เรื่องที่ได้จากสัมมนาวันนี้
การลงทุนในหุ้นจากสถิติระยะยาว เป็นเวลา 200 ปีในตลาดหุ้นสหรัฐ พิสูจน์แล้วว่าให้ผลตอบแทนสูงสุด ถึง 7.6 แสนกว่า% ตามมาด้วยพันธบัตร ทองคำ และเงินดอร์ลล่าห์ ( ในปีที่ 200 เงิน USD มีค่าเหลือเพียง 0.06 จากเงินต้นที่ 1 USD )
ทำไมถึงเป็นแบบนั้น
ปกติการทำธุรกิจมีความเสี่ยงในการอยู่รอด ดังนั้น ธุรกิจ (หุ้น) ที่มีความเสี่ยงสูงสุดจึงมีผลตอบแทนมากที่สุด ถ้าไม่แบบนั้น คนคงไม่ทำธุรกิจถ้าผลตอบแทนน้อยกว่าฝากแบงค์ และการที่ถือเงิน usd แล้วมูลค่าหายคือ เงินโดนเงินเฟ้อกัดกินมูลค่า
หุ้นไม่ใช่แค่กระดาษแผ่นนึง แต่เบื้องหลังยังมีความเป็นเจ้าของธุรกิจอยู่ vi มองหุ้นก็คือส่วนหนึ่ง ของธุรกิจ
ปัจจัยที่ควรพิจารณาตลอดในการลงทุน คือ Risk , Reward บางทีหุ้นที่ลงทุนอาจจะ Reward มากอาจจะขึ้นได้ถึง พัน ๆ % ถ้ากิจการโตได้จริง แต่ถ้าไม่ มูลค่าหายกลายเป็น 0 ไปเลย แบบนี้เป็นการลงทุนที่เสี่ยงเกินไปหรือเปล่า นักลงทุนควรจะคัดเลือก การลงทุนที่ Risk ต่ำ และ Reward สูง (ให้สมกับที่ศึกษามา ไม่งั้นก็เอาไปฝากกับกองทุนดัชนีแทน)
จุดเด่น / จุดด้อย ของการลงทุนแบบ vi
จุดเด่น copy ได้ มีจำนวนคนที่ประสบความเร็จได้จำนวนมาก วิธีการลงทุน มองหุ้นเหมือนธุรกิจ สามารถอธิบายความถูกแพง แล้วเหตุผลต่าง ๆ ได้
จุดด้อย ไม่ได้ timing ราคาตลาด ผลตอบแทนระยะสั้นอาจจะแพ้ตลาด
ความเข้าใจผิด ๆ เกี่ยวกับ vi
1. Vi ซื้อแล้วไม่ขาย
2. Vi ซื้อแต่หุ้น p/e ต่ำ ปันผลสูง ๆ
3. หุ้น vi คือหุ้นที่ vi ซื้อกัน
4. กิจการแข็งแกร่งดี ราคาแพงยังไงก็ลงทุนได้
5. โลภเมื่อคนอื่นกลัว กลัวเมื่อคนอื่นโลภ (จริง ๆ บัฟเฟต์พูดยาวเป็นหน้ากระดาษ A4 แต่ที่มักเอามาพูดกันแค่ ประโยคเดียว)
จริง ๆ มีอะไรที่มากกว่านั้นในสิ่งที่คนทั่วไปเห็น vi ก็ขายหุ้นเป็น บางทีก็บ่อย แต่ไม่ใช่ขายเพราะราคามันแพงแล้ว แต่เพราะมีทางเลือกอื่น ๆ หรือ ที่เราประเมินมันผิดก็ขายทิ้งไป
หุ้น vi ไม่มีอยู่จริง มีแต่หุ้นที่ Under value หรือ มากกว่านั้น หุ้นที่ vi ซื้อกันตอนซื้ออาจจะ Under value ก็ได้แต่พอมีคนมาสนใจ มาช่วยกันซื้อราคาก็วิ่งขึ้นไป จนไม่เหลือความ Under Value ก็หมดสภาพความเป็นหุ้น vi ในหุ้นตัวเดียวกัน
กิจการที่ดี ราคาที่ซื้อก็ควรเหมาะสม หรือต่ำกว่ามูลค่า ไม่ใช่ว่ามีคนมาเสนอขาย เบนซ์ e class ที่ 200 ล้านแล้วบอกว่าถูก ก็ไม่ใช่
โลภเมื่อคนอื่นกลัว และกลัวเมื่อคนอื่นโลภ เราต้องรู้ว่า บัฟเฟต ไม่ได้พูดแค่นั้น แต่เป็นบทสรุปจากที่พูดยืดยาว หลัก ๆ ก็คือ หากเราประเมินแล้วว่าตลาดคิดผิด เราก็ควรจะทำตรงกันข้าม ไม่ใช่สุ่มสี่สุ่มห้า ไปสวน ซื้อ ssi ตอนตกมาจาก floor จะสวนต้องมองให้ออกว่า มันร้ายจริง ๆ หรือไม่
