สัมมนา VVinvestors ‘ day กลยุทธ์การลงทุนหุ้นคุณค่าในเวียดนาม
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
สัมมนา VVinvestors ‘ day กลยุทธ์การลงทุนหุ้นคุณค่าในเวียดนาม
โพสต์ที่ 1
สัมมนา VVinvestors ‘ day กลยุทธ์การลงทุนหุ้นคุณค่าในเวียดนาม
ช่วงแนวคิดและประสบการณ์ลงทุนหุ้นเวียดนาม สัมภาษณ์ โดย คุณทีน่า
วิทยากร
1. ดร นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ปรมาจารย์ด้านการลงทุนแบบเน้นคุณค่าของไทย
2. คุณ พิกุล พิทยาอิสรกุล ผู้จัดการกองทุน Phillip Private Fund เวียดนาม
3. คุณ วิศวกร ปันยารชุน นักลงทุนหุ้นเวียดนาม ประสบการณ์กว่า 7 ปีในเวียดนาม
4. คุณ ภาคภูมิ ศิริหงส์ทอง นักลงทุนหุ้นเวียดนาม เจ้าของเพจ road to billion
คุณทีน่า ได้เกริ่นนำว่า กระแสการลงทุนในหุ้นเวียดนาม มาจากการเปิดเผยความคิดของ ดร นิเวศน์ เรื่อง หมดยุคทองของวีไอไทย และ การไปลงทุนหุ้นที่เวียดนามเมื่อปี 2014
ดร นิเวศน์ ตอบว่า ยุคทองของวีไอใกล้หมด ต้องหาที่อุดมสมบูรณ์ ตอนนั้นจำได้ว่าไปที่เวียดนามกับ Money channel เพื่อดูลาดเลา และ กลับมาศึกษา พบว่า เวียดนามจะคล้ายไทยเมื่อ 20 ปีก่อน และ เติบโตตามประเทศไทยด้วยอัตราที่เร็วกว่า ใช้เวลาแค่ 10 กว่าปีก็เท่าไทย และจะแซงไปในที่สุด
ดร นิเวศน์ให้หลักคิดในการพิจารณาว่าประเทศมีศักยภาพในการเติบโต ดังนี้
1. คุณภาพของคนในประเทศ ดูจาก IQ คนเวียดนามมี IQ เฉลี่ยค่อนข้างสูง ในโลกมี ญี่ปุ่น จีน เกาหลี และเวียดนามเป็นประเทศที่มีประชากรมี IQ สูง ส่วน PISA Score ของ เวียดนามจะสูงกว่าเพื่อน
ส่วน ประเทศไทย กัมพูชา พม่า ลาว อินโดนีเซีย จะพอๆกัน
2. ระบบการปกครอง ประเทศทีมี IQ สูง เช่น จีน เวียดนาม จะมีระบอบการปกครองแบบคอมมิวนิสต์ รวมถึงพม่า กัมพูชา ลาวก็เหมือนกัน ส่วน อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ก็เป็นการปกครองแบบเผด็จการ หลังพลาซ่า แอคคอร์ต
ญึ่ปุ่นถูกบังคับให้ค่าเงินแข็งขึ้น ทำให้ส่งออกไม่ได้ เลยย้ายฐานการผลิตไปในประเทศที่เปิดกว้างในการลงทุน
ซึ่งช่วงนั้นเมื่อ 20-30 ปีก่อน ก็เหลือ แค่ ไทย มาเลเซีย สิงค์โปร เกาหลีใต้เท่านั้น โดย จะลงในไทย และ มาเลเซียเป็นหลัก ทำให้ไทย ส้มหล่น คุณภาพคนไทยพอใช้ได้ ตอนนั้น กลุ่มประเทศที่ใช้ตะเกียบ ได้แก่
ญี่ปุ่น จีน เกาหลี IQ สูง และเจริญแล้ว เหลือแค่ เวียดนามที่ยังไม่เจริญ เหมือนมีตะเกียบแค่ข้างเดียว
ทฤษฏีห่านบิน มาเป็นฝูง ตามกัน ช่วงนั้น หลังจาก จีนเริ่มเปิดประเทศ พม่า อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ก็ตามมาเปลี่ยนการปกครองจากเผด็จการ พร้อมรองรับการลงทุน เวียดนามหลังจากมีการปรับเปลี่ยนเป็นเสรีมากขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นประเทศสุดท้าย ที่จะเติบโตตาม
3. จำนวนประชากรที่มีหนุ่ม สาวมาก เป็นปัจจัยสำคัญ
ญี่ปุ่น เข้าสู่สังคมแก่ตัว เศรษฐกิจไม่เติบโต ส่วน เวียดนาม นาทีนี้ได้ทั้ง 3 อย่าง ความแก่อยู่กลางๆ ประเทศที่อ่อนสุด
คือ อินโดนีเซีย และ มาเลเซีย มีคนหนุ่มสาวเยอะ ส่วนฟิลิปปินส์ยิ่งเยอะใหญ่ 30%ยังไม่เริ่มทำงาน
ประเทศเกาหลี เด่นมาก แต่คนเริ่มแก่ตัว ไทย มีคนแก่มากสุดเท่าประเทศจีน จีนโตเร็วมากไม่ได้ อายุเฉลี่ยเกือบ40ปี
สังคมเปลี่ยนไป ไทย คงต้องเหนื่อย IQ ระดับปานกลางถึงต่ำ คนก็แก่ตัวลง เศรษฐกิจไทยชะลอตัวอย่างรวดเร็ว โตแค่3%ก็เก่งแล้ว ส่วนสิงคโปร์ ประเทศเล็กนิดเดียว เศรษฐกิจก็โตนิดเดียว คนแก่ก็เยอะ ไม่อยากมีลูก
ช่วงจังหวะที่บูม คนเริ่มแก่ตัว เก็บเงินเพื่อเกษียณ มีลูกน้อย มีเงินเยอะ ก็เอาเข้าตลาดหุ้น ทำให้ตลาดหุ้นบูม ตลาดหุ้นขึ้นไปด้วยเม็ดเงิน แต่ประเทศเวียดนาม ประชากรไม่ค่อยมีเงิน เศรษฐกิจเจริญเติบโต หลังจากสงครามสงบเมื่อ 40ปีที่แล้วมีเด็กเกิดมาเยอะ แต่ส่วนใหญ่ไม่มีเงิน ซึ่งเป็นจังหวะที่ดีมากในการเข้าตลาดหุ้นเวียดนาม 7ปีที่แล้วที่เกิดวิกฤต ระบบการเงินล้ม ค่าเงินลดลง30% คล้ายกับเหตุการณ์ตอนปี40บ้านเรา หนี้เสียของระบบธนาคารพุ่งสูง ตอนนี้ก็ยังไม่clear ในส่วนของ Real sector ค่าเงินลดลง แต่มีแรงงานเยอะ ส้มหล่น นักลงทุนมาเปิดโรงงานใหม่ก็จะมาที่เวียดนาม
โรงงานเก่าที่ทำ consumer electronic ก็ย้ายไปเวียดนามหมด คนเวียดนามเหนือกว่า แต่ค่าแรงถูกกว่าไทยครึ่งนึง
คนหนุ่มสาว มีความต้องการอยากรวย อยากสร้างอนาคต มันเหมือนปี40บ้านเรา เลยเข้าไปลงทุน กำไรดีมากแต่ค่าเงินลด30% การส่งออกเกือบเท่าไทย แต่ส่งออกไปอเมริการ ยุโรปมากกว่าไทย แต่ส่งออกมาอาเซียนยังน้อยกว่าไทย
มูลค่าการส่งออก มากกว่า 100%ของ GDPแล้ว เมื่อก่อนเกิด Deficit จากการลงทุนสร้างโรงงาน ตอนนี้เป็นบวกแล้ว
ค่าเงินก็ไม่ลด อาการดีขึ้นทุกอย่าง แต่คนไม่มีเงิน คนที่มีเงินจะไม่ไปเล่นหุ้น แต่ไปลงทุนสร้างโรงงานดีกว่า กำไรเห็นๆ
คนที่เล่นหุ้นช่วงบูม 1000 จุด ลดลงเหลือ 500 กว่าจุด ต่างชาติเริ่มเข้าลงทุน หุ้นกลุ่ม10บริษัทใหญ่ ต่างชาติถือเต็มเพดาน ตอนนี้เวียดนามเปิดประเทศ 100% เขาทำTPP กับประเทศทั่วโลก ต่างชาติสามารถซื้อที่ดิน บ้าน ได้เลย
ส่งออกโต 2 Digits ส่วนไทยส่งออกติดลบ 2-3% FDI ของเวียดนามมากกว่าไทยแล้ว ตอนนี้หุ้นใหญ่ของเวียดนามยังแพงอยู่ แต่หุ้นเล็กปันผลดี ประมาณ 5-6% PE น้อยกว่า 10 เท่า รัฐบาลรู้ว่า แทรกแซงแบบไหน ควรหลีกเลี่ยง
ส่วนใหญ่จะเปิดเพิ่ม เพิ่มกระตุ้นเศรษฐกิจประเทศ
หลังจากพักเบรก ดร นิเวศน์ มาพูดถึงวิธีคัดหุ้นลงทุนในประเทศเวียดนาม
โดยใช้หลักการ Magic Formula และ หลักการเลือกหุ้นของ ดร ไพบูลย์ โดยดูจาก 3 ตัวประกอบคือ
