเห็นตัวเลยและไม่รู้ข้อมูลอย่างอื่นเลย เวลาต่อมา เราพบว่าน้ำหนักของคน ๆ นี้เพิ่มขึ้น จาก 50 เป็น 60 กิโลกรัม สิ่งที่เรามักจะบอกก็คือ เขาโตขึ้นหรือหนักขึ้น แต่การที่เขาโตขึ้นนั้น อาจจะเป็นเพราะเขาอ้วนขึ้นหรือสูงขึ้นก็ได้ ในอีกกรณีหนึ่ง ถ้าเวลาผ่านไป น้ำหนักเขาไม่เพิ่มขึ้นเลย สิ่งที่เราน่าจะสรุปก็คือ เขาไม่โตเลย แต่นี่อาจจะเป็นข้อสรุปที่ผิดก็ได้ เพราะเขาอาจจะสูงขึ้นแต่ผอมลงน้ำหนักจึงเท่าเดิม กรณีสุดท้ายก็คือ น้ำหนักเขาน้อยลง สิ่งที่เรามักจะคิดก็คือ เขาคงผอมลง คำตอบนี้คงจะถูกมากกว่าผิด แต่จริง ๆ แล้ว คนก็อาจจะเตี้ยลงได้ถ้าเขาเริ่มแก่ตัวลง
ผมยกเรื่องน้ำหนักของคนมาพูดนั้น เพื่อที่จะบอกว่า การโตนั้น มีทั้งแบบที่มี ?คุณภาพ? นั่นก็คือ เป็นการโตแบบ ?สูง? ซึ่งจะเป็นการโตแบบ ?ยั่งยืน? คือโตแล้วโตเลย น้ำหนักของคนที่สูงนั้น โดยทั่วไปก็มักจะหนักกว่าคนที่ตัวเตี้ยกว่า ดังนั้น ในระยะยาวแล้ว คนที่ตัวสูงก็จะมีน้ำหนักมากกว่าคนตัวเตี้ย คนสูง 180 เซนติเมตรนั้น โดยทั่วไปอย่างน้อยก็มักจะมีน้ำหนักไม่ต่ำกว่า 70-80 กิโลกรัม และในบางกรณีอาจจะหนักได้ถึง 100 กิโลกรัมขึ้นไป แต่คนที่สูงเพียง 160 เซนติเมตรนั้น ส่วนใหญ่ก็มักจะหนักประมาณ 5-60 กิโลกรัมโอกาสที่จะหนักถึง 70 กิโลกรัมก็จะน้อย แม้ว่าบางครั้งอาจจะหนักถึง 80 กิโลกรัมขึ้นไปก็มีแต่ก็ยากที่จะหนักเป็น 100 กิโลกรัม นั่นก็คือ คนตัวเตี้ยบางคนอาจจะอ้วนเป็นพิเศษในบางช่วงเวลา แต่สุดท้ายก็มักจะผอมลงและน้ำหนักกลับมาอยู่ในภาวะปกติ ข้อสรุปสั้น ๆ ก็คือ ศักยภาพในด้านของน้ำหนักของคนตัวเตี้ยนั้นมีจำกัด ดังนั้น ถ้าจะหาคนที่มีน้ำหนักมากขึ้นและมากขึ้นเรื่อย ๆ เราต้องมองหาคนที่จะสูงขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ใช่คนที่อ้วนขึ้นเรื่อย ๆ เพราะคนที่อ้วนขึ้นนั้น ส่วนใหญ่มักจะเกิดจากภาวะที่อาหารอุดมสมบูรณ์เป็นพิเศษ แต่ในอนาคตเมื่อเกิดภาวะขาดแคลน คน ๆ นั้นก็จะผอมลง
เมื่อเปรียบเทียบกับหุ้นหรือบริษัท หุ้นที่ ?อ้วน? ขึ้น ก็คือบริษัทที่มีกำไรมากขึ้น แต่กำไรนั้นเป็นกำไรที่เกิดขึ้นจากภาวะ ?อาหารอุดมสมบูรณ์? เช่น ราคาผลิตภัณฑ์ปรับตัวสูงขึ้นโดยที่ต้นทุนอาจจะปรับตัวน้อยกว่า ทำให้กำไรดีขึ้นมาก แต่ปริมาณหรือหน่วยการผลิตหรือการขายอาจจะเท่าเดิม ลักษณะแบบนี้ ถ้าราคาสินค้าปรับตัวกลับลงมาเท่าเดิมในปีต่อมา กำไรก็จะถดถอยลงได้ซึ่งก็จะเหมือนกับว่า บริษัท ?ผอมลง? ดังนั้น หุ้นที่โตขึ้นเพราะ ?อ้วน? ในที่สุดก็อาจจะหดตัวลงเพราะ ?ผอม? คนที่ลงทุนตอนที่บริษัท ?ผอม? และขายตอนที่บริษัท ?อ้วน? จะได้กำไรมาก ตรงกันข้าม คนที่ลงทุนตอนบริษัท ?อ้วน? มักจะขาดทุนเพราะในไม่ช้าบริษัทก็มักจะ ?ผอม? ลง และนี่ก็คือ กับดักของหุ้นที่ ?โตแบบอ้วน?