แล้วการที่เรากลัวเกินเหตุ โดยไม่ดูข้อมูลประกอบอื่น ๆ เลยก็อาจจะทำให้เราเสียโอกาสใน รอบขาขึ้นครั้งใหญ่ก็ได้
ปัจจัยมหภาค ไม่ใช่ไม่ดู แต่อย่าเอามาเป็นประเด็นชี้เป็นชี้ตายกับการลงทุน ให้ดูประกอบ
อย่างตอน เบคสิท ถ้าใครขายหุ้นเพราะตกใจ คุณจะุพลาดการขึ้นของตลาดหุ้นรอบนี้ แต่ไม่ใช่การขึ้นของหุ้นทุกตัว เราต้องประเมินว่า เบคสิท มันกระทบกับหุ้น (กิจการ) ที่เราถือหรือไม่
การเป็นนักลงทุนมืออาชีพ อาจจะไม่เหมาะกันทุกคน เพราะ
นักลงทุนต้องรอบรู้ การวิเคราะห์กิจการ อ่านงบการเงิน ติดตามข่าวสารอยุ่เสมอ เป็นคนที่รักการอ่าน สิ่งไหนไม่รู้ก็ต้อง ขนขวายหามาพัฒนาตัวเอง กระตือรือร้น
แต่ ทุกคนควรจะมีทักษะ การลงทุน ติดตัวเพราะ ในยุคที่ผลตอบแทนดอกเบี้ยต่ำ ๆ แม้แต่ กองทุนประกันสังคม กบข. กองทุนประกันขีวิต ก็ เหนื่่อยมากในการหาผลตอบแทน ให้ cover ความเสียงที่เกิดขึ้น เพราะ Yield พันธบัตรต่ำมาก และคิดว่าจะต่ำไปอีกนาน
ความมั่งคั่งของเราจะลดลง เงินที่เก็บไปคิดว่าพอใช้ยามเกษียณ อาจจะไม่พอ อาจจะเกิดการ " เงินหมดก่อนตาย "
เรื่องการพัฒนาทักษะด้านการลงทุน ต้องเริ่มจากการปรับทัศนะคติของตัวเองให้ถูกต้องก่อน ให้เหมาะกับตัวเอง เหมาะกับจริตของตัวเอง
เช่น ต้องปรับทัศนคติเรื่องการลงทุนในหุ้นคือ การพนัน แล้วเปิดโลกทัศน์ให้กว้าง เรียนรู้เพิ่มเติม อย่าให้เหมือน ตาบอดคลำช้าง รู้แค่ส่วนหนึ่งแล้วสรุปว่า การลงทุนคือ สิ่งชั่วร้าย
การลงทุนแต่คน ไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน บางคนอาจจะชอบหุ้นปันผลสุง ถือหุ้นเติบโตไม่สบายใจ นอนไม่หลับ เป็นต้น
การลงทุน นอกจากอ่านข้อมูลในงบการเงินแล้ว ยังมีข้อมูลที่สำคัญมาก ๆ ที่ไม่ได้แสดงในงบการเงิน เช่น มูลค่าแบรนด์ มูลค่าตลาดสินทรัพย์ มูลค่าสิทธิบัตร เป็นต้น
การจะลงทุนให้ประสบความสำเร็จ ต้องประเมินกิจการเหมือนเราทำธรุกิจ อย่ามองแต่ตัวเลขในงบการเงินอย่างเดียว
" ถ้าเราประเมินกิจการจากตัวเลขอย่างเดียวก็เหมือนกับขับรถ แล้วมองแต่กระจกหลัง "
นักลงทุนต้องทำการบ้าน ดุข้อมูลเชิงคุณภาพ และข้อมูลเชิงปริมาณ แล้ว ยังต้องเข้าใจตัวเอง อย่าให้อารมณ์มาเป็นตัวชี้นำการลงทุนของเรา
เรามักถูกหลอกให้ พฤติกรรม โน้มเอียงไปตามแนวโน้มราคาหุ้นที่เปลี่ยนไป เช่น ถ้าหุ้นขึ้น เราก็คิดว่ามันดี แล้วมันจะขึ้นต่อ เป็นต้น
หุ้นที่ลง เราก็คิดว่าเป็นหุ้นไม่ดี มันอาจจะไม่เป็นแบบนั้น ที่ลงเพราะ อาจจะมีคนเก็บหุ้นอยู่ก็ได้ เลย ไม่ต้องการให้หุ้นขึ้นเพราะยังเก็บไม่ครบ เป็นต้น
บริษัทที่ควรลงทุนระยะยาว เป็นอย่างไร
1. มีความสามารถในการแข่งขันอย่างยั่งยืน
2. ผู้บริหารมีธรรมาภิบาล และ มีความเก่งกาจ
3. ธุรกิจไม่ยากเกินกว่าที่จะทำความเข้าใจได้
4. อุตสาหกรรมเปลี่ยนแปลงแบบค่อยเป็นค่อยไป
5. นักลงทุนสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารไม่ยากเกินไป