PE ต่ำ PB ต่ำ และ Dividend สูง หุ้นที่คัดมาจาก หุ้นที่มี ROE สูง นำมา Ranking จนได้หุ้น 60 ตัว
ดร นิเวศน์ บอกว่า ช่วงนั้นทำเองหมดในการเลือกหุ้นทั้ง 60 ตัว ตอนนี้ มี application ที่สามารถคัดได้ ง่ายกว่ามาก
หุ้นที่คัดมา ส่วนใหญ่ market cap 100-200 ล้านบาท ทำให้ ติดรายชื่อผู้ถือหุ้นใหญ่ถึง 50 ตัว ซึ่งเป็นหุ้นเล็ก
ปีแรก ไม่มี capital gain แต่ได้ปันผลมา 10% ตอนนี้ดูผลตอบแทนรวมปันผลได้ 44% แต่ไม่สามารถทำ rebalance ได้เนื่องจากหุ้นไม่มีสภาพคล่อง ดังนั้นจึงมีเหลือเงินสดส่วนนึง
หลังจากซื้อหุ้นไป ถึงมีสิทธิขอข้อมูลจาก โบรกเกอร์ ต่างจาก ลงทุนหุ้นไทย ขอข้อมูลก่อนการลงทุนได้
ได้ขอตัวเลขกำไรย้อนหลัง5 ปี ของหุ้น ทั้ง 60 บริษัท ปรากฏว่า มีกำไรทุกตัว และ ทุกปี ไม่มีตัวใดขาดทุนเลย
กำไรบวกทุกปี นี่คือหุ้นที่ไม่มีใครมาเหลียวแล หุ้นไม่มีขาดทุน แต่กำไรเท่าเดิม ได้แก่หุ้นทำแบบเดิมๆ เช่น ทำธุรกิจขายหนังสือ ทำน้ำตาล หรือ ก่อสร้าง
มาดูผลประกอบการของหุ้นทั้ง 60 ตัว
หุ้น 12 ตัว ได้ผลตอบแทนดีมาก โดย 6 ตัวที่ดีสุด ได้ return > 200% และ 6 ตัวหลัง return > 100%
และ ก็มีบางตัว ขาดทุน เกิน 50% เฉลี่ยทั้ง port 44%
อยากลงทุนเพิ่ม แต่ไม่อยากลงทุนแบบเดิม เพราะถ้าลงทุนหุ้นถึง 120 ตัว ปวดหัวตาย ตามยาก เสียเวลาเยอะ
อยากซื้อหุ้นตัวใหญ่ เยอะๆ แต่ก็หาซื้อไม่ได้ ตอนนี้สัดส่วนหุ้นเวียดนามโตจาก 5-6% เป็น 7-8%
ยังมองๆอยู่ ว่าหาทางเพิ่มได้อย่างไร
ดร นิเวศน์ ได้ย้อนไปดูเวียดนาม เมื่อปี 2538 เวียดนามแตก เจ้าของที่ทำธุรกิจ ได้หนีออกจากเวียดนามไปหมด
ดังนั้นหลังจากเปิดประเทศใหม่ ไม่มีธุรกิจที่ใหญ่ ธุรกิจเล็กก็โตไม่ทัน
ธุรกิจที่ขายมือถือ ไปทำเครื่องใช้ไฟฟ้า คล้ายกับ JMART , COM7 ขยายตัวเร็วมาก ราคาหุ้นก็สูง คนทำธุรกิจเป็นคนรุ่นใหม่ที่เคยทำบริษัทฝรั่งมาก่อน หุ้น 50 กว่าตัวในport เป็นหุ้นรัฐวิสาหกิจ เวียดนามเอารัฐวิสาหกิจเข้าตลาดหลักทรัพย์ เช่น บริษัทยา หรือ รับเหมาก่อสร้าง ถ้าเราเจอจะ unimpress เพราะคนที่ไปนั่งบริหาร ก็มาจาก ผู้มีอำนาจจากสมาชิกพรรค เข้าไปนั่ง ธุรกิจไม่เจ็งเพราะไม่เปิดโอกาสให้คนใหม่เข้ามาขายแข่ง ผู้บริหารไม่มีหุ้น เลยไม่มีแรงจูงใจในการทำธุรกิจ ตอนนี้คนรุ่นใหม่จาก ต่างประเทศมาทำ property เห็นโอกาส ก็มาเริ่มบุกธุรกิจ ต่างชาติก็เข้ามาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ทำให้หุ้นขึ้น หุ้น Vietnamilk ใหญ่สุดในเวียดนาม ยอดขายเล็กกว่า CPF เยอะ แต่ Marketcap พอๆกัน
ถ้าอยากำไรเยอะๆในระยะยาว ก็ต้องลงทุนในหุ้นขนาดเล็ก ประมาณ 200-600 ล้านบาท
กระจายความเสี่ยงของหุ้นออกไป ใช้ Magic formula ในการเลือกหุ้นลงทุนในเวียดนาม เพราะเราไม่มีความรู้ในแต่ละบริษัทที่เพียงพอ และ ไม่ได้ติดตามอย่างเพียงพอ
คำถามจากคุณทีน่า ว่า ถ้าหุ้นใหญ่ อย่าง Vietnamilk เกิดวิกฤต สนใจไปลงทุนหรือไม่
ดร นิเวศน์ ตอบว่า พูดยาก เพราะปี 40 ที่ซื้อเป็นหุ้นตัวเล็ก ดังนั้นยังบอกไม่ได้ ตอนนี้ยัง happy หวังว่า port จะโตไปที่ 10-20% ลงทุนด้วยการใช้อัตราส่วนทางการเงินเป็นตัวคัดหุ้น ตอนนี้มีเงินเหลือหลายสิบล้านบาท กำลังดูหุ้น 60 ตัวว่าตัวไหนดี แล้วจะซื้อ Biglot แต่ก็เจอว่า เจ้าของเอารายการที่เราขอซื้อไป ขายให้คนอื่นที่ให้ราคาดีกว่า
ที่เวียดนามยังไม่settle เหมือนไทย ยังมีเหตุการณ์ เพิ่มทุนราคาต่ำกว่าราคาตลาดให้กับข้าราชการ แต่ไม่ให้กับผู้ถือหุ้น
ธุรกิจที่น่าสนใจเช่น ทำทางด่วน เพราะตอนนี้รถยนต์น้อย ทางด่วนกำไรดี บริษัท marketcap ยังน้อย ถนนกำลังสร้าง
อนาคตมีแต่จะเพิ่ม ส่วนธุรกิจ เช่น ที่ดิน ของ ขนส่ง คล้าย บขส บ้านเรา market cap แค่ 500 ล้านบาท
ปันผล 10% แต่กิจกรรมมากขึ้น ราคาจะค่อยๆขึ้นไป เป็นหุ้น monopoly power เช่นเป็นเจ้าของที่ดิน
ทางด่วน ไม่มีใครแข่งได้ เวลาโตขึ้น discount rate ต่ำลง PE อาจขยับจาก 10 ไป 20-30 เท่า แค่นี้ก็พอแล้ว
ลงทุนในเวียดนามไปเรื่อยๆ หุ้นขึ้นมามากๆ อาจจะขาย แต่ตอนนี้เก็บกินปันผลดีกว่า ขายตอนนี้ไม่ได้ราคา
และไม่รู้ขายแล้วไปซื้อตัวไหนดี
ดร นิเวศน์มาสรุปปิดท้ายการสัมมนา ว่า ยังตามหุ้นใน port มีความสุขกับผลตอบแทน 10-15% ต่อปี
หุ้นใหญ่ที่โตมาก ราคาไม่ถูกเช่น Vietnamilk บริษัทไม่ได้เปรียบอย่างยั่งยืน ตอนนี้มาแรง อนาคตจะด้อยลงหรือเปล่า
บริษัทเล็ก โตขึ้นเรื่อยๆ ถ้าวันนึงอาจโตเท่ากัน หุ้นพลังงาน เมื่อก่อนคนเชียร์มาก ตอนนี้ราคาลงไป 30-40%
ควรหลีกเลี่ยง บริษัททำทางด่วน3สาย market cap 500 ล้านบาท เป็นหุ้นเล็ก นั่งคิดอีก 10 ปี รถยนต์เพิ่มขึ้น
ก็มาเทียบกับบริษัทในไทย บริษัทคุมทางด่วน market cap เท่าไหร่ สุดท้าย market cap ก็จะใหญ่โตขึ้น
ส่วนวิทยากรท่านอื่นๆจะทยอยลงให้นะครับ
สุดท้ายขอขอบคุณ น้องเต๋า และ ทีมงาน ที่จัดสัมมนาดีๆแบบนี้ให้เราได้ฟัง
ช่วงแนวคิดและประสบการณ์ลงทุนหุ้นเวียดนาม สัมภาษณ์ โดย คุณทีน่า
วิทยากร
1. ดร นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ปรมาจารย์ด้านการลงทุนแบบเน้นคุณค่าของไทย
2. คุณ พิกุล พิทยาอิสรกุล ผู้จัดการกองทุน Phillip Private Fund เวียดนาม
3. คุณ วิศวกร ปันยารชุน นักลงทุนหุ้นเวียดนาม ประสบการณ์กว่า 7 ปีในเวียดนาม
4. คุณ ภาคภูมิ ศิริหงส์ทอง นักลงทุนหุ้นเวียดนาม เจ้าของเพจ road to billion
คุณทีน่า ได้เกริ่นนำว่า กระแสการลงทุนในหุ้นเวียดนาม มาจากการเปิดเผยความคิดของ ดร นิเวศน์ เรื่อง หมดยุคทองของวีไอไทย และ การไปลงทุนหุ้นที่เวียดนามเมื่อปี 2014