บริษัทที่จะเติบโตอย่างแท้จริงนั้น จะต้องเติบโตแบบ ?สูง? นี่ก็คือ การที่ยอดขายและกำไรของบริษัทจะต้องเพิ่มขึ้นทั้งด้านของเม็ดเงินและจำนวนหน่วยการขาย นอกจากนั้น การเติบโตนั้น จะต้องเป็นการเติบโตที่ ?ยั่งยืน? ต่อเนื่องเป็นเวลาหลาย ๆ ปี ประเด็นสำคัญก็คือ ยอดขายที่เกิดขึ้นนั้น แต่ละปีจะต้องเพิ่มขึ้นไม่ลดลง โดยที่ปัจจัยภายนอกจะต้องมีอิทธิพลค่อนข้างน้อยมาก ข้อที่ควรสังเกตก็คือ การเติบโตแบบ ?สูง? นั้น มักจะไม่เร็วมาก การ ?สูง? ขึ้นปีละ 10 % ถือว่าอยู่ในขั้นใช้ได้ การสูงขึ้นปีละ 15% นั้นถือว่าค่อนข้างดีมาก และการสูงถึงปีละ 20% ในระยะยาวนั้น แทบเป็นไปไม่ได้สำหรับบริษัทในประเทศไทย ส่วนการ ?อ้วน? นั้น เกิดขึ้นได้ง่ายกว่ามากและหลายบริษัทอาจจะอ้วนได้เป็นหลายสิบเปอร์เซ็นต์ในเวลาสั้น ๆ แต่ตราบใดที่บริษัทไม่ ?สูง? ขึ้น โอกาสที่บริษัทจะหดตัวลงก็เกิดขึ้นได้เสมอ
ก่อนที่จะจบเรื่องของหุ้นโตเร็วนี้ ผมคงต้องเพิ่มเติมประเด็นสำคัญที่จะต้องดูอีกอย่างน้อย 2-3 เรื่องก็คือ การเติบโตทั้งหมดที่พูดถึงนี้ ต้องเป็นการเติบโตจากภายในบริษัทเอง นั่นก็คือ โตขึ้นจากเงินกำไรสะสมของบริษัท ไม่ใช่เป็นการที่บริษัทเพิ่มทุนหรือกู้เงินเข้ามามากกว่าปกติเพื่อ ?เบ่ง? ให้บริษัทโตขึ้น นอกจากนั้น การเติบโตของบริษัทจะต้องให้ผลกำไรที่คุ้มค่ากับเม็ดเงินที่ลงทุน นั่นก็คือ กำไรต่อส่วนของผู้ถือหุ้นต้องอยู่ในระดับอย่างน้อย 10- 15% ต่อปีขึ้นไป มิฉะนั้นแล้ว การเติบโตก็จะไม่เป็นประโยชน์กับผู้ถือหุ้น
ในฐานะของ Value Investor ถ้าเราจะไม่ติดกับดักของหุ้นโตเร็ว เราจะต้องสามารถแยกแยะได้ว่า บริษัทที่เรากำลังวิเคราะห์อยู่นั้น กำลังจะโตหรือไม่และเป็นการโตแบบอ้วนหรือเป็นการโตแบบสูง หรือทั้งสูงทั้งอ้วนและสูงเท่าไรอ้วนเท่าไร การให้มูลค่าหรือให้คุณค่าของการเติบโตนั้นก็เป็นเรื่องที่สำคัญมากเช่นกัน เราควรให้คุณค่าแก่ความสูงมากกว่าความอ้วนมาก เพราะความสูงเป็นสิ่งที่จะอยู่ต่อไป แต่ความอ้วนนั้น เป็นสิ่งที่มักจะเกิดชั่วคราว ดังนั้น คุณค่าที่เราให้ควรจะน้อย และนี่ก็คือเรื่องของค่า PE ของหุ้น นั่นหมายความว่า หุ้นที่โตเพราะอ้วนนั้น ค่า PE อาจจะให้ได้ไม่เกิน 5-10 เท่า ในขณะที่ค่า PE ของหุ้นที่โตเพราะสูงอาจจะให้ค่า PE ได้ถึง 10-15 เท่า เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องของศิลปะของนักลงทุนแต่ละคน ข้อเตือนใจสุดท้ายของผมก็คือ จงระวังหุ้นอ้วน