เราจะเจอหุ้นที่น่าลงทุนได้อย่างไร
หัดสังเกตุ และอ่านข้อมูลข่าวสารรอบตัว บางทีหุ้นที่น่าสนใจเราอาจจะเจอจาก สิ่งที่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกันเลย เช่น กำลังอ่านเรื่องการปลูกมะนาว เราจะได้ข้อมูลไปเชื่อมโยงกับ ค้าปลีกวัสดุก่อสร้าง เป็นต้น
Step of VI
- ค้นหากิจการที่น่าสนใจ
- ทดลองใช้
- อ่านข้อมูลเกี่ยวกับบริษัท เช่น 56-1 รายงานประจำปี ฟัง Opp
_day Money Talk Company Visit
- ตรวจสอบประวัติ ผู้บริหาร
- ทำความเข้าใจ ขุดคุ้ยข้อมูลเชิงคุณภาพ
- ตรวจสอบข้อมูลทางการเงิน
- ประมวลผล และตัดสินใจ ซื้อ หรือ ไม่ซื้อ
ราคาถูกดูยังไง อย่าไปยึดติดกับตัวเลขในอดีตมากจนเกินไป ข้อมูลใช้ดูประกอบได้ ดูแนวโน้มได้ สำคัญคือเรามองออกหรือไม่ว่า ต่อจากนี้ไป กิจการจะยังดีอยุ่หรือไม่ เพราะอะไร
เวลาเราประเมินมูลค่า ข้อมูลต่าง ๆ ไม่มีทางถูกต้อง 100% แม้แต่ตัวเจ้าของกิจการเอง ก็ยังไม่สามารถบอกได้ว่าอีก หลาย ๆ ปี กำไรจะเป็นอย่างไร รายได้จะเป็นอย่างไร ถูกคร่าว ๆ แต่อย่าผิดแบบละเอียด
กับดัก ของ p/e ปันผล
กิจการที่ดี มักมากับ ค่า p/e ที่สูง มันมีเหตุมีผลของมัน เพราะ กิจการที่ดีมักจะทำให้กำไรเติบโตได้มากกว่าตลาด และมีช่องทางเติบโตอยู่ตลอดเวลา เงินเลยไม่ได้ถุกเก็บไว้ฝากธนาคารที่ดอกเบี้ยแสนถูก ปันผลก็เลยน้อย หรือ แทบไม่จ่ายเลย
เทียบกับ หุ้น p/e ต่ำ อาจจะเป็นเพราะกิจการอยู๋ในอุตสาหกรรมที่อิ่มตัวแล้ว ทำให้ไม่สามารถเติบโตมาก ๆ ได้ เงินก็ไม่รู้จะเอาไปทำอะไร ก็เลยจ่ายคืนให้กับผู้ถือหุ้น สูง ๆ ซึ่งก็เหมาะสมดีเพราะ มันไม่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มมากไปกว่าปันผลที่จ่ายอีกแล้ว เว้นแต่ว่าจะสามารถหา ช่องทางทำธุรกิจใหม่ ๆ ได้
หุ้น p/e สงสัยไหมว่าทำไมมันก็ยังสูงอยู่ หุ้น p/e ต่ำทำไมก็ต่ำอยุ่อย่างนั้น มันมีเหตุและผลของมัน
การลงทุนอย่าไปยึดติดกับการประเมินมูลค่าอย่างใดอย่างนึง ควรใช้หลาย ๆ วิธี
สุดท้ายนี้ ผลตอบแทนที่สุดยอด ต้องแลกมาด้วยการกระทำที่สาสม (อันนี้คำพูดผมเอง)
อาจจะตกประเด็นใดไป ต้องขออภัยพี่ชาย ครับ แต่ผมเลือกเอาเฉพาะประเด็นที่สำคัญ กับที่ควรจะ Note ไว้เพื่อกันลืมครับ
ขอขอบคุณพี่ชาย ( คนขายของ ) พี่ไม้ฟืน พี่นุช ทีมงาน ไทยวีไอ บล. เมย์แบงค์กิมเอ็ง ที่เปิดโอกาสมอบความรู้ดี ๆ ให้กับผม และชาวเชียงใหม่ครับ
ขออนุญาติ Post ประเด็นที่ได้จากงานสัมมนา on tourเชียงใหม่คับ
- BaggerStocks
- สมาชิกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
- โพสต์: 63
- ผู้ติดตาม: 0
Re: ขออนุญาติ Post ประเด็นที่ได้จากงานสัมมนา on tourเชียงใหม
โพสต์ที่ 3
ขอบคุณครับ
baggerstocks รู้ เห็น ตามความเป็นจริง!!!