ดร นิเวศน์ ตอบว่า ยุคทองของวีไอใกล้หมด ต้องหาที่อุดมสมบูรณ์ ตอนนั้นจำได้ว่าไปที่เวียดนามกับ Money channel เพื่อดูลาดเลา และ กลับมาศึกษา พบว่า เวียดนามจะคล้ายไทยเมื่อ 20 ปีก่อน และ เติบโตตามประเทศไทยด้วยอัตราที่เร็วกว่า ใช้เวลาแค่ 10 กว่าปีก็เท่าไทย และจะแซงไปในที่สุด
ดร นิเวศน์ให้หลักคิดในการพิจารณาว่าประเทศมีศักยภาพในการเติบโต ดังนี้
1. คุณภาพของคนในประเทศ ดูจาก IQ คนเวียดนามมี IQ เฉลี่ยค่อนข้างสูง ในโลกมี ญี่ปุ่น จีน เกาหลี และเวียดนามเป็นประเทศที่มีประชากรมี IQ สูง ส่วน PISA Score ของ เวียดนามจะสูงกว่าเพื่อน
ส่วน ประเทศไทย กัมพูชา พม่า ลาว อินโดนีเซีย จะพอๆกัน
2. ระบบการปกครอง ประเทศทีมี IQ สูง เช่น จีน เวียดนาม จะมีระบอบการปกครองแบบคอมมิวนิสต์ รวมถึงพม่า กัมพูชา ลาวก็เหมือนกัน ส่วน อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ก็เป็นการปกครองแบบเผด็จการ หลังพลาซ่า แอคคอร์ต
ญึ่ปุ่นถูกบังคับให้ค่าเงินแข็งขึ้น ทำให้ส่งออกไม่ได้ เลยย้ายฐานการผลิตไปในประเทศที่เปิดกว้างในการลงทุน
ซึ่งช่วงนั้นเมื่อ 20-30 ปีก่อน ก็เหลือ แค่ ไทย มาเลเซีย สิงค์โปร เกาหลีใต้เท่านั้น โดย จะลงในไทย และ มาเลเซียเป็นหลัก ทำให้ไทย ส้มหล่น คุณภาพคนไทยพอใช้ได้ ตอนนั้น กลุ่มประเทศที่ใช้ตะเกียบ ได้แก่
ญี่ปุ่น จีน เกาหลี IQ สูง และเจริญแล้ว เหลือแค่ เวียดนามที่ยังไม่เจริญ เหมือนมีตะเกียบแค่ข้างเดียว
ทฤษฏีห่านบิน มาเป็นฝูง ตามกัน ช่วงนั้น หลังจาก จีนเริ่มเปิดประเทศ พม่า อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ก็ตามมาเปลี่ยนการปกครองจากเผด็จการ พร้อมรองรับการลงทุน เวียดนามหลังจากมีการปรับเปลี่ยนเป็นเสรีมากขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นประเทศสุดท้าย ที่จะเติบโตตาม
3. จำนวนประชากรที่มีหนุ่ม สาวมาก เป็นปัจจัยสำคัญ
ญี่ปุ่น เข้าสู่สังคมแก่ตัว เศรษฐกิจไม่เติบโต ส่วน เวียดนาม นาทีนี้ได้ทั้ง 3 อย่าง ความแก่อยู่กลางๆ ประเทศที่อ่อนสุด
คือ อินโดนีเซีย และ มาเลเซีย มีคนหนุ่มสาวเยอะ ส่วนฟิลิปปินส์ยิ่งเยอะใหญ่ 30%ยังไม่เริ่มทำงาน
ประเทศเกาหลี เด่นมาก แต่คนเริ่มแก่ตัว ไทย มีคนแก่มากสุดเท่าประเทศจีน จีนโตเร็วมากไม่ได้ อายุเฉลี่ยเกือบ40ปี
สังคมเปลี่ยนไป ไทย คงต้องเหนื่อย IQ ระดับปานกลางถึงต่ำ คนก็แก่ตัวลง เศรษฐกิจไทยชะลอตัวอย่างรวดเร็ว โตแค่3%ก็เก่งแล้ว ส่วนสิงคโปร์ ประเทศเล็กนิดเดียว เศรษฐกิจก็โตนิดเดียว คนแก่ก็เยอะ ไม่อยากมีลูก
ช่วงจังหวะที่บูม คนเริ่มแก่ตัว เก็บเงินเพื่อเกษียณ มีลูกน้อย มีเงินเยอะ ก็เอาเข้าตลาดหุ้น ทำให้ตลาดหุ้นบูม ตลาดหุ้นขึ้นไปด้วยเม็ดเงิน แต่ประเทศเวียดนาม ประชากรไม่ค่อยมีเงิน เศรษฐกิจเจริญเติบโต หลังจากสงครามสงบเมื่อ 40ปีที่แล้วมีเด็กเกิดมาเยอะ แต่ส่วนใหญ่ไม่มีเงิน ซึ่งเป็นจังหวะที่ดีมากในการเข้าตลาดหุ้นเวียดนาม 7ปีที่แล้วที่เกิดวิกฤต ระบบการเงินล้ม ค่าเงินลดลง30% คล้ายกับเหตุการณ์ตอนปี40บ้านเรา หนี้เสียของระบบธนาคารพุ่งสูง ตอนนี้ก็ยังไม่clear ในส่วนของ Real sector ค่าเงินลดลง แต่มีแรงงานเยอะ ส้มหล่น นักลงทุนมาเปิดโรงงานใหม่ก็จะมาที่เวียดนาม
โรงงานเก่าที่ทำ consumer electronic ก็ย้ายไปเวียดนามหมด คนเวียดนามเหนือกว่า แต่ค่าแรงถูกกว่าไทยครึ่งนึง
คนหนุ่มสาว มีความต้องการอยากรวย อยากสร้างอนาคต มันเหมือนปี40บ้านเรา เลยเข้าไปลงทุน กำไรดีมากแต่ค่าเงินลด30% การส่งออกเกือบเท่าไทย แต่ส่งออกไปอเมริการ ยุโรปมากกว่าไทย แต่ส่งออกมาอาเซียนยังน้อยกว่าไทย
มูลค่าการส่งออก มากกว่า 100%ของ GDPแล้ว เมื่อก่อนเกิด Deficit จากการลงทุนสร้างโรงงาน ตอนนี้เป็นบวกแล้ว
ค่าเงินก็ไม่ลด อาการดีขึ้นทุกอย่าง แต่คนไม่มีเงิน คนที่มีเงินจะไม่ไปเล่นหุ้น แต่ไปลงทุนสร้างโรงงานดีกว่า กำไรเห็นๆ
คนที่เล่นหุ้นช่วงบูม 1000 จุด ลดลงเหลือ 500 กว่าจุด ต่างชาติเริ่มเข้าลงทุน หุ้นกลุ่ม10บริษัทใหญ่ ต่างชาติถือเต็มเพดาน ตอนนี้เวียดนามเปิดประเทศ 100% เขาทำTPP กับประเทศทั่วโลก ต่างชาติสามารถซื้อที่ดิน บ้าน ได้เลย
ส่งออกโต 2 Digits ส่วนไทยส่งออกติดลบ 2-3% FDI ของเวียดนามมากกว่าไทยแล้ว ตอนนี้หุ้นใหญ่ของเวียดนามยังแพงอยู่ แต่หุ้นเล็กปันผลดี ประมาณ 5-6% PE น้อยกว่า 10 เท่า รัฐบาลรู้ว่า แทรกแซงแบบไหน ควรหลีกเลี่ยง
ส่วนใหญ่จะเปิดเพิ่ม เพิ่มกระตุ้นเศรษฐกิจประเทศ
หลังจากพักเบรก ดร นิเวศน์ มาพูดถึงวิธีคัดหุ้นลงทุนในประเทศเวียดนาม
โดยใช้หลักการ Magic Formula และ หลักการเลือกหุ้นของ ดร ไพบูลย์ โดยดูจาก 3 ตัวประกอบคือ
PE ต่ำ PB ต่ำ และ Dividend สูง หุ้นที่คัดมาจาก หุ้นที่มี ROE สูง นำมา Ranking จนได้หุ้น 60 ตัว
ดร นิเวศน์ บอกว่า ช่วงนั้นทำเองหมดในการเลือกหุ้นทั้ง 60 ตัว ตอนนี้ มี application ที่สามารถคัดได้ ง่ายกว่ามาก
หุ้นที่คัดมา ส่วนใหญ่ market cap 100-200 ล้านบาท ทำให้ ติดรายชื่อผู้ถือหุ้นใหญ่ถึง 50 ตัว ซึ่งเป็นหุ้นเล็ก
ปีแรก ไม่มี capital gain แต่ได้ปันผลมา 10% ตอนนี้ดูผลตอบแทนรวมปันผลได้ 44% แต่ไม่สามารถทำ rebalance ได้เนื่องจากหุ้นไม่มีสภาพคล่อง ดังนั้นจึงมีเหลือเงินสดส่วนนึง
หลังจากซื้อหุ้นไป ถึงมีสิทธิขอข้อมูลจาก โบรกเกอร์ ต่างจาก ลงทุนหุ้นไทย ขอข้อมูลก่อนการลงทุนได้
ได้ขอตัวเลขกำไรย้อนหลัง5 ปี ของหุ้น ทั้ง 60 บริษัท ปรากฏว่า มีกำไรทุกตัว และ ทุกปี ไม่มีตัวใดขาดทุนเลย
กำไรบวกทุกปี นี่คือหุ้นที่ไม่มีใครมาเหลียวแล หุ้นไม่มีขาดทุน แต่กำไรเท่าเดิม ได้แก่หุ้นทำแบบเดิมๆ เช่น ทำธุรกิจขายหนังสือ ทำน้ำตาล หรือ ก่อสร้าง