7. สำหรับธุรกิจไหนที่โตจริง (True Growth) ยอดขายมักจะไม่ค่อยลง ส่วนใหญ่จะโตขึ้นเรื่อยๆ โดยในอดีตอาจารย์เองก็เคยซื้อหุ้นของบริษัทหนึ่ง แล้วทำการ monitor ผลการดำเนินงาน ยอดขายและกำไรราย Quarter ตามปรากฏว่าแทบทุก Q ของบริษัทนั้นโตขึ้นตลอด (โดยใน worst Q นั้นยังโตประมาณ 3%) ซึ่งโอกาสที่หุ้นจะลงก็ต้องเกิด Panic เป็นหลัก
8.เนื่องจากอาจารย์เกิดมาจาก Survival Instinct สัญชาตญาณการอยู่รอด จึงทำให้อาจารย์ค่อนข้างเน้นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความไม่แน่นอน Un-certainty ค่อนข้างมาก โดยถ้าเป็นธุรกิจที่มีความเสี่ยงหรือความไม่แน่นอนสูง ท่านอาจารย์ก็เลือกที่จะไม่เลือกลงทุน โดยถือคติ โตช้าหน่อยไม่เป็นไรแต่ปลอดภัย ซึ่งวิธีการนี้นั้นในสายตาของนักลงทุนบางท่านอาจจะดูเหมือนช้า
9.พยายามใส่เงินเยอะๆ ในแง่ Wealth ของเราในการลงทุน โดยลงทุนแบบมั่นใจเพื่อหวังผลตอบแทนที่ค่อนข้างสูง ในหุ้นไม่มากบริษัทจนเกินไป
10.ในปัจจุบันนั้นตลาดหุ้นบ้านเรานั้นราคาหุ้นหลายๆบริษัทก็ค่อนข้างสูง (P/E ค่อนข้างสูง) ทำให้ถ้าเราอยากที่จะได้ผลตอบแทนที่ดี (อยากอ้วน) ก็ต้องขยับขยายไปลงทุนในต่างประเทศ เพราะอาหารอุดมสมบูรณ์ ทำให้สัตว์ทุกชนิดสามารถโตได้หมด (เศรษฐกิจในบางประเทศโตปีละ 5-7% เทียบกับในไทยที่โตเพียงแค่ปีละ 2-3% ทำให้มีบริษัทโตค่อนข้างเยอะ)
11.ภาพใหญ่ (Macro) ของประเทศเป็นเรื่องสำคัญมาก ยกตัวอย่างเช่นประเทศ Japan การลงทุนแบบ Bottom up ค่อนข้างยากลำบาก (ผ่านเวลาไป20ปี แต่ตลาดหุ้นตกไปถึง 50%) มีปันผลเฉลี่ยแค่ 1% ในขณะที่ถ้าเราไปหาการลงทุนในประเทศอื่นๆที่ดีๆ เราอาจจะได้return เฉลี่ยปีละ 20-30%
12.วิเคราะห์ตัวเราเอง และวิเคราะห์เรื่องอื่นๆ
บทความของท่านอาจารย์นิเวศน์ เรื่องนักเลือก ที่มา http://www.settrade.com/blog/nivate/2016/08/29/1787
ในความหมายคือเราต้องวิเคราะห์ตัวเราเอง-->เพื่อขีดเส้นทาง-->เลือกจะสู้ใน area ไหน
เช่นเราอาจขาดปัจจัยบางอย่างที่จะ success อย่างนักสู้ เราเองก็อาจจะเลือกที่จะเป็นนักเลือกโดยเกาะไปนักสู้ที่เก่งๆ อย่างเช่นการเลือกคู่ชีวิตเป็นต้น