มาดูผลประกอบการของหุ้นทั้ง 60 ตัว
หุ้น 12 ตัว ได้ผลตอบแทนดีมาก โดย 6 ตัวที่ดีสุด ได้ return > 200% และ 6 ตัวหลัง return > 100%
และ ก็มีบางตัว ขาดทุน เกิน 50% เฉลี่ยทั้ง port 44%
อยากลงทุนเพิ่ม แต่ไม่อยากลงทุนแบบเดิม เพราะถ้าลงทุนหุ้นถึง 120 ตัว ปวดหัวตาย ตามยาก เสียเวลาเยอะ
อยากซื้อหุ้นตัวใหญ่ เยอะๆ แต่ก็หาซื้อไม่ได้ ตอนนี้สัดส่วนหุ้นเวียดนามโตจาก 5-6% เป็น 7-8%
ยังมองๆอยู่ ว่าหาทางเพิ่มได้อย่างไร
ดร นิเวศน์ ได้ย้อนไปดูเวียดนาม เมื่อปี 2538 เวียดนามแตก เจ้าของที่ทำธุรกิจ ได้หนีออกจากเวียดนามไปหมด
ดังนั้นหลังจากเปิดประเทศใหม่ ไม่มีธุรกิจที่ใหญ่ ธุรกิจเล็กก็โตไม่ทัน
ธุรกิจที่ขายมือถือ ไปทำเครื่องใช้ไฟฟ้า คล้ายกับ JMART , COM7 ขยายตัวเร็วมาก ราคาหุ้นก็สูง คนทำธุรกิจเป็นคนรุ่นใหม่ที่เคยทำบริษัทฝรั่งมาก่อน หุ้น 50 กว่าตัวในport เป็นหุ้นรัฐวิสาหกิจ เวียดนามเอารัฐวิสาหกิจเข้าตลาดหลักทรัพย์ เช่น บริษัทยา หรือ รับเหมาก่อสร้าง ถ้าเราเจอจะ unimpress เพราะคนที่ไปนั่งบริหาร ก็มาจาก ผู้มีอำนาจจากสมาชิกพรรค เข้าไปนั่ง ธุรกิจไม่เจ็งเพราะไม่เปิดโอกาสให้คนใหม่เข้ามาขายแข่ง ผู้บริหารไม่มีหุ้น เลยไม่มีแรงจูงใจในการทำธุรกิจ ตอนนี้คนรุ่นใหม่จาก ต่างประเทศมาทำ property เห็นโอกาส ก็มาเริ่มบุกธุรกิจ ต่างชาติก็เข้ามาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ทำให้หุ้นขึ้น หุ้น Vietnamilk ใหญ่สุดในเวียดนาม ยอดขายเล็กกว่า CPF เยอะ แต่ Marketcap พอๆกัน
ถ้าอยากำไรเยอะๆในระยะยาว ก็ต้องลงทุนในหุ้นขนาดเล็ก ประมาณ 200-600 ล้านบาท
กระจายความเสี่ยงของหุ้นออกไป ใช้ Magic formula ในการเลือกหุ้นลงทุนในเวียดนาม เพราะเราไม่มีความรู้ในแต่ละบริษัทที่เพียงพอ และ ไม่ได้ติดตามอย่างเพียงพอ
คำถามจากคุณทีน่า ว่า ถ้าหุ้นใหญ่ อย่าง Vietnamilk เกิดวิกฤต สนใจไปลงทุนหรือไม่
ดร นิเวศน์ ตอบว่า พูดยาก เพราะปี 40 ที่ซื้อเป็นหุ้นตัวเล็ก ดังนั้นยังบอกไม่ได้ ตอนนี้ยัง happy หวังว่า port จะโตไปที่ 10-20% ลงทุนด้วยการใช้อัตราส่วนทางการเงินเป็นตัวคัดหุ้น ตอนนี้มีเงินเหลือหลายสิบล้านบาท กำลังดูหุ้น 60 ตัวว่าตัวไหนดี แล้วจะซื้อ Biglot แต่ก็เจอว่า เจ้าของเอารายการที่เราขอซื้อไป ขายให้คนอื่นที่ให้ราคาดีกว่า
ที่เวียดนามยังไม่settle เหมือนไทย ยังมีเหตุการณ์ เพิ่มทุนราคาต่ำกว่าราคาตลาดให้กับข้าราชการ แต่ไม่ให้กับผู้ถือหุ้น
ธุรกิจที่น่าสนใจเช่น ทำทางด่วน เพราะตอนนี้รถยนต์น้อย ทางด่วนกำไรดี บริษัท marketcap ยังน้อย ถนนกำลังสร้าง
อนาคตมีแต่จะเพิ่ม ส่วนธุรกิจ เช่น ที่ดิน ของ ขนส่ง คล้าย บขส บ้านเรา market cap แค่ 500 ล้านบาท
ปันผล 10% แต่กิจกรรมมากขึ้น ราคาจะค่อยๆขึ้นไป เป็นหุ้น monopoly power เช่นเป็นเจ้าของที่ดิน
ทางด่วน ไม่มีใครแข่งได้ เวลาโตขึ้น discount rate ต่ำลง PE อาจขยับจาก 10 ไป 20-30 เท่า แค่นี้ก็พอแล้ว
ลงทุนในเวียดนามไปเรื่อยๆ หุ้นขึ้นมามากๆ อาจจะขาย แต่ตอนนี้เก็บกินปันผลดีกว่า ขายตอนนี้ไม่ได้ราคา
และไม่รู้ขายแล้วไปซื้อตัวไหนดี
ดร นิเวศน์มาสรุปปิดท้ายการสัมมนา ว่า ยังตามหุ้นใน port มีความสุขกับผลตอบแทน 10-15% ต่อปี
หุ้นใหญ่ที่โตมาก ราคาไม่ถูกเช่น Vietnamilk บริษัทไม่ได้เปรียบอย่างยั่งยืน ตอนนี้มาแรง อนาคตจะด้อยลงหรือเปล่า
บริษัทเล็ก โตขึ้นเรื่อยๆ ถ้าวันนึงอาจโตเท่ากัน หุ้นพลังงาน เมื่อก่อนคนเชียร์มาก ตอนนี้ราคาลงไป 30-40%
ควรหลีกเลี่ยง บริษัททำทางด่วน3สาย market cap 500 ล้านบาท เป็นหุ้นเล็ก นั่งคิดอีก 10 ปี รถยนต์เพิ่มขึ้น
ก็มาเทียบกับบริษัทในไทย บริษัทคุมทางด่วน market cap เท่าไหร่ สุดท้าย market cap ก็จะใหญ่โตขึ้น
ส่วนวิทยากรท่านอื่นๆจะทยอยลงให้นะครับ
สุดท้ายขอขอบคุณ น้องเต๋า และ ทีมงาน ที่จัดสัมมนาดีๆแบบนี้ให้เราได้ฟัง
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
สัมมนา VVinvestors ‘ day กลยุทธ์การลงทุนหุ้นคุณค่าในเวียดนาม
โพสต์ที่ 4
สัมมนา VVinvestors ‘ day กลยุทธ์การลงทุนหุ้นคุณค่าในเวียดนาม
ช่วงแนวคิดและประสบการณ์ลงทุนหุ้นเวียดนาม สัมภาษณ์ โดย คุณทีน่า
คุณ ภาคภูมิ ศิริหงส์ทอง นักลงทุนหุ้นเวียดนาม เจ้าของเพจ road to billion
คำถาม อยากให้คุณบอมแชร์ในฐานะนักลงทุนtierใหม่ เข้าไปตอนนี้ในตลาดหุ้นเวียดนามแพงไปหรือเปล่า เพราะช่วงเวลาที่ตลาดหุ้นถูกได้ผ่านไปแล้ว
คุณบอล ตอบว่า ผมลงทุนในไทยไม่ทันในช่วงวิกฤตการณ์สมัยแฮมเบอร์เกอร์ เลยพยายามหาโอกาส จากการศึกษาตลาดหุ้นเวียดนาม มีโอกาสอย่างเห็นได้ชัดมาก ทุกคนอยากกำไรในการลงทุนตลาดหุ้นเวียดนามต้องใช้ความพยายามมาก ผลตอบแทนก็อาจไม่คุ้ม จึงเริ่มจาก Port 10-20%
มองว่าตลาดเวียดนามจะดีต้องลงทุนใน10ปีข้างหน้า ตลาดถูกดันขึ้นไปให้มี valuation เหมือนไทย
อยากย้ำเวียดนาม ประชากรอายุน้อยกว่า IQสูง บอสตัน คอนเซาติ้ง กรุ๊ป บอกว่า เวียดนามเติบโตใหญ่สุดในอาเซียน
ประชากรมีอำนาจการซื้อมากขึ้น Middle class เงินเดือนไม่ต่างจากไทย แต่ค่าใช้จ่ายถูกกว่า รถยนต์เติบโต 40% ยอดขายอสังหาโต 2-3 เท่า คนแข่งกันซื้อ ส่งผลต่อหุ้นทีเราลงทุน ถ้าไปมองที่ตัวราคา Market cap / GDP ประมาณ 30% เทียบกัยตลาด Develop market ประมาณ 100%
หุ้นยังถูกอยู่ แต่หุ้นดีๆยังไม่เข้าตลาด หาหุ้นที่มี เงินปันผล 10%ยังหาได้แต่น้อยลง ROE 30% ยังหาได้
คุณภาพของกำไรไม่เหมือนในไทย เช่น บริษัท ซีพี หรือ บิ๊กซี แต่ พีอี 7 เท่าเอง ถ้าขึ้นมา 10 เท่า ก็กำไร 50%
ถามว่าหุ้นแบบนี้มีอีกไหม ยังมีแต่หายากขึ้น อยากได้ต้องหาเป็นรายตัว
อุตสาหกรรมยา ถ้าเราไม่ได้อ่านบทวิเคราะห์ หรือไม่ใช่คนท้องถิ่น จะเข้าใจยากมาก
เราจะเอาชนะทุกปีมันยากกว่าลงทุนในไทยเยอะ เราเสียเปรียบในการลงทุนหุ้นต่างประเทศมาก
ตอนนี้ลงทุนได้แค่ 5-10ปี และ ลงทุนหุ้นเป็นรายตัว
คำถามจากคุณทีน่าว่า คุณบอลใช้แนวลงทุนแบบไหน เลือกลงทุนอย่างไร ผลตอบแทนเป็นอย่างไร
คุณบอล ตอบว่า ผลตอบแทนในระยะสั้น 1-2ปี เป็นโชค Portแรก เมื่อ ตค 2014 เงินจำนวนน้อย จึงลงได้ไม่กี่ตัว ได้ผลตอบแทน 80%
Portหลัก ลงหุ้นประมาณ 20-30 ตัว เหมือน คุณพิกุล ที่บริหารให้กับลูกค้า
ตัวอย่าง บริษัทขายเครื่องมือแพทย์ เทรดกัน 10% ของช่วงที่พีค ทุกอย่างดีหมด มีgrowth แต่เจอว่า เจ้าของหนีไป เจ้าของลาออก ท้ายสุดโดนจับ หุ้นfloorตลอด 3-5 floor หลังจากนั้น ซิลลิ่ง เพื่อ floor ต่อ
ปีนี้ก็เจอหุ้นหลายตัว ดังนั้นไม่ควรอัดแค 2-5 ตัว
การลงทุนในหุ้นเวียดนาม เหมือนไทย ลงทุนอย่างมีความเข้าใจในบริษัท มองยาว 3-5 ปีข้างหน้า
สุดท้ายหุ้นที่เลือกได้ ต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้
brand หรือ มีช่องทางการจัดจำหน่ายของตัวเองที่แข็งแกร่ง หุ้นที่ไม่ค่อยพึ่งพาสิทธิบัตรทางรัฐ ไม่โดนผลกระทบจากภาครัฐ
ต้องเวลาในการลงทุน ไม่พึ่งพาลูกค้าน้อยรายเกินไป ไม่พึ่งพาสิทธิประโยชน์ของภาครัฐ
ที่ควรหลีกเลี่ยง ได้แก่
บริษัทที่มีการจัดการไม่ดี พยายามมอง downsideไว้ก่อน
หลักในการลงทุนหุ้นในตลาดเวียดนาม
1. เวลาการลงทุน ต้องเข้าใจบริษัทก่อน หาข้อมูลบริษัทได้ง่าย
2. เวลาเกิดอะไรขึ้น ต้องเข้าใจว่าเกิดจากอะไร เช่น บริษทขายเครื่องเขียน market share 70-80%
เรามั่นใจว่าเมื่อราคาขึ้นมาเยอะ เรายังถือได้
3. หุ้นแบบนี้มีจุดแข็งของมันเอง มีจุดเด่น สามารถชนะคู่แข่งอย่างขาดลอย
4. หุ้นต้องไม่แพงเกินไป หลีกเลี่ยงหุ้นที่ราคาเหวี่ยงไปมา
5. หุ้นที่มี PE 20-30 เท่า ต้องหลีกเลี่ยง
การลงทุน ต้องดูว่ามีวัตถุประสงค์ในการลงทุนแบบไหน ซึ่งวิทยากรทั้งสี่ท่านไม่เหมือนกันเลย
ตัวผม ต้องการสร้างอนาคตใหม่ ผมลงไปเป็นสัดส่วน 40-50% port
ปัจจัยในการประสบความสำเร็จ
1. ต้องมีconnection กับคนเวียดนาม ต้องลงแรงเยอะ
2. ต้องไปเยี่ยมชมกิจการที่เวียดนาม
3. ต้องเข้าตลาดว่าคิดอย่างไร
ผมดูหุ้นเป็นรายตัว อยากได้หุ้นที่ยั่งยืน
ที่แตกต่างจากไทยคือ Timeframe
ไทยไปขอข้อมูลจากบริษัทต่างๆในไทยได้ แต่ที่เวียดนาม ติดต่อยากกว่า เพราะ เคยสอบถามผ่านเมลไปยังผุ้บริหาร ก็ไม่ตอบมา
ธุรกิจ commodity รถไฟฟ้า เข้าใจยาก มีปัจจัยมากระทบเยอะ
หาหุ้นที่เราเข้าใจ และ demandยังอยู่ ก็จะไปดูที่ ค้าปลีก เช่น บริษัท Mobile World ( Mr. Tai เป็นเจ้าของ )
ที่เวียดนาม การเข้าถึงข้อมูลยาก บางบริษัทไม่มีภาษาอังกฤษ ก็จะไม่กล้าลงเยอะ
อาจต้องหาผู้ช่วง และ ให้ผู้ช่วยที่สามารถแปลภาษาเป็นไทย
Annual report บางบริษัทเป็นภาษาอังกฤษ จะมีรายละเอียดมาก
ผมเคยทำสรุป 10 website ที่ช่วยในการหาข้อมูล และ ใช้ Jitta เยอะมาใช้ในการลงทุน
สุดท้าย ก่อนจบสัมมนา คุณบอล ยังฝากมาถึงเรื่องการลงทุน
1. ต้องดูว่าบริษัททำอะไร
2. เข้าไปดูบริษัท และ อุตสาหกรรม เปรียบเทียบกัน
3. เช็คข่าว บริษัท และ ของอุตสาหกรรม
สุดท้าย ขอขอบคุณบอล ที่มาแชร์ข้อมูลในการลงทุนหุ้นในเวียดนามครับ
ช่วงแนวคิดและประสบการณ์ลงทุนหุ้นเวียดนาม สัมภาษณ์ โดย คุณทีน่า
คุณ ภาคภูมิ ศิริหงส์ทอง นักลงทุนหุ้นเวียดนาม เจ้าของเพจ road to billion
คำถาม อยากให้คุณบอมแชร์ในฐานะนักลงทุนtierใหม่ เข้าไปตอนนี้ในตลาดหุ้นเวียดนามแพงไปหรือเปล่า เพราะช่วงเวลาที่ตลาดหุ้นถูกได้ผ่านไปแล้ว
คุณบอล ตอบว่า ผมลงทุนในไทยไม่ทันในช่วงวิกฤตการณ์สมัยแฮมเบอร์เกอร์ เลยพยายามหาโอกาส จากการศึกษาตลาดหุ้นเวียดนาม มีโอกาสอย่างเห็นได้ชัดมาก ทุกคนอยากกำไรในการลงทุนตลาดหุ้นเวียดนามต้องใช้ความพยายามมาก ผลตอบแทนก็อาจไม่คุ้ม จึงเริ่มจาก Port 10-20%
มองว่าตลาดเวียดนามจะดีต้องลงทุนใน10ปีข้างหน้า ตลาดถูกดันขึ้นไปให้มี valuation เหมือนไทย
อยากย้ำเวียดนาม ประชากรอายุน้อยกว่า IQสูง บอสตัน คอนเซาติ้ง กรุ๊ป บอกว่า เวียดนามเติบโตใหญ่สุดในอาเซียน
ประชากรมีอำนาจการซื้อมากขึ้น Middle class เงินเดือนไม่ต่างจากไทย แต่ค่าใช้จ่ายถูกกว่า รถยนต์เติบโต 40% ยอดขายอสังหาโต 2-3 เท่า คนแข่งกันซื้อ ส่งผลต่อหุ้นทีเราลงทุน ถ้าไปมองที่ตัวราคา Market cap / GDP ประมาณ 30% เทียบกัยตลาด Develop market ประมาณ 100%
หุ้นยังถูกอยู่ แต่หุ้นดีๆยังไม่เข้าตลาด หาหุ้นที่มี เงินปันผล 10%ยังหาได้แต่น้อยลง ROE 30% ยังหาได้
คุณภาพของกำไรไม่เหมือนในไทย เช่น บริษัท ซีพี หรือ บิ๊กซี แต่ พีอี 7 เท่าเอง ถ้าขึ้นมา 10 เท่า ก็กำไร 50%
ถามว่าหุ้นแบบนี้มีอีกไหม ยังมีแต่หายากขึ้น อยากได้ต้องหาเป็นรายตัว
อุตสาหกรรมยา ถ้าเราไม่ได้อ่านบทวิเคราะห์ หรือไม่ใช่คนท้องถิ่น จะเข้าใจยากมาก
เราจะเอาชนะทุกปีมันยากกว่าลงทุนในไทยเยอะ เราเสียเปรียบในการลงทุนหุ้นต่างประเทศมาก
ตอนนี้ลงทุนได้แค่ 5-10ปี และ ลงทุนหุ้นเป็นรายตัว
คำถามจากคุณทีน่าว่า คุณบอลใช้แนวลงทุนแบบไหน เลือกลงทุนอย่างไร ผลตอบแทนเป็นอย่างไร
คุณบอล ตอบว่า ผลตอบแทนในระยะสั้น 1-2ปี เป็นโชค Portแรก เมื่อ ตค 2014 เงินจำนวนน้อย จึงลงได้ไม่กี่ตัว ได้ผลตอบแทน 80%
Portหลัก ลงหุ้นประมาณ 20-30 ตัว เหมือน คุณพิกุล ที่บริหารให้กับลูกค้า