การที่เราพยายามสู้ใน field ที่เสียเปรียบ พยายามเท่าไรก็ไม่ work บางทีการที่จะประสบความสำเร็จเราอาจจะไม่ต้องพยายามเยอะจนเกินไปเพราะเรารู้สึกสนุกที่จะทำกับมัน walking around,looking around ไปเรื่อยๆแล้ววิเคราะห์โดยจากนั้นก็รอดูผลการดำเนินงานของบริษัทที่เราเลือก
13.ปัจจุบันเป็น Trend Technology ซึ่ง Technology อาจจะทำให้ DCA พังทลายลงได้
DCA-->TCA (Temporary Competitive Advantage) โดยยกตัวอย่างเช่นบางอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับหนังสือ, Media,TV เป็นต้น
14.หุ้นดีหรือหุ้น sexyนั้น อาจจะเป็นสถานการณ์ชั่วคราว ช่วงยุคทองของนักลงทุนที่ผ่านมา อาจจะทำให้นักลงทุนหลายๆท่านเข้าใจผิดความเป็นจริง ยกตัวอย่างเช่นในปี 1990-2000 ในอเมริกาที่ผ่านมา บางคนมีเงินเป็นหลัก 1000 ล้านทั้งๆที่ดูแล้วก็ไม่ได้มีคุณสมบัติพิเศษแต่อย่างใด ซึ่ง ณ ตอนนั้น Peter Lynch เองก็มองว่าเป็นสถานการณ์ชั่วคราว สุดท้ายราคาหุ้นของบางบริษัทก็ลงไปถึง 80-90%
ถ้าลองศึกษาประวัติศาสตร์ดู จะพบว่าประวัติศาสตร์ทรงพลังมาก อย่าไปมองหาเหตุผลมาก
บางทีการที่ได้ผลตอบแทนเฉลี่ย 10% ข้างหน้าก็อาจจะพอใจแล้ว
(ในปัจจุบันอาจารย์เริ่มถือเงินสดมากขึ้น โดยมีเป้าหมายในการลงทุนคือ 1.)อย่าขาดทุน 2.)ยังสามารถเอาชนะตลาดได้)
ผมขออนุญาตเรียบเรียงเนื้อหาใหม่ตามที่ผมเข้าใจครับ รวมไปถึงอาจจะอธิบายเพิ่มเติมในบางจุดเพื่อให้เพื่อนๆท่านอื่นๆเข้าใจเนื้อหาได้ง่ายขึ้นครับ ซึ่งลำดับของเนื้อหาอาจจะไม่ตรงกับที่ทางวิทยากรได้พูด ในกรณีที่อาจจะไม่ตรงกับเนื้อหาที่วิทยากรต้องการสื่อสาร ผมขอความกรุณาเพื่อนๆท่านอื่นที่ไปฟังในวันดังกล่าวหรือท่านวิทยากรช่วยแนะนำเพิ่มเติมหรือแก้ไขให้ด้วยครับ
(ขอความกรุณาเพื่อนๆที่นำข้อมูลไปใช้ต่อกรุณาศึกษาและกลั่นกรองข้อมูลด้วยตนเองอย่างละเอียดก่อนด้วยครับ และ case กรณีศึกษาหลายๆcase ที่เขียนอธิบายนั้นเป็นเหตุการณ์ในอดีตซึ่งอาจจะไม่สามารถนำมาใช้ลงทุนในสภาวะปัจจุบันได้)
นอกจากข้อมูลข้างบนแล้วผมขออนุญาต share สรุปเนื้อหาที่เคยจดบันทึกไว้ในอดีตรวมไปถึงบทความของพี่ที่รู้จักบางท่านที่ share ไว้ครับเผื่ออาจจะเป็นประโยชน์สำหรับเพื่อนๆนักลงทุนท่านอื่นๆครับ
Seminar ความรู้หลักสูตร VI
สรุปความรู้หลักสูตรVI รุ่น4 (Part1 แนวคิดการลงทุน อ.นิเวศน์) (อ.นิเวศน์)
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f ... 6#p1576846