ตัวอย่าง บริษัทขายเครื่องมือแพทย์ เทรดกัน 10% ของช่วงที่พีค ทุกอย่างดีหมด มีgrowth แต่เจอว่า เจ้าของหนีไป เจ้าของลาออก ท้ายสุดโดนจับ หุ้นfloorตลอด 3-5 floor หลังจากนั้น ซิลลิ่ง เพื่อ floor ต่อ
ปีนี้ก็เจอหุ้นหลายตัว ดังนั้นไม่ควรอัดแค 2-5 ตัว
การลงทุนในหุ้นเวียดนาม เหมือนไทย ลงทุนอย่างมีความเข้าใจในบริษัท มองยาว 3-5 ปีข้างหน้า
สุดท้ายหุ้นที่เลือกได้ ต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้
brand หรือ มีช่องทางการจัดจำหน่ายของตัวเองที่แข็งแกร่ง หุ้นที่ไม่ค่อยพึ่งพาสิทธิบัตรทางรัฐ ไม่โดนผลกระทบจากภาครัฐ
ต้องเวลาในการลงทุน ไม่พึ่งพาลูกค้าน้อยรายเกินไป ไม่พึ่งพาสิทธิประโยชน์ของภาครัฐ
ที่ควรหลีกเลี่ยง ได้แก่
บริษัทที่มีการจัดการไม่ดี พยายามมอง downsideไว้ก่อน
หลักในการลงทุนหุ้นในตลาดเวียดนาม
1. เวลาการลงทุน ต้องเข้าใจบริษัทก่อน หาข้อมูลบริษัทได้ง่าย
2. เวลาเกิดอะไรขึ้น ต้องเข้าใจว่าเกิดจากอะไร เช่น บริษทขายเครื่องเขียน market share 70-80%
เรามั่นใจว่าเมื่อราคาขึ้นมาเยอะ เรายังถือได้
3. หุ้นแบบนี้มีจุดแข็งของมันเอง มีจุดเด่น สามารถชนะคู่แข่งอย่างขาดลอย
4. หุ้นต้องไม่แพงเกินไป หลีกเลี่ยงหุ้นที่ราคาเหวี่ยงไปมา
5. หุ้นที่มี PE 20-30 เท่า ต้องหลีกเลี่ยง
การลงทุน ต้องดูว่ามีวัตถุประสงค์ในการลงทุนแบบไหน ซึ่งวิทยากรทั้งสี่ท่านไม่เหมือนกันเลย
ตัวผม ต้องการสร้างอนาคตใหม่ ผมลงไปเป็นสัดส่วน 40-50% port
ปัจจัยในการประสบความสำเร็จ
1. ต้องมีconnection กับคนเวียดนาม ต้องลงแรงเยอะ
2. ต้องไปเยี่ยมชมกิจการที่เวียดนาม
3. ต้องเข้าตลาดว่าคิดอย่างไร
ผมดูหุ้นเป็นรายตัว อยากได้หุ้นที่ยั่งยืน
ที่แตกต่างจากไทยคือ Timeframe
ไทยไปขอข้อมูลจากบริษัทต่างๆในไทยได้ แต่ที่เวียดนาม ติดต่อยากกว่า เพราะ เคยสอบถามผ่านเมลไปยังผุ้บริหาร ก็ไม่ตอบมา
ธุรกิจ commodity รถไฟฟ้า เข้าใจยาก มีปัจจัยมากระทบเยอะ
หาหุ้นที่เราเข้าใจ และ demandยังอยู่ ก็จะไปดูที่ ค้าปลีก เช่น บริษัท Mobile World ( Mr. Tai เป็นเจ้าของ )
ที่เวียดนาม การเข้าถึงข้อมูลยาก บางบริษัทไม่มีภาษาอังกฤษ ก็จะไม่กล้าลงเยอะ
อาจต้องหาผู้ช่วง และ ให้ผู้ช่วยที่สามารถแปลภาษาเป็นไทย
Annual report บางบริษัทเป็นภาษาอังกฤษ จะมีรายละเอียดมาก
ผมเคยทำสรุป 10 website ที่ช่วยในการหาข้อมูล และ ใช้ Jitta เยอะมาใช้ในการลงทุน
สุดท้าย ก่อนจบสัมมนา คุณบอล ยังฝากมาถึงเรื่องการลงทุน
1. ต้องดูว่าบริษัททำอะไร
2. เข้าไปดูบริษัท และ อุตสาหกรรม เปรียบเทียบกัน
3. เช็คข่าว บริษัท และ ของอุตสาหกรรม
สุดท้าย ขอขอบคุณบอล ที่มาแชร์ข้อมูลในการลงทุนหุ้นในเวียดนามครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สัมมนา VVinvestors ‘ day กลยุทธ์การลงทุนหุ้นคุณค่าในเวีย
โพสต์ที่ 5
สัมมนา VVinvestors ‘ day กลยุทธ์การลงทุนหุ้นคุณค่าในเวียดนาม
ช่วงแนวคิดและประสบการณ์ลงทุนหุ้นเวียดนาม สัมภาษณ์ โดย คุณ ทีน่า ตอนสุดท้ายแล้วครับ
วิทยากร ท่านสุดท้าย คือ คุณ วิศวกร ปันยารชุน นักลงทุนหุ้นเวียดนาม ประสบการณ์กว่า 7 ปีในเวียดนาม
คุณแจ็คมาเล่าประวัติการลงทุน โดยเข้าตลาดหุ้นเวียดนามตอนปี 2009 เจอเศรษฐกิจปรับตัวลงแรง และ ยังไม่ฟื้นกลับมาอย่างรวดเร็ว ตอนที่ไปลงทุนที่เวียดนาม เพราะชอบประเทศเวียดนาม คิดว่าการลงทุนหุ้นเวียดนามน่าสนใจ
แต่คิดเร็วไปหน่อย ลงทุนหลังช่วงซับไพร์มไม่นาน เห็นตลาดหุ้นเวียดนามลงจาก ดัชนี 1,200 ไปอยู่ 400 จุด
ดัชนีลงมาแบบไม่เด้งกลับ แถมรัฐบาลจัดการเศรษฐกิจไม่ดี เงินเฟ้อพุ่งไปที่ 20% ทำให้หุ้นไม่ไปไหน
ผ่านไป4-5ปี หุ้นขึ้นๆลงๆ แต่เริ่มดีมาในเมื่อ2ปีนี้เอง เงินเฟ้อเริ่มลดลง ค่าเงินนิ่ง
การจัดการของรัฐบาล เริ่มดีขึ้น คลายregulation เช่น % ของการถือหุ้นของต่างชาติ หรือ การถือที่ดินได้ 100%
การลงทุนในหุ้นตอนแรก ไม่คิดว่าจะเทรดผ่านinternetได้ แต่จริงๆแล้วสามารถเทรดได้แล้วตั้งแต่7ปีที่แล้ว
มาตรการหนี้เสียของธนาคาร NPL เริ่มลดลง เฉลี่ย 10%ไม่สูงเหมือนสมัยก่อน ดูแนวโน้มจะยิ่งเปิดมากขึ้น
คำถาม หลักเกณฑ์ในการจัดPort มีหลักเกณฑ์อะไรบ้าง
คำตอบ หุ้น 4-5 ตัวในตอนแรก โขคดดีไม่เจอหุ้นfloor 21 floor
โชคดีที่เลือกบริษัทอย่างรู้เรื่อง ตอนนี้การกระจายหุ้นเป็น 10 บริษัทน่าจะดีกว่า อนาคตอาจถึง 20 บริษัท
ตลาดหุ้นเวียดนามมี 2 กลุ่ม คือ
1. กลุ่ม Big cap บางตัว Market size 200,000 ล้านบาท ใหญ่พอๆกับหุ้นใหญ่ของไทย
2. กลุ่ม Mid & Small cap Market size 500-6,000 ล้านบาท 100 กว่าตัว
และ market size ต่ำกว่า 500 ล้านบาท อีก หลายร้อยตัว
ช่วงแรกลงทุนสู้เมืองไทยไม่ได้ แต่ช่วง2ปีที่ผ่านมา ดีกว่าไทย เฉลี่ย 30-40% ต่อปี
หลักการเลือกหุ้น Mid & Small cap
ใช้ Bottom up เป็นหลัก หา Sector ค้าปลีกในเวียดนามก็ไม่มี ดังนั้นเลือกบริษัทจาก งบการเงิน และดูทิศทางในอนาคตว่าราคาถูก และ มีโอกาสเติบโตในอนาคต บริษัทที่ลงยังไม่เจอปัญหาเรื่องงบ เห็นบริษัทอื่นมีการตั้งสำรองแปลกๆ อาจต้องดูย้อนหลังหลายปีหน่อย
สำหรับตลาดเวียดนาม ผมยังไม่เจอหุ้นที่ตีแตกที่ขึ้น 3-4 เด้ง ขึ้นมาแค่เท่าเดียว เลยเลือกหุ้นหลายตัวหน่อย
ลองเอา Jitta score สูงๆ 10 ตัวแรก , 20 ตัวแรก , 30 ต้วแรก จัด port 3 แบบ return ได้ประมาณ 40กว่า%
ปีนี้ 2016 นับถึง สิงหาคม ได้ประมาณ 40 กว่า% แล้ว
คำถาม การลงทุนคุณแจ๊ก เริ่มจากคัดกรองเชิงปริมาณ แต่ไม่กระจายหุ้นในช่วงแรก
พอช่วงหลังมีการกระจายหุ้น งบน่าเชื่อขนาดไหน
คุณแจ๊กตอบว่า ข้อเสียของหุ้นในตลาดหุ้นเวียดนาม ข่าวสารที่เป็นภาษาอังกฤษจะช้ามาก เราต้องเลือกหุ้น
ที่มี downsideต่ำ ปกติ PE ต่ำ ROE มากกว่า 15% มีเยอะ ก็พออุ่นใจแล้ว
ได้ตะแกรงหุ้นพอสมควร หุ้น 700 ตัว ทื่คิดว่า Market cap 6,500 ล้านบาทขึ้นไปมี แค่ 100 กว่าตัว
สามารถคัด 20 ตัวออกมาได้ แต่ต้องเข้าไปดูธุรกิจว่า สิ่งที่พูด จริงหรือเปล่า
ยังไม่คาดหวังตอนนี้ วันนึงโอกาสมาเอง พยายามหาหุ้น Superstock อย่าดูถูกหุ้น Middle class
ประเทศอินโดนีเซีย ปี 2004 ดัชนี 500-600 จุด ต่ำกว่าไทย ตอนนี้ 5,000 กว่าจุดแล้ว
เวียดนามกำลังเป็นเหมือน ประเทศอินโดนีเซีย สร้างกำลังซื้อมาก จะมี superstockเหมือนเมืองไทย
ตอนนี้ยังอยู่ในช่วงเก็บเกี่ยวประสบการณ์ ถ้าเป็น consumer product เติบโตดี
หุ้นรับเหมาบางตัว market cap 5,000 ล้านบาท มันเล็กไป ตลาดจะโตอีกหลายเท่า แต่ต้องระวังการเพิ่มทุน
การตามข้อมูล เรียนภาษาเวียดนามน้อยเกินไป ใช้แค่ google translate ดู Web อ่านข่าว
ข้อมูลทางด้านการเงิน ก็ดูจาก Web ของ Broker
7-11 จะเปิดที่เวียดนามในปีหน้า เป็นสาขาแรก ไม่ใช่เป็นของ CP All
ตอนนี้คงสัดส่วนลงทุนหุ้นเวียดนาม 10% ของ port จนกว่าจะเจอหุ้นตีแตก
สุดท้ายขอขอบคุณ คุณแจ๊กที่มาแชร์ข้อมูลในการลงทุนหุ้นเวียดนามครับ
ช่วงแนวคิดและประสบการณ์ลงทุนหุ้นเวียดนาม สัมภาษณ์ โดย คุณ ทีน่า ตอนสุดท้ายแล้วครับ
วิทยากร ท่านสุดท้าย คือ คุณ วิศวกร ปันยารชุน นักลงทุนหุ้นเวียดนาม ประสบการณ์กว่า 7 ปีในเวียดนาม
คุณแจ็คมาเล่าประวัติการลงทุน โดยเข้าตลาดหุ้นเวียดนามตอนปี 2009 เจอเศรษฐกิจปรับตัวลงแรง และ ยังไม่ฟื้นกลับมาอย่างรวดเร็ว ตอนที่ไปลงทุนที่เวียดนาม เพราะชอบประเทศเวียดนาม คิดว่าการลงทุนหุ้นเวียดนามน่าสนใจ
แต่คิดเร็วไปหน่อย ลงทุนหลังช่วงซับไพร์มไม่นาน เห็นตลาดหุ้นเวียดนามลงจาก ดัชนี 1,200 ไปอยู่ 400 จุด
ดัชนีลงมาแบบไม่เด้งกลับ แถมรัฐบาลจัดการเศรษฐกิจไม่ดี เงินเฟ้อพุ่งไปที่ 20% ทำให้หุ้นไม่ไปไหน
ผ่านไป4-5ปี หุ้นขึ้นๆลงๆ แต่เริ่มดีมาในเมื่อ2ปีนี้เอง เงินเฟ้อเริ่มลดลง ค่าเงินนิ่ง
การจัดการของรัฐบาล เริ่มดีขึ้น คลายregulation เช่น % ของการถือหุ้นของต่างชาติ หรือ การถือที่ดินได้ 100%
การลงทุนในหุ้นตอนแรก ไม่คิดว่าจะเทรดผ่านinternetได้ แต่จริงๆแล้วสามารถเทรดได้แล้วตั้งแต่7ปีที่แล้ว
มาตรการหนี้เสียของธนาคาร NPL เริ่มลดลง เฉลี่ย 10%ไม่สูงเหมือนสมัยก่อน ดูแนวโน้มจะยิ่งเปิดมากขึ้น
คำถาม หลักเกณฑ์ในการจัดPort มีหลักเกณฑ์อะไรบ้าง
คำตอบ หุ้น 4-5 ตัวในตอนแรก โขคดดีไม่เจอหุ้นfloor 21 floor
โชคดีที่เลือกบริษัทอย่างรู้เรื่อง ตอนนี้การกระจายหุ้นเป็น 10 บริษัทน่าจะดีกว่า อนาคตอาจถึง 20 บริษัท
ตลาดหุ้นเวียดนามมี 2 กลุ่ม คือ
1. กลุ่ม Big cap บางตัว Market size 200,000 ล้านบาท ใหญ่พอๆกับหุ้นใหญ่ของไทย
2. กลุ่ม Mid & Small cap Market size 500-6,000 ล้านบาท 100 กว่าตัว
และ market size ต่ำกว่า 500 ล้านบาท อีก หลายร้อยตัว
ช่วงแรกลงทุนสู้เมืองไทยไม่ได้ แต่ช่วง2ปีที่ผ่านมา ดีกว่าไทย เฉลี่ย 30-40% ต่อปี
หลักการเลือกหุ้น Mid & Small cap
ใช้ Bottom up เป็นหลัก หา Sector ค้าปลีกในเวียดนามก็ไม่มี ดังนั้นเลือกบริษัทจาก งบการเงิน และดูทิศทางในอนาคตว่าราคาถูก และ มีโอกาสเติบโตในอนาคต บริษัทที่ลงยังไม่เจอปัญหาเรื่องงบ เห็นบริษัทอื่นมีการตั้งสำรองแปลกๆ อาจต้องดูย้อนหลังหลายปีหน่อย
สำหรับตลาดเวียดนาม ผมยังไม่เจอหุ้นที่ตีแตกที่ขึ้น 3-4 เด้ง ขึ้นมาแค่เท่าเดียว เลยเลือกหุ้นหลายตัวหน่อย
ลองเอา Jitta score สูงๆ 10 ตัวแรก , 20 ตัวแรก , 30 ต้วแรก จัด port 3 แบบ return ได้ประมาณ 40กว่า%
ปีนี้ 2016 นับถึง สิงหาคม ได้ประมาณ 40 กว่า% แล้ว
คำถาม การลงทุนคุณแจ๊ก เริ่มจากคัดกรองเชิงปริมาณ แต่ไม่กระจายหุ้นในช่วงแรก
พอช่วงหลังมีการกระจายหุ้น งบน่าเชื่อขนาดไหน
คุณแจ๊กตอบว่า ข้อเสียของหุ้นในตลาดหุ้นเวียดนาม ข่าวสารที่เป็นภาษาอังกฤษจะช้ามาก เราต้องเลือกหุ้น
ที่มี downsideต่ำ ปกติ PE ต่ำ ROE มากกว่า 15% มีเยอะ ก็พออุ่นใจแล้ว
ได้ตะแกรงหุ้นพอสมควร หุ้น 700 ตัว ทื่คิดว่า Market cap 6,500 ล้านบาทขึ้นไปมี แค่ 100 กว่าตัว
สามารถคัด 20 ตัวออกมาได้ แต่ต้องเข้าไปดูธุรกิจว่า สิ่งที่พูด จริงหรือเปล่า
ยังไม่คาดหวังตอนนี้ วันนึงโอกาสมาเอง พยายามหาหุ้น Superstock อย่าดูถูกหุ้น Middle class
ประเทศอินโดนีเซีย ปี 2004 ดัชนี 500-600 จุด ต่ำกว่าไทย ตอนนี้ 5,000 กว่าจุดแล้ว
เวียดนามกำลังเป็นเหมือน ประเทศอินโดนีเซีย สร้างกำลังซื้อมาก จะมี superstockเหมือนเมืองไทย
ตอนนี้ยังอยู่ในช่วงเก็บเกี่ยวประสบการณ์ ถ้าเป็น consumer product เติบโตดี
หุ้นรับเหมาบางตัว market cap 5,000 ล้านบาท มันเล็กไป ตลาดจะโตอีกหลายเท่า แต่ต้องระวังการเพิ่มทุน
การตามข้อมูล เรียนภาษาเวียดนามน้อยเกินไป ใช้แค่ google translate ดู Web อ่านข่าว
ข้อมูลทางด้านการเงิน ก็ดูจาก Web ของ Broker
7-11 จะเปิดที่เวียดนามในปีหน้า เป็นสาขาแรก ไม่ใช่เป็นของ CP All
ตอนนี้คงสัดส่วนลงทุนหุ้นเวียดนาม 10% ของ port จนกว่าจะเจอหุ้นตีแตก
สุดท้ายขอขอบคุณ คุณแจ๊กที่มาแชร์ข้อมูลในการลงทุนหุ้นเวียดนามครับ
-
- Verified User
- โพสต์: 2195
- ผู้ติดตาม: 0
Re: สัมมนา VVinvestors ‘ day กลยุทธ์การลงทุนหุ้นคุณค่าในเวีย
โพสต์ที่ 6
สัมมนา VVinvestors ‘ day กลยุทธ์การลงทุนหุ้นคุณค่าในเวียดนาม
ช่วงแนวคิดและประสบการณ์ลงทุนหุ้นเวียดนาม สัมภาษณ์ โดย คุณทีน่า
คุณ พิกุล พิทยาอิสรกุล ผู้จัดการกองทุน Phillip Private Fund เวียดนาม