สรุปความรู้หลักสูตรVI รุ่น4 (Part2 วิเคราะห์อุตสาหกรรม P'IH) (P’Invisible Hand)
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f ... 8#p1578288
สรุปความรู้หลักสูตรVIรุ่น4(Part3วิเคราะห์งบการเงิน Pฉัตรชัย) (P’Chatchai)
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f ... 2#p1579422
Seminar ให้ความรู้ในด้านการลงทุน
สรุปความรู้งาน วิศวกรลงทุนหุ้นคุณค่า 8 Oct 2015 (อ.นิเวศน์,P’พีรนาถ, P’Mario)
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f ... 8#p1693718
สรุปความรู้จากการร่วมงาน 10ปี Thaivi 60 ปีปูชนียาจารย์ 19/8/2013 (อ.นิเวศน์, P’หมอพงษ์ศักดิ์,P’ประชา)
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f ... 9#p1563549
สรุปความรู้ที่ได้จากงานเดินหมากลงทุนในหุ้นกับสุมาอี้ 25 ม.ค.55 (P’สุมาอี้)
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f ... 89#p955189
สรุปความรู้สัมมนา Super Exclusive K.Chinn,hong,moomoo 28 Jan 12 (P’Chinn,N’Hongvalue,P’Moomoo)
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f ... 20#p957320
K.hongvalue ถาม K.chinn ตอบ (From blog K.hongvalue) (N’Hongvalue,P’Chinn)
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f ... 83#p952883
สรุปความรู้ที่ได้จากงานเสวนาของ K.Hongvalue วันที่ 14 ธ.ค.54 (N’Hongvalue)
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f ... 59#p942359
สรุปความรู้สัมมนา Money Talk at SET (21 Jul 13) (อ.นิเวศน์,P’ดนัย,P’วสันต์,ดร.วิพุธ,P’วรวรรณ,P’วรวุฒิ)
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f ... 1#p1555251
Meeting VI ตามจังหวัดหรือภูมิภาคต่างๆ
สรุปความรู้จากงาน Meeting VI ชลบุรีครั้งที่ 7 (18/5/57) (P’ลูกอีสาน,P’Sai,P’Chaiyut)
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f ... 2#p1621362
สรุปความรู้งาน meeting VI ชลบุรีครั้งที่ 10 (29 พ.ค.59) (P’Chaiyut,P’Ake Thamrong, P’Sai, P’Investment Biker, P’Champ_st)
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f ... 8#p1725418
สรุปความรู้งาน meeting VI เหนือตอนล่าง Jul 2015 (P’ลูกอีสาน)
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f ... 5#p1684785
สรุปความรู้จากงาน Meeting VI ภาคอีสานครั้งที่ 3 ขอนแก่น(21/9/2013) (P’ลูกอีสาน,P’อาร์ท)