คำถาม จากคุณทีน่า นักลงทุนสถาบัน ทำไมมองว่าช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่ดีในการลงทุนหุ้นเวียดนาม
คุณพิกุล ตอบว่า เราเริ่มลงทุนมาตั้งแต่ มิย 58 เรามองคล้ายกับดร นิเวศน์ หุ้นไทยสูงพอสมควร
ดูว่าที่ไหนยังน่าสนใจบ้าง ดูจาก Bloomberg ตลาดหุ้นเวียดนาม ตกต่ำมากที่สุด ดูน่าสนใจ
เจ้านายเก่าเป็นคนเวียดนามเล่าเรื่องของเวียดนาม แต่ยังไม่take action ไปเริ่มจริงจังในช่วงต้นปี2014
และสาเหตุที่มองว่าเป็นโอกาสในการลงทุนระยะยาว เวียดนามพึ่งฟื้นจากสงคราม การเมือง พื้นฐานของคนเวียดนามเป็นคนขยัน และ เศรษฐกิจเปิดกว้าง ได้เรียนรู้พอสมควร เงินเฟ้อมีการบริหารอย่างจริงจัง
เราศึกษาแล้วพบว่า เป็น S Curve ใหม่
เวลาประเมินเศรษฐกิจเวียดนาม เราดูพื้นฐานระยะยาว อายุประชากร ทิศทางการพัฒนาเศรษฐกิจ
ระยะสั้น FDI นโยบายส่งเสริมการลงทุนเป็นอย่างไร พยายามเจรจาการค้าให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามา
แต่ต้องติดตามเรื่อง Inflation ซึ่งเป็นปัจจัยสำหรับการตัดสินใจของต่างชาติ
ตอนนี้ตัดสินใจถูกแล้วที่ส่งเสริมให้เศรษฐกิจดีขึ้น
สำหรับงานที่บริหารกองทุนส่วนบุคคลที่ บล Phillip ตอนนี้มีบัญชีที่บริหาร 100 กว่าบัญชี
ลงทุนขั้นต่ำ 3 ล้านบาท การลงทุนในหุ้นจะเป็นแบบ Bottom up ประกอบกับ ดูMacroด้วย
ว่าSectorไหนน่าสนใจบ้าง หา consumer product ที่ดี เวียดนามตอนนี้ Logisticแย่ Retail ไม่ดี
ถ้า Build Brand ที่ดี ก็แข่งกับต่างชาติได้
เราพยายามมองดูคูณภาพผู้บริหาร Brand ที่ดี และ แข็งแกร่ง เพื่อลงทุน
บริษัทต้องมีความสามารถในการแข่งขัน ต่างชาติจะลงทุนอย่างจริงจัง บริษัทจะอยู่รอดหรือเปล่า
ที่ผ่านมา ธุรกิจที่ Stakeholder มีความเป็น Monopoly สูง
Ownership อายุของบริษัทไม่เกิน 30 ปี ต้องมีการพัฒนาความสามารถ บริษัทที่อยู่รอดถือว่าใข้ได้
แต่ต้องดูต่อว่า ต่างชาติเข้ามาเมื่อไหร่ แข่งขันได้ไหม
หุ้นใน Universe ตลาดหุ้นเวียดนาม High Risk & High Return เราเลยถือหุ้น + - 20%
Timeframe การลงทุน ประมาณ 3-5 ปี จริงๆอยากให้ลงทุนมากกว่านี้
ถือเป็น S Curse ตัวใหม่ เป็นการลงทุนระยะยาว ในระยะสั้น ราคาหุ้นไม่ถูก ดังนั้นผลตอบแทนคงไม่สูง
Performance ของเรา in line กับตลาด เราถือ cash พอสมควร
การเพิ่มหุ้นต้องรอเวลาพอสมควร
หุ้นดี ต้องติด foreign limit เราต้องค่อยๆเก็บหุ้น
คำถาม การ Build Port คาดหวังการเติบโต มองใน Sector หรือ ลักษณะหุ้นแบบไหน
คำตอบคือ สถาบันไม่สามารถดูหุ้นเล็กได้ มองหุ้นใหญ่และ ซื้อ PE 20 เท่า ซึ่งไม่ถูก แต่มีอัตราการเติบโต 20%
สุดท้าย ขอขอบคุณ คุณ พิกุล ที่มาให้ความรู้ในตลาดหุ้นเวียดนามมากครับ
ช่วงแนวคิดและประสบการณ์ลงทุนหุ้นเวียดนาม สัมภาษณ์ โดย คุณทีน่า
คุณ พิกุล พิทยาอิสรกุล ผู้จัดการกองทุน Phillip Private Fund เวียดนาม
คำถาม จากคุณทีน่า นักลงทุนสถาบัน ทำไมมองว่าช่วงเวลานี้เป็นช่วงที่ดีในการลงทุนหุ้นเวียดนาม
คุณพิกุล ตอบว่า เราเริ่มลงทุนมาตั้งแต่ มิย 58 เรามองคล้ายกับดร นิเวศน์ หุ้นไทยสูงพอสมควร
ดูว่าที่ไหนยังน่าสนใจบ้าง ดูจาก Bloomberg ตลาดหุ้นเวียดนาม ตกต่ำมากที่สุด ดูน่าสนใจ
เจ้านายเก่าเป็นคนเวียดนามเล่าเรื่องของเวียดนาม แต่ยังไม่take action ไปเริ่มจริงจังในช่วงต้นปี2014
และสาเหตุที่มองว่าเป็นโอกาสในการลงทุนระยะยาว เวียดนามพึ่งฟื้นจากสงคราม การเมือง พื้นฐานของคนเวียดนามเป็นคนขยัน และ เศรษฐกิจเปิดกว้าง ได้เรียนรู้พอสมควร เงินเฟ้อมีการบริหารอย่างจริงจัง
เราศึกษาแล้วพบว่า เป็น S Curve ใหม่
เวลาประเมินเศรษฐกิจเวียดนาม เราดูพื้นฐานระยะยาว อายุประชากร ทิศทางการพัฒนาเศรษฐกิจ
ระยะสั้น FDI นโยบายส่งเสริมการลงทุนเป็นอย่างไร พยายามเจรจาการค้าให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามา
แต่ต้องติดตามเรื่อง Inflation ซึ่งเป็นปัจจัยสำหรับการตัดสินใจของต่างชาติ
ตอนนี้ตัดสินใจถูกแล้วที่ส่งเสริมให้เศรษฐกิจดีขึ้น
สำหรับงานที่บริหารกองทุนส่วนบุคคลที่ บล Phillip ตอนนี้มีบัญชีที่บริหาร 100 กว่าบัญชี
ลงทุนขั้นต่ำ 3 ล้านบาท การลงทุนในหุ้นจะเป็นแบบ Bottom up ประกอบกับ ดูMacroด้วย
ว่าSectorไหนน่าสนใจบ้าง หา consumer product ที่ดี เวียดนามตอนนี้ Logisticแย่ Retail ไม่ดี
ถ้า Build Brand ที่ดี ก็แข่งกับต่างชาติได้
เราพยายามมองดูคูณภาพผู้บริหาร Brand ที่ดี และ แข็งแกร่ง เพื่อลงทุน
บริษัทต้องมีความสามารถในการแข่งขัน ต่างชาติจะลงทุนอย่างจริงจัง บริษัทจะอยู่รอดหรือเปล่า
ที่ผ่านมา ธุรกิจที่ Stakeholder มีความเป็น Monopoly สูง
Ownership อายุของบริษัทไม่เกิน 30 ปี ต้องมีการพัฒนาความสามารถ บริษัทที่อยู่รอดถือว่าใข้ได้
แต่ต้องดูต่อว่า ต่างชาติเข้ามาเมื่อไหร่ แข่งขันได้ไหม
หุ้นใน Universe ตลาดหุ้นเวียดนาม High Risk & High Return เราเลยถือหุ้น + - 20%
Timeframe การลงทุน ประมาณ 3-5 ปี จริงๆอยากให้ลงทุนมากกว่านี้
ถือเป็น S Curse ตัวใหม่ เป็นการลงทุนระยะยาว ในระยะสั้น ราคาหุ้นไม่ถูก ดังนั้นผลตอบแทนคงไม่สูง
Performance ของเรา in line กับตลาด เราถือ cash พอสมควร
การเพิ่มหุ้นต้องรอเวลาพอสมควร
หุ้นดี ต้องติด foreign limit เราต้องค่อยๆเก็บหุ้น
คำถาม การ Build Port คาดหวังการเติบโต มองใน Sector หรือ ลักษณะหุ้นแบบไหน
คำตอบคือ สถาบันไม่สามารถดูหุ้นเล็กได้ มองหุ้นใหญ่และ ซื้อ PE 20 เท่า ซึ่งไม่ถูก แต่มีอัตราการเติบโต 20%
สุดท้าย ขอขอบคุณ คุณ พิกุล ที่มาให้ความรู้ในตลาดหุ้นเวียดนามมากครับ