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f ... 4#p1573024
สรุปความรู้ที่ได้จากงาน VI meeting ภาคใต้ Q3 54 (P’ลูกอีสาน,P’Ty,P’Worapong)
http://board.thaivi.org/search.php?st=0 ... u&start=30
สรุปความรู้จากงาน Meeting VI ภาคใต้ Q2/56 (P’ลูกอีสาน,P’Ty,P’Worapong)
http://board.thaivi.org/viewtopic.php?f ... 0#p1567630
ขอขอบคุณวิทยากรทุกๆท่าน (ท่านอาจารย์นิเวศน์, พี่ชาย มโนภาส, พี่เชาว์, พี่เอก) ที่กรุณาให้ความรู้คำแนะนำในด้านการลงทุนแก่ผมและนักลงทุนท่านอื่นๆเป็นอย่างสูงครับ
ขอขอบคุณทีมงานทุกท่านครับ พี่บอล,พี่กานต์,พี่ Eaw, พี่ไม้ฟืน,พี่ theenuch และพี่ๆทีมงานท่านอื่นๆครับ (ผมอาจจะจำหน้าได้ไม่ครบทุกท่านในวันงาน)
ขอขอบคุณทาง web Thaivi ที่ช่วยจัดงานในครั้งนี้ที่ช่วยจัดงานดีๆที่ให้ความรู้กับผมและเพื่อนๆนักลงทุนท่านอื่นๆ ผมได้ความรู้จาก websit แห่งนี้จากการอ่านwebboard และบทความเก่าๆช่วยทำให้มีความรู้ในด้านการลงทุนและweb แห่งนี้ทำให้ผมได้รู้จักกัลยาณมิตรอีกหลายๆท่านซึ่งช่วยให้ผมมีความรู้ในด้านการลงทุนที่ดีขึ้น
สุดท้ายนี้ขออนุญาตขอบคุณเพื่อนๆพี่ท่านอื่นที่ทำเพื่อ web thaivi ด้วยครับ ยกตัวอย่างเช่น P’ i-salmon,P’ Amornkowa ผมและเพื่อนๆได้รับประโยชน์จากความรู้ที่พวกพี่ถ่ายทอดให้ครับ
ขอบคุณทุกท่านครับ
earthcu/11 Sep 16
Life is beautiful + Financial freedom within 2015 by investment stock & real estate
- ดำ
- Verified User
- โพสต์: 4214
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สรุปความรู้งานVIครั้งที่ 2/59(Investment by looking arou
โพสต์ที่ 2
นี่เป็นสรุปเนื้อหาความรู้จากงานสัมมนาที่ดีที่สุดเท่าที่ผมมีโอกาสได้อ่านในช่วงนี้ (และอาจรวมถึงในอดีตด้วย) เลยครับ
คุณ earthcu นอกจากจะสรุปในแบบ lecture แล้ว ยังมีน้ำใจเรียบเรียงเพื่อให้เพื่อนนักลงทุนสามารถอ่านแล้วได้ใจความมากยิ่งขึ้นด้วย ยอดเยี่ยมมากครับ
ขอขอบคุณจากใจจริงครับ
ดำ cu
คุณ earthcu นอกจากจะสรุปในแบบ lecture แล้ว ยังมีน้ำใจเรียบเรียงเพื่อให้เพื่อนนักลงทุนสามารถอ่านแล้วได้ใจความมากยิ่งขึ้นด้วย ยอดเยี่ยมมากครับ
ขอขอบคุณจากใจจริงครับ
ดำ cu
กราฟที่มองไม่เห็นกับกราฟที่มองเห็น
- ดำ
- Verified User
- โพสต์: 4214
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สรุปความรู้งานVIครั้งที่ 2/59(Investment by looking arou
โพสต์ที่ 3
"20.เมื่อไรจะถึง Recession หนักๆนั้น สามารถคาดเดาได้ยาก สิ่งที่เราจะทำได้คือหุ้นของบริษัทที่เราเลือกควรจะสามารถทนทานต่อสภาพแวดล้อมนั้นๆ ไม่ใช่พอเกิดวิกฤติขึ้นบริษัทก็ล้มหายตายจาก โดยปัจจัยที่อาจนำมาพิจารณาก็คือ กระแสเงินสดจากการดำเนินงานของบริษัทเป็นอย่างไรและปันผลของบริษัทในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเป็นยังไง
มองว่าโลกนี้ทั้งหมดนั้นเปรียบเสมือนบ่อปลา โดยที่น้ำก็เปรียบเสมือนกระแสเงิน ถ้าใส่น้ำ (กระแสเงิน ) เข้าไปปลาก็จะสดชื่น แต่ถ้ามีการเอาน้ำออก ปลาก็จะถูกจับได้ โดยที่โลกนี้นั้นสามารถ link หรือเชื่อมโยงกันได้หมด บางทีการกระทำบางอย่างที่เราเห็นอาจจะเป็นแค่การเล่นละครก็เป็นได้"
ใช่ FED รึเปล่าครับ?
มองว่าโลกนี้ทั้งหมดนั้นเปรียบเสมือนบ่อปลา โดยที่น้ำก็เปรียบเสมือนกระแสเงิน ถ้าใส่น้ำ (กระแสเงิน ) เข้าไปปลาก็จะสดชื่น แต่ถ้ามีการเอาน้ำออก ปลาก็จะถูกจับได้ โดยที่โลกนี้นั้นสามารถ link หรือเชื่อมโยงกันได้หมด บางทีการกระทำบางอย่างที่เราเห็นอาจจะเป็นแค่การเล่นละครก็เป็นได้"
ใช่ FED รึเปล่าครับ?
กราฟที่มองไม่เห็นกับกราฟที่มองเห็น
- i-salmon
- Verified User
- โพสต์: 293
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สรุปความรู้งานVIครั้งที่ 2/59(Investment by looking arou
โพสต์ที่ 4
ขอบคุณพี่ earthcu มากครับ ที่ช่วยถ่ายทอดความรู้แทนคนที่ไม่ได้ไปฟังด้วยครับ
เคยเจอกันที่ vi ชลบุรีแว่บๆ ไว้มีโอกาสคราวหน้าจะแวะไปทักทายกราบไหว้นะครับ ^^
เคยเจอกันที่ vi ชลบุรีแว่บๆ ไว้มีโอกาสคราวหน้าจะแวะไปทักทายกราบไหว้นะครับ ^^
Go against and stay alive.
-
- Verified User
- โพสต์: 154
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สรุปความรู้งานVIครั้งที่ 2/59(Investment by looking arou
โพสต์ที่ 11
ขอบคุณมากครับ
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 49
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สรุปความรู้งานVIครั้งที่ 2/59(Investment by looking arou
โพสต์ที่ 18
ขอบคุณครับ ^^
-
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 35
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สรุปความรู้งานVIครั้งที่ 2/59(Investment by looking arou
โพสต์ที่ 23
ขอบคุณค่ะ มีประโยชน์มากจริงๆ